เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 33-35
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 33 ตัวร้ายที่ไร้ค่า
การหลอกลวงเป็นการเสแสร้งอย่างหนึ่ง เรามักจะรู้สึกว่าการพูดโกหกง่ายกว่าการพูดความจริง สามารถกลบเกลื่อนพฤติกรรมของตัวเองได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือสิ่งที่ผิด ความจริงก็คือความจริง ต่อให้โกหกได้งดงามแค่ไหนก็ซ่อนความจริงไว้ไม่ได้ บางครั้งการพูดความจริงกลับทำให้ได้รับความเคารพจากผู้อื่น
“หลังจากนี้ฝ่าบาทวางแผนไว้ว่าจะแบ่งการสอบออกเป็นสองส่วน ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่!”
“ใช่แล้ว หลังจากที่ฝ่าบาทได้ตัดสินใจแล้วก็ได้ส่งคนมาขอความคิดเห็นจากข้า ข้าไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เพียงแค่บอกฝ่าบาทว่าข้าแก่มากแล้วราชสำนักไม่จำเป็นต้องสนใจข้า คิดจะทำอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ขุนนางคือผู้ที่รับใช้ฝ่าบาทในอนาคต เขาสามารถเลือกตามมาตรฐานของเขาเองได้ นี่เป็นสิทธิที่พระเจ้ามอบให้เขา”
ชายเฒ่าค่อยๆ จิบชาโสม เพลิดเพลินไปกับรสชาติของโสมเป็นอย่างมาก เขาตอบคำถามของอวิ๋นเยี่ยอย่างสบายๆ ราวกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่สนใจโลกภายนอกอีกต่อไป แต่ดูจากความกระตือรือร้นในการทำแม่พิมพ์แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ความยุติธรรมในความคิดของฝ่าบาท ความจริงแล้วมันไม่ยุติธรรมต่อสำนักศึกษาเป็นอย่างมาก ทำไมต้องรองรับลูกศิษย์ที่ความรู้แคบเพียงเพราะว่าสำนักศึกษาทำคะแนนได้ดี ท่านเป็นนักปราชญ์ ข้าแค่ต้องการทราบความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากปากของท่านเอง”
“สำนักศึกษาของเจ้ามีทรัพยากรด้านการศึกษาครบครัน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีเอกสารพื้นฐานมากมายที่สามารถใช้อ้างอิงได้ ได้ยินมาว่าหนังสือที่อยู่ในหอหนังสือชั้นสูงได้ถูกย้ายมาไว้ที่หอหนังสือสำนักศึกษาทั้งหมด ทั้งดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ทั้งโหราศาสตร์การแพทย์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไม่ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว แม้แต่กระดองเต่าเจ้าก็ทำการวิจัยออกมาจนได้ ขอเพียงแค่ลูกศิษย์มีใจอยากจะเรียน ไม่มีปัจจัยภายนอกรบกวน ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้า ความตั้งใจในการแตกฉานด้านความรู้เป็นสิ่งที่ควรจะมี เจ้าลองบอกมาสิว่าการทำแบบนี้ยุติธรรมต่อลูกศิษย์ด้านนอกที่ตั้งใจศึกษาหาความรู้หรือไม่”
“ขอบฟ้าแคบเป็นตัวกำหนดทำให้ขยายเมืองไม่ได้ ลูกศิษย์เหล่านี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางถือว่าไม่ยุติธรรมต่อราษฎรมากที่สุด เหลียงเจี้ยนผู่ยืนกรานที่จะไปตามทางของตัวเอง สร้างถนนกระดานไม้ในสถานที่ที่ไม่สามารถสร้างถนนได้ทำให้ภูเขาถล่มลงมา ชีวิตคนกว่าพันชีวิตถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง มีใครเคยสงสารพวกเขาบ้างไหม”
“เหลียงเจี้ยนผู่เป็นเด็กดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังยืนหยัดที่จะทำ มีความกล้าหาญ เวลาขุดภูเขาเขามักจะยืนอยู่ด้านหน้าสุดเสมอ หากมองในทางศีลธรรมเขาไม่ได้บกพร่องในส่วนนี้เลย ไอ้หนุ่ม มีสิ่งไหนบ้างที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นแล้วไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เจ้าคิดว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองจีนหรือตอนขุดคลองไม่มีคนตายหรือ บางทีเพียงแค่ดื่มน้ำก็ทำให้สำลักตายได้ หากต้องระวังไปเสียทุกที่ ตอนนี้พวกเราก็คงไม่เจริญก้าวหน้าไปไหน อยากจะดื่มชาดีๆ สักถ้วยก็คงทำได้แค่ฝันเท่านั้น”
จบกัน ชายเฒ่าประเมินเหลียงเจี้ยนผู่ไว้สูงมาก เขาเพียงแค่มองคนด้วยความไร้เดียงสา ไม่ได้มองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ขอเพียงแค่ในความเป็นคนไม่มีข้อตำหนิ ที่เหลือก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก รวมทั้งชีวิตของคนหนึ่งพันคนด้วย
“ทั้งๆ ที่มีถนนที่สร้างได้โดยไม่ต้องมีคนตาย ทำไมต้องเอาชีวิตไปแลกด้วย แล้วยังทำต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่รู้สึกผิด”
“หนังสือที่เจ้าอ่านมามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ตอนขุดสร้างถนนไม้กระดานจินหนิวก็มีคนตายมากกว่าหนึ่งพันคน ภูเขาถล่มมากกว่าหนึ่งครั้ง ผูกเชือกไว้ที่เอวห้อยตัวอยู่กลางภูเขาก็ถือเป็นการมอบชีวิตให้แก่เทพเจ้าไปแล้ว การตกลงไปเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ตายก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก เด็กน้อย การตายของพวกเขาทำให้มีถนนไม้กระดานเส้นนี้ขึ้นมา เชื่อมดินแดนเสฉวนและดินแดงจงหยวนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์และดินแดนที่ราบภาคกลางก็ได้มีการแลกเปลี่ยนกัน มิเช่นนั้นชาวเสฉวนก็คงยังไม่รู้ว่ามีคนเป็นกษัตริย์กี่คน ภายใต้เปลวเพลิงของสงครามจะมีคนตายมากกว่านี้เสียอีก”
ดูแล้วชายเฒ่าก็ไม่สบายใจอยู่เช่นกัน เขาไม่พอใจการปลูกฝังเช่นนี้เป็นอย่างมากจึงได้หาความคิดที่แตกต่างเพื่อตักเตือนอวิ๋นเยี่ย เขายอมรับความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์ของอวิ๋นเยี่ย แต่ยังมีข้อกังขาในศีลธรรมของอวิ๋นเยี่ย
ช่างเถิด หากพูดเรื่องนี้กับชายเฒ่าไม่ได้ ก็ไม่มีวิธีที่จะคุยกันรู้เรื่อง งานนี้ไม่มีใครยอมใคร ไม่ต้องพูดถึงว่าชายเฒ่าเองก็หวังว่าหลังจากการก่อตั้งประเทศแล้ว ผู้รู้หนังสือจะได้เข้าควบคุมราชสำนักและได้เข้าควบคุมผู้ที่มีศิลปะการต่อสู้ที่เกเรเหล่านั้น อย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้ในการแย่งชิงทุกตำแหน่งแน่นอน
เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งเอนหลังลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ก้มหัวลงไม่พูดไม่จาอะไร เหยียนจือทุยหัวเราะแล้วพูดต่อไปว่า “เจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่ เจ้าเอาแต่คำนวณเกี่ยวกับเงื่อนไขภายนอกเหล่านี้ ทำไม่เจ้าไม่คำนวณสิ่งที่สำนักศึกษาเจ้าได้รับบ้าง ข้าคิดว่าการที่ฝ่าบาททำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อลูกศิษย์ด้านนอก หรือจะเรียกว่าเป็นการดูถูกเลยก็ได้”
“หมายความว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยถามชายเฒ่าด้วยความประหลาดใจ
“สำนักศึกษาหงเหวินดูถูกสำนักศึกษาในวัง ผู้ทดสอบคัมภีร์ทั้งห้าดูถูกผู้ทดสอบความรู้เบ็ดเตล็ด ตอนนี้ผู้ทดสอบข้อสอบของสำนักศึกษาก็ดูถูกผู้ทดสอบของนักวิชาการธรรมดาทั่วไป เจ้ายังต้องกังวลอะไรอีก เป็นเพราะเจ้า การสอบของสำนักศึกษาจึงได้ยากขึ้น ดังนั้นปีหน้าสำนักศึกษาของเจ้าจะครึกครื้นยิ่งขึ้น ผู้ที่มีความรู้ก็จะกลายเป็นคนขี้โกง ยิ่งได้มายากก็ยิ่งอยากได้ หลังจากนี้เวลาที่ลูกศิษย์สำนักศึกษามองดูลูกศิษย์สำนักอื่นก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น หนึ่งประโยคที่ออกมาจากผู้ที่ศึกษาคัมภีร์จะทำให้นักวิชาการคนอื่นๆ ต้องอับอาย ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้แบ่งข้อสอบออกเป็นสองส่วน ถึงแม้จะเป็นการวางหมากที่แย่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ การที่ข้าไม่พูดอะไรคือการให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อสำนักศึกษาของเจ้า”
เมื่อฟังชายเฒ่าพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ที่ทุ่มเททำในสิ่งที่ไร้ความหมาย เป็นเรื่องตลกที่จะนำความคิดของคนในยุคปัจจุบันมาพิจารณาคุณธรรมของนักปราชญ์ในต้าถัง นักปราชญ์ในยุคนี้ได้บิดเบือนความกระหายในความรู้และความเคารพในความรู้ การที่หลู่ซวิ่นเสียดสีขงอี๋จี่ไม่ใช่เรื่องแปลกในต้าถัง บิดเบือนความเข้าใจและการรับรู้ต่ออักษรจีนที่พบเห็นได้น้อย ถือว่าอักษรจีนที่พบเห็นได้น้อยนั้นเป็นการเรียนรู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาเคมีฟิสิกส์และชีวภาพของสำนักศึกษา การสอบใหญ่ปีนี้จะเป็นเรื่องโง่ๆ ที่ตลกมาก นักเรียนที่เข้าร่วมการทดสอบไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความเคารพซ้ำยังจะถูกทอดทิ้งอย่างไร้ยางอาย เพื่อที่จะเข้าร่วมการสอบก็จะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความซื่อสัตย์
เมื่อคิดได้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เมื่อถึงเวลาก็สะบัดแขนเสื้อรอดูความตลกของหลี่ซื่อหมินได้เลย ไม่ให้ข้าเข้าฉางอันหรือ ต่อให้มีรถหรูขนาดไหนมารับก็ไม่ไป รักเมืองผุพังเหมือนกับลูก ทำเหมือนข้าไม่เคยเห็นตึกสามร้อยชั้นมาก่อน
ให้ลูกศิษย์ลากรถที่หลี่กังนั่งเข้ามาแล้วผลักชายเฒ่าเข้าไปด้านในรถ ชายเฒ่าที่นั่งอยู่ในรถดูเป็นคนแก่ที่อารมณ์ขัน มีคำคมเด็ดๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่มาพบจั่งซุนก็เป็นความประสงค์ของจั่งซุนเองเพราะว่าตัวเองเคยเล่าให้ชายเฒ่าฟังถึงการกระทำอันกล้าหาญของสัตว์ร้ายในยุคโบราณต่อหน้ากะโหลกของไทแรนโนซอรัส
ชายเฒ่าลงมาจากรถเดินวนรอบกะโหลกหนึ่งรอบ เดินไปสัมผัสฟันขนาดใหญ่ไม่กี่ซีกที่เหลืออยู่โดยไม่รู้ตัว คนในสมัยราชวงศ์ถังดูจะชื่นชอบฟัน? ฟันห้าซีกถูกลูบจนขึ้นเงา ก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับพวกคนรุ่นหลังที่ชอบบูชาของวิปริต เจ้าไปดูประติมากรรมรูปปั้นผู้หญิงในแต่ละเมือง มีรูปปั้นไหนบ้างที่ไม่ถูกสัมผัสจนเป็นรอยดำไปหมด
“ไอ้หนุ่ม เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ขนาดยักษ์ตัวนี้เป็นลักษณะของสัตว์ในสมัยโบราณเมื่อนานมาแล้ว แล้วยังรู้ลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตของพวกมันด้วย อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเดาเอา”
“ท่านผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว สิ่งที่ข้าน้อยพูดแน่นอนว่ามีเหตุผล จะพูดขึ้นมามั่วๆ ไม่ได้ ท่านดูสินี่คือหินที่เก็บรวบรวมมาจากบริเวณที่พบกระดูกนี้ พืชด้านบนที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อนคือตัวอย่างประกอบ สัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อฟันของพวกมันจะไม่เหมือนกัน ฟันอันหนึ่งแบนอีกอันหนึ่งแหลมคม ท่านสามารถเห็นได้จากการเปรียบเทียบระหว่างฟันหมาป่ากับฟันแกะ”
อวิ๋นเยี่ยพูดไปพร้อมกับเดินไปเอากะโหลกหมาป่าและกะโหลกแกะจากชั้นวางให้ชายเฒ่าเห็นความแตกต่าง ตอนนี้ที่สำนักศึกษามีกลุ่มคนหลงใหลในมังกร ออกค้นหาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมังกรไปทั่วทุกที่อย่างบ้าคลั่ง ปีนี้มีเด็กสองคนสอบเข้ารับราชการในเมืองที่คิดว่าสามารถค้นพบกะโหลกมังกรได้เพื่อที่จะได้สะดวกสบายในการตามหามังกร อุปกรณ์ต่างๆ ก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
ชายเฒ่ายกกะโหลกทั้งสองอันขึ้นมา สำรวจปากและฟันอย่างละเอียดแล้วผงกหัว เขาวางกะโหลกลงแล้วเดินมือไขว้หลังไปที่ชั้นวางไข่ไดโนเสาร์ มองดูจารึกด้านล่างแล้วถามอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจว่า “สัตว์ร้ายตัวโตเช่นนี้แท้จริงแล้วออกลูกเป็นไข่อย่างนั้นหรือ จากตำนานเล่าขานการเกิดของผานกู่[1]ยังคงคลุมเครือ ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ แต่พอมีหลักฐานให้เห็นว่ามังกรยักษ์ตัวนี้ออกลูกเป็นไข่ก็สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก”
เมื่อออกมาจากศาลามังกรยักษ์ก็เข้าไปในศาลาคุนเผิง[2]ซึ่งเป็นปลายักษ์ที่มีปีกเหมือนนก โครงกระดูกวาฬขนาดใหญ่ที่อวิ๋นเยี่ยจับได้ถูกวางตั้งไว้ในศาลา กระดูกทั้งหมดถูกขัดด้วยขี้ผึ้งทำให้ดูมันเงา ชายเฒ่าที่นั่งอยู่บนรถหัวเราะแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าฆ่าปลาวาฬตัวนี้แล้วเอาเนื้อของมันไปให้คนในราชสำนักหรือ ไอ้หนุ่ม คนพวกนั้นไม่เล่นงานเจ้าเอาหรือ”
“ใครจะไปเชื่อคำพูดแปลกๆ ที่ว่า ‘หากปลายักษ์ตายจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของคนในราชสำนัก’ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นคนในราชสำนักได้กดขี่ข่มเหงราษฎรทำให้ราษฎรไม่สามารถรับมือและระบายความโกรธแค้นได้ ต่อมาได้มีปลายักษ์ตัวหนึ่งเสียชีวิตและบังเอิญคนในราชสำนักก็เสียชีวิตไปหนึ่งคน ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน ที่จริงก็เพื่อจะบอกทุกคนว่าหากฆ่าปลายักษ์ตายจนหมดคนในราชสำนักก็จะตายหมดเช่นกัน”
ชายเฒ่าหัวเราะจนเห็นฟันที่อยู่ในปากเพียงไม่กี่ซีก “เจ้านี่นะ เจ้ามีความตลกขบขันและไหวพริบไม่ต่างอะไรกับคนราชวงศ์ฮั่น เพียงแต่ว่าเจ้ามีคุณธรรมมากกว่าพวกเขา ฮ่าๆๆ”
ชายเฒ่าและเด็กหนุ่มพูดคุยหัวเราะกันจนมาถึงใต้เครนเคลื่อนที่ นี่คือชุดเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอน ข้างบนเต็มไปด้วยรอกลักษณะต่างๆ มองดูที่ร่างอ่อนแอของชายเฒ่า อวิ๋นเยี่ยก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้วพูดกับชายเฒ่าว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะอายุเกือบร้อยปีแล้ว แต่ข้าน้อยคิดว่าท่านยังคงมีพละกำลังอยู่ หากไม่เชื่อท่านก็ลองดูว่าจะยกก้อนหินก้อนใหญ่นั้นขึ้นได้หรือไม่ ข้าน้อยเชื่อว่าท่านมีแรงมากพอที่จะทำได้”
“หินก้อนนั้นมีอะไรแปลกหรือ” ชายเฒ่ารู้จักร่างกายของตัวเองดี ดังนั้นจึงได้ถามอวิ๋นเยี่ยว่าหินก้อนนั้นเบาหรือไม่ ใช่หินปลอมหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อธิบายอะไร เขายกค้อนขึ้นมาแล้วทุกบนก้อนหินจนเกิดประกายไฟ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินไม่ได้มีปัญหาอะไร อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ช่างที่ดูแลเครนให้นำรอกแขวนไว้ด้านบนสุด ตัวเองลองดึงสองสามทีแล้วส่งต่อให้ชายเฒ่า ชายเฒ่าที่ยังคงมึนงงและอวิ๋นเยี่ยได้ช่วยกันดึงเชือกอย่างสุดแรง ชายเฒ่ารู้สึกประหลาดใจที่เห็นก้อนหินแกว่งไปมาจึงดึงขึ้นอีกครั้ง ก้อนหินค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ชายเฒ่าหันกลับไปมองอวิ๋นเยี่ย รอคำอธิบายจากเขา
“ที่จริงก็ได้มีอะไร เป็นวิธีการใช้แรงอย่างหนึ่ง ท่านไม่ต้องคิดมาก เพราะการคิดมากทำให้เหนื่อยใจ ไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน ท่านเพียงแค่รู้ว่าการศึกษาสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ก็พอ”
“มีประโยชน์มากจริงๆ สร้างป้อมปราการ สร้างบ้าน ขนย้าย ยกของที่ท่าเรือ มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ไอ้หนุ่ม ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าเกิดความสนใจ เช่นนั้นก็พาข้าไปดูความลึกลับของสำนักศึกษาของเจ้าเสียดีๆ”
——
[1] ผานกู่ หมายถึง “แผ่นโลกโบราณ” คือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกสุดของโลก เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน
[2] คุนเผิง มาจากตำนานดั้งเดิมเรื่องหนึ่ง มีพญามัจฉารูปร่างใหญ่โตชื่อว่า ‘คุน’ เมื่อผ่านไปหมื่นปีคุนกลายร่างเป็นพญาปักษาชื่อ ‘เผิง’ เรียกรวมว่า ‘คุนเผิง’
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 34 กิจการของหวงสู่
ชายเฒ่าเที่ยวเล่นอยู่ในสำนักศึกษาอย่างมีความสุข ถึงขั้นบอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเขาเข้าไปในห้องเรียน เขาสอน ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ให้กับลูกศิษย์ด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างพึงพอใจท่ามกลางทุกคนที่กุมมือขอบคุณเขา สำหรับเรื่องที่อาจารย์อวี้ซันอธิบายไม่เหมือนกับที่เขาสอน นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเก็บมาพิจารณา
ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาคือสถานที่ที่ทุกคนที่มายังสำนักศึกษาต้องไม่พลาด เหล่าขุนนางในฉางอันเห็นว่าประตูใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว หากมีเพื่อนจากที่อื่นมาเยี่ยมเยียน การพาไปเที่ยวประตูใหญ่สักรอบหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ผู้หญิงของตระกูลใหญ่โตไม่ยอมออกมาเจอแขก แต่เมื่อมีพ่อกับพี่ชายไปเล่นที่สำนักศึกษาเป็นเพื่อนกลับไม่ใช่ข้อห้ามอะไร เพียงแค่เจ้าต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายก็แค่นั้น ข้อนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนใช้ความพยายามทำให้เกิดขึ้น มิเช่นนั้นสำนักศึกษาที่เต็มไปด้วยผู้ชายมันอาจจะบิดเบือนจิตใจที่เปราะบางของพวกลูกศิษย์ได้
หลี่กังไม่รู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่แล้ว เขาจึงยอมเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ในสำนักศึกษามีนิสัยแย่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นลูกศิษย์ที่หน้าตาหล่อเหลาและรูปร่างผอมบาง พวกเขาก็จะไปลูบที่คางดูสักสองสามที ลูกศิษย์บางคนที่มีจินตนาการล้ำเลิศก็แต่งเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างตัวเองกับเพื่อนร่วมชั้นสาวงามที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย
เห็นเพื่อนร่วมชั้นสองคนที่ใส่เสื้อสีฟ้าปลิวไสวเดินเข้ามา ท่าทางที่สง่างามและเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะผลักเหยียนจือทุยให้รีบวิ่งออกไป คุณพี่ จะแต่งตัวเป็นผู้ชาย อย่างน้อยก็หาผ้ามารัดหน้าอกที่นูนโตเอาไว้หน่อยได้หรือไม่ น้ำลายของลูกศิษย์พวกนั้นจะไหลออกมาอยู่แล้ว แม้แต่ชายเฒ่าวัยเกือบหนึ่งร้อยก็ยังมีชีวิตชีวา อ้าปากค้างมองดูสาวงาม
เขาถือพัดอยู่ในมือ นี่คือของสิ่งใหม่ที่พึ่งจะหาเจอเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในสำนักศึกษามีกันแค่ไม่กี่คน คนที่ขี้อวดหน่อยแม้แต่ฤดูหนาวก็ยังเอาออกมาพัดสักสองสามที มิเช่นนั้นมันคงไม่เพียงพอที่จะแสดงท่าทางของตัวเอง
“เอ๊ะ พี่อวิ๋น วันนี้ข้าเห็นว่าดวงอาทิตย์สดใสสวยงาม อดไม่ได้รู้สึกอยากออกไปเที่ยวเล่น ไม่ทันได้รู้สึกตัวก็มาถึงที่สำนักศึกษา ขอให้พี่อวิ๋นนำทาง พาข้าและพี่หลี่เยี่ยมชมหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนผู้เฒ่า คอยอธิบายเรื่องของสำนักศึกษาให้เขาฟัง ท่านทั้งสองอยากจะเที่ยวเล่นก็เชิญตามสบาย”
“เจ้ากล้าหรือ ท่านพ่อของข้าบอกแล้วว่า หากเจ้ากล้าละเลยพวกข้า อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” พี่หลี่ที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วตะโกนเสียงดัง
“อย่าตะโกน ตะโกนอีก เดี๋ยวจะจับเจ้าไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา พาพี่สะใภ้ของเจ้าไปหาโหวเจี๋ยซะ หากทำให้ผู้เฒ่ารำคาญ แม้แต่พ่อของเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ อยู่ดีๆ มาทำอะไรที่สำนักศึกษา”
ตอนนี้ทั้งสองคนถึงได้เห็นว่ามีชายเฒ่านั่งอยู่บนรถ พวกเขารีบทำความเคารพ ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชายโค้งคำนับช่างดูแปลกประหลาด
“พี่อวิ๋นอย่าตกใจไป ท่านพ่อของข้าสั่งให้เสี่ยวหวังพาน้องๆ มาเยี่ยมชมสำนักศึกษา พี่สะใภ้จะมาหาโหวเจี๋ยที่สำนักศึกษาพอดี พวกข้าจึงตามมาด้วย”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว โค้งคำนับผู้เฒ่าเหยียนก่อน แล้วพวกเจ้าก็ไปหาหลี่อั้นกับหลี่โย่วที่สำนักศึกษา ให้พวกเขาพาเจ้าไปเดินดูรอบๆ” ลูกชายคนที่เจ็ดของหลี่ซื่อหมินมีนามว่าหลี่อวิ้น ขี้ขลาดตาขาว ชอบแต่ความสนุกสนาน เขาบอกเองว่าขอแค่มีชีวิตที่มีความสุขก็เพียงพอ นี่คือคำพูดที่คนฉลาดถึงจะพูดออกมา
เหยียนจือทุยชอบเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หลานหลิงเอาลูกอมสูตรลับของตระกูลอวิ๋นให้กับผู้เฒ่าเหยียน นางเข้ามาเบียดในรถ เอะอะโวยวายใส่อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด แต่ผู้เฒ่าเหยียนก็ไม่ว่าอะไร พูดคุยและหัวเราะกับเด็กสองคนนั้นอย่างมีความสุข
กลับมาจากประตูใหญ่ก็เห็นโหวเหลียนเอ๋อร์ตาแดงก่ำและโหวเจี๋ยที่ก้มหน้าก้มตาออกมาจากห้องเรียน มีหัวยื่นออกมาจากหน้าต่างตั้งมากมาย พวกเขาเตรียมที่จะดูเรื่องสนุก
“อวิ๋นเยี่ย ไม่เลวจริงๆ เจ้าสัญญากับพ่อของข้าที่ลั่วหยางว่าจะดูแลน้องชายของข้าเป็นอย่างดี เจ้าดูซิ นี่คือผลลัพธ์จากการดูแลของเจ้าใช่หรือไม่” พูดจบก็ดึงมือของโหวเจี๋ยออกมาจากด้านหลังให้อวิ๋นเยี่ยดู
“ไม่เลวหนิ นี่คือมือของลูกผู้ชาย ผิดอะไร โหวเจี๋ยใช้กำลังของตัวเองแบกหินพวกนั้น เหตุใดเจ้าไม่ไปพูดถึงหินที่สง่างามและแปลกประหลาดพวกนั้น แต่กลับเอาแต่พูดถึงเรื่องมือของเขา มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่จะสนใจเรื่องมือหยาบ ต่อไปโหวเจี๋ยก็ต้องพึ่งพามือคู่นี้ต่อสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง จะอ่อนนุ่มได้เช่นไร”
ประโยคเดียวพูดจนโหวเจี๋ยรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมาทันที โหวเหลียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นเยี่ยอย่างดุเดือดและพูดว่า “ถึงแม้ว่าที่เจ้าพูดมันจะมีเหตุผล แต่เจ้าลงโทษให้เขาไปแบกก้อนหิน ลงโทษหนักเกินไปหรือไม่ เขาแค่ลอกข้อสอบของคนอื่นเองไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่โหวเจี๋ยกลัวที่สุดก็คือมีคนพูดถึงเรื่องนี้ ใครพูดเขาก็จะโกรธคนนั้น ได้ยินที่พี่สาวของตัวเองพูด เขาอับอายจนหน้าแดงก่ำไปหมด ปัดมือของพี่สาวออกและวิ่งหนีไปทันที โหวเหลียนเอ๋อร์ยังคงตะโกนอยู่ข้างหลัง “เสี่ยวไกว” นี่คือชื่อเล่นของโหวเจี๋ย ตอนนี้แม้แต่ฆ่าตัวตายโหวเจี๋ยก็อยากทำ เขาทิ้งพี่สาวของตัวเองไว้ข้างหลัง และพวกลูกศิษย์ที่ยื่นหัวออกมาต่างก็พากันหัวเราะ ชื่อเสียงของโหวเจี๋ยจบสิ้นแล้ว
ในที่สุดชายเฒ่าก็รู้สึกเหนื่อย หลานหลิงก็ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่ออกไปแล้ว พาชายเฒ่ากลับไปพักที่ห้องของอวิ๋นเยี่ย จู่ๆ ชายเฒ่าก็เบิกตาโตพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อย่าทำผิด ยืนตรงๆ และเดินไป ทางของข้าเดินเสร็จแล้ว ต่อไปก็อยู่ที่ว่าพวกเจ้าจะเดินต่อไปเช่นไร” หลังจากพูดจบก็หลับตาลงอีกครั้ง
เมื่อมานั่งอยู่ในห้องทำงาน ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดของชายเฒ่าหมายความว่าอะไร พึ่งจะสงบลง กลุ่มองค์หญิงของราชวงค์ก็รวมตัวกันเข้ามา มองดูเกาหยางที่สูงส่งแล้วก็มองไปยังหลานหลิงที่ชาญฉลาด จากนั้นก็มองดูเหล่าองค์หญิงน้อยๆ หรือว่าความผิดที่ชายเฒ่าพูดถึงคือพวกนาง?
พระเจ้า ข้าอยากจะหนียังไม่ทัน ยังมีอารมณ์ไปยั่วพวกนางอีก? ในนั้นมีคนดีๆ สักคนไหม ผู้เฒ่า ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว
หลี่ซื่อหมินไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อย เอาเหล่าองค์หญิงมารังควานอวิ๋นเยี่ย ไม่ให้เขาได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น อวิ๋นเยี่ยที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนตอนนี้อ้าปากหาวกว้างราวกับฮิปโป ยังต้องเล่าเรื่องในทะเลให้กลุ่มองค์หญิงฟัง อธิบายความแตกต่างระหว่างปลาทองกับวาฬ เขาไม่ได้ถูกปลาตัวเล็กยาวหนึ่งนิ้วตกใส่จนสลบไป แต่ถูกวาฬขนาดใหญ่เท่าบ้านตกใส่ หากไม่เชื่อก็ลงไปดูก้างปลาวาฬในห้องข้างล่าง นั่นคือก้างที่เหลืออยู่หลังจากกินเนื้อปลาไปหมดแล้ว
กว่าจะหลอกล่อเด็กผู้หญิงน่ารำคาญเหล่านั้นออกไปได้ช่างหนักหนา หลังจากนั้นอวิ๋นเยี่ยกระโดดเข้าไปในห้องของอาจารย์อวี้ซัน เตรียมที่จะนอนหลับจนถึงฟ้าสว่าง ถึงมีใครมาเรียกก็ไม่เปิดประตู
ตื่นนอนขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว ปิดประตูนอนท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว เหงื่อท่วมตัวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้คงพลาดเวลาอาหารของสำนักศึกษาแล้ว ต้องไปหาอะไรกินที่ร้านของหวงสู่แทน
หากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนที่ได้เจอแรกสุดคือหวงสู่ ตอนนี้เขาเหมือนกลายร่างเป็นพังพอนสีเหลืองไปแล้ว มีเนื้อที่แก้มทั้งสองข้าง ตัวอ้วนขึ้นไม่น้อย หากไม่ใช้เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบา อวิ๋นเยี่ยคงสงสัยว่าเจ้านี่ได้สูญเสียทักษะของหัวขโมยไปหมดแล้ว
สั่งให้หวงสู่ทำบะหมี่ชามใหญ่ให้ตัวเอง เพิ่มพริกเพิ่มน้ำส้มสายชูและเพิ่มกระเทียม เขาถือกะละมังจะไปอาบน้ำที่แม่น้ำตงหยางซะหน่อย อากาศร้อนเช่นนี้ ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่าอาบน้ำอีกแล้ว
ช่างโชคร้าย ท้องฟ้ามืดมน ดวงจันทร์และดวงดาวถูกบดบังอยู่หลังก้อนเมฆ เมื่ออยู่ริมแม่น้ำแล้วยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วเลย หวงสู่ถือตะเกียงขึ้นมาแล้วพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านโหว ท่านอาบน้ำในถังน้ำของที่ร้านก็ได้ ข้าน้อยไปตักน้ำให้ท่านเอง ข้างนอกมืดเกินไป หกล้มหัวกระแทกไปมันจะไม่ดี”
“เหลวไหล ถังน้ำในร้านของเจ้าเป็นน้ำที่ใช้ดื่ม เจ้าคงไม่ได้อาบน้ำในถังใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าคงไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว อาหารของร้านเจ้ายังกินได้อยู่หรือไม่”
หวงสู่ตะโกนออกมาด้วยความน้อยใจ เอาบรรพบุรุษมาสาบานว่าไม่มีเรื่องนี้แน่นอน เขาจะไปอาบน้ำในแม่น้ำ ไม่เคยอาบน้ำในถังเก็บน้ำ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้อาบน้ำในถัง เขาถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปในแม่น้ำ
นอนอยู่บนพื้นทราย ปล่อยให้สายน้ำที่เย็นฉ่ำไหลผ่านร่างกาย และยังเจอปูสองตัวที่ขนาดเท่าเหรียญ จึงจับมันไว้ในมือ หมุนมันอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้พวกมันหนีไปไหน
“ท่านโหวมีเรื่องอะไรดีๆ หรือ” หวงสู่นอนอยู่ในแม่น้ำ เงยหน้าขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ย
“เจ้าดูออกแล้วหรือ ยกก้อนหินออกจากอกแล้วจริงๆ นอนหลับอย่างสบายใจไปตอนบ่าย พึ่งจะตื่นขึ้นมา พลาดเวลาอาหารไปแล้วจึงต้องมากินบะหมี่ที่เจ้า”
“ความคิดของท่านโหว ข้าน้อยไม่กล้าคาดเดา แต่แค่ท่านมีความสุข ข้าน้อยก็มีความสุข แสดงว่าสำนักศึกษาจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอย่างแน่นอน ข้าน้อยอาศัยสำนักศึกษาใช้ชีวิตไปวันๆ แค่อยากจะส่งข้าวชามนี้ต่อไปให้ลูกให้หลาน ให้เสี่ยวสู่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าข้า หากมีเวรกกรรมอะไรก็ให้มาลงที่ข้า แม้แต่ฟ้าผ่าฟ้าร้องข้าก็ยอมแบกรับมัน วันสบายๆ หากจับมันเอาไว้ก็คงไม่มีทางยอมปล่อยมันไป”
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง ปีนี้สำนักศึกษากำลังจะสร้างตึกอีกแล้ว ปีหน้าลูกศิษย์คงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
“เช่นนั้นก็ดีเลย ร้านเล็กๆ ของข้าน้อยก็ควรขยับขยายบ้างแล้ว ท่านตั้งชื่อใหม่ให้ข้าน้อยหน่อยสิ ท่านโหวท่านเป็นถึงอาจารย์ของสำนักศึกษา ชื่อที่ข้าน้อยตั้งเอาออกมาใช้ไม่ได้จริงๆ ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอยู่ตั้งนาน พึ่งจะแขวนป้ายขึ้นไปก็ต้องรีบเอาลงมา” หวงสู่กุมมือขอร้องอวิ๋นเยี่ย
“ชื่อที่เจ้าตั้งคืออะไร ชื่ออะไรล่ะ ไหนลองบอกมาซิ โดยทั่วไปแล้วใช้ชื่อที่ตัวเองเป็นคนตั้งดีที่สุดจะได้เป็นกิจการค้าขายที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถึงแม้ว่าชื่อจะไม่ไพเราะ แต่พูดแล้วติดหู จำง่าย แพร่กระจายรวดเร็ว”
“ข้าน้อยคิดว่าตัวเองชื่อหวงสู่ จึงอยากจะเรียกกิจการค้าขายของตัวเองชื่อเดียวกัน เช่นเดียวกับขนมพายแม่ยายเฉาที่ตลาดตะวันหก หวังซยาจื่อบะหมี่เย็น ชีสหลิวหุน ซุปชาจังอีตาน ปีนี้ข้าน้อยเตรียมสร้างตึก จึงคิดว่าจะตั้งชื่อว่าหวงสู่โหลว ข้าน้อยไปถามคนอื่นมาแล้ว มีตึกๆ หนึ่งชื่อว่าหวงเฮ่อโหลว กิจการของข้าน้อยมีชื่อว่าหวงสู่โหลวก็คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ช่วยไม่ได้ที่ในความคิดของชายคนนี้ หวงเฮ่อกับหวงสู่จะเท่าเทียมกัน ดูเหมือนว่าการขอให้อวิ๋นเยี่ยตั้งชื่อใหม่ให้ก็คงเพราะว่าเกรงใจ แต่นี่ก็เป็นกิจการของเขา อยากชื่ออะไรก็ได้ แต่ชื่อว่าหวงสู่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ชื่อว่าสู่โหลวดีกว่า อ่านผิดก็กลายเป็นซูโหลว ไม่เลวเลยทีเดียว
บอกความคิดให้กับหวงสู่ฟัง หวงสู่เกาหัวอย่างชอบอกชอบใจ ดีใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาคิดอยู่เสมอว่ากิจการค้าขายของตัวเองควรเป็นชื่อของตัวเอง
เขายืนเท้าเปล่าตะโกนขึ้นฟ้าว่า “พระเจ้า กิจการของข้ามีชื่อแล้ว” บางทีมันอาจจะเป็นคำพูดที่ผิดต่อสวรรค์ จู่ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นอยู่บนหัวของทั้งสองคน
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 35 ข้ามีนามว่าตี๋เหรินเจี๋ย
เดิมทีชีวิตก็เรียบง่ายอยู่แล้ว จากความตื่นเต้นกลายมาเป็นความเรียบง่าย อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องปรับตัว ชีวิตในตอนนี้คือชีวิตที่เขาชอบที่สุด งาของตระกูลอวิ๋นโตเต็มที่แล้ว จากสภาพอากาศของฉางอัน ภายในเดือนมีนาคมก็ปลูกได้แล้ว ต่างจากดินแดนเหอเป่ยที่ต้องรอให้ถึงเดือนเมษายนถึงจะปลูกได้ สำหรับเรื่องเกษตรกรรมอวิ๋นเยี่ยก็พอจะรู้อยู่บ้าง
วันนี้ได้ยินมาว่าตระกูลของตัวเองปลูกงา อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะทำน้ำมันงาสักหน่อย ผืนดินยังเป็นสีเขียว บางครั้งก็ผสมผสานกับเมล็ดงาที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เป้าหมายของวันนี้ก็คือพวกมัน
เคียวของต้าถังใช้งานไม่ดีเลยสักนิด อวิ๋นเยี่ยจึงต้องใช้กรรไกรขนาดใหญ่ตัดก้านงาที่โตเต็มที่แล้วไปๆ มาๆ ระหว่างไร่กับสันเขา หมวกที่อยู่บนหัวก็เอามาจากซ่านอิง เจ้านี่จะกลับฉางอันแค่เดือนละหนึ่งครั้ง ถึงตัวเต็มไปด้วยโคลนก็จะยังเข้าไปในบ้าน แม้จะรู้ว่าต้ายาคิดอะไรกับเขาอยู่แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปทำร้ายความรักของทั้งคู่ ต้ายาที่ขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้นบางทีการแต่งงานกับซ่านอิงอาจจะทำให้นางไม่ถูกรังแก
วันที่สามเดือนตุลาคม รุ่นเนียงก็จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ในที่สุดตอนนี้นางก็รู้จักเขินอายบ้างแล้ว ซ่อนตัวปักผ้าอยู่ในห้อง แล้วยังขอให้อี้เหนียงมาช่วยสอน อี้เหนียงพาลูกกลับไปบ้านอย่างมีความสุข และแน่นอนว่าสามีของนางก็กลับมาด้วยอย่างไร้ยางอาย ตามมาดูแลภรรยาและลูก ลูกน้อยยังไม่ได้ตั้งชื่อ เอาแต่เรียกเขาว่าเสี่ยวกุย เสี่ยวกุย จนเขารู้จักที่จะหันหน้ามาแล้ว ตั้งแต่มาถึงบ้านของตระกูลอวิ๋น พี่ใหญ่เผยก็ถอดเครื่องแบบขุนนางออก สวมเสื้อคลุมสีฟ้าของตัวเอง หนีบหนังสือเล่มหนึ่งไว้ใต้แขนแล้วก็ไปเป็นลูกศิษย์ที่สำนักศึกษา
เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาพึ่งจะได้รับตำแหน่งขุนนางชั้นแปด ทำงานอยู่ในกรมคลังอย่างสุขสบาย บัญชีเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับยอดฝีมือลูกคิดอย่างเขา แล้วพ่อของเขาก็ยังช่วยเขาได้ เขายังเป็นคนที่มีไหวพริบดีและมีน้ำใจ บางครั้งก็ไปเลี้ยงข้าวทุกคนที่ร้านที่ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงเปิดด้วยกัน กินอาหารต้นตำรับของจวนตระกูลอวิ๋น ลิ้มรสชาใหม่ๆ ผ่านไปไม่นาน เขาก็มีชื่อเสียงว่าเป็นชายหนุ่มผู้ชาญฉลาด
เมื่อพี่ใหญ่เผยไม่อยู่ อวิ๋นเยี่ยเคยถามอี้เหนียงว่านางสบายดีหรือไม่ หากมีอะไรไม่พอใจให้พูดออกมา ข้าจะไปตัดขาคนของตระกูลเผยที่ฉางอันเอง ในเรื่องนี้ นับว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลพอๆ กับคนบ้าทีเดียว โชคดีที่ท่าทางของอี้เหนียงบอกเขาว่านางมีความสุขดี บางทีอาจจะเป็นช่วงให้นมลูก นางอ้วนขึ้นไม่น้อย อี้เหนียงที่อ้วนกลมช่างมีลักษณะของความเป็นแม่
วั่งไฉยืนอยู่บนสันเขา มีตะกร้าสองใบห้อยอยู่บนหลัง บางทีอาจจะเป็นเพราะกลิ่นของงาที่ดึงดูดมัน มันเลือกที่จะกินเปลือกงาไปด้วย เมื่อมันแลบลิ้นออกมาทีหนึ่ง เมล็ดงาจำนวนมากก็หายไปหมด
ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ขาดแคลนแรงงาน แต่มีบางเรื่องที่ตัวเองทำสำเร็จเองมันจะสนุกกว่า เขาใส่รองเท้า สวมหมวก และสวมเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อหยาบ ท่าทางดูเหมือนเด็กบ้านนอก ตอนที่อวิ๋นเยี่ยออกไป ซินเยี่ยกับน่ารื่อมู่ก็อุ้มลูกด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก
ผู้เฒ่าเหยียนบอกว่าอย่าสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ เราก็ต้องแอบทำอย่างเงียบๆ แต่งตัวเป็นชาวบ้านคงจะไม่มีใครมาหาเรื่อง ใช้กรรไกรตัดงาออกมาช่างง่ายดาย ผ่านไปไม่นาน ตะกร้าไม้ไผ่สองใบก็เต็มแล้ว เลือกต้นที่สูงใหญ่ที่สุดและมีเปลือกงามากที่สุดออกมาจากพื้นดิน ตัดออกมาแล้วถือไว้ในมือ ถูงาไปด้วยพร้อมกับเป่าแกลบออกไปด้วย ลองกินเข้าไปในปากแล้วพบว่ารสชาติดีมาก ทำให้ผ่านไปไม่นานที่ปากของเขาก็มีวงกลมสีดำขนาดใหญ่
ตัวเองกินก่อนแล้วค่อยป้อนวั่งไฉกิน จากนั้นก็เดินไปบนถนนลูกรังเล็กๆ อย่างสนุกสนาน
บนถนนใหญ่มีผู้คนไปๆ มาๆ รถลากอิฐแล่นไปไม่มีที่สิ้นสุด ป้ายร้านอิฐตระกูลหลิวแขวนอยู่บนเกวียนวัวช่างสะดุดตา หลิวซันตั้งแต่มีหน้ามีตาออกมาจากพระราชวัง หลังจากนั้นร้านอิฐของเขาก็กลายเป็นร้านอิฐที่ใหญ่ที่สุดของฉางอัน ได้ยินมาว่าตอนนี้กำลังยื่นมือออกไปทำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เขาอยากจะลองทำดู
นี่คือเรื่องที่ได้ยินมาจากเหอเซ่าตอนที่พูดคุยกัน อ๋องอ้วนก็คือคนที่เอาสัญญายัดเข้าไปในปากและกลืนลงไป ตอนนี้เขากลายเป็นพ่อค้าขายอิฐรายใหญ่อันดับสองของฉางอันไปแล้ว สำหรับพ่อค้าขายอิฐที่เหลือ ได้ยินมาว่าหายไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครใช้อิฐของพวกเขา บนโลกใบนี้คนที่สามารถซื้ออิฐมาสร้างบ้านได้ ล้วนแต่เป็นคนที่อยากจะยึดความร่ำรวยของราชวงศ์ ต่อให้ราคาแพงก็ไม่สนใจ บ้านหลังนี้จะต้องตกทอดไปให้กับลูกๆ หลานๆ จึงไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เห็นอะไรที่ลับๆ ล่อๆ อวิ๋นเยี่ยก็แค่ยิ้มให้ หากที่นี่ไม่มีเงาของเหอเซ่าก็คงเป็นเรื่องแปลก กิจการของตระกูลของหลิวและตระกูลหวังจะต้องมีส่วนของเขาอย่างแน่นอน ดูจากเงินที่เขาเอามาให้ตระกูลอวิ๋นทุกปีก็รู้แล้วว่าเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการมากกว่าหนึ่งอย่าง
คราวนี้สำนักศึกษาสร้างตึกต่อไป อิฐที่ใช้ก็เอามาจากสองตระกูลนี้ เพียงแต่ทุกคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้อิฐสร้างกำแพง ใช้ดินเหลืองและฟางเอาไม่ได้หรือ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวั่งไฉ ตอนนี้มันสูงขึ้นอีกแล้ว กลายเป็นม้ารบตัวสูงจริงๆ แล้ว ขนสีน้ำตาลแวววาว ขนตรงแผงคอที่ยาวๆ ถูกสาวใช้มัดเล่นจนกลายเป็นซาลาเปา ใครเห็นก็บอกว่าสวยงาม แต่ตอนนี้มันมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปทางแนวนอนแล้ว และเพื่อให้ไม่ให้กระบวนการลดน้ำหนักที่ยากลำบากของวั่งไฉเสียเปล่า อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเพิ่มภารกิจประจำวันให้กับมัน ขอแค่มีเรื่องสักหน่อยที่ต้องใช้งานมัน เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสนั้นไป
ผู้คนบนท้องถนนต่างพากันยกย่องวั่งไฉ ด่าว่าอวิ๋นเยี่ย ม้าล้ำค่าดีๆ ต้องกลายเป็นม้าใช้งาน ม้าล้ำค่าที่แบกงาสองตะกร้าไว้บนหลัง ม้าล้ำค่าก็ควรจะเอาไปขี่บนท้องถนน เด็กยากจนควรจะแบกงาเอง
หลายคนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนโง่ ต่างพากันเข้ามาทักทายเขา อยากจะมาเอาเปรียบเขา แต่เมื่อเห็นปากสีดำที่พึ่งกินงาเข้าไปของอวิ๋นเยี่ย พวกเขาก็ยิ่งแน่ใจว่านี่คือคนโง่
“ไอ้หนุ่ม ข้าขาดม้าลากเกวียนตัวหนึ่ง เจ้าเอาม้ามาขายให้ข้า ข้าให้เงินเจ้าห้าเหรียญ ให้พ่อแม่ของเจ้าจัดหาภรรยาให้เจ้าแต่ง” ชายที่ใส่ผ้ารัดเอวเดินเข้ามาเยาะเย้ยอวิ๋นเยี่ย
“แต่งภรรยาไม่เลวเลยทีเดียว ข้าอยากจะแต่งภรรยามานานแล้ว หมาน้อยยังมีภรรยาแล้ว ข้าก็อยากมีบ้าง เจ้าบอกว่าห้าเหรียญใช่หรือไม่ ไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยเลิกคิ้วและพูดเสียงดัง
“ข้าก็ว่ามันน้อยเกินไป ม้าตัวนี้คือม้าล้ำค่า จะให้เจ้าขายห้าเหรียญได้เช่นไร เจ้าฉลาดไม่เบา เช่นนั้น ข้าให้เจ้าหกเหรียญ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ไม่น้อยเลยนะ วัวตัวหนึ่งก็ตั้งเจ็ดเหรียญ ความแข็งแกร่งของม้าไม่แข็งแรงเท่าวัว ให้เจ้าหกเหรียญเพราะเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร คนที่จะแต่งภรรยา ไม่มีเงินไม่ได้นะ” ชายไว้เคราตาสีฟ้าที่สวมหมวกทรงกลมเดินเข้ามากระซิบบอกอวิ๋นเยี่ยเบาๆ
“พวกเจ้าโกหกข้า ให้น้อยเกินไป” อวิ๋นเยี่ยมองดูผู้คนที่ต้องการมาเอาเปรียบเขาด้วยความโมโห
“แปดเหรียญ ข้าให้แปดเหรียญ หากเจ้ายังกล้าขึ้นราคาข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาด” ชายคนนั้นเริ่มทนไม่ไหว เสนอราคาแล้วยังถือโอกาสข่มขู่อวิ๋นเยี่ย คิดว่าเช่นนี้คงมีประสิทธิภาพมากขึ้นหน่อย
“ไม่ได้ น้อยไป…” อวิ๋นเยี่ยหักนิ้วนับอยู่ตั้งนานก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ไม่ถึงสี่เหรียญไม่ขาย!”
บรรยากาศเงียบลงทันที ชายคนนั้นกระตุกไปพักหนึ่ง กัดฟันแล้วพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็สี่เหรียญ ใครกล้ามาแย่งข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดเสร็จ เขาก็ควักเงินสี่เหรียญออกมาโยนให้อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรับเงินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ใช้ฟันกัดเข้าไปทีหนึ่ง ช่างมีความสุข ยั่วให้ชาวหูถอนหายใจ การค้าขายที่ดีเช่นนี้ ชายคนนั้นเผลอเอาป้ายชื่อหน่วยปราบปรามการทะเลาะวิวาทออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตัวเองก็ทำได้แค่ยอมแพ้
ชายคนนั้นมีความสุข กำลังจะเข้าไปกอดคอของวั่งไฉ สิ่งที่วั่งไฉเกลียดที่สุดก็คือการถูกคนพวกนี้แตะต้อง ครั้งก่อนมันถูกคนพวกนี้เฆี่ยนไปตั้งหลายครั้ง มันแค้นอยู่ในใจมานานแล้ว ตอนนี้อนุญาตให้แค่คนขี่ม้า สาวใช้และพวกเด็กๆ แตะต้องตัวเอง คนอื่นมาแตะต้องจะกัดให้หมด
มันกัดเข้าไปที่มือของชายคนนั้นอย่างแรง มันถือโอกาสตอนที่เขาตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด เตะชายคนนั้นลงไปในคูน้ำข้างทาง จากนั้นก็กรีดร้องอย่างภาคภูมิใจ บอกให้อวิ๋นเยี่ยป้อนเมล็ดงาให้มันกินไม่หยุด เดิมทีแบ่งกันคนละคำ แต่เมื่อครู่มันเห็นอวิ๋นเยี่ยกินไปแล้วตั้งหลายคำ ตอนนี้ถึงตามันบ้างแล้ว
ชายคนนั้นคลานออกมาจากคูน้ำ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและพูดว่า “ม้าดี ม้าดีจริงๆ วันนี้ข้าบอกเลยว่า ข้าจะไม่บ่นสักคำ”
วั่งไฉพึ่งจะกินงาไปคำหนึ่ง กำลังจะกินคำที่สอง ชายน่ารำคาญคนนั้นคลานออกมาร้องโหยหวนอีกแล้ว มันลุกขึ้นพร้อมกับกรีดร้อง กำลังจะเตะไปที่ชายคนนั้น ทำเอาชายคนนั้นตกใจจนมุดลงไปอีกครั้ง
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและก้าวไปข้างหน้าต่อ วั่งไฉรีบเดินตามไปติดๆ ชายคนนั้นตะโกนร้องอยู่ข้างหลัง แต่กลับกลัวความดุร้ายของวั่งไฉ ไม่กล้าตามเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงเดินตามอยู่ห่างๆ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉกำลังจะเดินออกไปไกล เขาก็กัดฟันพูดว่า “ชายคนไหนจูงม้าตัวนั้นมานี่ได้ ข้าให้เงินรางวัลหนึ่งเหรียญ” ทันใดนั้นก็มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเดินเข้ามา กำลังจะจูงม้าไป แต่แน่นอนว่าวั่งไฉไม่ยอม มันทั้งกัดทั้งเตะ ทำเอาทุกคนกลัวที่จะก้าวเข้ามาใกล้ พวกเขาทำได้เพียงเดินวนไปรอบๆ ทันใดนั้นบนถนนก็วุ่นวายจนเละกลายเป็นโจ๊ก อวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างถนน ภารกิจวันนี้ของวั่งไฉไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ มาเล่นเป็นเพื่อนคนพวกนี้สักหน่อยก็ไม่เลว
รถม้าที่มีทหารองครักษ์สี่คนขับผ่านมา เห็นเหตุการณ์วุ่นวายก็ขมวดคิ้ว องครักษ์ตะโกนออกมา เหตุการณ์ที่วุ่นวายก็สงบลงทันที วั่งไฉถือโอกาสวิ่งกลับไปหาอวิ๋นเยี่ย พักผ่อนสักครู่ เมื่อครู่เตะไปตั้งหลายคน มันรู้สึกเหนื่อยทีเดียว
หัวกลมๆ เล็กๆ โผล่ออกมาจากรถม้า สวมมงกุฏสีทองเล็กๆ อยู่บนหัว ด้านบนยังมีดอกไม้สีแดงหนึ่งดอก ใบหน้าบอบบาง มากสุดอายุไม่เกินห้าขวบ แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับราวกับคนที่มีอายุเยอะ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เสียงดังเช่นนี้”
จิตใจที่ไร้เดียงสาของอวิ๋นเยี่ยก็แข็งแกร่งขึ้นมา เขาตัดสินใจที่จะหยอกล้อเด็กน้อยที่น่ารักคนนี้ เขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “”พวกเขาจะมาแย่งม้าของข้า”
“เหลวไหล ม้าตัวนี้เป็นของข้า นายน้อยท่านนี้ พวกข้าเปิดถนนให้ท่านแล้ว ท่านรีบไปเถิด” เด็กน้อยกระโดดลงจากรถทันที กระโดดสองสามก้าวเข้าไปข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย องครักษ์ของเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ความรุนแรงของวั่งไฉที่เมื่อครู่พวกเขาได้เห็นกับตานั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อมือของเด็กน้อยแตะไปที่ต้นขาของวั่งไฉ วั่งไฉไม่เพียงแต่ไม่เตะเขา แต่มันกลับก้มหน้าลงมาให้เด็กน้อยคนนี้เกาหัว
เด็กน้อยเกาหัวของวั่งไฉสองสามครั้ง มองดูอวิ๋นเยี่ยที่กำลังตกตะลึง จากนั้นก็มองดูพวกคนจับม้าที่น่าสมเพชพวกนั้น พูดกับองครักษ์อย่างหนักแน่นว่า “ลุงพาน คนพวกนี้รังแกคนอ่อนแอกลางวันแสกๆ เราจะไม่สนใจไม่ได้ ม้าตัวนี้เป็นของชาวนาคนนี้ ไม่ใช่ของคนพวกนั้น”
“ม้าตัวนี้ข้าซื้อมาด้วยเงินสี่เหรียญ มันเป็นของข้า” ได้ยินเสียงของชายคนนั้น องครักษ์ที่เดิมทียังลังเลอยู่เล็กน้อยก็ตะโกนออกมา “ม้าล้ำค่าเช่นนี้ ไม่มีหนึ่งร้อยสองร้อยเหรียญไม่ต้องมาถาม เจ้าซื้อมาด้วยเงินสี่เหรียญ ไม่ใช่หัวขโมยก็ต้องเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน” พูดเสร็จเขาก็หยิบแส้ออกมาไล่ตีพวกคนที่มาจับม้า
ชายคนนั้นตะโกนร้องและวิ่งหนีออกไป หลักการที่ว่าลูกผู้ชายไม่ยอมเสียเปรียบเขาก็พอจะเข้าใจ จากนั้นเด็กน้อยคนนั้นก็กระโดดไปหาอวิ๋นเยี่ย เขายิ้มและพูดว่า “ข้ามีนามว่าตี๋เหรินเจี๋ย ข้ากำลังจะไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา หากมีใครรังแกเจ้า ก็บอกชื่อของข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น