เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 47-49
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 47 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน (...
ความโกรธของนายบัญชีทำให้เหอต้าชังหน้าแดง หวงอวี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าชาวนาเฒ่าผู้นี้จะเป็นเจ้าของร้านที่มีรายได้มากกว่าร้อยเหรียญต่อปี ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเยี่ยก็ยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับคิดจะเอาเปรียบอย่างไม่ลังเลโดยไม่เห็นความสำคัญของท่านโหว
อวิ๋นเยี่ยตบไปที่บ่าของเขาแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ ก็เป็นเสียอย่างนี้ หากหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นอาศัยเพียงการหาอาหารจากดิน การเก็บค่าเช่าที่สูงเช่นนี้ถือเป็นการไร้จิตสำนักอย่างแท้จริง แต่เจ้าดูสิ ในหมู่บ้านไม่มีคนว่างงาน มีบางคนใช้ที่ดินเปล่าปลูกผัก ปลูกผลไม้ เลี้ยงปลา เลี้ยงผึ้ง เลี้ยงหมู เลี้ยงแพะ และยังมีคนโลภมากที่เลี้ยงวัวเนื้อโดยเฉพาะ สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดกฎหมายเพราะได้รายงานทางการไว้แล้ว ดังนั้นหนึ่งครอบครัวจึงมีช่องทางการสร้างรายได้มากขึ้น ผลผลิตก็มากขึ้น กฎของต้าถังนั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างน้อยสองส่วน รวมรายได้เบ็ดเตล็ดแล้วตระกูลอวิ๋นก็มีรายได้อยู่มาก”
พูดจบก็วางชามขนมในมือเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากินได้อย่างสบายใจ อาหารของตระกูลอวิ๋นมีแต่ของสะอาด ไม่เลอะคาวเลือด ขนาดฝ่าบาทเสด็จมาที่บ้านของตระกูลอวิ๋น ฝ่าบาทก็ไม่มีข้อห้ามในการกินแม้แต่น้อย เมื่อวานนี้ผู้ตรวจสอบจงเฉิงมาถึงที่บ้านก็เอาตระกร้าไปหยิบของกินแล้วก็หนีไป คงกลัวว่าข้าจะเก็บเงิน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเป็นตำแหน่งสูงส่งแต่ยากจน ข้าเคารพพวกเจ้าเป็นอย่างมาก
พวกเจ้ากล้าที่จะฟ้องร้ององค์หญิง แม้แต่องค์ชายเจ้าก็ไม่ปล่อยไว้ ที่ชิงเชวี่ยและข้าพากันถล่มวังในพวกเจ้าก็ไม่เคยปล่อยผ่านไป ดีมาก ดูเยอะๆ ฟังเยอะๆ ตอนนี้พวกเจ้ากำลังฝึกฝนวิธีการจัดการเรื่องการเมือง เปิดตามองโลกกว้าง เจ้าจะพบว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ทุกที่ ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวเราเอง”
หวงอวี่กำลังกินขนมที่มีน้ำผึ้งแต่ในใจกับมีความรู้สึกขมขื่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คำพูดของอวิ๋นเยี่ยทำให้ดวงตาของเขามีน้ำไหลออกมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ เมื่อพูดถึงอาจจะดูน่าฟัง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นหน้าที่ที่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เป็นทางเลือกหนึ่งในร้อยของข้าราชการ ขุนนางคนอื่นๆ ทำกิจการส่วนตัวบ้างเล็กน้อยเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ภายในครอบครัวก็ไม่มีใครคิดเอาความ มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเท่านั้นที่ทำไม่ได้ เงินเดือนของเขาเดือนละแปดร้อยตำลึงที่ใช้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ ฉางอันข้าวแพง ลูกหลานชาวนาคิดว่าขนมพุทรามีกลิ่นเหม็น มีเพียงลูกสาววัยสี่ขวบของเขาเท่านั้นที่รอคอยจะกินขนมพุทราทุกวัน เมื่อก่อนเคยคิดว่าคุณธรรมนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดแต่ตอนนี้เขาดูอ่อนแอมาก เหมือนกับเมืองที่ติดชายหาด หากคลื่นลูกใหญ่ซัดมาก็จะถล่มลง เกิดอะไรขึ้นกับคุณธรรมของโลกใบนี้
ฉางอันเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เมืองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบแปดลี้เต็มไปด้วยบ้านเรือน มีเรือแล่นในแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ราษฎรในเมืองแออัด ประกาศฉุกเฉินห้ามเดินทางตอนกลางคืนที่มีมาหลายสิบปีกำลังค่อยๆ หมดลง ฤดูดอกสาลี่บานที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเปรียบเหมือนดั่งเมืองสวรรค์ ร้องเพลงและเต้นรำบนแม่น้ำชวีเจียงอย่างไม่รู้จบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนไป แม้ทุกครั้งที่รายงานสถานการณ์ในราชสำนักจะดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ทำเอาขุนนางทุกคนต้องคอยระแวง
เขาพยายามเก็บความรู้สึกในใจไว้ อย่างไรตัวเองก็ต้องตรวจสอบตระกูลอวิ๋นให้ละเอียดอย่างแน่นอน จะไม่พลาดเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนึกถึงม้าพยศและคนรับใช้ผู้โหดร้ายของตระกูลอวิ๋นก็อยากจะบอกอวิ๋นเยี่ยว่าอย่าให้ส่วนเล็กๆ เหล่านี้มาทำลายชื่อเสียงของตัวเอง แต่เขากลับพบว่าม้าที่น่าเบื่อตัวนั้นกำลังเดินเข้ามาในซุ้ม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังกินขนมก็เดินตรงเข้ามากัดขนมในมือของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกโกรธ ซ้ำยังถือขนมให้มันกินอย่างสบายใจ
ชายเฒ่าสองสามคนเดินล้อมเข้ามาลูบที่หัวของวั่งไฉ เหอต้าชังหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นวั่งไฉ น่าสงสาร มันผอมลงไปมาก ที่หลิ่งหนานมีอยู่ไม่กี่อย่างที่คนกินได้ เจ้าดูสิ วั่งไฉผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เงินก้อนนี้ถือไว้เอาไปซื้ออาหารเองเถิด พวกเรามาเพลิดเพลินกับความสุขที่ฉางอันกันเถอะ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
หวงอวี่เห็นเหรียญจำนวนมากถูกใส่เข้าไปในกระเป๋าใต้คอของมัน แลดูหนัก แค่เห็นก็รู้สึกปวดใจ เงินในกระเป๋าของวั่งไฉมีมากกว่าเงินในกระเป๋าของเขาเสียอีก
“วั่งไฉเป็นเด็กดีทุกครั้งมักจะไปกินขนมที่ร้านข้า หากยังไม่ได้จ่ายเงินก็จะไม่ไปไหน ทำเอาข้าต้องแกล้งหยิบเงินออกมาทุกครั้งแล้วค่อยใส่คืนให้มัน มันรู้ประสายิ่งกว่าเหล่าหูเสียอีก เขามากินอาหารที่ร้านข้าเสร็จก็ไม่เคยพูดเรื่องจ่ายตัง ข้ายังจำได้เสมอ รอให้ร้านไก่ย่างของเจ้าเปิดแล้วข้าก็จะไม่จ่ายเงิน หยิบเสร็จแล้วก็เดินหนีไปเลย…”
เมื่อเห็นว่าเอาเปรียบไม่ได้ชายเฒ่าสองสามคนก็เดินมือไขว้หลังออกมาจากซุ้ม พากันเดินหยอกล้อไปที่ตลาด สิ่งที่ได้เห็นจากตระกูลอวิ๋นได้ทำลายความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ของหวงอวี่โดยสิ้นเชิง เดินตามอวิ๋นเยี่ยไปที่นอกซุ้ม ไม่ได้ไปตลาดแต่อ้อมไปด้านหลังที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน
ความรู้สึกแรกของหวงอวี่ที่มีต่อที่นี่คือความสะอาด ไม่มีขี้ไก่และขี้ม้าที่พบได้ทั่วไปในชนบท บนกำแพงเตี้ยๆ จะมีกิ่งก้านของผลไม้ห้อยลงมาบ้าง บางครั้งก็ต้องก้มหัวลงจึงจะเดินผ่านไปได้
ที่ลานเต็มไปด้วยผักตากแห้งต่างๆ แล้วยังมีถั่วนานาชนิด สีสันจากผักต่างๆ ดูสะดุดตา ครอบครัวนี้ทำเกี่ยวกับผักแห้ง อย่าดูถูกผักแห้งและถั่วพวกนี้เชียว เมื่อถึงฤดูหนาวก็ขายได้เงินไม่น้อย ได้ยินมาว่าตอนนี้บ้านเขาไม่ได้ขายแต่ผักแห้ง ภรรยาบ้านนี้ฉลาด นางพบว่าเมื่อนำผักแห้งกับสามชั้นลมควันไปนึ่งด้วยกัน รสชาตินั้นไม่สามารถบรรยายได้ หากโรยพริกลงไปสักหน่อยเรียกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก
“ปีที่แล้วครอบครัวเขาได้ส่งมาในจวนบ้างเล็กน้อย เด็กสาวสองสามคนพากันแย่งกินจนหมด ผู้ใหญ่ยังกินไปได้ไม่กี่คำ ได้ยินมาว่าปีนี้ครอบครัวเขาไม่ขายผักแห้งแล้ว จะเริ่มขายเนื้อนึ่ง ผักแห้งราคาถูกกลับราคาขึ้นภายในพริบตา ปีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ร่ำรวย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไปพบพ่อค้าคนกลางเพื่อแบ่งหุ้นสองส่วนมาให้ครอบครัวข้า ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ต้องการ นี่คือกิจการผูกขาดที่ชาวบ้านคิดขึ้นมาเอง ตัวเองจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายทำไม แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะไม่ยอม พอบอกไม่เอาเงินก็ส่งเนื้อนึ่งสองสามไหมาทุกปี
“อวิ๋นโหว ข้าเชื่อมั่นในตัวชาวบ้านที่ร่ำรวยของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว แต่ว่าการทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ” ขุนนางหนุ่มมองดูผู้หญิงที่กำลังยุ่งอยู่ในสวนแล้วถามด้วยความกังวล
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เว่ยกงก็เคยบอกข้าเช่นนี้ คำพูดที่ว่าเมื่อผู้คนมีเสบียงอาหารในยุ้งฉางมากพอ เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะตระหนักถึงมารยาท แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยชอบคนจนที่จิตใจดี ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกันจะใช้ชีวิตเหมือนวัวเหมือนม้าตลอดไปไม่ได้ แม้กระทั่งตอนตายก็ยังไม่ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ นี่คือความล้มเหลวในการเป็นคน พูดได้เลยว่านี่คือความเศร้าของคน มารยาทนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้หลังจากเกิดมาบนโลกใบนี้ หากเด็กทุกคนมีการศึกษาที่เป็นทางการและเป็นระบบ สิ่งที่เจ้ากังวลควรเป็นสิ่งที่เหล่าอาจารย์กังวล ในแง่ตำแหน่งหน้าที่การงาน พวกเขาจะพิจารณาคุณธรรมของเหล่าลูกหลานในฐานะอาจารย์ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบก็ควรจะทูลฝ่าบาทว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ก็ถือเป็นหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง”
ยกมือห้ามผู้หญิงที่กำลังจะเดินเข้ามาทำความเคารพ ดูเหมือนว่าหวงอวี่จะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นเพื่อนที่ดีของเขามาหลายปีมากกว่าจะเป็นท่านโหว ยืนมือไขว้หลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนชี้ไปมา พูดคุยหัวเราะกันอยู่ในหมู่บ้าน
ทิวทัศน์ของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสวยงามจริงๆ ความสวยงามนี้ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาและแม่น้ำ แต่อยู่ที่คน ไม่ว่าจะเป็นชายเฒ่าที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ หรือว่าจะเป็นคุณยายที่นั่งเย็บรองเท้าอยู่ใต้ร่มไม้ ทำให้คนมองเห็นรู้สึกสบายใจ หญิงสาวที่กำลังยุ่งอยู่ก็ไม่ลืมที่จะไกวเปลที่อยู่ข้างๆ เด็กน้อยตัวอ้วนยื่นมืออ้วนๆ ออกมาจะไปจับตุ๊กตาเสือ เด็กน้อยที่โตกว่าใส่เสื้อสีแดงแต่ไม่ได้ใส่กางเกงกำลังวิ่งไปทั่วลานเพื่อไล่ไก่ หวงอวี่ยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่อคนใช้ชีวิตเช่นนี้ จะยังต้องการอะไรอีก หากหมู่บ้านผู้มั่งคั่งเช่นนี้มีสิ่งมืดมนแฝงอยู่แสดงว่าสวรรค์ขาดความยุติธรรม
“อวิ๋นโหว ตอนที่ข้ามา ข้าได้ยินชายเฒ่าที่ใส่เสื้อผ้ามอมแมมบอกว่าเขาต้องจ่ายค่าเช่าหกเหรียญให้แก่ตระกูลอวิ๋น ท่านรู้ไหมว่าข้าโกรธมากแค่ไหน ยิ่งได้ยินว่าเมื่อลูกชายของเขาไปออกรบท่านจึงได้ยกเว้นค่าเช่าของเขา มันทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นเจ้าของที่ดินที่โหดร้ายที่สุดในโลก แล้วยังได้ยินอีกว่าท่านเก็บภาษีเด็กแรกเกิด มันทำให้ข้ามีความคิดอยากจะสู้กับท่านให้ตายไปข้างหนึ่ง ท่านบอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ควรมีเรื่องพวกนี้อยู่ในหมู่บ้านที่สวยงานเช่นนี้”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะ เรื่องราวในหมู่บ้านเขาก็พอรู้อยู่บ้าง พ่อบ้านมักจะมาเล่าเป็นเรื่องตลกให้ตัวเองฟังเวลาว่าง ได้ยินหวงอวี่พูดเช่นนี้จึงพาเขามาที่ท้ายหมู่บ้าน ยังเดินไปไม่ถึงหวงอวี่ก็ได้พบชายเฒ่าที่สวมกางเกงขาสั้นนอนรับลมอยู่ใต้ร่มไม้ มีเหล้าเหยือกเล็กวางอยู่บนโต๊ะ ฝักถั่วเหลืองต้มที่อยู่ในชามถูกกินไปมากกว่าครึ่ง เปลือกของมันวางกองอยู่เต็มโต๊ะ หญิงสาวกระโปรงแดงกำลังเก็บของอยู่ เมื่อเห็นท่านโหวมาก็ก้มหัวอย่างเขินอาย หันกลับไปเรียกพ่อเพื่อจะปลุกให้ชายเฒ่าผู้นั้นตื่นขึ้นมา
ชายเฒ่าลืมตาขึ้น เขาลุกขึ้นมาทันทีแล้วเชิญอวิ๋นเยี่ยและหวงอวี่นั่งลง บอกให้หญิงสาวไปต้มฝักถั่วเหลืองเพิ่มแล้วนำมาที่นี่ อวิ๋นเยี่ยเอนกายลงบนเก้าอี้ หยิบเหล้ามาดมอย่างไม่เกรงใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในหมู่บ้านแล้ว ทำไมยังคงดื่มเหล้าแรงเช่นนี้ ไปขายเสบียงที่ฉางอันก็แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย ใส่ชุดมอมแมมเช่นนี้จะทำให้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นขายหน้าคนอื่นเขา”
ชายเฒ่านำน้ำร้อนลวกถ้วยชาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว หากใส่เสื้อผ้าดีๆ คนอื่นๆ ก็จะรู้ว่ามาจากหมู่บ้านของเรา ข้าวสาลีหนึ่งกระสอบขายให้คนอื่นสี่เหรียญสามตำลึง แต่ขายให้พวกเราสี่เหรียญห้าตำลึง ช่างใจดำเสียจริง ช่วยไม่ได้ข้ายุ่งอยู่ในสวนมาสองวัน ยังไม่ได้อาบน้ำก็ไปฉางอันแล้ว เป็นอย่างที่คิด วิธีนี้ใช้ได้ผล ข้าวสาลีของพวกเราเมล็ดสวยจึงขายได้ราคาสี่เหรียญห้าตำลึงแล้วซื้อของพวกเขาในราคาสี่เหรียญสามตำลึง เสื้อผ้าขาดๆ ของข้าได้สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวถึงสี่ร้อยกว่าเหรียญ”
หวงอวี่ไม่เข้าใจ ระหว่างการซื้อกับการขายจะไม่มีความแตกต่างด้านราคาได้อย่างไร พ่อค้าใจดำเหล่านั้นยอมให้เจ้าขายแพงแต่ซื้อถูกได้อย่างไร เช่นนั้นเขาจะหาเงินได้อย่างไร หวงอวี่อยากปรึกษาเรื่องนี้กับชายเฒ่า
“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่พ่อค้าจะทำเช่นนั้น พ่อค้าผู้นั้นไม่ได้ลอกคราบมาจากลิงโง่ เราไม่มีทางได้เปรียบเมื่ออยู่ในกำมือของเขา รับซื้อเสบียงในราคาสามเหรียญหกตำลึง แต่ขายเสบียงในราคาห้าเหรียญ ความแตกต่างของราคาเสบียงต่อหนึ่งกระสอบอยู่ที่หนึ่งเหรียญสี่ตำลึง ทำเช่นนี้ข้าก็ขาดทุนตายพอดี ข้าวสาลีของเราผลผลิตดีแต่ว่าไม่อร่อย หากทำเป็นบะหมี่เมื่อนำไปต้มก็จะเหนียวติดหม้อ ใครจะไปกินเส้นเหนียวๆ แบบนั้นได้ทั้งปี
โชคดีที่ฝ่าบาทมีคุณธรรม ได้มีการรับประกันการซื้อขายเสบียงอาหารในปริมาณมากเพื่อลดราคาเสบียง ซื้อเท่าไหร่ก็ขายเท่านั้น ข้าวสาลีของเราเมล็ดสวยจึงถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ดี ข้าวสาลีของคนอื่นเมล็ดไม่สวยแต่อร่อยจึงเป็นได้แค่ระดับกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงได้ราคาสามเหรียญสำหรับข้าวสาลีหนึ่งตัน เป็นปริมาณข้าวสาลีที่มากกว่าครึ่งกระสอบ ข้าวสาลียี่สิบตันของข้าอยู่ๆ ก็เพิ่มปริมาณขึ้นมาอีกหนึ่งตัน การซื้อขายแบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก พรุ่งนี้ข้าจะช่วยให้คนในหมู่บ้านได้ไปแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ส่วนไหนที่เกินมาก็ให้ข้า ถือเสียว่าเป็นค่าแรง ได้ยินคนในเมืองบอกว่าฝ่าบาทอยากจะเป็นเทียนเค่อหัน เช่นนั้นก็ต้องออกแรงหน่อย จะหยุดพักไม่ได้”
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 48 คนแรก
“จะบอกว่าฝ่าบาทโง่ก็พูดมาเถอะ คราวที่แล้วผู้เฒ่าหุยก็ด่าต่อหน้าฝ่าบาทว่าปัญญาอ่อน เป็นทายาทจอมล้างผลาญ ฝ่าบาทก็ยังรับฟังคำสั่งสอนด้วยความเคารพ เจ้าจะบอกว่าฝ่าบาทไม่รู้จักการจัดการก็พูดมา เรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าเป็นคนทำให้เสียเรื่องเอง ใครจะไปรู้ว่าผลผลิตสูงแต่ว่าไม่อร่อย ปีหน้าพวกเราค่อยไปแลกกลับมา เส้นบะหมี่ไม่เหนียวนุ่มยังจะเรียกว่าเส้นบะหมี่ได้อีกหรือ”
“ฝ่าบาทได้สร้างโกดังเก็บเสบียงอาหารเพื่อเตรียมอาหารสำหรับปีที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ต่อให้ฝางเสวียนหลิงมีแปดหัวก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนทำกำไรได้เช่นนี้ หากไม่ผิดกฎหมายก็สามารถดำเนินการได้ การที่พวกชาวบ้านทำเช่นนี้ถือว่าคาดการได้ดีเลยทีเดียว มีเหตุผลและรากฐานที่ดี ไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ ต่อให้เรื่องไปถึงราชสำนัก ฝ่าบาทก็คงไม่มีอะไรจะพูด บอกได้เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ตั้งกฎได้ไม่รอบคอบ ท่านผู้เฒ่า หากต้องการจะเปลี่ยนเสบียงอาหารก็เร่งมือเข้า หลังจากที่ข้ากลับไปจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทฟัง หากช้าก็จะไม่สามารถเอาเปรียบได้เช่นนี้อีกแล้ว”
ชายเฒ่ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ชาวนาธรรมดากลับดุเหมือนมีแผนการชั่วร้ายอยู่ในหัว “ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบใช่หรือไม่ แค่ดูเครื่องแบบก็รู้แล้ว ไม่ได้ดูดีเท่าชุดสีแดงเหมือนของท่านโหวของข้า ท่านสวมชุดสีเขียวอ่อน ตำแหน่งต้องต่ำกว่าระดับเจ็ดแน่นอน วันนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ท่านก็ต้องรีบกลับไปที่ฉางอัน คงจะไม่ได้เจอขุนนางชั้นสูง หากท่านไปที่โกดังก็คงไม่ได้เจอผู้ดูแลแต่จะว่าไปต่อให้ท่านเจอผู้ดูแล เขาก็จะไม่ไว้หน้าท่าน เพราะหน้าที่รับผิดชอบของเขาก็คือนำเสบียงอาหารชั้นดีไปเก็บไว้ในคลังเสบียง
ธัญพืชของข้าเมล็ดใหญ่ เมล็ดเต็ม สีสวย และเป็นของใหม่ พ่อบ้านชอบเป็นอย่างมาก ข้าทำเรื่องนี้โดยไม่ได้ปิดบังใคร เจ้าคิดว่าผู้ดูแลคลังเสบียงไม่รู้หรืออย่างไร ข้านำเสบียงเข้าและออกจากคลังเสบียงในราคาที่ยุติธรรม ผู้ดูแลเคยถามไปแล้ว เมื่อได้ยินก็เพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้เก็บไปใส่ใจ แล้วยังชมว่าข้าฉลาดอีกด้วย พรุ่งนี้ให้ข้าเอาเสบียงไปแลกกับเขาอีก พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางในยามสี่ พอรุ่งสางก็ไปถึงคลังเสบียงพอดี ในตอนนั้นขุนนางอย่างท่านน่าจะกำลังประชุมที่ราชสำนัก หากเจ้าไปรายงานหลังจากประชุมราชสำนักแล้ว เสบียงอาหารของข้าก็คงขายหมดไปนานแล้ว ถ้าหากราชสำนักมีเรื่องที่ต้องหารือมากมายในตอนเช้า หากรอให้เจ้านำคำสั่งไปที่คลังเสบียง ข้าก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว ต่อให้เจ้าออกคำสั่งมาอีกครั้งมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า
และแน่นอนว่าหากท่านมีตำแหน่งเดียวกันกับท่านโหวของข้า ข้าคงทำได้เพียงยอมแพ้ ต่อให้เจ้ารีบขี่ม้าเข้าวังหลวงไปทุบประตูศาลให้ขุนนางชั้นสูงออกหมายจับ ข้าก็คงหมดสิ้นหนทางแล้ว แต่ว่าท่านโหวของข้าจะช่วยท่านอย่างนั้นหรือ”
หวงอวี่แทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความโมโห ชายเฒ่าที่ไม่รู้หนังสือ แต่กลับรู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของศาลเช่นนี้ นี่มันน่ากลัวเสียจริง แม้แต่คนที่เคยเรียนหนังสือมาบ้างก็ยังไม่เข้าใจเท่าเขา หันกลับไปมองอวิ๋นเยี่ย ดูว่าเขาจะพูดอย่างไร
อวิ๋นเยี่ยหันไปพูดกับหวงอวี่ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด “เมื่อครู่ไม่รู้ว่ากินอะไรไม่ดีเข้าไปหรือไม่ รู้สึกปวดท้อง ข้าต้องการพักผ่อนสักหนึ่งวัน” พูดจบอวิ๋นเยี่ยและชายเฒ่าก็เอามือกุมท้องแล้วหัวเราะเสียงดัง
หวงอวี่ชะงักไป ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ชายเฒ่าไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปขัดขวาง นอกจากนี้ก็เหมือนกับที่ชายเฒ่าบอกว่าทุกอย่างคงสายเกินไปแล้ว จะว่าไปการมาลาดตระเวนในหมู่บ้านก็เป็นเรื่องสมควรที่ต้องทำแล้ว
ชายเฒ่ายิ้มอย่างมีความสุข ภาคภูมิใจที่ตัวเองได้ค้นพบเคล็ดลับด้านโชคลาภโดยบังเอิญ ลูกสะใภ้ยกฝักถั่วเหลืองมาหนึ่งจานแล้วพูดเบาๆ ว่าจานนี้เติมเกลือมาแล้ว
ชายเฒ่ามองดูลูกสะใภ้ที่เดินเข้าไปในห้อง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เด็กที่มาจากหมู่บ้านอื่น ยังมีความขี้เหนียวอยู่บ้าง มีแขกมาบ้านก็ต้องใส่เครื่องเทศไปด้วยจึงจะดี เพียงแต่ว่าเด็กสาวในหมู่บ้านแต่งงานกันหมดแล้ว ตอนที่เจ้าสองของข้าจากไปเขาก็ไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้ ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ตอนนี้ดูแล้วเด็กสาวที่มาจากต่างหมู่บ้านมาเป็นเจ้าบ้านแย่ยิ่งกว่าเด็กสาวในหมู่บ้านเราเสียอีก ช่างเถิด ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถิด รอให้เจ้าสองของข้ากลับมาก็ค่อยๆ สอนเขาก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ ฝักถั่วเหลืองถูกต้มจนนิ่ม มีรสเค็ม เมื่อกินเข้าไปรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว หวงอวี่ถามชายเฒ่าเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในช่วงปีนี้และรายได้ในครอบครัว
ชายเฒ่าเป็นคนชัดเจน เมื่อเห็นท่านโหวไม่ดื่มเหล้าแรงๆ ของตัวเอง ขุนนางหนุ่มก็ยังปฏิเสธบอกว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่สามารถดื่มได้ มีเพียงตัวเองที่กระดกจนหมดจอก กินฝักถั่วเหลืองต้มไปสองฝักแล้วถามขุนนางว่า “เจ้าไม่ควรมาที่ภูเขาอวี้ซัน พวกเรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ภูเขาอวี้ซันเป็นสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์ กฎของราชสำนักคือกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เหลือก็เป็นกฎของหมู่บ้าน แล้วยังมีขนบธรรมเนียบประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อนอีกด้วย พวกเราต้องปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ ที่เหลือก็ต้องดูตามจิตใจของเหล่าชาวบ้าน ส่งบรรพบุรุษ เลี้ยงดูลูกหลาน ดูแลเรื่องอาหารเครื่องแต่งกายของภรรยา ถือว่าพวกเราทำได้ดีแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ดำรงชีวิตให้ดียิ่งขึ้นจึงจะสมกับพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาทมาเยี่ยมหมู่บ้าน
เมื่อห้าปีที่แล้วข้าไม่กล้าคิดว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนตอนนี้ สองปีที่แล้วทุกบ้านยังเอาเนื้อมาคล้องที่ข้อมือเพื่อแสร้งทำเป็นว่ารวย ตอนนี้ไม่ว่าบ้านใครก็มีเนื้อเยอะแยะมากมายให้กิน คนขายเนื้อตอนนี้รู้จักเอาสัตว์ที่ผอมแล้วก็กระดูกไปขายที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น แล้วนำสัตว์ที่อ้วนไปขายในเมือง ต่างก็ได้ราคาดีกันทั้งสองฝ่าย
ส่วนเสบียงที่ปลูกได้มาจากเมล็ดใหม่ไม่อร่อย? พระเจ้า หลายปีก่อนหน้านี้ใครจะกล้าบ่น ได้กินข้าวสักคำก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว ไม่เห็นสนใจว่าเมล็ดพันธุ์ดีไม่ดี เมื่อก่อนข้าเคยอิจฉาคนที่อาศัยอยู่ในฉางอัน การที่ลูกสาวได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในเมืองก็เหมือนกับได้อยู่ในรังแห่งความสุข ตอนนี้มีคนโง่เท่านั้นที่จะทิ้งกิจการครอบครัวแล้วเข้าไปอยู่ในเมือง บางคนในเมืองอยากจะให้ลูกสาวแต่งงานมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องดูว่าพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านจะเต็มใจหรือไม่ ตอนนี้เด็กๆ เริ่มไม่รู้ความกันแล้ว จะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนก็จะเลือกแต่งกับคนในหมู่บ้านตัวเอง หากผู้หญิงแต่งออกไปหมดแล้ว ก็ส่งแม่สื่อตระเวนไปแปดสิบลี้เพื่อหาหญิงสาวหน้าตาดีมาแต่งงานโดยเฉพาะ ไม่แต่งกับคนที่รู้จักเอาการเอางาน ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว วันเวลาหลายปีข้าไม่กล้านึกถึงวันเก่าๆ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านโหวนำความสุขมาให้ คิดถึงปีนั้นที่ท่านโหวบังคับให้ทุกคนเลี้ยงหมูแล้วยังโดนด่า…”
ระหว่างทางกลับไปจวนตระกูลอวิ๋น หวงอวี่ก็เอาแต่มองอวิ๋นเยี่ยที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนที่รู้ว่ารายได้ต่อเดือนของครอบครัวชาวนานั้นสูงกว่ารายได้ของตำแหน่งขุนนางของตัวเอง เขาก็รู้สึกประหลาดใจในตัวอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง แต่กลับทำเรื่องที่ตัวเองตามไม่ทัน อายุยังน้อยก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นท่านโหว มันไม่ง่ายเลย
ก้าวเข้าไปในตระกูลอวิ๋นก็ได้เห็นคนรับใช้ผู้ชั่วร้ายนั่งยองๆ กินแตงกวาอยู่ที่ประตู พ่อบ้านยืนมองอยู่ข้างๆ เอาแต่เตะเขาไม่หยุด คนที่ชื่อท่านเป่าก็ไม่ได้ตอบโต้ พอถูกเตะก็เกาที่ก้นแล้วก็ก้มกินแตงกวาต่อ ดูจากเมล็ดแตงกวาที่หล่นอยู่คาดว่าคงกินไปไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นกับหลิวจิ้นเป่า” สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าช่างแปลกเหลือเกิน หลิวจิ้นเป่าไม่ชอบกินผลไม้เท่าไหร่ เขาชอบกินเนื้อมากกว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขามานั่งกินแตงกวาอยู่คนเดียว
“เจ้าบ้านี่อยู่ดีไม่ว่าดีก็เอาเงินไปเล่นพนันที่ฉางอัน พอหมดตัวก็กลับมา นึกขึ้นได้ว่าภรรยาของเขาจะซื้อแตงกวาให้ลูก แต่ในกระเป๋าไม่มีเงินเหลือเลย เจ้าบ้านี่กลัวเสียหน้าก็เลยไม่ไปยืมคนอื่น ดื่มเหล้าแก้เซ็งไปสองจอกแล้วตัวเองก็ไปที่ตลาดขอติดเงินค่าแตงกวาไว้ก่อน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่อาจจะเป็นเพราะคำพูดของพ่อค้าหาบเร่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ เขาจึงต่อยพ่อค้าผู้นั้นจนฟันร่วงแล้วก็ไปทุบทำลายแผงลอยของเขา พ่อแม่ของเขาได้มาเอาเรื่อง ฮูหยินโกรธมาก หลังจากให้เงินชดใช้แล้วก็เงินค่ารักษา ฮูหยินจึงซื้อแตงกวาตะกร้าใหญ่มาให้เขากินเสียให้พอ ขายขี้หน้าเสียจริง”
หลิวจิ้นเป่าอายจนแทบจะมุดหัวเข้าไปในกางเกง อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นก็พอเท่านี้เถิด การลงโทษโดยการให้กินแตงกวามันเป็นโทษที่เบาสำหรับเขาเกินไป เหล่าเฉียนดูไว้ให้ดี ห้ามเขาดื่มเหล้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน การทุบทำลายแผงลอยของพ่อค้าหาบเร่สมควรถูกลงโทษ หากเจ้าจะทุบเจ้าก็ควรไปทุบบ่อนพนัน พรุ่งนี้นำคนไปทุบบ่อนพนันเสีย ก็แค่บ่อนพนันที่ตลาดตะวันตก หลิวจิ้นเป่า ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างเจ้าจะทำไม่ได้”
หลิวจิ้นเป่าเงยหน้าขึ้นมาด้วยความอับอายแล้วพูดว่า “ท่านโหว ท่านถูกกักบริเวณอยู่ ข้าน้อยกลัวว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน เงินหมดแล้วก็ให้มันหมดไป ที่ข้ากลับมาเพราะว่าการกินแตงกวาไม่ได้ช่วยคลายความโกรธได้ ข้าน้อยสาบานได้ว่า ข้าต่อยพ่อค้าหาบเร่ผู้นั้นเบาๆ ไม่กล้าลงแรงเยอะ ในเมื่อท่านโหวบอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้ข้าน้อยจะไปทำลายบ่อนพนันมืดแห่งนั้น เพียงแต่ว่าข้าได้ยินมาว่าบ่อนพนันแห่งนั้นมีองค์หญิงหลานหลิงเป็นหุ้นส่วน ท่านกับองค์หญิงหลานหลิงมีสัมพันธไมตรีที่ดีมาตลอด ดังนั้นข้าน้อยจึงได้อดทนไว้”
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหลิวจิ้นเป่าไม่ใช่คนที่ชอบรังแกคนอ่อนแอ แต่ว่าองค์หญิงหลานหลิงที่อายุเพียงสิบขวบก็รู้จักมีหุ้นส่วนแล้วหรือ ช่างน่าแปลกเสียจริง การอบรมสั่งสอนของหลี่ซื่อหมินที่มีต่อลูกสาวของเขานั้นหละหลวมเกินไปแล้ว
หวงอวี่เห็นคนรับใช้ผู้ชั่วร้ายถูกลงโทษจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงหลานหลิงเปิดบ่อนพนันส่วนตัวจึงทำให้เขาเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เรื่องนี้ เมื่อครู่กำลังจะบอกว่าตัวเองเตรียมที่จะฟ้องร้องแต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามไว้ อวิ๋นเยี่ยพูดกับเขาว่า
“องค์หญิงหลานหลิงอายุเพียงสิบขวบ เรื่องนี้ต้องเป็นเพราะคนรอบตัวนางยืมชื่อนางไปหลอกลวงคนอื่น เจ้าอย่าได้ฟ้องร้อง การทำเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเด็กคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว การจัดการของฮองเฮาจะทำให้หลานหลิงทรมานอย่างแน่นอน ไปทุบบ่อนพนันเลยก็พอ เปิดหนึ่งที่ก็ทุบหนึ่งที่ ทุบจนนางเลิกเปิดบ่อนค่อยหยุด ไม่จำเป็นต้องทำให้อึกทึกครึกโครม มันไม่ใช่เรื่องดีเลยหากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ว่าข้าไม่เป็นไร อยากทุบก็ทุบไป ฝ่าบาทและฮองเฮาไม่มีทางรู้สึกขุ่นเคือง เจ้าคงไม่รู้ว่าหลานหลิงเป็นราชินีปีศาจน้อยที่อยู่ในวัง ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หากเจ้าถูกนางหมายหัว อนาคตของเจ้าไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน”
ใช้คำพูดมากมายในการเกลี้ยกล่อมหวงอวี่ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความยุติธรรม บอกให้พ่อบ้านไปเตรียมบะหมี่เนื้อมาสองที่ หวงอวี่หิวมาทั้งวันแล้ว จากนั้นบะหมี่เนื้อหน้าตาน่ากินก็ถูกยกมา ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้ว ซดไปซดมาก็หมดไปสามชามได้ บะหมี่ชามสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ช่างมีความสุขเสียจริง วันนี้หวงอวี่กินบะหมี่ของอวิ๋นโหว ภายภาคหน้าข้าจะไม่ทำผิดต่อความพยายามที่ยากลำบากของอวิ๋นโหวอย่างแน่นอน ในชาตินี้ข้าคงไม่มีวันเข้าใจการใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่ต่อไปข้าจะทำความเข้าใจความเป็นมาของทุกอย่างอย่างชัดเจนก่อนแล้วจึงยื่นเรื่องฟ้องร้อง เรื่องขององค์หญิงหลานหลิ่งขอให้อวิ๋นโหวลงมือในเร็ววัน มิเช่นนั้นวันที่ข้ากลับเมืองหลวงจะเป็นวันที่หลานหลิงถูกฟ้องร้อง ข้าจะไม่ยอมปล่อยนางเพียงเพราะนางอายุน้อย แล้วก็จะไม่ยอมถอยเพียงเพราะนางได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาทและได้รับความรักจากฮองเฮา หลังจากสิบวันหากยังคงมีบ่อนพนันที่อยู่ภายใต้อำนาจขององค์หญิง ข้าจะตักเตือนอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้บอกลา เพียงแค่โค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วหันหลังเดินจากไป ในมืออวิ๋นเยี่ยยังคงถือข้าวอยู่ครึ่งชาม ค่อยๆ กินจนหมดจึงได้วางตะเกียบลง ถอนหายใจแล้วพูดกับตัวเองว่า “นี่พึ่งจะเป็นคนแรก แล้วเมื่อไหร่จึงจะสิ้นสุด” ไม่มีใครตอบเขาได้ เหล่าเฉียนมักจะคิดว่าวันนี้ท่านโหวไม่ค่อยมีแรง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ในอ่างบัวด้านทิศตะวันออกของลานมีดอกบัวสีชมพูค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ดอกไม่ใหญ่มากนัก มีขนาดเล็กเพียงแค่กำปั้นของอวิ๋นน้อย เอนไปข้างขอบอ่างอย่างเขินอาย อวิ๋นเยี่ยอยากจะย้ายดอกบัวไปไว้ตรงกลางอ่าง ลองย้ายสองครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ มันยังคงค่อยๆ ขยับมาที่ข้างอ่างเหมือนเดิม…
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 49 สัญชาตญาณของชีวิต
นี่ก็เป็นการต่อสู้กันอย่างหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าตัวเองจะเอาชนะดอกบัวดอกเดียวไม่ได้ ไปหาเชือกมาดึงก้านบัวกลับไปตรงกลางอ่าง ตั้งใจเอาไม้บรรทัดมาวัดโดยเฉพาะเพื่อหาจุดศูนย์กลางของอ่าง สมัยเด็กๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับการผูกดอกทานตะวันอยู่ในหนังสือเรียนไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเรามาผูกดอกบัวบ้าง
บอกสาวใช้ไว้เป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ห้ามมาแตะต้อง หากใครมาแตะต้องจะจับคนผู้นั้นยัดเข้าไปในอ่างเป็นปุ๋ยให้บัว เขาต้องตรวจดูทุกวันอย่างละเอียด ดูว่ามันได้ผลหรือไม่ ขอเพียงแค่ได้ผลวันนี้ก็จะอารมณ์ดีทั้งวัน
เมื่อก้านดอกบัวโตขึ้นประสิทธิภาพก็ยิ่งเห็นชัดยิ่งขึ้น ตอนนี้ก้านบัวที่อยู่ใต้น้ำเริ่มมีความโค้งซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะคงที่แล้ว แรงภายนอกที่แข็งแกร่งสามารถเปลี่ยนทิศทางการเจริญเติมโตของพืชได้ มันจะสามารถเปลี่ยนคนได้หรือไม่
มีใบหน้ายิ้มแย้มทั้งวันในสำนักศึกษา ไม่ได้โมโหที่เฉิงฉู่ปี้ที่ไม่เข้าใจโจทย์ แม้ว่ามันจะเป็นสมการเชิงเส้นหนึ่งมิติอย่างง่าย แต่ก็สอนมาตั้งแปดสิบครั้งแล้ว แต่เฉิงฉู่ปี้ยังคงอายหน้าแดงเหมือนอุจจาระแห้ง ไม่อยากบังคับเด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าจะตัวโตกว่าอวิ๋นเยี่ย แต่ข้างในเขายังคงเป็นเด็ก
“เฉิงฉู่เลี่ยง หากคาบต่อไปฉู่ปี้ยังไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เจ้าก็เตรียมรับบทลงโทษได้เลย ถ้าหากสอบตกปลายภาค วันหยุดฤดูร้อนนี้เจ้าห้ามพักเด็ดขาด ภูเขาจำลองในสำนักศึกษามีหนึ่งแห่งที่ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องเป็นคนทำให้สำเร็จ”
คนที่เดิมทีไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเฉิงฉู่เลี่ยงก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที ถามอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “อาจารย์ ฉู่ปี้ตอบคำถามไม่ได้ เหตุใดต้องลงโทษข้า ข้าทำดีที่สุดแล้ว”
“ยื่นมือมา!” ได้ยินเฉิงฉู่เลี่ยงพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เดินไปที่เฉิงฉู่เลี่ยงด้วยใบหน้าบูดบึ้งและสั่งให้เขายื่นมือออกมา ใช้ไม้กระดานห้าแผ่นตีไปที่มือซ้ายของเขาอย่างแรง ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย เสียงดังมาก เฉิงฉู่ปี้ที่กำลังดูเรื่องตลกถึงกับหุบยิ้มทันที มองอวิ๋นเยี่ยอย่างตกใจ
“เจ้าสำนึกผิดหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยถามถึงเฉิงฉู่เลี่ยงอีกครั้งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็จริงจังมากกว่าเดิม ในห้องเรียนเต็มไปด้วยความเงียบ ลูกศิษย์พากันปิดปากแน่นไม่พูดอะไร
เฉิงฉู่เลี่ยงที่ไม่เข้าใจก็ก้มหัวแล้วยื่นมือขวาออกมาเตรียมพร้อมที่จะถูกลงโทษ “ขอเปลี่ยนเป็นมือซ้าย มือขวาเอาไว้เขียนหนังสือ ทำแบบฝึกหัด”
มือข้างซ้ายแดงๆ ของเฉิงฉู่เลี่ยงได้ถูกไม่กระดานสามแผ่นตีอีกครั้ง ได้ยินเสียงเขากัดฟัน เป็นถึงลูกของเหล่าเฉิงหากโดนตีแล้วร้องออกมาจะขายขี้หน้าคนอื่นเขา
“เฉิงฉู่เลี่ยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวันนี้ข้าถึงได้ลงโทษเจ้า”
“เพราะว่าเฉิงฉู่ปี้เรียนไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้ช่วยสอนเขา” อวิ๋นเยี่ยตบไหล่เขาเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณว่าเขาสามารถนั่งลงได้ เดินกลับไปที่แท่นหน้าห้องเรียนแล้วพูดออกมาอย่างเน้นย้ำว่า “เจ้ากับฉู่ปี้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่คนหนึ่งฉลาดอีกคนหนึ่งกลับโง่มันสมเหตุสมผลที่ไหนกัน สภาพแวดล้อมเดียวกัน คุณครูคนเดียวกัน เหตุใดการเรียนของเจ้าจึงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การเรียนของฉู่ปี้กลับเปล่าประโยชน์ เจ้าเป็นพี่ชายมีหน้าที่สอนน้อง เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้าสอนเขาในเรื่องการเรียน ดังนั้นเขามีความผิดแต่ไม่ร้ายแรงมาก ก็เพียงแค่เรียนไม่รู้เรื่อง แต่ความผิดเจ้ากลับรุนแรง สำนักศึกษาไม่ได้วัดมาตรฐานจากนักเรียนที่มีผลการเรียนดี พวกเราควรให้ความสำคัญกับความประพฤติที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคนที่ถูกลงโทษควรเป็นเจ้า ยอมรับหรือไม่”
เฉิงฉู่เลี่ยงยืนขึ้นโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ศิษย์เข้าใจแล้ว ต่อไปจะคอยกระตุ้นให้ฉู่ปี้พัฒนาไปในทางที่ดี ไม่หย่อนคล้อยแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉู่ปี้เป็นเด็กหัวดื้อ เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก แต่ว่าไม่เป็นไร เจ้าเอาไม้บรรทัดนี้ไป จำเป็นเมื่อไหร่ค่อยใช้ ถ้าหากเขากล้าต่อต้านข้าจะลองใช้วิธีของตระกูลเฉิงย่อมได้ อย่างไรก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
พูดจบก็หันกลับมาเขียนบทเรียนใหม่บนกระดานดำ เฉิงฉู่เลี่ยงเหลือบมองเฉิงฉู่ปี้ด้วยความขุ่นเคือง ในมือโบกไม้บรรทัดไปมา เห็นน้องชายดูหน้าซีดจึงได้หันกลับมาเรียนต่ออย่างพอใจ
เมื่อเลิกเรียนได้พูดคุยกับหลี่กังเกี่ยวกับแนวคิดบางอย่างของสำนักศึกษาอยู่ในห้องทำงาน ได้ประมาณการอย่างละเอียดกับสวี่จิ้งจงเกี่ยวกับขนาดของอาคารเรียนใหม่และค่าใช้จ่าย ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้สวี่จิ้งจงดูแลการก่อสร้างไป รู้ว่าบ้านของเขาได้ก่อเตาไฟขึ้นมาจึงได้สร้างอิฐจำนวนมาก เตรียมจะให้ผลประโยชน์เล็กน้อยแก่ชาวบ้านในหมู่บ้านของตัวเองจากการสร้างสำนักศึกษาในครั้งนี้ เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ สวี่จิ้งจงไม่มีทางปล่อยให้ก้อนอิฐที่ไม่ได้คุณภาพเข้ามาในสำนักศึกษา คนอย่างเขาพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง สำหรับอิฐที่ได้คุณภาพใครเอาไปใช้ก็เหมือนกันนั่นแหละ
วั่งไฉลากอวิ๋นเยี่ยและต้ายาวิ่งกลับบ้าน ตอนนี้ต้ายาเรียนอยู่กับอาจารย์อวี้ซันแล้วก็ปรนนิบัติรับใช้เขาด้วย แต่ว่าเด็กคนนี้มีปัญหาด้านสายตา ทำให้น่ากังวลอยู่มาก บอกให้นางใช้สายตาให้น้อยลงแต่ก็พูดไม่รู้ฟัง ดูแล้วคงจะต้องเตรียมแว่นตาให้นางเป็นแน่ อาจารย์หลายคนในสำนักศึกษาก็สายตาพร่ามัวอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ต้องใช้แว่นขยายถึงจะพออ่านหนังสือได้ ในหมู่คนแก่เหล่านี้มีเพียงอู๋เสอและหลีสือที่ไม่มีปัญหา ที่เหลือสายตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจารย์จินจู๋อายุยังน้อยแต่สายตากลับแย่มากทีเดียว
เสียดายที่บรรดาช่างไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ เวลาสองเดือนทำแว่นออกมาได้เพียงแค่อันเดียว เมื่อต้ายาเอาไปใส่ก็ดูสวยงาม แต่น่าเสียดายที่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างเลนส์แว่นไม่ตรงตามต้องการ ต้ายาใส่ได้สองวันก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายตาเป็นอย่างมาก ไม่ได้การแล้ว เห็นได้ชัดว่าระดับของเลนส์แว่นตากับสายตาไม่เข้ากัน ต้องรีบถอดออกมา ต้องรอให้ทดสอบสายตากับเลนส์แว่นที่เข้ากันให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยให้นางเลือกอันที่เหมาะสม
ม้าแดงหนึ่งตัววิ่งผ่านไป ทันใดนั้นทหารม้าได้ยื่นมือมาดึงต้ายาไปจากอวิ๋นเยี่ย ด่าไปสองสามคำ มองดูม้าตัวนั้นหายไปในละอองฝุ่น อวิ๋นเยี่ยต้องให้วั่งไฉเร่งความเร็วอย่างช่วยไม่ได้ ไปรับซ่านอิงที่บ้านหลังเล็กของเขา กลางวันแสกๆ ยังมีคนกล้าทำเรื่องเช่นนี้อีก
ในบ้านร้างที่ไร้ซึ่งผู้คนถูกโซ่ล่ามไว้ เตะประตูไปแรงๆ แล้วเดินกลับบ้านไปอย่างหงุดหงิด ความโกรธยังไม่หายไป เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นต้ายานั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นพูดคุยอยู่กับซินเย่ว ซ่านอิงกำลังถือขาหมูหนึ่งขา กินอย่างเอร็ดอร่อย กำลังจะเดินเข้าไปด่า ตาก็กวาดมองไปที่อ่างบัวข้างประตูด้วยความตกใจ ตอนเช้าที่ออกบ้านไปดอกบัวยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับไม่เห็นแล้ว มีก้านบัวเพียงครึ่งเดียววางอยู่นอกอ่าง ความโกรธเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ใครบังอาจทำเช่นนี้
เสียงคำรามเหมือนฟ้าร้อง จวนตระกูลอวิ๋นได้เกิดความวุ่นวายขึ้น สาวใช้คุกเข่าด้วยความสั่นเทาอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านโหวผู้ใจเย็นจึงได้โกรธถึงเพียงนี้
ไม่จำเป็นต้องให้ตี๋เหรินเจี๋ยวิเคราะห์ ผู้ร้ายก็ถูกจับกุมอย่างรวดเร็ว นายน้อยตระกูลอวิ๋น อวิ๋นโซ่วถือก้านดอกบัวโบกไปมาร้องเรียกอวิ๋นเยี่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำลาย ไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
เมฆดำทะมึนไปทั่วท้องฟ้าก็เริ่มสว่างไสว เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กฉลาด รู้ถึงความสำคัญของดอกบัว มองประเด็นสำคัญออกได้อย่างรวดเร็ว จัดการได้อย่างสะอาดหมดจด ดึงดอกบัวก็ดึงยันโคน แม้กระทั่งรากบัวที่อยู่ใต้ดินที่ยังไม่โตเต็มที่ก็ถูกถอนออกมา แรงเยอะเกินไปแล้วต้องให้รางวัล ส่วนผู้หญิงที่กำลังอุ้มลูกก็ต้องได้รับบทเรียน
อุ้มลูกรักของตัวเอง หอมไปที่แก้มหนึ่งที เจ้าเด็กน้อยใช้ก้านดอกบัวมาเป็นค้อนทองแดงตีไปบนหน้าของเขาเพื่อระบายความไม่พอใจ
ท่านโหวอารมณ์ดีแล้ว คนรับใช้ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเหมือนกระแสน้ำ อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะพบว่าในบ้านของตัวเองมีสาวใช้มากมายถึงเพียงนี้ ในเมื่อมีคนรับใช้เหล่านี้ เหตุใดเวลาล้างหน้าตอนเช้าต้องเป็นซินเย่วและน่ารื่อมู่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ บางครั้งก็เป็นรุ่นเหนียงและต้ายา สี่คนนี้ไม่มีใครปรนนิบัติเป็นสักคน ซินเย่วโยนกะละมังใส่กำแพงในสวนดอกไม้ จากนั้นก็หาตัวไม่เจอแล้ว บอกว่าไม่ชอบเวลาเห็นอวิ๋นเยี่ยเอาเกลือมาสีฟันแล้วทำท่าทางน่ารังเกียจโดยการกลั้วคอ ปกติแล้วน่ารื่อมู่มักจะเทน้ำเย็นให้ เวลาเช็ดหน้าให้ก็มักจะยัดผ้าเข้าไปในจมูกด้วย หลังจากที่รุ่นเหนียงปรนนิบัติพี่อวิ๋นล้างหน้าเสร็จก็มักจะหยิบเหรียญเงินสองเหรียญจากกระเป๋าเงินของพี่อวิ๋น ถ้าหากมีอัญมณีก้อนเล็ก ก็จะหยิบไปด้วยสักสองอัน บอกว่าเป็นรางวัลตอบแทน แพงเกินไปแล้ว ข้าไม่อาจขอให้เจ้าปรนนิบัติข้าได้อีก ส่วนต้ายาก็ชอบทำท่าทางเหมือนไม่อยากทำ ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สบายใจที่ได้เห็นนางเป็นเช่นนี้ ทางที่ดีจึงทำเองดีกว่า
เพราะเหตุใดถึงได้ไม่มีเสียงหวานหูพูดขึ้นมาว่า “ได้เวลาล้างหน้าแล้วท่านโหว” จากนั้นก็มีนิ้วมือเช็ดไปมาบนใบหน้าของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยรอเวลาเช่นนี้มานานแล้ว สาวๆ ในบ้านเหล่านั้นไม่มีใครปรนนิบัติได้ดีเลยสักคน
เมื่อเห็นซินเย่วและน่ารื่อมู่ขมวดคิ้วแล้วไล่สาวใช้ออกไป อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าความปรารถนาของตัวเองคงหมดหวังแล้วในชีวิตนี้
มือซ้ายอุ้มลูกชาย มือขวาอุ้มลูกสาว ความสุขเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยแทบบ้า ลูกสาวเริ่มยอมเปิดรับบ้างแล้ว ในที่สุดก็เห็นเงาของน่ารื่อมู่อยู่ในนั้น เป็นเช่นนี้ดีแล้ว อย่าได้เป็นคนแบบพ่อก็พอ ผู้หญิงสองคนนี้คือคนที่ไม่ควรเจอมากที่สุด จึงรีบหันหลังอุ้มลูกชายและลูกสาวไปที่ห้องหนังสือ
เอาลูกชายไปวางไว้ในกระถางดอกไม้เก็บม้วนหนังสือ อุ้มลูกสาวไปวางไว้บนโต๊ะหนังสือ ดูนางเตะขาไปมาไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยเหมือนจมอยู่ในกระแสน้ำแห่งความสุข เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ยุ่งยากอยู่บ้างแต่ก็ไม่เกินความสามารถของอวิ๋นเยี่ย เขาคุ้นเคยกับงานประเภทนี้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว สิ่งที่น่ารื่อมู่มัดยุ่งเหยิงบนตัวลูกสาวได้ถูกเขาค่อยๆ แกะออก แม่นมมองด้วยความตกใจที่เห็นอวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวอย่างชำนาญ เพียงครู่เดียวก็ใช้ผ้าห่มผืนเล็กห่อไว้อย่างดี มือข้างหนึ่งโผล่ออกมา ใช้ผ้านุ่มรัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วยัดมือเข้าไปข้างใต้สายรัด ทดสอบสายรัดดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้วแต่ฝีมือยังพอมีอยู่
ไม่จำเป็นต้องมีแม่นมก็ได้ จะให้ลูกกินนมวัวบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกชายโตแล้วจึงให้ขวดนมเขาไปถือกินเอง ส่วนตัวเองถือขวดนมให้ลูกสาวไว้ค่อยๆ ป้อน ไม้ก๊อกของกวนจงไม่เลวเลยทีเดียว ทำเป็นจุกนมได้เหมาะกับปากเด็กน้อยเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ขวดนมชนิดนี้ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของฮองเฮานางได้แรงบันดาลใจมาอย่างกะทันหันตอนที่ให้นมลูก ตอนนั้นฝนฟ้าคะนอง ดอกไม้ร่วงหล่นมาจากฟ้า กลิ่นหอมโชยมาจากรอยแยกของดิน บรรยายได้เกินจริงยิ่งกว่าตอนที่ชังเจี๋ยประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาเสียอีก ฮองเฮาได้ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ธรรมดานี้สำเร็จ ไม่ได้สนใจสายตาความขุ่นเคืองในมุมของอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย รับคำสรรเสริญจากผู้คนบนโลกไปเพียงคนเดียว
ซินเย่วและน่ารื่อมู่ที่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยจะขอให้นางพาลูกออกไป พึ่งจะเข้ามาในห้องหนังสือก็รู้สึกทึ่งกับสภาพแวดล้อมที่ดูกลมกลืน อวิ๋นน้อยกำลังคุยอ้อแอ้กับอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยก็ตอบกลับลูก สองพ่อลูกคุยกันอย่างมีความสุข สามารถมองออกได้จากดวงตาที่อ่อนโยนของอวิ๋นเยี่ยว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ลูกชายพูด
ในขณะที่ดูแลลูกชาย เขาก็ไม่ลืมที่จะดูแลลูกสาว บิดผ้าที่ต้มในน้ำเดือดไปชุบน้ำสะอาดแล้วเช็ดปากให้ลูกสาว ท่าทางดูชำนาญและรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น