เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 43-44

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 43 ตลาดกลางคืนแห่งเมืองฉางอัน

 

กลยุทธ์ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเราคิดกัน เรื่องราวการประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ล้วนแต่เป็นเรื่องพื้นฐาน ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานห้าพันปีของพวกเขา คุณจะค้นพบว่าพวกเขาเป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆ ที่สาดกระเซ็นไปตามคลื่นแม่น้ำใหญ่ วิธีการปฏิบัติตัวต่างๆ ในสังคมได้ก่อตัวเป็นแม่น้ำสายยาว ตราบใดที่เวลา สถานที่ และโอกาสที่เหมาะสม ต่อให้เป็นกลยุทธ์ที่ตรงไปตรงมา ก็สามารถทำให้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงได้


 


 


เมื่อทำเรื่องที่ดีก็ต้องมีการเฉลิมฉลอง วันนี้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความราบรื่น ยกเว้นตอนที่ถูกสุนัขน้ำตาลสะบัดหยดน้ำกระเด็นใส่หน้า เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรให้บ่นแล้ว แต่งกายเรียบร้อยรอให้ฟ้ามืดเพื่อที่จะเข้าเมืองฉางอัน ไปฟังบทเพลงซิวซือ ซินเย่วกับน่ารื่อมู่บอกว่านั่นเป็นบทเพลงของนางฟ้าบนสวรรค์ สามารถทำให้จิตวิญญาณของคนโบยบินไป


 


 


ซ่านอิงไม่ยอมไปกับอวิ๋นเยี่ย เขาโกรธมากที่อวิ๋นเยี่ยโกหกเขา ต่อให้อวิ๋นเยี่ยพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างไรเขาก็ยังคงเอาแต่ส่ายหัว แม้ว่าจะยกหนี้ให้เขาสามพันเหรียญก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งต้ายาที่สวมหมวกทรงแหลมได้ปรากฏตัว เจ้าเด็กนี่ก็กลายเป็นสัตว์สี่เท้ารีบวิ่งไปเตรียมรถม้าทันที ไม่แม้แต่จะหันไปมองอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้า


 


 


ดีที่เสี่ยวยาใส่เสื้อผ้าผู้ชายออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนพี่อวิ๋น ทำให้อวิ๋นเยี่ยทำตัวสนิทสนมได้ เมื่อจัดวางกระเป๋าเสร็จ ในรถม้าก็ไม่มีที่นั่งสำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้ว ตง หนาน ซี เป่ย พาซือซือไปด้วย เสี่ยวอู่ขึ้นมานั่งอัดบนรถม้าจนไม่มีที่ว่าง ตี๋เหรินเจี๋ยก็อยากจะอัดเข้าไปด้วยแต่กลับถูกเตะออกมา จึงต้องไปนั่งบนเพลากับอวิ๋นเยี่ยเพื่อบังคับรถม้า


 


 


หลิวจิ้นเป่าและองครักษ์สามคนขี่ม้าอยู่รอบๆ เพื่อรักษาความปลอดภัย รถม้าวิ่งไปทางฉางอันท่ามกลางแสงตะวันยามอัสดง ฉางอันได้ยกเลิกข้อห้ามในการเดินทางตอนกลางคืนลงแล้ว ถ้าหากรู้สึกชอบก็สามารถเดินเล่นไปจนถึงเช้าได้โดยไม่มีใครให้ความสนใจ เพียงแต่ว่ามีอู่โหวเดินตรวจตรามากกว่าเมื่อก่อน แล้วก็แข็งขันมากกว่าเดิม


 


 


พึ่งจะเข้าเมืองฉางอันก็เห็นอู่โหวใช้รถลากคนเมาหนึ่งคันรถเอาไปกองไว้ที่ซุ้มข้างประตูเมือง ใช้ฟางข้าวสาลีมาคลุมแทนผ้าห่ม ในกลุ่มนั้นมีคนแต่งกายดีดูมีสกุล แต่ตอนนี้ทำได้แค่นอนกอดกับผู้ชายร่างใหญ่ที่แต่งกายมอซอ


 


 


ตี๋เหรินเจี๋ยรู้สึกน้อยใจ ในบรรดาเด็กน้อยแปดคนเขาคือคนที่ขี้เหร่ที่สุด ที่เหลือมีแต่คนที่รูปร่างหน้าตาดี จึงทำได้เพียงเข้าใกล้อวิ๋นเยี่ยเพื่อหาความสบายใจ


 


 


อวิ๋นเยี่ยถือพัดในมือเดินอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อเปิดทาง เด็กน้อยทั้งแปดคนพากันเดินตามอย่างใกล้ชิด พวกหลิวจิ้นเป่าก็เตะตูดพวกคนเจ้าเล่ห์ที่พยายามเดินเข้าใกล้กลุ่มของพวกเขา เดินได้พร้อมเพรียงกันเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่ได้เข้าฉางอันมาหลายวัน ถนนจูเชวี่ยเริ่มเปิดร้านทำกิจการแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการเจาะช่องเล็กๆ ตรงกำแพงเพื่อขายพวกน้ำชาและขนม แต่ก็ถือว่ามีการพัฒนาไปอย่างมาก แต่ต้องรู้ไว้ว่าการทำรูช่องบนกำแพงตามใจชอบจะต้องถูกเนรเทศไปไกลถึงหมื่นพันลี้ แต่ตอนนี้พวกอู่โหวที่เดินไปเดินมาทำราวกับว่ามองไม่เห็น บางครั้งก็เอาหัวมุดเข้าไปเพื่อขอบะหมี่เย็นสักชาม


 


 


บนท้องถนนไม่โล่งอีกต่อไป ทั้งสองข้างทางถูกแขวนด้วยโคมไฟ บนโคมไฟได้เขียนชื่อร้านขนาดใหญ่ว่าเปี้ยนอี้ฟาง ดูเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมากภายใต้แสงสีแดงสลัว


 


 


กลิ่นหอมละมุนพัดผ่านมา เมื่อหันไปมองจึงได้พบว่ามีหญิงสาวใส่หมวกทรงแหลมเดินเรียงแถวผ่านมามากมาย เพียงแค่หันไปมองก็ถูกองครักษ์ร่างใหญ่เดินเข้ามาจัดการทันที พวกเขาถูกหลิวจิ้นเป่าผลักออกไป เมื่อเห็นว่าหลิวจิ้นเป่าดุร้ายใส่ตัวเองจึงได้เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ


 


 


เดินเข้าไปในตลาดทางด้านตะวันตก ฝูงชนเดินขวักไขว่กันไปมา แม้ว่าจะไม่ถึงขึ้นไหล่ชนกันแต่ก็มีคนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสายทีเดียว เด็กน้อยทั้งแปดคนถือขนมอยู่ในมือ เหมือนกระรอกน้อยที่เอาแต่กิน บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบขนม ทำเอาพวกผู้หญิงที่รักเด็กมองด้วยความเอ็นดู


 


 


พระภิกษุเดินถือบาตรมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา เสี่ยวยาผู้มีน้ำใจได้วางเหรียญทองแดงลงไปในบาตร เสี่ยวอู่ไม่ยอมจึงหยิบเหรียญคืนมาจากในบาตร แล้วนำขนมที่เหลือมอบให้แต่พระภิกษุ พระภิกษุไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงได้แต่อวยพรให้นายน้อยทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียน มีคู่สมรสที่ดี พรที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับได้รับความชื่นชมจากพวกเขา ทันใดนั้นในบาตรก็เต็มไปด้วยเหรียญ แม้แต่คนขี้เหนียวอย่างเสี่ยวอู่ก็ใส่ไปหนึ่งเหรียญ


 


 


เมื่อเห็นพระภิกษุ อวิ๋นเยี่ยก็คิดถึงพระภิกษุผู้แข็งแกร่งที่ถูกพระภิกษุนำตัวไป ทำไมจึงรีบกลับหลังจากที่อยู่ที่วัดเทียนจู๋เพียงสองปี ในประวัติศาสตร์เขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสิบห้าปี มันไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเขา หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจึงต้องรีบกลับมา แต่อย่างไรก็ขอให้เป็นข่าวดีแล้วกัน


 


 


“พี่อวิ๋น ท่านก็กินด้วยสิ” เสี่ยวยายื่นขนมเค้กหนึ่งชิ้นไปที่ปากของอวิ๋นเยี่ย อ้าปากกัดไปหนึ่งคำ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว กลิ่นหอมของนมคละคลุ้งอยู่ในปาก แป้งก็นุ่มหวานมีกลิ่นหอม เป็นขนมเค้กที่ไม่เลวเลย


 


 


เดินมาจนเหนื่อยแล้วจึงได้หยุดพักอยู่ที่ร้านเล็กๆ ชั่วคราว พวกเด็กๆ พากันถือนมเปรี้ยวเย็นไว้ไม่ยอมปล่อย ขวดโหลสีดำมันวับจนส่องเห็นใบหน้า บนปากขวดโหลมีก้านอ้อเสียบอยู่ วิธีการดื่มไม่ได้แตกต่างกับยุคปัจจุบัน


 


 


เสียงอันไพเราะของแตรไม้ไผ่ได้ดังขึ้นผสมผสานกับจังหวะของกลองเจี๋ยกู่ ชายสองคนที่สวมชุดหนังเริ่มเต้นที่หน้าประตูร้าน สะบัดไหล่ส่ายเอวหมุนเป็นวงกลม อวิ๋นเยี่ยมองท่าทางเหล่านี้รวมกันแล้วรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ แต่ชาวถังที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มที่คาดแถบสีแดงบนหน้าผากได้เต้นตามอยู่ด้านข้าง จนกระทั่งชาวหูเหล่านั้นคุกเข่าบนพื้นแล้วหมุนอย่างบ้าคลั่งเขาจึงได้หยุดเต้น การเต้นที่ใช้เข่าเคลื่อนไหวบนพื้นเป็นท่าทางที่ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะเลียนแบบได้


 


 


ผู้ชายเต้นยังพอทน ผู้หญิงขี้เหร่ผมสีน้ำตาลสี่คนปรากฏตัวในชุดที่เปิดหน้าท้อง ทำเอาคนรอบๆ พากันผิวปากถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนางต้องปิดจมูกก็ตาม เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะฟันสีเหลืองทั้งปากทำให้สะดุดตาอย่างมากเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟที่มีความสว่างนั่นเอง เอวของพวกนางไม่ได้เรียวเล็ก มีก้อนไขมันสะสมที่เอวเต็มไปหมด ดูไม่น่ามอง แต่ก็ยังมีคนน้ำลายไหลอยู่ อย่างเช่นหลิวจิ้นเป่าที่ยืนอยู่ข้างๆ


 


 


แต่ว่าพวกนางทุ่มเทเป็นอย่างมาก พยายามที่จะสั่นไขมันเหล่านั้นเหมือนสิงโตทะเลที่ร่างกายสามารถสั่นกระเพื่อมเป็นวงกลมได้ พยายามอดทนไม่ให้อาหารที่พึ่งกินเข้าไปอ้วกออกมา


 


 


เมื่อเต้นระบำเสร็จก็ยังมีหน้าถือกระปุกมาขอรางวัล ชาวถังมีความคิดที่เหมือนกัน เพียงครู่เดียวก็แตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงนางระบำไม่กี่คนที่กำลังทำความสะอาดสถานที่อย่างเศร้าใจ แขกต่างเดินทางมาไกลก็จริง และถึงแม้ว่าพวกนางจะเต้นได้ไม่สวยแต่ทำไปก็เพื่อประทังชีวิต เช่นนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่าเศร้าสลดหรอก อวิ๋นเยี่ยหยิบพวงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้เสี่ยวยา ให้นางตบรางวัลแก่นักเต้นที่น่าสงสารเหล่านั้น


 


 


เห็นหนุ่มน้อยเดินมาให้รางวัลสาวเต้นรำก็ต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทันที เสียงเหรียญดังกระทบกัน เสี่ยวยาโยนเหรียญลงไปในกระปุกแล้ว ทว่าก้นของกระปุกได้หลุดออกมา เหรียญทองแดงจึงตกลงไปที่พื้นกระจายอยู่สี่ห้าเหรียญ ชายชราที่เป็นหัวหน้าเอามือทาบที่หน้าอกของตัวเอง แสดงความนับถือเสี่ยวยาเป็นการขอบคุณที่ให้รางวัลแก่เขา


 


 


เสี่ยวยาเดินหน้าเชิดกลับไปที่นั่งของตัวเอง นักเต้นที่อายุน้อยที่สุดผูกเชือกสีเส้นเล็กๆ ไว้กับผมของเสี่ยวยา บ่นพึมพำออกมาหนึ่งประโยค คิดว่าน่าจะเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคล


 


 


คำเดียวที่จะมอบให้แก่บทเพลงที่ไม่ได้ถูกเรียบเรียงให้เรียบร้อยอย่างซิวซือคือคำว่ายุ่งเหยิง เลียนแบบเสียงต่างๆ ของธรรมชาติจากนั้นก็เอามาแสดงผ่านเครื่องดนตรี แต่แสดงออกมาได้ไม่ดี เสียงต่างๆ ผสมกันทำให้กลายเป็นเสียงที่หนวกหูไปแทน นอกจากจะทำให้บรรยากาศครึกครื้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์ในด้านอื่นอีก


 


 


พระจันทร์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวลดน้อยลง ไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรหรือไม่ ตอนที่หลิวจิ้นเป่าอุ้มตี๋เหรินเจี๋ยที่อายุน้อยที่สุดขึ้นมาและเตรียมที่จะผลักชายฉกรรจ์อยู่ตรงหน้าเพื่อเปิดทาง ก็ได้ไปโดนที่จมูกของเขา


 


 


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูเ**้ยมโหด เขาชักดาบออกมา พบว่ามีเด็กกำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของหลิวจิ้นเป่า จึงได้สบถออกมาเบาๆ ว่า “อยากตายหรืออย่างไร หากไม่ใช่เพราะเจ้ากำลังอุ้มเด็กอยู่ วันนี้เจ้าก็ต้องไปที่ศาลต้าหลี่แล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นต้วนหงมองมาที่ตัวเองเหมือนจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หันหลังอยากจะวิ่งหนี แต่ได้ยินเสียงของหลี่ซื่อหมินดังมาว่า “เราจำได้ว่าเจ้ายังอยู่ในช่วงถูกกักบริเวณ เราจำผิดหรือว่าเจ้าจงใจขัดคำสั่ง”


 


 


วิ่งหนีไม่ทันแล้วจึงหันกลับไปทำความเคารพคนตรงหน้า “กระหม่อมตั้งใจขัดคำสั่งเอง ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษ แต่ช่วยไว้หน้าข้าต่อหน้าเด็กๆ ด้วยเถิด”


 


 


“ศักดิ์ศรีของเจ้าสำคัญมากอย่างนั้นหรือ ศักดิ์ศรีของเราเคยถูกเจ้าทำลายไปหมดแล้ว ลิ้นของเฉิงเสวียนอิงถูกเจ้าตัดให้สุนัขกิน เจ้ายังจะให้เราเห็นแก่หน้าเจ้า ช่างไร้ยางอาย”


 


 


ข้างหลังหลี่ซื่อหมินยังมีกลุ่มหนุ่มสาวติดตามมา หลี่ไท่ยักคิ้วเยาะเย้ยอวิ๋นเยี่ย หลานหลิงสะบัดผมหยอกล้อเล่นกับเสี่ยวยา เพราะว่านางกับเสี่ยวยาแต่งตัวเหมือนกัน


 


 


จากนั้นจึงต้องเดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนหลี่ซื่อหมินต่อ ตลอดทางได้ยินคำพูดเสียดสี คำด่าไม่ว่างหู หนักสุดคือให้อวิ๋นเยี่ยจ่ายเงินให้เวลาลูกสาวของเขาซื้อของ ตอนที่หลานหลิงถือตุ๊กตาตัวใหญ่กว่านางมาให้อวิ๋นเยี่ยจ่ายเงินให้ หลี่ซื่อหมินยิ้มออกมา มองดูตลาดกลางคืนที่ครึกครื้นแล้วหันไปถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าการสั่งห้ามไม่ให้เดินทางตอนกลางคืนดีหรือไม่”


 


 


“ไม่ดีฝ่าบาท ผังเมืองฉางอันเดิมทีเตรียมไว้สำหรับทำสงคราม รูปแบบถนนทั้งแนวนอนและแนวตั้ง แท้จริงแล้วการจัดวางเช่นนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายกองทัพทหาร พื้นที่ฉางอันหนึ่งร้อยสิบตารางกิโลเมตรมีป้อมปราการหนึ่งร้อยสิบแห่ง ในฐานะเมืองทหารการวางผังเช่นนี้ถูกต้องแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นเมืองหลวง การวางผังเช่นนี้นั้นถือว่าไม่เหมาะสม กระหม่อมไม่กล้าจินตนาการว่าหากทหารของศัตรูมาถึงฉางอันจะมีจุดจบอย่างไร”


 


 


“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การจัดวางระเบียบเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของเมืองหลวง การสั่งห้ามไม่ให้เดินทางในตอนกลางคืนสามารถใช้ได้ในขอบเขตที่จำกัด แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรก็เปลี่ยนผังเมืองไม่ได้ ซ้ำยังต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม เจ้าบอกว่าฉางอันเป็นเมืองทหาร นั่นก็ไม่ผิด ต้าถังมีกองกำลังทหารทั้งหมดหกส่วนล้อมรอบเมืองฉางอัน ขนาดทำเช่นนี้ทหารของศัตรูก็ยังเข้าใกล้เมืองได้ ต่อให้ฉางอันแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ข้าถือว่าคนเป็นกำแพงเมือง ไม่ได้ถือว่ากำแพงเมืองที่สูงชันนั้นเป็นที่พึ่ง การใช้คนเป็นกำแพงจะทำให้ทุกอย่างคงอยู่ตลอดไป แต่การใช้เมืองเป็นที่พึ่งสักวันก็ย่อมมีวันร่วงโรย เรายังไม่เคยได้ยินเมืองที่ไม่มีวันล่มสลาย


 


 


เดิมทีเมืองลั่วหยางเจริญรุ่งเรือง แต่ด้วยกำลังทหารของเราทำให้หวังซื่อชงยอมจำนนมอบเมืองให้แต่โดยดี น่าเสียดาย ในตอนนี้เรายังพอมีแรงอยู่ แต่ไม่สามารถแสดงให้ใครเห็นได้ เสียดายจริงๆ”


 


 


ในยุคต่อมาจะมีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นกังวลเพราะว่าศัตรูของตัวเองตายไปหมดแล้ว ในเมื่อไม่มีศัตรู ก็สร้างศัตรูขึ้นมา มีเพียงการต่อสู้ที่ไม่วันสิ้นสุดจึงจะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังของตัวเองและคุณค่าของการดำรงอยู่ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่างก็เป็นผู้มีคุณธรรม เมื่อไม่มีศัตรูก็รู้สึกเบื่อหน่าย ตอนนี้หลี่ซื่อหมินก็รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขาจะเลิกเบื่อหน่ายหลังจากที่โจมตีจนเกาลี่พ่ายแพ้ไป



[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 44 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน

โชคร้ายจริงๆ แค่มาเดินตลาดก็ยังถูกหลี่ซื่อหมินจับได้ เมืองหลวงกว้างขนาดนี้แค่หลบเขาได้ก็เรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่ดันมาเจอฮ่องเต้จนได้ ดีที่หลี่ซื่อหมินยังพอไว้หน้าอยู่บ้างจึงตำหนิเมื่ออยู่ด้วยกันแค่สองคน ฟังหลี่ซื่อหมินพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของวีรบุรุษแห่งปี ก็เหมือนกับการทรมานที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง มีอยู่หลายจุดที่คิดไม่ออก ในตอนที่อยู่บนเกาะหัวเสือ ทั้งที่บริเวณไหล่ได้รับบาดเจ็บถูกค้อนทุบจนไหล่แตก ทว่าเขาก็ยังสามารถใช้หอกทำให้ศัตรูอยู่ใต้ม้าได้ ทั้งที่ขาของม้าถูกผู้อื่นใช้ดาบฟันไปหนึ่งข้าง ทว่าเขากลับยังสามารถขี่ม้าสามขาเข้ายึดธงไว้ได้


 


 


รู้ว่าเขาพูดเกินจริงเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยก็เคยทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน ตอนที่โดนปลาหวงฮวาตกใส่หัวจนเป็นลมก็กลับบอกไปว่าเป็นปลาฉลามตัวใหญ่ ดังนั้นจึงเข้าใจหลี่ซื่อหมินเป็นอย่างมาก เขาไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องไร้สาระมากนัก ต้องเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ต่อหน้าข้าราชบริพาร ต้องเป็นพ่อที่เข้มงวดต่อหน้าเหล่าองค์ชาย ต้องเป็นสามีผู้น่าหลงใหลต่อหน้าจั่งซุน แต่อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนมเขาจะเป็นอย่างไร หากรู้เข้าคงถูกหั่นแยกเป็นสองส่วน…


 


 


อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อหน้าเขาว่าคนที่อายุน้อยกว่านั้นสามารถทำได้ ส่วนคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันนั้นมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะทำได้เช่นนั้น สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือเด็กคนนี้มีทั้งความรู้ความเข้าใจ แน่นอนว่าการที่คุยโม้อยู่คนเดียวนั้นไม่เหมาะสม แต่จะมีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อมีผู้สนทนาถามตอบโต้เป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยถามรายละเอียด หลี่ซื่อหมินก็จะเตรียมพร้อมอย่างดีที่จะพูดถึงรายละเอียดในส่วนนั้น พูดคุยกันได้อย่างเข้าด้ายเข้าเข็มจนเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เมื่อเด็กๆ พากันหลับหมดแล้ว หลี่ซื่อหมินก็โบกมืออย่างสดชื่นเตรียมตัวกลับวัง เขาได้พึมพำพูดเบาๆ ในตอนท้ายว่าหากกล้าลักลอบเข้ามาในฉางอันอีกจะถูกตัดขา


 


 


หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างชื่นชม มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถคุยโม้กับเสด็จพ่อของเขาได้ เวลาที่เขาเห็นพ่อตัวเองทุกครั้งก็จะตัวสั่น ไม่เคยมีความกล้าเช่นนี้เลย…


 


 


“ชิงเชวี่ย เสด็จพ่อของเจ้าฆ่าศัตรูอย่างกล้าหาญบนม้าศึกสามขาได้อย่างไร” หลังจากที่ส่งฝ่าบาทไปแล้ว หลี่ไท่ที่กำลังจะกลับไปที่สำนักศึกษากับอวิ๋นเยี่ยก็ได้กลายเป็นที่ระบายของเขา


 


 


“ก็ไม่ได้มีอะไร ขนาดเจ้าถูกปลาฉลามน้ำหนักห้าร้อยกิโลหล่นจากฟ้าตกลงมาใส่หัวก็ยังไม่เป็นอะไร แล้วพ่อของข้าขี่ม้าศึกสามขาเข้าตีศัตรูมันแปลกตรงไหน”


 


 


“ก็จริง นี่คือศิลปะการสนทนาขั้นสูง คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเราก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แต่ว่าพ่อของเจ้ามาเดินตลาดทำไม ทำไมไม่ดื่มเหล้าดูระบำในวัง ทำเอาข้าถูกจับจนได้”


 


 


หลี่ไท่จีบปากจีบคอแล้วพูดว่า “หากเจ้าเก่งพอก็ลองเข้าไปยุ่งเรื่องการเสด็จของพ่อข้าดูสิ ราชวงศ์ที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็มีเยอะแยะ ตอนเด็กๆ ข้าชอบเดินตลาดอยู่ข้างหลังเสด็จพ่อ ฟังเขาเล่านิทานแปลกๆ เกี่ยวกับตลาดให้ฟัง ตอนนั้นข้าถือกังหันลมอยู่ในมือ อีกมือหนึ่งถือป๋องแป๋ง ในปากกัดพายเนื้อ เมื่อเดินจนเหนื่อยก็ให้เสด็จพ่ออุ้มข้า หากให้คนอื่นอุ้มข้าก็จะร้องไห้ ตอนนั้นพ่อของข้ายุ่งมาก เขาใส่ชุดเกราะมากกว่าใส่เสื้อผ้าปกติเสียอีก ช่วงเวลาที่จะได้เดินตลาดกับเสด็จพ่อนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นข้าจึงพยายามรักษาช่วงเวลานั้นอยู่เสมอ น่าเสียดายที่ข้าโตแล้ว เสด็จพ่ออุ้มข้าไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ย หากมีเวลาเจ้าก็เข้าเฝ้าเสด็จพ่อของข้าให้มากๆ การที่เจ้ากตัญญูต่อเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำเพราะเจ้าเป็นลูกเขย ข้าไม่เห็นเขามีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว”


 


 


หลี่ไท่กำลังพูดจาเหลวไหล ฮ่องเต้ถูกลิขิตให้เกิดมาโดดเดี่ยว เพราะธรรมชาติของมังกรถูกกำหนดให้มีนิสัยที่เห็นแก่ตัว เมื่อไฮยีน่าไม่มีอะไรทำก็วิ่งไปหามังกรด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เมื่ออารมณ์ดีก็จะเล่นกับเจ้า แต่เมื่ออารมณ์ไม่ดี จุดจบของไฮยีน่าก็คือการถูกถลกหนังมาใส่กรอบรูป


 


 


นอกจากจั่งซุนที่เป็นสัตว์ขนาดเท่ากันที่สามารถเข้าใกล้ได้แล้ว สัตว์อื่นๆ ต่อให้เป็นถึงช้างสุดท้ายก็เป็นได้แค่กองมูลของมังกร โดยเฉพาะมังกรยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางมังกรยักษ์อย่างหลี่ซื่อหมิน เพียงแค่จาม โลกมนุษย์ก็ปรากฏฝนฟ้ากระหน่ำ การหลีกเลี่ยงหนีห่างให้ไกลถือเป็นแผนการที่เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว


 


 


เด็กๆ หลับกันหมดแล้ว รถม้าคันเดียวไม่สามารถนอนกันได้หมดจึงต้องใช้รถม้าของหลี่ไท่ ทั้งสองนั่งอยู่บนเพลารถสนทนากันไปมา


 


 


“เรื่องดินปืนกำลังเป็นไปได้ด้วยดี คนที่ชื่อเซี่ยวชังเซิงฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว เขาสอนให้พวกทาสทำดินปืน เมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าได้ทดลองที่ภูเขาหนานซัน ภูเขาถล่มจนหินแตกกระจาย ประสิทธิภาพไม่ธรรมดา เสด็จพ่อพอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าของสิ่งนี้ไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่ มันระเบิดเองไปสามรอบ เหล่าทาสตายไปสิบสามคน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปทาสเหล่านี้ก็จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว”


 


 


“เดิมทีของสิ่งนี้ก็ไม่ปลอดภัย หากเจ้าอยากจะใช้ทางทหารอย่างไรก็หลีกเลี่ยงเรื่องความตายและการบาดเจ็บไม่ได้ สิ่งที่วิจัยออกมาเจ้าไม่ต้องบอกข้า ข้าไม่อยากฟัง แค่เจ้ารู้ก็พอแล้ว ระวังตัวด้วย”


 


 


“อวิ๋นเยี่ย สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เหมือนคนในครอบครัว ทำไมเจ้าถึงอยากจะแยกตัวเองออกจากตระกูลหลี่ หรือว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น”


 


 


“ชิงเชวี่ย โลกใบนี้มีลำดับชั้น ฝ่าบาทเมตตาข้า ข้าก็ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม จะบังอาจไปขออย่างไร้ยางอายไม่ได้ ฝ่าบาทต้องรักษาสถานะ เจ้าต้องรักษาสถานะ ข้าเองก็มีสถานะที่ต้องรักษา มีเพียงการรักษาสถานะเท่านั้นที่จะทำให้โลกใบนี้ยังคงดำเนินไปอย่างสงบสุข”


 


 


“เจ้าแอบขี้เกียจก็บอกมา ไม่ต้องเอาเรื่องอำนาจของกษัตริย์มาอ้าง ตอนนี้ข้าเบื่อเต็มทนที่จะต้องได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว จะคุยเรื่องความรู้กับเจ้า เจ้าก็เอาแต่พูดพล่าม หากไม่ยอมบอกสิ่งที่เจ้ารู้ให้แก่ข้าก็บอกข้ามาตรงๆ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการที่เจ้าแกล้งทำเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง ข้าพยายามทดลองไม่ได้หยุดหย่อน เปลืองงบประมาณแผ่นดิน สิ้นเปลืองชีวิตคน เจ้าทนดูได้หรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา ความรู้ที่ได้มาอย่างยากลำบากจึงจะเป็นความรู้ที่แท้จริง จนถึงตอนนี้หลี่ไท่ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ คิดอยากจะใช้ทางลัดเสมอ นี่คือปัญหาทั่วไปของคนฉลาด


 


 


หลี่ไท่สะกิดอวิ๋นเยี่ยสองที เห็นว่าเขาไม่พูดอะไรจึงรู้ว่าความปรารถนาไม่เกิดผลเสียแล้ว ถอนหายใจออกมา ทำได้เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ไปด้วยอยู่ในหัว คิดหาวิธีว่าจะพัฒนาพลังสูงสุดของดินปืนได้อย่างไรจากลักษณะเฉพาะของดินปืน


 


 


เมื่อถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งแปดคนขยี้ตาแล้วกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง เมื่อสั่งให้สาวใช้ดูแลพวกเขาให้ดี ตัวเองถึงได้กลับไปหลับที่ห้องหนังสืออย่างสบายใจ สำหรับคำขอที่จะขอพักที่นี่อย่างไม่มีเหตุผลของหลี่ไท่ได้ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แค่เดินไปอีกสักหน่อยก็กลับไปนอนที่หอเล็กๆ ของตัวเองได้แล้ว เขาจะได้ไม่ต้องถามคำถามโน่นคำถามนี่น่ารำคาญตลอดทั้งวัน


 


 


พึ่งจะนอนหลับไปได้ไม่นาน ซินเย่วก็เดินถือผ้าห่มเข้ามา ช่วงนี้มีเมฆมาก นางเป็นห่วงว่าสามีจะหนาว ได้ยินเสียงแกล้งนอนกรนจึงได้ดึงอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาอย่างไม่ปรานี


 


 


“ถอดเสื้อออกก่อนแล้วค่อยนอน คราวหลังต่อให้กลับมาดึกแค่ไหนก็ต้องกลับไปนอนที่ห้อง ไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนข้า จะมาแกล้งทำตัวน่าสงสารนอนขดอยู่ในห้องหนังสือทำไม”


 


 


สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการที่นอนแล้วแต่กลับถูกดึงขึ้นมาถอดเสื้อผ้า ให้ทำโน่นทำนี่ กว่าจะหาท่านอนที่สบายที่สุดได้ก็นอนไม่หลับเสียแล้ว


 


 


ถอดเสื้อผ้าใช่ไหม เช่นนั้นก็ถอดให้หมดเลย แม้แต่กางเกงข้างในก็ถอดให้หมดเลย แก้ผ้ารอนางจัดที่นอน ซินเย่วหันไปมองตาไม่กะพริบ ตีไปที่ก้นอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “น่าเกลียดขนาดนี้ ยังมีอะไรต้องอวด ไม่ได้ดูดีเหมือนลูกข้าเลย รีบใส่กางเกงเดี๋ยวนี้”


 


 


ผู้หญิงคนนี้ต้องโดนจัดการ ถอดเสื้อแล้วก็อย่าให้เสียเวลา จะถอดอีกสักรอบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ซินเย่วขัดขืนสุดฤทธิ์ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เขากลับถอดเสื้อผ้านางได้อย่างราบรื่นภายใต้การต่อต้านที่รุนแรง ใช้เวลาไม่นาน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเข้ารุก นางก็ยังรู้จักใช้พัดดับเทียน…


 


 


ในยามรุ่งสางคนลงทัณฑ์ยังคงหลับสนิทอยู่ ทว่าคนถูกลงทัณฑ์กลับลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ วันนี้เป็นวันเก็บค่าเช่า พวกชาวบ้านพากันเข้าแถวรอที่โกดังนานแล้ว เจ้าบ้านจะทำเรื่องขายหน้าไม่ได้ ต้องดูแลเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะถูกนินทาได้


 


 


นายทะเบียนเขตหลานเถียนมาหาแต่เช้า ตระกูลอวิ๋นเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่สุดในเขต เพียงแค่จัดเก็บภาษีของตระกูลอวิ๋นเสร็จสิ้น ภาษีสามในสิบส่วนของเมืองก็ได้รับการชำระแล้ว ทุกๆ ปีจะเก็บภาษีแรกจากตระกูลอวิ๋นจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


 


 


กระดานหมากรุกที่จัดทำพิเศษของตระกูลอวิ๋นวางไว้อยู่ข้างใต้ซุ้มองุ่น พร้อมกับกาน้ำชาหอมๆ นายทะเบียนกับเหล่าเฉียนเริ่มทะเลาะกัน ไม่แม้แต่จะดูการเก็บค่าเช่าด้วยซ้ำ เกรงว่าการเก็บค่าเช่าของตระกูลอวิ๋นคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด เด็กน้อยอายุหนึ่งขวบถือกระเป๋าผ้าอยู่ในมือ ผู้ดูแลและนักบัญชีพากันตะโกนดังลั่น เด็กน้อยเดินออกมาทิ้งถุงผ้าลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า


 


 


“ตระกูลข้าเช่าที่ดินสี่สิบหมู่ สองในสิบของการเก็บเกี่ยวต่อหมู่จะตกเป็นของเจ้าของที่ดิน ปีนี้ฝนดี ผลผลิตดี ที่ดินสี่สิบหมู่ของตระกูลข้าเก็บผลผลิตได้หนึ่งร้อยสิบเจ็ดตันและข้าวสาลีอีกสามกระสอบ พ่อข้าบอกว่าหากไม่ปัดเศษจะดูขี้เหนียวเกินไป ปีนี้จะจ่ายยี่สิบสี่ตัน เจ้านายจะได้เอาเงินไปเลี้ยงฮันฮัน ตามราคาในตลาดฉางอันหนึ่งกระสอบราคาสี่เหรียญสามตำลึง หนึ่งตันราคาสี่สิบเอ็ดเหรียญ พ่อข้านับตามราคาต่อหนึ่งกระสอบ หากนับตามราคาตันเจ้านายจะเสียเปรียบ ตระกูลของข้ารวมทั้งหมดเป็น…”


 


 


ยังไม่ทันได้คำนวณราคาก็ถูกผู้ดูแลถีบจนกระเด็นไปอีกทาง ตะคอกใส่เด็กน้อยว่า “ประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไป ไป หยิบขนมที่ไม่เคยกินในซุ้มด้านนอกกลับไปด้วยล่ะ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว หากช้าจะไปเข้าเรียนสาย ระวังจะโดนอาจารย์ตีเอา”


 


 


เด็กน้อยผู้น่าสงสารวิ่งไปที่ห้องบัญชีแต่ไม่ยอมประทับลายนิ้วมือ หยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงไปสามคำว่าจังเอ้อหนิวจากนั้นก็หยิบตะกร้าแล้ววิ่งอย่างดีใจไปที่ซุ้มเพื่อหยิบขนม ตอนนี้ไม่มีใครยอมนั่งยองๆ กินข้าวอยู่ใต้ซุ้มเพราะกลัวขายขี้หน้า ทั้งหมู่บ้านมีเพียงผู้ใหญ่บ้านคนเดียวที่ชอบนั่งยองๆ กินข้าว


 


 


เด็กในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีแต่คนฉลาด เมื่อมีบทเรียนให้เห็น คนต่อมาแต่ละคนก็จะรายงานจำนวนเลยทันที มองดูผู้ดูแลและนักบัญชีบันทึกเรียบร้อยแล้วก็หยิบพู่กันขึ้นมาลงชื่อ มีเด็กสองสามคนที่เขียนพู่กันได้ดี ผู้เขียนบัญชีมักจะลูบหัวเด็กด้วยรอยยิ้มแล้วชมว่าเป็นเด็กดี ในอนาคตจะต้องเป็นคนของสำนักศึกษาแน่นอน รีบไปหยิบขนม เด็กดีควรได้รับรางวัล หยิบไปเยอะๆ เลย


 


 


“เหล่าเฉียน บ้านเจ้าไม่เก็บเสบียงหรือ เท่าที่ข้าเห็นทำไมคนจ่ายค่าเช่ามีแต่เด็กๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำไมไม่เห็นมีผู้ใหญ่”


 


 


“ผู้ใหญ่จะมาทำอะไร ไม่รู้จักตัวหนังสือ คำนวณเลขก็ไม่ได้ ไม่ได้เก่งเหมือนเด็กเหล่านี้ แน่นอนว่าก็ต้องให้เด็กเป็นคนจ่ายค่าเช่า ข้าวสาลีของตระกูลข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่ได้รับมาจากศาลยุ้งฉาง ได้ผลผลิตสูงขึ้น แต่ทำอาหารพวกแป้งไม่ค่อยได้ บรรดาคนในหมู่บ้านพากันทิ้งข้าวสาลีของตัวเอง จากนั้นก็ซื้อข้าวสาลีที่อร่อยมาแทน แลกไปแลกมา ตอนนี้ทั้งบ้านก็มีข้าวสาลีแสนอร่อยไว้กิน ส่วนข้าวสาลีที่ไม่อร่อยก็ส่งไปให้คนในเมืองกิน ท่านโหวบอกว่าคนในเมืองนั้นอึดมาก ขนาดวางยาพิษก็ยังไม่ตาย”


 


 


นายทะเบียนอ้าปากกว้างอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก้มหน้ามองพื้นแล้วสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่ซื้อเสบียงอาหารในเมืองฉางอันอีก หยิบหมากรุกขึ้นมาด้วยความโกรธไปวางไว้ข้างหน้าระเบิด แล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ระเบิดหลังม้า”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)