เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 45-46

[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 45 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน (...

 

เหล่าเฉียนแพ้เกมหมากรุกทำให้เขาไม่พอใจ ให้คนใช้หยิบเหล้าองุ่นมาให้ตัวเองพร้อมกับหูหมูอีกหนึ่งชาม นายทะเบียนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานจึงไม่ได้ถือสาอะไร เหล้าหนึ่งไห หูหมูหนึ่งชาม ทั้งสองพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ กลุ่มควันได้คละคลุ้งขึ้นมาอีกรอบ 


 


ทุกครั้งเมื่อมีการเก็บค่าเช่า ราชสำนักจะส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบมาลาดตระเวนในชนบท มีหน้าที่ชัดเจนก็คือการตรวจสอบว่ามีการรังแกเกษตรกรหรือไม่ การสืบสวนคนทรยศคืองานหลักของพวกเขา อำนาจในการจัดการที่อยู่ในมือใหญ่โตพอที่จะอาละวาดได้ทั้งเมือง ทำให้ผู้ให้เช่าและเศรษฐีเฒ่าพากันโอดครวญว่าช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ในเวลานี้หากชาวนามีข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบก็จะเข้าข้างเกษตรกรอย่างไร้เหตุผล โดยเรียกตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ 


 


ในบรรดาสามเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของฉางอัน เขตฉางอันอยู่ในเมือง เขตว่านเหนียนก็อยู่ในเมือง เขตหลานเถียนถูกรวมเข้ามาใหม่ ที่นั่นย่อมมีความมืดมนและความไม่เท่าเทียมกันเป็นธรรมดา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มจะพาผู้ติดตามเดินทางผ่านฉางอันและเขตว่านเหนียงตรงไปที่เขตหลานเถียนที่ไม่เคยถูกแสงสว่างส่องถึงมาก่อน 


 


ที่สำนักงานเขตไม่มีคนอยู่ เซี่ยนจุนไปที่ชนบท นายทะเบียนก็ไปที่ชนบท นายอำเภอพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบไปดูสาเหตุที่หมู่บ้านหนิวเจียว่าทำไมวัวถึงตายกันต่อเนื่องถึงสามตัว ทุกคนต่างมีหน้าที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบยังคงมีทัศนคติเชิงบวกต่อความขยันหมั่นเพียรของนายอำเภอเขตหลานเถียน ไม่จำเป็นต้องเรียกหาตัวเองก็อาสาไปในที่ที่มีเจ้าของที่ดินและเศรษฐีเฒ่าเยอะที่สุดเพราะที่นั่นน่าจะมีโอกาสทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง 


 


ไม่บอกก็รู้ ภูเขาอวี้ซันคือตัวเลือกแรก ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลคนพาล แผลงฤทธิ์ในฉางอัน กระทำผิดอย่างไม่สิ้นสุด ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวก็ไม่ใช่ตระกูลคนดี ไม่รู้ว่าในวันที่เก็บค่าเช่ามีราษฎรจิตใจดีกี่คนที่ถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่ ต้องทิ้งเมีย ขายลูก แค่คิดก็รู้สึกเศร้า ในเวลาเช่นนี้จะขาดตัวเองไปได้อย่างไร 


 


เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบที่ถูกส่งออกไปตามมณฑลต่างๆ ล้วนเป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ รู้แจ้งภายใต้บรรยากาศความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง ทำให้พวกเขาได้พัฒนาความกล้าพูดและกล้าทำในวงการราชการ หลายปีมานี้นโยบายที่ดูสับสนของหลี่ซื่อหมินได้นำราศีมาสู่ตระกูลหลี่อยู่ไม่น้อย ในช่วงเวลาที่ต้องจ่ายค่าเช่า ตระกูลร่ำรวยก็เหมือนกับถูกลงโทษอย่างไม่มีเหตุผลทำได้เพียงยอมรับความโชคร้าย แต่เหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ด้วยใจที่คิดว่าราษฎรจะไม่สู้รบกับขุนนาง จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าของที่ดิน หากใครกล้าหาเรื่องคนผู้นั้นก็จะไม่มีทางรอด 


 


ความสุขสบายของชีวิตคือการเดินอยู่บนคันนา ความภาคภูมิใจของวัยหนุ่มเป็นช่วงเวลาที่ดี ยากที่จะบอกลาการรับราชการในช่วงวัยเยาว์ อยากจะให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในช่วงขณะหนึ่งเพื่อชื่นชมท่าทางที่สง่างามของตัวเอง แต่น่าเสียดายตอนนี้ราษฎรอยู่ในความเดือดร้อน ตระกูลผู้สูงศักดิ์กำลังขมเห่งชาวบ้าน ต่อให้บรรยากาศตรงหน้าสวยแค่ไหนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชม หวังเพียงแต่ว่าเจ้าของที่ดินและเศรษฐีเฒ่าจะไม่ใจดำจนเกินไป 


 


ตระกูลเฉิงเก็บค่าเช่าอย่างมีความสุข เหล่าลูกบ้านเดินพยุงกันกลับบ้าน พากันเชิดหน้าชูตาเพื่ออวดว่าปีนี้ครอบครัวของตนเก็บเกี่ยวได้มากขนาดไหน ทางตระกูลเฉิงได้แสดงความขอบคุณด้วยการดื่มเหล้า เหล่าเฉิงและนายเฉิงฉู่มั่วไม่อยู่ เฉิงฉู่ปี้จึงถูกแม่เรียกกลับมาจากสำนักศึกษาเพื่อเป็นประธานจัดการเก็บค่าเช่า ชาวบ้านพากันโยนเสบียงใส่ไปในโกดังอย่างวุ่นวาย พ่อบ้านและนายบัญชีพากันยิ้มไปจดบัญชีไป ชาวบ้านบอกเท่าไหร่ก็จดเท่านั้นจึงประหยัดค่าเครื่องชั่งไป 


 


เมื่อจ่ายค่าเช่าเสร็จก็มานั่งกินข้าวอยู่ใต้ซุ้ม ดื่มน้ำซุปและสุราอีกชามใหญ่ ไม่ดื่มก็ไม่ได้ เฉิงฉู่ปี้ดื่มจนเมาอ้อแอ้ เปิดเสื้อออกมาจนเห็นขนหน้าอก เด็กอายุสิบหกปีเท่านี้ไม่รู้ว่าไปเอาขนหน้าอกมาจากไหน 


 


ที่นี่ไม่มีความอยุติธรรม คนที่นอนอยู่ใต้ซุ้มสองสามคนไม่ได้ถูกตีจนสลบไป แต่เป็นเพราะเมาเหล้าจนสลบไปต่างหาก ภรรยาและลูกคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ แล้วก็กินแผ่นแป้งกัวคุยไปด้วย 


 


องครักษ์ประจำตระกูลเฉิงล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่ติดตามเหล่าเฉิงมาหลายปีจึงไม่สนใจที่จะยักยอกเสบียงอาหารสักสี่ห้ากระสอบแม้แต่น้อย ตระกูลเฉิงไม่เคยที่จะอาศัยผลผลิตของพื้นดินในการดำรงชีวิต จิตใจของชาวบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าบ้านเป็นผู้กำหนดลักษณะนิสัยของชาวบ้าน แต่ไหนแต่ไรมาคนในหมู่บ้านตระกูลเฉิงต่างก็มีแต่คนอารมณ์รุนแรงและสดชื่นร่าเริงเกินคน ในหมู่บ้านตระกูลเฉิงหากประพฤติตัวดีก็จะได้รับการปฏิบัติดีตอบ แต่หากมีความเย่อหยิ่งก็จะถูกโจมตีแน่นอน อย่างเช่นตอนนี้มีคนนอกรีตสี่ห้าคนที่ไม่ลืมหูลืมตาควบม้าเร็วในบริเวณหมู่บ้าน ไม่เห็นคนแก่ เด็ก และผู้หญิงที่เดินอยู่กลางถนนหรืออย่างไร 


 


ทั้งหมดเป็นทหารผ่านศึกมีหรือจะไม่รู้จักวิธีจัดการกับทหารม้า ทันใดนั้นก็มีไม้ค้ำยันไว้ระหว่างขาม้า ม้าสองสามตัวล้มลงกับพื้นทันที บางคนดื่มไปมากแต่ยังคงมีสติ เมื่อเห็นคนใส่ชุดทางการจึงรู้ว่าไม่ดีแน่ เพื่อที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของที่ดินพวกเขาจึงค่อยๆ หยิบไม้กลับมาแล้วพยุงสหายขี้เมาเดินโซเซกลับบ้าน หากวันต่อมามีการถามถึงเรื่องดังกล่าวก็จะบอกไปเพียงว่าทุกคนเมากันหมดแล้วใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


การตกจากหลังม้านั้นอันตรายเป็นอย่างมาก คนที่คอหักไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคน โชคดีที่ม้าวิ่งไม่เร็วมาก พวกชาวบ้านก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร หากอยู่ในสนามรบแล้วเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ควรจะโดนตัดหัวไปแล้ว ขุนนางหนุ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ มองดูชาวบ้านขี้เมาเต็มถนนอย่างโกรธเคือง โมโหแต่ไม่มีที่ให้ระบาย ต่อให้สถานที่นี้มีความอยุติธรรมจริงๆ ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่ควรจะเห็นใจ 


 


ในเมื่อไม่ต้อนรับจึงได้หันหลังเดินกลับไป หากแต่ขาม้าเริ่มอ่อนแรงจึงทำได้เพียงจูงกลับ ตระกูลของเฉิงเหย่าจินไม่เคยมีอะไรดีสักอย่าง ตัวเองเป็นผู้ค่อยค้ำชูชาวบ้าน ถ้าหากมาหาเรื่องพวกชาวบ้านก็จะกลายเป็นตัวตลก ยอมที่จะให้ตัวเองเป็นทุกข์ดีกว่าทำลายแผนการใหญ่ของฝ่าบาท 


 


เดินโซเซไปจนถึงบ้านของตระกูลหนิว ที่นี่ก็เหมือนกัน มีชาวบ้านหลายคนไม่มีแขนขา คิดดูแล้วจึงได้รู้ว่าคนเหล่านี้คือลูกน้องเก่าของเหล่าหนิว ใครจะกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของตัวเอง ดูชาวบ้านที่ตบไหล่ของพ่อบ้านแล้วเรียกว่าสหายก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่มีเรื่องที่เขาหวังให้เกิดขึ้น 


 


โชคดีที่ยังมีคนพาลที่ใหญ่ที่สุดผู้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอยู่อีก ขณะเขายืนล้างหน้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ ชุดราชการที่ชำรุดมีร่องรอยการเย็บอย่างเรียบง่าย หลังจากนั่งเคี้ยวอาหารแห้งอยู่ริมแม่น้ำเพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและปลอบใจผู้ติดตามของตัวเองก็จูงม้ามุ่งหน้าไปทางบ้านตระกูลอวิ๋น ราษฎรช่างเป็นคนซื่อสัตย์ เมื่อเห็นคนของทางการบาดเจ็บสองสามคนก็ลงมาจากเกวียนวัวของตัวเองแล้วเชิญให้พวกเขาไปนั่ง ตั้งแต่มาถึงภูเขาอวี้ซันนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเพื่อนมนุษย์ 


 


“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นหรือ เมื่อครู่เห็นท่านขนเสบียงเต็มคันรถกลับมาจากฉางอัน เป็นเพราะเหตุใด การเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนพึ่งจะสิ้นสุด เสบียงอาหารในบ้านก็ไม่พอกินแล้วหรือ” 


 


“บ้านข้าไม่เหมือนกับบ้านอื่น เจ้าบ้านต้องการเพียงเหรียญทองแดง ข้าจึงต้องนำเสบียงอาหารในบ้านมาขาย จากนั้นก็ซื้อเสบียงอาหารกลับมาบ้างแล้วเก็บเหรียญทองแดงไว้จ่ายค่าเช่าให้เจ้าบ้าน” 


 


“ท่านต้องจ่ายค่าเสบียงเท่าไหร่” 


 


“พูดไปนายท่านก็คงไม่เชื่อ ครอบครัวข้าต้องจ่ายทั้งหมดหกเหรียญกับอีกสามร้อยตำลึง” ชายเฒ่าตอบด้วยรอยยิ้ม 


 


เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มรู้สึกเหมือนอกกำลังจะระเบิด เจ้าของที่ดินต้องใจดำขนาดไหนถึงจะเอาเงินค่าเสบียงจากชาวบ้านมากขนาดนี้ วัวหนึ่งตัวราคาไม่เกิดแปดเหรียญ แต่ครอบครัวชาวบ้านผู้น่าสงสารยังมีค่าไม่เท่าวัว ต้องการวัวหนึ่งตัวในทุกๆ ปี นี่คือเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือ มหาสมุทรกว้างใหญ่ย่อมมีขอบเขต แต่ความโลภของมนุษย์กลับไม่มีที่สิ้นสุด ทุกปีตระกูลอวิ๋นจะลงทุนเงินจำนวนมากในสำนักศึกษาบนภูเขาอวี้ซัน เขาเป็นคนรวยกลับชาติมาเกิดเสียที่ไหนกัน เงินของเขานั้นล้วนปล้นมาจากคนจนต่างหาก ชื่อเสียงและเกียรติยศที่ได้มาจากการทำชั่ว อย่างไรทุกคนก็ต้องได้รับการลงโทษ 


 


ฉายาวายร้ายแห่งฉางอันเห็นจะเป็นธาตุแท้ของเขา ฝ่าบาทผู้น่าสงสารถูกคนทรยศหลอกจนหน้ามืดตามัว เอาแต่พูดว่าเขาเป็นหนึ่งในขุนนางตัวอย่าง ใครจะไปคิดว่าเขาคือเสือที่คอยกัดกินราษฎร 


 


เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของชายเฒ่าก็รู้สึกอนาถใจ ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายตรวจราชการที่มาจากสถาบันอุดมศึกษาระดับชาติ แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงขุนนางระดับแปด เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เทียบไม่ได้เลยกับขุนนางระดับสามอย่างเขา แต่วันนี้แม้ว่าฟันจะหักก็จะกัดเลือดเนื้อของโจรที่ทำร้ายราษฎรให้ได้ 


 


“ปีนี้ถือว่าข้าจ่ายค่าเช่าน้อยกว่าทุกปี ลูกชายคนรองของครอบครัวได้ติดตามกั๋วกงตระกูลเฉิงไปออกรบอยู่นอกเมือง ดังนั้นท่านโหวจึงได้ละเว้นในส่วนของลูกชายคนรองของข้า ประหยัดไปได้สองเหรียญ ตระกูลอวิ๋นมีแต่คนดี ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อชาวบ้าน ครอบครัวหวางต้าผู้โง่เขลา ในปีนี้พวกเขาได้พบเจอเรื่องไม่ดี เขาเอาแต่พูดว่าน้องคนเล็กของครอบครัวตัวเองพึ่งจะคลอดออกมาไม่นับว่าเป็นหนึ่งคน ฮ่าๆๆ เขาถูกพ่อบ้านอย่างเหล่าเฉียนเตะไปสองที สุดท้ายก็ต้องจ่ายเงินในส่วนนั้นอยู่ดี” 


 


เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มมองดูชายเฒ่าที่กำลังดีใจด้วยความเศร้าใจ ชายเฒ่าที่ไม่มีความรู้คงไม่รู้ว่าทหารที่ไปออกรบไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสบียง คนที่ถูกคนรับใช้ผู้ชั่วร้ายของตระกูลอวิ๋นรังแกก็คงไม่รู้ว่าต้องรอให้เด็กโตจนบรรลุนิติภาวะจึงจะได้รับส่วนแบ่งที่ดินจากนั้นถึงจะเริ่มจ่ายภาษีอย่างเป็นทางการ พระเจ้า ขนาดราชวงศ์ยังไม่กล้าเก็บภาษีเด็กน้อยแรกเกิด เหตุใดตระกูลอวิ๋นจึงกล้าถึงเพียงนี้ ใครทำให้เขามีความกล้าเช่นนี้ 


 


ชายเฒ่าอ้าปากร้องเพลงที่ฟังไม่เข้าใจเบาๆ มองดูรองเท้าสีดำคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์ทรมานแค่ไหน การร้องเพลงลำนำภูเขาบางทีมันอาจจะเป็นความสนุกครั้งสุดท้ายของเขา 


 


หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในตลาด บ้านมุงด้วยกระเบื้องสูงสองข้างทางแสดงถึงความมั่งคั่งของพวกเขา ม้ากัดกินของบนแผงลอยอย่างไร้ยางอาย ไม่เพียงแต่ไม่มีคนห้ามซ้ำยังเกาคอม้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเห็นว่าพ่อค้าแม่ค้าพากันเอาเงินมาใส่ในกระเป๋าของม้า เป็นแค่ม้ากลับทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้คงจะไม่ต้องพูดถึงคนให้มากความ 


 


เขาเงยหน้ามองบ้านสูงระหว่างสองข้างทาง แล้วมองดูหินที่สะอาดเรียงเป็นระเบียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาแทบจะไม่กล้าเหยียบ เขารู้สึกว่ามันเป็นจิตวิญญาณของราษฎรที่ถูกลงโทษ กำแพงสีขาวดั่งหิมะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเลือดในดวงตาของเขา รอยยิ้มจอมปลอมบนท้องถนนเหล่านั้น เป็นความรุ่งเรืองที่จอมปลอมเหมือนภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับร่างของเขา เขาหายใจอย่างยากลำบาก เอามือเข้าไปในแขนเสื้อ รีบร้อนหาป้ายคำสั่งที่สามารถทำให้เขาดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะทำให้มีความกล้าขึ้นมา 


 


ชายผู้แข็งแกร่งเดินออกมาจากประตูใหญ่ของตระกูลอวิ๋น เสื้อส่วนบนถูกเปิดออกใบหน้าดูเ**้ยมโหด เวลาเดินดูโคลงเคลง คนเดินผ่านไปมาพากันหลบเลี่ยงหลีกทางให้ เขาหยิบแตงกวาขึ้นมาหนึ่งลูก หักเป็นสองท่อนแล้วกัดกิน มีน้ำแตงกวาไหลออกมาตรงมุมปาก ดูเหมือนเป็นคนมูมมาม พ่อค้าแม่ค้าพากันเรียกท่านเป่าอย่างสนิทสนม ซ้ำยังนำผลไม้ที่ดีที่สุดมาให้ชายร่างใหญ่ หลักจากที่กินหมดแล้วก็ไม่ได้จ่ายเงิน เขาบอกว่าไร้รสชาติ จากนั้นก็หยิบแตงกวาจากร้านข้างๆ มาแทะต่อ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าถึงจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร 


 


เดิมทีเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบมีหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ได้มาเห็นกับตา ในเวลานี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบกลับเงียบสงบลง การกระทำชั่วร้ายเช่นนี้จะมีอยู่ในดินแดนบาปอย่างภูเขาอวี้ซันอย่างน้อยหกปี สถานที่ซ่อนสิ่งสกปรกยังจะกล้าบอกว่าเป็นสถานที่ของผู้คนที่โดดเด่นอย่างนั้นหรือ 


 


หลี่กังไม่คู่ควรได้เป็นนักปราชญ์ ซินอวี้ซันมีบุตรเขยที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในลัทธิขงจื้อ อาจารย์หยวนจางมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านคุณธรรม ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องตลก วันนี้ต่อให้ต้องสละชีวิตก็จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น คืนท้องฟ้าสีครามให้แก่ผืนแผ่นดินนี้

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 46 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน (...

 

หลังจากโอบกอดความกล้าหาญที่พร้อมจะตายในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มได้ส่งนามบัตรของตัวเองไปให้เตรียมที่จะเผชิญหน้ากับโจรร้าย ยืนกุมมือรอนอกประตู เขายิ้มและปฏิเสธคนเฝ้าประตูที่เชิญเขาดื่มชาอย่างเป็นกันเอง การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคนทั่วไปจะไม่ต่อสู้กับสามสิ่งนี้ หนึ่งคือไม่แย่งชิงชื่อเสียงกับสุภาพบุรุษที่ยึดถือในชื่อเสียง สองคือไม่แย่งชิงผลประโยชน์จากคนร้ายจอมวางแผน สามคือไม่แข่งขันกับฟ้าดิน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยขึ้นชื่อว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ แล้วยังมีชื่อเสียงด้านช่างฝีมือ ตัวเองได้ละเมิดศีลสามประการทั้งปวงแล้ว เมื่อนั้นเองจึงได้รู้ซึ้งถึงคำว่าหมดสิ้นหนทางอย่างที่อาจารย์เคยพูดไว้ แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความโหยหาความยุติธรรมได้ แล้วก็ไม่อาจเอาชนะความสงสารที่ตนเองมีต่อราษฎรได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อาจเอาชนะความเชื่อในการปกป้องชื่อเสียงความเป็นนักปราชญ์ของตัวเองได้ 


 


 


ดูเหมือนเสียงเอะอะโวยวายของผู้คนบนท้องถนนจะหายไปแล้ว หวงอวี่ได้รวบรวมสติของตนเองเตรียมพร้อมพบกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ดูเหมือนว่าจะมีเมฆลอยไปมาข้างประตูที่ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าวินาทีต่อไปจะได้ยินเสียงเสือคำราม 


 


 


คนที่ดูไม่ได้ฉลาด แต่เป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินออกมาจากประตู สามารถดูออกได้เลยว่าร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ก้าวเท้าเหมือนคนไม่มีแรง โบกพัดสีทองอยู่ในมือ ของสิ่งนี้เขาก็อยากได้ แต่ว่าราคาสูงถึงสองเหรียญ ทำให้คนมีชื่อเสียงอย่างเขาไม่สามารถมีไว้ครอบครองได้ 


 


 


“ผู้ตรวจสอบหวง ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบคอยดูแลการดำรงชีวิตของผู้คนในฉางอัน มาถึงอวี้ซันมีธุระอะไรหรือ ราษฎรที่นี่สงบสุข การค้าขายเฟื่องฟู กิจการรุ่งเรือง ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีอะไรที่ต้องการให้ผู้ตรวจสอบหวงช่วย” 


 


 


ความจริงแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะออกมา ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าขาก็ยังคงปวดและอ่อนแรง เมื่อคืนลงโทษซินเย่วหนักไปหน่อย ตัวเองเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว นอนจนพระอาทิตย์ตกกว่าจะตื่น พึ่งกินข้าวเสร็จเตรียมจะนอนใต้ร่มไม้ในสวนยามบ่ายเพื่อฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่า คนเฝ้าประตูก็นำนามบัตรของเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบอะไรก็ไม่รู้มาให้ อย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว ไปเจอสักหน่อยก็ดี ถ้าหากเป็นคนที่ไม่ชอบก็ไล่เขาไปแล้วค่อยไปนอนก็ยังไม่สาย 


 


 


“ได้ยินมานานแล้วว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นนั้นมีความมั่งคั่ง ข้าน้อยปิดบังฝ่าบาทในการเลือกที่จะมากำกับดูแลการเช่าที่ดินในสามเขตของฉางอัน เมื่อมาถึงภูเขาอวี้ซันก็เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้หนทางสู่ความรวยจากอวิ๋นโหว ขออวิ๋นโหวโปรดเมตตาด้วย” 


 


 


มองไปที่ผู้ตรวจสอบที่สุภาพและสง่างาม แล้วมองดูเสื้อคลุมที่เขาเย็บอย่างง่ายๆ ก็เกิดความรู้สึกดี เขาเป็นคนขยันคนหนึ่ง ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าการนอนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ออกไปเดินเล่นรอบๆ บ้างก็ดี 


 


 


“ผู้ตรวจสอบหวงชมเกินไปแล้ว ในเมื่อเจ้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทก็ย่อมดูกระบวนการการเก็บค่าเช่าของตระกูลอวิ๋นได้ เจ้าดูเหนื่อยมาก เข้าไปดื่มน้ำในจวนดีกว่าไหมจะได้พักผ่อนเสียหน่อย กำจัดความร้อนจากร่างกายให้หมดแล้วค่อยไปดูดีหรือไม่” 


 


 


หวงอวี่ไม่อยากให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสในการเตรียมตัว ยกมือขึ้นมาคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยยังมีอีกสองเขตที่ยังไม่ได้ไปดู หากพักอยู่ในจวนตระกูลอวิ๋นก็เพียงทำได้แค่เดินเล่นชมดอกไม้ คงไม่มีเวลาให้พักผ่อน พวกเรามาเริ่มกันตอนนี้เลยดีหรือไม่” 


 


 


ขุนนางที่มีความขยันเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยเห็นมาเยอะแล้วจึงไม่รู้สึกแปลก พาหวงอวี่เดินไปทางสวนหลังบ้าน ผู้เช่าทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นรวมตัวกันอยู่ที่นั่น 


 


 


สิ่งแรกที่หวงอวี่เห็นเมื่อเขามายังสวนหลังบ้านคือซุ้มขนาดใหญ่ มีชายเฒ่าแต่งตัวดีนั่งอยู่ข้างในกำลังดื่มชาและกินขนม ข้างซุ้มเต็มไปด้วยขนมต่างๆ มีขนมบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน มีกลิ่นหอมหวานพัดผ่านมาจากซุ้มทำให้รู้สึกสบาย ตอนกลางวันกินแค่ขนมหนึ่งชิ้น ตอนนี้ได้กลิ่นหอมของอาหารท้องก็ร้องขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจทำให้หวงอวี่รู้สึกอายเป็นอย่างมาก 


 


 


“ความหิวเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรต้องอาย เจ้าวิ่งวุ่นมาทั้งวันคงจะไม่มีเวลากินข้าว นี่คือสิ่งที่เจ้าควรภาคภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด จิบน้ำชาแล้วก็กินขนมสักหน่อย รอเจ้าตรวจตราเสร็จแล้วค่อยทำบะหมี่ให้เจ้าอีกหนึ่งชามจึงจะทำให้อิ่มท้องได้ ดีกว่าอาหารในงานเลี้ยงเสียอีก” 


 


 


มองไม่เห็นเสียงร้องไห้แสดงถึงความโศกเศร้า มองไม่เห็นอันธพาลผู้ดุร้าย ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบ เขามองดูเด็กที่โยนกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ เมื่อลงนามเสร็จก็กระโดดโลดเต้นวิ่งมาที่ซุ้มแล้วหยิบตะกร้าของตัวเองขึ้นมาใส่ขนมที่ชอบกิน ขนมดอกกุ้ยฮวาถูกละเลยไปโดยสิ้นเชิง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบขนมถั่วเขียวมาสองชิ้น ปิดจมูกเมื่อเดินผ่านขนมพุทราทั้งๆ ที่พุทราแดงสีสดใสกลิ่นหอมหวาน แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะคิดว่าเหม็นจึงพยายามหลีกเลี่ยง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบหัวของเด็กคนนั้นหนึ่งที “ขนมพุทราอย่างดีเจ้าจะปิดจมูกทำไม” 


 


 


เด็กน้อยกลับไม่กลัวปีศาจในตำนานผู้นี้ คลายมือที่ปิดจมูกออกอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “คุณน้าที่สองที่อยู่ในโรงเรียนมักจะนึ่งขนมพุทรา แล้วยังใส่พุทรามากกว่าข้าวเสียอีก ตอนนี้แค่ดมข้าก็อยากจะอ้วก ท่านโหว หากข้าจะหยิบขนมเพิ่มได้หรือไม่” 


 


 


“พึ่งจะกินไปไม่กี่วัน ตอนนี้แค่เด็กๆ ได้กลิ่นขนมพุทราก็จะอ้วกแล้วหรือ พระเจ้า ตอนนั้นข้าโดนพ่อกับแม่อัดไปหลายทีเพราะอยากจะกินขนมพุทราสักคำ ขนาดฝันก็ยังได้กลิ่นหอมนั่น คิดมาเสมอว่าสักวันจะได้ทานอาหารดีๆ สักมื้อ เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักถนอมโชคลาภของตัวเอง” 


 


 


ชายเฒ่าที่สวมใส่ชุดกระสอบโบกพัดในมือหลังจากพูดจบ เขาตีก้นเด็กน้อยไปหนึ่งที หัวเราะแล้วมองเด็กน้อยที่หยิบขนมในกล่องไม้อย่างตะกละตะกลาม 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบขนมชิ้นหนึ่งจากกล่อง วางลงบนจานแล้วยื่นให้หวงอวี่ และให้ผู้ติดตามของเขาหยิบได้ตามใจชอบ ในถังขนาดใหญ่มีถ้วยชาที่ต้มเสร็จแล้ว ใช้ไม่ไผ่คีบขึ้นมาหนึ่งถ้วยแล้วส่งให้หวงอวี่ด้วย 


 


 


นี่คือมารยาท อาจจะฟังดูไม่ดีแต่นี่คือมารยาทของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อชนชั้นผู้น้อย หวงอวี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธจึงรับมาแต่โดยดี เขานึกไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะดูเป็นคนเรียบง่ายเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามทำตัวเคร่งขรึม การข่มเหงผู้อื่นน่าจะทำให้เขาสบายใจกว่าการทำตัวสนิทกับคนง่ายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ 


 


 


วางของกินในมือลง พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อวิ๋นโหว ข้าน้อยยังไม่หิว ข้าคิดว่าดูสมุดบัญชีเสร็จแล้วค่อยกินก็ยังไม่สาย” เขาตัดสินใจอยากจะดูให้แน่ใจก่อน เหตุใดพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของอวิ๋นเยี่ยถึงได้ต่างกันเป็นสองขั้ว เด็กเล็กๆ ก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ตามสบาย แต่ทำไมจึงได้โหดร้ายกับชาวบ้านเหล่านั้น 


 


 


นายบัญชีนำพู่กันและสมุดบัญชีมาให้หวงอวี่ดู ลายลักษณ์อักษรชัดเจน บัญชีดูสะอาดสะอ้าน ทุกๆ การจดบันทึกมีที่มาที่ไป แต่ว่าหวงอวี่ไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลอวิ๋นจึงดำเนินเก็บค่าเช่าเพียงแค่หนึ่งในห้าของการเช่า นี่คือการเก็บค่าเช่าที่ถูกที่สุดในต้าถัง แต่ทำไมตัวเลขในสมุดบัญชีจึงได้เยอะจนน่ากลัวเช่นนี้ 


 


 


ชายวัยกลางคนที่สีหน้าดูกังวลก็มาจ่ายค่าเช่าด้วย มองดูคนอื่นๆ มีแต่เด็กๆ ที่มาจ่ายค่าเช่า ตัวเองอยากจะเดินหนี แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องเดินกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ เข้าแถวอย่างหดหู่ท่ามกลางเด็กๆ รอให้นายบัญชีเรียกชื่อตัวเอง 


 


 


หวงอวี่เห็นคนๆ นี้อยู่นานแล้ว เขาคิดว่าคนๆ นี้น่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง ถ้าหากวันนี้การเก็บค่าเช่ามีช่องโหว่ เช่นนั้นก็ควรจะเปิดช่องโหว่จากคนๆ นี้ 


 


 


“เจียวเหล่ายาถึงตาเจ้าแล้ว” หลังจากเสียงเรียกของนายบัญชีก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น มีเด็กขี้เล่นคนหนึ่งปากหวานเรียกเขาว่าคุณลุงเหลายา ชายวัยกลางคนที่อยากจะตอบโต้บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงเหมือนคนทำผิดแล้วโยนถุงผ้าลงบนโต๊ะ พูดเบาๆ ว่า “ปีนี้ครอบครัวข้าจ่ายข้าเช่าสามเหรียญเจ็ดตำลึง ผลผลิตยังไม่เติบโต เอาไว้ค่อยนับหลังฤดูใบไม้ร่วง” 


 


 


นายบัญชีหัวเราะแล้วพูดว่า “เหลายาสหายข้า จากที่เจ้าจ่ายค่าเช่าสามารถบอกได้ว่าปีนี้เจ้าเก็บผลผลิตได้ดี หลังจากฤดูใบไม้ร่วงก็นำผลไม้ไปขายก็จะได้รายได้ก้อนใหญ่ เจ้าทำผลไม้แห้งได้ดีทำไมปีนี้ไม่ทำเสียแล้ว” 


 


 


ชายผู้นั้นพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แค่พอกินพอใช้ก็พอแล้วจะหาเงินมาทำอะไรมากมาย ที่บ้านมีลูกสาวอยู่สี่คน แค่มีเก็บไว้เป็นสินสอดทองหมั้นให้พวกนางก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเสียเวลาหาเงิน” 


 


 


หวงอวี่นึกจนปวดหัวก็นึกไม่ถึงว่าชายผู้นี้ไม่ได้อารมณ์เสียเพราะการจ่ายค่าเช่าที่มากเกินไป แต่เป็นเพราะเขาไม่มีลูกชายจึงทำให้คิดมาก เอาแต่โกรธตัวเอง 


 


 


ชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดี แต่คนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องเยาะเย้ยข้อบกพร่องของเขา นายทะเบียนชี้ไปที่จมูกเขาแล้วพูดว่า “ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเองเอาเสียเลย มีลูกสาวที่งดงามเหมือนดอกไม้หยกถึงสี่คนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถได้รับความโชคดีเช่นนี้ เจ้าก็ยังเอาแต่บ่น การไม่มีลูกชายก็แสดงว่าพระเจ้าไม่ได้ให้เจ้าในส่วนนี้ เก่งนักเจ้าก็ไปบนสวรรค์สิ เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินมาว่าเจ้าเตรียมจะไปซื้อผู้หญิงชาวเกาลี่มาคลอดลูกให้เจ้า เจ้าช่วยเลิกทำเรื่องแย่ๆ ไม่ได้หรือ หมู่บ้านเรารับเด็กชาวเกาลี่ไว้ไม่ได้หรอก กล้าทำลายฮวงจุ้ยของหมู่บ้าน บรรพบุรุษของเจ้าจะต้องอับอายไปถึงแปดชั่วอายุคน เจ้าตั้งใจเลี้ยงลูกสาวให้ดี เมื่อถึงเวลาก็ไปหาลูกเขยจึงจะเป็นสิ่งที่ควรทำ เลิกทำเรื่องนอกรีตได้แล้ว” 


 


 


ชายร่างใหญ่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด เขาพยักหน้าแล้วประทับลายมือลงบนสมุดบัญชีก่อนจากไปอย่างเศร้าใจ ต้องมอบกิจการครอบครัวที่สะสมมาทั้งชีวิตให้กับคนนอก ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ 


 


 


“อวิ๋นโหว ขออย่าโกรธหากข้าน้อยจะพูดตรงๆ ท่านช่วยอธิบายให้ข้าน้อยฟังได้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวบ้านในหมู่บ้านท่านต้องจ่ายค่าเช่ามากมายเช่นนี้ ท่านดูสิ จางฉวนจ่ายค่าเช่าหกเหรียญสามตำลึง จางหยวนจ่ายค่าเช่าเก้าเหรียญห้าตำลึง ส่วนเหอต้าชังจ่ายค่าเช่าตั้งสี่สิบเจ็ดเหรียญหกตำลึง ข้าน้อยได้สุ่มตรวจสมุดบัญชีของกระทรวงการคลัง แต่ไม่เคยได้ยินตัวเลขดังกล่าว ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวพอจะบอกข้าได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะออกมา สมุดบัญชีของตระกูลอวิ๋นมักจะทำให้คนสงสัย ในยุคแห่งการเก็บผลผลิตทั่วไปนี้ การดำเนินงานต่างๆ ของตระกูลอวิ๋นนั้นชัดเจนมาก การที่ผู้ตรวจสอบพึ่งถามคำถามเอาตอนนี้ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ใจเย็นอย่างมาก หากรู้เข้าว่าเวลาที่เว่ยเจิงไม่มีอะไรทำก็มักจะไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเสมอแต่กลับไม่สนใจตระกูลอวิ๋น หรือทุกครั้งที่จั่งซุนกลับมาก็จะเปิดดูบัญชีของตระกูลอวิ๋นอย่างไร้มารยาท ซึ่งทุกครั้งก็มักจะโมโหแล้วโวยวายว่าตระกูลอวิ๋นเหลือกินหรือใช้เหมือนเอาเงินของทั้งโลกมาเติมหลุมศพ 


 


 


แม่น้ำสายใหญ่อย่างตระกูลอวิ๋น กล้าที่จะกระทำการโดยไม่เกรงกลัว สายน้ำเล็กๆ อย่างชาวบ้านจึงได้ถูกเติมเต็มไปโดยธรรมชาติ ผัก น้ำมันพืช เนื้อหมูเป็ดไก่ แล้วยังมีขนมต่างๆ รวมถึงเครื่องเทศ โดยเฉพาะพริกของร้านเปี้ยนอี๋ฟาง สิ่งของเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านของตระกูลอวิ๋นทำเงินได้มากมาย คนอื่นทำได้แค่มองจนน้ำลายไหล ชาวบ้านไม่เคยให้เมล็ดพืชแก่บุคคลภายนอก อวิ๋นเยี่ยให้แค่กระกูลเฉิง ตระกูลหนิว และตระกูลฉิน ส่วนทายาทจอมล้างผลาญของตระกูลอวี้ฉือนั้น ถูกพวกชาวบ้านด่าลับหลังมานานหลายปี 


 


 


ชายเฒ่าที่กำลังดื่มชาอยู่ใต้ซุ้มยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านขุนนาง ข้าน้อยคือเหอต้าชัง ข้าคือคนที่ปีนี้จ่ายค่าเช่าสี่สิบเจ็ดเหรียญหกตำลึง เดิมทีกะจะจ่ายแปดสิบเหรียญ แต่น่าเสียดายที่เจ้าบ้านไม่เห็นด้วย อาจารย์หลิวนายบัญชีที่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ข้ารออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นด้วย ท่านเองก็คิดว่าข้าจ่ายน้อยไปใช่ไหม ท่านดูสิ เงินข้าก็เอามาด้วย ท่านช่วยพูดกับอาจารย์หลิวให้หน่อยว่าปีนี้ข้าจะจ่ายให้เขาทีเดียวแปดสิบเหรียญ” 


 


 


หวงอวี่ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา นายบัญชีหลิวก็ตะโกนด่าว่า “เหอต้าชังสุนัขเจ้าเล่ห์ ฝันไปเถอะ เจ้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าบ้านได้หรอก เจ้าจ่ายค่าเช่ามาตั้งนานแล้ว ปีหน้าขนมในร้านสี่ส่วนก็ถูกเจ้าจองไปแล้ว ปีหน้าค่อยจ่ายค่าเช่าเพิ่มแต่ก็อย่าให้เกินห้าส่วน เวลาสี่ห้าปีมานี้เจ้าทิ้งร้านดีๆ ที่เจริญรุ่งเรืองไว้โดยเปล่าประโยชน์ ร้านทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เจ้าอยากจะใช้ส่วนแบ่งในปีนี้เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในปีหน้า คิดจะหาผลประโยชน์จากข้าอย่างนั้นหรือ ล้มเลิกเสียเถิด” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)