เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 36-37
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 36 ความน้อยใจของตี๋เหรินเจี๋ย
อวิ๋นเยี่ยมองดูเด็กน้อยที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความประหลาดใจ นี่คือตี๋เหรินเจี๋ยที่ว่ากันว่าตัดสินคดีราวกับเทพเจ้าหรือ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะต้องมีอีกกี่คนที่ถูกใส่ร้ายจนตาย
ผลผลิตของวันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว เหรียญเงินสี่อันในอ้อมแขนหนักจนทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ ต่อไปไม่มีอะไรทำต้องพาวั่งไฉออกมาเดินเล่นบ่อยๆ แล้วแหละ แล้วก็อย่าใส่เสื้อผ้าไหมหรือผ้าซาติน ใส่แค่เสื้อผ้าลินินก็พอ คราวหน้าต้องคลุกดินเพิ่มอีกสักหน่อยด้วย ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนโง่มันช่างวิเศษจริงๆ
ม่านรถเปิดออก ฮูหยินที่อายุไม่ถึงสามสิบพูดอะไรบางอย่างกับสาวใช้ สาวใช้คนนั้นก็กระโดดออกจากรถม้าและถามอวิ๋นเยี่ยอย่างมีมารยาท “พี่ใหญ่ท่านนี้ ตรงนี้ห่างจากสำนักศึกษาอวี้ซันไกลแค่ไหน”
นางถามมาดีๆ แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยจะเสียมารยาทได้อย่างไร ถึงแม้ว่าปากวงกลมสีดำของตัวเองจะน่าตลก แต่สาวใช้ก็พยายามไม่หัวเราะออกมา พอจะดูออกว่านางได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“ไม่ไกลนัก อยู่ในภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เจ้าข้ามตลาดและเดินไปตามถนนหินก็ถึงสำนักศึกษาแล้ว ระวังไว้ด้วย เข้าไปในซุ้มประตูแล้วไม่อนุญาตให้ขี่ม้า ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นด่าเอาได้”
วั่งไฉชอบกลิ่นของดอกกุ้ยฮวาเป็นที่สุด และสาวใช้ก็ใส่น้ำมันดอกกุ้ยฮวา ดังนั้นวั่งไฉจึงใช้ลิ้นเลียหน้าสาวใช้ไปสักทีหนึ่งคงไม่เป็นอะไร สาวใช้ของตระกูลอวิ๋นก็มีแค่ไม่กี่คนที่ยังไม่ถูกมันเลีย เลียแล้วก็ไม่เป็นอะไร อย่างมากก็แค่ถูกพวกนางด่าแค่นั้น
สาวใช้ของตระกูลตี๋ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางกรี๊ดและกระโดดกลับเข้าไปในรถม้า ทำเอาองครักษ์ต่างพากันหัวเราะ โดยเฉพาะตี๋เหรินเจี๋ยที่หัวเราะอย่างมีความสุขที่สุด
ในเมื่อบอกแล้วว่าขี่ม้าไม่ได้ เหล่าองครักษ์ก็พากันลงจากหลังม้า จูงม้าข้ามซุ้มประตูไปยังหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ตี๋เหรินเจี๋ยอิจฉาอวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉที่เอาแต่กินเมล็ดงาไม่หยุด แต่เปลือกของเมล็ดงามันแข็งมากจริงๆ มือเล็กๆ ของเขาไม่กล้าถู อวิ๋นเยี่ยหยิบเมล็ดงาออกมาและสอนเขาว่า “เจ้าดูนี่ หยิบมันออกมา ทำให้มันนุ่มก่อน ยอดของมันก็จะแตก เมล็ดงาก็จะหลุดออกมา แล้วค่อยเอาเปลือกมันทิ้ง ถูสีขาวๆ ของเมล็ดงาออกมา เช่นนี้ก็กินได้แล้ว”
ตี๋เหรินเจี๋ยถูออกมาอันหนึ่งอย่างชอบอกชอบใจ ถึงแม้ว่าเมล็ดงาที่หลุดออกไปจะเยอะกว่าในมือ แต่เด็กคนนี้ก็เอาให้แม่ของเขาชิมอย่างตื่นเต้น เช่นนี้จู่ๆ ก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกดีกับเด็กคนนี้
หยิบเปลือกที่ตี๋เหรินเจี๋ยทิ้งขึ้นมา เอาใส่ลงในตะกร้าบนหลังของวั่งไฉ บนถนนหินนั้นสะอาดสะอ้าน หากมีขยะแค่ชิ้นเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน ตี๋เหรินเจี๋ยกระโดดเข้ามา ยังเคี้ยวเมล็ดงาอยู่ในปาก ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะไม่ได้กิน
จำนวนคนที่กินเมล็ดงาดิบเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เหล่าองครักษ์เห็นว่าน่าสนใจ พวกเขาก็หยิบเมล็ดงาจากตะกร้ามาถูกิน ผ่านไปไม่นาน คนที่มีปากสีดำก็ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ยและวั่งไฉแล้ว มีเพิ่มขึ้นอีกห้าคน จากซุ้มประตูมาถึงตลาดยังต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ในช่วงเวลาสั้นๆ อวิ๋นเยี่ยและตี๋เหรินเจี๋ยก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปแล้ว
“พี่อวิ๋น หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้ามีคนนามสกุลอวิ๋นเยอะเหรอ เจ้ารู้จักหัวหน้าของพวกเจ้าหรือไม่ อวิ๋นโหวไง ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ฉลาดเท่าข้าหรือไม่ เมื่อครู่ข้าเป็นคนดูออกว่าเขาแย่งม้าของเจ้า”
“เจ้าดูออกได้เช่นไร หากใส่ร้ายเขาไปจะทำอย่างไรล่ะ”
“ข้าไม่มีทางใส่ร้ายคนอื่น พ่อข้าเคยบอกไว้ว่า ทุกอย่างในโลกล้วนแต่มีบริบทที่ถูกต้อง วั่งไฉสนิทกับเจ้าขนาดนี้ แต่กลับรุนแรงกับคนพวกนั้น สัตว์ก็มีความรู้สึกเช่นกัน ใครดีกับมัน ใครร้ายกับมัน มันรู้ดี แค่วั่งไฉไม่ทำร้ายเจ้า สนิทกับเจ้านั่นก็หมายความว่ามันเป็นของเจ้า ไม่มีทางมีความเป็นไปได้อื่น แล้วอีกอย่าง คนพวกนั้นหน้าตาน่ารังเกียจ หากพวกเขาไม่ใช่คนเลวแล้วใครเป็นคนเลว”
“มีเหตุผล ต่อไปเจอเรื่องอะไรก็ให้จัดการแบบนี้ ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นยอดฝีมือการตัดสินคดีอย่างแน่นอน”
ตี๋เหรินเจี๋ยได้รับคำชม เขาถูมือและถามว่า “อวิ๋นโหวก็ตัดสินคดีแบบนี้เหรอ ลุงซินบอกว่าลูกเขยของเขาชาญฉลาด ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบได้ เขายังบอกด้วยว่าข้าค่อนข้างเหมือนเขา จริงหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้ ที่จริงแล้วอวิ๋นเยี่ยเป็นคนโง่ เขามักจะถูกคนอื่นเล่นงานอยู่เสมอ คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านล้วนแต่บอกว่าเขาเป็นจอมล้างผลาญ เจ้าอย่าเลียนแบบเขาเด็ดขาด เหล่าอาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจางและอาจารย์หลีสือของสำนักศึกษาคือคนฉลาดที่แท้จริง อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่คนสารเลวที่ใช้ชีวิตไปวันๆ คนทั้งฉางอันบอกแบบนี้”
“ไม่ใช่” ตี๋เหรินเจี๋ยหน้าแดง กระโดดขึ้นมาตะโกนตอบโต้อวิ๋นเยี่ย “อวิ๋นโหวรู้จักม้า ทำเตาเหล็ก ทำเตาหิน แล้วเขายังรู้จักไป๋อวี้จิง เขาวางแผนทำลายแคว้นหนานจ้าว ออกสำรวจดินแดนรกร้าง โจมตีแคว้นมากมายนับไม่ถ้วน ขนส่งเสบียงอาหารนับล้านตัน จับวาฬยักษ์ แก้ไขปัญหาความอดอยากในดินแดนเหอเป่ย สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงที่พี่ชวีจั๋วบอกอีกว่าอวิ๋นโหวยังมีความรู้เกี่ยวกับคณิต หลักการ และเรขาคณิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักศึกษา เขารีบออกจากสำนักศึกษาเพราะอะไรก็ไม่รู้ ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง”
คำพูดของเด็กนั้นเรียบง่ายเป็นที่สุด เขามีเหตุผลที่ชอบอวิ๋นเยี่ย ชายหนุ่มอายุน้อยที่มีความสามารถ แน่นอนว่าต้องมีผลกระทบกับเด็กมากกว่าคนที่ต้องทนลำบากมาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะมีชื่อเสียง แต่คำชมเชยเหล่านี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยถึงกับรู้สึกเขินอาย แต่หากเด็กคนนี้รู้ว่าผู้ชายปากสีดำที่อยู่ข้างเขาคนนี้คือไอดอลของเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะทำร้ายจิตใจเขาหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้ทำร้ายตี๋เหรินเจี๋ย แต่วั่งไฉก็เริ่มทำร้ายก่อนแล้ว ที่ตลาดมีร้านขายแตง วั่งไฉกินเมล็ดงาไปเยอะก็รู้สึกกระหายน้ำ มันยืนอยู่หน้าแผงขายและคาบแตงเข้าปากเคี้ยว คนขายแตงยิ้มแต่ก็ไม่ห้ามมัน แล้วเขายังช่วยวั่งไฉแกะเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วั่งไฉจะได้ไม่ต้องกัด
ตี๋เหรินเจี๋ยพึ่งจะชมว่าวั่งไฉเป็นม้าที่ดี แต่ตอนนี้กลับแย่งแตงของคนอื่นกิน พ่อของเขาเคยสอนเขาว่าไม่ให้กินของของคนอื่นตามอำเภอใจ ชาวบ้านล้วนแต่น่าสงสาร เก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่ไปขายเพื่อทำเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกตัวเอง วั่งไฉทำแบบนี้ไม่ถูก
แรงอันน้อยนิดของเด็กน้อยผลักวั่งไฉออกไป แต่น่าเสียดายที่วั่งไฉไม่ขยับเลยสักนิด มันคิดว่าตี๋เหรินเจี๋ยกำลังเล่นกับมัน มันคาบแตงออกมายื่นให้ตี๋เหรินเจี๋ยชิ้นหนึ่ง ความหมายของมันคือให้กินด้วยกัน มันเลี้ยงเอง เด็กๆ ในหมู่บ้านล้วนแต่ทำแบบนี้ วั่งไฉคุ้นชินกับวิธีแบบนี้มานานแล้ว
ทัศนคติชีวิตของตี๋เหรินเจี๋ยถูกโค่นล้มอย่างรุนแรง ผู้คนที่ไปๆ มาๆ บนถนนดูเหมือนจะสนใจพฤติกรรมเลวทรามของม้าตัวนี้ คนที่มาซื้อแตงก็ทักทายกับคนขายพร้อมกับพูดคุยกับวั่งไฉ พูดคุยกันว่าแตงหวานหรือไม่หวาน ซื้อไปแล้วจะโดนหลอกหรือไม่
พูดแบบนี้แล้วคนขายก็จะยัดแตงเข้าไปในปากของวั่งไฉอย่างภาคภูมิใจ บอกลูกค้าว่าวั่งไฉยังชอบกิน มันจะแย่ได้เช่นไร กินเท่านี้ก็กินไปแล้วตั้งสองลูก แตงของเขาขึ้นชื่อในเรื่องความหวาน
มองดูวั่งไฉกินแตงจนหมด คนขายก็เช็ดปากให้มัน หยิบเงินจากกระเป๋าใต้คอของวั่งไฉมาเหรียญหนึ่ง ลูบหัววั่งไฉเบาๆ บอกว่าครั้งหน้าอยากกินก็มาอีก เขาจะเก็บเอาไว้ให้
ตี๋เหรินเจี๋ยที่กำลังพิงอยู่ตรงขาม้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาจึงถามอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่อวิ๋น ม้าของเจ้ากินแบบนี้หรือ”
“ใช่แล้ว วั่งไฉมันชอบเลือกกิน ไม่ชอบกินข้าวที่บ้าน ชอบอดข้าวอดน้ำ ช่วยไม่ได้ ที่บ้านเลยให้เงินมันวันละยี่สิบเหรียญ ชอบกินอะไรก็ให้มันไปซื้อเอง”
ตี๋เหรินเจี๋ยเดินตามอวิ๋นเยี่ยไปอย่างมึนงง เขามักจะรู้สึกว่าผู้คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นช่างเป็นมิตร ทุกคนยิ้มและพยักหน้าให้เขา และยังเคารพเขามาก นี่คือประสบการณ์ชีวิตที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หลังจากที่วั่งไฉดื่มเหล้าหมักไปแล้วไหหนึ่ง องครักษ์เหล่านั้นก็ต่างพากันตกใจ คนขายเหล้าหมักไม่เพียงแต่เอาไหที่สวยงามออกมาเท่านั้น แต่เขายังเรียกลูกค้าคนอื่นๆ มาบริการวั่งไฉ ลูกค้าเหล่านั้นก็ไม่รําคาญ พากันหัวเราะดูความสนุก นี่ไม่ใช่บรรยากาศปกติ มันมีความประหลาดอยู่ในนั้น เหล่าองครักษ์ตัวเกร็ง จับมีดอยู่ในมือ เหมือนกับว่าได้พบเห็นสิ่งผิดปกติเข้าแล้ว พวกเขาจึงพร้อมที่จะฆ่าฟันทันที
อวิ๋นเยี่ยพูดกับเหล่าองครักษ์ว่า “ไม่ต้องกังวล ในเมื่ออาจารย์ซินเป็นคนแนะนำมาก็ต้องพาพวกเจ้าไปนั่งที่บ้านสักหน่อย ผู้เฒ่าจะได้ไม่บอกว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีมารยาท นายหญิงของตระกูลอวิ๋นก็คือคนของตระกูลซิน นางคงจะยินดีต้อนรับการมาของคนบ้านเดียวกันอย่างแน่นอน”
คนของตระกูลตี๋ที่มาเยือนเป็นผู้หญิง อวิ๋นเยี่ยออกหน้าไม่ได้ แต่ผู้เฒ่าเป็นผู้แนะนำก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีจดหมายฝากมาด้วย มารยาทที่ควรมีจะขาดไม่ได้ เขาเอาเงินในแขนเสื้อโยนออกไปให้กับคนขอทานข้างถนน คราวนี้เขาสวมบทบาทเป็นคนสร้างสำนักศึกษาหมู่บ้านจังเหมี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเงินครึ่งหนึ่งสามารถใช้ที่นั่นได้ แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แขวนป้ายแล้วก็แสดงว่ามันต้องมีเรื่องเช่นนั้น ขอทานกินใช้ไม่ถือว่าเยอะเกินไป
“พี่อวิ๋น เจ้าขายม้าด้วยเงินสี่เหรียญจริงๆ หรือ”
“ใช่แล้ว ข้าขายมันไปสี่เหรียญ แต่ข้าขายขนที่ร่วงมาจากวั่งไฉ พวกเขาทำให้วั่งไฉขนร่วงไปตั้งเยอะ ขาดทุนหมด”
“คนพวกนั้นไม่ได้โกหก แต่เป็นเจ้าที่โกงเงินพวกเขา?” ตี๋เหรินเจี๋ยเหงื่อตกจนแทบจะสติแตก เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าชาวบ้านที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์คนนี้คือคนที่ควรถูกตัดสินมากที่สุดในเรื่องนี้
“บอกว่าข้าโกหกได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้บอกว่าขายม้าซะหน่อย พวกเขาจะเอาเงินให้ข้า ข้าไม่รับมาก็ถือว่าทรยศต่อความหวังดีของเขา ข้าไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน ข้าเป็นคนมีศีลธรรม”
ตี๋เหรินเจี๋ยกำลังจะอ้าปากพูด แม่ของเขาลงมาจากรถม้า ห้ามตี๋เหรินเจี๋ยเอาไว้ นางโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย “ตี๋หันซื่อคำนับอวิ๋นโหว เมื่อครู่ตอนอยู่บนถนนข้ามีตาหามีแววไม่ มองท่านไม่ออก ท่านโปรดให้อภัย”
“ตี๋ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครู่เป็นข้าเองที่เหลวไหล จะโทษพวกเจ้าได้เช่นไร ภรรยาของข้าคิดถึงแดนเสฉวนอยู่เสมอ แต่เรื่องที่บ้านยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด ตอนนี้คนบ้านเดียวกันมาถึงที่นี่ จะไม่ไปเจอกันได้อย่างไร เชิญทางนี้”
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยพูดจบ เขาก็ทำหน้าผีหลอกใส่ตี๋เหรินเจี๋ยและก็เดินเข้าไป วั่งไฉก็แกว่งหัวเดินตามเข้าไปด้วย เดินไปพักผ่อนที่คอกม้าด้วยตัวเอง
ตี๋เหรินเจี๋ยพยายามอดทนไม่ร้องไห้ออกมา กุมปากแล้วพูดกับแม่ของเขา “แม่ เขาหลอกข้า!”
ตี๋หันซื่อกุมปากยิ้มและพูดกับลูกชายว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอดไม่ใช่หรือ ถูกหลอกบ้างก็ดีเหมือนกัน เจ้ามีอาจารย์เช่นนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ว่าคนมีความสามารถก็มักจะมีความแปลกประหลาด ดูแล้วเขาชอบเจ้าไม่เบา รอให้แม่เจอกับพี่ซินของเจ้าเดี๋ยวก็รู้”
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 37 ความเศร้าโศกของรุ่นน้อง
ซินเย่วได้ยินข่าวว่าหันซื่อมาหา นางก็น้ำตาไหลออกมาทันที ตอนที่ยังไม่ได้ออกมาจากแดนเสฉวน ตระกูลของหันซื่อคือแขกประจำของตระกูลซิน ตอนนี้ได้ยินว่ามีคนบ้านเดียวกันมาหา นางยังจะนั่งติดได้เช่นไร รีบเอาลูกโยนให้อวิ๋นเยี่ย แต่คิดดูแล้วมันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่จึงไปอุ้มลูกกลับมา มองอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า นางก็น้ำตาไหลหนักกว่าเดิม เอาลูกไปฝากไว้ที่น่ารื่อมู่ รีบฉีกเสื้อผ้าของอวิ๋นเยี่ยออกให้หมด นางรู้สึกอับอายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ในเวลานี้ผู้หญิงคนนี้ไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น เขาทำได้แค่ยืนนิ่งปล่อยให้นางจัดการตามใจ ผ้าลินินที่พึ่งใส่ได้แค่วันเดียวถูกนางฉีดจนขาดเป็นรูขนาดใหญ่ แล้วยังถูกเหยียบอีกสองที คิดในแง่มุมของนางก็ถูกอยู่ เพื่อนของภรรยามาหา เดิมทีนี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะโอ้อวดสามีท่านโหวและลูกชายนายพันของตัวเอง ใครจะไปรู้ว่าสามีจะแต่งตัวเหมือนขอทานแบบนี้ แล้วยังปากดำ นี่มันเด็กโง่บ้านนอกชัดๆ แล้วยังถูกเพื่อนสนิทเจอเข้าให้ จะให้นางโอ้อวดได้เช่นไร
“พอแล้ว พอแล้ว กางเกงในพึ่งจะเปลี่ยนไปตอนเช้า ห้ามถอด หากยังถอดอีกเชื่อหรือไม่พรุ่งนี้ข้าจะแบกตะกร้าไว้บนหลังไปเก็บมูลม้าบนถนน ก็แค่เพื่อนมาหาไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องทรมานข้าถึงเพียงนี้”
ซินเย่วไม่พูดไม่จา นางกัดฟันเปลี่ยนอวิ๋นเยี่ยจากเด็กโง่บ้านนอกให้กลายเป็นท่านโหวของต้าถังอีกครั้ง อุณหภูมิของผ้าขนหนูร้อนพอที่จะถอนขนหมูได้ เช็ดบนหน้าของอวิ๋นเยี่ยไม่หยุด เช็ดแล้วเช็ดอีก จากนั้นก็หันมาดูหน้าเล็กๆ ของลูกชาย แล้วก็มองก้น ไม่เจอตรงไหนเลอะฉี่ เด็กน้อยตัวสะอาดสะอ้าน นางจูบที่ก้นของเขาเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นค่อยพาลูกชายไปโอ้อวดความสำเร็จของตัวเองกับหันซื่อ
น่ารื่อมู่เป็นภรรยาที่ดี นางหยิบผ้าลินินบนพื้นขึ้นมา มองดูรูที่ขาดด้วยความเสียดาย วางลูกสาวไว้ข้างๆ ท่านพี่ นางหยิบเข็มและด้ายขึ้นมาเตรียมเย็บรูที่ขาด ผ้าที่น่ารื่อมู่เป็นคนเย็บเห็นได้ชัดว่ามีสไตล์ของฉ่าวหยวน เย็บด้วยเข็มหนาและด้ายเส้นใหญ่ เย็บสองสามทีก็เสร็จเรียบร้อย เก็บมันไว้อย่างพึงพอใจ ท่าทางแบบศรีภรรยาของนางช่างทำให้คนเห็นรักและเอ็นดู แต่เสื้อตัวนั้นดูแย่กว่าตอนที่ยังไม่ได้เย็บเสียอีก ถือได้ว่าเสื้อตัวนั้นได้พังยับเยินในเงื้อมมือของภรรยาทั้งสองคนของตัวเองจริงๆ
สวมมงกุฎสีม่วงทอง ผูกผ้าไหมสีแดงที่ใต้คาง สวมเสื้อไหมสีเขียว สวมรองเท้าหนังกวาง ผูกจี้หยกขาวไว้ที่เอว ในมือถือ ‘คัมภีร์ไกลโพ้น’ สายตาเป็นประกาย สีหน้าเคร่งขรึม ก้าวเท้าเดินออกไปอย่างมั่นคง อกผายไหล่ผึ่ง ช่างมีท่าทางขุนนางแห่งราชสำนัก
พึ่งจะรู้สึกดีขึ้นมาได้สักพักตี๋เหรินเจี๋ยก็อยากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เดิมทีอยากจะฟ้องพี่ซินเย่วเพื่อบรรเทาจิตใจอันน้อยนิดของตัวเองที่ถูกหลอก แต่ใครจะรู้ คนที่สูงส่งราวกับยอดเขาที่อยู่ตรงหน้าเขาทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เขาพูดไม่ออกสักคำ
“เจ้าคือลูกชายคนโตของตี๋จือซวิ่นที่มีชื่อว่าตี๋เหรินเจี๋ยใช่หรือไม่ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” อวิ๋นเยี่ยวางหนังสือในมือลงและเหลือบมองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ท่านโหว ปีนี้ตี๋เหรินเจี๋ยเจ็ดขวบแล้ว แต่เด็กคนนี้ไม่ค่อยชอบกินข้าว ผอมแห้งไปหน่อย ท่านพี่ของข้ารับตำแหน่งอยู่ที่ดินเเดนปาสู่ปลีกตัวออกมาไม่ได้ ไม่มีหนทางอื่น จึงให้ข้าพาตี๋เหรินเจี๋ยมาไหว้อาจารย์ อวิ๋นโหวโปรดเห็นแก่อาจารย์ซินรับลูกชายของข้าไว้เถิด ตระกูลตี๋จะขอบพระคุณท่านโหวเป็นอย่างมาก”
“อายุยังน้อยแต่ออกจากบ้านมาไกลเพื่อมาแสวงหาความรู้ ไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียว หากข้าไม่รับเขาไว้ ข้าคงผิดมนุษย์มนาทั่วไป เอาเถอะ ข้ารับเด็กคนนี้ไว้ หน้าของพ่อตาและอาจารย์หยางโซ่วก็ต้องรักษาไว้”
หันซื่อรีบพาตี๋เหรินเจี๋ยโค้งคำนับ นี่คือมารยาทที่จำเป็นในการไหว้อาจารย์ อวิ๋นเยี่ยนั่งรับการโค้งคำนับสามครั้งของตี๋เหรินเจี๋ยอยู่บนเก้าอี้ และพูดกับเขาอย่างจริงจังกับว่า “เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้า ต้องทำตามศีลธรรมของการเป็นคน ขยันหมั่นเพียร ประหยัดอดออม รอบคอบ เจียมเนื้อเจียมตัว รู้จักเคารพ ไม่โลภมาก ไม่เห็นแก่ตัว จงรักภักดี มีความรับผิดชอบ ศีลธรรมแปดประการนี้ เจ้าจำได้หรือไม่”
ตี๋เหรินเจี๋ยคุกเข่าลงบนพื้นและตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “ศิษย์จำได้แล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี ก่อนหน้าเจ้าข้ายังมีลูกศิษย์อีกสองคน แต่พวกนางเป็นผู้หญิง เจ้าและพวกนางต้องเป็นมิตรต่อกัน ให้เกียรติกัน ทำงานด้วยกัน ตั้งใจศึกษาหาความรู้ อย่าเหลวไหล เจ้าจำได้หรือไม่” ที่จริงแล้วอวิ๋นเยี่ยอยากจะเห็นเสี่ยวอู่ผู้มีนิสัยแปลกประหลาดเล่นโวหารกับเด็กน้อยที่หยิ่งผยองอย่างเขา พวกเขาจะต่อสู้กันอย่างไร บรรยากาศแบบนั้น เพียงแค่คิดก็น่าสนใจแล้ว
“ซือซือ เสี่ยวอู่ ออกมา มาดูรุ่นน้องของพวกเจ้า” ซือซือและเสี่ยวอู่เดินเข้ามาทางประตูตามเสียงเรียกของอวิ๋นเยี่ย โค้งคำนับให้กับอวิ๋นเยี่ย ซินเย่ว และหันซื่ออย่างมีมารยาท ภายใต้อารมณ์ทำลายล้างของซินเย่ว พวกนางสองคนถูกจับแต่งหน้าแต่งตาอย่างสวยงาม สายตาของหันซือเป็นประกายขึ้นมา ใช้สายตาที่มองลูกสะใภ้มองไปที่เด็กสองคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปลักษณ์หน้าตาสวยงาม ความรู้การศึกษาก็คงจะไม่แย่ ส่วนการอบรมสั่งสอน? เติบโตขึ้นมาในจวนท่านโหวเช่นนี้ จะขาดการอบรมสั่งสอนได้อย่างไร
ยิ่งดูก็ยิ่งพอใจ หยิบกำไลหยกขาวคู่หนึ่งออกจากแขนเสื้อด้วยความตื่นเต้น สวมที่ข้อมือของเด็กผู้หญิงทั้งสองคนคนละอัน ไม่สนใจเลยว่านี่คือตระกูลอวิ๋น ไม่ใช่ในตระกูลตี๋ในแดนเสฉวน
รุ่นพี่และรุ่นน้องคำนับให้กัน อวิ๋นเยี่ยก็มอบชุดปากกาหมึกและเสื้อคลุมสีฟ้าให้กับตี๋เหรินเจี๋ย เสี่ยวอู่เห็นแบบนี้ก็ทำหน้ามุ่ย ตอนที่นางไหว้อาจารย์ไม่เห็นมีสิ่งของพวกนี้ ปากกาหมึกที่อาจารย์เอาให้ตี๋เหรินเจี๋ยดูก็รู้ว่าเป็นของดี นึกถึงเครื่องเขียนเก่าๆ ที่นางกับซือซือใช้ นางก็รู้สึกไม่พอใจ เมื่อก่อนอาจารย์มีลูกศิษย์เพียงสองคนคือนางกับซือซือ ซือซือมาก่อน นางไม่มีทางเลือก แต่อาจารย์รับลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดเช่นนางมาแล้ว ทำไมยังต้องรับเด็กผู้ชายคนนั้นมาอีกคน นางเหลือบตาไปมอง ดูท่าทางแล้วก็ไม่ใช่คนเก่งอะไร
รับลูกศิษย์เสร็จเรียบร้อยแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ออกไปทันที ทิ้งให้ซินเย่วอยู่เป็นเพื่อนหันซื่อ ทั้งสองคนเตรียมจัดงานเลี้ยง วางแผนจะดื่มให้อิ่มหนำสำราญสักมื้อ นี่ไม่ใช่เรื่องของอวิ๋นเยี่ย ช่วงดึกหันซื่อจะพักอยู่ที่บ้านของตระกูลไม่ได้ ต้องไปพักค้างคืนที่บ้านของอาจารย์อวี้ซัน
พึ่งเดินออกมาจากสวนหลังบ้าน เดินผ่านป่าไม้ไผ่ก็ได้ยินเสี่ยวอู่กำลังพูดอะไรอยู่ เขารีบหยุดฝีเท้าอย่างรวดเร็ว หันหน้ามาแอบฟัง ได้ยินแค่ว่าเสี่ยวอู่กำลังข่มขู่ตี๋เหรินเจี๋ย “ไอ้หนุ่ม เมื่อครู่ข้าบอกกฎระเบียบของพวกเราให้เจ้าฟังแล้ว ตอนนี้เสริมอีกสักหน่อย ซือซือคือพี่สาวคนโต ฝีมือของนางเมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว หากนางไม่พอใจนางก็จะต่อยเจ้า ข้าเป็นพี่สาวคนที่สอง เจ้าต้องให้เกียรติข้าเสมอ เช่นปากกาหมึกของเจ้า แต่มันเป็นของที่อาจารย์ให้เจ้า ข้าไม่อยากได้ แต่ตอนที่ข้าขอยืม ไม่อนุญาตให้เจ้าปฏิเสธ”
“แม่ของข้าให้กำไลหยกเจ้าไปแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก กำไลหยกคู่นั้นแม่ข้าชอบมาก บอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูกสะใภ้ของนาง ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอาให้พวกเจ้าสองคน”
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ เด็กคนนี้พูดจาไม่เป็นจริงๆ พูดแบบนี้ออกมายังจะมีทางรอดได้เช่นไร เรื่องของภูตผีปีศาจ ให้พวกเขาจัดการเองเถอะ เขาส่ายหน้า ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาของตี๋เหรินเจี๋ย
นึกถึงกระทิงในตำนานที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์ไกลโพ้น’ มันถูกสร้างขึ้นจากต้นแบบอะไรกันแน่ ภายนอกดูเหมือนมังกร พูดได้ว่านี่คือสัตว์ที่คนในสมัยโบราณเอาหัววัว เขากวาง หน้าม้า ตัวงู และเกล็ดปลามารวมเข้าด้วยกัน สร้างออกมาเป็นมังกร มีเสียงดังดั่งฟ้าร้อง คงพูดเกินจริงไปหน่อย ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงร้องของอะไรในตอนที่กำลังสร้างกระทิงในตำนานอยู่พอดีก็เลยเอารวมกันไว้ในตัวมัน แต่มีขาแค่ข้างเดียวมันก็เกินไปจริงๆ กลัวว่าสัตว์ประหลาดที่สร้างขึ้นมาจะน่ากลัวเกินไป เลยบอกว่ามันมีขาแค่ข้างเดียว หากมันวิ่งหลุดออกมา ตัวเองจะได้หนีรอดได้หรือ
คนสมัยก่อนเหลวไหลเกินไปจริงๆ นั่นแหละ เพื่อการหลอกลวงคนอื่น พวกเขายังต้องหลอกตัวเองก่อน แต่ก็ถูก จะหลอกใครก็ต้องหลอกตัวเองก่อน แม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อแล้วจะหลอกคนอื่นได้อย่างไร
ช่วงนี้อวิ๋นเยี่ยกำลังมีสมาธิกับการศึกษา ‘คัมภีร์ไกลโพ้น’ โลกที่แปลกประหลาดช่างทำให้คนตกตะลึงจริงๆ กลองสงครามที่ทำจากหนังกระทิงในตำนาน ตีทีหนึ่งดังไปถึงห้าร้อยลี้ ตีติดต่อกันดังไปสามพันแปดร้อยลี้ แม้แต่เสียงของอาวุธก็ยังไม่ดังขนาดนี้ หากมีคนไปตีกลองกลองนี้เข้าก็คงจะตัวสั่นตายไปแล้ว
คนสมัยก่อนชอบคุยโม้โอ้อวดอย่างไม่สมเหตุสมผลนัก คนคนหนึ่งกำลังนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่บนชิงช้าไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เพียงเพราะสมองควรคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่เสมอ มันจะได้ไม่ขึ้นสนิมจนตาย
เสี่ยวยากลัวพี่อวิ๋นของนางนั่งคิดฟุ้งซ่านบนชิงช้ามากที่สุด ครั้งก่อนนั่งคิดอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่กล้าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก นางรีบเข้ามาผลักพี่อวิ๋น ปล่อยให้ชิงช้าแกว่งไปมา
“เสี่ยวยา เป็นอะไร” ถือโอกาสตอนที่ชิงช้าแกว่งผ่านไป อวิ๋นเยี่ยอุ้มเสี่ยวยาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน สองพี่น้องนั่งแกว่งชิงช้าด้วยกัน เสี่ยวยาเห็นว่าพี่อวิ๋นไม่ได้หลุดเข้าไปในภวังค์แล้วนางก็ไม่พูดไม่จาแต่กลับหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
ในที่สุดผมสีเหลืองของเด็กน้อยคนนี้ก็หายไปแล้ว แทนที่ด้วยผมสีดำหนา นางรักผมของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนนางไม่ชอบกลิ่นของสบู่ แต่หลังจากที่รู้ว่าสบู่มีความสามารถในการขจัดสิ่งสกปรก นางก็ตกหลุมรักสบู่ขึ้นมาทันที ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนก็ยังได้กลิ่นหอมสดชื่นของสบู่ เสี่ยวยาไม่ชอบใช้น้ำหอม นางบอกว่าได้กลิ่นแล้วจะอ้วก ดูเหมือนว่าคนในตระกูลอวิ๋นจะไม่ค่อยชอบน้ำหอมสักเท่าไหร่ มีแต่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำออกมาไม่ได้เท่านันที่มักจะทำให้ตัวเองมีกลิ่นหอม ช่างน่าสงสาร
เสี่ยวอู่จับมือของตี๋เหรินเจี๋ยเดินออกมาจากป่าไม้ไผ่อย่างเป็นมิตร โค้งคำนับให้กับอวิ๋นเยี่ยพร้อมกัน บอกว่าจะไปหาพี่ซือซือ แล้วไปดูภาพวาดใหม่ของเสี่ยวอู่กัน
อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้พวกเขา แต่เขามองเห็นรอยแดงที่หูสองข้างของตี๋เหรินเจี๋ย มือของเสี่ยวอู่บิดเนื้อที่เอวของเขาอยู่ตลอด แค่เดินช้าก้าวหนึ่งก็จะถูกบิดทีหนึ่ง การเดินทางครั้งนี้ของตี๋เหรินเจี๋ยคงเป็นเรื่องยากลำบากไม่เบา
“พี่อวิ๋น ลูกศิษย์ใหม่ของเจ้าดูโง่ๆ ข้าขอแกล้งเขาหน่อยได้หรือไม่ เสี่ยวอู่แค่ถูกรังแกนางก็จะตะโกนร้องเสียงดัง เล่นเอาข้าถูกแม่กับพี่สะใภ้ลงโทษทุกครั้ง ครั้งก่อนข้าแค่บอกว่าจะดึงผมนาง นางก็ร้องไห้โฮนั่งลงกับพื้น เสื้อผ้าเปื้อนไปหมด สุดท้ายแม่เดินเข้ามาตีข้า นางน่ารำคาญมาก ไม่เหมือนพี่ซือซือเลยสักนิด ตกลงจากกำแพงก็ไม่ร้องไห้ เข่าเป็นแผลก็ไม่ร้องไห้ ข้าชอบพี่ซือซือ ข้าไม่ชอบเสี่ยวอู่”
ความสามารถของคนในของตระกูลอวิ๋นค่อนข้างสม่ำเสมอ เรียนหนังสือสู้เสี่ยวอู่ไม่ได้ การต่อสู้สู้ซือซือไม่ได้ เสี่ยวยามาถามเอายาอัจฉริยะจากอวิ๋นเยี่ยแล้วตั้งหลายครั้ง นางได้ยินคนอื่นบอกว่าพี่อวิ๋นของนางกินยาอัจฉริยะถึงได้กลายเป็นคนฉลาด นางก็อยากกินเหมือนกัน ความกดดันของเด็กน้อยนั้นไม่ธรรมดา กดดันจนทำให้เด็กผู้หญิงที่ไม่ชอบกินยาที่สุดอย่างเสี่ยวยายังเริ่มที่จะหายากินด้วยตัวเอง
“พี่อวิ๋น ข้าไม่ฉลาดเท่าเสี่ยวอู่ ไม่สวยเท่านาง เจ้ายังจะชอบข้าเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่”
เมื่อถูกถามคำถามนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียใจ เขากอดเสี่ยวยาและจูบที่หน้าผากนางทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ข้าชอบเสี่ยวยาที่สุดอยู่แล้ว เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ต่อไปก็จะเป็นเช่นนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น