เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 40-42

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 40 ของอร่อยมาแล้ว

 

จั่งซุนดื่มชาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ฝ่าบาทก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ตอนที่ข้าพูดเรื่องนี้กับเขา เขาก็บอกว่ายิ่งวุ่นวายยิ่งดี วุ่นวายช่วงแรกดีกว่ามาวุ่นวายช่วงท้าย วุ่นวายตอนนี้ดีกว่ามาวุ่นวายภายหลัง การมีศาสนาพุทธอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องดี การที่ลัทธิเต๋าอาละวาดเกินเหตุก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการหาจุดสมดุลในความวุ่นวายนี้”


 


 


“ที่ฝ่าบาทพูดก็มีเหตุผล ศาสนาต้องมีผู้นำจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ หากอำนาจศักดิ์ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจกษัตริย์ เมื่อถึงคราวนั้นท่านจะร้องไห้ไม่ออก”


 


 


“พวกเขากล้าอย่างนั้นรึ!” จั่งซุนขมวดคิ้วด้วยความโกรธ ตบลงไปที่พนักเก้าอี้หนึ่งที สมแล้วที่เป็นแม่ของแผ่นดิน เมื่อนางโกรธขึ้นมาทั้งห้องมีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียวที่ยังยืนอยู่ ที่เหลือต่างพากันหมอบหัวติดพื้นเหมือนนกกระทา


 


 


เสี่ยวอู่ที่เดินถือกาน้ำชาเข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี ถึงแม้ว่านางจะตกใจแล้วคุกเข่าลง แต่อวิ๋นเยี่ยเห็นว่านางกัดฟันเหมือนอยากจะลุกขึ้นมา นอกจากพ่อแม่และอาจารย์ที่นางเต็มใจยอมคุกเข่า แต่ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกอับอายที่ต้องคุกเข่าให้ผู้อื่น


 


 


ไม่ได้การแล้ว เจ้าเด็กโง่คนนี่คิดว่าจั่งซุนเป็นคนมีเมตตาอย่างนั้นหรือ อวิ๋นเยี่ยรีบเดินเข้าไปรับกาน้ำชามาจากเสี่ยวอู่ ให้คนอื่นๆ หลีกทางไปชั่วครู่


 


 


เสี่ยวอู่เดินออกมาท่ามกลางฝูงชนแล้วยังหันกลับไปมองจั่งซุนอยู่เรื่อยๆ นางอิจฉาความยิ่งใหญ่ของจั่งซุนเป็นอย่างมาก


 


 


“อวิ๋นเยี่ย ที่เจ้าบอกว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของกษัตริย์เป็นเรื่องจริงหรือ” จั่งซุนยังไม่เข้าใจว่าเหล่าพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าได้รับความเคารพมากกว่าราชวงศ์เสียอีก


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว มีบางประเทศที่ฮ่องเต้ต้องได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา ท่านว่าใครมีอำนาจมากกว่ากันล่ะ จักรพรรดิเหลียงอู่ถวายชีวิตแด่วัดถงไท่ถึงสี่ครั้ง เพราะว่าในยุคนั้นอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีมากกว่าอำนาจของกษัตริย์”


 


 


“คราวก่อนข้าวโพดที่เจ้าให้ชิงเชวี่ยนำเข้ามาในวังรสชาติดีมาก ฝ่าบาทโปรดมาก เหล่านางสนมก็ชอบ จั่งเล่อที่ปกติไม่ค่อยจะกินข้าวกลับชอบกินข้าวโพดเป็นอย่างมาก วันนี้ไปเก็บมาเยอะๆ หน่อย ข้าจะนำกลับไปด้วย ต่อจากนี้เจ้าห้ามแอบกิน เสบียงอาหารดีๆ เช่นนี้ต้องเหลือเมล็ดไว้เพาะปลูก”


 


 


“กระหม่อมจะให้คนไปเก็บเดี๋ยวนี้ เก็บมาให้หมดจะเหลือเมล็ดไว้ทำไม มันฝรั่งที่เป็นของดีขนาดนั้น ตอนนี้ก็เอาไปให้หมูกินเสียแล้ว”


 


 


คำพูดของอวิ๋นเยี่ยประโยคเดียวทำเอาจั่งซุนหัวเราะขึ้นมา เรื่องมันฝรั่งเป็นความคิดของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มีจั่งซุนเป็นหัวหน้า ผู้คนจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับมันฝรั่งขึ้นมา หากให้พวกเขาไปเฉยๆ พวกเขาก็จะไม่รักษาให้ดี แต่ถ้าหากให้ซื้อในราคาสูงพวกเขาก็จะรักษาเป็นอย่างดี นิสัยเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไม่ได้มีแค่ราษฎรทั่วไป เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ก็มีความเจ้าเล่ห์เช่นกัน สำหรับข้อโต้แย้งระหว่างพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าก็เป็นเรื่องวุ่นวายธรรมดา รอให้ผ่านพ้นไปสักพักก็คงสงบลง กล้าลองดีกับอำนาจของกษัตริย์หรือ เช่นนั้นก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด


 


 


“ปีหน้าจะปลูกมันฝรั่งให้มากขึ้นอีก คราวนี้เจ้าพอใจหรือยัง เจ้าจงตั้งใจปลูกข้าวโพดต่อไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนอื่นไม่สนใจก็ช่าง แค่ข้ากับฝ่าบาทสนใจก็พอแล้ว หากเจ้าอยากจะไปดูการร้องเพลงเต้นระบำที่ฉางอันก็แอบไปเอา อย่าให้ถูกเหล่าขุนนางจับได้ จริงสิ คนยิงธนูตอนกลางคืนในตระกูลเจ้าช่วยส่งมาคอยเฝ้าวังให้ข้าได้หรือไม่”


 


 


สำหรับคำขอนี้ของจั่งซุนให้ตายอย่างไรก็จะไม่รับปาก หากให้ซ่านอิงไปเฝ้าวังหลวงในตอนกลางคืน คนที่เขาอยากจะยิงให้ตายมากที่สุดก็คือหลี่ซื่อหมิน ครั้งที่แล้วยิงไม่ตายเขาก็เสียใจเป็นอย่างมาก หากได้เจอกันอีกครั้ง ไม่แน่ความคิดที่อยากจะฆ่าฝ่าบาทอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้


 


 


“เห็นทีว่าจะไม่ได้ เขาเป็นแค่หัวขโมยคนหนึ่ง น้องสาวข้าก็ถูกเขาขโมยไปแล้ว หากให้ไปเฝ้าวังหลวงแล้วขโมยองค์หญิงไปสองคนข้าจะเดือดร้อนเอา เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าเด็กนี่คิดอยากจะเป็นโจร หากไม่ใช่เพราะข้าห้ามไว้ ไม่แน่เขาอาจจะยึดภูเขาลูกหนึ่งและทำเรื่องในด้านมืดให้แก่กษัตริย์”


 


 


จั่งซุนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยหลอกนางจึงพูดเสียดสีอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าช่างเป็นคนใจคอคับแคบ ตอนที่เจ้าขอให้อู๋เสอมาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาข้าก็ตอบตกลงแล้ว แค่อยากจะได้คนของเจ้าทำไมมันยากเย็นนัก ในวังหลวงมีคนแบบนี้เยอะจะตาย ในค่ายทหารก็ไม่รู้มีนักแม่นธนูอยู่เท่าไหร่ที่รอเข้าวังมาเป็นทหารยาม การที่ข้าขอคนของเจ้าก็ถือว่าช่วยเชิดหน้าชูตาให้แก่ตระกูลเจ้า ยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีก”


 


 


ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ใครๆ ก็ดูแววตาออกว่านางกำลังเสียดาย ด่าว่าอวิ๋นเยี่ยมาตลอดทางที่เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมาถึงด้านนอกก็ได้หวนกลับมาเป็นฮองเฮาผู้ใจดีอีกหน จูงมือท่านย่าพร้อมกับแสดงความยินดี และยังชมซินเย่วว่าเป็นคนขยัน แม้แต่น่ารื่อมู่ก็ยังได้รับปิ่นปักผมจากนาง อุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนมาดูแล้วอวยพรให้เป็นสิริมงคล ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจความยิ่งใหญ่ของฮองเฮาแต่ก็ยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันด้วย รักษาระยะห่างได้กำลังดี เรื่องนี้นางเชี่ยวชาญไม่มีใครเทียบเทียม


 


 


นางหยิบข้าวโพดที่องครักษ์ประจำตระกูลอวิ๋นเก็บกลับมาพร้อมกับพูดชื่นชม จากนั้นก็นำขบวนใหญ่กลับไปที่ฉางอัน เสี่ยวอู่ชะเง้อคอมองจนลับสายตาจึงได้กลับเข้าบ้าน พึ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบว่าอวิ๋นเยี่ยมองมาที่นางแล้วหัวเราะ นางหน้าแดงขึ้นมา เตรียมตัวจะเดินหนีอาจารย์กลับไปยังส่วนหลังบ้าน


 


 


“เจ้าชอบความอลังการเช่นนี้หรือ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกกดขี่ กัดฟันจนฟันจะแตกอยู่แล้ว ในอนาคตอยากจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้หรือไม่ ข้ากับรัชทายาทมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากจะเป็นพระชายาของรัชทายาทก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เขามีภรรยาไปแล้วสองคน หากเจ้าแต่งเข้าไปอย่างดีก็เป็นได้แค่ภรรยาที่สาม หากเจ้าไม่พอใจในตำแหน่งนี้ เจ้าก็กำจัดผู้หญิงสองคนที่ตำแหน่งเหนือเจ้าได้ แต่ไม่แน่ลำดับขั้นตอนอาจจะเต็มไปด้วยคาวเลือด ฆ่าคนที่ขวางทางเจ้าให้หมด เจ้าถึงจะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮา แต่ไม่แน่ว่าในขั้นตอนนี้หากเจ้าไม่ทันระวังก็อาจจะถูกคนอื่นกำจัดได้เช่นกัน”


 


 


เสี่ยวอู่มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อาจารย์ ข้าแค่ชื่นชอบความรู้สึกที่มีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่ไม่ได้ชอบฆ่าคน เพราะว่าท่านไม่ชอบ ซือซือไม่ชอบ เสี่ยวตี๋ไม่ชอบ เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาก็ไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นเสี่ยวอู่ก็เลยไม่ชอบด้วย ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง ต่อให้เสี่ยวอู่ตายก็จะไม่เป็นภรรยารองใคร แม่ข้าไม่มีความสุขที่ต้องเป็นภรรยารอง แล้วใครจะอยากไปเป็นภรรยารอง พระสนมของฮ่องเต้ข้ายังไม่อยากเป็นนับประสาอะไรกับรัชทายาท”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะ ตัวเองพยายามปลูกฝังความภาคภูมิใจในตัวเองให้แก่เสี่ยวอู่มาโดยตลอด คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า และจะไม่ทำเรื่องขายหน้า เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีคือช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุด จากมุมมองของสุขอนามัยทางสรีระ ช่วงนี้หน้าอกจะเริ่มโตขึ้น และจะมีประจำเดือนเร็วๆ นี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือด้านความคิด นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่จะมีมุมมองที่ดีที่สุดในชีวิต


 


 


การทำให้เสี่ยวอู่ภาคภูมิใจในตัวเองในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมาของเสี่ยวอู่คือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของนาง ควรจะเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความอัปยศอดสูไว้แต่เนิ่นๆ การที่ต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายที่ข่มเหงนาง นางจึงต้องรีบเรียนรู้การใช้กลอุบาย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วเพราะมีอวิ๋นเยี่ยคอยปกป้อง ทำให้ความภาคภูมิใจในตัวของนางถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ นำความฉลาดมาใช้ในการเรียนรู้เพื่อเป็นผู้นำนักปราชญ์ในสำนักศึกษารุ่นต่อไป อวิ๋นเยี่ยหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นเสี่ยวอู่ มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้นถึงจะผลักดันสำนักศึกษาให้ไปสู่จุดสูงสุดได้ แต่ว่าก็กังวลว่านางจะพาเหล่าลูกศิษย์สำนักศึกษาไปก่อกบฏ ทำให้เขายังคงลังเลอยู่มาก


 


 


“อาจารย์ ท่านก็ไม่ได้อยากให้ข้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ใช่หรือไม่ ท่านไม่อนุญาตให้ข้าติดต่อกับองค์ชายเหล่านั้น มิเช่นนั้นเมื่อข้าเติบโตขึ้นข้าก็จะอยากแต่งงานกับองค์ชายผู้โง่เขลาเหล่านั้น”


 


 


เสี่ยวอู่และอวิ๋นเยี่ยมักจะพูดกันตรงๆ เสมอ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางกำลังพูดความจริง เมื่อหลี่ไท่ได้พบนางเขาก็มักจะพูดถึงนางเสมอ ความฉลาดของเสี่ยวอู่ทำให้เขาประทับใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำหนักของหลี่ไท่ก็จะวุ่นวายเหมือนตำหนักหลังของหลี่จื้อ ตอนนี้พึ่งจะสิบเอ็ดขวบก็รู้จักบริหารเสน่ห์ของตัวเองแล้ว หากภายหลังโตขึ้นกว่านี้ล่ะก็ พระเจ้า บูเช็กเทียนคือคนที่อาศัยความงามเพื่อสร้างรากฐานให้แก่ตระกูล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งงานกับหลี่ไท่ แต่ด้วยระดับปัญญาอย่างหลี่อั้นและหลี่โย่วคงต้องถูกยั่วยวนจนละลายกลายเป็นโคลนอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอู่ยังได้รับประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่ไม่เคยมีมาก่อนจากตัวเองอีกด้วย และยังได้รับความรู้มากมายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษกันแน่


 


 


“เจ้าเลิกภูมิใจในเรื่องนี้ได้แล้ว เจ้าช่วยหาหนุ่มรูปงามที่มีความรู้มาเป็นคู่ครองไม่ได้หรือ ทำไมต้องเป็นคนในราชวงศ์ด้วย หากเจ้าเข้าวังหลวง วันนั้นก็คือจุดจบของพระสนมเหล่านั้น” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวสาวน้อยอย่างเอ็นดู


 


 


“หนุ่มรูปงาม? ท่านหมายถึงลักษณะแบบนั้นหรือ” นิ้วชี้ไปที่ลานกว้างพร้อมกับทำท่าทางเหมือนจะอาเจียนออกมา


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยหันไปมองก็พบว่าเชิ่นซินวิ่งออกมาที่ลานกว้าง ถือกระจกสีทองเล็กๆ ยืนเขียนคิ้วอยู่ใต้แสงอาทิตย์ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้สึกอยากอาเจียนเช่นกัน อาจารย์และลูกศิษย์จับมือพากันวิ่งหนีไป สถานการณ์ตรงหน้าชวนให้ขนลุก มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนที่ดวงตาลุกเป็นไฟอยากจะเข้าหาเชิ่นซิน


 


 


เมื่อมาถึงข้างป่าไผ่ เสี่ยวอู่หยุดวิ่งแล้วหันมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่า “ถ้าหากในโลกนี้ยังมีผู้ชายอย่างอาจารย์ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกข้าก็จะแต่งงานกับเขา”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก บนโลกนี้ไม่มีใครที่จะเหมือนกันได้ทุกอย่าง เจ้าอยากแต่งกับข้าก็พูดมา ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เจ้าไปหาคนรักใหม่จะดีกว่า ตอนนี้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณข้าจึงคิดว่าข้าเป็นคนที่ดีที่สุด เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีจะไปรู้อะไร เจ้ามีชีวิตของเจ้า อาจารย์ก็มีชีวิตของอาจารย์ จุดเกี่ยวข้องโชคชะตาชีวิตของพวกเราคืออาจารย์และลูกศิษย์ หากเจ้าพูดแบบนี้กับอาจารย์ท่านอื่นจะทำให้เคืองใจ มีเพียงคนอย่างข้าเท่านั้นที่จะยอมให้เจ้าพูดเรื่องไร้สาระได้ รอเมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะพบว่าความคิดของตัวเองนั้นตลกแค่ไหน ตอนนี้กลับไปอาบน้ำ นอนหลับพักผ่อนแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ วันหลังก็ไม่ต้องพูดถึงอีก เพราะนี่เป็นการดูหมิ่นอาจารย์แล้วก็ดูหมิ่นตัวเจ้าเองด้วย”


 


 


เสี่ยวอู่ตอบรับอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ววิ่งออกไป อวิ๋นเยี่ยปาดเหงื่อที่ท้ายทอย น่ากลัวเกินไปแล้ว คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะอยากแต่งกับเจ้า หากแต่งกับเจ้าไปชีวิตก็คงไม่มีวันสงบสุขแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยส่ายหัวโยนความคิดนี้ออกไปให้ไกล ภายใต้ความสวยงามของเสี่ยวอู่เหมือนมีไทแรนโนซอรัสที่สามารถกินคนได้โดยไม่คายกระดูก น่ากลัวกว่าถูกปีศาจถลกหนังเสียอีก ใครจะชอบกอดไทแรนโนซอรัสนอน คนผู้นั้นคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!


 


 


หลังจากที่จั่งซุนไปแล้ว จวนตระกูลอวิ๋นก็เงียบสงบลงทันที ไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนอีก บนหลังคาก็ไม่มีสายลับเกาะติดเหมือนหมัด ทำให้ซ่านอิงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก วันนี้เขาได้เตรียมลูกธนูฟันหมาป่าไว้เป็นพิเศษ ว่ากันว่ามีอนุภาพทำลายล้างสูง ดื่มเหล้าที่ลานกว้างกับเหล่าเจียงทั้งคืนก็ไม่มีใครมา ช่างโชคร้ายเสียจริง


 


 


เมื่อเลขบนป้ายหน้าประตูบ้านตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนเป็นเลขหนึ่ง มีนักบวชลัทธิเต๋าใส่ชุดสีเขียวคนหนึ่งมาที่ประตูหน้าบ้านตระกูลอวิ๋นพร้อมกับส่งบัตรเชิญมาให้หนึ่งใบ จากนั้นก็เดินไปทางขึ้นยอดเขาอวี้ซันอย่างช้าๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูเป็นกันเอง ที่หลังยังแบกดาบที่นักปราชญ์มักจะพกติดตัว พู่ของกระบี่กระทบบนไหล่ ทุกครั้งที่ย่างก้าวก็จะแกว่งไปมาเบาๆ พู่ของกระบี่นี้เป็นสีทอง…


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองดูบัตรเชิญก็ยิ้มออกมา ทว่าสายตากลับดูเย็นชาจนทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นได้ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงพาซ่านอิงไปที่ยอดเขา ข้างหลังยังมีสุนัขที่แลบลิ้นน้ำลายไหลอีกหนึ่งตัว มันรู้ดีว่าวันนี้จะได้กินของอร่อย

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 41 ลิ้นวิเศษ

 

ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบันก็มักจะชอบคุยกันบนโต๊ะอาหารเสมอ ที่ศาลารับลมบนยอดเขามีโต๊ะอยู่สองตัว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะมากมายของฉางอัน มีเนื้อย่างต่างๆ แล้วยังมีอาหารของตระกูลอวิ๋นที่ทำโดยร้านอาหารตระกูลเฉิง ในไหสีดำขลับเป็นเหล้าชั้นสูงของตระกูลอวิ๋น มีชายฉกรรจ์อยู่นอกศาลากำลังย่างแกะหนึ่งตัวอยู่ ทำเอาทั้งภูเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศ อวิ๋นเยี่ยเกลียดกลิ่นนี้เป็นอย่างมาก แต่ซ่านอิงกลับชอบกลิ่นนี้เป็นที่สุด 


 


 


หลังจากที่กองทัพเรือหลิ่งหนานกลับมาที่ฉางอัน ราคาของเครื่องเทศก็ถูกลง ตอนนี้แม้แต่ครอบครัวเล็กๆ ของชาวบ้านธรรมดาก็มีเครื่องเทศไว้หมักเนื้อ ถ้าหากบ้านใครไม่มีกลิ่นเครื่องเทศ คนเขาจะคิดว่าบ้านนั้นใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีคนกินเครื่องเทศเยอะขึ้น ดูเหมือนว่าจะทำให้ราคาขึ้นอีกแล้ว ทุกคนต่างรอคอยการกลับมาครั้งถัดไปของกองทัพเรือหลิ่งหนานเพื่อที่จะซื้อกักตุนไว้เล็กน้อยตอนลดราคา ตัวเองจะได้ไม่ต้องกินเนื้อปลาโดยที่ไม่มีเครื่องเทศ เพื่อนบ้านจะได้ไม่มองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยคิดมาเสมอว่ารสชาติของอาหารจะถูกทำลายด้วยเครื่องเทศ อาหารหลายร้อยรสชาติเมื่อใส่เครื่องเทศก็ทำให้กลายเป็นรสเดียวกันหมด กลิ่นหอมแต่รสชาติไม่อร่อย ส่วนที่บ้านนั้นซินเย่วพยายามแกล้งเป็นคนรวยอยู่สองวัน สุดท้ายเด็กสาวบางคนถึงกับร้องไห้ไม่ยอมกินข้าว ไม่รู้จะทำอย่างไร ตระกูลอวิ๋นจึงได้กลับมาสู่ยุคกินง่ายอยู่ง่ายอีกครั้ง 


 


 


เมื่อมองดูนักบวชเต๋าหนุ่มหน้าศาลาที่กำลังทำความเคารพพระพุทธรูป อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร สุนัขสีน้ำตาลที่อยู่ด้านหลังก็เห่านักบวชเต๋าผู้นั้นเสียแล้ว หมอกอันเยือกเย็นที่บดบังดวงตาของนักบวชลัทธิเต๋าได้หายวับไปทันที่ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ยินชื่อเสียงของอวิ๋นโหวมานานแล้ว แต่ข้ากับเจ้าไม่เคยได้คุยกันจริงจังเลยสักครั้ง ทำให้วันนี้เกิดการเข้าใจผิด โชคชะตาช่างตลกเสียจริง ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว วันนี้ยังพอมีเวลา ข้าอยากจะขออนุญาตอวิ๋นโหวขอให้ข้าได้ลองลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ไม่เคยได้กินมาก่อนจะได้หรือไม่ เพื่อที่ข้าจะได้มีความทรงจำเก็บไว้บ้าง” 


 


 


“หากเจ้าสามารถทำให้เด็กเหล่านั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ข้าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนลงมือทำอาหารร้อยจานให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้ลิ้มรสความอร่อย และข้าก็จะคุกเข่าขออภัยเจ้าด้วย” 


 


 


ชายรูปงามมักจะไม่ใช่คนดี อย่างน้อยคนที่อวิ๋นเยี่ยพบเจอส่วนใหญ่หากไม่ใช่พวกหลงใหลในกามก็เป็นพวกโรคจิต หลี่เค่อที่อายุยังน้อยแต่กลับมีนางสนมสิบกว่าคน หลี่ไท่ที่อายุน้อยกว่าไม่กี่เดือนตอนนี้ก็มีภรรยาแล้วหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเชิ่นซิน เจ้าหมาน้อยนั้นได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ขันที ตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่มีท่าทีแปลกๆ รู้จักมาขอสบู่อาบน้ำจากอวิ๋นเยี่ยแล้วทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาก็อาบน้ำในแม่น้ำแล้วใช้ทรายขัดตัว หากนักบวชเต๋าที่อยู่ตรงหน้าถอดเสื้อคลุมออกเขาก็เป็นคุณชายดีๆ นี่เอง นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ 


 


 


เฉิงเสวียนอิงไม่ได้แก้ตัวต่อ เขาผายมือเชิญให้อวิ๋นเยี่ยนั่งลง ซ่านอิงนั่งอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ย สูดดมกลิ่นอาหารแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาหารไม่ได้มีปัญหาอะไร ”ซ่านอิงพูดเสียงดังมาก เมื่อเฉิงเสวียนอิงได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “อวิ๋นโหวสบายใจได้ อาหารในวันนี้ปรุงโดยพ่อครัวชื่อดังที่ข้าเชิญมาจากฉางอัน คิดว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไร” 


 


 


“ข้าเชื่อใจพ่อครัวแต่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า คนที่โยนเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรลงทะเลได้ก็ไม่แปลกที่จะวางยาพิษ” 


 


 


“อวิ๋นโหวฟังแค่คำบอกเล่าแล้วก็มาถือโทษข้า เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ” 


 


 


“เฉิงเสวียนอิง อย่าให้ข้าต้องดูถูกเจ้า รายงานของหน่วยสืบราชการลับได้พิสูจน์ว่าเจ้าทำเรื่องนี้จริง ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ เจ้าต้องการจับลูกของตงอวี๋ไปสังเวยราชามังกรทะเล แต่ตงอวี๋ไม่ยอม เอาแต่ตะโกนว่าเจ้าเป็นปีศาจ สุดท้ายเขาจึงเสียลิ้นไป ตอนนั้นเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ อย่าบอกว่านี่เป็นเรื่องไม่จริง” 


 


 


เฉิงเสวียนอิงหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ชายผู้นั้นชื่อตงอวี๋หรือ ข้าปล่อยลูกของเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไม่เขาจึงยังโกรธแค้นข้าเช่นนี้” 


 


 


“เจ้าจากบ้านมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าความรักของคนในครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร หากมีคนทำกับลูกข้าเช่นนี้ ต่อให้ต้องขึ้นเขาลงห้วยข้าก็จะจับเขามาทุบให้แหลกเป็นหมื่นๆ ชิ้น ตงอวี๋เห็นเจ้าที่ฉางอัน หากไม่ใช่เพราะเขาบอก แล้วข้าเองก็ไปตรวจสอบข้อมูลหน่วยสืบราชการลับก็คงจะไม่รู้เลยว่าคนอย่างเจ้านั้นจิตใจโหดเ**้ยมถึงเพียงนี้” 


 


 


เฉิงเสวียนอิงหัวเราะขึ้นมา ยกจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โลกนี้ช่างซับซ้อน ไม่สามารถแยกถูกและผิดได้ อวิ๋นโหว เมื่อได้รับชัยชนะจนเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาที่จะตัดลิ้นให้สุนัขกินแล้ว เจ้ากวาดล้างตระกูลโต้วภายในวันเดียวเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียว ตอนนี้เจ้าก็อยากจะได้ลิ้นของข้าเพื่อเด็กไร้เดียงสาเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นโทษที่เบาแล้ว ข้าจะไม่พอใจได้อย่างไร” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยกจอกเหล้าขึ้นมาคำนับเฉิงเสวียนอิง อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ การแสดงความเคารพก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว 


 


 


เหล้าแรงมาก เมื่อกลืนลงไปก็เหมือนมีไฟไหลจากลำคอลงสู่ท้อง ลมหนาวที่พัดมาบนยอดเขาก็ได้สลายไปในทันที คนสามคนที่ศาลาไม่มีใครพูดอะไร เมื่อกินอาหารได้สองสามคำก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาคำนับซึ่งกันและกัน หากผู้ใดที่ไม่รู้สาเหตุ เมื่อมาถึงที่นี่จะต้องคิดว่าสามคนนี้เป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานกำลังดื่มเหล้า 


 


 


ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง เฉิงเสวียนอิงก็หยิบดาบมาจากด้านหลังของตัวเอง ดึงเล่มดาบออกมาส่วนหนึ่งแล้วใช้นิ้วลูบที่คมมีดด้วยความถะนุถนอม หันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดาบเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ ข้าฝึกดาบกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุสิบห้าปีได้สำเร็จการศึกษา เวลาที่ข้าท่องโลกดาบเล่มนี้ก็ได้ดื่มเลือดจากคอโจรชั่วร้าย เคยตัดหัวคนร้ายที่ไร้ยางอาย อวิ๋นโหว ดาบเล่มนี้ไม่เคยดูหมิ่นคำสอนของอาจารย์เลย เจ้าเชื่อหรือไม่” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยโยนซี่โครงแกะที่อยู่ในมือทิ้งไป พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “เชื่อ เพราะว่าข้าพบว่านอกจากเจ้าจะชอบโยนเด็กลงทะเลแล้ว แต่ในด้านอื่นๆ เจ้าสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างแท้จริง เจ้าบอกว่าดาบเล่มนี้ได้กระทำความยุติธรรม เช่นนั้นก็ถือว่าไม่ผิดแน่นอน” 


 


 


เฉิงเสวียนอิงพยักหน้าพร้อมกับขอบคุณอวิ๋นเยี่ย แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “สำนักเต๋าของข้าไม่เคยใช้คนเป็นเครื่องสังเวย หากถูกจับได้ไม่เพียงแค่จะถูกคนยุติธรรมอย่างอวิ๋นโหวตามล่า แม้แต่คนในสำนักเต๋าเองก็จะไม่ปล่อยไว้เช่นกัน การกำจัดคนในสำนักนั้นเป็นเรื่องปกติ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเกาหัว เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก คนที่ใช้คนเป็นมาบูชาให้กับประวัติศาสตร์จะเป็นพระอาจารย์ซีหวาได้อย่างไร ในตอนแรกที่อวิ๋นเยี่ยโกรธหยวนเทียนกังก็เป็นเพราะเหตุนี้ คิดว่าหยวนเทียนกังกำลังปกป้องฆาตกรชั่วร้าย แต่ดูแล้วตอนนี้เหมือนว่าจะมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ไม่สิ ไม่ว่าเขาจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ แต่ที่เด็กๆ ตายก็เป็นเพราะเขา แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่ปกติ แต่อย่างไรผู้ร้ายก็คือเขา ยิ่งไปกว่านั้นปีหน้าก็ยังคงจะมีเด็กที่ถูกจับโยนลงทะเล ความชั่วร้ายได้กลายเป็นนิสัยติดตัวเขาไปเสียแล้ว สุดท้ายก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจหากไม่ได้โยนเด็กลงทะเลในทุกๆ ปี เมื่อถึงตอนนั้นก็ยากที่จะหยุดแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ถือว่ามากไปหากจะเอาลิ้นของเฉิงเสวียนอิง 


 


 


เห็นความเยือกเย็นในดวงตาของอวิ๋นเยี่ย ความหวังสุดท้ายของเฉิงเสวียนอิงได้ดับลง ถอนหายใจแล้วหยิบมีดเล็กหนึ่งด้ามที่มีลวดลายสวยงามออกมาจากแขนเสื้อ มีดกระทบแสงแวววับดูแหลมคมเป็นอย่างมาก หยิบน้ำตาลทรายจากในถ้วยที่อยู่บนโต๊ะใส่เข้าไปในปากแล้วลิ้มรสชาติของมัน เมื่อกินน้ำตาลเสร็จแล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อข้าแยกรสชาติทั้งห้าออก ข้าก็ได้ค้นพบว่าปลายลิ้นไวต่อรสหวานมากที่สุด ดังนั้นข้าจะใช้ความหวานชดเชยให้กับเด็กคนแรกที่ตายไป ไม่ว่าอย่างไรทั้งหมดก็เป็นความผิดข้า” 


 


 


หลังจากพูดเสร็จก็หยิบมีดขึ้นมาแล้วตัดปลายลิ้นตัวเองอย่างระมัดระวัง วางไว้ในจาน ไม่ได้สนใจเลือดที่ออกจากปาก หยิบพู่กันมาเขียนลงบนกระดาษว่า “ข้าจะใช้รสเค็มเพื่อชดใช้ให้เด็กคนที่สองที่ตายไป”หลังจากที่ให้อวิ๋นเยี่ยดูแล้วเขาก็หยิบมีดขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ ตัดขอบลิ้นของตัวเองอย่างระมัดระวัง วางไว้ในจานที่สอง 


 


 


หลังจากบ้วนเลือดก้อนใหญ่ออกมา เขานำพู่กันจุ่มเลือดแล้วเขียนประโยคที่สาม “ข้าจะใช้รสเปรี้ยวชดใช้ให้แก่เด็กคนที่สามที่ตายไป” ก่อนจะวางกระดาษลงแล้วตัดลิ้นด้านในออกมาวางไว้ในจานที่สาม 


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองดูการกระทำของเฉิงเสวียนอิงอย่างเย็นชาโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย หากตกใจเพราะเลือดแค่นี้ก็คงจะใจเสาะเกินไป ซ่านอิงที่อยู่ข้างๆ ก็ดูจะไม่สนใจอะไร เมื่อได้ยินความรู้ใหม่ก็เอาแต่ใช้ตะเกียบจุ่มเครื่องปรุงต่างๆ แล้ววางลงบนลิ้น ทดสอบดูว่าสิ่งที่เฉิงเสวียนอิงพูดนั้นจริงหรือไม่ 


 


 


เฉิงเสวียนอิงที่เจ็บปวดพยายามที่จะแลบลิ้นส่วนที่เหลือแล้วใช้มีดตัดออกมา อวิ๋นเยี่ยมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาตัดจนถึงด้านในสุด สั้นยิ่งกว่าลิ้นของตงอวี๋เสียอีก 


 


 


ตอนนี้เฉิงเสวียนอิงเหมือนกับคนญี่ปุ่นที่หลังจากถูกตัดลิ้นแต่ก็ยังคงรักษาความสง่างามไว้ พยายามทำให้มือของตัวเองไม่สั่น มองไม่เห็นความยุ่งเหยิงบนตัวอักษรที่เขียนไว้ “ข้าได้ใช้รสขมชดใช้ให้แก่เด็กคนที่สี่ที่ตายไป อวิ๋นโหว เจ้าพอใจหรือยัง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า หยิบขาแกะครึ่งท่อนที่อยู่บนโต๊ะไปให้สุนัขด้านหลังที่กำลังรอกินของอร่อย มองดูสุนัขกัดขาแกะอย่างสะใจ ปรบมือแล้วพูดว่า “สมกับเป็นลูกผู้ชาย ข้าจะไม่เอาลิ้นเจ้าให้สุนัขกินแล้ว ใช้ขาแกะท่อนนั้นแทน เรื่องนี้ถือว่าจบลงแล้ว มีบางเรื่องไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่ เจ้าให้หยวนเทียนกังมาหาข้าที่บ้าน ข้าจะบอกเขาเองว่าเกิดอะไรขึ้น การที่ตัดลิ้นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หากวันนี้เจ้าไม่มา ข้าก็จะไปยืนรอที่หน้าประตูสำนักเต๋าแทน” 


 


 


เฉิงเสวียนอิงบ้วนเลือดออกมาอีกครั้ง หยิบขี้เถ้าหญ้าเตรียมจะเอาใส่ปากเพื่อห้ามเลือด แม้ว่าจะดูเหมือนเจ็บปวด แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มอยู่ พยายามอยู่สองครั้งไม่สำเร็จจึงได้ล้มเลิกไป ผายมือทำท่าทางส่งแขก ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้านี่ไม่เคยบกพร่องเรื่องมารยาท 


 


 


พึ่งจะออกมาจากศาลาก็ได้ยินเสียงของเฉิงเสวียนอิงที่เจ็บปวดจนเอาหัวชนเสา อวิ๋นเยี่ยที่พึ่งชิมสมุนไพรหวงเหลียนที่อยู่ด้านข้างพูดกับซ่านอิงในขณะที่ความขมของสมุนไพรหวงเหลียนยังอยู่ในปาก “เจ้าช่วยเรียนรู้จากเขาหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร ขนาดถูกตัดลิ้นก็ยังมีมารยาท เลิกปีนกำแพงบ้านข้าได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าชอบต้ายา ข้าก็ไม่ได้ห้าม แต่เจ้าเดินเข้าประตูใหญ่ไม่ได้หรือ เรื่องดีๆ ก็ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องลักขโมย” 


 


 


ซ่านอิงไม่ได้พูดอะไร น้ำลายไหลเต็มปาก เอาแต่ดึงแขนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยบอกเป็นเชิงให้เขามองไปด้านหน้า เห็นนักบวชลัทธิเต๋าแปดคนนั่งอยู่พื้นที่โล่งใต้ศาลา ทุกคนพกดาบ มองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หยวนเทียนกังที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดว่า “อวิ๋นโหว เฉิงเสวียนอิงได้ทำตามทุกอย่างที่เจ้าขอแล้ว หากเจ้าไม่ปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ วันนี้เจ้าก็อยู่ที่เขาอวี้ซันนี่แหละ พวกข้าไม่ได้ต้องการอะไรมาก ขอแค่เจ้าชดใช้ลิ้นให้แก่เฉิงเสวียนอิงก็พอ” 


 


 


“เหล่าหยวน เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้าอยากได้คือลิ้นของข้า ไม่ได้อยากรู้ว่าศาสนาพุทธกำลังทำอะไร ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ว่าพระอวี้หลินมาที่บ้านข้าเมื่อห้าวันก่อน เขาได้รู้ความลับของข้าแล้ว ตอนนี้ไม่แน่อาจกำลังทำการช่วยเหลือ พวกเจ้ามาช้าไปสี่วัน แน่ใจว่าเจ้าต้องการลิ้น ไม่ได้อยากรู้เรื่องความลับนั้นหรอกหรือ” 


 


 


หยวนเทียนกังขนหัวลุก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีท่าทีสนใจ แถมสุนัขน้ำตาลที่อยู่ข้างหลังยังคงเลียปากไม่หยุด จึงทำให้เขาตกใจวิ่งออกไป 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 42 พระภิกษุในเมฆหมอก

 

นักบวชลัทธิเต๋าผมหงอกได้หยุดหยวนเทียนกังไว้ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เจ้าได้บรรลุเป้าหมายในการดูหมิ่นลัทธิเต๋าแล้ว เช่นนั้นก็บอกพวกเรามาว่าเรื่องแบบไหนที่มีค่าพอสำหรับลิ้นของเฉิงเสวียนอิง”


 


 


“อันที่จริงข้าควรจะเอามือหนึ่งข้างของพวกเจ้าทั้งแปดคนมาด้วย ข่าวนี้ได้มาในราคาสูง ลิ้นของเฉิงเสวียนอิงได้ชดใช้บาปของตัวเอง ลิ้นของคนลัทธิเต๋านั้นมีค่า ข้าชดใช้ให้ไม่ไหว น่าเสียดายที่คนอย่างข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ มีท้องใหญ่แค่ไหนก็กินข้าวเข้าไปมากเท่านั้น ยังดีที่ข้ายังกินข้าวชามนี้ของลัทธิเต๋าได้ เหล่าหยวน อย่างไรโลกใบนี้ก็ต้องมีคนโง่เขลาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครให้ช่วยเหลือ”


 


 


นักบวชลัทธิเต๋าสองสามคนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับชักดาบออกมา หยวนเทียนกังมองไปที่อวิ๋นเยี่ยที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก แล้วหันไปมองซ่านอิงที่อยากจะลองใช้ดาบ พยายามระงับความโกรธไว้แล้วถามว่า“บอกเรื่องนั้นกับข้ามา”


 


 


รู้ว่าเหล่าหยวนลำบากใจมาก อวิ๋นเยี่ยจึงไม่แกล้งพวกเขาอีกต่อไป หยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หยวนเทียนกัง หยวนเทียนกังเปิดดูกระดาษแผ่นนั้น ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เสวียนจั้งคือใคร การกลับมาของเขาสำคัญมากเลยหรือ”


 


 


จากคำพูดเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยสามารถรู้ได้เลยว่าลัทธิเต๋านั้นเย่อหยิ่งและโง่เขลาเพียงใด เดินมือไขว้หลังไปที่ขอบหน้าผาสองก้าว นี่คือที่ที่พวกนอกรีดในสำนักศึกษากระโดดลงจากหน้าผาโดยมีร่มชูชีพอยู่ข้างหลัง เพียงมองดูเมฆหมอกด้านล่างก็รู้ได้ว่าลูกศิษย์เหล่านั้นบ้าระห่ำแค่ไหน เมิ่งปู้ถงกำลังทุกข์ทรมานในการดิ้นรนให้ตนเองมีคุณสมบัติในการเกณฑ์ทหาร ไม่รู้ว่าเขายังคงมีความกล้าที่จะกระโดดหน้าผาหรือไม่


 


 


“อวิ๋นเยี่ย ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีวันเชื่อคำพูดโง่ๆ เหล่านั้น แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องบอกข้าว่าทำไมเวลาที่เขากลับมาจึงเป็นเวลาที่ลัทธิเต๋าของข้าต้องล่มสลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี เจ้าต้องถึงขั้นทำลายมิตรภาพเชียวหรือ”


 


 


“คนเจ้าเล่ห์ ตอนนี้รู้จักพูดเรื่องมิตรภาพกับข้าแล้วหรือ หลายปีมานี้ลัทธิเต๋าผ่านทุกอย่างมาได้ราบรื่นเกินไป แต่ละคนนอกจากหลอกหาเงินจากชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องแล้วก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก เสวียนจั้งเป็นใครน่ะหรือ


 


 


เขาคือคนที่เดินทางไปไกลถึงสองหมื่นลี้จนไปถึงเทียนจู๋แหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา และเป็นพระภิกษุที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากที่นั่น ได้แสดงธรรมให้พระภิกษุที่นั่นอย่างนับไม่ถ้วน นั่งบนขบวนช้างเผือก มีผู้ศรัทธามากมายนับไม่ถ้วน ได้นำคำสอนโบราณมากมายกลับมา เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระศาสดาในแผ่นดินของเรา


 


 


ในพิธีไว้อาลัย พวกเจ้าสามารถจัดทำพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าจะจัดการพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมอย่างเสวียนจั้งได้อย่างไร การเดินทางหนึ่งหมื่นลี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพากเพียรแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง พระภิกษุที่ได้แสดงธรรมที่เทียนจู๋นั่นแสดงให้เห็นถึงปัญญาที่ยิ่งใหญ่ การนำพระคัมภีร์ดั้งเดิมกลับมาก็เพื่อจะให้พรแก่สามัญชน ในบรรดาพวกเจ้ามีเฉิงเสวียนอิงอยู่ ซึ่งคนอย่างเขาที่โยนเด็กลงทะเล เจ้าคิดว่าลัทธิเต๋าจะมีสวัสดิภาพที่ดีในอนาคตได้อย่างไร


 


 


ข้าอุตส่าห์ไว้หน้า อยากจะช่วยเหลือพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคิดว่าข้ามีแผนการร้าย ชักดาบออกมาคิดจะทำอะไร แทงข้าหรือ พวกเจ้ากล้าอย่างนั้นหรือ เฉิงเสวียนอิงต้องไปที่ทะเลตะวันออกเพื่อล้างบาปของเขาเท่านั้น หากข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่โยนเด็กลงทะเล พวกเจ้าก็จะคิดว่านี่คือการทำบุญครั้งใหญ่ จากนั้นก็กลับมาใช้ลิ้นของตัวเองพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อได้พบกับเสวียนจั้งอีกครั้งก็อ้างโน่นอ้างนี่ไป หากอ้างไม่ได้ก็แกล้งทำเป็นใบ้ พวกเจ้าถนัดเรื่องการหลอกลวงอยู่แล้ว คงจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี”


 


 


“มีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ เหตุใดในฉางอันจึงไม่มีคนรู้เรื่อง” นักบวชลัทธิเต๋าทั้งแปดคนมองหน้ากัน อย่างไรก็ปิดบังความกลัวของตัวเองไม่ได้ มีเพียงหยวนเทียนกังที่เอ่ยปากถาม


 


 


“เหล่าหยวน หากภายภาคหน้าไม่มีข้าวกินก็มาที่จวนตระกูลอวิ๋นได้ ข้าจะสร้างวัดเต๋าเล็กๆ ให้เจ้า สำหรับมิตรภาพที่มีมาหลายปีข้ายังพอจะดูแลเรื่องอาหารการกินของอาจารย์และลูกศิษย์ในสำนักเจ้าได้”


 


 


พูดจบก็เดินชนนักบวชลัทธิเต๋าที่ยืนขวางทางอย่างไร้มารยาท เดินฝ่ากลุ่มของพวกเขาออกมา ซ่านอิงหัวเราะแล้วกระโดดขึ้นไปบนกิ่งต้นสนที่สูงเหนือหัว จากนั้นก็กระโดดข้ามหัวของนักบวชลัทธิเต๋าแล้วตามอวิ๋นเยี่ยไป สุนัขน้ำตาลตัวใหญ่เห็นว่าเจ้าของเดินไปแล้วก็วิ่งลอดเป้ากางเกงของนักบวชลัทธิเต๋า กระดิกหางวิ่งลงภูเขาหวังว่าจะได้เจอของอร่อย


 


 


บรรดานักบวชลัทธิเต๋าพากันถอนหายใจ แล้วรีบเดินไปที่ศาลารับลม ตอนนี้ชีวิตของเฉิงเสวียนอิงสำคัญที่สุด


 


 


เมฆและหมอกได้ล้อมรอบบนภูเขาเหมือนกับเขตแดนสวรรค์ ในหนึ่งปีมีเพียงไม่กี่วันที่ภูเขาอวี้ซันจะไม่มีเมฆหมอก น่าแปลกที่เมฆหมอกจะล้อมรอบบนยอดเขาเท่านั้น เหมือนวงแหวนเมฆขนาดใหญ่บนภูเขา ธรรมชาติของฉางอันที่พึ่งจะฟื้นฟู ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่าภูเขาอวี้ซันล้อมรอบไปด้วยหมอก ซึ่งโด่งดังพอๆ กับสะพานแม่น้ำป้าเปี๋ยหลิว


 


 


เขาชอบสะพานและภูเขาเป็นที่สุด เมฆหมอกไม่สูงไม่ต่ำกำลังล้อมรอบเอวพอดี ราวบันไดสีแดงที่พึ่งซ่อมแซมใหม่ได้ปรากฏอยู่ระหว่างเมฆและหมอก อวิ๋นเยี่ยและซ่านอิงเหมือนเทพเซียนเถิงอวิ๋นขี่หมอก ใช้มือพัดหมอกอย่างมีความสุข มองดูพวกมันลอยอยู่รอบๆ ตัวช่างดูสง่างามเป็นอย่างมาก เจ้าสุนัขสีน้ำตาลวิ่งลุยเมฆแล้วพยายามยื่นหัวให้สูงพ้นหมอกเพื่อที่จะเข้าใกล้เจ้าของมากกว่านี้


 


 


“อมิตาพุทธ เหตุใดอวิ๋นโหวจึงมีความสุขเช่นนี้ หรือว่าเมื่อเห็นศาสนาพุทธเสื่อมลงอวิ๋นโหวจึงได้มีความสุข” ลมพัดผ่านเบาๆ ศีรษะที่ไร้เส้นผมได้ปรากฏขึ้นในหมู่เมฆหมอก ดูท่าทางแล้วเหมือนเต้าซิ่น จีวรสีเทาของเขาเปียกชื้นเพราะเมฆหมอก หัวที่ไร้เส้นผมเต็มไปด้วยหยดน้ำ คิ้วยาวสีขาวก็เต็มไปด้วยหยดน้ำ ไม่รู้ว่าพระภิกษุเฒ่านั่งอยู่ในกลุ่มเมฆหมอกมานานเท่าไหร่แล้ว


 


 


“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงแค่ต้องการลิ้นของเฉิงเสวียนอิงเพื่อให้ทุกอย่างสมเหตุสมผลเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงต้องขอยืมความลับทางศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีความเมตตา คิดว่าคงจะไม่ถือสา”


 


 


“สามปีมาแล้ว ศาสนาพุทธได้ปกปิดเรื่องของเสวียนจั้งมาสามปีแล้ว แต่ในวินาทีสุดท้ายก็ถูกอวิ๋นโหวพูดออกมา เหตุใดอวิ๋นโหวจึงไม่ช่วยพวกเราปิดบังเรื่องนี้ วันนี้เจ้าได้ทำให้เหตุมันเกิดขึ้น ในอนาคตก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย”


 


 


พระภิกษุเฒ่าปากคอเราะร้าย ดูเหมือนว่าอยากจะเอาคืนในภายหลัง แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ตกใจกับเรื่องนี้ เขาเดินมาแล้วก็คิดจะนั่งอยู่ข้างหน้านักบวช แต่พอเห็นลานหินนั้นเปียกชื้นจึงคิดว่ายืนจะดีกว่า


 


 


“ยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธคือสมัยของจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ มีบทกวีกล่าวไว้ว่า ‘วัดโบราณสี่ร้อยแปดสิบแห่งหลงเหลืออยู่ในราชวงศ์หนาน หอคอยจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปกคลุมไปด้วยลม หมอก และฝน ดินแดนกระสุนแห่งเจียงหนานมีวัดอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพัน พวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะภาคภูมิใจที่สามารถทำให้จักรพรรดิสละตนได้ถึงสี่ครั้ง พวกเจ้าเป็นแบบอย่างในประวัติศาสตร์พันปีของจักรพรรดิ คนที่เชื่อจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ พวกเจ้ากลับยืนดูเขาหิวตายทั้งเป็น พวกเจ้าช่างจิตใจเย็นชาเหลือเกิน พวกเจ้ายังจะต้องการให้ผู้อื่นนับถืออีกหรือ


 


 


ดูสิว่าพวกเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง ผู้ที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินคือสำนักพุทธศาสนา คนที่เก็บดอกเบี้ยแพงที่สุดก็คือสำนักพุทธศาสนา คนที่มีเงินมากที่สุดก็คือครัวในสำนักพุทธศาสนาของเจ้า เจ้าบอกว่าข้าทำผิดแผนของสำนักพุทธศาสนา ในภายภาคหน้าจะต้องตกนรกขุมที่สิบแปดหรือไม่ หากในภายภาคหน้าข้าต้องตกนรก แล้วตอนนี้เจ้าจะกังวลไปทำไม เพียงแค่รอเวลาที่ข้าต้องรับกรรมก็พอแล้ว ที่เจ้ามานั่งท่ามกลางหมอกจนเปียกชื้นเพราะต้องการได้รับความเห็นใจ? หรือต้องการใช้ความเศร้าเพื่อเอาชนะ ท่านพระภิกษุ ข้าทำเรื่องต่างๆ ลงไปเองย่อมขึ้นอยู่กับข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก คำแนะนำทางด้านจิตใจนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นแต่ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าหรอก”


 


 


เต้าซิ่นค่อยๆ ยืนขึ้น ร่างผอมบางดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น อวิ๋นเยี่ยพูดต่อไปว่า “ข้ารับผิดชอบในการพูด แต่หากเจ้าอยากลงไม้ลงมือก็ให้ไปหาเขา เขาถนัดเรื่องนี้ เขามักจะเสียใจที่บนโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของเขาอีกต่อไป มันทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว” อวิ๋นเยี่ยพูดในขณะที่รีบเดินไปหลบอยู่ข้างหลังซ่านอิง พระภิกษุเฒ่าผู้นี้น่ากลัวมาก น่ากลัวยิ่งกว่าภิกษุเฒ่าถานอิ้นที่อยู่บนภูเขาไม่จีเสียอีก


 


 


ซ่านอิงพอใจกับคำประจบประแจงของอวิ๋นเยี่ยเมื่อครู่ก่อนเป็นอย่างมาก ยกกำปั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ยบอกว่าฌานหนึ่งดรรชนีของเจ้าสามารถทำลายก้อนหินได้ ทรงพลังเป็นอย่างมาก กำปั้นของข้าก็ถือว่าไม่เลว ก็สามารถทำให้หินธรรมดาหักได้เช่นกัน วันนี้เรามาดูกันว่าฌานหนึ่งดรรชนีของเจ้ากับพลังของหมัดข้าอะไรจะเก่งกว่ากัน”


 


 


เต้าซิ่นมองอวิ๋นเยี่ยที่หลบอยู่หลังซ่านอิงอย่างแปลกใจ พูดด้วยความสงสัยว่า “ฌานหนึ่งดรรชนีเป็นคำสอนอย่างหนึ่งทางพุทธศาสนา มันกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ศิลปะการต่อสู้ของอาตมาก็เป็นเพียงการฝึกฝนเตะต่อยเล็กน้อย บนโลกใบนี้จะมีฌานหนึ่งดรรชนีของกังฟูได้อย่างไร”


 


 


ซ่านอิงถามอย่างสงสัยว่า “เช่นนั้นแล้วเก้าเอี้ยงจินเก็ง สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร วิชาพลังคางคก ดัชนีเอกสุริยัน บทเพลงคลื่นทะเลหยก ไม้เท้าตีสุนัข เจ้าไม่เคยได้ยินศิลปะการต่อสู้เหล่านี้หรอกหรือ”


 


 


เต้าซิ่นคิดอย่างละเอียดแล้วพูดกับซ่านอิงว่า “ไม่มี ไม่เคยได้ยินมาก่อน ศิลปะการต่อสู้เป็นเพียงผลของการต่อสู้ของกล้ามเนื้อและกระดูก จะมีศิลปะการต่อสู้ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว” ซ่านอิงตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธเคือง ตอนที่เขาดื่มเหล้ากับอวิ๋นเยี่ย ระหว่างการสนทนาอวิ๋นเยี่ยได้พูดถึงศิลปะการต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใส ฟังดูชื่อก็เหมือนจะเป็นเรื่องจริงว่านี่คือแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้ แต่ตอนนี้แม้แต่พระภิกษุเฒ่าผู้เก่าแก่ที่สุดก็ยังไม่เคยได้ยิน แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคิดขึ้นมาเอง ทำเอาตัวเองนิ้วหักเพราะต้องการจะฝึกฝนวิชาดัชนีนิ้วดีด


 


 


เด็กหนุ่มที่ถูกหลอกได้หายไปในเมฆหมอก เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย พระภิกษุ และสุนัขน้ำตาลที่เปียกชื้นไปทั้งตัว


 


 


อวิ๋นเยี่ยเกาคางแล้วพูดกับเต้าซิ่นว่า “วันนี้คงจะต่อสู้กันไม่ได้แล้ว เรามาพูดถึงความคับข้องใจของสำนักพุทธศาสนาของเจ้ากับลัทธิเต๋าดีกว่า”


 


 


เต้าซิ่นหันหลังแล้วเดินจากไป เมฆหมอกกระจายไปทั่ว ได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล “เจ้ามันคนเจ้าเล่ห์ ทำเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อความสนุก ฉางอันเงียบสงบมากเกินไปทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบาย เมื่อถูกฝ่าบาทกักบริเวณก็คิดจะสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วอาตมาจะดูว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”


 


 


บนภูเขาเหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยและสุนัขน้ำตาล อวิ๋นเยียลูบที่หัวสุนัข ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย ผิวปากแล้วเดินลงเขา แม้ว่าชายเสื้อจะเปียกโชก แต่ว่าก็ไม่ได้ลดอารมณ์แห่งความสุนทรีย์ของเขาเลยสักนิด


 


 


พูดถึงจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ หากเต้าซิ่นยังไม่เข้าใจเรื่องความขัดแย้งระหว่างอำนาจศักดิ์สิทธิ์กับอำนาจกษัตริย์ก็ถือว่าใช้ชีวิตในช่วงอายุสิบแปดปีได้อย่างเปล่าประโยชน์ หลี่ซื่อหมินไม่ใช่จักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ หากฝุ่นเข้าตาเพียงเล็กน้อยแล้วส่งผลต่อการมองเห็น เขาก็จะควักดวงตาของตัวเองโดยไม่ลังเล ทำลายล้างจุดที่เป็นเหตุ ต่อให้จักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ขี่ธนูไฟก็ตามไม่ทัน


 


 


ความจริงแล้วศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋านั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หลี่ซื่อหมินผู้ที่รักในความเท่าเทียมมาโดยตลอดได้นั่งอยู่ในความมืดดูการต่อสู้ของทั้งสองสำนัก หากมีหนึ่งในสองสำนักเป็นใหญ่ เขาก็จะมอบไม้ให้แก่ฝ่ายที่แข็งแรงน้อยกว่า หลังจากที่ลากเข้าไปในความมืดแล้วตีไม่ยั้ง เมื่อทั้งสองฝ่ายมีอำนาจเท่ากันค่อยปล่อยออกมา รักษาภาพลักษณ์ที่สงบสุขต่อไป รอครั้งต่อไปที่จะตีผู้ที่เอาชนะได้


 


 


จนมาถึงตอนนี้ โลกได้รักษาความสมดุลเป็นอย่างดี ขุนนางมีอำนาจ ราษฎรมีความซื่อสัตย์ พ่อของแผ่นดินมีความเมตตา ลูกๆ มีความกตัญญู ช่างเป็นภาพที่สวยงาม แต่ว่ามักจะมีไฮยีน่าที่น่าเกลียดวิ่งอยู่ข้างนอกเสมอ ทำให้หลี่ซื่อหมินรู้สึกปวดหัว หากจะตีขาเขาก็รู้สึกปวดใจ หากไม่ตี มันก็มักจะวิ่งไปรอบๆ เพื่อแสดงถึงการมีอยู่ของตัวเอง ดังนั้นจึงสั่งห้ามไม่ให้เข้าฉางอันสามเดือน เมื่อไม่ได้เห็นก็จะไม่กลุ้มใจเท่าไหร่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)