เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 50-51
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 50 ใช้คนทดลอง
การเลี้ยงเด็กเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง แต่เด็กที่เลี้ยงต้องเป็นลูกของตัวเอง แม่ที่รักสะอาดก็จะแกล้งทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นอึของลูกน้อย ตรวจสอบดูอึของลูก ดูว่าระบบย่อยอาหารของเขาปกติหรือไม่ นี่คือเรื่องที่แม่ลูกอ่อนต้องทำทุกวัน ดังนั้นเมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นลูกทั้งสองคนของตัวเอง เขาก็รู้สึกราวกับว่ามองเห็นตัวเอง
“ชาติก่อนเจ้าเป็นผู้หญิงหรือ” ซินเย่วมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาแปลกๆ นางไม่เคยเห็นผู้ชายที่เชี่ยวชาญในการเลี้ยงเด็กมากขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ผู้ชายคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้ น่ารื่อมู่ก็อยากรู้อยากเห็น นางเดินเข้ามาดูฝีมือการเลี้ยงเด็กของอวิ๋นเยี่ย
“เป็นผู้ชายหรือไม่พวกเจ้าไม่รู้หรือ ถามอะไรโง่ๆ ตอนนี้เด็กผู้ชายใส่กางเกงเป้าเปิดดีกว่า น้องชายออกมาข้างนอกช่างเป็นหน้าเป็นตา น่ารื่อมู่ เจ้าคิดว่าเช่นไร มัดลูกไม่ใช่มัดแกะ หนักมือทำไมขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ตัวใหญ่กว่าซินเย่วอีกแต่น้ำนมยังไม่เยอะเท่าซินเย่ว ลูกสาวของข้ากำลังโต ใครจะกล้าให้นมน้อย เย็นวันนี้ ข้าทำซุปปลาให้เจ้า เจ้าดื่มให้หมด พรุ่งนี้กินตีนเป็ดอีกสองตีน ข้าไม่เชื่อว่ายังจะยังไม่มีน้ำนม”
ไล่ผู้หญิงสองคนนี้ออกไป ท่านย่าก็ไม่มีประโยชน์ ไล่ออกไปด้วย วันนี้เป็นเวลาของพ่อลูก คนนอกอย่ามารบกวน อุ้มเอวและหัวของลูกสาวมาเขย่าในอ้อมแขน ไม่กล้าเขย่าแรงเกินไป ไม่เช่นนั้นนางจะอ้วก ลูกสาวอ้าปากสีชมพูเล็กๆ สายตามองมาที่พ่อ ทำเสียงแงๆ ไม่มีความหมาย
ปูผ้าหนาๆ ไว้ในกระถางดอกไม้ อวิ๋นน้อยจับขอบกระถางแล้วลุกขึ้นยืนได้พอดี เขากระโดดโลดเต้นอยากออกมาจากกระถาง ในครอบครัวที่ไม่มีรถเข็นเด็ก นายท่านควรจะถูกส่งไปเป็นอาหารหมู หลังจากที่เกลี้ยกล่อมลูกชายและลูกสาวนอนหลับไปแล้ว เขาก็วาดเขียนลงบนกระดาษ ไม่นานก็วาดรถเข็นเด็กที่มีกันสาดเสร็จเรียบร้อย เรียกช่างไม้ของตระกูลมา เลือกไม้ที่ดีที่สุด ขัดเกลาอย่าให้เหลือเสี้ยนไม้แม้แต่น้อย ทำมุมทั้งหมดให้เป็นทรงโค้ง ทำออกมาให้ได้ในหนึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะใช้คนกี่คน ทำออกมาให้ได้สองคัน!
ช่างไม้รีบวิ่งไปทำ ปกติท่านโหวไม่ค่อยกำหนดเวลา หากกำหนดเวลาก็แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญของตระกูล มาหาพ่อบ้าน บอกให้เขาพาช่างปักไปหาช่างไม้ ทำเบาะ ทำกันสาดให้กับรถเข็น รีบเลย จะเอาเดี๋ยวนี้
เป็นท่านโหวมันดีแบบนี้ แค่เอ่ยปาก เรื่องอื่นก็มีคนไปทำให้ จัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไปนอนพักผ่อนสักหน่อย เติมพลังต้อนรับคลื่นลูกต่อไปของพวกลูกๆ ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าภรรยาสองคนนั้นเอาเหล้าเอาอาหารนั่งรถม้าไปที่แม่น้ำตงหยาง ช่างเถอะ ถือว่าให้พวกนางหยุดหนึ่งวัน
ลูกน้อยช่างวุ่นวาย ลูกสาวตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้จ้า แล้วลูกชายก็เริ่มร้องไห้ตาม อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่เตียงของลูกน้อย อย่าพึ่งสนใจลูกชาย อุ้มลูกสาวขึ้นมาตบที่ก้นเบาๆ นางฉี่อีกแล้ว แล้วดูเหมือนว่าจะอึด้วย กะละมังน้ำอุ่นเตรียมไว้เรียบร้อย เช็ดก้นรอบหนึ่งแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น นางถึงได้หยุดร้อง ส่วนลูกชายหยุดร้องไปตั้งนานแล้ว เอาหมวกของพ่อใส่ไว้ที่เท้าแล้วเอาเข้าปาก
เสี่ยวยาอยากจะมาช่วยก็ถูกไล่ออกไป เสี่ยวอู่ก็ถูกไล่ออกไป เด็กพวกนี้เข้าใกล้ลูกๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มีซือซือที่รู้ความ พาอวิ๋นน้อยฉี่ได้ แต่นางมักจะมองดูน้อยชายของอวิ๋นน้อยอยู่ตลอด
พ่อบ้านและท่านย่าเข็นรถเข็นเข้ามาคนละคันอย่างมีความสุข คนที่ไม่เคยเข็นรถเข็นเด็กก็เป็นแบบนี้ เอาผ้าของลูกปูไว้ข้างบน ปูให้แน่นๆ ท้องฟ้าข้างนอกไม่ครึ้มไม่แดด ได้เวลาพาเด็กๆ ออกไปเดินเล่นแล้ว
เดินเข็นรถช้าๆ อยู่ในสวนกับซือซือคนละคัน ช่างรู้สึกภาคภูมิใจ เด็กคนอื่นๆ เห็นของเล่นสนุกๆ ก็พากันวิ่งเข้ามา พวกนางก็อยากจะเข็นรถหลานชายกับหลานสาวด้วยเหมือนกัน
อี้เหนียงไม่เคยขออะไรจากพี่อวิ๋น เห็นรถเข็นเด็กนางก็ตาแดงก่ำ จับแขนพี่อวิ๋นขอร้องอ้อนวอน บอกว่าอยากจะได้รถเข็นเด็ก ลูกของนางก็จะเอาของสิ่งนี้เหมือนกัน
โชคดีที่อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมการไว้หมดแล้ว บอกนางว่าช่างไม้กำลังทำ หากอยากได้ก็ไปเอา ได้ยินแบบนี้ อี้เหนียงก็ปล่อยแขนพี่อวิ๋นแล้ววิ่งไปหาช่างไม้ ไม่มีท่าทางของความเป็นฮูหยินเลยสักนิด
แสงพระจันทร์สว่างขึ้นมา ผู้หญิงสองคนที่ออกไปเที่ยวเล่นจนหมดแรงก็พากันกลับบ้าน พวกนางรู้สึกว่าทำเกินไป ผลักกันไปผลักกันมาไม่กล้าเดินเข้าประตู ซินเย่วใช้ปิ่นปักผมเจาะรูที่หน้าต่าง แอบมองเข้าไปข้างใน เห็นอวิ๋นเยี่ยใช้เท้าเตะเปลและอุ้มลูกชายอยู่ในอ้อมแขน ทั้งสองคนกำลังอ่านหนังสือ เขายังมีเวลาก้มหน้าจิบชา ทุกครั้งที่เขาพลิกหนังสือ เขาก็ยังจะถามความคิดเห็นของของลูกชายที่กำลังง่วงนอน พ่อลูกช่างเข้ากันได้ดี
ไม่ตื่นตระหนก ไม่รีบร้อน ราวกับตอนที่เขาทำเรื่องอื่นๆ ยังคงมีหลักการเหมือนเดิม เห็นในห้องที่เงียบสงบ จู่ๆ ซินเย่วก็รู้สึกว่า ถึงแม้ท่านพี่จะไม่มีผู้หญิงแต่เขาก็สามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้ บนโลกใบนี้ยังมีอะไรที่เขาทำไม่เป็นอีก?
เรื่องทำอาหารคงไม่ต้องพูดถึง อาหารที่เขาทำช่างขึ้นชื่อในฉางอัน ตัวเองขี่ม้ายังตามไม่ทัน น่ารื่อมู่บอกว่าท่านพี่ของตัวเอง ตอนที่อยู่ที่ฉ่าวหยวนเขาก็เย็บเสื้อด้วยตัวเอง ฝีมือดีมาก ตอนนี้เขาก็มักจะบอกซินเย่วว่าควรใส่เสื้อผ้าแบบไหนถึงจะดูดี สำหรับการแต่งตัวสีแดงสลับสีเขียวของน่ารื่อมู่ เขาก็คัดค้านอยู่ตลอด ช่วยไม่ได้ นี่คือชุดโปรดของนาง
อย่างไรก็ต้องเข้าไปอยู่ดี ซินเย่วเปิดประตูเบาๆ กำลังจะขอโทษท่านพี่ แต่กลับเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้ววางหนังสือในมือลง ยกมือขึ้นมาที่ปากบอกให้นางเงียบๆ ลูกหลับไปแล้ว…
เสี่ยวยามาคอยรับใช้อวิ๋นเยี่ยแต่เช้า ซือซือกับพวกเสี่ยวอู่ก็มาด้วย ตี๋เหรินเจี๋ยปิดปากแน่น เอาถังน้ำเล็กๆ มาโดยไม่พูดไม่จา ในช่วงฤดูร้อน อวิ๋นเยี่ยชอบล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเป็นที่สุด
รู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะขอร้อง แต่เขาก็ไม่ได้เปิดโปง ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยก็นั่งรออาหารเช้าที่ห้องโถงข้างหน้า พวกเด็กๆ พากันเอาการบ้านของเมื่อวานมาให้อวิ๋นเยี่ยตรวจ ไม่เลว ไม่เลว การบ้านของเมื่อวานพวกเขาตั้งใจทำมาก ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย คำตอบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เด็กพวกนี้ลอกยังลอกไม่เป็น เสี่ยวอู่ทำผิดคนเดียว พวกเจ้าก็ทำผิดกันหมด แล้วอีกอย่าง ตี๋เหรินเจี๋ยคนเดียวเขียนห้าหกเล่มเขาก็คงเหนื่อยแย่
“เสี่ยวเจี๋ย เมื่อคืนเขียนการบ้านจนเหนื่อยใช่หรือไม่ ตอนกลางคืนพักผ่อนให้มากหน่อย เจ้ายังเด็กนอนดึกไม่ได้”
“ไม่เหนื่อยขอรับ แค่ตอนเขียนให้เสี่ยวเป่ยมืออ่อนแรงนิดหน่อย” พูดจบก็เห็นสายตาหกคู่จ้องมองมาที่ตัวเอง อย่าจะเอามือมาปิดปากมันก็คงจะสายไปแล้ว รีบไปยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์แล้วตะโกนว่า “พวกนางอยากให้อาจารย์สร้างบ้านบนต้นไม้ให้พวกนาง บังคับให้ข้าเขียนการบ้านให้พวกนาง เมื่อคืน ข้าเขียนจนถึงเที่ยงคืน ง่วงแทบตาย”
ได้ยินที่ตี๋เหรินเจี๋ยฟ้อง อวิ๋นเยี่ยก็เห็นอกเห็นใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย ไม่อยากถูกรังแกคงเป็นเรื่องยาก เมื่อก่อนเขาเคยเล่าเรื่องบ้านต้นไม้ให้พวกนางฟัง พวกนางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร คิดว่าเด็กผู้หญิงคงไม่ชอบปีนป่าย ตั้งแต่เห็นรถเข็นเด็กเมื่อวาน เด็กพวกนี้ก็จำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ คงคิดว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถึงได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนเช้า
มีต้นไม้ใหญ่สองสามต้นในสวนดอกไม้ที่เหมาะกับการสร้างบ้านบนต้นไม้ หลังจากบอกความคิดให้กับช่างไม้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีก วันนี้อาจารย์ซุนมีการทดลองสำคัญที่ต้องทำ เขาต้องไปเรียนรู้ สำหรับรูปแบบของบ้าน ให้พวกนางไปคิดกันเอง ส่วนซินเย่วกับน่ารื่อมู่ พวกนางเอารถเข็นเด็กออกไปอวดที่บ้านตระกูลหนิวตั้งนานแล้ว หลังฤดูเก็บเกี่ยวของฤดูร้อนมักจะมีเวลาว่างให้พักผ่อน ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงตอนนี้ ซินเย่วคงต้องการการพักผ่อนสักหน่อย
เป้าหมายในการทดลองของซุนซือเหมี่ยวคือวัวนมตัวหนึ่ง หน้าอกของวัวนมเต็มไปด้วยถุงนม บีบเบาๆ ก็มีของเหลวสีเหลืองไหลออกมา นี่คือวัคซีนไข้ทรพิษ วันนี้ซุนซือเหมี่ยวจะฉีดวัคซีนตัวนี้เข้าในร่างกายคน สำนักศึกษามีคนลองยาอยู่ตลอด หลี่ซื่อหมินเป็นคนส่งมาให้โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่นคนที่ส่งมาวันนี้ บอกว่าเขาต้องโทษฆ่าคน แล้วสมัครใจมาเป็นคนทดลองยาที่สำนักศึกษา หากไม่ตาย ขุนนางก็จะไม่เอาเรื่องเลวทรามของเขาเมื่อก่อนอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นจะทำตามกฎหมาย จะถูกลงโทษด้วยการตัดหัว
ตั้งแต่ครั้งก่อน ชายคนที่มาถ่ายเลือดให้กับเหล่าฉินแล้วไม่ตาย ยังคงสามารถเดินไปเดินมาในฉางอัน การมาเป็นคนทดลองยาให้กับสำนักศึกษาได้กลายเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้แสวงหาแสงสว่างของชีวิต ตอนนี้หากไม่ใช่โทษที่เลวร้ายอะไร ก่อนที่จะถูกตัดหัวก็จะถามก่อนว่าจะมาเป็นคนทดลองยาให้กับสำนักศึกษาหรือไม่ หากรับปากก็จะระงับการลงโทษ จับไปขังไว้ในคุก รอให้คนของสำนักศึกษามารับ วันนี้แทบจะเป็นวันหยุดของนักโทษ ถึงตอนนี้นักโทษที่ตายไปเพราะทดลองยามีไม่กี่คน แต่ตาบอด พิการกลับมีมากมาย
ในห้องที่มีแสงสว่าง อวิ๋นเยี่ยฆ่าเชื้อให้แขนของนักโทษอย่างระมัดระวัง หยิบมีดขึ้นมาบาดปากแผล หั่วจู้ใช้สำลีชุบวัคซีนโรคฝีดาษวัวทาลงบนแผล หลังจากมั่นใจว่าเรียบร้อยแล้วก็พันแผลไว้รอผลของการทดลอง
การทดลองทำไปทั้งหมดห้ากลุ่มพึ่งจะเสร็จสิ้น เมื่ออวิ๋นเยี่ยและหั่วจู้ถอดเสื้อผ้าลินินออกและเดินไปที่ห้องโถง เห็นซุนซือเหมี่ยวกำลังหลับตาท่องคัมภีร์ ท่าทางดูเจ็บปวด สีหน้าก็แดงก่ำ ราวกับว่าเขาป่วย
อวิ๋นเยี่ยรีบไปแตะที่หลังหูซุนซือเหมี่ยว เห็นว่าร้อนจนน่าตกใจ นี่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา แต่เป็นไข้ที่เกิดจากไวรัส เหล่าเต้าคนนี้คงจะไม่ได้เอาตัวเองไปทำการทดลองหรอกนะ ปลดเสื้อคลุมของเหล่าเต้าออก เอาแขนซ้ายออกมา มีรอยแผลเล็กๆ สองรอยที่แขน ฆ่าเชื้อไม่สะอาดติดเชื้อเข้าแล้ว
เขากับหั่วจู้พาเหล่าเต้าไปนอนบนเตียง เปิดหน้าต่าง ใช้เครื่องพ่นที่ทำจากไม้ไผ่ฉีดแอลกอฮอล์ให้ทั่วห้อง นี่คือวิธีการฆ่าเชื้อเดียวที่อวิ๋นเยี่ยทำได้ หั่วจู้เอาใบยาสมุนไพรมาวางที่แผล ใช้แอลกอฮอล์ถูที่หน้าผาก รักแร้และต้นขาของเหล่าเต้า ทำให้อุณหภูมิร่างกายเขาเย็นลง
เหล่าเต้ามักจะไม่เห็นด้วยกับการใช้คนในการทดลองยา ตอนแรกอวิ๋นเยี่ยก็ไม่สนับสนุนให้ทำแบบนี้ เขามักจะคิดว่ามันไร้มนุษยธรรม แต่ผู้ดูแลสำนักศึกษาหลิวเซี่ยนกับสวี่จิ้งจงกลับไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ได้ผิดศีลธรรม แต่กลับเป็นการสะสมศีลธรรมให้กับลูกหลาน ให้โอกาสนักโทษได้มีชีวิตรอด
เมื่อมีข่าวลือมาจากเมืองโซ่วโจว บอกว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายเพราะไข้ทรพิษ จำนวนมาก อวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจที่จะให้คนมาทำการทดลอง หลี่ซื่อหมินรู้ เขาขอแค่การทดลองประสบความสำเร็จ สามารถกำจัดโรคระบาดได้ เขาส่งคนมาบอกอวิ๋นเยี่ยกับซุนซือเหมี่ยวว่า “ขอแค่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องสนใจชีวิตคน บาปกรรมอยู่กับเขา อยู่กับสวรรค์ ไม่ได้อยู่กับตระกูลซุนกับอวิ๋น” เพราะเรื่องนี้เขาถึงได้ฟ้องร้องต่อสรวงสวรรค์ บอกว่าเป็นความหวังดีของซุนซือเหมี่ยว แต่คิดไม่ถึงว่าเหล่าเต้าก็ยังคงทำใจไม่ได้
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 51 ใช้คนทดลอง (สอง)
ซุนซือเหมี่ยวป่วยหนัก หากบอกว่าร่างกายป่วยไม่สู้บอกว่าจิตใจป่วยมากกว่า การใช้คนมาทำการทดลองทำให้เขามีความกดดันเป็นอย่างมาก แล้วเขายังเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาอยู่แล้ว การทำการทดลองบนตัวของตัวเองครั้งนี้เขาทำลงจริงๆ บาดแผลมีขนาดใหญ่กว่าที่อวิ๋นเยี่ยผ่าให้กับนักโทษ วัคซีนโรคฝีดาษวัวก็ทาไปตั้งเยอะ ของสิ่งนี้เต็มไปด้วยแบคทีเรีย ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่จะทาเยอะเกินไปไม่ได้ ทาเยอะเกินไปก็อาจจะถึงชีวิตได้
ผู้อาวุโสของสำนักศึกษามากันหมด อวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ กุมขมับอยู่ใต้ต้นสน เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาคิดเสมอว่าซุนซือเหมี่ยวคือภูเขา คือน้ำทะเล เขากล้าที่จะดูดสารอาหารมาจากเขาอย่างไม่ที่สิ้นสุด แต่เขากลับมองข้ามไปว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีเนื้อมีหนัง เป็นคนมีศีลธรรม ทั้งๆ ที่รู้ว่าการทดลองพวกนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกายคน แต่ตัวเองกลับทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปริมาณยามีตั้งแต่น้อยไปถึงมาก จนกว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายคน นี่มันส่งผลกระทบเช่นไรกับความเชื่อและศีลธรรมของเขา
ซุนซือเหมี่ยวไม่รู้เรื่องราวของเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด เขาคิดแค่ว่าเรื่องที่ตัวเองเป็นคนทำคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในโลก คนดีๆ ถูกเขาทรมานจนพิการ นักโทษที่ตาบอดพวกนั้น เสียงกรีดร้องที่ทรมานของพวกนักโทษมันช่างกระทบต่อจิตใจอันดีงามของเขา ดังนั้น เขาจึงเงียบขรึมมากกว่าเดิม เขาไม่ได้ท่องพระคัมภีร์มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากท่อง แต่เขาคิดว่าคนอย่างเขาไม่คู่ควรที่จะไปท่องคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น แต่น่าเสียดาย อวิ๋นเยี่ยเข้าใจผิดไปแล้ว คิดไปว่าหากมีความรู้สมัยใหม่เยอะขึ้นก็คงไม่มีทางเชื่อในสิ่งเหล่านั้นอีก ทว่าเขากลับภูมิใจในการติดเชื้อนี้ของตัวเอง
วันนี้เป็นการทดลองครั้งแรกหลังจากการเพาะเชื้อ เมื่อคืนเขาเห็นนักโทษห้าคนกระวนกระวาย ความกลัว หมดหนทาง ความสิ้นหวังสามารถแพร่ระบาดได้ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่จิตใจของซุนซือเหมี่ยววุ่นวายที่สุด หลับตาและกัดฟัน เขาทำการทดลองกับให้ตัวเองถึงสองเท่า เขาหวังเพียงว่าตัวเองจะทำสำเร็จในครั้งเดียว หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากนักโทษทั้งห้าคนนั้น แต่เขากลับคิดไม่ถึง หากทั้งห้าคนนั้นไม่ได้ทำการทดลองกลับไป สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือมีดเหล็กที่แวววาว คนโง่ที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีคนนี้
ตำหนักกันลู่ถูกหลี่ซื่อหมินระเบิดเองกับมือ ตอนนี้ต้องอาศัยอยู่ที่ตำหนักลี่เจิ้ง หลังจากฟังรายงานของหน่วยข่าวกรอง เขาเงียบไปตั้งนาน จั่งซุนไม่ได้ถามอะไร นางแค่นั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
“กวนอินปี้ เราโชคดีเพียงใด ภายใต้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แต่เราก็ไม่ได้หลงระเริง ไข้ทรพิษระบาดไปทั่วโลก ใครที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เราจะแต่งตั้งให้เป็นเทพทันที เป็นคนที่ทั้งต้าถังแม้แต่เราก็ต้องเคารพ ตอนนี้ ในที่สุดก็มีคนเจอความหวังของความสำเร็จ แต่เขากลับคิดว่าการต้องฆ่านักโทษสองสามคนทำให้เขารู้สึกผิดบาปอย่างที่สุด
เอายาที่ควรจะนำไปใช้กับนักโทษมาใช้กับตัวเอง แล้วยังใช้ไปตั้งสองเท่า ตอนนี้หมดสติไปคนหนึ่ง คนหนึ่งนั่งยองๆ อย่างเจ็บปวดบนพื้นไม่พูดไม่จา ไม่กินข้าวกินน้ำทั้งวัน มันทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ นี่คือนักปราชญ์ของต้าถัง เป็นขุนนางระดับสูงแต่ไม่เคยหลงระเริง ทั้งๆ ที่ทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมของตัวเอง แต่เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานในอนาคต บังคับตัวเองให้ตั้งใจทำ มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรเป็นเทพของต้าถัง คนเช่นนี้เท่านั้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จ ถึงจะคู่ควรแก่การได้รับของขวัญอันยิ่งใหญ่”
“คนที่หมดสติไปคือซุนซือเหมี่ยว คนที่นั่งอยู่บนพื้นคืออวิ๋นเยี่ยใช่หรือไม่ พวกเขามักจะมีจิตใจดีที่แปลกๆ ความโมโหที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเฉิงเสวียนอิงก็แปลกๆ การโยนเด็กลงทะเลเป็นเรื่องเลวทรามของท้องถิ่นจริงๆ แต่เฉิงเสวียนอิงพยายามลดลงไปตั้งครึ่งหนึ่ง มันถือว่าเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป ลัทธิเต๋าอธิบายให้เขาฟัง เขาก็ดื้อรั้น บอกว่าโยนเด็กลงไปในทะเลเป็นบาปของเฉิงเสวียนอิง ลัทธิเต๋าเฝ้ามองเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในทะเลตงไห่แต่ไม่ยอมห้ามปรามก็ไม่ใช่คน คนที่ห้ามปรามได้แต่ก็ไม่ห้ามปรามไม่ใช่คน คราวหน้าหากมีโอกาส เขายังอยากได้หูของเฉิงเสวียนอิง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากที่ไหน”
หลี่ซื่อหมินลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียง ตบราวระเบียงและพูดว่า “บางเรื่องที่เราคิดว่ามันสมเหตุสมผล แต่ในสายตาของพวกเขามันมักจะไม่ปกติ หลายครั้งที่เถียงกับตัวเอง หากเรามีความคิดเหมือนพวกเขา เราคงจะรู้สึกผิดตายไปตั้งนานแล้ว ยังจะมีโอกาสสร้างประเทศชาติที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือ”
“ดังนั้น ท่านแก้ไขปัญหาเรื่องโรคระบาดไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่ใช่เจ้า เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน ท่านทำหน้าที่ฮ่องเต้ที่ดี พวกเขาวิจัยวิธีรับมือกับโรคระบาด เหล่าทหารก็สู้รบตบมือ เหล่าขุนนางก็จัดการบ้านเมือง ราษฎรพากันทำไร่ทำนา โลกไม่สงบสุข บางครั้งเราก็โหดร้าย คืนที่ท่านระเบิดตำหนักกันลู่ หม่อมฉันฆ่าคนไปแล้ว ฮองเฮาผู้ที่มีเลือดเต็มมือ ขอแค่ท่านไม่รังเกียจก็พอ”
“เหอะ เราสองคนเป็นเจ้าของโลกใบนี้ เราบดบังลมฝนอยู่ข้างหน้า เจ้าคอยบังลมให้เราอยู่ข้างหลัง โลกใบนี้มักจะมีคลื่นอยู่เสมอ เรื่องพวกนี้ ซุนซือเหมี่ยวไม่เข้าใจ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอยู่นิดหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะทำการใหญ่แต่ไม่เสียสละ ไม่ต้องส่งหมอหลวงไปแล้ว ส่งไปเดี๋ยวก็ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่กลับมา มีเขาอยู่ ซุนซือเหมี่ยวคงไม่เป็นอะไรมาก เรามีความมั่นใจในตัวของไอ้เจ้านี่ เราเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เจ้าก็เขียนฉบับหนึ่ง ให้พวกเขาได้มีความมั่นใจ บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา เราอดทนต่อไปก็ได้ พูดเหมือนที่เคยพูด ใช้ความพยายามก็พอแล้ว”
จั่งซุนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมากับหลี่ซื่อหมิน ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า ‘ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนจิตใจดี อย่ามองข้ามสถานการณ์ที่สำคัญ จิตใจที่ดีงาม ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ไพศาล จะรู้ได้เช่นไรว่าลมฝนที่ตกหนักคือพรจากสรวงสวรรค์…’
ไม่ช้า จดหมายที่เขียนให้กับซุนซือเหมี่ยวก็เขียนเสร็จเรียบร้อย ส่วนจดหมายที่เขียนให้อวิ๋นเยี่ยจั่งซุนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ‘ไสหัวออกมา รีบไปวิจัยยารักษาโรคระบาด โซ่วโจวอาจจะมีแนวโน้มที่จะมีการระบาดอีกครั้ง ไม่อยากให้ทั้งโลกตายก็รีบไปทำมา คนที่ตายข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าจะไปบอกเหยียนอ๋องเอง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้’
ทั้งสองคนเขียนเสร็จก็แลกเปลี่ยนกันอ่าน หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม สั่งให้ต้วนหงประทับตราและเอาไปให้ราชทูตส่งไปยังเขาอวี้ซัน
ซุนซือเหมี่ยวช่างหนังเหนียว อาจจะเป็นเพราะเทพเจ้าให้พรกับเขา พอถึงตอนเย็น ไข้สูงก็ค่อยๆ ลดลง ซึ่งหมายความว่าการอักเสบควบคุมได้แล้ว เมื่อหั่วจู้จุดเทียนเขาก็ลืมตาขึ้นมา เห็นหลี่กังที่มีหนวดเคราและผมสีขาวกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างเป็นกังวล เขาก็ยิ้มและพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ายังเป็นคนมีศีลธรรมอยู่หรือไม่”
หลี่กังเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้วยังมีสติ เขาลูบเคราและบอกว่า “เจ้าเป็นคนมีศีลธรรมแน่นอน ทำงานหนักเพื่อราษฎร สูดดมก๊าซพิษและไปค้นหายาสมุนไพรบนภูเขา เดินทางไปยังสามดินแดนอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้ว่ารักษาคนมาแล้วกี่คน สะสมศีลธรรมมาแล้วเท่าไหร่ ทั้งชีวิตนี้ข้ายังไม่เท่าเจ้า เจ้ารอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ ถือว่าเทพเจ้าคุ้มครองใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำตา กระแอมแล้วพูดว่า “หากเจ้าตายไป ข้าก็จะไม่ทำแล้ว มีเจ้าคอยบดบังอยู่ข้างหน้า ข้าถึงจะสบายใจ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไม่กล้าแตะต้องเรื่องต้องห้ามเหล่านั้นแน่นอน พวกเขาบอกว่าไข้ทรพิษเป็นภัยพิบัติจากสรวงสวรรค์ ไม่ควรรักษา แล้วก็รักษาไม่ได้ มีเพียงป้ายชื่อของเจ้าที่สามารถทำให้พวกเขาหุบปาก”
“เหลวไหล เราพบต้นเหตุของไข้ทรพิษแล้ว ตอนนี้กำลังหาทางรับมือ ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่เข้าใจหลักการที่เจ้าพูด แต่ว่าเหล่าเต้าได้ทดลองใช้ยาตามอาการ แต่ก็ไม่ได้ผล มีเพียงลองใช้วิธีที่เจ้าบอกเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะโหดเ**้ยมไปหน่อย แต่หากได้ผลก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี หากเหล่าเต้าตาย เจ้าก็ต้องทำต่อไป อย่าให้วิญญาณที่อยู่ใต้ดินของข้าไม่สบายใจ”
อวิ๋นเยี่ยปิดหน้าปิดตาร้องไห้หนัก ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันร้องไห้ ลูกผู้ชายอย่างหงเฉิงก็ยังสะอึกสะอื้น เป็นครั้งแรกที่สวี่จิ้งจงหลั่งน้ำตาโดยไม่ปิดบัง อยู่ต่อหน้าผู้คนที่สูงส่ง ความคิดที่มืดมนก็ได้ดับสูญไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางแสงอาทิตย์
จดหมายของฮ่องเต้กับฮองเฮามาถึงแล้ว ซุนซือเหมี่ยวส่ายหัวบอกให้หั่วจู้เอาจดหมายเก็บไว้ในกล่อง ตัวเองปิดตาและสงบสติอารมณ์ ฮ่องเต้จะพูดอะไร ไม่ต้องอ่านก็เดาออก อวิ๋นเยี่ยยิ่งไม่ต้องอ่าน พระราชโองการหรือจดหมายที่หลี่ซื่อหมินสองสามีภรรยาเอามาให้อวิ๋นเยี่ย ไม่เคยมีเรื่องดี นอกจากตอนแต่งตั้งเป็นท่านโหว นอกจากถ้อยคำที่ไพเราะและสง่างามในพระราชโองการตอนนั้น ที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแต่ภาษาท้องถิ่น หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยโต้ตอบไปสองครั้ง หลี่ซื่อหมินก็เยาะเย้ยว่าเขาอ่านไม่ออก ต้องเขียนเป็นภาษาท้องถิ่น ดังนั้นมีหลายครั้งที่พระราชโองการที่เขียนให้ตระกูลอวิ๋นมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่าไอ้หนุ่ม อวิ๋นเยี่ยถือว่านี่คือการดูถูก แต่หลายๆ คนรวมทั้งท่านย่าคิดว่ามันเป็นพระกรุณาธิคุณ ต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก ท่านย่าชอบเก็บสะสมพระราชโองการเป็นที่สุด เอามาวางไว้ในห้องพระ นางสามารถเล่าเรื่องพวกนี้ให้บรรพบุรุษฟังได้ทั้งคืนอย่างไม่รู้สึกง่วง
สองสามวันมานี้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกไปจากห้องยาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเครื่องวัดไข้ ใช้แค่ความรู้สึกของมือ พูดอย่างเคร่งครัด ตอนนี้มีคนทดลองยาหกคน ซุนซือเหมี่ยวขอให้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักโทษด้วย อธิบายสาเหตุที่ทำเช่นนี้ให้เหล่านักโทษฟังไม่หยุด แล้วยังมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จ เป็นผู้นำในการกลืนยาที่อวิ๋นเยี่ยส่งมาให้ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนยาที่แขน
นักโทษเหล่านั้นเห็นว่าเทพเซียนซุนก็ยังมาเป็นคนทดลองยา ความกลัวของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป บางครั้งพวกเขาก็ยังพูดคุยหัวเราะกัน แต่อาการไข้สูงยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในกลุ่มนักโทษมีสองคนที่มีร่างกายแข็งแรง เขาแทบจะไม่มีอาการอะไร ยังคงกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วยังมักจะถามอวิ๋นเยี่ยว่ามีเหล้าให้เขาหรือไม่ เพราะมักจะเอาเหล้าดีๆ ไปทาที่แผล
สามวันต่อมา อาการค่อยๆ ดีขึ้น ทุกคนต่างรอดชีวิตมาได้ ซุนซือเหมี่ยวมองดูรอยแผลสีดำทั้งสองบนแขนของตัวเองแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหวังว่ามันจะได้ผล
การทดลองจริงกำลังจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน มีขวดแก้วขนาดใหญ่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ข้างในมีเสื้อผ้าลินินอยู่ นี่คือผ้าที่เอามาจากผู้ป่วยในเมืองโซ่วโจว มันถูกปกคลุมด้วยไวรัสไข้ทรพิษ ของสิ่งนี้ไม่มีใครกล้าเก็บเอาไว้ในสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยขุดถ้ำในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง มีทหารสามร้อยนายเฝ้าอยู่ที่นี่ แค่มีคนออกไปจากที่นี่โดยไม่ผ่านการสังเกตการณ์สองเดือนก็จะถูกฆ่าอย่างไร้ซึ่งความปรานี โดยไม่ละเว้นว่าจะเป็นใครก็ตาม
แม่ทัพขุนนางทหารไป๋เหยี่ยนเหรินและเหยเหยี่ยนเหริน เป็นคนมีความสามารถที่หลี่ซื่อหมินเป็นคนเลือกมาเองกับมือ ก่อนที่ไวรัสจะมาถึง เขาเคยไปที่ภูเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าขุนนางทหารคนนั้นอยากจะฆ่าเขา เพราะเมื่อเขาไม่มีอะไรทำก็จะมองอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วยังจงใจหยุดอยู่ตรงที่ที่ลงมือได้ง่าย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น