เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 52-53
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 52 ใช้คนทดลอง (สาม)
“หลังจากซุนเต้าจั่งทั้งหกคนเข้าไปแล้ว เขาก็ปิดทางเข้าถ้ำอย่างแน่นหนา หากไม่ครบสองเดือนก็ไม่อนุญาตให้เปิดออก ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่อนุญาตให้เปิด หน้าต่างระบายอากาศข้างบนคือทางเข้าออกของอาหาร ใช้บ่วงส่งเข้าไป บ่วงต้องล้างด้วยแอลกอฮอล์ทุกวัน คนที่ปฏิบัติงานต้องสวมเสื้อคลุมทั้งตัว สวมหน้ากากปิดปากปิดจมูก ใช้ครั้งเดียวก็เผาทิ้งซะ คนที่มายุ่งเกี่ยวด้วยยิ่งน้อยยิ่งดี หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขการป้องกันเช่นนี้ แล้วพวกเจ้ายังมีคนป่วยอยู่ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าควรจัดการเช่นไร แล้วข้าจะจุดไฟเผาภูเขาลูกนี้เอง”
อวิ๋นเยี่ยพูดคำที่ไร้ความปรานีที่สุดบนโลกใบนี้ให้ทหารที่อยู่ข้างหลังฟังอย่างแผ่วเบา แต่ความเจ็บปวดในใจกลับราวกับกระแสน้ำที่กระทบเข้ามาให้หัวของเขา เงื่อนไขเรียบง่ายเกินไปแล้ว ปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากเกินไป เงื่อนไขการป้องกันที่พูดได้ว่าเคร่งครัดจนเคร่งครัดไปกว่านี้ไม่ได้แล้วของยุคหลังยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ตอนนี้การทำเรื่องแบบนี้มันอันตรายเกินไป นอกเสียจากว่าต้องเอาชีวิตคนไปเติมเต็มก็ไม่มีวิธีอื่น
“อวิ๋นโหว พี่น้องทุกคนต่างก็รู้ว่าการทหารครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้ว่าอันตรายมาจากไหน แต่เมื่อเห็นซุนเต้าจั่งเดินเข้าไปในถ้ำ ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทสั่งให้ข้าทำตามคำสั่งของท่านโหวอย่างเคร่งครัด ในถ้ำกำลังทำอะไรข้าไม่กล้าถาม แต่แค่อยากรู้ว่าหากพวกข้าตายไป พวกข้าตายไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่”
เมื่อแม่ทัพไป๋เหยี่ยนเหรินพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่ารูม่านตาของเขาจะหดตัวลง อวิ๋นเยี่ยพูดกับเขาอย่างเคร่งขรึมว่า “เดิมทีฝ่าบาทจะส่งองค์ชายมาทำเรื่องที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่ถูกข้าปฏิเสธ องค์ชายอาจจะพึ่งพาได้มากกว่าเจ้า แต่ในเรื่องความสามารถของการป้องกันเขาด้อยกว่าเจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าหากเจ้าตายในภารกิจครั้งนี้ เจ้ามีความดีความชอบยิ่งใหญ่กว่าการไปยึดธงเมืองอื่นเสียอีก”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นท่านโหวจะจัดการเช่นไร คำสั่งของท่านเมื่อครู่คือไม่อนุญาตให้ใครออกไป ถึงตอนนั้นหากท่านทำไม่ลง ก็ให้ข้าทำแทนดีหรือไม่”
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าไอ้สารเลวที่จะฆ่าตัวเองเมื่อไรก็ได้มีฟันสีขาวแล้วยังสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าตัวเองไม่มีทางติดเชื้อไข้ทรพิษ ไม่มีทางตาย
“หากพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าค่อนข้างซวย ข้าค่อนข้างโชคดี เพราะเรื่องพื้นฐานของร่างกาย ข้าไม่มีทางเป็นอะไร ส่วนเจ้า ข้าพูดอะไรไม่ได้ ดังนั้นถึงตอนนั้น ตอนที่เจ้าฆ่าตัวตายเจ้าช่วยลงมือให้รวดเร็วหน่อย ข้าฆ่าคนไม่ค่อยเป็น ไก่ที่บ้านข้ายังฆ่าไม่ตาย หากให้ข้าช่วยฆ่าเจ้า บางทีใช้มีดฟันสิบกว่าครั้งเจ้าก็อาจจะยังไม่ตาย ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าข้าฝีมือไม่ดี”
สองคนกำลังพูดคุยกัน ซุนซือเหมี่ยวก็เดินขึ้นจากป่าพร้อมกับคนทดลองยาอีกห้าคน ทุกคนสวมเสื้อสีขาว ไม่พูดไม่จาช่างทำให้คนรู้สึกกลัว
อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเหล่าเต้า แต่ซุนซือเหมี่ยวกลับหัวเราะแล้วห้ามเอาไว้ จับมือเขาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเตือนข้าอีก และก็ไม่ต้องบอกว่าให้เจ้ามาแทนข้า เจ้ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ข้าเชื่อ ความจริงข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดทั้งหมด เมื่อก่อนข้ายังสงสัย แต่หลายปีที่ผ่านมาข้าก็ได้ตรวจสอบความถูกต้องของเจ้าทีละอย่าง การทดลองนี้สำคัญมาก ข้าไม่อยากยืมมือคนอื่น แม้แต่เจ้าก็ไม่ได้ ข้าเกิดมาในลัทธิเต๋า อาจารย์ของข้าคือผู้บำเพ็ญเพียรที่เคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง หากทำสำเร็จ ความดีความชอบในครั้งนี้อาจจะช่วยเหลือลัทธิเต๋าที่กำลังตกต่ำได้ ก็ถือว่าข้าได้ทำดีที่สุดเพื่อความศรัทธาของข้าแล้ว”
ตบที่มือของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วก็เดินผ่านเขาเข้าไปในถ้ำ ที่นั่น มีเสื้อผ้าแบบเดียวกันหกชิ้นรอให้พวกเขาสวมใส่ เสื้อชุดนั้นจะต้องใส่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม…
เมื่อซุนซือเหมี่ยวพาชายทั้งห้าเดินเข้าไปในถ้ำ หินก้อนใหญ่ก็ตกลงมาบนพื้น ปิดผนึกปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา อวิ๋นเยี่ยคุกเข่าลงและโค้งคำนับไปที่ปากถ้ำอย่างเคร่งขรึม ตั้งแต่มาที่โลกใบนี้ เขาไม่เคยคุกเข่าโค้งคำนับใครจริงใจเช่นนี้มาก่อน การโค้งคำนับสามครั้ง แม้แต่กับหลี่ซื่อหมินเขาก็ไม่เคยทำ
แม่ทัพไป๋เหยี่ยนก็โค้งคำนับตาม เหล่าทหารไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหนก็ต่างพากันโค้งคำนับไปตรงปากถ้ำ พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมต้องคุกเข่าโค้งคำนับ แค่เห็นว่าท่านโหวกับแม่ทัพกำลังคำนับ พวกเขาจึงคำนับตาม เพราะคนที่เดินเข้าไปคือซุนซือเหมี่ยว โค้งคำนับก็เป็นเรื่องที่ควรทำ ได้เจอกับซุนเทพเซียนล้วนแต่เป็นบุญบารมี
อวิ๋นเยี่ยสร้างบ้านไม้อยู่ตรงปากถ้ำ ไม่มีกำแพงด้านหน้า เงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นปากถ้ำทันที เดือนนี้เขาวางแผนจะอาศัยอยู่ที่นี่ รอเหล่าซุนกลับมาอย่างปลอดภัย หากมีการเล่นพิณ มันคงจะสามารถปลอบประโลมจิตใจที่หงุดหงิดในถ้ำได้ แต่มีพิณก็ไร้ประโยชน์ เพราะอวิ๋นเยี่ยเล่นไม่เป็น ฝากความหวังไว้ที่แม่ทัพไป๋เหยี่ยนไม่สู้ฝากความหวังไว้ที่วัวสักตัว โชคดีที่เหล่าซุนเอาโทรศัพท์เข้าไปด้วย เพลง ‘คำสาปที่บริสุทธิ์’ ในโทรศัพท์อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น เหล่าซุนรู้ว่าแค่กดปุ่มนั้น ก็จะมีเสียงดนตรีที่ไพเราะดังออกมา เขาตกใจมากแต่กลับไม่ถามอวิ๋นเยี่ยสักคำ อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่ามันสามารถเล่นไปได้เรื่อยๆ ถึงสามชั่วโมง แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้แบตเตอรี่ยังคงเล่นถึงสามชั่วโมงได้หรือไม่
ในใจทุกข์ทรมาน แต่สีหน้ากลับไม่สามารถแสดงความกังวลออกมาได้ เพราะเช่นนี้ถึงได้เกิดภาพแปลกๆ ขึ้นที่ครึ่งห้องของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยกำลังฝึกเขียนตัวอักษร ยืดไหล่ตรง เขียนตัวอักษรราวกับมังกรและงูที่คดเคี้ยว หลังคาผ้ากระสับกระสาย ทำเอาเหล่าทหารต่างพากันเคารพศรัทธา คนที่มีความรู้ก็มักจะได้รับการเคารพเสมอ
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยเขียนคำว่าไอ้สารเลวกว่าสี่ร้อยรอบเสร็จ จากนั้นเขาก็เริ่มวาดภาพเต่า กระดองกลมขนาดใหญ่ วาดตารางข้างบน แลบลิ้นออกมาพยายามวาดหัวเต่าให้ดูมีชีวิตชีวา ชูหัวไปทางด้านซ้ายหรือขวา ในนี้มีแค่ความรู้ เต่ามีลิ้นหรือไม่ จำไม่ได้แล้ว วาดไปเถอะ วาดเพิ่มอีกสักหน่อยเวลาจะได้เดินไปเร็วๆ ตาสีเขียวสองลูก ปากหนึ่งปาก ขาสี่ข้าง หางเล็กๆ หนึ่งหาง
เต่าที่มีชีวิตชีวาก็วาดเสร็จแล้ว เพียงแต่ลิ้นไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ เงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า รู้สึกพอใจกับเวลาที่ผ่านไปกับการวาดภาพเต่าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ตัดสินใจระบายสีให้เต่า ระบายสีเสร็จฟ้าก็มืดลงพอดี
หลี่ซื่อหมินเอาหน้าไม้มาแปดอัน ใช้ข้างนอกห้าอัน ใช้ข้างในสามอัน แม่ทัพไป๋เหยี่ยนดูเหมือนจะไม่ต้องการพักผ่อน แค่อวิ๋นเยี่ยลืมตาขึ้นมาก็จะเห็นเขากำลังลาดตระเวนดูรอบๆ บางครั้งก็จับงูพิษในกอหญ้ามาถลกหนังกินเนื้อ บางครั้งจับรังนกอินทรีบนต้นไม้ อวิ๋นเยี่ยเคยบอกว่า แม้แต่หนูก็ไม่ได้ ไม่อนุญาตให้มีหนูในถ้ำแม้แต่ตัวเดียว ทุกที่มีแต่อาหารที่เป็นพิษ เป็นยาพิษของซุนซือเหมี่ยว ว่ากันว่ามันรุนแรงจนทำให้หายใจไม่ออก
ไม่ว่าใครก็ตามที่เอาแต่วาดเต่าทั้งวันทั้งคืนก็คงจะต้องวาดออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง หลีสือเคยบอกว่าเรื่องทั้งหมดบนโลกใบนี้ ขอแค่มีสมาธิก็พอ เพื่อหลีกหนีความทุกข์ทรมานของจิตใจ อวิ๋นเยี่ยเอาสมาธิทั้งหมดมาไว้ที่การวาดภาพ ใช้ทักษะการวาดภาพที่หลีสือเคยสอนวาดเต่าออกมา คำว่าเต่าไม่ใช่คำด่าคนในต้าถัง อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นผู้ชายตั้งหลายคนที่ในชื่อมีคำว่ากุย หวังกุยโซ่ว หลี่กุยเหนียน หั่นกุย เป็นต้น ทหารแนวหลังเห็นว่าท่านโหวหลงใหลในเต่ามากขนาดนี้ เขาก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ตอนที่ส่งเสบียงอาหารมา เขาตั้งใจส่งเต่าเล็กเต่าใหญ่มาให้กะละมังหนึ่ง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยกำลังมีความสุขกับการวาดภาพเต่า หน้าต่างระบายอากาศของถ้ำก็มีธงโผล่ขึ้นมา ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยที่ถือพู่กันอยู่ในมือสามอัน เต่าบนกระดาษก็เหลือแค่ตา เขาเห็นธงที่โผล่ขึ้นมา พู่กันที่อยู่ในมือก็ตกลงบนกระดาษ ทำให้เต่ามีตาสามตาที่สีไม่เหมือนกัน
น้ำต้นหลิว น้ำปูนขาว และแอลกอฮอล์เตรียมพร้อมหมดแล้ว น้ำมันเต็มปากถ้ำ เครื่ื่องโยนหินเต็มไปด้วยถังน้ำมัน หน้าไม้ลากหินก้อนใหญ่ออกจากปากถ้ำ อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่นอกวง พนมมืออธิษฐานขอให้พระเจ้าไม่ปล่อยให้คนอย่างซุนซือเหมี่ยวต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ ในประวัติศาสตร์ชายเฒ่าคนนี้มีอายุกว่าร้อยปี แต่เขาไม่ได้เป็นไข้ทรพิษซะหน่อย
พระเจ้ายังคงไว้หน้าเขา ซุนซือเหมี่ยวเปลือยกายเดินออกมาจากถ้ำ ในมือถือกระเพาะหมูที่แห้งเหือด มัดปากจนแน่น ข้างหลังมีชายร่างใหญ่ห้าคนเดินตามออกมา ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่แค่ไม่ได้เจอแสงอาทิตย์นานเกินไป พวกเขาพากันหลับตาอย่าชอบอกชอบใจ
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราไม่ใช่นักโทษอีกแล้ว พวกเราเป็นอิสระแล้ว ซุนซือเหมี่ยวก้าวลงไปในน้ำต้นหลิว เอาตัวลงไปแช่น้ำแล้วมุดหัวลงไปด้วย ทั้งห้าคนคุ้นเคยกับการทำตามซุนซือเหมี่ยวตั้งนานแล้ว พวกเขาก็พากันก้าวลงไปในน้ำต้นหลิวเช่นกัน
อวิ๋นเยี่ยมือสั่น ดึงแม่ทัพไป๋เหยี่ยนเดินมา เอาภาพเต่าให้เขาดูด้วยความตื่นเต้นแล้วพูดว่า “สำเร็จแล้ว เอาของสิ่งนี้ส่งไปให้ฝ่าบาท ส่งไปข้ามวันข้ามคืน อย่าได้รอช้า”
ถึงแม้ว่าแม่ทัพไป๋เหยี่ยนจะไม่รู้ว่าอะไรสำเร็จแล้ว แต่เขาก็ออกคำสั่งบอกให้เอาภาพวาดนั้นห่อไว้ดีๆ ใส่บ่วงส่งไปยังฝั่งตรงข้ามของหน้าผา มีกองทัพทหารอีกกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นก็เห็นเงาที่คล่องแคล่วว่องไวสองสามคนหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ซุนซือเหมี่ยวแช่อยู่ในน้ำต้นหลิวเป็นเวลาธูปหนึ่งดอก จากนั้นก็ลงไปแช่ในน้ำปูนขาวต่อ การแช่ในน้ำปูนขาวนั้นไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่เหล่าเต้าก็ยังคงยิ้ม ความเจ็บปวดแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้ ชายร่างใหญ่ห้าคนก็กระโดดลงไปด้วย พูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข ไม่สนใจความแรงของน้ำปูนขาวเลยแม้แต่น้อย
เห็นว่าทุกคนแช่กันหมดแล้ว ซุนซือเหมี่ยวก็ออกมาจากน้ำปูนขาว กระโดดลงไปในสระน้ำสะอาด มีเสื้อผ้า ผ้าเช็ดมือ และสบู่ก้อนใหญ่ในตะกร้าไม้ไผ่ที่มีเครื่องหมายตรงขอบสระ ชายร่างใหญ่พากันหัวเราะกระโดดลงไปในสระ หยิบผ้าเช็ดมือและสบู่ออกจากตะกร้าไม้ไผ่ตามเครื่องหมายของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดตัวเองให้สะอาดสะอ้าน
พวกเขาพึ่งจะกระโดดลงไปในสระน้ำ แม่ทัพไป๋เหยี่ยนก็ออกคำสั่ง เครื่องโยนหินโยนถังน้ำมันลงในถ้ำอย่างแม่นยำ จากนั้นลูกธนูใหญ่ของหน้าไม้ก็จุดเปลวไฟพุ่งเข้าไปในถ้ำ
ทันใดนั้นไฟก็ลุกโชนในถ้ำ เปลวไฟสีแดงเข้มก็โผล่ออกมาจากถ้ำทันที เปลวไฟที่ออกมาจากรูระบายอากาศสูงกว่าสามฟุต พื้นดินด้านหน้าของถ้ำก็ถูกเผา แม้แต่จุดเดียวก็ไม่ยอมปล่อยไป
ซุนซือเหมี่ยวที่ทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้ว พันผ้าเช็ดมือไว้บนหัว หยิบน้ำเต้าจากตะกร้าไม้ไผ่แล้วดื่มน้ำอย่างมีความสุข มีกลิ่นหอมออกมา คนอื่นๆ เห็นว่ามีของดีๆ แบบนี้ พวกเขาก็ค้นดูตะกร้าไม้ไผ่ของตัวเอง เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด น้ำเต้าคนละลูก พวกเขาก็ดื่มน้ำเต้าของตัวเองอย่างมีความสุข ความรู้สึกของการหนีรอดจากความตายทำให้คนอ่อนแอสองคนร้องไห้ออกมา
ซุนซือเหมี่ยวปลอบใจพวกเขาเบาๆ และยังบอกพวกเขาว่าหากมีปัญหาในการใช้ชีวิตก็จะหางานที่สำนักศึกษาให้พวกเขา แล้วยังบอกอีกว่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่เพียงแต่พ้นจากโทษประหาร ฝ่าบาทยังจะมีรางวัลให้อีกด้วย ทำเอาชายร่างใหญ่สองสามคนต่างพากันปลื้มปิติ หากรู้ว่ามีเรื่องดีๆ แบบนี้ พวกเขาน่าจะฆ่าคนแล้วไปเข้าคุกตั้งนานแล้ว
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 53 เรียบร้อยแล้วก็สะบัดแขนเสื้...
ไฟลุกไหม้ทั้งคืน หินบางส่วนถูกเผาจนเป็นสีแดงและยังติดไฟอยู่ อวิ๋นเยี่ยกับซุนซือเหมี่ยวพากันนั่งดื่มเหล้า แม่ทัพไป๋เหยี่ยนก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเรียกมาดื่มด้วย
“อวิ๋นโหว เรื่องของเราเสร็จสิ้นลงแล้ว?” แม่ทัพไป๋เหยี่ยนรู้สึกเบื่อกับความสงบในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่มีการฆ่าฟัน ไม่มีการวางกลยุทธ์ ทำไมฝ่าบาทต้องย้ายตัวเองมาจากชายแดน เรื่องราวต่างๆ ที่ชายแดนซับซ้อนกว่าที่นี่ตั้งเยอะ
“ชื่อนามสกุลของท่านแม่ทัพล่ะ”
“ข้านามสกุลหยวน ชื่อฉี่ ฉายาจงเต้า เหตุใดวันนี้ท่านโหวถึงได้ถามชื่อของข้า”
“เมื่อก่อนไม่ถามเพราะว่าหากต้องฆ่าฟันกันขึ้นมาจะได้ไม่รู้สึกผิด ฆ่าคนแปลกหน้าคนหนึ่ง กับฆ่าคนรู้จักคนหนึ่งมันเป็นสองแนวคิด ในเมื่อตอนนี้ไม่จำเป็นต้องฆ่าเจ้าแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องถามชื่อนามสกุลเจ้า”
“หากมีอะไรผิดพลาด ท่านจะฆ่าข้าจริงๆ หรือขอรับ”
“แน่นอนว่าต้องฆ่า หากมันล้มเหลวเพราะเจ้า เจ้าจะถูกฝ่าบาทฆ่าทั้งชั่วโคตร ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
สีหน้าของหยวนฉี่ซีดเซียว เขาฟังน้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยออกว่าไม่ได้ล้อเล่น เหงื่อเย็นที่หลังของเขาไหลลงมาทันที นึกถึงคำพูดที่หนักแน่ของฝ่าบาทก่อนออกเดินทาง การออกเดินทางครั้งนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นต้องตัดหัวกลับออกมาเจอข้า
พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่ ทำไมซุนซือเหมี่ยวต้องเปลือยกายออกมาจากถ้ำ ทำไมเขาต้องใช้ไฟเผาทำลายร่องรอยทั้งหมดในถ้ำ และทำไมถึงได้มีเสียงพิณที่ไพเราะออกมาจากหน้าต่างระบายอากาศ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าข้างในนั้นไม่มีพิณ ซุนซือเหมี่ยวกับพวกเขาก็ไม่ได้เอาเข้าไปด้วย แล้วตัวเขาเองกำลังเฝ้าดูอะไรอยู่ ทำไมอวิ๋นโหวถึงต้องวาดภาพเต่าให้กับฝ่าบาท
หลังจากนักโทษเข้าไปในถ้ำรอบหนึ่ง พวกเขาออกมาก็กลายเป็นราษฎรธรรมดา บนโลกใบนี้มีเรื่องแปลกๆ เช่นนี้ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย? หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปใครยังจะกลัวโทษประหาร?
“อย่าคิดมาก เรื่องเช่นนี้เจ้ายิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน ลืมมันไปซะ!” เสียงที่แผ่วเบาของอวิ๋นเยี่ยลอยเข้ามา ทำให้หยวนฉี่ตกใจ เขาไม่ควรรู้เรื่องพวกนี้จริงๆ รู้แล้วมันอาจจะวุ่นวายได้
ทหารม้าเร็วที่ไปส่งจดหมายพึ่งจะโผล่ออกมาจากภูเขาฉินหลิ่งเมื่อตอนเที่ยงคืน ตีนเขาได้ทำการจัดที่พักเอาไว้สว่างไสว ทหารอยู่เวรเห็นทหารม้าเร็วโผล่ออกมาจากภูเขาอย่างน่าสังเวช เขาไม่พูดไม่จา จูงม้าออกมาห้าตัว ตอนที่ทหารขึ้นขี่ม้าเขายกเหล้าหมักออกมาไหใหญ่ เอาให้เหล่าทหารทั้งห้าคนละจอกแล้วก็ขี่ม้าจากไป ตอนเริ่มก่อตั้งที่พัก แม่ทัพออกคำสั่งแล้วว่าในฐานะที่เป็นวิญญาณ อย่าพูดจาจะดีกว่า
หลังจากดื่มเหล้าหมักหมดไปหนึ่งไห ทั้งห้าคนไม่รอช้า รีบเหยียบขึ้นหลังม้าปักธงสีแดงให้ตัวเอง ตะโกนแล้ววิ่งไปทางฉางอัน
มาถึงฉางอันตอนตีหนึ่ง ประตูเมืองจูเชวี่ยได้ยินเสียงกระดิ่งม้า เสียงกระดิ่งเช่นนี้เป็นเสียงของทูตม้าเร็ว ไม่กล้ารอช้า ตัวเองเดินออกมาจากประตูเล็ก ยืนอยู่ที่ประตูเตรียมตรวจดูหนังสือเดินทาง
ไม่มีหนังสือเดินทาง มีป้ายคาดเอวลอยเข้ามาในความมืด รับมันมาแล้วรีบเปิดประตูข้างอย่างรวดเร็ว ป้ายคาดเอวของหน่วยข่าวกรอง ไม่มีใครกล้าขัดขืน
วันนี้เป็นการประชุมราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างพากันมารออยู่ที่หน้าประตูตำหนัก ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาสองคนไม่ชอบไปนั่งรอที่ห้องข้างๆ พวกเขาจึงยืนพูดคุยกันอยู่ข้างนอก เมื่อกำลังพูดถึงเรื่องความแตกต่างของน้ำหมึกจะส่งผลต่อสุนทรียศาสตร์หรือไม่ ตู้หรูฮุ่ยที่หูไหวก็หันหน้ามองไปที่ปลายถนน
ม้าเร็วห้าตัววิ่งออกมาจากความมืด เหล่าขุนนางที่เดินอยู่บนถนนต่างพากันหลบทางให้ หลี่ไท่โผล่หัวออกมาจากรถม้า มองดูเหล่าขุนนางแล้วหัวเราะ เหล่าขุนนางที่งงงวยส่งสายตาสงสัยให้เขา เขารีบใช้มือปิดปาก เสแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่รอยยิ้มในสายตาของเขากลับไม่สามารถปกปิดได้
ฝางเสวียนหลิงเดินไปเปิดม่านรถม้าของหลี่ไท่และเข้าไปนั่ง ต้าถังไม่เคยมีความลับกับขุนนางชั้นสูง ดังนั้นเมื่อฝางเสวียนหลิงออกจากรถม้าด้วยความตื่นเต้น ก้าวขาลงมา ตู้หรูฮุ่ยก็รีบเดินเข้ามาถาม “สหายเสวียนหลิง เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าพอใจถึงเพียงนี้”
“เค่อหมิง เดี๋ยวเจ้าก็รู้ เมื่อครู่ข้าไปถามเว่ยอ๋อง ข้าก็เสียมารยาทมากพอแล้ว สรุปแล้วก็คือเรื่องดี เจ้ากับข้าทำการจัดเตรียมพิธี ระฆังของตำหนักฉีเทียวจะดังขึ้นในไม่ช้า ดังกว่าหนึ่งร้อยแปดครั้ง”
ตู้หรูฮุ่ยตกใจจนอ้าปากค้าง กองทัพทหารทำลายประเทศที่มีอำนาจ เอาชนะศัตรู หรือจับหัวหน้าชนเผ่าได้ ตีระฆังดังแค่เก้าสิบเก้าหรือแปดสิบเอ็ดครั้ง เอาชนะชนเผ่าเกาชังยังไม่ถึงกับต้องตีระฆัง มันคือใครกันแน่ที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ความดีความชอบเช่นนี้ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องโค้งคำนับขอบคุณ ฮองเฮายังต้องยกจอกเหล้าไปให้เอง รัชทยาทต้องคุกเข่าโค้งคำนับ เหล่าขุนนางต้องพากันเคารพนับถือ บอกได้ว่าเป็นความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทุกคนต้องก้มหน้าให้คนคนเดียว ต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และวาดภาพเหมือนเก็บไว้ในตำหนักฉีเทียน
ไม่รอให้เขาได้หายตกใจ ระฆังของตำหนักฉีเทียนที่อยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังก็ดังขึ้น หลี่ไท่ ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยได้เตรียมหมวก สะบัดแขนเสื้อ ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เหล่าขุนนางคนอื่นๆ ที่กำลังยุ่งพากันรีบกระโดดลงจากหลังม้า คนที่นั่งอยู่บนรถม้าก็ลงมาจากรถม้า คนที่ชอบนั่งบนเก้าอี้ก็ไสหัวลงมาจากเก้าอี้ พากันยืนตรงหันหน้าไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คิดว่ากองทัพทหารรบชนะอีกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ช่วงนี้มักจะมีรายงานการสู้รบอยู่เสมอ คิดว่าจะมีเสียงระฆังสักเก้าครั้ง สิบครั้ง หรือมากสุดก็เพียงแค่ยี่สิบเจ็ดครั้ง ใครจะรู้ว่ามีเสียงระฆังดังขึ้นมาตั้งหนึ่งร้อยแปดครั้ง นี่มันช่างน่าตกใจ ไอ้สารเลวคนไหนโชคดีขนาดนี้ เหล่าขุนนางพากันมาสืบความ
ชาวตลาดในฉางอันคิดว่าเปิดตลาดแล้ว ทว่าทันทีที่เปิดประตูก็ถูกชายเฒ่าผู้มากประสบการณ์ตบเข้าให้ ชายที่แม้แต่เสียงระฆังก็ฟังไม่ออก ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นคนฉางอันได้อีกหรือ
ไม่มีการประชุมราชสำนักแต่อย่างใด ขุนนางกรมพิธีกรรมทุกคนเข้ามาพระราชวัง ผู้อาวุโสทั้งหมดเข้ามาในพระราชวัง ราชวงค์เข้ามาในพระราชวัง แล้วยังมีคนที่ฮองเฮาเรียกให้เข้าเฝ้า เหล่าภรรยาขุนนางระดับสี่ขึ้นไปเข้ามาในพระราชวัง ฮูหยินของกั๋วกงทั้งหลายเข้ามาในพระราชวัง พระชายาเข้ามาในพระราชวัง สรุปก็คือพระราชวังกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่อย่างครึกครื้น โคมไฟประดับประดาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรียกใช้สาวใช้และขันทีราวกับเรียกใช้งานลา เดินไปมาระหว่างตลาดกับพระราชวังกันอย่างครึกครื้น
ในที่สุดเหล่าขุนนางก็หมดกังวล สรุปแล้วไอ้สาร…ผู้สูงส่งคนนั้นคือซุนเทพเซียน ทุกคนสงบสติอารณ์ลงทันที ความสำเร็จของเทพเซียนเรียกว่าผู้สูงส่งได้หรือ ซุนเทพเซียนเอาตัวเองไปเป็นคนทดลองยา ในที่สุดก็หายาเอาชนะไข้ทรพิษได้ มันง่ายหนักหรือที่ใช้ยามาทดลองกับตัวเอง แล้วใส่เสื้อผ้าของคนที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ใช้ชีวิตในถ้ำตามลำพังเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายก็มีชีวิตรอดออกมา ไม่ติดเชื้อ! คนต้าถังที่ไม่กลัวมีตั้งมากมาย แต่คนที่กล้าใส่เสื้อผ้าของคนป่วยไข้ทรพิษมีแค่ซุนซือเหมี่ยวคนเดียวเท่านั้น คนอื่นแค่คิดก็เหงื่อตกแล้ว
ต้องได้รับการขอบคุณที่ดี มันไม่มีอะไรมากเกินไป ทุกคนล้วนแต่มีชีวิตสุขสบายไปวันๆ หากจู่ๆ มีคนในครอบครัวเป็นไข้ทรพิษหนึ่งคน คนทั้งบ้านก็จะซวยไปด้วย โรคระบาดนั้นไม่แบ่งแยกชายหญิง ไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าเจ้าจะร่ำรวยหรือยากจน ไม่มีทางที่จะไม่ติดโรคเพราะที่บ้านกินเนื้อเยอะเกินไป ป้องกันไม่อยู่ บางทีวันหนึ่งมันอาจจะมาตกที่เจ้า โรคระบาดที่โซ่วโจว ซวยกันทั้งเมือง ตายกันไปเป็นกอง ส่วนคนที่ไม่ตายก็มีชีวิตอยู่พอๆ กับผี ครอบครัวของผู้ว่าการเมืองโซ่วโจวก็ตายกันไปหมดเหลือเพียงลูกสาวแค่คนเดียว แล้วยังกลายเป็นคนบ้า ว่ากันว่ากระโดดลงไปในบ่อน้ำถึงสามครั้งแต่ก็ไม่ตาย
ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เพียงแค่ไปเอายามาจากซุนซือเหมี่ยว มีบาดแผลเล็กๆ ที่แขนซึ่งฝังยาเข้าไป มากสุดก็แค่มีอาการไข้ต่ำๆ สองวัน จากนั้นทั้งชีวิตก็ไม่ต้องกลัวไข้ทรพิษอีกแล้ว ได้ยินมาว่าถึงแม้ว่าจะนอนเตียงเดียวกันกับคนเป็นไข้ทรพิษก็ไม่มีปัญหา มีแค่ไข้ต่ำๆ คุ้มค่าที่สุด
ขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังเตรียมพิธี เชิญนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเหยียนจือทุยมาเขียนให้เป็นพิเศษ ชายเฒ่าไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว ได้ยินเช่นนี้ เขาก็พอใจเป็นอย่างมาก บอกว่าจะต้องไปเขียนเองกับมือ แล้วยังบอกว่าเขาจะไปขอบคุณซุนซือเหมี่ยวด้วยตัวเอง ไปถามเขาว่าตัวเองยังต้องเป็นไข้ต่ำสักสองวันหรือไม่
ขุนนางกรมพิธีกรรมได้ยินเช่นนี้ รถม้าที่หรูหรา พัดที่หรูหราจะขาดตกไปไม่ได้ ตอนที่หลี่ไท่ออกเดินทางได้แค่พัดเล็กๆ สองอัน ครั้งนี้เอาให้เหล่าซุนตั้งหกอัน แม่ทัพนำทาง อัครมหาเสนาบดีคอยช่วยเหลือ ขุนนางกรมพิธีกรรมขับร้องเพลง ฝ่าบาทและฮองเฮามาต้อนรับที่ถนนจูเชวี่ย บอกว่าเขาลำบากแล้ว
คนที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่ซุนซือเหมี่ยว เพราะเหล่าซุนซ่อนตัวอยู่ในภูเขาฉินหลิ่งและใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวทำลายเชื้อโรคทุกวัน ส่วนคนที่มีความสุขที่สุดที่ว่านั้นคือกลุ่มนักบวชลัทธิเต๋าของสำนักเสวียนตู มีความสุขจนจะเป็นบ้า หยวนเทียนกังสั่นลิ้นเล็กๆ ทั้งวัน เล่าให้ซานชิงฟังว่าท่ามกลางโลกมนุษย์ ตัวเองรักษาลัทธิเต๋าไว้ได้เช่นไร
เฉิงเสวียนอิงอ้าปากถอนหายใจยาว แบกดาบกู่ติ้งของตัวเองและสวมรองเท้าแตะไปยังทะเลตงไห่ มีซุนซือเหมี่ยวคอยรับหน้าให้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เสียหน้า
“เหล่าเต้า ได้ยินมาว่าเมืองฉางอันครึกครื้นมาก ทุกคนล้วนแต่ยื่นหัวออกมาดูเทพเซียน เจ้าจะเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำไม่ได้ ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวทุกวัน หนาวจะตาย คนดีๆ ที่ไหนเขาทำเช่นนั้น”
อวิ๋นเยี่ยจับเต่าออกมาจากกะละมัง เอามาวางบนจานของเขา จากนั้นก็หยิบช้อนขึ้นมาสองอัน กินซุปเต่าอย่างมีความสุขพร้อมกับบ่นซุนซือเหมี่ยวที่อยู่ข้างหน้า
“ไอ้หนุ่ม เดินทีเรื่องนี้ควรเป็นความดีความชอบของเจ้า ข้าช่างรู้สึกผิด”
“ช่างมันเถอะ พิธีนี้เจ้าก็รับเอาไปเถิด หากข้ารับพิธีนี้มา เดี๋ยวก็จะถูกคนพวกนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ เห็นแก่ชีวิตอันน้อยนิดของข้า ท่านรับมันไว้เถิด ข้าอยู่ข้างๆ ก็พอ ลัทธิเต๋าของเจ้ายังมีปัญหาอีกมากมาย ต้องการความดีความชอบเรื่องนี้ไปทำให้มันกลับมาสงบ แล้วอีกอย่าง ท่านรับไว้หรือข้ารับมันก็เหมือนกัน ผลประโยชน์ที่ข้าขาดไม่ได้ ข้าจะไปรนหาที่เองทำไม ต่อไปยังต้องการชื่อเสียงของท่านในการแพร่กระจายวัคซีน”
ซุนซือเหมี่ยวยิ้ม เขาไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับอวิ๋นเยี่ยอยู่แล้ว สำหรับเขา ชื่อเสียงคือภาระของเขา หากไม่ใช่เพราะความต้องการของลัทธิเต๋า ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ไม่มีทางรับเอาความดีความชอบนี้เอง สำหรับเขาแล้ว รีบแพร่กระจายวัคซีนคือเรื่องใหญ่
ดวงอาทิตย์ขึ้นมาอยู่บนหัว อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะตื่นขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้หลับไปนานขนาดนี้ เสียงรบกวนจากการที่หยวนฉี่และคนอื่นๆ กำลังจัดเตรียมการเดินทางไม่ได้ปลุกเขาตื่นแต่อย่างใด ส่วนซุนซือเหมี่ยวที่ควรอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามหายตัวไปแล้ว บนโต๊ะมีจดหมายสองฉบับ หลังจากอ่านจดหมายที่เขียนให้ตัวเอง อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ เหล่าเต้าพาคนลองยาทุกคนไปหายาสมุนไพรที่ภูเขาฉินหลิ่ง บอกว่าอีกครึ่งปีจะออกมา กังวลว่ายังมีเชื้ออยู่จะเป็นอันตรายต่อคนบนโลก
กุมหัวแล้วนั่งลงที่พื้นไปตามความเคยชิน กังวลเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินกับเหล่าขุนนางกำลังรออยู่ที่ถนนจูเชวี่ย แต่ตัวเองไม่ดูแลเขาให้ดี จะทำอย่างไรดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น