เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 8-9
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 8 ดำน้ำ (สอง)
ในบ้านครึกครื้นกันเป็นเวลาสามวันเต็มๆ ไม่มีแขกที่มาจากข้างนอก ถูกรายล้อมไปด้วยคนในครอบครัว ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย นอนหลับตื่นอีกทีก็ตอนเที่ยง ในห้องเงียบสงบ มีเพียงน่ารื่อมู่ที่นั่งฝึกฝนการเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างปล่องไฟ มือที่จับแส้ต้อนแกะจนเคยชิน ยังไงก็รับมือกับเข็มเล็กๆ เล่มนั้นไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยใช้มือเท้าคาง มองดูน่ารื่อมู่ปักผ้า บนสะดึงมีลูกแกะหนึ่งตัว ตัวอ้วนๆ ตาโตๆ แค่มองดูก็ชื่นชอบ น่ารื่อมู่ปักไปได้ไม่กี่ที นางก็มักจะขมวดคิ้วและแกะมันออก ท่าท่างหน้าบึ้งตึงช่างดูไร้เดียงสา
เอามือไปวางไว้บนท้องที่ป่องออกมาของน่ารื่อมู่ ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยกำลังดิ้นอยู่ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้ว น่ารื่อมู่ก็วางผ้าปักในมือลง จับมืออวิ๋นเยี่ยมาลูบที่ท้องของตัวเองไปรอบๆ
“ท่านพี่ พี่ซินเย่วบอกว่าอีกสิบกว่าวัน เด็กคนนี้ก็จะคลอดแล้ว เจ้าชอบเขาหรือไม่?” น่ารื่อมู่มองไปยังดวงตาของอวิ๋นเยี่ย ถามอย่างจริงจัง
“ชอบแน่นอน เขาคือลูกของข้า ข้าจะไม่ชอบได้เช่นไร ไม่ใช่แค่ข้าที่ชอบ แต่ท่านย่าก็จะชอบ ป้าๆ น้าอาก็ชอบ พวกน้องๆ ก็ชอบ ซินเย่วก็ชอบเหมือนกัน”
“ท่านพี่ เด็กคนนี้คลอดออกมาแล้วให้ข้ากับเขากลับไปฉ่าวหยวนได้หรือไม่ ข้าไม่ได้เห็นทุ่งหญ้ามานานมากแล้ว คิดถึงวัว แกะ หญ้าสีเขียวพวกนั้นเหลือเกิน ข้าชอบรีดนมม้า และก็ชอบรีดนมแกะ รีดนมแกะไม่ใช่เรื่องง่าย พวกมันชอบวิ่งหนีไปทั่ว แล้วข้าก็ยังชอบนั่งชงชามนมอยู่ในเต็นท์หลังใหญ่ มองดูพวกผู้ชายที่อยู่นอกเต็นท์ทอสักหลาด ส่งเสียงร้องตะโกน…”
น่ารื่อมู่เป็นคนของฉ่าวหยวน ให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่จงหยวนนางอาจจะตายได้ หนึ่งปีที่ผ่านมาสำหรับนางมันคงเป็นเรื่องที่ทรมาน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าการที่ตัวเองหายตัวไปและนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ น่ารื่อมู่พยายามระงับความปรารถนาของตัวเองที่มีต่อฉ่าวหยวน ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลับมาแล้ว ความปรารถนานี้ราวกับม้าป่าที่สูญเสียการควบคุม ควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เจ้าชอบฉ่าวหยวน ข้าก็ชอบฉ่าวหยวนเหมือนกัน ข้าชอบท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว และทุ่งเลี้ยงสัตว์ของที่นั่น น่ารื่อมู่อย่าได้ลำบากใจ หากเจ้าชอบฉ่าวหยวน เจ้าก็กลับไปเถิด เจ้าคือดอกเก๋อซังของฉ่าวหยวน การได้เบิกบานอย่างอิสระในทุ่งหญ้าคือชีวิตของเจ้า อย่าฝืนใจตัวเอง น่ารื่อมู่ที่มีความสุข สนุกสนาน ถึงจะเป็นน่ารื่อมู่ของข้า ไม่ต้องฝึกฝนเย็บปักถักร้อยอะไรพวกนี้ เจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะที่มีฝีมือ ทำไมต้องไปทำในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบทำ หากเจ้าชอบงานเย็บปักถักร้อยพวกนั้น ก็บอกให้ผู้หญิงในหมู่บ้านช่วยเย็บให้เจ้า เย็บให้เยอะๆ อยากได้แบบไหนก็ให้พวกนางเย็บให้เจ้า เจ้าเลือกแบบที่เจ้าต้องการ อันที่ไม่ชอบก็เอาไปเป็นของขวัญให้กับพี่น้องของเจ้าที่ฉ่าวหยวน พวกนางคงจะชอบมากเป็นแน่”
ดวงตาของน่ารื่อมู่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จับที่หน้าของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ท่านพี่ จะต้องเอาอันดีๆ มอบให้คนอื่น อันไม่ดีเหลือไว้ให้ตัวเอง นี่คือกฎของฉ่าวหยวน เมื่อมีแขกมา จะต้องเอาชีสที่ดีที่สุด เนื้อแกะที่อ้วนที่สุดให้แขกกินอิ่มก่อน เจ้าของถึงจะกินได้ นี่คือกฎของฉ่าวหยวน ท่านพี่ของข้า เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ”
น่ารื่อมู่ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับว่านางกำลังจะกระโดด อวิ๋นเยี่ยรีบดึงนางไว้ มีความสุขจนลืมท้องที่กำลังป่องของตัวเองไปหมดแล้ว ผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้
“รอให้เจ้าคลอดลูกเสร็จ ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นในปีหน้าเจ้าค่อยกลับไป มิเช่นนั้นลูกยังเล็กเกินไป เดินทางกลับอันตรายเกินไป ลูกของเราต้องได้รับวัคซีนชนิดหนึ่งก่อนถึงจะพาออกไปได้ เจ้าก็ต้องได้รับเช่นกัน อีกไม่นานมันก็จะสำเร็จแล้ว สิ่งนี้สำคัญมาก มีของสิ่งนี้ ปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในฉ่าวหยวนก็จะพากันหลบหนีเขา ให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข”
“นั่นมันคือะไร คาถาเหรอ? ต้าซ่าหม่านของฉ่าวหยวนก็สวดมนต์ เต้นรำเป็น เต้นรำสวยงามเป็นอย่างมาก ข้าจะเชิญซ่าหม่านที่ฉลาดที่สุดมาให้ลูกของเรา เชิญมาสิบคน ไม่สิ ยี่สิบคน ให้พวกเขาเต้นรำรอบลูกของเราสักสามวันสามคืน ขับไล่ภูตผีปีศาจออกไปให้หมด”
อวิ๋นเยี่ยม้วนแขนเสื้อของตัวเองขึ้น ให้น่ารื่อมู่เห็นที่ไหล่ของเขา ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นจางๆ สามแผล น่ารื่อมู่ถามด้วยความงงงวยว่า “นี่คืออะไร แผลตอนเด็กของเจ้าเหรอ?”
“ไม่ใช่ นี่คือมาตรการการป้องกันอย่างหนึ่ง คือการป้องกันโรคร้าย ตอนเด็กๆ ข้าถูกท่านอาจารย์ฉีดของสิ่งนี้เข้าในร่างกายนับไม่ถ้วน เพราะเช่นนี้ ข้าถึงข้ามป่าข้ามเขาได้ด้วยตัวเอง เผชิญหน้ากับทุกบททดสอบแต่ก็ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย แต่น่าเสียดาย ที่ท่านพี่ของเจ้าไม่มีความสามารถ ให้ลูกๆ ฉีดได้แค่อย่างเดียว เชื่อข้า น่ารื่อมู่ มันสำคัญมาก ลูกของตระกูลอวิ๋นจะต้องได้ฉีดกันทุกคน”
เห็นคำอธิบายที่เคร่งขรึมของอวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเชื่อใจท่านพี่ ท่านพี่บอกว่ามันสำคัญมาก ก็แสดงว่าสำคัญมากจริงๆ
“ท่านพี่ ข้า น่ารื่อมู่จะต้องคลอดลูกชายที่แข็งแรงให้เจ้าได้อย่างแน่นอน เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษของฉ่าวหยวน เขาจะต้องสูงกว่านกอินทรี มีพละกำลังมากกว่าวัว ฉลาดมากกว่าซ่าหม่าน และยังต้องเป็นชายรูปงามอีกด้วย”
อวิ๋นเยี่ยตลกในความซื่อบื้อของน่ารื่อมู่จนหัวเราะเสียงดัง เปลือยท่อนบนลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ได้ๆ เราจะต้องมีลูกที่แข็งแรงแน่นอน อนาคตจะได้ปกป้องพี่ชาย น้องชาย น้องสาวและน่ารื่อมู่ของเขา”
“เขาจะต้องปกป้องเจ้าแน่นอน ไม่ให้ใครมาลักพาตัวเจ้าได้อีก”
“ได้ๆๆ ปกป้องคนที่ไม่มีความสามารถอย่างข้าด้วย ฮ่าๆๆ”
น่ารื่อมู่อาจจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป เอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย ทั้งสองคนพากันหัวเราะอย่างมีความสุข จนรู้สึกว่าการที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว
บนโลกใบนี้ไม่เคยขาดแคลนยัยแม่มด พึ่งจะมีความสุขได้ไม่นาน หัวของซินเย่วก็โผล่เข้ามา เห็นทั้งสองหยอกล้อกันอย่างชั่วร้าย นางก็ก้าวเข้ามาทันที
“เฮ้ๆ ยังท้องป่องอยู่เลย เล่นกันเช่นนี้ไม่ได้ น่ารื่อมู่ เจ้าเองก็ไม่ระวัง ลูกเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เจ้านอนหลับมาตั้งสามวันแล้ว ควรออกไปเดินเล่นข้างนอกได้แล้ว เหล่ากั๋วกงสองสามคน คนในสำนักศึกษาก็ควรออกไปดูบ้าง ข้าเตรียมของขวัญไว้ทั้งหมดแล้ว รถม้าก็พร้อมแล้ว ออกไปบ้านท่านลุงฉินตอนนี้ยังไปทันกินอาหารเที่ยง ถือโอกาสไปจัดการเรื่องงานแต่งงานของรุ่นเหนียง โตเป็นสาวแล้ว หากยังไม่รีบแต่งงาน จะถูกซุบซิบนินทาเอาได้”
ซินเย่วดึงที่หูของน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็โมโห ผลักผู้หญิงขวางโลกสองคนนี้ออกไปอีกทาง ตบก้นของนางสองทีตามเดิม แล้วก็จับไปทั่วร่างกายของนาง น่ารื่อมู่ก็ถือโอกาสบิดสักสองที ซินเย่วค่อนข้างอ่อนไหว ถูกอวิ๋นเยี่ยแกล้งไม่ได้ พอถูกแกล้งนางก็จะตัวสั่นทันที ตอนนี้ก็หน้าแดงนอนอยู่ตรงปล่องไฟ
แต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว พยุงน่ารื่อมู่เดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้ยัยแม่มดอารมณ์เสียอยู่คนเดียวในห้อง
รู้จักนิสัยของท่านโหวเป็นอย่างดี คนรับใช้ได้เตรียมน้ำเย็นใส่อ่างไว้ให้ท่านโหวอยู่ก่อนแล้ว ให้ท่านโหวล้างหน้า อากาศร้อนๆ เอาหน้ามุดลงไปในน้ำเย็น ช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ซินเย่วมักจะมีท่าทางภรรยาและแม่ที่ดีเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรับใช้ ถือผ้าขนหนูปักลายออกมาให้อวิ๋นเยี่ย เช็ดหน้าให้เขา อีกมือหนึ่งถือโอกาสบิดที่เอวของเขาสองสามที บิดแรงมาก
ออกไปพร้อมกับเหล่าเฉียน ในรถม้าสี่คันไม่มีอะไรมาก ก็แค่เนื้อปลาวาฬชิ้นใหญ่ๆ ล้วนแต่รมควันจากกิ่งสนเรียบร้อยแล้ว นอกจากกลิ่นคาวเล็กน้อยก็ไม่ต่างอะไรจากเนื้อเบคอน
ที่บ้านของตระกูลเฉิง ท่านป้าเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ร้องไห้ไม่หยุด ชี้ด่าพวกขุนนางในเมืองหลวง และยังบอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเฉิงเหย่าจิน เฉิงฉู่มั่วกลับมาด้วย บอกว่าคนพวกนั้นคงอยากจะเห็นลุงเฉิงสองพ่อลูกกลับมาไม่ได้พวกเขาถึงจะพอใจ
ตอนนี้ท่านลุงเฉิงได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เฉิงฉู่มั่วก็ได้ทำความดีความชอบให้กับหลี่จี ชนเผ่าเกาชังก็ถูกกองทัพทหารกวาดล้าง ตอนนี้กำลังเดินทัพไปยังแคว้นเซวียเหยียนถัว แต่พวกถู่อวี้หุนไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้งที่ได้ทำการตกลงกับต้าถังว่าจะไม่บุกรุกซึ่งกันและกัน แล้วยังเป็นความสำเร็จของความพยายามแนวหน้าของหลี่จิ้ง ตอนนี้ยังคงเป็นความลับ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้ แต่กองทัพทหารหนึ่งแสนหกหมื่นนายเป็นทหารของกวนจงทั้งหมด รวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อย กำลังออกเดินทาง เซวียเหยียนถัวและเก้าสกุลแห่งเจาอู่ล้วนแต่กำลังจะถูกกระแสน้ำที่ใหญ่โตมหาศาลนี้ชำระล้างให้กลายเป็นฝุ่นของประวัติศาสตร์
เพื่อสร้างความสบายใจให้กับท่านป้าที่กำลังหวาดผวา เขาจงใจมาที่โต๊ะแบบจำลองทรายของตระกูลเฉิง ปักธงเล็กๆ สองสามอัน อธิบายสถานการณ์ทางตะวันตก เช่นนี้ถึงได้ทำให้ท่านป้าหยุดร้องไห้แล้วยิ้มออกมา
คิดไม่ถึงว่าหนิวเจี้ยนหู่จะไว้หนวดเคราสั้นๆ หนวดสั้นๆ ของเขาทำให้อวิ๋นเยี่ยอยากจะหัวเราะ หยิบจี้หยกออกจากแขนเสื้อ เอาแขวนไว้ที่คอของเสี่ยวหนิวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เด็กน้อยเพิ่งมีฟันงอกออกมาสองซี่ น้ำลายไหลเต็มคาง แล้วยังหยิบจี้หยกที่อวิ๋นเยี่ยเอาให้ยัดเข้าปาก ป้าหนิวเห็นเช่นนี้ก็มีความสุข หยิบจี้หยกออกจากมือเด็กน้อย อุ้มไปจูบแรงๆ ทีหนึ่ง ไม่สนใจน้ำลายที่เลอะบนใบหน้าของตัวเองแม้แต่น้อย
สองพี่น้องทำอาหารสองอย่าง เพราะอากาศร้อนๆ เกินไปเลยเอาไปกินกับเหล้าองุ่น
“ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนานคือตำแหน่งอะไร ทำไมถึงเรียกไม่เหมือนแม่ทัพทัพเรือคนอื่นๆ พวกเขาเป็นแม่ทัพนั่นแม่ทัพนี่ เรียกกันจนติดปาก มีแค่เจ้าคนเดียวที่เรียกว่าผู้บัญชาการ เจ้าไม่ใช่คนของหน่วยข่าวกรองซะหน่อย มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ถูกเรียกเช่นนี้”
“ใครจะไปรู้ แต่เรื่องตำแหน่งเปี๋ยจย้าที่เฉวียนโจวของเจ้าคืออะไร เมื่อครู่ได้ยินท่านป้าพูดถึงข้าถึงได้รู้ว่ามีเรื่องนี้ หรือว่าตอนที่เจ้าเป็นองครักษ์เจ้าแอบไปลวนลามสาวใช้ในวัง เลยถูกส่งไปที่อื่น? แล้วทำไมยังเรียกว่าจงต้าฟู เจ้าเป็นแม่ทัพ ไปถึงที่นั่นก็ควรจะเป็นองครักษ์ของจวนเจ๋อชง ทำไมถึงได้ไปเป็นขุนนางนักปราชญ์ได้”
“ข้าก็อยากจะถามเจ้าเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว แต่จั่งซุนชงก็เป็นผู้อำนวยการมณฑลของจวนเหิงโจว ฉินหวยอวี้ไปที่อู่หยาง หลี่เต๋ออวี้ไปที่ซังโจว ได้ยินมาว่าหลี่จิ้งจัดการให้ลูกชายของเขาเอง ที่แปลกก็คื ทุกคนล้วนแต่เป็นขุนนางนักปราชญ์ ไม่มีใครเป็นขุนนางทหารสักคน ในเมื่อฮ่องเต้มีคำสั่งเราก็ต้องทำตาม ว่ากันว่าตอนนี้คนที่สามารถรักษาตำแหน่งขุนนางทหารได้มีแค่เจ้ากับฉู่มั่ว ข้าคิดว่าเจ้าจะรู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า เจ้ามีวิธีทำให้เฉวียนโจวเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็วหรือไม่”
“มี แต่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นแค่เปี๋ยจย้า ยังมีตำแหน่งผู้ตรวจราชการมณฑลที่สูงกว่าเจ้า คอยออกความคิดให้เจ้า คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือผู้ตรวจราชการมณฑล ไม่ใช่เจ้า”
หนิวเจี้ยนหู่พยักหน้า ดื่มเหล้าถ้วยหนึ่งและพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของข้า ยังมีเวลาอีกสามเดือน เจ้าจะทำเช่นไร หลู่อ๋องบอกว่าจะเอาเจ้าให้ถึงตาย”
อวิ๋นเยี่ยคีบพริกออกมาจากชามอาหาร กินเข้าไปคำโตๆ และพูดกับหนิวเจี้ยนหู่อย่างเชื่องช้าว่า “ข้าจะดำน้ำ ดำน้ำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหลู่อ๋องจะกลายเป็นอ๋องโง่แล้วค่อยโผล่หัวขึ้นมา แล้วยังจะหลบซ่อนตัวจากพวกคนแก่ที่ไม่มีอะไรทำอยากจะจัดพิมพ์หนังสือพวกนั้น ถือโอกาสรู้ให้ได้ว่าทำไมเหล่าองครักษ์ถึงได้กลายเป็นขุนนางนักปราชญ์ หรือว่าพวกขุนนางนักปราชญ์อยากจะเปลี่ยนมาเป็นแม่ทัพแล้ว?”
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 9 ดำน้ำ (สาม)
หนิวเจี้ยนหู่เองก็ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเป็นขุนนางนักปราชญ์หรือขุนนางทหาร ขาของเขาพิการ มันทำให้เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับการรับตำแหน่ง แต่ในฐานะสมาชิกของเหล่าทหาร เขาต้องระมัดระวังต่อสัญญาณดังกล่าวนี้ พวกขุนนางนักปราชญ์ต่างพากันชื่นชมยินดี นี่คือสัญญาณที่ฮ่องเต้กำลังจะเริ่มลงมือกับเหล่าขุนนาง พวกเขาไม่เสียดายที่จะเอาตำแหน่งขุนนางระดับพื้นฐานที่สำคัญๆ บางตำแหน่งในระบบออกมาจัดสรรให้กับขุนนางพวกนี้ มันรวดเร็วมาก ในเวลาเพียงครึ่งเดือนก็มีการจัดการตำแหน่งที่เพียงพอ จากนั้นก็เอาความปรารถนาของฮ่องเต้ไปใช้
“ขุนนางนักปราชญ์ก็ไม่ได้แย่ หากข้าได้รับตำแหน่งผู้ตรวจราชการมณฑลในเฉวียนโจวอาจจะได้ใช้งานกองทัพเรือของเจ้า ในดินแดนเฉวียนโจวก็ไม่ได้มีสินค้าที่โดดเด่นมากเท่าไหร่ ทุ่งนาก็แห้งแล้ง แต่มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คืออยู่ติดกับทะเล เมื่อข้าไปถึงเฉวียนโจว ไม่ต้องสนใจเรื่องอะไร เพียงแค่ขยายท่าเรือในเฉวียนโจว ขยายให้ใหญ่ขึ้นอีกก็พอ หากมีพละกำลังหลงเหลือ ก็สร้างเรือเพิ่มอีก โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่เอาไปออกทะเล ข้าสัญญาว่าราษฎรในเฉวียนโจวจะอยู่ดีกินดีหากมีท่าเรือแห่งนี้”
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า หลี่ซื่อหมินกังวลว่าเหล่าแม่ทัพจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น จนสุดท้ายแล้วมีอำนาจมากเกินไป จึงถือโอกาสตอนที่ตัวเองยังมีอำนาจปลดตำแหน่งของแม่ทัพที่โดดเด่นลงมาอย่างกะทันหัน รอให้เหล่าทหารผ่านศึกกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว คิดจะเปลี่ยนแปลงก็สายเกินไปแล้ว เจตจำนงครั้งนี้ของหลี่ซื่อหมินหนักแน่นมาก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หากไม่อยากเป็นกบฏ ก็ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
“เสี่ยวเยี่ย เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งแต่ขาของข้าพิการ ข้าก็ไม่มีความหวังอะไรอีกต่อไป มีผลลัพธ์เช่นนี้ในตอนนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล แต่หลังจากที่ข้าไปที่เฉวียนโจว ทางบ้านก็คงต้องพึ่งพาเจ้ามากขึ้น ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็อายุมากแล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าก็ดูแลบ้านไม่ค่อยเป็น ฝากเจ้าดูแลด้วย ให้พี่ๆ น้องๆ มาชี้แนะบ่อยๆ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่บ้านอีกแล้ว”
หนิวเจี้ยนหู่เป็นลูกคนเดียว เดิมทีตามความดีความชอบของหนิวจิ้นต๋า เขาไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงเฉวียนโจว เพียงแค่รับตำแหน่งที่ฉางอันก็พอ นี่คือการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลของเขาและประเทศชาติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริงที่หนาวเหน็บ เขาจำเป็นที่จะต้องทำตาม
ออกมาจากบ้านตระกูลหนิว อวิ๋นเยี่ยก็อารมณ์ไม่ดี หลี่ซื่อหมินเป็นคนอยู่เป็น ยิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องมีหน้าที่ให้รับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง คำนี้ช่างหนักแน่นและทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางทรยศหรือขุนนางที่จงรักภักดี ตราบใดที่เป็นขุนนาง ก็จะต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่าง
ราชวงศ์เจินก้วนไม่มีขุนนางคนไหนที่ทรยศจริงๆ รัศมีของหลี่ซื่อหมินส่องแสงในตอนกลางวันแสกๆ มีคนโง่เพียงไม่กี่คนที่จะฝ่าฝืนข้อห้ามที่เขากำหนดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งการสู้รบ จากมุมมองของประวัติศาสตร์ เขายังเป็นตัวละครที่สู้รบอย่างไม่เสียดายชีวิต สู้รบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นั่งยองๆ ย่างเนื้อปลาวาฬอยู่ในสวนหลังบ้านกับเหล่าฉิน เนื้อปลาวาฬที่รมควันมาแล้วช่างมีความหนึบ ย่างจนหนังกรอบ แล้วเอาน้ำมันพริกมาทา จุ่มลงในน้ำจิ้มที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่างเป็นรสชาติที่อร่อย
“ท่านลุงฉิน หวยอวี้จะไปรับตำแหน่งที่ดินแดนไกล ท่านไม่เป็นห่วงหรือ” อวิ๋นเยี่ยย่างเนื้อปลาวาฬ ทาน้ำจิ้ม แล้วเอาใส่ในชามของเขา
“จะมีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนข้าวัยรุ่นข้าก็ยังไปเป็นตำรวจที่จวนจี่หนาน เป็นลูกผู้ชายก็ต้องเร่ร่อนไปทั่วถึงจะกลายเป็นอาวุธชั้นดี อยู่แต่บ้านตลอดชีวิตมีอะไรดี เจ้าไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มองดูให้มากเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจ ตอนนี้เจ้ามีหนี้สินเต็มไปหมด จัดการเรื่องของตัวเองให้ดีให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องสนใจเรื่องของคนอื่น ข้าชอบเด็กรุ่นเหนียงคนนี้มาก ถึงเวลาแล้ว วันที่หกเดือนตุลาคมข้าให้เหล่าเอ้อไปรับตัวคนที่บ้านเจ้า เจ้าคิดเช่นไร”
เหล่าฉินไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยพูดเรื่องอื่น แค่เร่งให้เขารีบจัดการเรื่องงานแต่งของน้องสาวให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยต่อต้านการเป็นขุนนางนักปราชญ์ของฉินหวยอวี้ และถึงขั้นชอบที่เขาได้เป็นขุนนางนักปราชญ์ด้วยซ้ำ ก็ดีเหมือนกัน ขอแค่ตัวเองสบายใจ เป็นอะไรก็ดี
“หากหยวนเทียนกังเป็นคนดูเลิกงามยามดีให้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เจ้าเลือกวันเอาเองคงจะเหมาะสมกว่าที่เขาดู ตอนนี้ชื่อเสียงของเหล่าเต้าพังไปหมดแล้ว สองสามวันก่อนยังดูโชคลาภให้กับจางเลี่ยง บอกว่าเขากำลังจะได้เดินทางไกล โชคดีมีชัย ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ถูกถอนรากถอนโคนทิ้งไปหมด คำพูดของเหล่าเต้าเชื่อถือไม่ได้”
“เหลวไหล หยวนเทียนกังพูดถูก จางเลี่ยงกำลังจะได้ออกเดินทางไกลจริงๆ คราวนี้เขาจะได้ไปฝึกฝนกองทัพเรือที่ทะเลสาบต้งถิง ถือว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วจริงๆ สำหรับร่างกายที่พิการของเขา เขาคงจะออกไปพบปะผู้คนไม่ได้ คราวนี้หลิวหงจีลงมือด้วยความโมโห เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิด ไม่ได้พัดเปลวไฟ”
“หลานพึ่งกลับมาถึงฉางอันก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อยากจะทำอะไรก็คงไม่ทันแล้ว ช่วงสองสามวันนี้หลานไม่ได้ออกนอกบ้านเลย ค่ายทหารเรือในแม่น้ำป้าเหอก็ไม่ได้ไปดู ท่านบอกว่าหลานเป็นคนจุดไฟมันเกินไปแล้ว หลิวกงและคนอื่นๆ ใช่ว่าโหวเจวี๋ยตัวน้อยๆ อย่างข้าจะไปยุยงได้”
หลังจากที่ฉินฉยงกินเนื้อปลาวาฬเสร็จ เช็ดมือ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และชี้ไปที่นอกประตู บอกให้เขาออกไปได้แล้ว พวกทหารผ่านศึกก็ล้วนแต่มีนิสัยเช่นนี้ พูดไม่ถูกคอกันก็จะไล่เขาไสหัวออกไปทันที
ยังไม่ทันได้เดินออกไปจากสวนก็ได้ยินเสียงเหล่าฉินตะโกนอยู่ข้างหลังว่า “จำไว้ วันที่หกเดือนตุลาคม สินสอดทองหมั้นจำนวนมากยิ่งกว่า ถึงแม้ข้าจะไม่ได้มอบให้ลูกคนรองมากนักก็ตาม”
หันหน้ากลับไปตอบตกลงแล้วก็รีบออกมา ไม่อยากรบกวนเหล่าฉินกินปิ้งย่างอยู่กับหญิงสาว
หลี่เซี่ยวกงกับหลี่เต้าจง ทั้งสองคนอยู่ที่จวนของจวิ้นอ๋อง หลี่ไท่กับหลี่เค่อก็อยู่ด้วย วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของหลี่เซี่ยวกงฮูหยิน ไม่ได้เชิญคนนอก พี่น้องหลานชายของตัวเองดื่มกินกันเองก็ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว
อวิ๋นเยี่ยมาถึงพอดีกับที่งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มขึ้น เดินเข้าประตูไปถึงได้รู้ว่าตัวเองเสียมารยาท รีบบอกพ่อบ้านไปเตรียมของขวัญ เนื้อปลาวาฬหนึ่งเกรียวมันน้อยเกินไป
เหล่าเฉียนยังไม่ทันได้เดินออกประตู ประตูบ้านของตระกูลหลี่ก็ปิดลง เสียงของหลี่เซี่ยวกงดังมาจากระยะไกล “เตรียมของขวัญอะไรกัน รอให้ถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปีของข้า เจ้าค่อยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ก็ไม่สายเกินไป ไหนๆ วันนี้ก็มาแล้วก็เข้ามาดื่มเหล้าสักหน่อยสิ”
คงต้องทำเช่นนี้ ในฐานะคนรุ่นหลังได้แต่คำนับฮูหยินด้วยความเคารพ ไม่ได้เตรียมของขวัญที่มีค่ามาด้วยช่างรู้สึกอับอาย ตอนที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น หลี่เซี่ยวกงก็ทำเสียงสูดจมูกและถามว่า “เจ้าเอาเนื้อปลามาด้วย?”
“ใช่แล้ว ท่านลุงหลี่ หลานจับปลาวาฬในทะเลได้สองสามตัว เก็บเนื้อปลาวาฬมาด้วยนิดหน่อย ตั้งใจเอามาให้ท่านชิม” อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างไม่มีทางเลือก ข้อเสียของเนื้อปลาวาฬก็คือกลิ่นคาวแรง
หลี่เซี่ยวกงส่งเสียงร้องแปลกๆ โยนพัดในมือทิ้ง ใส่รองเท้าแล้ววิ่งไปดูที่สวน ทันใดนั้นก็แบกห่อใบบัวห่อใหญ่กลับมาห่อหนึ่ง ใช้มีดตัดเชือกออก เนื้อปลาวาฬชิ้นใหญ่ที่ผ่านการรมควันมาแล้วก็ปรากฏออกมาต่อหน้าทุกคน กลิ่นทวีคูณขึ้นกว่าเดิม หลี่ไท่ปิดจมูกและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เหม็นขนาดนี้ มันกินได้จริงๆ หรือ”
ฮูหยินเหลือบมองไปที่สามีของนาง มีแต่หลี่เต้าจงที่นั่งอย่างสงบ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโหยหา
หลี่เซี่ยวกงพูดกับหลี่ไท่และหลี่เค่อว่า “พวกเจ้าไม่เคยกินของพวกนี้ อย่าคิดว่ามันเหม็น เพียงแค่ปรุงให้ถูกต้อง นี่คืออาหารอันโอชะ ใช่ว่าเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมูจะเทียบได้ ไอ้เจ้านี่เป็นคนกินเก่ง เขาต้องรู้วิธีทำอย่างแน่นอน วันนี้เขาไม่ได้เอาของขวัญมาพอดี เช่นนั้นก็ให้เขาทำอาหารให้พวกเราชิม”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วตอบตกลง ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าฝีมือทำอาหารของตัวเองตกลงไปมาก แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ฮูหยินฉลองวันเกิด ทำอาหารให้ทานก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไร
หลี่เต้าจงพยักหน้าไม่หยุด พูดกับฮูหยินที่กำลังสับสนว่า “พี่สะใภ้อาจจะไม่ทราบ อวิ๋นโหวออกเดินทางไกลกับท่านอาจารย์ตั้งแต่เด็กๆ เขาเห็นอาหารอันโอชะบนโลกมาแล้วมากมาย แล้วท่านอาจารย์ของเขาก็เป็นยอดมนุษย์ที่กินแต่ของอร่อย ภายใต้อิทธิพลของยอดมนุษย์ อาหารที่อวิ๋นโหวเป็นคนทำต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและตอบว่า “หลานไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของท่านป้า ช่างเสียมารยาทเสียจริง ให้หลานได้ทำบะหมี่อายุยืนให้ท่านป้าทานเพื่อเป็นการแสดงความในใจ”
“ทำบะหมี่อะไรกัน เอาเนื้อปลาวาฬไปทำก็พอ” หลี่เซี่ยวกงอยากจะกินเนื้อปลา ความอยากรู้อยากเห็นของหลี่ไท่ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา เขาก็อยากจะชิมรสชาติของเนื้อปลาวาฬเช่นกัน
หลี่ไท่ หลี่เค่อและอวิ๋นเยี่ยมาที่ห้องครัวด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยกำลังนวดแป้ง พวกเขาสองคนก็เตรียมจุดเตาถ่านตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ย เนื่องจากอยู่ที่สำนักศึกษาก็คุ้นเคยอยู่แล้ว ผ่านไปไม่นานเตาถ่านก็พร้อมใช้งานแล้ว
หลี่ไท่ที่กำลังปอกกลีบกระเทียม จู่ๆ ก็ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่เยี่ย เจ้าคิดว่าข้าเตรียมมดตัวใหญ่ไว้แค่ห้าหกตัวน้อยเกินไปหรือเปล่า”
“ต้องดูว่าเจ้าจะทำอะไร ทำให้คนคนหนึ่งทุกข์ทรมานสักหน่อยมดแค่ห้าหกตัวก็เพียงพอแล้ว แต่หากอยากจะให้คนคนหนึ่งถูกกัดแทะเข้าไปถึงกระดูก จะใช้มดทั้งสำนักศึกษาก็คงไม่พอ มดทะเลทรายชนิดนี้ ถึงแม้ว่ามันจะกัดคนเก่ง แล้วยังมีพิษเล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่พิษ มันเรียกว่ากรดฟอร์มิก คล้ายกับกรดซัลฟิวริกที่ท่านอาจารย์ซุนสกัดออกมา เพียงแค่สองสามตัวก็คงไม่เพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อผู้คน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าอายุยังน้อยแถมยังร่ำรวย หลี่หยวนชังอาจจะเป็นคนที่เจ้าเกลียดที่สุด วันนั้นพี่ชายของเจ้าเล่าให้ข้าฟัง ดังนั้น ข้าจึงไม่ได้รู้สึกดีกับชายประเภทที่ร้ายกาจเข้ากระดูกเช่นนี้
เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเกิดความขัดแย้งกับเขาได้ ข้าเป็นขุนนางนอก แต่หากเป็นเจ้าก็ช่างมันเถอะ สองสามวันนี้ข้าคิดดูแล้ว ให้เจ้าไปต่อกรกับหลี่หยวนชังช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลา เขาอายุมากกว่าเจ้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับเจ้า หากเจ้าเคียดแค้นก็เป็นความผิดของเจ้า ต้าถังของข้าก่อตั้งขึ้นด้วยความกตัญญู หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องจมอยู่ใต้น้ำลายที่ท่วมท้น เช่นนั้นเจ้าจึงไม่ควรทำ”
“ข้าไม่สน ไม่ฆ่าเขาให้ตายคงชำระล้างความแค้นนี้ไม่ได้ หมาตัวเดียวไม่เป็นอะไร การกระทำของเขาทำให้ข้าฝันร้ายมานานแสนนาน ท่านแม่กล่อมข้าเข้านอนตั้งสองเดือนข้าถึงได้หยุดฝันร้าย เอ่อใช่ หากเจ้าเอาเรื่องที่ข้าฉี่รดที่นอนออกไปพูด อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าล่ะ”
“ไม่เห็นจะตลก เรื่องฉี่รดที่นอนไม่เห็นจะตลกเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวไท่ เจ้าไม่สังเกตหรือว่าฝันร้ายของเจ้าบวกกับการฉี่รดที่นอน ทำให้ความคิดของเจ้าเปลี่ยนไป? นี่คือโรคชนิดหนึ่ง รุนแรงมาก”
“แต่เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้ารับมือกับเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อข้า ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องเดือดร้อน ตอนนี้กองทัพกำลังสู้รบอยู่ข้างนอก ท่านพี่ของข้าก็อยู่ในกองทัพ ท่านพ่อก็กังวลเรื่องราชสำนัก ข้าทนไม่ได้ที่จะเพิ่มปัญหาให้กับท่านพ่อ”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและตบไหล่ของหลี่ไท่เบาๆ การสั่งสอนในหลายปีที่ผ่านมาในที่สุดก็แสดงผลลัพธ์ออกมาแล้ว หลี่ไท่ที่เห็นแก่ตัวในประวัติศาสตร์ได้หายไปแล้ว คำพูดเลวทรามที่ว่า ‘ฆ่าฟันพี่น้องด้วยกันเอง’จะไม่มีทางออกมาจากปากเขาอีกแล้ว สามารถลดร่องรอยของความมืดมน เพิ่มร่องรอยของแสงสว่างให้กับหนังสือประวัติศาสตร์ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น