เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 54-56

[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 54 ความดีความชอบและชื่อเสียง

 

เหล่าซุนเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง เขาไม่ชอบพิธีอะไรพวกนั้น เขารู้สึกว่ามันทำให้เขาเสียเวลา แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขากลัวไข้ทรพิษเข้ากระดูก มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สะอาดพอ มักจะคิดว่าแมลงตัวเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพวกนั้นยังคงเกาะอยู่บนตัวเขา 


 


 


ดูจากการที่เขาอาบน้ำวันละแปดครั้งก็รู้ น้ำร้อนจนน่ากลัว แค่มือของอวิ๋นเยี่ยจุ่มเข้าไปยังถูกน้ำร้อนลวกจนเป็นตีนหมู แต่เหล่าซุนกันชายร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้นกัดฟันสู้ ทุกครั้งที่เห็นภาพนี้ อวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกเสียใจ เมื่อก่อนเหล่าเต้าไม่เคยดื่มเหล้า แต่สองสามวันมานี้กลับดื่มเหล้าแรงอย่างสุดชีวิต เหล้าที่แรงที่สุดของตระกูลอวิ๋น เขาจะต้องดื่มวันละหนึ่งไห ชายร่างใหญ่พวกนั้นก็เช่นกัน เขารู้ดีว่าเหล่าซุนไม่ได้กำลังดื่มเหล้า แต่เขากำลังใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคในท้อง บอกเขาว่าทำเช่นนี้มันไม่มีประโยชน์ แต่เหล่าเต้าก็ยังยิ้มหัวเราะและทำเหมือนเดิม 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าวัคซีนยังต้องการเขา เขาก็คงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว ดูจากสายตาที่เขามองดูกองไฟที่แผดเผา อวิ๋นเยี่ยก็ดูออกว่าเขาอยากจะกระโดดลงไปในกองไฟ ซวยแล้ว การใช้คนทดลองแค่ครั้งเดียวทำให้เหล่าซุนเป็นถึงขนาดนี้ 


 


 


ชายร่างใหญ่พวกนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสับสนงงงวย ดังนั้นความกลัวของพวกเขาจึงมีจำกัด แต่มันต่างจากเหล่าซุน เขารู้ตั้งแต่รากเหง้า เขารู้ว่าไข้ทรพิษอยู่ในรูปแบบไหนและผลที่ตามมานั้นเลวร้ายเพียงใด ดังนั้นความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่ทนอยู่ของเขาจึงมีมากกว่าชายร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้น 


 


 


เรื่องพวกนี้ต่อไปค่อยช่วยเหล่าซุนคลี่คลายก็ได้ แต่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือเรื่องจริง หลี่ซื่อหมิน จั่งซุน เหล่านายท่าน เหล่าขุนนาง แล้วยังมีซินเย่วกับท่านย่ากำลังรออยู่ที่ประตูวัง แต่ตัวเองกลับปล่อยให้ตัวเอกของเรื่องหายตัวไป คิดดูก็รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะโมโหขนาดไหน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการซื้อหัวใจคน 


 


 


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่หยวนฉี่ได้พูดคุยกับอวิ๋นเยี่ย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยมาปรากฏตัวต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเป็นคนโหดเ**้ยม ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนอันตราย อยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะถูกตัดหัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือไม่ก็ถึงขั้นฆ่าฟันทั้งโคตรเหง้า ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางที่เป็นกังวลของอวิ๋นเยี่ยเขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ 


 


 


รีบพากองทัพกลับไปยังฉางอันอย่างรวดเร็ว มาถึงเร็วเท่าไหร่ก็ปัดเป่าความซวยออกได้ไปเร็วเท่านั้น เขาตัดสินใจว่าหากไม่มีเรื่องอะไรเขาจะไม่มีทางกลับไปฉางอันง่ายๆ อยู่ที่นั่น แม้แต่ตัวเขาเองยังเทียบตั๊กแตนไม่ได้ 


 


 


ฟังเสียงต้อนรับที่ถล่มทลายอยู่นอกหน้าต่าง อวิ๋นเยี่ยเอาหัวกระแทกกับรถม้าอย่างแรง หากเป็นลมไปมันก็คงจะดี การไม่ได้เจอหน้าหลี่ซื่อหมินคือเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยตั้งหน้าตั้งตารอ 


 


 


ไม่ว่ารถม้าจะแล่นไปช้าแค่ไหน แต่มันก็ต้องไปให้ถึงอยู่ดี อวิ๋นเยี่ยกระโดดออกจากรถม้า เอาจดหมายของซุนซือเหมี่ยววางไว้บนรถม้า ตัวเองไปมุดหลบอยู่ด้านหลังรถม้า ไม่อยากให้หลี่ซื่อหมินมองเห็นตัวเอง 


 


 


เมื่อรถม้ามาถึง ขุนนางกรมพิธีกรรมก็ตะโกนและบรรเลงดนตรี ทันใดนั้นก็มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งเป่าแตรนำทาง หลี่เซี่ยวกงที่สวมชุดเกราะสีทอง คร่อมม้านำทาง ทหารสวมชุดเกราะสองคนถือแส้ยาวตามมาข้างหลัง สาวใช้ที่ถือกระถางธูปและสาวใช้ที่ถือพัดก็เดินเข้ามาล้อมรถม้าไว้อย่างรวดเร็ว 


 


 


ฝางเสวียนหลิงโผล่ขึ้นมาตรงด้านหลังของอวิ๋นเยี่ยแล้วหัวเราะ ตบที่ไหล่อวิ๋นเยี่ยอย่างแรง ทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจแทบตาย เขาทำหน้าร้องไห้และพูดกับฝางเสวียนหลิงว่า “ฝางเสวียน ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้านะ” 


 


 


“วันดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงได้พูดจาอัปมงคลเช่นนี้ เจ้าทำความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทต้องให้รางวัลแก่เจ้า เขาไม่มีทางลงโทษเจ้า” 


 


 


“ข้าปล่อยให้ซุนซือเหมี่ยวหนีไปแล้ว เขาพาคนลองยาไปเก็บยาที่ภูเขาฉินหลิ่ง ข้าตามหาเขาไม่เจอ หากฝ่าบาทอารมณ์เสียเจ้าต้องช่วยข้าด้วยนะ” 


 


 


สีหน้าของฝางเสวียนหลิงเปลี่ยนไปทันที และก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่คือพฤติกรรมที่คนมีศีลธรรมควรทำ เรียบร้อยแล้วก็สะบัดเสื้อหนี ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ความดีความชอบและชื่อเสียงของตัวเอง ไม่มีจิตใจที่ดีเช่นนี้ จะมีความดีความชอบเช่นนี้ได้เช่นไร ข้าอยากจะไปให้ถึงระดับนั้นของซุนซือเหมี่ยว แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน“ 


 


 


พูดคุยกันอยู่ก็มาถึงที่ประตูวัง หลี่เซี่ยวกงตะโกนเสียงดัง “เจินเหรินซุนเต้าจั่งมาถึงแล้ว!” เสียงตะโกนนั้นดังออกไปไกล ประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ มีดนตรีดังออกมา ฟังดูดีๆ ที่แท้ก็เป็นบทเพลง ‘อายุมั่นยืนยาว’ นี่คือบทเพลงต้อนรับเทพเจ้า เสียงกลอง ปี่ ขลุ่ย กลองเจี๋ยกู่ กลองต้าไท่ กลองต้าเจิงก็ค่อยๆ ดังขึ้นมา  


 


 


หลี่ซื่อหมินสวมชุดราชสำนักและสวมหมวกฮ่องเต้ หัวเราะและก้าวขาออกไปต้อนรับที่ประตู จั่งซุนถือถาดชีผาน ข้างบนมีจอกสีทองที่เต็มไปด้วยเหล้าสีเหลืองอำพัน แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา 


 


 


“เจินเหรินยอมเสี่ยงตายเพื่อข้า ช่างเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างหาเทียบมิได้ โปรดรับคำนับจากหลี่ซื่อหมินด้วยเถิด” เห็นหลี่ซื่อหมินและฮองเฮาโค้งคำนับให้กับรถม้า อวิ๋นเยี่ยพยายามกลอกตาให้เป็นลม แต่เขาก็ไม่เป็นลมสักที หากพวกเขารู้ว่าเหล่าซุนไม่ได้อยู่ที่นี่ ช่วงเวลาที่โชคร้ายของตัวเองก็จะมาถึง 


 


 


ฝางเสวียนหลิงรอให้หลี่ซื่อหมินและฮองเฮาโค้งคำนับเสร็จ ถึงได้บอกหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท เจินเหรินคิดว่าการช่วยฝ่าบาทแก้ไขปัญหาความยากลำบากให้กับโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เขาควรทำ เขาไม่กล้ารับรางวัลใหญ่ของฝ่าบาท เขาจึงฝากจดหมายมาให้ฝ่าบาท แต่ตัวเขาเองกลับไปหายาสมุนไพรที่ส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ช่างเป็นคนที่สูงส่งเสียจริง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหมือนถูกผึ้งสี่ตัวต่อยเข้ามาที่ตัว ไม่จำเป็นต้องบอก พวกเขาทั้งสองคนกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาที่โกรธแค้น เขาตัวสั่นไปหมด หยิบจดหมายออกมาจากรถม้าและใช้มือสองข้างยื่นไปมอบให้กับหลี่ซื่อหมิน 


 


 


หลังจากที่หลี่ซื่อหมินอ่านจดหมายเสร็จ สีหน้าที่หงุดหงิดของเขาก็ค่อยๆ สงบลง เขาโค้งคำนับไปที่รถม้าที่ว่างเปล่าอีกครั้งแล้วพูดกับเหล่าขุนนางว่า “คนโบราณกล่าวว่า ห้าร้อยปีถึงจะมีนักบุญปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่ง ตอนนี้ต้าถังของเรามีผู้มีศีลธรรมสูงส่งปรากฎขึ้นตลอดไม่มีที่สิ้นสุด ช่างเป็นบุญบารมีของเราเหลือเกิน แล้วยังเป็นบุญบารมีของเหล่าราษฎร ทุกคนรู้เรื่องไข้ทรพิษ มันรุนแรงกว่าเสือร้าย อันตรายกว่างูพิษ คนที่โชคร้ายติดเชื้อจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบสองปี คนที่รอดชีวิตมาได้ส่วนใหญ่ก็พิการกันไปหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยแผล มองดูไม่เหมือนคน ไม่ต่างอะไรจากผีร้าย ทุกคนอาจจะเคยได้ยิน ลูกสาวของผู้ว่าการโซ่วโจว สุดท้ายแล้วเลือกที่จะฆ่าตัวตาย คนทั้งตระกูลไม่มีใครหนีพ้นได้ 


 


 


สิ่งที่ทำให้ทั้งตระกูลของพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็คือไข้ทรพิษ โรคนี้เป็นเหมือนนกร้ายที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าต้าถังของเรา หากไม่ระวัง มันก็จะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถชดเชยได้ให้กับต้าถังของเรา ความเกลียดชังนี้ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ 


 


 


วันนี้เจินเหรินได้พัฒนายาวิเศษขึ้นมา หลังจากได้รับยานี้ก็จะปลอดภัยไปทั้งชีวิต ไม่ต้องกลัวไข้ทรพิษอีกต่อไป ซุนเจินเหรินเสี่ยงอันตรายมาแล้วหลายครั้งเพื่อสิ่งนี้ ครั้งนี้เขาเป็นคนทดลองยาเอง ข้าอยากจะถามทุกคนว่านอกจากต้าถังของเราแล้ว ที่ใดยังจะมีคนที่มีเมตตาเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้เราและเหล่าขุนนางทั้งหลายได้แสดงความยินดีให้กับคนทั้งโลก แสดงความยินดีกับซุนเจินเหริน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนับถือการพลิกแพลงสถานการณ์ของหลี่ซื่อหมินมาโดยตลอด เขาสามารถทำให้เรื่องที่น่าอับอายเปลี่ยนเป็นเรื่องที่น่ายกย่องได้ในชั่วพริบตา นี่น่าจะเป็นความสามารถโดยกำเนิดของฮ่องเต้ ไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้ 


 


 


ถือโอกาสตอนที่คนอื่นกำลังตื่นเต้น เขาแอบเดินมาอยู่ข้างๆ จั่งซุนแล้วกระซิบว่า “ฮองเฮา ข้าน้อยก็มีความดีความชอบเช่นกัน เหตุใดไม่พูดถึงข้าน้อยเลยเล่า” 


 


 


จั่งซุนมองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกและพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ตอนที่ซุนเต้าจั่งกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในถ้ำ เจ้าวาดภาพเต่าอยู่นอกถ้ำ ได้ยินมาว่าฝีมือการวาดภาพไม่ธรรมดา มองดูภาพที่เจ้าเอามาให้ฝ่าบาทก็รู้ว่าฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ ในเมื่อเจ้าชอบเต่านัก เจ้าก็หดคอลงไปในกระดองของเจ้าซะ ไม่ต้องมาอิจฉาริษยาเขา” 


 


 


ยังต้องพูดอะไรอีก พูดต่อไปตัวเองคงจะกลายเป็นเต่า ไม่มีความดีความชอบก็ไม่มีความดีความชอบ มันก็แค่นั้นข้าไม่ได้ต้องการอะไร เมื่อครู่แค่กลัวว่าเหล้าดีๆ จะสูญเปล่าถึงได้พูดออกไป ไม่เช่นนั้น ใครจะอยากอยู่กับพวกเจ้าสองคน เดี๋ยวข้าก็จะกลับบ้าน ข้ายังต้องกักบริเวณอีกสองสามวัน 


 


 


ไม่มีตัวเอก หลี่ซื่อหมินก็กลายเป็นตัวเอกตามธรรมชาติ หลังจากได้รับคำประจบสอพลอที่นับไม่ถ้วนแล้ว หลี่ซื่อหมินและและฮองเฮาของเขาก็กลับไปยังพระราชวังหลวงอย่างมีความสุข อวิ๋นเยี่ยกำลังจะหนีออกไป แต่กลับถูกต้วนหงจับเอาไว้และพาตัวไปที่วังหลัง 


 


 


คิดไม่ตกจริงๆ ลูกผู้ชายอย่างตัวเองมักจะถูกพามาสั่งสอนที่วังหลัง สั่งสอนที่ตำหนักไม่ได้หรือ วังหลังมักจะมีพวกผู้หญิงที่น่าเบื่อยืนอยู่หน้าประตูชี้มาที่ตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งยังพูดถึงลูกของพวกนางเอง ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและสั่งสอนลูกของพวกนาง 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนมีข้อจำกัดในการเข้ามาที่วังหลัง หลี่ไท่และหลี่เค่อต้องนัดหมายล่วงหน้า หากหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนอยู่ที่วังหลัง พวกเขาก็ไม่มีทางเรียกให้ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก 


 


 


ครั้งก่อนที่ระเบิดพระราชวัง เห็นสาวงามเปลือยกายสองสามคน หลี่ไท่บอกให้อวิ๋นเยี่ยรีบลืมมันไป ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้คนอื่นและตัวเองเดือดร้อน เพราะเรื่องนี้ เขาทั้งสองคนทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง หลี่ไท่จะปกป้องชื่อเสียงนางสนมของพ่อตัวเอง แต่อวิ๋นเยี่ยกลับคิดว่านางสนมในวังหลังของฮ่องเต้ต้องยกระดับขึ้นกว่านี้ พวกนี้ล้วนแต่เป็นเด็กน้อย รูปร่างไม่ต่างอะไรจากแผ่นไม้กระดานสักผ้า ยืนอยู่ไกลๆ ยังดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ท่ามกลางการโต้แย้งที่รุนแรง หลี่ไท่ต่อยเข้าที่ตาอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ถูกอวิ๋นเยี่ยต่อยล้มลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหาจุดของความสามัคคีจนเจอ นั่นก็คืออวิ๋นเยี่ยไม่วิพากษ์วิจารณ์วังหลังอีกต่อไป หลี่ไท่ก็สาบานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป ทั้งสองคนต่างก็ชอบอกชอบใจ 


 


 


ต้วนหงรู้สึกดีกับอวิ๋นเยี่ยมากโดยตลอด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เกิดการระเบิดขึ้น เขาปฏิเสธที่จะคบค้าสมาคมกับอวิ๋นเยี่ยต่อไปอย่างชาญฉลาด ทักทายกันครั้งแรกก็ถูกแรงระเบิดส่งไปที่ต้นไม้ จนถึงวันนี้เป้าของเขายังเจ็บอยู่เลย เขาไม่อยากสูญเสียอะไรที่น่าสงสารกว่านี้ในการทักทายกันครั้งที่สอง 


 


 


จั่งซุนที่มักจะกลายเป็นฮองเฮาและเสด็จแม่ที่ดีตลอดเมื่ออยู่กับหลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินเขียนฎีกาอะไรอยู่ข้างหน้า นางก็ยืนบดหมึกอยู่ข้างๆ บดหมึกให้พอดีกับความสั้นยาวของฎีกาที่หลี่ซื่อหมินเขียน พอเขียนฎีกาเสร็จ หมึกก็หมดลงพอดิบพอดี สองสามีภรรยามาถึงขั้นที่รวมหัวสมรู้ร่วมคิดกันแล้ว 


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่บอกให้ทำตัวตรง อวิ๋นเยี่ยก็ต้องโค้งคำนับต่อไป โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้เสียมารยาท เขาไม่ได้ก้มเกินไป ตอนนี้เลยทนโค้งตัวได้อยู่ 


 


 


เวลาธูปหนึ่งดอกผ่านไป หลี่ซื่อหมินถึงได้เงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปที่อวิ๋นเยี่ยและถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าแก้ไขปัญหาเรื่องไข้ทรพิษได้แล้ว” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ วัคซีนแค่ป้องกันได้ แต่รักษาไม่ได้ คนที่ติดโรคไข้ทรพิษตอนนี้ก็คงต้องยอมจำนนต่อโชคชะตาขอรับ” 


 


 


“หมายความว่าตอนนี้ต้องให้ทุกคนได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด?” 


 


 


“ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนเยอะถึงเพียงนั้นขอรับ ไม่มีหมอ ไม่มีวัว ไม่มีเงิน ไม่มีช่องทาง แต่กระหม่อมรับรองได้ว่ามีให้คนในพระราชวังและคนในตระกูลของกระหม่อม นี่คือประสิทธิภาพสูงสุดของห้องปฏิบัติการสำนักศึกษาแล้วขอรับ” 


 


 


“ไม่เลว ยังนึกถึงพระราชวัง ข้าคิดว่าเจ้าจะนึกถึงสำนักศึกษาก่อนเสียอีก ถือว่าเจ้ายังมีจิตใจที่ดี” จั่งซุนเงยหน้าขึ้น เก็บพู่กันและพูดออกมา 


 


 


“กราบทูลฮองเฮา ตอนนี้ที่สำนักศึกษาได้เริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว กระหม่อมหมายความว่ามีวัคซีนที่เหลือจากสำนักศึกษา จึงจะเอามาให้พระราชวังกับตระกูลกระหม่อมขอรับ” 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 55 เจ้ารังแกข้า ข้าก็ทรมานเจ้า

 

หลี่ซื่อหมินเดินไปรอบๆ อวิ๋นเยี่ยแล้วหันกลับมาพูดกับจั่งซุนว่า “ฮองเฮา ไอ้เจ้านี่บางครั้งก็มีความยืนหยัดอยู่เล็กน้อย จะบอกว่าเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่ พอถูกตีก็ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล บอกว่าเขาไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่อีก สองสามวันที่ผ่านมายังทำลายบ่อนของหลานหลิงจนเละ เมื่อจัดการการฉีดวัคซีน กลับให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาก่อน แม้แต่พระราชวังยังจัดความสำคัญอยู่อันดับที่สอง 


 


 


คนที่มีแต่ศักดิ์ศรีอย่างเว่ยเจิงก็น่ารำคาญ คนที่ไม่มีศักดิ์ศรีเราก็ไม่ชอบ เจ้าคิดว่าไอ้เจ้านี่มันเป็นคนเช่นไรกันแน่” 


 


 


จั่งซุนยกชามาให้หลี่ซื่อหมินถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปที่กาน้ำชา หมายความว่าให้อวิ๋นเยี่ยไปเทมาให้นางถ้วยหนึ่ง หลี่ซื่อหมินยื่นชาในมือให้อวิ๋นเยี่ย แล้วตัวเองหยิบกาน้ำชาเล็กขึ้นมาจิบ 


 


 


“ไอ้หนุ่ม หากเราโยนเสื้อผ้าในขวดของเจ้าไปให้พวกศัตรู เจ้าคิดว่า…” 


 


 


“ระยะฟักตัวของโรคนี้ไม่เกินครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นมันก็จะแพร่กระจายไปยังพื้นที่ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันนั้นกองทัพที่ได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้วของฝ่าบาทก็พร้อมจะจับปืนไปฆ่าคน ศัตรูของฝ่าบาทต้องตายอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะผิดพลาดไปจากนั้น” อวิ๋นเยี่ยขัดจังหวะหลี่ซื่อหมินอย่างไม่ลังเล เขาไม่มีทางปล่อยให้คำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของหลี่ซื่อหมินเอง 


 


 


ตัวเองพูดออกมามากสุดก็เป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง แต่หากหลี่ซื่อหมินพูดออกมามันคงจะน่ากลัว เขามีความสามารถและมีความปรารถนา เขาสามารถที่จะทำให้ความชั่วร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ในสนามรบ 


 


 


“ไอ้หนุ่ม คำพูดที่พูดขู่เฝิงอั้ง เราเอาไปพูดขู่คนอื่นได้หรือไม่” หลี่ซื่อหมินหรี่ตาลงขอความเห็นจากอวิ๋นเยี่ย 


 


 


ทันใดนั้นระฆังเตือนอันตรายในใจของอวิ๋นเยี่ยก็ดังขึ้นอย่างแรง เขาค่อยๆ พูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “กระหม่อมพูดได้ พวกเขาก็แค่คิดว่ากระหม่อมประสบการณ์น้อย จิตใจกำลังกระชุ่มกระชวย แต่กับฝ่าบาทไม่เหมือนกัน หากฝ่าบาทเป็นผู้เอ่ยวาจาออกมา ก็จะมีคนคิดว่าเขากำลังจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์อันเลวร้าย ไข้ทรพิษไม่เพียงแต่มีในต้าถัง ฉ่าวหยวนก็มีเช่นกัน แถบตะวันตกก็มีมากมาย นอกจากนี้ ฝ่าบาท มันยังมีไวรัสหลายชนิดที่คล้ายกับไข้ทรพิษ กาฬโรคและอหิวาตกโรค ความอันตรายของพวกมันน่ากลัวกว่าไข้ทรพิษเสียอีก โดยเฉพาะกาฬโรค คนที่ติดโรคนี้มีชีวิตรอดยาก คนที่ตายมีร่างกายสีดำคล้ำ น่ากลัวเป็นที่สุด ได้ยินมาว่าโรคร้ายนี้ระบาดอยู่ทางสุดขั้วของตะวันตก โหมกระหน่ำมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ราษฎรในเมืองลดลงกว่าสามส่วนของทั้งหมด” 


 


 


หลี่ซื่อหมินเลียริมฝีปากที่แห้งเหือดของตัวเอง จั่งซุนตกใจกับเสียงกลืนน้ำลายของตัวเอง พึ่งคิดว่าจะเอาของสิ่งนี้ไปให้กับกองทัพทหาร แต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยสาดน้ำเย็นเข้าใส่เต็มๆ ความหมายของอวิ๋นเยี่ยก็คือเรามีไข้ทรพิษ พวกเขามีกาฬโรคหรือโรคประหลาดอื่นๆ ผลสุดท้ายก็คือต้าถังจะกลายเป็นแหล่งรวมโรคติดต่อที่รุนแรง ผู้คนไม่ต้องอยู่อาศัยแผ่นดินแห่งนี้กันแล้ว 


 


 


“ดูแลสิ่งนี้ให้ดี อย่าปล่อยให้มันแพร่กระจายออกไป” หลี่ซื่อหมินสั่งอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม 


 


 


“กระหม่อมได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว แหล่งมลพิษที่เหลืออยู่จะถูกส่งมาอยู่ในความดูแลฝ่าบาททั้งหมด กระหม่อมมิอาจแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้ ฝ่าบาทโปรดหายอดฝีมือคนอื่นเถิด” 


 


 


มีแต่คนโง่ที่จะยอมแบกรับเรื่องยุ่งยากแบบนี้ เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นจะตายอย่างไรก็มิอาจรู้ หยวนฉีมีความกังวลเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็มีเช่นกัน 


 


 


“ไอ้หนุ่ม เจ้าไม่อยากรับผิดชอบ เรารู้ว่าเจ้ามีความกังวลของเจ้า แต่เรื่องนี้ต้องมีคนไปทำ เจ้ามีใครหรือไม่ จะต้องทำเช่นไร คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ ลองพูดมาสิ เพราะเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้” 


 


 


หลี่ซื่อหมินก็รู้สึกว่าไม่ควรมอบเรื่องนี้ให้กับอวิ๋นเยี่ย เรื่องนี้มันน่ากลัวเกินไป หากไม่ระวังอาจจะทำให้เกิดหายนะได้ไม่รู้จักจบ หาคนที่น่าเชื่อถือกว่านี้มาทำเรื่องนี้จะดีกว่า 


 


 


“ฝ่าบาท สถานที่เก็บของสิ่งนี้ต้องอยู่ห่างไกลจากผู้คน ภูเขาลึกดีกว่าชานเมือง หมู่เกาะดีกว่าภูเขาลึก กระหม่อมแนะนำให้เลือกเกาะที่ไม่มีคนอยู่ สร้างเมืองเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อเก็บของสิ่งนี้โดยเฉพาะ หากจำเป็นก็ควรเอาดินปืนไปเก็บด้วย เกาะนั้น นอกจากคนทำงาน ทหาร นักวิจัยของสำนักศึกษา ขุนนางของราชสำนักแล้ว คนอื่นๆ ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด หากเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด” 


 


 


“นี่เป็นความคิดที่ดี เราจะเลือกพื้นที่ลับแล้วส่งคนมีความสามารถไปที่นั่น ไม่อนุญาตให้เนื้อหาการสนทนาของเราเมื่อครู่รั่วไหลออกไป หากมีใครรู้ว่าเราเคยคิดที่จะใช้ของสิ่งนี้มาสู้รบ เราอาจไม่มีทางตัดหัวเจ้า ทว่าเราจะเฆี่ยนเจ้าพันครั้ง จะแบ่งเป็นรอบ วันนี้สามสิบครั้ง พรุ่งนี้หกสิบครั้ง สรุปคือเราจะทรมานเจ้าให้ตายทั้งเป็น” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกัดฟันและจับที่ก้น หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะยังมีทางรอดอยู่อีกหรือ ไม่สู้ตายไปดีกว่า ไอ้พวกที่เป็นคนเฆี่ยนพวกนั้น เอาแต่คิดว่าจะเฆี่ยนคนเช่นไรมาทั้งชีวิต ครั้งก่อนทำเอารู้สึกว่าก้นไม่ใช่ก้นของตัวเอง ความรู้สึกแบบนั้น ในชีวิตนี้เขาไม่ต้องการลิ้มลองอีกต่อไป เขารีบส่ายหน้าแล้วสัญญากับหลี่ซื่อหมินว่าจะไม่มีทางให้มันรั่วไหลออกไปแน่นอน แต่เมื่อเห็นท่าทางที่พอใจของจั่งซุน เขาก็รีบพูดออกมาว่า “แล้วหากฮองเฮาเผลอทำให้มันรั่วไหลออกไปจะทำเช่นไร” 


 


 


“เช่นนั้นก็ตีเจ้า ทำไม ไม่พอใจหรือ” หลี่ซื่อหมินพูดคำเหล่านี้ออกมาจากจมูก มองมายังอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห 


 


 


เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปจากตำหนักลี่เจิ้งด้วยท่าทางโมโหแล้ว หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนต่างหันหน้ามามองหน้ากันแล้วยิ้ม ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องทำ การได้รังแกอวิ๋นเยี่ยก็คือหนึ่งในความสุขไม่กี่อย่างของทั้งสองคน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะออกมาจากตำหนักลี่เจิ้งก็เห็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารร้องไห้ขณะมองมายังตัวเขา ทำอย่างกับเขาเป็นไอ้สารเลวอย่างไรอย่างนั้น อวิ๋นเยี่ยเกาหัวด้วยความหงุดหงิด ราวกับว่าเขารังแกเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆอย่างนั้นแหละ 


 


 


เขาเดินเข้ามานั่งยองๆ ที่หน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า “เพราะเรื่องบ่อน?” 


 


 


ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงก็ร้องไห้โฮขึ้นมา สะอึกสะอื้นและพูดว่า “ข้าไม่มีแม่ ไม่มีใครช่วยเก็บเงินค่าสินสอดทองหมั้น ท่านลุงของข้าเปิดบ่อนหาเงิน ช่วยข้าเก็บเงินค่าสินสอด แต่เจ้ากลับส่งคนไปทำลายบ่อน แล้วยังตีท่านลุงของข้า ข้าไม่มีสินสอด ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งงานได้เช่นไร” 


 


 


หลานหลิงเสียใจจริงๆ ถึงแม้ว่านางจะฉลาดแต่นางก็ยังเป็นเด็ก ถูกคนที่ตัวเองเชื่อใจทำร้าย นางเสียใจเป็นอย่างมาก นางคงจะรู้สึกว่าในพระราชวังไม่มีใครที่นางสามารถเชื่อใจได้อีกแล้ว 


 


 


เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นางแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงส่งคนไปทำลายที่นั่นทั้งๆ ที่ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นบ่อนของเจ้า องค์หญิงที่เปิดบ่อนเปิดหอนางโลมมีตั้งมากมาย แต่ทำไมข้าถึงไม่ไปทำลายของพวกนาง แต่กลับทำลายของเจ้า?” 


 


 


หลานหลิงร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “เพราะว่าข้าเป็นเด็กที่ไม่มีแม่ มีแต่คนชอบรังแกข้า” 


 


 


“เหลวไหล เพราะว่าในบรรดาเหล่าองค์หญิงข้าชอบหลานหลิงที่สุด เด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยงาม ทำไมต้องไปหาเงินสกปรกเช่นนั้น อยากได้ค่าสินสอดง่ายจะตาย ก็แค่มาบอกข้า ข้าจะแนะนำวิธีหาเงินที่ดีให้เจ้า เด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยงามควรจะหาเงินที่สะอาดสะอ้าน เช่นนั้นตอนที่เจ้าใช้เงินเจ้าถึงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล อยากใช้เช่นไรก็ได้ เหล่าขุนนางนักสืบพวกนั้นจะได้ไม่ต้องวิ่งไปฟ้องเสด็จพ่อของเจ้าทุกสองสามวัน ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อของเจ้าจะได้เลือกสามีที่หล่อเหลาและมีความสามารถให้เจ้า” 


 


 


หลานหลิงหยุดร้องไห้ทันที ทั้งที่นางยังตาแดงก็เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยว่า “จริงหรือ ในพระราชวังเจ้าชอบข้ามากที่สุดหรือ” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นองค์หญิงที่ฉลาดที่สุด เจ้ารู้จักใช้สมองตั้งแต่เด็ก เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก และแน่นอนว่าข้าจะต้องชอบองค์หญิงที่ฉลาดที่สุดอยู่แล้ว” 


 


 


“แต่ข้าไม่มีเงินทำกิจการ ตอนนี้ข้ามีเงินค่าสองร้อยเหรียญ ทำกิจการใหญ่ไม่ได้ พวกพี่ๆ คนอื่นๆ ล้วนแต่มีเงิน ส่วนแบ่งของข้าน้อยมาก” 


 


 


“มีแต่คนโง่ที่ใช้เงินมากมายไปทำกิจการ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าทำกิจการโดยไม่มีทุนมาตลอด คนฉลาดมักจะรู้วิธีใช้สมองไปหาเงินจากคนโง่พวกนั้น เจ้าดูผู้คนที่เดินไปเดินมาในวัง พวกเขาโง่จนทำให้รู้สึกน่าโมโหใช่หรือไม่” 


 


 


หลานหลิงหันหน้าไปมองเหล่าขุนนางและขันทีที่ก้มหน้าก้มตาอยู่รอบๆ แล้วยังมีนางสนมที่รอเสด็จพ่ออยู่ที่ศาลาอีก นางรู้สึกว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัวเองล้วนแต่เป็นคนโง่เง่าจริงๆ นางพยักหน้าลงอย่างแรง ตอนนี้หลานหลิงรู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่าคนเหล่านั้นตั้งเยอะ 


 


 


เมื่อครู่หลานหลิงกำลังดื่มนม นมที่บริสุทธิ์ อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้ว เขามีความคิดขึ้นมาทันที เขาจับมือหลานหลิงขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ เราเป็นคนฉลาด แต่หากเราอยู่กับคนโง่เราก็จะกลายเป็นคนโง่ เราต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขา จะได้ไม่ถูกความโง่ปนเปื้อนเข้าใส่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าจะใช้ถ้วยนมหนึ่งถ้วยไปทำเงินก้อนแรกของเจ้าได้เช่นไร” 


 


 


ทั้งสองมายังห้องครัวของพระราชวัง อวิ๋นเยี่ยไล่พ่อครัวในครัวออกไป หลานหลิงก็ถือไม้กวาดช่วยไล่คนอื่น รอดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้นมทำเงินเช่นไรอย่างกระวนกระวาย ของที่ดูเหมือนว่าจะมีเยอะที่สุดในพระราชวัง แม้แต่สาวใช้ในวังก็ยังมีดื่ม 


 


 


มีสาหร่ายทะเลจำนวนมากในพระราชวัง มีเศษอินทรียวัตถุสีน้ำตาลแดงจำนวนมากในสาหร่ายทะเล อวิ๋นเยี่ยหยิบมากำมือหนึ่งแช่ในน้ำอุ่นและเทโยเกิร์ตลงไปกวนในถังไม้ที่มีเนย กวนไปเรื่อยๆ ผ่านไปไม่นานก็มีฟองสีขาวลอยขึ้นมาด้านบนของโยเกิร์ต ใช้ช้อนแบนๆ ตักออกมาแล้วบอกหลานหลิงว่านี่คือครีม ลองชิมดูแล้วก็โอเคเลย ไม่เปรี้ยว 


 


 


จากนั้นก็เอาเศษอินทรียวัตถุที่แช่เสร็จแล้วเทเข้าไปต้มในหม้อต้ม ผ่านไปไม่นานก็ต้มออกมาเป็นน้ำเมือก เอาออกมาให้มันแข็งตัวบนก้อนน้ำแข็งแล้วจึงเอาชั้นบนสุดออกมา ไม่เลวเลยทีเดียว มีสีน้ำตาลเล็กน้อย 


 


 


สุดท้ายใส่น้ำมันถั่วเหลืองลงในหม้อเล็กน้อย กำน้ำตาลออกมาสองกำมือแล้วเอาไปต้มในหม้อน้ำมัน รอให้มันเดือด เอาครีม นม และเศษอินทรียวัตถุที่ต้มจนเป็นวุ้นใส่เข้าไปต้มด้วยกัน ปล่อยให้นมแห้งจนกลายเป็นของเหลวหนืด จากนั้นก็เทลงบนแผ่นไม้ ตากให้เย็นสักหน่อย ถือโอกาสในตอนที่น้ำตาลยังไม่แข็งตัว ใช้มือถูเป็นเส้นบางยาวๆ ใช้มีดตัดเป็นเม็ดๆ และโยนลงไปในน้ำแข็ง รอจนเย็นแล้วก็หยิบมาเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในปากของหลานหลิง ตัวเองก็ชิมดูเม็ดหนึ่ง ถือว่าไม่เลว ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว ฝีมือตกลงไปนิดหน่อย ไม่อร่อยเท่าเมื่อก่อน หรืออาจเป็นเพราะวัตถุดิบก็ได้ 


 


 


เขายังกินเม็ดแรกไม่หมด แต่หลานหลิงกินไปแล้วสามเม็ด กลิ่นของน้ำตาลผสมกับรสหวานของนม มันช่างอร่อยเลิศจริงๆ แต่ถึงแม้ว่ามันจะอร่อย แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปหลอกคนโง่พวกนั้นอย่างไร 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบเม็ดขี้ผึ้งออกจากแขนเสื้อ ทุบให้เป็นชิ้นๆ หยิบยาที่ใช้รักษาหลอดลมออกมา จากนั้นก็เอาใส่ลงไปในลูกอมนม ปิดผนึกขี้ผึ้งอ่อนอย่างระมัดระวังและถามหลานหลิง 


 


 


“ขายให้เจ้าสองเหรียญเจ้าเอาหรือไม่” 


 


 


หลานหลิงเข้าใจขึ้นมาทันที นางกระโดดและพูดว่า “สองเหรียญ เอาแน่นอน อร่อยขนาดนี้ ข้าจะบอกพวกเขาว่านมถ้วยหนึ่งทำออกมาได้แค่เม็ดเดียว” 


 


 


เเค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเด็กฉลาด แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีความละอายใจอยู่บ้าง นางยังไม่เข้าใจประโยชน์ของการโฆษณา เขาลูบหัวขอหลานหลิงเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ กินของเสด็จพ่อเจ้า ใช้ของเสด็จพ่อเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมีต้นทุน ลูกสาวอยากจะดื่นนมสักสองถ้วย คนเป็นพ่อจะไม่ให้ดื่มได้เช่นไร 


 


 


สำหรับเรื่องของลูกอมนม เจ้าควรพูดเช่นไร บอกว่ามีวันหนึ่งที่เจ้ากำลังนอนหลับอยู่ เจ้าฝันถึงตาเฒ่าหนวดขาวคนหนึ่ง เขาสอนวิธีทำเช่นนี้ให้กับเจ้าในฝัน บอกว่าหากกินเป็นประจำมันจะทำให้หน้าตาดีขึ้น ทำให้ผิวสวยขึ้น และที่สำคัญคือทำให้น้ำเสียงดีขึ้น เพราะเช่นนี้ เจ้าจึงไปหายาสมุนไพรกว่าสิบชนิดและขอให้อาจารย์ซุนมาช่วย อาจารย์ซุนก็บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของดี เพราะว่าอาจารย์ซุนพูดเช่นนี้ ดังนั้นหนึ่งเม็ดจึงต้องขายสิบเหรียญ ชิงเชวี่ยพี่ชายของเจ้าชอบขนมหวานเป็นที่สุด เจ้าสามารถไปเอาชื่อเสียงมาจากเขา จากนั้นก็ขายในพระราชวัง แต่อย่าเอาให้พวกพี่ๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเจ้า รู้หรือไม่” 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 56 บังคับให้เป็นหัวขโมย

หลานหลิงเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ผ่านไปไม่นานนางก็ไปหาแม่นมและสาวใช้ของตัวเองสี่คน ขอร้องให้อวิ๋นเยี่ยทำให้ดูอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วก็ลงมือทำอีกครั้ง งานที่เรียบง่ายเช่นนี้ แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย ผู้ใหญ่คนหนึ่งพาเด็กผู้หญิงห้าคนทำลูกอมนมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รสชาติดูเหมือนว่าจะอร่อยกว่าที่อวิ๋นเยี่ยทำเสียอีก ต้าถังไม่เคยขาดแคลนยอดฝีมือในการทำอาหารจากนมอยู่แล้ว 


 


 


ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกสาวน้อยจะทำเช่นไร ครอบครองตลาดของพระราชวังก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปตลาดอื่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเท่าไรนัก ขอแค่มีก้าวแรก พลังแห่งความปรารถนาและต้นทุนจะบังคับให้นางก้าวออกไปทีละก้าว สุดท้ายก็จะกลายเป็นบริษัทลูกอมขนาดใหญ่ เห็นได้ว่าหลานหลิงมีศักยภาพในด้านนี้อย่างชัดเจน 


 


 


กลับมาถึงเขาอวี้ซัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าไปในบ้านแต่กลับเดินไปที่ห้องยาของซุนซือเหมี่ยว ทำความสะอาดตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ที่นั่นและแช่น้ำต้นหลิวก่อนกลับบ้าน เขายังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเชื้อโรคของซุนซือเหมี่ยวอยู่บ้าง 


 


 


เมื่อเข้าไปในประตูแล้วก็เห็นช่างไม้และลูกศิษย์กำลังแบกไม้อย่างดีกลับไปยังห้องทำงานที่สวนหน้าบ้าน พวกเขาเห็นว่าท่านโหวกลับมาจึงพากันวางไม้ในมือลงและโค้งคำนับท่านโหวอย่างนอบน้อม 


 


 


“ไม้ไม่เลวเลยทีเดียว จะเอาไปทำอะไรกัน” 


 


 


“กราบเรียนท่านโหว ชื่อเสียงของรถเข็นเด็กตระกูลเราโด่งดังออกไปทั่ว สองสามวันมานี้ข้าน้อยทำรถเข็นอยู่ตลอด พึ่งจะส่งไปให้ตระกูลเอ้อกั๋วกงสามคัน ตอนนี้จวนของหั่วกั๋วกงส่งวัสดุมาให้ บอกให้ตระกูลเราทำให้เขาสามคัน ร้านเผียนอี้ฟางยังสั่งซื้อจากข้าน้อยอีก บอกว่าหนึ่งเดือนขอห้าสิบคัน ท่านโหวท่านดูสิ ตระกูลของเรายุ่งขนาดนี้ ใครจะมีเวลาไปสนใจพวกพ่อค้า” 


 


 


“โง่จริงๆ เจ้าสอนลูกศิษย์สักสองสามคนก็ได้ ให้พวกเขาทำให้ลูกค้า เจ้าทำให้พวกเศรษฐีก็พอ” อวิ๋นเยี่ยกังวลเกี่ยวกับเรื่องไอคิวของคนในตระกูลตัวเองนิดหน่อย 


 


 


“ท่านโหว ไม่ได้ขอรับ นี่คือฝีมือของตระกูลเรา ไม่ควรส่งต่อให้กับคนนอก ข้าน้อยจะถูกคนอื่นนินทาด่าว่าเอาได้” ช่างไม้กระโดดขึ้นตอบโต้ราวกับถูกตัวต่อต่อย 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนึกขี้เกียจจะสนใจ เขากำลังจะเตะเข้าให้ ซินเย่วก็เข็นอวิ๋นน้อยเดินเข้ามาและพูดกับช่างไม้ว่า “ฝีมือของตระกลูเราช่างยอดเยี่ยม ใครอยากจะได้เงินแค่นั้น ทำให้ตระกูลของเหล่าผู้อาวุโสสองสามคนก็พอแล้ว เหอเซ่าทำเกินไปแล้ว กล้าที่จะเสนอข้อเสนอเช่นนี้ สมควรตีให้ตายนัก” 


 


 


เห็นลูกชายยิ้มจนน้ำลายไหล ใครจะยังมีอารมณ์ไปสนเรื่องไม้เหล่านั้นได้อีก ตอนนี้เหอเซ่าอ้วนขึ้นจนแทบจะเดินไม่ได้ ทำเก้าอี้เข็นขึ้นมาแล้วให้คนรับใช้สองสามคนช่วยกันเข็น สมควรถูกตีจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกชายออกมาจากรถเข็น นี่คือดวงใจของข้า พึ่งจะได้ใกล้ชิดกับลูกชาย พึ่งจะกัดมืออ้วนๆ ของเขา ก็เห็นเสี่ยวยารีบวิ่งออกมาจากทางสวนหลังบ้าน ปิ่นปักผมหล่นลงมาอยู่ที่หลังหู นางถือขวานมาด้วย ตัดไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วออกมา สับให้มันเป็นสองท่อนแล้ววิ่งกลับไปที่เดิม 


 


 


ซินเย่วโมโหจนหน้าแดงก่ำ นางจับเสี่ยวยามาตีที่หลังสองที ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด เด็กบ้านนอกยังไม่ซนเท่านางเลย 


 


 


ในเมื่อซินเย่วกำลังสั่งสอนนาง เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นไม่สนใจดีกว่า อุ้มลูกชายขึ้นมาแล้วตั้งใจจะเดินไปหาลูกสาวของตัวเอง เมื่อก้าวมาถึงสวนหลังบ้านเขาถึงกับตกใจ น่ารื่อมู่ยืนอยู่ในบ้านต้นไม้ ยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างเล็กๆ แลบลิ้นให้กับพวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างล่าง แล้วยังเอาบันไดขึ้นไปเก็บไว้ข้างบนอีกต่างหาก พวกเด็กๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้พากันประณามน่ารื่อมู่ด้วยความโกรธเคือง น่ารื่อมู่ชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก แล้วนางยังเอาลูกสาวออกมาอวดอีกต่างหาก 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังตกใจ แต่ซินเย่วกลับเป็นบ้าไปแล้ว สั่งให้น่ารื่อมู่ลงมาจากต้นไม้ หลังจากเอาลูกสาวยัดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันไปบิดหูของน่ารื่อมู่ ก่อนจะตีเข้าที่หลังอย่างแรง เด็กสองสามคนที่กำลังหัวเราะ ทำเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน ความโชคร้ายของตัวเองก็มาถึง ซินเย่วใช้ไม้ไผ่ที่เสี่ยวยาพึ่งตัดออกมาเมื่อครู่สั่งสอนพวกนาง ทันใดนั้นสวนดอกไม้ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม เหล่าป้าๆ น้าอาก็พากันยื่นหน้าออกมาจากห้อง จากนั้นก็กลับไปเล่นไพ่นกกระจอกกันต่อ ดูเหมือนว่าเรื่องแบบนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว 


 


 


ช่างเป็นครอบครัวที่กลมกลืนเสียจริง แต่ว่าตี๋เหรินเจี๋ยไปไหนแล้ว บ้านต้นไม้ก็มีแค่หลังเดียว หันหลังกลับไปมอง ก็เห็นตี๋เหรินเจี๋ยนั่งอยู่บนบ้านต้นไม้คนเดียวพร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมือ เขาส่ายหัวแล้วอ่านหนังสือต่อ ฮันฮันตัวอ้วนนอนอยู่ข้างใต้บริเวณรากต้นไม้ เอาตัวถูกับต้นไม้ไปมา ไขมันบนใบหน้าเยอะจนแทบจะมองไม่เห็นดวงตาเสียแล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา มันพยายามลุกยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แล้ววิ่งสะบัดก้นไปขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวยาทันที 


 


 


อยากจะฆ่าหมูตัวนี้เอาเนื้อมากินตั้งนานแล้ว แต่เสี่ยวยาไม่ยอม มีบ้านไหนเลี้ยงหมูเกินสามปีบ้างล่ะ ตอนนี้น้ำหนักตัวมันปาเข้าไปห้าร้อยกิโลกรัมเข้าไปแล้ว ท่านย่าเองก็ไม่อนุญาตให้ฆ่ามันเช่นเดียวกัน บอกแต่ว่าการมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบ้านถือเป็นเรื่องที่ดี แต่มันไม่ดีตรงที่มักมันจะมาขโมยอาหารกินน่ะสิ 


 


 


บอกให้ตี๋เหรินเจี๋ยเอาลูกชายของตัวเองขึ้นไป ส่วนเขาก็อุ้มลูกสาวแล้วปีนบันไดขึ้นไป ไปดูข้างบนบ้านต้นไม้ และในที่สุดก็ได้รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรพวกเด็กผู้หญิงถึงไม่ยอมขึ้นมาที่นี่กันแล้ว 


 


 


แผ่นไม้เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยซากแมลงต่างๆ แล้วยังมีซากของงูอยู่อีก มันอ้าปากกว้าง แค่มองดูก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว ไม่แปลกใจที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าขึ้นมา แม้แต่ซือซือที่มีความกล้าหาญชาญชัยที่สุดก็ยังไม่ชอบอยู่กับงู 


 


 


“เสี่ยวเจี๋ยเจ้านี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกสาวอยู่ในอ้อมแขน ปล่อยให้ลูกชายคลานไปบนพื้นพรม เขาหยิบซากขึ้นมาดูอย่างละเอียด 


 


 


ตี๋เหรินเจี๋ยเกาท้ายทอยและพูดว่า “ข้าไม่ได้อยู่อย่างเงียบสงบเลย พวกนางชอบมาเล่นในห้องของข้า กระโดดไปๆ มาๆ บนเตียงของข้าแล้วยังใส่เสื้อผ้าของข้า มันช่วยไม่ได้นี่ ข้าก็เลยเอาซากสัตว์ออกมา ตั้งแต่ท่านลุงเป่าจับงูให้ข้าตัวหนึ่งก็ไม่มีใครกล้ามาเหยียบที่นี่อีกเลย” 


 


 


“รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ดี ความจริงข้ารอให้เจ้ามาขอความช่วยเหลือจากข้าอยู่ตลอด แต่เจ้าก็ไม่มา คนที่จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองได้ ต่อไปจะต้องจัดการเรื่องใหญ่ๆ ได้แน่นอน เสี่ยวเจี๋ย เจ้าเก่งมาก” 


 


 


สำหรับเด็กๆ อวิ๋นเยี่ยไม่เคยไม่ยกย่อง ตี๋เหรินเจี๋ยได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข ช่วยอวิ๋นเยี่ยยดึงอวิ๋นน้อยออกมาจากหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


เด็กดีควรได้รับรางวัล เด็กคนนี้ชอบกินลูกชิ้นตุ๋นมากที่สุด วันนี้พอมีเวลาทำให้เขากินอยู่บ้าง พูดไปแล้วตัวเองก็เกิดรู้สึกหิวขึ้นมา อยู่ในภูเขากินอะไรก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ ทรมานท้องไส้ไปหมด 


 


 


มนุษย์เราเมื่อชอบอกชอบใจก็มักจะลืมตัวไปชั่วคราว เมื่อมีลูกชิ้นขนาดใหญ่เท่ากำปั้นสองลูกอยู่ในชามของตี๋เหรินเจี๋ย ตัวเองพึ่งจะกินไปได้คำหนึ่ง ก็เอาไปโอ้อวดที่สวนดอกไม้ เด็กผู้หญิงพวกนั้นและน่ารื่อมู่ถูกฮูหยินใหญ่ลงโทษให้ไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ขณะที่กำลังบ่นกันอยู่ก็เห็นว่าตี๋เหรินเจี๋ยเดินมาพร้อมกับลูกชิ้นตุ๋น… 


 


 


ตี๋เหรินเจี๋ยเช็ดน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้า หันมามองชามที่ว่างเปล่าของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยเอาลูกชิ้นที่เตรียมไว้กินตอนดึกออกมาแบ่งให้เขา คราวนี้ตี๋เหรินเจี๋ยจึงนั่งลงกินอยู่ข้างหน้าอาจารย์ ตีให้ตายก็ไม่มีทางไปที่สวนดอกไม้อีก 


 


 


เมื่อเข้านอนตอนกลางคืน น่ารื่อมู่นอนบนเตียงของซินเย่วอย่างดื้อดึงไม่ยอมลงมา ปากก็ฟ้องอวิ๋นเยี่ยว่าซินเย่วใช้ไม้เท้าตีนาง แล้วยังเอาหลักฐานมาให้ท่านพี่ดู ซินเย่วโมโหขึ้นมาทันที ตีก้นที่เปลือยเปล่าของนางสองสามที แล้วยังไล่อวิ๋นเยี่ยออกไปข้างนอก บอกว่าวันนี้จะต้องจัดการน่ารื่อมู่ให้ได้… 


 


 


ครอบครัวก็เป็นเช่นนี้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ดูมีชีวิตชีวาดี จิบเหล้าภายใต้แสงจันทร์คนเดียวช่างได้บรรยากาศ ว่ากันว่าดวงจันทร์ที่ด่านชายแดนของราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่นนั้นช่างน่าหลงใหล ดวงจันทร์ของต้าถังก็สวยงามมากเช่นกัน แขวนอยู่บนยอดเขาราวกับถูกใครตีเข้าให้ ตอนนี้ไม่มีความคิดอะไรพวกนั้น แค่อยากใช้ชีวิตนี้อย่างมีความสุข ขณะนั้นเองก็เห็นว่ามีคนกำลังรำดาบอยู่ ดาบส่องแสงเป็นประกายวูบวาบ ท่วงท่าร่ายรำสง่างาม ทว่าเห็นเพียงแค่แสงเงาแต่มองไม่เห็นตัวคน 


 


 


เด็กผู้หญิงคนหนึ่งท่องกลอนอย่างแผ่วเบา “หญิงสาวที่งดงาม สวมชุดผ้าลินิน นางคือที่รักของฉีโหว นางคือภรรยาของเว่ยโหว นางคือน้องสาวของรัชทายาท นางคือท่านป้าของสิงโหว ถานกงคือพี่เขยของนาง มือช่างนุ่มนวลราวกับฤดูใบไม้ผลิ ผิวช่างขาวและชุ่มชื้น ลำคอที่งามระหง ฟันที่เรียงสวย หน้าผากอันอวบอิ่ม รอยยิ้มอันแสนหวาน สายตาที่น่าหลงใหล หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงสง่า จอดรถม้าอยู่ข้างทาง เห็นม้าที่สง่างามสี่ตัว ด้ายแดงผูกติดกับคอม้า รถม้าขับไปทางห้องโถงที่กำลังวุ่นวาย หมอหลวงที่เกษียณอายุก่อนกำหนด ฮ่องเต้ของยุคนี้ น้ำในแม่น้ำฮวงโหกว้างใหญ่ไพศาลไหลลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว โยนแหจับปลาลงไป ปลาพากันแหวกว่าย เพื่อนเจ้าสาวทั้งสองฝั่งรูปร่างสูง ชายที่ติดตามก็หล่อเหลา” 


 


 


เด็กคนนี้คิดว่าคงไม่ได้การแล้ว บอกคนรำดาบออกไปว่าตัวเองต้องการจัดงานแต่งอย่างไร ทว่างานแต่งงานของสนมฉีก็แค่นั้น งานแต่งงานของน้องสาวข้าต้องแข็งแกร่งกว่านางเป็นร้อยเท่าอยู่แล้ว อี้เหนียงกับรุ่นเหนียงเป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้อง ตระกูลอวิ๋นจัดงานแต่งให้พวกนางไม่ได้ แต่งานแต่งของต้ายานั้นไม่เหมือนกัน นางคือนายหญิงคนโตของตระกูลอวิ๋นที่แท้จริง นามสกุลอวิ๋นของอี้เหนียงกับรุ่นเหนียง อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเพิ่มเข้าไปให้เอง แต่ไม่ถือว่าเป็นเชื้อสายเดียวกัน เข้าไปในห้องบูชาบรรพบุรุษไม่ได้ นี่คือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ด่านของท่านย่ายังผ่านไปไม่ได้ ตอนที่อี้เหนียงแต่งงาน ท่านย่าพยายามพูดเบี่ยงไปแล้ว ทำให้พวกเศรษฐีพากันหัวเราะเยาะ รุ่นเหนียงเองก็กำลังจะแต่งงาน นางไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยเข้ามายุ่ง อยากจะให้เงินก็ต้องแอบให้อย่างลับๆ เท่านั้น 


 


 


หากเป็นต้ายาแต่งงาน สิ่งของของตระกูลอวิ๋นก็จะถูกนำออกมาใช้เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล หากเจ้าไม่มีค่าสินสอดสักเหรียญ แต่มีสิ่งของของตระกูล ตระกูลของสามีคงจะรู้สึกมีความสุขมากกว่าได้รับเงินไปเสียอีก ดูสิ ตอนนี้เด็กผู้หญิงที่อายุแค่สิบหกก็อยากแต่งงานซะแล้ว เลี้ยงมาตั้งนานแต่กลับมาถูกไอ้หัวขโมยคนนี้ดูดวิญญาณไปแล้ว 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ตะโกนออกไปที่กำแพงว่า “ฝันไปเถอะ อยากจะแต่งงานเหมือนกับนางสนมฉีก็ไปบอกให้เขาเอาเงินที่ติดหนี้ตระกูลเรามาคืนก่อน แล้วค่อยแต่งออกไป ข้าจะไม่ให้อะไรสักอย่าง จิตใจที่ดีก็ไม่มี มารำดาบตอนกลางคืน รบกวนคนอื่นเขา” 


 


 


ต้ายาคิดไม่ถึงว่าพี่อวิ๋นของตัวเองจะตะโกนออกมาจากหลังกำแพง นางจึงรีบหลบเข้าไปในห้องทันที รีบล็อกประตูเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่นานก็มีใบหน้าที่โมโหของซ่านอิงโผล่ขึ้นมาที่กำแพง ไม่เห็นว่าเขาจะใช้แรงอะไร เขาหมุนตัวเข้ามา แทงดาบอันแวววาวลงไปที่พื้น นั่งลงข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย ถือเหล้าไหใหญ่ขึ้นมาดื่ม ส่งเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านลุง ตระกูลซ่านของข้าก็มีแค่ข้าคนเดียวที่เป็นคนสืบทอดตระกูล ท่านคิดว่าจะให้ต้ายาแต่งเข้ามาเมื่อใดจึงจะเหมาะสม ข้าจะได้ไม่ต้องข้ามกำแพงบ้านท่านไปๆ มาๆ” 


 


 


“แต่งงานอะไรกัน ตอนนี้เจ้าก็มีแค่สมองที่อยู่บนไหล่ ไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน เจ้าจะให้ต้ายาไปเป็นหัวขโมยกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เด็กคนนั้นลำบากมาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางต้องทุกข์ทรมานอีก รอให้เจ้ามีบ้าน มีรถ มีเงินแล้วค่อยมาสู่ขอ ให้ข้าได้ดูแลนางอีกสักสองสามปีค่อยว่ากัน” 


 


 


“ใครบอกว่าข้าเป็นคนยากจน กิจการที่ลั่วหยางใหญ่ขนาดนั้น” ซ่านอิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“ข้าพึ่งจะดูบัญชีไป ปีที่แล้วเจ้าขายฟืนทำเงินได้หนึ่งร้อยสามสิบสามเหรียญ จากนั้นเจ้าก็ไปสร้างบ้านให้พวกหญิงชราและเด็ก ใช้เงินไปหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญ ซึ่งหมายความว่าเจ้าติดหนี้อีกหนึ่งพันหกร้อยกว่าเหรียญ เถ้าแก่มาร้องไห้กับข้า บอกว่าเงินที่เจ้าให้คนพวกนั้นช่างไร้สาระมาก ไม่เช่นนั้นปีที่แล้วก็ได้ต้นทุนคืนแล้ว ตระกูลอวิ๋นจัดประชุมเมื่อปลายปี เขารู้สึกว่าเขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก ขอร้องให้พี่สะใภ้ของเจ้าหาคนมีความสามารถคนอื่น เขากำลังจะไปเป็นขอทาน” 


 


 


“พวกนางยากจนท่านก็รู้” 


 


 


“แต่เจ้ายากจนยิ่งกว่า เป็นหนี้เป็นสิน แม้แต่ดาบล้ำค่าก็เอาไปจำนำ ตอนนี้แม้แต่แต่งภรรยาเจ้าก็ยังไม่มีเงิน ก่อนจะช่วยคนอื่นควรช่วยตัวเองก่อนเจ้าไม่รู้หรือไง” 


 


 


“ข้าจะต้องหาเงินมาให้ได้ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” พูดเสร็จก็ปรบมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“พี่อวิ๋น เสี่ยวอิงจะเป็นอะไรหรือไม่ เขาจะออกไปปล้นแล้ว” ต้ายารีบออกมาจับมืออวิ๋นเยี่ยจากด้านหลังต้นไม้ด้วยความตกใจ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)