ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 900-901

ตอนที่ 900 ความโกลาหล

 

“ที่แห่งนี้คือเศษซากของโลกบนหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นมีตรงไหนพิเศษ” บัณฑิตหุบพัดดังปั้บตบลงกลางฝ่ามือแล้วเอ่ยกับตนเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


ศิษย์คนอื่นของนิกายปีศาจลี้ลับนอกจากหลงเซวียนแล้วล้วนมองแผ่นหลังของบัณฑิตด้วยดวงตาหวาดกลัวเล็กน้อย


“สหายถูกู ในเมื่อมาถึงเศษซากของโลกบนแล้ว พวกเราก็ขอลาตรงนี้” บุรุษซูบผอมชุดแดงคนหนึ่งเหาะออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกฝนนิกายอื่นเจ็ดคนนั้นแล้วหยุดยืนห่างจากบัณฑิตไปด้านหน้าหนึ่งจั้งกว่า จากนั้นประสานมือเอ่ยขึ้น


“อ้อ พี่เฟิงนี่เอง ไยต้องแยกกันเดินทาง ทุกคนร่วมค้นหาสมบัติด้วยกันไม่ดีหรือ” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตเผยรอยยิ้มประหลาดแลดูชั่วร้ายพร้อมกับเลิกคิ้วเรียวขึ้น


“ไม่จำเป็น สหายนิกายปีศาจลี้ลับทุกท่านพลังสูงส่งแข็งแกร่ง พวกเราคนเหล่านี้ติดตามไปรังแต่จะขวางมือขวางเท้า ไม่รบกวนทุกท่านจะดีกว่า” บุรุษชุดแดงหางตากระตุก ฝืนหัวเราะครั้งหนึ่งแล้วตอบออกมา


“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็แยกกันชั่วคราว รอหนึ่งปีให้หลัง ทุกท่านค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี่แล้วกัน” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตสายตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ


บุรุษชุดแดงได้ฟังก็ยินดียิ่ง เขาประสานมือคำนับอีกครั้ง ร่างกายขยับหมายจะเหาะจากไป


ทว่าเขาเพิ่งหันกาย ตรงท้องน้อยฉับพลันก็เย็นวูบ ฝ่ามือข้างหนึ่งแทงทะลุทะเลจิตวิญญาณของเขา เลือดทะลักออกมาย้อมชุดสีแดงบนร่างเขาให้สีสดยิ่งกว่าเดิมในทันที


เรี่ยวแรงในร่างบุรุษชุดแดงคล้ายถูกสูบออกไปจนแห้งเหือดในพริบตา เขาหันศีรษะกลับมาอย่างยากเย็น


ชายผู้สวมชุดบัณฑิตยืนชิดร่างเขา มุมปากประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม


“เจ้า…นิกายของพวกเรามอบบรรณาการให้การเดินทางครั้งนี้แล้ว…” บุรุษชุดแดงอ้าปาก เลือดมากมายทะลักออกมาในทันใด


“จิ๊ๆ พวกเราไม่ได้พาพวกเจ้าเข้ามาตามสัญญาแล้วหรือ? แต่พริบตาที่เหยียบลงบนเศษซากของโลกบนแห่งนี้ ระหว่างเจ้ากับข้าก็คือศัตรูที่เข่นฆ่าเอาชีวิตกันแล้ว ยังจะมีใครที่ไหนบอกลาอย่างมีมารยาทกับศัตรูอีก!” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตหัวเราะเย้ยหยัน เพลิงมารสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นในมือโดยฉับพลัน


ร่างกายของบุรุษชุดแดงหดเล็กลงเรื่อยๆ ท่ามกลางเพลิงมารแล้วสลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว


เหตุการณ์ไม่คาดคิดเหล่านี้เกิดขึ้นกะทันหัน ผู้ฝึกฝนคนอื่นจากต่างนิกายที่อยู่ห่างไปไกลเห็นภาพนี้ล้วนตกตะลึงยิ่งนัก มีสองคนหัวไวร่างกายขยับวูบหนึ่งกลายเป็นแสงสีแดงสองสายเหาะหนีเอาชีวิตรอดจากไปไกลทันที


ชายผู้สวมชุดบัณฑิตหัวเราะหยัน เขาไม่ได้มองสองคนที่หนีไปแต่พลิกฝ่ามือตบครั้งหนึ่ง เพลิงมารสีดำสนิทแถบหนึ่งพลันปรากฏห่างออกไปไกล ล้อมผู้ฝึกฝนนิกายอื่นที่เหลือซึ่งตอบสนองไม่ทันไว้ด้านใน


“อ้าก…” ผู้ฝึกฝนหลายคนถูกเพลิงมารสีดำล้อมก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาในทันใด กลิ่นไหม้กระจายออกมาในทันที


เพลิงสีดำลุกไหม้รุนแรงอยู่สองสามครั้ง เห็นชัดว่าคนด้านในพยายามใช้วิชาหมายจะทลายเพลิงมารหนีออกมา


ทว่าเพลิงมารสีดำไม่รู้เป็นพลังมหัศจรรย์อันใด เปลวเพลิงทนทายาดอย่างน่าประหลาด ไม่เพียงไม่ถูกทำลายตรงกันข้ามกลับลุกโหมยิ่งกว่าเดิม เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ด้านในก็ไม่มีเสียงลมหายใจอีก


อีกด้านหนึ่งบุรุษผู้สวมชุดต้าฉ่างสีดำผู้นั้นก็หัวเราะหยันขึ้นครั้งหนึ่งแล้วกลายร่างเป็นรุ้งสีดำสนิทสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกไป เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็ปรากฏตัวด้านหลังคนสองคนที่หนีไปก่อนซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดสีดำสองจุดตรงขอบฟ้า


หลังจากเสียงกรีดร้องชวนขนลุกสองสายดังขึ้นไกลๆ จุดสีดำสองจุดก็ร่วงจากท้องฟ้า ระหว่างที่หล่นลงไปเบื้องล่างก็กร่อนสลายราวกับถูกละลายปลิวกระจายไปตามสายลม


ครู่ต่อมาทุกคนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีแสงสีดำสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บุรุษผู้สวมเสื้อคลุมต้าฉ่างสีดำผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นข้างกายชายผู้สวมชุดบัณฑิต


“เพลิงมารผลาญฟ้าของศิษย์พี่โจวกับศิษย์พี่ถูบรรลุถึงระดับสุดยอดแล้ว ดูท่าอีกไม่นานศิษย์พี่ทั้งสองท่านคงจะได้ลองทะลวงสู่ระดับดาราพยากรณ์” ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับร่างเตี้ยคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ยประจบ


“วาจาไร้ประโยชน์ไม่ต้องพูด ตอนนี้กำจัดคนนอกหมดสิ้นแล้ว ต่อจากนี้พวกเราจะทำตามที่วางแผนไว้ พวกเราสองคนแต่ละคนจะนำศิษย์สี่คน หลงเซวียนเจ้านำสี่คนที่เหลือ หนึ่งปีให้หลังมารวมตัวกันที่นี่” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตมองบุรุษร่างเตี้ยด้วยสายตาเย็นชาจากนั้นอ้าปากเอ่ยขึ้น


หนึ่งเค่อให้หลัง ผู้คนของนิกายปีศาจลี้ลับพลันกลายเป็นเมฆดำสามแถบมุ่งเร็วรี่ไปยังสามทิศทางที่แตกต่างกัน


……


บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายลมพัดหอบทรายสีดำขึ้นมาเต็มท้องฟ้าแห่งหนึ่ง ลำแสงหลายสิบสายพาดผ่านท้องฟ้าไป ในลำแสงคือบัณฑิตที่สวมชุดบัณฑิตสีขาวยี่สิบกว่าคน พวกเขาก็คือศิษย์ของสำนักเฮ่าหรานหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่จากแผ่นดินจงเทียนนั่นเอง


เนินทรายสูงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งเบื้องหน้าฉับพลันระเบิดออก เมฆดำมากมายแถบหนึ่งบินออกมาจากด้านใน กลางเมฆดำคือปลวกสีดำนับไม่ถ้วนส่งเสียงดังหึ่งๆ ชวนให้คนขนหัวลุก บินโถมเข้ามาหาคนของสำนักเฮ่าหราน


ศิษย์ทั้งหลายของสำนักเฮ่าหรานแรกสุดตกตะลึง ขบวนที่เดิมทีเป็นระเบียบฉับพลันวุ่นวายเล็กน้อย


แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์ของสำนักชื่อดังจึงปรับขบวนกลับมาเรียบร้อยได้เร็วอย่างยิ่ง พวกเขาส่งเสียงตะโกนเสียงดัง จากนั้นแสงรัศมีหลากสีสันก็พุ่งเร็วรี่เข้ารบดุเดือดกับปลวกสีดำทันที


……


ใกล้กับยอดเขาสูงชันที่รอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวขมุกขมัวแห่งหนึ่ง ฉับพลันไอหมอกก็ปั่นป่วนรุนแรง


เสียง “กึกๆ” ดังเอะอะออกมา!


ครู่ต่อมาหุ่นมนุษย์สูงใหญ่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าเจ็ดแปดตัวก็ก้าวยาววิ่งออกมาจากกลางหมอกสีขาว แต่ละก้าวก้าวออกไปสิบกว่าจั้ง หนีไปไกลอย่างเร็วไว


วิ้ง วิ้ง วิ้ง!


ท่ามกลางหมอกสีขาวเสียงวิ้งประหลาดดังออกมาอีกระลอก หลังจากนั้นผีเสื้อกลางคืนยักษ์มากมายฝูงใหญ่ก็บินออกมาจากด้านใน แต่ละตัวขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ร่างกายสีเหมือนผลึกน้ำแข็ง แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกเสียดกระดูกออกมา


ทันใดนั้นผีเสื้อกลางคืนสิบกว่าตัวด้านหน้าสุดก็พ่นลมหายใจเย็นเยียบสายแล้วสายเล่าออกมากะทันหัน แผ่นหลังของหุ่นหลายตัวสัมผัสถูกลมหายใจก็จับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือกชั้นหนึ่ง


หลังผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้พ่นลมหายใจออกมา ความเร็วก็เชื่องช้าลงถูกผีเสื้อกลางคืนด้านหลังแซงผ่านไป


เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง หนึ่งในสามส่วนบนแผ่นหลังของหุ่นมนุษย์เจ็ดแปดตัวนี้ก็ถูกน้ำแข็งปกคลุมเป็นชั้น


ยังดีที่หุ่นมนุษย์มีขนาดตัวใหญ่ จุดที่น้ำแข็งเย็นปกคลุมจึงไม่ส่งผลกับการเคลื่อนไหว เมื่อหุ่นมนุษย์เหล่านี้วิ่งเร็วขึ้น ก็ค่อยๆ สลัดผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งไว้ด้านหลังร่าง


หลังจากผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งไล่ตามมาพักหนึ่งก็เห็นหุ่นค่อยๆ หายลับไปจากสายตา พวกมันจึงบินวนกลางท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศบินกลับไปในไอหมอกสีขาวของยอดเขา


หุ่นมนุษย์เหล่านี้หนีออกมาได้หลายสิบลี้ถึงหยุดอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง


จากนั้นเงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งและอีกร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากศีรษะหุ่น ด้านในหุ่นแต่ละตัวล้วนซ่อนคนไว้สามถึงสี่คน


ครู่เดียวที่แห่งนั้นก็มีคนเพิ่มขึ้นมายี่สิบกว่าคน คนส่วนใหญ่ในกลุ่มสวมเสื้อตัวสั้นเปลือยแขนสีเหลือง เห็นชัดว่าเป็นศิษย์นิกายเทียนกง


ในเวลาเดียวกันหลังจากด้านในหุ่นมนุษย์เจ็ดแปดตัวส่งเสียงดังกึกๆ พวกมันก็ทยอยกลายเป็นลูกกลมลูกแล้วลูกเล่า แล้วถูกศิษย์หลายคนเก็บไป


เวลานี้บนร่างคนส่วนใหญ่ล้วนมีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้าง แต่เหมือนจะเป็นแค่บาดแผลภายนอก พวกเขาอ้าปากกว้างหอบหายใจ


บังเอิญว่าสถานที่ซึ่งพวกเขาเคลื่อนย้ายเข้ามาในเศษซากของโลกบนอยู่ใกล้กับปีศาจอสูรผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งระดับผลึกฝูงหนึ่ง


การเคลื่อนไหวใหญ่โตของการเคลื่อนย้ายล่อผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้เข้ามา หากไม่ใช่เพราะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนที่เป็นผู้นำกลุ่มต้านไว้พักหนึ่ง เกรงว่าศิษย์นิกายเทียนกงเหล่านี้คงถูกปีศาจอสูรผีเสื้อกลางคืนสังหารเสียสิ้นระหว่างที่หมดสติอยู่ไปแล้ว


“ศิษย์น้องทุกคน แม้โชคของพวกเราไม่นับว่าดีนัก แต่อย่างไรก็ยังไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ยังนับว่าโชคดีในโชคไม่ดี” บุรุษหัวล้านคนหนึ่งลูบศีรษะแล้วเอ่ยเสียงดัง


“ไม่ผิด พวกเรายังต้องอยู่ในเศษซากของโลกบนอีกนาน หาสถานที่สักแห่งพักรักษาตัวสักหน่อยแล้วค่อยๆ สำรวจที่แห่งนี้เถอะ” ผู้ที่พูดคือชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมรูปร่างกำยำคนหนึ่ง


ทั้งสองคนล้วนพลังระดับแก่นแท้แล้วก็เป็นผู้นำคณะเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้ของนิกายเทียนกงด้วย


ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นได้ยินล้วนฮึกเหิม ท่ามกลางกลุ่มคนเยี่ยโจ่งชายหนุ่มรถเงินก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่กลับไม่เห็นเงาของเผิงเยวี่ย


……


บนที่ราบระหว่างหุบเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่ง แสงจิตวิญญาณส่องสว่างเหนือท้องนภารอบด้าน เสียงพลังเวทรุนแรงปะทะกันดังขึ้นไม่ขาดหู


สองฝั่งที่ต่อสู้กันอยู่ ฝั่งหนึ่งคือปีศาจอสูรหมาป่าสีน้ำเงินร่างยักษ์ขนาดยี่สิบกว่าจั้งสองตัว ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่สวมชุดสีเขียวกลุ่มหนึ่ง ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นผู้ฝึกฝนที่มาจากหุบเขาปีศาจสวรรค์


หลังร่างปีศาจอสูรหมาป่าสีน้ำเงินขนาดยักษ์สองตัวคือถ้ำขนาดยักษ์สูงถึงสามสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง ลึกเข้าไปในถ้ำภูเขาคล้ายมีแสงสีแดงเลือนราง กลิ่นหอมหวานชวนให้คนลุ่มหลงสายแล้วสายเล่าลอยล่องออกมาเป็นระลอก


……


พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย ศิษย์ของกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนที่มีความสามารถพอจะเข้ามาในเศษซากของโลกบนต่างก็ทยอยเข้ามาด้านใน แล้วเริ่มต้นการเดินทางค้นหาสมบัติของแต่ละกลุ่ม


คณะเดินทางนิกายยอดบริสุทธิ์ของหลิ่วหมิง หลังออกมาจากทะเลทรายเวิ้งว้างผืนนั้นตอนตั้งต้น หน้าตาภูมิประเทศเบื้องหน้าก็ค่อยๆ กลายเป็นเขตเนินเขา พื้นดินเริ่มมีพืชพันธุ์สีเขียวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น เพิ่มกลิ่นอายชีวิตให้แก่ดินแดนอันรกร้างแห่งนี้ขึ้นมาบ้าง


นอกจากพี่น้องโอวหยางที่ยังคงอยู่ในกลุ่มของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนจากนิกายอื่นอีกสามคนที่เหลือไม่รู้ออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไร


“รอประเดี๋ยว!” จินเทียนชื่อที่บินอยู่ด้านหน้าสุดฉับพลันสะบัดแขนเสื้อแล้วหยุดการเคลื่อนที่


ผู้คนด้านหลังเห็นเช่นนี้ก็พากันหยุดลำแสง


“ศิษย์พี่จิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ฉิวหลงจื่อที่เดิมทีอยู่ท้ายขบวนขมวดคิ้วเข้ม ทะยานร่างเหาะเข้ามาพลางเฝ้าระวังสภาพรอบด้าน แล้วเอ่ยถามขึ้นเช่นนี้


“ศิษย์น้องฉิวอย่าเพิ่งตระหนก ไม่ใช่ศัตรูลอบโจมตี แต่ท้องฟ้าไกลออกไปทางทิศตะวันตกเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเล็กน้อย ข้าสัมผัสได้เลือนรางว่าคลื่นปราณจิตวิญญาณด้านนั้นผิดปกติ” จินเทียนชื่อหมุนตัวหันหน้าไปทางตะวันตกแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงพากันหันศีรษะมองไปยังขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ที่ตรงนั้นม่านนภามืดสลัวทอดตัวลงมาแต่ไม่มีสิ่งผิดปกติอย่างใด


ในดวงตาของฉิวหลงจื่อมีแสงสีทองฉายสว่าง ทันใดนั้นแสงสีทองยาวหนึ่งฉื่อกว่าสองสายก็โผล่ออกมา เขากวาดสายตามองไปด้านหน้า ชั่วครู่ให้หลังจึงส่ายศีรษะเพราะมองไม่เห็นสิ่งใด


“ที่นั่นห่างจากที่นี่ไกลนัก เกรงว่าจะห่างเกินพันลี้ ข้าก็ใช้วิชาเพ่งปราณถึงสัมผัสสภาพผิดปกติได้เลือนราง น่าจะเป็นสัญญาณการปรากฏตัวของสมบัติพิเศษ” จินเทียนชื่อเห็นสีหน้าของทุกคนก็ยิ้มบางๆ


“สมบัติพิเศษ!” ทุกคนที่นั่นได้ยินคำนี้ ในใจล้วนฮึกเหิมขึ้นมา


“หากทุกท่านเชื่อมั่นในสายตาของข้า ไม่สู้ไปที่นั่นสำรวจดูสักหน บางทีอาจมีลาภก้อนใหญ่” สายตาของจินเทียนชื่อกวาดผ่านทุกคนไป


“ในเมื่อศิษย์พี่เอ่ยเช่นนี้ ไปดูสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างไรตอนนี้เดินทางไปที่ไหนก็ล้วนเหมือนกัน” ฉิวหลงจื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบ


คนอื่นๆ เห็นหัวหน้าทั้งสองคนเอ่ยเช่นนี้ย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด ทุกคนเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางเหาะไปทางตะวันตกทันที


หลิ่วหมิงเหาะอยู่ท่ามกลางหมู่คน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนพลังเวทใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณช้าๆ ในดวงตาเกิดประกายแสงสีหม่นวูบหนึ่ง


ชั่วครู่ให้หลังลูกตาของเขาก็จับภาพแสงเรืองรองสีน้ำเงินสายเล็กๆ สีสันอ่อนจางอย่างที่สุดกลางท้องนภาทิศตะวันตกซึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆจนแทบแยกไม่ออกได้ ในใจพลันยินดีทันที


“มีอะไร พี่หลิ่วเห็นสิ่งผิดปกติอันใดหรือ?” โอวหยางเชี่ยนที่อยู่ข้างกายหลิ่วหมิงตลอด สังเกตเห็นวิชาของเขาในทันใด จึงอดไม่อยู่อ้าปากเอ่ยถามออกมา

 

 

 


ตอนที่ 901 ศิลารวมจิตวิญญาณ

 

“ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกว่ายิ่งมุ่งไปทางทิศตะวันตก พลังปราณแห่งฟ้าดินก็เหมือนจะยิ่งเข้มข้นขึ้นจึงประหลาดใจอยู่บ้างเท่านั้น” หลิ่วหมิงประหลาดใจกับประสาทสัมผัสอันเฉียบไวของโอวหยางเชี่ยนอย่างมาก แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีเรื่องอันใด


โอวหยางเชี่ยนมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ แล้วไม่ได้จี้ถามต่อ


ลำแสงของทุกคนเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปไม่นานก็เหาะผ่านระยะทางหลายร้อยลี้


เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ ทุกคนล้วนสัมผัสคลื่นพลังปราณประหลาดเบื้องหน้าได้ค่อนข้างชัดเจน บนท้องฟ้าเหมือนจะมีวังวนพลังปราณขนาดมโหฬารลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนหมุนอยู่อย่างเชื่องช้า


“จิตสัมผัสของศิษย์พี่จินแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียว นับถือๆ !” ฉิวหลงจื่อมองจินเทียนชื่ออย่างนับถือ และเอ่ยชมจากใจ


“ศิษย์น้องฉิวชมเกินไปแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะคล้ายไม่ใส่ใจ


สภาพประหลาดที่ชวนให้ตกใจเช่นนี้ทำให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหลายมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นในหัวใจ พวกเขาต่างทยอยกระตุ้นเคล็ดวิชาเร่งความเร็วการเหาะ อยากรีบไปถึงที่หมายในอึดใจ


หลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาจากขอบฟ้าไกล ในดวงตาฉายแววประหลาดใจอย่างยิ่ง


พลังจิตสัมผัสของเขาแข็งแกร่งมากจึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านเข้มข้นขึ้นทุกที นอกจากนี้ยังมีทีท่าว่าจะรวมตัวไปทางวังวนลูกนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปด้วย


“หรือว่าจะมีสมบัติพิเศษอันใดปรากฏขึ้นมาจริงๆ ?” สายตาของเขาเหลือบมองแผ่นหลังของจินเทียนชื่อแล้วเผยสีหน้าราวกับคิดอะไรบางอย่าง


เกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ในที่สุดพวกหลิ่วหมิงก็เดินทางมาถึงจุดที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดซึ่งจินเทียนชื่อชี้บอก ที่แห่งนี้เป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเขาสามด้านแห่งหนึ่ง


หุบเขาไม่ใหญ่ ในหุบเขามีหินวางกองระเกะระกะล้อมค่ายกลที่แลดูโบราณอย่างที่สุดขนาดไม่กี่สิบจั้งค่ายกลหนึ่งอยู่


สิ่งที่แปลกก็คือทั้งค่ายกลมองไม่เห็นลวดลายค่ายกลสักตัว แต่มีหินจิตวิญญาณขนาดเท่ากำปั้นสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนฝังอยู่ในค่ายกลจนเกิดเป็นลวดลายสายแล้วสายเล่า


เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ พวกเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านก่อตัวเป็นรูปทรงกรวยไหลเข้าไปในค่ายกล ทุกหนทุกแห่งในหุบเขาเต็มไปด้วยไอหมอกที่เหมือนควันขาว นี่คือพลังปราณแห่งฟ้าดินที่กำลังจับตัวกัน


“นี่น่าจะเป็นค่ายกลรวมจิตวิญญาณ!”


ฉิวหลงจื่อร่อนลงในหุบเขาก่อนเป็นคนแรก สายตาคมกริบพินิจจำแนกชนิดค่ายกลโบราณแล้วเอ่ยพึมพำออกมา


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าร่อนลงมาอย่างอดใจรอไม่ไหวด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาพากันเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา


“ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้มข้นนัก!”


พลังปราณแห่งฟ้าดินในหุบเขาเข้มข้นจนน่าตะลึง มันแทบจะมากเป็นสิบเท่าของที่อื่นในเศษซากของโลกบน จมูกกับปากสูดหายใจก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังปราณบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างทำให้คนรู้สึกสบายจนราวกับว่ากระดูกเบาหวิว


ในดวงตาของฉิวหลงจื่อฉายแววยินดี นิกายยอดบริสุทธิ์มีดินแดนจิตวิญญาณขนาดเล็กแห่งหนึ่งเป็นแดนลึกลับที่นิกายเสียทรัพยากรนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นมา พลังปราณแห่งฟ้าดินด้านในเข้มข้นอย่างที่สุด เป็นสถานที่ฝึกฝนซึ่งมีไว้ให้ศิษย์ลับเลื่อนระดับ


แต่เมื่อเทียบกับที่แห่งนี้ ความเข้มข้นของพลังปราณในแดนจิตวิญญาณน้อยกลับเบาบางกว่าไม่รู้เท่าไร


“เอ๋ นี่มันศิลารวมจิตวิญญาณ! มิน่าค่ายกลรวมจิตวิญญาณนี่จึงรวบรวมพลังปราณมาได้มากมายเช่นนี้!” จินเทียนชื่อเหาะวนอยู่บนท้องฟ้าพักหนึ่งก็ร่อนลงมา ดวงเปล่งประกายมองหินจิตวิญญาณสีน้ำเงินในค่ายกลไม่หยุด ปากก็อุทานขึ้นมาแผ่วเบา


“ศิลารวมจิตวิญญาณ! พี่จิน หินจิตวิญญาณสีน้ำเงินเหล่านี้คือศิลารวมจิตวิญญาณจริงหรือ?” ฉิวหลงจื่อได้ยินคำพูดของจินเทียนชื่อก็เบิกตาโตทันที เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รอบด้านได้ยินคำพูดของทั้งสอง คนส่วนใหญ่ต่างก็ทำหน้ามึนงง มีเพียงศิษย์ส่วนน้อยไม่กี่คนที่รอบรู้กว้างขวาง บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา


“ท่านพี่ ศิลารวมจิตวิญญาณคือสิ่งใด?” โอวหยางฉินแอบถามโอวหยางเชี่ยนที่อยู่ด้านข้าง


แววตายินดีในดวงตาโอวหยางเชี่ยนลดหายลงไปเล็กน้อย ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย เสียงของจินเทียนชื่อก็ลอยมา


“ศิลารวมจิตวิญญาณคือหินจิตวิญญาณที่พิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่งบนโลก มันถือกำเนิดลึกลงไปใต้ชีพจรจิตวิญญาณที่พลังปราณเปี่ยมล้น เล่าลือกันว่าหลายพันปีถึงจะเกิดขึ้นมาขนาดก้อนเท่าเล็บมือ หินจิตวิญญาณชนิดนี้ดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านแล้วเก็บรักษาไว้ได้เรื่อยๆ ยามต้องการก็ปลดปล่อยออกมา หลังจากใช้พลังปราณแห่งฟ้าดินในศิลารวมจิตวิญญาณจนหมด มันก็ยังดูดซับพลังมาเก็บสะสมเองได้ต่อ จากนั้นก็ใช้ซ้ำได้ ไม่เหมือนหินจิตวิญญาณทั่วไปที่ใช้พลังจิตวิญญาณหมดสิ้นก็จะผุพัง สำหรับผู้ฝึกฝนแล้วศิลารวมจิตวิญญาณเป็นทรัพยากรการฝึกฝนอันล้ำค่าที่หาได้ไม่มากชนิดหนึ่ง”


จินเทียนชื่อเอ่ยจบ บนใบหน้าของทุกคนก็ปรากฏสีหน้าตื่นเต้นยินดีในทันใด


คนที่อยู่ที่นี่แต่ละคนได้รับเลือกจากอาจารย์และผู้อาวุโสให้เข้ามาในเศษซากของโลกบน พวกเขาไม่มีคนไหนเป็นคนโง่ เมื่อได้ฟังคำพูดของจินเทียนชื่อย่อมเข้าใจมูลค่าของศิลารวมจิตวิญญาณ


“มีหินจิตวิญญาณเช่นนี้ด้วย น่าเหลือเชื่อจริงๆ!” บนใบหน้าโอวหยางฉินปรากฏสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย


ในเวลานี้เอง เงาคนผู้หนึ่งก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าร่อนลงเบื้องหน้าพี่น้องโอวหยาง หลิ่วหมิงนั่นเอง แต่ในดวงตาเขากลับไม่มีแววตาตื่นเต้นยินดีสักเท่าไร เขาเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ


“ในยุคโบราณ ศิลารวมจิตวิญญาณกับหินจิตวิญญาณระดับสุดยอดถูกขนานนามคู่กันว่าเป็นสองหินจิตวิญญาณชั้นยอด มีประโยชน์มหัศจรรย์ที่ไม่อาจบอกกล่าวเป็นคำพูดได้ นอกจากศิลารวมจิตวิญญาณจะดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินได้เองแล้ว ยามใช้วางค่ายกลก็มีส่วนช่วยเกื้อหนุนค่ายกลอย่างยิ่ง ไม่เพียงคงสภาพค่ายกลให้ทำงานได้เป็นระยะเวลานาน ยังทำให้พลังจิตวิญญาณด้านในสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นค่ายกลรวมจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ เมื่อเข้าไปอยู่ด้านในยังมีประโยชน์กับการทะลวงคอขวดระดับพลังอีกด้วย”


คนอื่นได้ยินคำนี้ย่อมยินดีอีกครั้ง


“พี่หลิ่วรอบรู้กว้างขวางจริงๆ จะว่าไปแล้วเมื่อครู่ท่านหยุดอยู่กลางท้องฟ้านานนัก พบจุดที่ผิดปกติอันใดหรือ?” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะเสียงหวานแล้วเอ่ยถาม


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรอีก


“ดูท่าค่ายกลรวมจิตวิญญาณแห่งนี้น่าจะเป็นค่ายกลที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ แตกต่างจากค่ายกลรวมจิตวิญญาณทั่วไปที่ใช้บนแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อสายตาทอประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ศิษย์พี่จิน อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่นเลย พลังปราณของที่แห่งนี้เข้มข้นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราหยุดอยู่ที่นี่สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ลองดูสิว่าจะอาศัยค่ายกลรวมจิตวิญญาณอันนี้ทะลวงคอขวดระดับพลังของแต่ละคนได้หรือไม่!” ศิษย์สายในระดับผลึกขั้นปลายคนหนึ่งกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยขึ้น ขณะที่มองจินเทียนชื่ออย่างคาดหวังอยู่บ้าง


คำพูดของคนผู้นี้ทำให้คนไม่น้อยคล้อยตามในทันที พลังปราณแห่งฟ้าดินด้านในค่ายกลก่อตัวจนเป็นหมอก สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนเช่นนี้ หากได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพลังอาจก้าวหน้าขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ


เทียบกับระดับพลังก้าวหน้า การไปค้นหาวัตถุดิบจิตวิญญาณและวัตถุจิตวิญญาณก็แลดูจะไม่เร่งรีบปานนั้น


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวเทียนเฉิง หลงเหยียนเฟยและเวินเจิงก็หวั่นไหวอย่างยิ่ง


“พวกเราไม่คุ้นเคยกับที่นี่ บนแผนที่ซึ่งนิกายให้มาก็ไม่ได้ระบุอะไรเกี่ยวกับที่นี่ไว้ หากบุ่มบ่ามหยุดอยู่ที่นี่…” จินเทียนชื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น


“สิ่งที่ศิษย์พี่จินกังวลมีเหตุผลทีเดียว ที่แห่งนี้ประหลาดอยู่บ้างอย่างแท้จริง โดยทั่วไปสถานที่ซึ่งมีปราณจิตวิญญาณเข้มข้นล้วนจะถูกปีศาจอสูรยึดครองเป็นอาณาเขต แต่ที่แห่งนี้เงียบสงบจนเกินไป เมื่อครู่ข้าสำรวจบริเวณโดยรอบเล็กน้อยแทบจะไม่เห็นร่องรอยสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ที่นี่เลย ผิดปกติเกินไปอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วหมิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า


“เรื่องนี้…” ทุกคนได้ฟังสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด พวกเขาเริ่มมองหน้ากัน


หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่ทุกคนยอมรับกันว่าพลังแข็งแกร่งที่สุดรองจากระดับแก่นแท้ทั้งสองคน คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาย่อมมีน้ำหนักแตกต่างจากผู้อื่น


“แม้ว่าที่แห่งนี้อาจมีปีศาจอสูรที่ร้ายกาจอยู่สักตัวสองตัว แต่พวกเราคนมากปานนี้ยังต้องกลัวอีกหรือ นอกจากนี้ความผิดปกติอะไรนี่ก็อาจเป็นสิ่งที่พี่หลิ่วจินตนาการไปเอง บางทีที่แห่งนี้อาจไม่มีอันตรายอันใดเลยก็ได้ พี่หลิ่วกังวลมากเกินไปแล้วกระมัง” หลัวเทียนเฉิงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งพลางเหล่มองหลิ่วหมิง แล้วเอ่ยแย้งขึ้นมา


ในใจหลัวเทียนเฉิงอยากฝึกฝนอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่งยิ่งนัก พลังของเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย


ด้วยคุณสมบัติพิเศษของร่างจิตวิญญาณตูเทียนการจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายไม่ได้ยากเย็นมากนัก อาศัยค่ายกลรวมจิตวิญญาณกับปราณจิตวิญญาณอันเข้มข้นอย่างที่สุดที่นี่ เขาก็มีโอกาสทะลวงข้ามระดับอยู่ไม่น้อย


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลัวเทียนเฉิง คนที่เดิมทีต้องการหยุดอยู่ที่นี่เหล่านั้นฉับพลันก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย


พวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝั่งในทันที ฝั่งหนึ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสทะลวงระดับอันหาได้ยากครั้งหนึ่ง คุ้มกับการเสี่ยงอันตรายเล็กๆ น้อยๆ อีกฝั่งหนึ่งย่อมเห็นด้วยกับความเห็นของหลิ่วหมิงและจินเทียนชื่อ คิดว่าควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นหลัก


หลัวเทียนเฉิงเห็นว่ามีหลายคนสนับสนุน ในใจก็ได้ใจอยู่บ้าง เขามองหลิ่วหมิงราวกับจะท้าทายแต่ไม่พูดอะไรอีก


หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สองตาพลันหรี่ลง ประกายคมกล้าสายหนึ่งฉายออกมา


เมื่อศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านข้างรับรู้ถึงสายตาของเขา ในใจล้วนหวาดผวา อดไม่ได้ถอยออกมาก้าวหนึ่ง


นับตั้งแต่หลิ่วหมิงเหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน เขาก็เข่นฆ่ามาตลอดไม่ได้หยุด วิชาที่ฝึกฝนก็ยังเป็นสายวิญญาณ กลิ่นอายความดุร้ายที่วนเวียนรอบร่างสั่งสมนานวันเข้าก็หนักหน่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีนี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายระดับแก่นแท้กับปีศาจอสูรอย่างต่อเนื่องไปไม่น้อย บรรยากาศรอบตัวจึงยิ่งเย็นยะเยือกน่าหวาดหวั่น เพียงเพ่งความคิด ปราณดุร้ายเย็นเยียบสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากร่างทันที


หลัวเทียนเฉิงสัมผัสได้ หัวใจพลันสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที


แต่อย่างไรเขาก็ครอบครองร่างจิตวิญญาณอันหายาก พลังไม่อ่อนแอ พลังเวทเคลื่อนวูบหนึ่งก็สงบจิตใจได้ เขาสบสายตากับหลิ่วหมิงโดยไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย ปราณเข้มข้นสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าระหว่างกลางทั้งสองคนทันที


“พอแล้ว ในเมื่อทุกคนทะเลาะกันไม่เลิก ไม่สู้ให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ทุกคนต่างถอยคนละก้าว หยุดอยู่ที่นี่สามวัน ถือเสียว่าพักผ่อนรักษาตัว สามวันให้หลังค่อยรื้อศิลารวมจิตวิญญาณในค่ายกลแล้วออกไปจากที่นี่ทันที ศิษย์พี่จินคิดอย่างไร?”


ฉิวหลงจื่อที่ใคร่ครวญมาตลอด ฉับพลันก็ขยับวูบหนึ่งมาโผล่ระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง เขาสลายปราณประหลาดทั้งหมดจนกระจายแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา


“เอาตามที่ศิษย์น้องฉิวว่าแล้วกัน ระหว่างที่พวกเจ้าฝึกฝน ข้ากับศิษย์น้องฉิวสองคนจะคอยเฝ้าไว้ ผลัดเวรยามกันทุกหกชั่วยาม” จินเทียนชื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเล็กน้อย


ในเมื่อผู้นำขบวนเอ่ยปากแล้ว แม้หลิ่วหมิงจะคิ้วขมวดแน่นและยังมีคนไม่ยินยอมนัก แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป


จากนั้นทุกคนก็ทยอยเข้าไปในค่ายกล ต่างคนหาที่ว่างนั่งขัดสมาธิ เร่งรีบเข้าสู่สภาวะฝึกฝน พี่น้องโอวหยางก็ย่อมนั่งอยู่ในค่ายกลด้วย


หลิ่วหมิงกลับไม่ขยับ เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณพลางสำรวจหุบเขารอบด้านไม่หยุด ราวกับกำลังค้นหาอะไรอยู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)