เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 5-7

ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 5 ไม่แบ่งแยกดีเลว

 

ฤดูร้อนของฉางอันเป็นเหมือนเข่งรองนึ่ง ช่วงที่ร้อนที่สุดของวันไม่ใช่ตอนเที่ยงแต่อย่างใด กลับเป็นช่วงเวลาบ่ายที่ทรมานกว่า วันนี้อากาศดีทีเดียว ไม่มีก้อนเมฆ ตามพิธีของราชสำนักแล้ว ฝ่าบาทอยู่ใต้ร่มหวางลัว ขุนนางก็จะต้องยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม สวมชุดเครื่องแบบหนักๆ ไว้บนตัว ยืนอยู่ใต้แสงแดดถูกแผดเผาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงเต็ม ข้างหน้าเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและความโมโหที่มีอยู่เต็มอก ไม่ทันได้รู้ตัวก็มีคนสูงวัยและคนอ่อนแอเป็นลมแดดไปแล้วสองสามคน ที่เหลือก็พยายามยืนหยัดจนหน้าแดงหน้าดำเพราะไม่อยากให้เสียพีธี


 


 


แต่เมื่อหลี่ซื่อหมินกำลังมีความสุขที่ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ย เขาก็ลืมความทรมานของเหล่าขุนนางที่ยังคงยืนให้แสงแดดแผดเผาอยู่ หรือว่า เขาจงใจกันแน่?


 


 


มีเหล้าที่มาจากหลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยก็ไม่นึกสนใจแสงแดดที่แผดเผาของฉางอันมากนัก ฝ่าบาทอยากจะฟังเรื่องราว เช่นนั้นก็ย่อมได้ ความจริงข้าก็อยากจะจบสิ้นกระบวนการส่งมอบสมบัติล้ำค่านี้เร็วๆ ทว่าฮ่องเต้ไม่อนุญาต ข้าจะทำอะไรได้ ระบายออกมาหน่อยก็ดีเหมือนกัน


 


 


อวิ๋นเยี่ยวางกล่องในมือลงบนกองสมบัติล้ำค่า ถือโอกาสหาที่ที่ร่มเย็น นั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่ซื่อหมินฟัง


 


 


“เรื่องนี้ต้องเริ่มจากวันที่กระหม่อมออกไปจากพระราชวัง…ต่อมากระหม่อมก็เจอทองคำที่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงได้บอกวิธีการขุดทองให้กับโต้วเยี่ยนซาน…”


 


 


หลี่ซื่อหมินฟังอย่างหลงใหล เรื่องที่เขาชอบที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องการต่อสู้ด้วยความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวจนดึงตัวเองออกมาไม่ได้ ไม่สนใจเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ฝ่าบาท วันนี้อากาศร้อนเกินไป ฝ่าบาทโปรดยุติพิธีราชสำนักโดยเร็ว ตอนนี้มีขุนนางหกคนไม่สบาย เป็นลมไปแล้วขอรับ”


 


 


ในที่สุดฝางเสวียนหลิงก็ทนไม่ไหวจึงพูดเตือนฝ่าบาทเสียงดังจนปลุกฮ่องเต้ออกมาจากจินตนาการได้สำเร็จ หลี่ซื่อหมินมองไปข้างหลังเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตกอกตกใจ บนพื้นมีขุนนางตั้งหลายคนนอนน้ำลายยืดอยู่ กำลังรับการรักษาจากหมอหลวง


 


 


“ไอ้หยา เราคิดว่าเราอยู่ในกองทัพ รีบรักษาเร็วๆ คนอื่นๆ ก็พากันไปพักที่ร่มดื่มซุปแก้ร้อนในแล้วกัน เวลาเข้าเฝ้าของวันนี้นานไปหน่อย”


 


 


เหล่าขุนนางถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ผู้คนกลุ่มหนึ่งตรงไปที่ตำหนักไท่จี๋ พากันกอดชามซุปน้ำบ๊วยที่ใส่น้ำแข็งอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงจางเลี่ยงเท่านั้นที่มีท่าทางสงบนิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนของแสงแดดข้างนอกเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหยิบชามซุปน้ำบ๊วยขึ้นมาราวกับเครื่องกล แล้วก็ค่อยๆ ชิมทีละคำ


 


 


“จางกงช่างมีน้ำจิตน้ำใจเสียจริง ตอนนั้นบริจาครายได้ทั้งหมดที่ได้จากหลิ่งหนาน และเขียนจดหมายให้หลานเถียนเซียนโหวขอให้เขาอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว วันนี้เห็นสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ แต่ก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีเสียจริง ข้าไม่มีอุดมคติที่สูงส่งเช่นจางกง แค่อยากจะเป็นผู้ดูแล ผู้ดูแลที่อยากจะให้คนในตระกูลกินอิ่มนอนหลับก็พอ ตอนนี้ตระกูลเหยาได้รับความสูญเสียอย่างหนักภายใต้การเรียกร้องของเจ้า หากไม่ใช่เพราะตู้เซียงขอร้อง อวิ๋นโหวลดหย่อนเก็บส่วนของข้าแค่หกส่วน คนทั้งตระกูลของข้าก็คงจะหิวตายไปนานแล้ว มีเพียงจางกงเองที่อยากจะปีนขึ้นไปเป็นกั๋วกง เป็นนายท่าน หรืออาจจะมีความคิดอื่น แต่ก็ช่างมันเถอะ แล้วเหตุใดถึงต้องดึงพวกข้าเข้าไปซวยด้วย ถึงตอนนี้แล้วก็น่าจะมีคำอธิบายให้พวกข้าใช่หรือไม่”


 


 


“ความร่ำรวยทำให้จิตใจคนสั่นคลอน ข้ามันเป็นคนไม่มีอนาคต ก็แค่อยากจะหาเงินให้ที่บ้านเพิ่มอีกสักหน่อย สร้างรากฐานให้แก่ลูกๆ หลานๆ ตอนนั้นพวกเราต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ ดีเหลือเกิน วันนี้ความร่ำรวยของครึ่งชีวิตที่ผ่านมาหายไปหมดแล้ว เหล่าจาง เจ้าควรจะให้ค่าตอบแทนข้าบ้างใช่หรือไม่”


 


 


จางเลี่ยงปากสั่นพูดอย่างโมโหว่า “ตอนนั้นข้าบอกแค่ว่าตระกูลข้าจะบริจาค ไม่ได้บอกว่าตระกูลของพวกเจ้าก็บริจาค พวกเจ้าสมัครใจบริจาคเอง เกี่ยวอะไรกับข้า”


 


 


ขุยกั๋วกงหลิวหงจีเป็นคนอารมณ์ร้อน ได้ยินจางเลี่ยงพูดเช่นนี้ เขาก็ด่าด้วยความโมโห “เหลวไหล ขุนนางอย่างพวกเราเดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว ตอนแรกอวิ๋นเยี่ยหาทางลัดให้ข้าร่ำรวย เป็นช่องทางที่ดี ไม่ละเมิดกฎหมายของประเทศ และก็ไม่จำเป็นต้องยักยอกรับสินบน ทำมันได้อย่างเปิดเผย เงินสะอาดที่ได้มาอย่างเที่ยงธรรม ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง เจ้ายังจะปากแข็ง หากไม่ใช่เพราะเจ้าบังคับให้ข้าเดินไปจนถึงทางตัน ข้าจะลุกขึ้นมาบริจาคหรือ ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่บริจาค แต่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของหลิ่งหนานก็คือของฝ่าบาท รายได้ของฝ่าบาทเพียงพอที่จะสนับสนุนการโจมตีซีเจิงแล้ว ตอนที่อวิ๋นเยี่ยอยู่ที่หมิงโจว เขาก็ได้เก็บเงินไว้ในคลังเงินให้ฝ่าบาทเก้าแสนเหรียญ แต่มันก็ยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของที่หลิ่งหนาน ที่จริงสิ่งของที่วางอยู่ข้างนอกในนั้นมีส่วนของข้าอยู่ เจ้าจะชดใช้ให้ข้าหรือ”


 


 


“หลิวหงจี รายได้ของข้าที่หลิ่งหนานถูกอวิ๋นเยี่ยเอาไปหมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว แม่ทัพตระกูลข้าก็ถูกหงเฉิงกับอู๋เสอฆ่าตายไปแล้ว ข้างในนี้มีเงาของอวิ๋นเยี่ย อย่างน้อยพวกเจ้าก็สูญเสียไปแค่สี่ส่วน แต่ข้าไม่ได้อะไรเลย ข้าไปบอกใครได้บ้าง”


 


 


“มันสมควรแล้วนี่ ถึงแม้ว่าข้าจะหื่นกาม แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะคิดอะไรกับท่านหญิง ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ หากอวิ๋นเยี่ยไม่ยึดทรัพย์เจ้า จะให้ไปยึดทรัพย์ใคร? เจ้าลองดูคนที่อยู่ที่นี่ นอกจากแม่ทัพตระกูลของเจ้าตายไปหมด ตระกูลใครมีคนตายอย่างไร้เหตุไร้ผลหรือ นอกจากตายในสนามรบ คนของตระกูลข้าที่เหลือแค่ขาข้างเดียวไปถึงลั่วหยางแล้ว เอาเงินสี่ส่วนที่เหลืออยู่กลับมาทั้งหมด อวิ๋นเยี่ยยังเอาสิ่งของที่ขายง่ายและมีค่าเหลือไว้ให้ข้า ล้วนแต่เป็นของกองทัพ น้ำใจครั้งนี้ข้ารับเอาไว้แล้ว หากอวิ๋นเยี่ยจะพาคนไปบุกตระกูลเจ้า ไม่แน่ข้าอาจจะแอบเตะเจ้าสักทีหนึ่งอย่างลับๆ”


 


 


“เจ้ามัน…” จางเลี่ยงอยากจะเอ่ยปากด่าคน ทว่าพึ่งจะอ้าปาก กำปั้นของหลิวหงจีก็สวนเข้าไปที่หน้าของจางเลี่ยงเต็มๆ


 


 


ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยถือชามซุปน้ำบ๊วย หลบรองเท้าที่ลอยผ่านมา หลบอยู่ข้างหลังเสาแล้วกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบๆ


 


 


“เหล่าตู้ ครั้งนี้ฝ่าบาทได้ส่งแม่ทัพที่มีความสามารถทั้งหมดออกไปหมด ที่เมืองหลวงเหลือแค่เพียงตัวอ่อนพวกนี้ ดูเหมือนว่าฝ่าบาทคงจะต้องจัดการกับพวกขุนนางที่ไร้กฎระเบียบพวกนี้บ้างซะแล้ว แต่ละคนรู้จักแต่จะหาผลประโยชน์ให้กับตระกูลตัวเอง ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย เทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิง หนิว อวิ๋นและฉินทั้งสี่ตระกูลที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ความแตกต่างระหว่างพวกเขาหนักหนาเกินไป เจ้าดูสิ สงครามใหญ่ครั้งนี้จบลง ทั้งสี่ตระกูลคงจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”


 


 


ตู้หรูฮุ่ยเอนคอออกไปมองที่หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดต่อว่า “อวิ๋นเยี่ยคนนี้คู่ควรกับชื่อเสียงศิษย์ของท่านเซียนจริงๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่อันตรายให้ปลอดภัย ความสามารถเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงได้ให้ความสำคัญ ไม่มีการเพิ่มภาษีราษฎรแต่ประเทศชาติก็มีเงินใช้ที่เพียงพอ นี่คือความสามารถจากสรวงสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าบนโลกใบนี้มีความร่ำรวยอยู่ที่ไหน ไปเอาได้เช่นไร เจ้าจำภาพสำนักศึกษาบนเขาอวี้ซันที่เขาวาดได้หรือไม่ ตอนนั้นเรายังหัวเราะเยาะที่เขาไม่เจียมตัว ตอนนี้คิดดูแล้ว ไม่เกินยี่สิบปี เขาก็จะทำสำเร็จ วันที่สำนักศึกษาสร้างเสร็จก็คือวันที่เขาจะกลายเป็นเหวินจง”


 


 


ฝางเสวียนหลิงมองไปด้านหลังเสา เห็นว่าข้างนอกเงียบสงบ จางเลี่ยงนอนชักกระตุกอยู่กับพื้นราวกับก้อนโคลน ปากและจมูกของเขาเต็มไปด้วยเลือด เครื่องแบบขุนนางใหม่เต็มไปด้วยรอยเท้า ตรงเป้ากางเกงก็มีรอยเท้าจำนวนมาก เปลือยเท้าข้างหนึ่ง ดูไปแล้วช่างน่าสังเวช


 


 


หลิวหงจี แล้วยังมีตระกูลเผย ตระกูลจาง ตระกูลเหยา ตั้งหลายคนที่ลงไม้ลงมือไปเมื่อครู่ แต่ละคนดื่มซุปน้ำบ๊วยอย่างเงียบๆ หลิวหงจียังแก้เสื้อผ้าออกพัดไปตามสายลม ราวกับว่ารอยเท้าที่อยู่ใต้เป้าของจางเลี่ยงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา


 


 


ฝางเสวียนหลิงสั่งให้คนรับใช้หารองเท้าของจางเลี่ยงไปใส่ให้เขา บอกกับหมอหลวงว่า “จางกงเป็นลมแดด ล้มหน้ากระแทกขั้นบันได พวกเจ้ารักษาเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ให้คนพาเขาไปพักฟื้นที่บ้าน ข้าจะไปลาให้เขาเอง”


 


 


หลิวหงจีกัดฟันแล้วยกนิ้วโป้งให้กับฝางเสวียนหลิง จากนั้นก็ดื่มซุปน้ำบ๊วยต่อ ไม่ได้ลงสนามรบมาหลายปีแล้ว ตากแดดนิดหน่อย ทั่วร่างกายกลับรู้สึกผิดปกติซะอย่างนั้น


 


 


ขุนนางกับฮ่องเต้ พวกเขาสองคนที่เดิมอยู่ตรงลานเดินมาจนถึงริมแม่น้ำจินสุ่ย นั่งลงใต้ต้นหลิวแล้วพูดคุยกันต่อ


 


 


“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าโต้วเยี่ยนซานตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


“ฝ่าบาท จะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เขาสู้กับจระเข้จริงๆ ได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ถึงได้ตาย ไม่ใช่กระหม่อมฆ่าเขา”


 


 


“เหอะๆ เจ้ากับม้าของเจ้ากินไข่จระเข้ แล้ววิ่งไปฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ เห็นโต้วเยี่ยนซานพาพ่อบ้านที่บาดเจ็บไปยังที่ที่อันตรายแต่กลับไม่บอกให้เขารู้ นี่คือเจ้าวางแผนที่จะฆ่าเขา ยังจะเรียกร้องความบริสุทธิ์อะไรอีก”


 


 


“ฝ่าบาท โต้วเยี่ยนซานเป็นขุนนางหัวขโมย กระหม่อมคือตัวละครเชิงบวกในเรื่องราว ฝ่าบาทสงสารคนผิดหรือเปล่า กระหม่อมถูกเขาลักพาตัว ทนทุกข์ทรมาน ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่ากระหม่อมน่าสงสารหรือ วั่งไฉที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ผอมแห้งเหลือกระดูกอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ตอนนี้กระหม่อมยังถูกดวงอาทิตย์ที่หลิ่งหนานแผดเผาจนดำราวกับคนผิวดำ แต่ฝ่าบาทกลับเห็นใจเขา?”


 


 


“เจ้าจะไปรู้อะไร ประโยคที่ว่ารู้จักวีรบุรุษคนนั้นจริงๆ จึงให้ความสำคัญกับวีรบุรุษคนนั้น นี่คือสภาพจิตใจที่สุภาพบุรุษจำเป็นที่จะต้องมี นอกเหนือจากจุดยืน เมื่อเทียบกับโต้วเยี่ยนซานแล้ว เจ้าเป็นเหมือนคนสารเลวที่มีเล่ห์เหลี่ยมและเจ้าเล่ห์มากกว่า ใช้ทองคำเป็นเครื่องมือทำให้วีรบุรุษที่กล้าหาญและมีสติปัญญากลายเป็นคนหัวรุนแรง จากนั้นใช้ประโยชน์จากการที่ตัวเองไปถึงก่อนบังคับให้โต้วเยี่ยนซานจำเป็นต้องต่อสู้กับจระเข้ ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ช่างน่าเสียดาย เมล็ดพันธุ์ที่ดีของวีรบุรุษที่กล้าหาญและมีสติปัญญา


 


 


สิ่งที่เจ้าทำในตอนสุดท้ายยังถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง เจ้าฝังเขา ทำอนุสาวรีย์ให้เขา หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ เราคงจะดูถูกเจ้าไม่น้อย อันที่จริงสิ่งที่หายากที่สุดในตัวเจ้าก็คือเจ้าไม่ดูถูกคู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้ามีความเคารพต่อเขา เอาเรื่องที่เขาสู้กับจระเข้ หรือนั่นก็คือสถานการณ์ของสงครามมังกรไปเล่าให้กับคนอื่นฟัง ปกปิดด้านที่ไม่ดีของเขาและส่งเสริมด้านดี พฤติกรรมของสุภาพบุรุษเช่นนี้สามารถชดเชยความผิดพลาดของเจ้าได้


 


 


สิ่งที่เจ้าทำมักจะทำให้เราชื่นชอบมันจากใจจริง หลักการที่ควรมีก็มีไม่เคยขาด ท่าทางที่ควรมีก็มีไม่เคยขาด ความยืนหยัดที่ควรมีก็มีไม่เคยท้อถอย เด็กที่มีไหวพริบและชอบกระโดดโลดโผน ในที่สุดก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วิญญาณท่านอาจารย์ของเจ้าที่อยู่บนฟ้าคงตายตาหลับได้” หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ ทำท่าทางชื่นชมคนรุ่นหลังที่โตเป็นผู้ใหญ่


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะกลับบ้านเหลือเกิน กระหม่อมพร้อมที่จะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาทโปรดปลดตำแหน่งขุนนางแม่ทัพเรือที่หลิ่งหนานของกระหม่อม กระหม่อมจะมอบตราประทับคืนเดี๋ยวนี้”


 


 


“เก็บไว้เถอะ แม่ทัพเรืออย่างเจ้าจะให้เราไปหามาจากที่ไหนได้อีก แม่ทัพคนอื่นรู้จักแต่ขอเงิน ขอเสบียงอาหาร ขอคนจากข้า มีแค่เจ้าที่จะทำให้กองทัพเรือที่ราวกับขอทานเจริญรุ่งเรืองและเก่งกาจขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ แล้วยังมีทรัพย์สมบัติมามอบให้กับคลังประเทศ คนเช่นนี้หากเราไม่ใช้งาน มันก็คงจะสิ้นเปลืองเกินไป กลับบ้านไปเถอะ เราให้เจ้าหยุดหนึ่งเดือน”


 


 


ถึงแม้ว่าจะไม่บรรลุเป้าหมาย แต่เมื่อได้ยินว่าได้หยุดหนึ่งเดือน อวิ๋นเยี่ยก็มีความสุขไม่น้อย คำนับหลี่ซื่อหมิน ขณะกำลังจะก้าวออกไปข้างนอก เพียงแค่เดินออกมายังไม่ถึงสองก้าว ก็ได้ยินหลี่ซื่อหมินพูดต่ออีกว่า


 


 


“กลับบ้านได้ไม่เป็นไร แต่เจ้าเอากล่องสมบัติในแขนเสื้อของเจ้าออกมาก่อนแล้วค่อยไป ของสิ่งนั้นถือว่าอยู่ในคลังประเทศแล้ว เป็นของต้าถัง ใครเอาไปจะต้องตาย เราไม่อยากออกคำสั่งตัดหัวเจ้าตอนนี้



 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 6 หลี่ไท่ขอคำแนะนำ

 

สังคมระบบศักดินามีข้อเสียตรงนี้ มักจะชอบตัดหัวคนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง หัวคนไม่ใช่หางตุ๊กแกที่ขาดออกไปแล้วจะงอกขึ้นมาใหม่ได้เสียหน่อย 


 


 


เมื่อนึกถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ามาที่หัวใจ เพชรภูเขาแห่งแสง นี่คือชื่อที่อวิ๋นเยี่ยตั้งให้มัน เพชรที่มีขนาดเท่ากำปั้น หากวางไว้ใต้ดวงอาทิตย์แสงที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์ไปตกกระทบจะทำให้คนมองแทบลืมตาขึ้นไม่ได้ เป็นสมบัติของชนเผ่าเผ่าหนึ่ง ในทุกฤดูใบไม้ผลิพวกเขาจะเอามันออกมาบูชาดวงอาทิตย์เพื่อให้เพชรสะท้อนแสงอาทิตย์เพิ่มอีกสักสองสามครั้ง พวกเขาขัดถูอย่างง่ายๆ ไม่กี่ส่วน 


 


 


หลังจากที่หงเฉิงได้ยิน เขาก็ตาลุกเป็นไฟ พาคนไปล้อมรอบทั้งหมู่บ้านเอาไว้ ให้พวกเขาส่งมอบเพชรเม็ดนั้นมาให้ แลกกับผ้าลินินสองเกวียน มิฉะนั้นจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด และตัวเองจะไปเอามาเอง 


 


 


พลังแห่งความศรัทธาช่างมีอานุภาพ คนในหมู่บ้านกลืนน้ำลายปฏิเสธผ้าลินินสองเกวียน ผู้เฒ่าโง่ยังหยิบเพชรออกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เหล่าทหารทุกคน ขอให้เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คุ้มครองทหารของเขาให้ดาบฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ 


 


 


ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นคนบุกโจมตี หงเฉิงที่ตาลุกเป็นไฟพุ่งเข้าไปฆ่าฟันอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงเหล่าทหารที่ได้รับพรจากเทพแห่งดวงอาทิตย์ หงเฉิงผู้ถูกสมบัติล้ำค่าครอบงำ ถึงแม้ว่าตอนนี้เผชิญหน้ากับเทพแห่งดวงอาทิตย์ เขาก็กล้าที่จะลงไม้ลงมืออยู่ดี 


 


 


ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเทพแห่งดวงอาทิตย์เทียบกับเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยไม่ได้ เหล่าทหารเหล่านั้นพากันล้มตายลงบนพื้นท่ามกลางลูกธนูที่ยิงออกมาราวกับสายฝน หน้าไม้สามขาของต้าถังไม่ใช่สิ่งที่เหล่าทหารที่ได้รับความคุ้มครองจากเทพแห่งดวงอาทิตย์จะต้านทานได้ 


 


 


เหล่าทหารล้มตายลง ผู้เฒ่ายืนถือเพชรอยู่บนยอดหน้าผา บอกหงเฉิงว่าหากไม่เอาผ้าลินินสี่เกวียนมาแลก เขาจะกระโดดลงไปพร้อมกับเพชรเม็ดนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการต่อรองครั้งสุดท้าย ก็ยอมตกลงแลกกับผ้าลินินสามเกวียน 


 


 


ท่ามกลางสายตาอันเฉื่อยชาของเหล่าทหารต้าถัง ผู้เฒ่าส่งมอบเพชรให้หงเฉิงอย่างพึงพอใจ ตัวเองพาทหารที่เหลืออยู่ลากผ้าลินินสามเกวียนกลับบ้าน เกวียนคันใหญ่ช่างเสริมสร้างบารมี ไม่ต้องบอก ผ่านไปไม่นานก็จะมีข่าวลือว่าผู้เฒ่าของหมู่บ้านชาญฉลาดเพียงใด เอาเม็ดหินเม็ดหนึ่งแลกผ้าลินินมาสามเกวียน ทุกคนมีเสื้อผ้าชุดใหม่สวมใส่ ส่วนทหารยี่สิบสามสิบคนที่ตายไปแล้วก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องที่มีไว้ประดับตกแต่งที่ไร้ความสำคัญในนิทานตำนานของผู้เฒ่าก็เท่านั้น 


 


 


ยิ่งเป็นการเมืองยุคดึกดำบรรพ์ก็ยิ่งโหดเ**้ยมเช่นนี้ เมื่อลดความเคร่งขรึมลงแล้วเผยความจริงที่ว่างเปล่าต่อหน้าหงเฉิง หลังจากได้ยินตอนต่อไปของนิทาน เขาก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกในนิทานเรื่องนี้ หงเฉิงไม่ได้โมโหแต่กลับหัวเราะจนน้ำตาไหล สุดท้ายก็กลายเป็นร้องไห้โหยหวน นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็รังเกียจเพชรภูเขาแห่งแสงอันล้ำค่าเม็ดนี้เป็นที่สุด แม้แต่แตะยังไม่อยากจะแตะ รู้สึกว่าหินเม็ดนั้นสกปรกกว่าขี้หมาเสียอีก 


 


 


ยอมแบกทองคำที่หนักสิบกว่ากิโล แต่ไม่ยอมแตะต้องเพชรที่มีมูลค่าสูงเม็ดนั้น อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าทองคำแท่งนั้นมีชีวิตคนตั้งมากมาย แต่หงเฉิงก็เต็มใจจะแบกมันไว้ เขาคิดว่ามันเป็นทองคำที่สะอาดสะอ้าน และก็ไม่ยอมสัมผัสเพชรที่สกปรกเม็ดนั้นอีก เขาคิดว่าชีวิตคนไม่มีทางติดอยู่ที่ทองคำ นั่นคือบาปของอวิ๋นเยี่ย ไม่ใช่บาปของทองคำ ทฤษฎีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยสับสนอยู่นาน แต่ก็หาสาเหตุไม่เจอสักที คิดได้แค่ว่านี่คือความยืนหยัดของตัวเขาเท่านั้นเอง 


 


 


เมื่อวางสมบัติล้ำค่าลง ถูกหลี่ซื่อหมินเตะสองสามที เดิมทีไม่ถูกเตะ แค่เพียงถูกก่นด่าเล็กน้อย แต่หลังจากที่หลี่ซื่อหมินเปิดกล่อง เห็นเพชรที่ราวกับดวงอาทิตย์ดวงใหม่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา เขาก็โมโหขึ้นมาทันที เตะเข้าที่ขาอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายทีจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูบอกให้ไสหัวไปเร็วๆ จะได้ไม่ทำให้เขาโมโหหนักไปกว่าเดิม 


 


 


คนอะไร ข้าแค่อยากเอากลับไปวางอวดไว้ที่บ้านสักสองสามวัน ให้ลูกศิษย์สำนักศึกษาได้เห็นผลลัพธ์ของการเดินทางอันยาวนานของท่านอาจารย์ สุดท้ายก็ต้องเอาไปไว้ในคลังประเทศอยู่ดี ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ้านขุนนางควรจะมีหรือไม่ กระทั่งแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเก็บมันไว้ในคลังประเทศด้วยซ้ำ มีพวกทูตมาเยือนถึงจะเอาออกมาโอ้อวดเป็นครั้งคราว 


 


 


ท่าทางที่หลี่ซื่อหมินชอบทำมากที่สุดตอนนี้ก็คือแกล้งทำเป็นไม่ระวังทำจอกแก้วแตก ครั้งก่อนมีคนดุร้ายเข้ามาในกองทัพ ดุร้ายแบบที่ฆ่าศัตรูได้เป็นหมื่นๆ คน มีชื่อว่าสีจวินไหม่ หลังจากหลี่ซื่อหมินเรียกเข้าเฝ้า เฉลิมฉลองให้กับวีรบุรุษ กินดื่มอิ่มหนำสำราญกับเหล่าแม่ทัพ หลี่ซื่อหมินที่ถือจอกแก้วอยู่ในมือก็ยื่นจอกแก้วให้กับสีจวินไหม่ บอกให้เขาฆ่าศัตรูให้มากๆ สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับประเทศชาติ ในตอนที่สีจวินไหม่กำลังจะรับจอกแก้วมาด้วยมือทั้งสองข้าง มือของหลี่ซื่อหมินพลันลื่น ทันใดนั้นจอกแก้วที่แวววาวก็ตกแตกเป็นชิ้นๆ ตอนนั้นสีจวินไหม่คุกเข่าลงและบอกว่าจะรับโทษประหาร หลี่ซื่อหมินหัวเราะและพูดว่ามีแม่ทัพที่กล้าหาญชาญชัยอย่างสีจวินไหม่ช่างเป็นความโชคดีของต้าถัง จอกแก้วเล็กๆ แค่นี้ไม่เป็นอะไรเลย ยังมีจอกแก้วแบบนี้อีกมาก เขาสั่งให้สาวใช้เอามันออกมา รินเหล้าจนเต็มแล้วยื่นให้สีจวินไหม่อีกครั้ง สีจวินไหม่ที่ซาบซึ้งดึงมีดออกมากรีดแขนจนเลือดไหลออกมา หยดเลือดไหลลงในจอกเหล้า ดื่มอึกเดียวจนหมดเกลี้ยง สาบานว่าจะหลั่งเลือดหยดสุดท้ายให้กับต้าถัง หลี่ซื่อหมินนึกพึงพอใจจึงส่งจอกแก้วอันนั้นให้กับสีจวินไหม่ แขกทั้งห้องต่างพากันพูดแสดงความยินดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนั้นหากหลี่ซื่อหมินบอกให้สีจวินไหม่กอดระเบิดไประเบิดป้อมปราการของศัตรู เขาก็คงจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


พึ่งจะถูกไล่ออกมาจากพระราชวัง ก็ได้เจอกับหลี่ไท่กำลังแสยะยิ้ม หยิบขวดเล็กๆ ออกมาและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมีวิธีทำให้ของสิ่งนี้กัดไปที่คนคนเดียวโดยที่ไม่ไปยุ่งกับคนอื่นหรือไม่” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็โมโห ใครอนุญาตให้เขาเอามดตัวใหญ่ในเขาวงกตของสำนักศึกษาออกมา สัตว์ตัวนี้อันตรายเกินไป โดยปกติจะเลี้ยงไว้ในรางแก้วขนาดใหญ่ สำนักศึกษาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเลี้ยงจากหนึ่งร้อยตัวจนตอนนี้มีจำนวนเกือบๆ ถึงหมื่นตัว แต่ก็ยังเอาออกไปไว้ข้างนอกไม่ได้ เพราะความสามารถในการปรับตัวของมันแย่มาก มันจะอยู่ยงคงกระพันในทะเลทราย แต่ในฉางอันที่อากาศชื้นและมักมีฝนตกบ่อยๆ ทำให้มันไร้ความสามารถในการขยายพันธุ์ บ่อยครั้งที่มีนกมาเอาตัวมันไปอีก อวิ๋นเยี่ยได้แต่ปล่อยไปเพราะว่าทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้านี่กลับเอามันออกมาเป็นของเล่น หากถูกมันกัดเข้าให้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากไม้คีมที่ถูกไฟเผา 


 


 


หั่วจู้ เพื่อนร่วมชั้นที่ชอบเอาสัตว์นี้ออกมาเล่น ไม่ทันระวังจนถูกกัดเข้าให้ ร้องโหยหวนไปทั้งวัน และยังต้องอยู่ในความดูแลของซุนซือเหมี่ยวอย่างใกล้ชิด 


 


 


“ใครให้เจ้าเอามันออกมาเล่น หากถูกกัด เจ้าก็คงรู้ผลที่ตามมา แม้แต่ท่านอาจารย์ซุนก็ยังไม่มีวีธีช่วยเจ้าบรรเทาความเจ็บปวด อันตรายเกินไปแล้ว แล้วอีกอย่าง หากสัตว์มันกลายพันธุ์ขึ้นมาแล้วตั้งรากตั้งฐานอยู่ในฉางอัน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่” 


 


 


“ท่านทำให้ข้ากลัวอีกแล้ว ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ามันไม่มีความสามารถในการขยายพันธุ์ ใครไม่มีอะไรทำจะไปเอามดตัวเมียออกมาทดลองเสมอ ข้าแค่อยากถามท่านว่า ท่านมีวิธีทำให้มันกัดแค่คนคนเดียวหรือไม่ ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ ได้หรือไม่ รีบบอกข้ามาเถอะ ข้ารีบอยู่” 


 


 


ทันใดนั้นหัวของอวิ๋นเยี่ยก็มีใบหน้าที่รนหาที่โผล่ขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามดพวกนี้เตรียมไว้ให้เขา คิดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยถึงได้พูดว่า “ตอนเรียนไม่ตั้งใจเรียน มดตัวใหญ่ชนิดนี้มีหน้าที่ปกป้องมดตัวเมีย พวกมันจงรักภักดี ยอมตายเพื่อมดตัวเมีย วิธีที่พวกมันแยกแยะมดตัวเมียก็คือการดมกลิ่น จำไว้ อย่าปล่อยให้สิ่งที่เหมือนน้ำที่มดตัวเมียขับออกมาโดนตามร่างกาย มิเช่นนั้น มดพวกนั้นก็จะพากันมาหาเจ้า ต่อไปในชั้นเรียนต้องตั้งใจเรียน อย่าเลือกเรียนแต่วิชาที่ตัวเองชอบ”  


 


 


หลี่ไท่โค้งคำนับขอบคุณอย่างมีมารยาท สำหรับคนที่สามารถไขปริศนาของเขาได้ เขามักจะมีมารยาทเป็นอย่างยิ่ง ช่างเป็นลูกศิษย์ที่ดีคนหนึ่ง 


 


 


ออกมาจากพระราชวังครั้งนี้ เหล่าจวงพาวั่งไฉเดินตามอวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างหลังไม่ห่าง เห็นอวิ๋นเยี่ยออกมาจากรพระราชวัง วั่งไฉก็วิ่งไปพร้อมกับถุงเงินที่ห้อยอยู่ใต้คอ สถานที่ที่คุ้นเคยทำให้วั่งไฉอารมณ์ดี 


 


 


ขึ้นไปบนหลังของวั่งไฉ ไม่ต้องเร่ง วั่งไฉก็ร้องและวิ่งไปทางเขาอวี้ซันตามถนนจูเชวี่ย 


 


 


ร่างกายของวั่งไฉแข็งแรงขึ้นไม่น้อย วิ่งมาจากฉางอันตลอดทางก็ไม่เห็นเหงื่อสักหยด เห็นซุ้มประตูสีแดงจากระยะไกล มันส่งเสียงร้องยาว เร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย ทิ้งเหล่าจวงและคนอื่นๆ อยู่ข้างหลังไกลๆ กีบเหล็กวิ่งอยู่บนถนนหินเริ่มลดความเร็วลง สะบัดตัวบอกให้อวิ๋นเยี่ยลงมา มันจะออกไปซื้อของ 


 


 


คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นที่กำลังรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นท่านโหวกลับมาก็คุกเข่าลงบนพื้น ร้องไห้เหมือนพ่อแม่ของตัวเองตาย เตะเข้าให้คนละทีถึงได้หยุดร้อง เห็นวั่งไฉส่งเสียงออกมาทางจมูกอย่างไม่พอใจจึงรีบเข้าไปถอดสายรัดให้กับวั่งไฉ อีกคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “ท่านโหวกลับมาแล้ว!” ก่อนจะตะเกียกตะกายวิ่งเข้าไปข้างใน 


 


 


ผู้คนในตลาดเห็นอวิ๋นเยี่ยใส่ชุดเกราะเต็มยศก็พากันโค้งคำนับแสดงความเคารพ อวิ๋นเยี่ยเองก็ยิ้มตอบรับพวกเขา ล้วนแต่เป็นคนบ้านเดียวกัน ทำท่าทางของท่านโหวไม่ค่อยดีนัก  


 


 


“ท่านโหวลำบากแล้ว ได้ยินมาว่ากองทัพได้กวาดล้างเมืองที่ไม่เป็นพันธมิตรทางตอนใต้หลายสิบเมือง นำทรัพย์สมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนมาให้ราชสำนัก ช่างมีความดีความชอบเหลือเกิน เหล้าดอกกุ้ยฮวาของเหล่าฮั่นพอใส่ผลไม้แห้งเพิ่มเข้าไปรสชาติไม่เลวเลย ท่านลองชิมดูเถิด” 


 


 


ปฏิเสธไม่ได้ ภายในปีหนึ่งเหล่าฮั่นจะหมักเหล้าเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาส่งมาให้ที่บ้านทุกครั้ง และถึงจะได้ของตอบแทนกลับไปเป็นเพียงแค่ขนม เขาก็จะดีใจเป็นครึ่งปี นี่คือศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าฮั่นยังเรียนรู้วิธีการชักชวนให้ดื่มเหล้า ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนอยู่นาน ท่าทางการยกเหล้า กระดกนิ้วสองนิ้ว ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหน 


 


 


ไม่เลวเลยทีเดียว กำลังกระหายน้ำอยู่พอดี เลยไม่ได้สนใจนิ้วที่กระดกขึ้นมาของชายแก่ หยิบจอกขึ้นมาดื่มจนหมด ยกนิ้วโป้งบอกว่าไม่เลว ชายแก่หน้าแดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็พูดว่า “ท่านโหวกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ ที่บ้านของข้าน้อยยังมีเหล้าเหลืออยู่ ข้าน้อยจะเอาไปให้ที่จวน ให้ท่านย่าได้ชิมบ้าง” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่ที่ขายเหล้าหมักกอดหัววั่งไฉร้องไห้ วั่งไฉที่เคยอ้วนท้วนกลายเป็นม้ารบตัวสูงใหญ่ ไม่หล่อเหลาเลยสักนิด คงเป็นเพราะไม่ได้ดื่มเหล้าหมัก ช่างน่าสงสารเสียจริง หิวโหยจนเป็นเช่นนี้ วันนี้ไม่ขายเหล้าหมักแล้ว เลียนแบบเขาบ้าง เอาดอกกุ้ยฮวาเทลงไปในเหล้าหมักแล้วให้วั่งไฉดื่ม วั่งไฉชอบจนเอาหัวยัดลงในถังไม้ ดื่มดำอย่างมีความสุข  


 


 


ทั้งๆ ที่ถูกลักพาตัวไป แต่ตระกูลกลับแสดงท่าทางของนายท่านที่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ ทุกคนต่างพากันไปต้อนรับที่หน้าจวน ท่านย่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือไม้เท้ามองดูด้วยรอยยิ้ม หลานชายที่สง่างามใส่ชุดเกราะเต็มยศก้าวเข้ามาจากนอกประตู สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าหลานชายจะดิ้นรนกลับมาอย่างน่าสังเวชหรือกล้าหาญชาญชัยก็ล้วนแต่เหมือนกัน ขอแค่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอ ส่วนเรื่องความดีความชอบ จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญ 


 


 


ท่านย่าแก่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะถูกลักพาตัวเส้นผมยังเป็นสีดำอยู่เลย ถึงแม้ว่าจะมีผมหงอกแทรกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เวลาเพียงแค่ปีเดียว แต่ผมหงอกกลับเต็มไปหมด  


 


 


เขารีบเข้าไปคำนับ “ท่านย่า หลานกลับมาแล้ว” ท่านย่าลูบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ น้ำตาไหลแล้วพูดว่า “ดี ดีเหลือเกิน หลานชายข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” 


 


 


ซินเย่ว์ยืนอยู่ข้างๆ นางร้องไห้จนหมดแรง ลูกในอ้อมแขนเบิกตากว้างมองไปยังชายแปลกหน้าคนนี้ น่ารื่อมู่แบกท้องโตโดยมีสาวใช้ประคองอยู่ คอยมองมาที่ท่านพี่ด้วยรอยยิ้ม ทั้งบ้านก็มีแค่นางคนเดียวที่เข้มแข็ง 



Home  เจาะเวลาสู่ต้าถัง  ตอนที่ 7 ดำน้ำ (หนึ่ง)

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 7 ดำน้ำ (หนึ่ง)

 

พิธีคำนับสิ้นสุดลง เสี่ยวยาก็พุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยราวกับลูกกระสุนปืน กอดเขาไปร้องไห้ไป สะอึกสะอื้นบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่านางได้ยินท่านย่ากับพี่สะใภ้คุยกัน นางรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยถูกคนลักพาตัวไป ถูกศัตรูที่อันตรายที่สุดของตระกูลลักพาตัวไป นางออกไปตามหาทั่วเขาอวี้ซัน แต่ก็หาอวิ๋นเยี่ยไม่เจอ 


 


 


เช็ดน้ำมูกน้ำตาให้เสี่ยวยาที่ราวกับลูกแมว กอดนางแล้วพูดว่า “ข้าเก่งแค่ไหนเจ้าก็รู้ สาเหตุที่ถูกลักพาตัวก็คือข้าอยากจะจัดการคนเลวพวกนั้นให้หมด ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ถูกข้าจัดการหมดแล้ว ต่อไปเสี่ยวยาก็ไปเที่ยวเล่นที่ตลาดได้แล้ว” 


 


 


เสี่ยวยาสูดน้ำมูกพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กอดอวิ๋นเยี่ยไม่ปล่อย ท่านย่าหัวเราะแล้วด่านางว่าไม่มีท่าทีความเป็นผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย นางถึงได้ยอมปล่อยอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่เต็มใจ ซือซือกับเสี่ยวอู่มองดูด้วยความอิจฉา ตอนนี้มีแค่เสี่ยวยาเท่านั้นที่อ้อนอวิ๋นเยี่ยได้ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกชายกำลังจะพาไปอาบน้ำ ในที่สุดคนที่ดูแลเขาก็ไม่ใช่ผู้เฒ่าพวกนั้นแล้ว ซินเย่วก้มหน้าเดินตามท่านพี่ลงไปในอ่างอาบน้ำด้วยความเขินอาย น่ารื่อมู่เอะอะโวยวายอยากจะเข้าไปด้วย ท่านย่าออกคำสั่ง วันนี้ตระกูลอวิ๋นปิดประตูใหญ่ ไม่ต้อนรับแขก คนในครอบครัวมีความสุขด้วยกันก็พอ 


 


 


พ่อบ้านเหล่าเฉียนติดป้ายสีแดงไว้ด้านนอกประตู เขียนว่าที่บ้านมีเรื่องน่ายินดีไม่ต้อนรับแขก สั่งการองครักษ์รักษาประตู นอกจากสามตระกูลที่รายงานนอกเวลาได้ ส่วนคนอื่นๆ ปฏิเสธทั้งหมด 


 


 


หลังจากสั่งการองครักษ์รักษาประตูเสร็จ งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น คนรับใช้ต่างก็พากันยิ้มแย้มแจ่มใสยุ่งวุ่นวาย ฆ่าหมูฆ่าแกะ จับปลา จับไก่ แล้วยังเลือกเหล้ารสชาติดีที่หมักไว้เป็นปีออกมาจากห้องใต้ดิน พวกสาวใช้เริ่มตกแต่งห้องรับแขก แขวนโคมไฟ ยกโต๊ะยกเก้าอี้ ล้างจาน 


 


 


ในยุคต้าถังที่ขาดความบันเทิง วิธีแสดงความสุขของตัวเองก็คือการกินข้าวสักมื้อ หากอารมณ์ดีก็กินข้าวมื้อใหญ่สักมื้อ เรื่องน่ายินดีที่ท่านโหวกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย ก็ต้องกินมื้อใหญ่อย่างมีความสุขสักมื้อหนึ่ง ถึงแม้ว่าวิธีนี้อาจจะดูล้าสมัยไปสักหน่อย แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยชอบ และดูเหมือนว่าทั้งตระกูลก็ชอบ และสิ่งที่ชอบมากที่สุดก็คือวัวในคอกของตระกูลล้มตายไปอีกหนึ่งตัว 


 


 


เหล่าเฉียนเห็นวัวแก่ที่เมื่อครู่ยังกินหญ้าอยู่แต่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่บนพื้น เขาก็พูดกับพ่อบ้านอย่างโศกเศร้าว่า “วัวของเราล้มตายอีกแล้ว เจ้าไปรายงานที่ทำการปกครองเมืองเดี๋ยวนี้ บอกเจ้าขุนนางพวกนั้นว่าตระกูลเราจะเอาวัวตัวนั้นไปฝัง ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามาดู ตระกูลกำลังเฉลิมฉลองอยู่” 


 


 


พ่อบ้านก็ทำหน้าไม่มีความสุขขึ้นมาทันที ทำหน้าตาโศกเศร้าเดินออกไปจากประตูเล็ก ขี่ม้าไปรายงานข่าวร้ายให้กับที่ทำการปกครองเมือง 


 


 


อ่างอาบน้ำของตระกูลอวิ๋นช่างสวยงาม มีลักษณะเป็นรูปดอกบัว ราวกับว่าคนยังไปนอนบนกลีบดอกบัวได้ พึ่งจะถอดเสื้อผ้าออก ซินเย่วกับน่ารื่อมู่ก็อดหัวเราะไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก้มลงมองตัวที่ขาวและอ่อนนุ่มของตัวเองจากนั้นก็หันมามองแขนขาที่ถูกแดดเผาจนดำ ตัวเองก็รู้สึกตลก ราวกับหมีแพนด้า 


 


 


ดึงซินเย่วมาตบที่ก้นสองที ความรู้สึกเมื่อได้สัมผัส ไม่เลว ความยืดหยุ่นไม่เลว อดไม่ได้ที่จะตีไปอีกสองที ส่วนน่ารื่อมู่ก็ช่างเถอะ ไม่กล้ายั่วโมโหคนตั้งครรภ์ 


 


 


ไม่สนใจภรรยาทั้งสอง ถอดเสื้อผ้าให้ลูกชายออกจนหมดเกลี้ยง อุ้มลูกชายกระโดดลงไปในอ่าง อุณหภูมิของน้ำกำลังดี สบายเหลือเกิน เอาลูกชายวางไว้บนหน้าอก ปล่อยให้เขาเตะขาอ้วนๆ ตีน้ำเล่น ตัวเองพิงที่ร่องแล้วงีบหลับพักผ่อน วิ่งเต้นข้างนอกมาแปดเดือนเต็มๆ ใช้พลังงานกายและพลังงานใจไปเกือบหมด บ้านของตัวเองสบายที่สุด ไม่ต้องคิดว่าต่อไปจะทำอะไร จะกำจัดไอ้เจ้านั่นดีหรือไม่ ต่อให้เฝิงอั้งจะมีความสามารถในการรวมตัวกับพระเจ้าแต่ก็ไม่มีทางควบคุมได้ถึงฉางอัน วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น 


 


 


ประโยคนี้รีบพูดเกินไป ทันทีที่ซินเย่วถอดเสื้อผ้าออก อวิ๋นเยี่ยก็ลืมแผนการพักผ่อนของตัวเองไปทันที เมื่อก่อนรูปร่างของนางกลมราวกับไข่มุก แต่ตอนนี้มันไม่ธรรมดา หลังจากคลอดลูก รูปร่างของนางก็ยิ่งไม่ธรรมดากว่าเดิม ยังจะพักผ่อนอะไรอีก ต้องรีบ ต้องรีบเลย เลือดกำเดาจะไหลออกมาอยู่แล้ว 


 


 


ผู้ชายก็เป็นเช่นนี้ มีแม่ของลูกแล้วก็ไม่ต้องการลูกทันที เอาเด็กอ้วนตัวน้อยให้น่ารื่อมู่ บอกให้พวกเขาไปเล่นข้างนอก ข้างในเหลือเพียงแม่ของลูกก็พอ 


 


 


น่ารื่อมู่อุ้มอวิ๋นน้อยอวิ๋นโซ่วกลอกตาไปมา หัวเราะเบาๆ อุ้มเด็กออกไปข้างนอก และยังปิดม่านลงด้วยความใส่ใจ 


 


 


ซินเย่วตีอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่ง ตัวเองลงไปในอ่างด้วยความเขินอาย อวิ๋นเยี่ยใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มซินเย่วลงมาในอ่าง 


 


 


หลังจากลงมาในอ่างซินเย่วก็ตีมือไม้ที่ชั่วร้ายของท่านพี่เป็นครั้งเป็นคราว เอาผ้าขนหนูเช็ดตัวให้เขา อาบน้ำก็คืออาบน้ำ เจ้าอาบให้ข้า ข้าอาบให้เจ้า อาบไปอาบมาก็เต็มไปด้วยความร้อนผ่าวขึ้นมา… 


 


 


น่ารื่อมู่ดูแลอวิ๋นน้อยที่กำลังเตะน้ำอยู่ข้างนอก แต่หูกลับยื่นออกไปยาว ได้ยินเสียงหัวเราะเป็นครั้งเป็นคราวดังอยู่ข้างใน ร่างกายของตัวเองก็รู้สึกร้อนขึ้นมา กลืนน้ำลายเข้าไปข้างในทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูห่อตัวอวิ๋นน้อยออกไปจากห้องอาบน้ำ กลับไปใส่เสื้อผ้าให้เขาที่ห้องโถงด้านหลัง 


 


 


มีฟ้าผ่าเมื่อภูเขาไฟระเบิด หลังจากที่ไฟโหมไหม้ทุ่งหญ้าเสร็จสิ้นก็หลงเหลือเพียงความเงียบเหงา ทั้งสองคนกอดกันอยู่ตรงกลีบดอกบัว ทำให้กลีบดอกแออัดไปหมด ไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


“ขาของข้าชาหมดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดกับซินเย่วที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา 


 


 


ซินเย่วขยับตัวไปมาแล้วก็มุดหัวเข้าที่หน้าอกของอวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงฮึดฮัดราวกับแมว 


 


 


“ขาของข้าเป็นตะคริวแล้ว” อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นมา กระโดดไปรอบๆ อย่างเปลือยเปล่า ท่าทางเมื่อครู่รุนแรงเกินไป ตะคริวกินหมดแล้ว กระทืบลงไปที่พื้นสองสามทีอย่างแรง ตะคริวถึงได้หาย 


 


 


ซินเย่วหัวเราะอยู่ในอ่าง นางรู้นิสัยของอวิ๋นเยี่ยดี เมื่อครู่นางตั้งใจ แก้แค้นความป่าเถื่อนของเขา คู่สามีภรรยารู้จักเรืองร่างของกันและกันเป็นอย่างดี พฤติกกรรมในชีวิตประจำวันได้กลายเป็นความเคยชิน อย่างเช่นอวิ๋นเยี่ยชอบนอนหมอนสูงๆ ถึงจะนอนหลับ ซินเย่วชอบเอาขาไปพาดไว้ตรงเอวของอวิ๋นเยี่ย ล้วนแต่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต รวมถึงเรื่องการมีอะไรกัน นี่คือกระบวนการแสวงหาความสุขซึ่งกันและกัน ความอ่อนโยนในนั้นใช่ว่าจะใช้เงินหาซื้อมาได้  


 


 


อวิ๋นเยี่ยนอนบนเตียงไม้ไผ่ ซินเย่วเช็ดหลังให้เขา เห็นบาดแผลที่เพิ่งหายบนไหล่ของเขา นางก็น้ำตาไหล ไม่รู้ว่าท่านพี่ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็มีความสุขเสมอ ราวกับบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากเย็นสำหรับเขา การเผชิญหน้าระหว่างเขากับโต้วเยี่ยนซาน ไม่ธรรมดาอย่างที่จดหมายเขียนไว้แน่นอน แต่เขาพูดแค่ประโยคเดียวว่าหาโอกาสฆ่าโต้วเยี่ยนซานได้แล้ว 


 


 


นางชอบฟังท่านพี่โม้ มักจะรู้สึกว่าในอนาคตท่านพี่ของตัวเองก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ถูกปลาจวดตกใส่จนสลบไป ท่านพี่เขียนเรื่องนี้ในจดหมายเป็นเรื่องตลก แต่ก่อนจะกลับมาถึงบ้านหลิวจิ้นเป่าไม่ได้พูดเช่นนั้น 


 


 


ตามคำพูดของเขาก็คือเทพเจ้ากำลังจะมาเอาชีวิตคน ท่านโหวผูกตัวเองไว้กับเสาเรือ ในมือถือมีด หากถูกพายุทอร์นาโดดูดขึ้นไป เขาก็จะฆ่าตัวตาย ส่วนเขาผูกเชือกไว้รอบเอวของตัวเอง ถูกลมพัดลอยอยู่บนท้องฟ้า หากไม่ใช่เพราะหงเฉิงและคนอื่นๆ จับเชือกเอาไว้ได้ ตัวเองคงจะขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้ว ของทุกสิ่งทุกอย่างบนท้องฟ้าร่วงหล่นลงมา ไม้ กิ่งไม้ เต่า คนตาย ปลาฉลาม แล้วก็ยังมีปลาจวดที่ตกใส่ท่านโหว ยังมีปลาที่ตกลงมาแทงเข้าที่ตัวคน ปลาที่ตกลงมาเกาะบนตัวคนไม่ยอมปล่อย ดึงออกมาแล้วบนตัวเต็มไปด้วยจุดสีแดง 


 


 


กิ่งไม้เล็กๆ ธรรมดาๆ อยู่ในสายลมช่างทรงพลังราวกับแส้ เสื้อผ้าฉีกขาดหลุดลุ่ย ปลาตัวใหญ่หลายสิบกิโลล้วนแต่ถูกดูดขึ้นมาจากน้ำ อ้าปากพะงาบๆ อยู่ท่ามกลางอากาศ ชาวแคว้นวอกว่าหลายร้อยคนถูกพายุทอร์นาโดดูดขึ้นไปบนฟ้า สุดท้ายหาเจอแค่ก้นที่สมบูรณ์ก้นเดียว ปลาวาฬเป็นหมื่นๆ ตัวถูกพายุทอร์นาโดซัดเข้าฝั่งจนตาย หากไม่ใช่เพราะท่านโหวรู้ถึงเหตุการณ์ก่อน เรือของตระกูลเราคงจะเสร็จแล้ว 


 


 


คิดเช่นนี้ ซินเย่วก็กลัวจนตัวสั่น ผู้ชายคนนี้เป็นเสาหลักของครอบครัว หากไม่มีเขา ทั้งตระกูลคงจะไม่มีวันยิ้มได้อีกต่อไป ท่านย่าสวดมนต์ในห้องพระทั้งวัน พวกป้าๆ น้าๆ ก็ไม่เล่นไพ่นกกระจอกอีกแล้ว เข้าหาวัดวาอารามทั่วโลกราวกับแมลงวันที่ไม่มีหัว อารามลัทธิเต๋า แม่ชี ขอให้เทพเจ้าทั่วท้องฟ้าคุ้มครอง เสี่ยวยากับซือซือพาองครักษ์ประจำตระกูลวิ่งไปทั่วเขาอวี้ซัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีความหวัง แต่กลับไม่หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว สาตาของน่ารื่อมู่ดุร้าย ใช้แส้ฟาดคนรับใช้ฉ่าวหยวนที่ตัวเองพามาด้วย สายตานั้นน่ากลัวราวกับหมาป่า 


 


 


“คิดอะไรอยู่ ถูหลังของข้าเร็วๆ ทำความสะอาดเสร็จแล้ว จะได้ไปจุดธูปที่ห้องพระ ท่านย่ารออยู่ ออกไปช้าจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้” 


 


 


ซินเย่วตบก้นของอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่ง และพูดด้วยความโมโหว่า “ครั้งนั้นก็เพราะว่าเจ้าเหลวไหล ทำให้ข้าถูกผู้เฒ่าหัวเราะเยาะ ครั้งก่อนท่านป้ายังบอกว่าคู่รักวัยหนุ่มสาวอย่าพึ่งโลภมาก ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะแยะ บอกว่าน้ำไตของผู้ชายมีจำกัด อย่าใช้งานมากเกินไป พูดราวกับว่าข้าเป็นยัยจิ้งจอก ไม่รู้ว่าอยู่ที่หลิ่งหนานใช้งานไปมากแค่ไหน แต่สุดท้ายกลับให้ข้าเป็นแพะรับบาป” 


 


 


หลังถูเนื้อถูตัวจนสะอาดสะอ้านช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว เสื้อข้างในเป็นผ้าไหมเนื้อนุ่ม สาวใช้ใช้ไม้ทุบจนเนื้อผ้าอ่อนแล้วส่งมาให้ สบายตัวแต่ว่าใส่ไปไหนไม่ค่อยได้ ตอนนี้เสื้อข้างในของตระกูลอวิ๋นล้วนแต่ทำเช่นนี้ 


 


 


เสื้อคลุมสีฟ้าของสำนักศึกษา ช่างสวมใส่สบาย ไม่ต้องรัดเข็มขัด ตัวหลวมๆ ลมพัดเข้ามาได้ทุกทาง 


 


 


ซินเย่วหน้าแดงเดินตามหลังอวิ๋นเยี่ยไปคำนับท่านย่า ไม่รู้ว่านางทำได้เช่นไร เมื่อครู่ตอนที่ออกมาจากห้องอาบน้ำทั้งสองคนยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ดีๆ ผ่านไปพริบตาเดียวกลับหน้าแดงราวกับไปดื่มเหล้ามา ในสายตาไม่มีร่องรอยของความเขินอายเลยแม้แต่น้อย ยังรู้จักไล่น่ารื่อมู่ไปอยู่ข้างนอก ภรรยารองจะเข้ามาในห้องพระได้เช่นไร 


 


 


ท่านย่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ในตระกูลอวิ๋นมีแค่ท่านยา อวิ๋นเยี่ย ซินเย่ว อวิ๋นน้อย และอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่หรง ห้าคนนี้เท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องพระ นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาซินเย่วก็รู้สึกอึดอัด โชคดีที่เด็กคนนั้นถูกกำหนดให้เป็นราชาของชาวแคว้นวอ กลับบ้านมาไม่ได้ นางจึงได้ไม่สนใจการที่มีเขาอยู่ 


 


 


ท่านย่าจุดธูป อวิ๋นเยี่ยรับธูปมา คุกเข่าคำนับลงสามครั้งก่อนที่จะปักธูปลงในกระถางธูปด้วยความเคารพ ท่านย่าสวดมนต์เบาๆ ขอบคุณบรรพบุรุษที่คอยปกป้องลูกหลาน ให้หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย กิจการของตระกูลก็กำลังเจริญรุ่งเรือง ขอให้บรรพบุรุษปกป้องดูแลตระกูลอวิ๋นให้อยู่เย็นเป็นสุข ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองต่อไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)