เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 31-32

[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 31 ภายใต้แสงอาทิตย์ย่อมมีความม...

 

สิ่งต่างๆ เวลาพูดดูเหมือนง่ายแต่เมื่อปฏิบัติจริงมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่างเช่นความโชคร้ายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือหมึกไม่ติดกับตัวอักษรดินเผา เมื่อพิมพ์ออกมาจึงกลายเป็นสีดำทั้งหมดดูไม่ชัดเจน กระดาษก็บางกรอบเกินไปสะบัดสองสามทีก็ขาดออกจากกันแล้ว ความคิดและความเป็นจริงช่างห่างไกลกันเหลือเกิน


 


 


หลังจากที่ล้มเหลวอีกครั้งทุกคนก็เริ่มรู้สึกท้อแท้ มีเพียงเหยียนจือทุยเท่านั้นที่มองดูกระดาษแผ่นสุดท้ายที่พิมพ์ออกมาอย่างตื่นเต้น เขาชี้ไปที่ตัวอักษรจื่อกับตัวอักษรเยวแล้วพูดออกมาอย่างดีใจว่า “นี่ไง พิมพ์ออกมาได้แล้ว ตัวอักษรจื่อกับตัวอักษรเยวพิมพ์ออกมาได้ชัดเจนมาก นั่นแสดงว่าอาจารย์ยังหวังให้พวกเราประสบความสำเร็จ วัสดุหมึกชนิดนี้ไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ต้องหาอันที่เหมาะสม ในเมื่อสามารถพิมพ์ตัวอักษรออกมาได้สองตัวแล้ว เช่นนั้นก็จะพิมพ์ตัวอักษรได้เป็นพันคำแน่นอน”


 


 


ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าความรู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จิตใจที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานต้องมาเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ความทะเยอทะยานนั้นค่อยๆ พังทลายไป จำนวนคนในห้องเริ่มลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหลือเพียงอวิ๋นเยี่ย เหยียนจือทุยและลูกชายของเขา เหยียนซือกู่กำลังปรึกษากับอาจารย์หยวนจางอยู่ด้านนอกเกี่ยวกับเรื่องวิธีการแกะสลักว่ามีทั้งหมดกี่วิธี หากหาบทสรุปออกมาได้ก็จะสามารถนำมาใช้ในระบบความเป็นจริง การทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงคนรุ่นหลังนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พวกเขาจะเริ่มลงมือปฏิบัติการกันในคืนนี้ ส่วนอาจารย์หลี่กังนั้นมีคาบสำคัญที่ต้องเข้าสอน อาจารย์หลีสือและอาจารย์จินจู๋บอกกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่าพวกเขาคิดว่าจะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของการพิมพ์ใหม่ ไม่แน่อาจจะหาเหตุผลได้จากการศึกษาครั้งนี้ จะต้องไปที่ห้องสมุด อ่านตำราพื้นฐานเพื่อหาเหตุผลที่แท้จริง


 


 


ตอนนี้อยู่ในจุดที่ไม่ต้องอายกันแล้ว การคิดค้นสิ่งพิมพ์พึ่งจะมีขึ้นได้ไม่นานซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากจารึก ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงของการคาดเดา จะมีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากไหนมาให้พวกเขาศึกษากัน


 


 


หลังจากที่ล้มเหลวอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มไตร่ตรองว่าปัญหาเกิดขึ้นที่จุดไหน ปี้เซิงในราชวงศ์ซ่งสามารถทำได้ก็ไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะทำไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็เทแท่งหมึกออกมาวางกระจายอยู่บนโต๊ะไม้ ก็ถือว่าไม่แย่ เวลาใช้พิมพ์ลายเส้นคมชัด ระยะห่างและขีดตัวอักษรก็ไม่มีปัญหา กำลังจะเอาไปให้ชายเฒ่าดู ก็เห็นสองพ่อลูกกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเอือมระอา


 


 


“ไอ้หนุ่ม หมึกของเจ้าผสมด้วยกลิ่นหอมของไม้กฤษณาชั้นดี อีกทั้งยังมีชาดแดง ผงแร่ และยังมีแม้กระทั่งยาไล่แมลง ของราคาแพงเช่นนี้มีเพียงไม่กี่ตระกูลในฉางอันที่จะมีไว้ครอบครองได้ แต่เจ้ากับเอามันมาพิมพ์หนังสือ ใช้หมึกดีพิมพ์ออกมาเช่นนี้ใครจะซื้อไหว มิน่าล่ะทุกคนถึงได้เรียกเจ้าว่าทายาทจอมล้างผลาญ”


 


 


เหยียนจือทุยไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมฟุ่มเฟือยของอวิ๋นเยี่ย ในสายตาของชายเฒ่ามีเพียงแค่ความเร็วในการพิมพ์ ราคาถูกและมีคุณภาพจึงจะทำให้เขาอยากจะเผยแพร่หนังสือ เขาได้คำนวณไว้แล้วว่าควรจะพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับความรู้จำนวนกี่เล่ม ส่วนผลงานของคนอื่นๆ นั้นก็ถูกชายเฒ่าเลื่อนการพิมพ์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด


 


 


มีแค่ความบ้าคลั่งเท่านั้นที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ อวิ๋นเยี่ยทิ้งแท่งหมึกในมืออย่างไม่ไยดี ทำจิตใจที่บ้าคลั่งให้สงบลง มองดูความห่อเ**่ยวของชายเฒ่า ในใจก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย การให้ชายเฒ่าอายุเกือบร้อยปีมาทำวิจัยอยู่นี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร


 


 


“ท่านผู้เฒ่า ท่านสบายใจได้ ถึงแม้ว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากดินเผาจะไม่สำเร็จ แต่ว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้จะต้องสำเร็จแน่นอน สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ก็มีเพียงการแกะสลักและหมึกเท่านั้น ข้าเคยไปถามมาแล้ว ซงเยียนสามารถทำได้ ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป ท่านแค่เรียบเรียงรายชื่อหนังสือที่ต้องการพิมพ์มา ที่เหลือก็มอบให้ข้าน้อยจัดการ กว่าจะถึงวันเกิดของท่านก็ยังมีเวลาอีกสองเดือน ข้าน้อยจะใช้สิ่งนี้มาเป็นของขวัญเพื่อฉลองให้แก่ท่าน”


 


 


เหยียนจือทุยลูบหน้าตัวเอง พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด หากข้าอยู่ตรงนี้จะเป็นภาระเปล่าๆ ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวล จึซั่นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ ให้คนที่เข้าใจเรื่องนี้เป็นคนจัดการดีกว่าที่พวกเรามานั่งเดาสุ่มสั่งการมั่วๆ”


 


 


เหยียนจึซั่นบังคับเกวียนพาพ่อกลับจวน เมื่ออวิ๋นเยี่ยส่งพวกเขาไปแล้วก็หันกลับไปสั่งให้คนจัดการเชิญกงซูมู่ หลี่ไท่ และกลุ่มคนที่คลั่งไคล้งานวิจัยของสำนักศึกษา เป็นแนวคิดที่ง่ายมาก มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยในสำนักศึกษาที่ชอบการแกะสลัก ทั้งหมดถูกดึงมาช่วยงานแกะสลักไม้ อาจารย์อวี้ซันที่ลายมือสวยงามเป็นคนเขียนแบบอย่างตัวอักษร แต่ว่าเนื่องจากต้องเขียนกลับด้านอวิ๋นเยี่ยจึงกังวลว่าจะมีอะไรผิดพลาดจึงคิดจะเตือนอาจารย์อวี้ซัน แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ถูกระเบิดลง


 


 


คนที่โมโหอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีแค่อาจารย์อวี้ซันคนเดียว ยังมีกงซูมู่และหลี่ไท่ที่โมโหเช่นกัน พึ่งจะก้าวเข้าประตูมาก็เห็นตงซูมู่ชี้มือไปที่ประตูใหญ่ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไป หลังจากที่อาจารย์ลูกศิษย์คู่นี้เดินผ่านประตูเข้ามา สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือคนที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่างแบบอวิ๋นเยี่ย


 


 


ยังดีที่ลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่ได้เป็นแบบพวกเขา ระหว่างที่แกะสลักลูกศิษย์ยังนำกาน้ำชาที่อาจารย์อวิ๋นชอบมาให้เขาอีกด้วย ลูกศิษย์ตระกูลกงซูสองสามคนก็ช่วยกันเหลาไม้ไม่หยุด ไม้แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ฉากวัดเขาได้พบว่าแทบจะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เด็กพวกนั้นไม่มีไม้บรรทัด พวกเขาอาศัยสายตาและกบไสไม้ทำแผ่นไม้ที่อวิ๋นเยี่ยต้องการได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลอวิ๋นไม่เคยขาดแคลนไม้การบูรทอง หากไม่ใช่เพราะว่าตำหนักว่านหมินกำลังซ่อมแซมอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็จะมีไม้การบูรมากกว่านี้อีก


 


 


สามครั้ง ทดลองมาสามครั้งแล้ว หลี่ไท่นำคัมภีร์หลุนอวี่ที่พิมพ์เสร็จแล้วมาให้อวิ๋นเยี่ยดู หลี่ไท่ดูหมิ่นคนที่พยายามมาทั้งวันแต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลยอย่างอวิ๋นเยี่ยเป็นที่สุด


 


 


ไม่สนใจว่าตอนนี้จะดึกดื่นแค่ไหน เขาได้ให้องครักษ์นำแม่พิมพ์ไปส่งที่ตระกูลเหยียนสองคืนติดแล้ว หากไม่รีบนำไปส่ง เหยียนจือทุยก็จะนอนไม่หลับ คนแก่ควรจะพักผ่อนให้เยอะๆ


 


 


ตัวอักษรแกะสลักจากไม้จะให้ใครมาทำก็ทำได้ นี่เป็นคำพูดของกงซูมู่ ความหมายก็คืออวิ๋นเยี่ยและอาจารย์คนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สมองก็สามารถทำได้ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนชิมชาจากตระกูลอวิ๋นที่ได้มาใหม่อย่างเย่อหยิ่ง ในมือถือขนมเปี๊ยะที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมไว้ให้เหล่าอาจารย์กินไปดื่มไป แล้วก็พูดจาถากถางอวิ๋นเยี่ยไปด้วย โดยเฉพาะคนที่ปากคอเลาะร้ายอย่างหลี่ไท่


 


 


“ข้าชื่นชมผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านทั้งสองคนยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าจะนำคำติชมของท่านบอกแก่เหยียนจือทุย อาจารย์หลี่กัง อาจารย์หยวนจาง อาจารย์หลีสือ อาจารย์จินจู๋ และเหยียนจึซั่น บอกพวกเขาว่าต่อหน้าคนที่มีปัญญาสูงส่งอย่างท่านทั้งสองข้าก็เป็นแค่คนต่ำต้อย ไม่รู้ว่าภายใต้คำวิจารณ์ของคนทั้งโลกอาจารย์กงซูมู่จะยังคงรักษาความสูงส่งเช่นนี้ไว้ได้หรือไม่ สำหรับหลี่ไท่นั้นผู้เฒ่าเหยียนจะต้องไปถามฮองเฮาเป็นแน่ว่านางเลี้ยงลูกมาอย่างไร”


 


 


หลี่ไท่วางขนมเปี๊ยะในมือลงอย่างเคร่งขรึม หันไปพูดกับกงซูมู่ว่า “เมื่อตัวอักษรที่แกะสลักจากดินเหนียวถูกเผาจนแข็งตัวแล้ว พิมพ์ออกมาลายเส้นจะต้องสวยกว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้เป็นแน่ และมีความทนทานต่อการใช้งานมากกว่า ข้าค้นพบว่าการตรวจสอบและความเร็วในการจัดเรียงตัวอักษรยังสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้ ควรจะมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพ ศิษย์กะว่าจะขังตัวเองไว้สักสองสามวันเพื่อตั้งใจศึกษาค้นคว้า ข้าจึงต้องขอลาอาจารย์ไปก่อน”


 


 


เห็นหลี่ไท่รีบจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย กงซูมู่ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เห็นหรือยัง เดินหนึ่งก้าวก็มองไปถึงก้าวที่สาม นี่เป็นลักษณะนิสัยของเด็กคนนี้ พวกเราพึ่งจะทำตัวอักษรแกะสลักจากไม้ขึ้นมา เขาก็คิดไปถึงการพัฒนาประสิทธิภาพแล้ว ทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่างโชคดีจริงๆ ที่ข้ามีลูกศิษย์เช่นนี้ แต่ว่าการปล่อยให้อาจารย์ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพียงคนเดียวมันใช้ได้ที่ไหนกัน”


 


 


“เจ้ามีลูกศิษย์เช่นนี้ถือว่าเจ้าโชคดี การสร้างตำหนักว่านหมินไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างที่กำหนดไว้ ความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้เขาก็ออกรับผิดแทนเจ้าโดยที่ไม่ได้ถามอะไร ตระกูลเจ้าควรลองอ่านหนังสือมารยาทดูบ้าง ตามหลักธาตุห้าประการ ต้าถังสนับสนุนธาตุไฟ แต่เจ้าต้องการจะทำให้มันกลายเป็นธาตุดิน ทำให้ช่างฝีมือคนอื่นๆ ต้องอดตาย มีเพียงแค่ลูกศิษย์ตระกูลเจ้าเท่านั้นที่มีงานทำ โบราณกล่าวไว้ว่าความแข็งแกร่งถูกสร้างมาจากรากฐานของดิน น้ำเป็นสะพานเชื่อม ไฟเป็นต้นกล้า คำพูดเหล่านี้ได้หักล้างความคิดของลัทธิขงจื๊อจนไม่สามารถโต้แย้งได้ ราชวงศ์อื่นมีคุณธรรมเพียงหนึ่งเดียว แต่ต้าถังมีสามอย่าง ขาดก็แค่หัวหน้าหน่วยประหารอย่างธาตุทอง และสิ่งมีชีวิตชีวาอย่างธาตุไม้ ผู้มีปรีชาสามารถอย่างฝ่าบาทยังหลงเชื่อ ทำให้ตระกูลเจ้าหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ครั้งนี้เจ้ารับความผิดเล็กๆ น้อยๆ แทนเขาก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของกงซูมู่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เดิมทีคิดว่าเพียงแค่มีตำหนักสวยๆ ที่สร้างขึ้นมาตามพื้นฐานก็พอแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนที่ตกแต่งระเบียงจะเหลือสีเหลืองเยอะขนาดนี้ กงซูเจี่ยใช้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร อย่างไรไม่ว่าจะเป็นสีอะไรสุดท้ายก็จะถูกเคลือบทับ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ใครจะไปรู้ว่าขุนนางฝ่ายพิธีกรรมได้บังเอิญมาเจอเข้าตอนคุมงานจึงทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาทำให้มีคำสั่งหยุดการทำงานแล้วควบคุมตัวกงซูเจี่ยไปเข้าคุกเพื่อรอฟังคำสั่ง ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่หลิ่งหนานไม่สามารถช่วยเหลือได้จึงขอให้หลี่ไท่ออกโรงแทน


 


 


เว่ยอ๋อง ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ เมื่อมาถึงตำหนักก็ทำเอาความคิดพื้นฐานของขุนนางฝ่ายพิธีกรรมกลับหัวกลับหางไปหมด แม้แต่ระบบที่ถูกเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ยังถูกจัดการขึ้นใหม่ บทสรุปสุดท้ายก็คือนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ธาตุทั้งห้าเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ในขณะที่ผู้คนเริ่มรับรู้สิ่งต่างๆ ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจำต้องละทิ้งสิ่งเก่าๆ เหล่านี้ ไม่ควรที่จะมองโลกใหม่ด้วยหลักธรรมเก่าๆ เช่นนี้


 


 


หลี่ซื่อหมินนั่งมองดูลูกชายที่พูดจาฉะฉานอย่างภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยอมรับความคิดของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้ลงโทษกงซูเจี่ย เพียงแค่ออกคำสั่งให้ทำใหม่ก็เท่านั้น


 


 


ผู้ประกอบพิธีกรรมหลายคนที่เคยเป็นอาจารย์ของหลี่ไท่ พวกเขาดึงคอเสื้อของหลี่ไท่หวังจะให้หลี่ไท่พูดให้ชัดเจนว่าเหตุใดธาตุทั้งห้าจึงไม่สามารถอยู่ร่วมเกิดร่วมดับได้ หลี่ไท่เข้าใจอย่างชัดเจนจึงได้พาพวกเขากลับไปที่สำนักศึกษา หลังจากพวกเขาสองสามคนปิดประตูและยืนอัดกันอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลาสองชั่วโมงก็ต้องเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง เหลือเพียงหลี่ไท่ที่ยืนยักไหล่อยู่หน้าห้องทดลองมองดูคนรับใช้ทำความสะอาดสนามรบ หลี่ไท่ไม่เคยสะเพร่าเรื่องการเก็บกวาดห้องทดลอง


 


 


“อวิ๋นเยี่ย คำพูดเหล่านี้มีเพียงหลี่ไท่เท่านั้นที่พูดได้ หากเป็นคนอื่นๆ พูดคำพูดเหล่านี้ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏและถูกตัดหัวแขวนไว้ที่ตลาดทางด้านตะวันตก เรื่องทั้งหมดถือเป็นความประมาทของเจี่ยเอ๋อร์ ราชวงศ์ไม่มีเรื่องในตระกูลให้ต้องกังวล เมื่อมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นก็จะถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับโชคชะตาของประเทศ การทำเรื่องที่จัดการได้ยากไม่อาจได้ผลกำไร มีเพียงก็แต่ชื่อเสียงเท่านั้นที่จะได้มา


 


 


จริงสิ ที่เจ้าพยายามอย่างมากในครั้งนี้เพื่อเหยียนจือทุยเป็นเพราะอะไร เรื่องท่านย่ากับลูกสาวของเจ้าก็คงไม่ถึงขั้นต้องทำเช่นนี้ หากเป็นเพราะเคารพผู้เฒ่ายิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ เถียนเซียงจื่อก็เป็นผู้เฒ่าแต่กลับถูกเจ้าส่งให้ไปตายโดยที่เจ้าไม่รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่นิด”


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่หน้าประตู มองขึ้นไปบนฟ้าดูดวงดาวที่สว่างไสวแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดี เป็นนักปราชญ์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้จักกลลวง จนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีจิตใจที่ไร้เดียงสา ใช้ชีวิตมาเกือบร้อยปีก็เพียงแค่อยากจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรม การทำให้คนแก่คนหนึ่งสมปรารถนาในครั้งสุดท้ายมีอะไรไม่ถูกอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ไม่ผิดหรอก เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เหยียนจือทุยเป็นผู้มีความชอบธรรม สมควรที่จะได้รับการยกย่อง แต่ว่าสิ่งที่ข้าจะถามก็คือเจ้าต้องการจะทำอะไร ไม่ได้จะถามถึงของที่เอามาด้วย”

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 32 ความยากลำบากบนเส้นทางเสฉวน

 

ภายใต้แสงอาทิตย์มักจะมีเงาทอดอยู่เสมอ ต่อให้เป้าหมายสูงส่งถึงเพียงไหนก็จะยังคงปะบนไปด้วยความเห็นแก่ตัว อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับกงซูมู่ มีบางคำขอแค่ฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ก็พอแล้ว คนเราไม่ควรใช้ชีวิตแบบที่ให้คนอื่นต้องมารับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง 


 


 


สุดท้ายหลี่ซื่อหมินก็ได้เพิ่มความระมัดระวังต่อสำนักศึกษา การสอบครั้งใหญ่ในปีนี้จึงได้แบ่งเป็นสองส่วน ของสำนักศึกษาหนึ่งส่วน และของบุคคลภายนอกทั่วไปอีกหนึ่งส่วน ที่สนามสอบจะมีข้อสอบสองชุด ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่เพื่อจะได้ขึ้นชื่อว่ามีความยุติธรรม แต่เขาไม่ได้คำนึงถึงว่าการทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อสำนักศึกษามากที่สุด 


 


 


หลี่ซื่อหมินเป็นคนที่มองการณ์ไกล ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถเข้าเมืองฉางอันได้หากไม่ใช่เพราะเขาจงใจก็ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะอธิบายได้อีกแล้ว 


 


 


ในที่สุดต้าถังยุครุ่งเรืองก็เดินมาถูกทางแล้ว มีการสร้างสรรค์เกิดขึ้นมามากกว่าการทำลาย พวกชาวเติร์กตะวันตก ชาวเกาชังถูกกำจัดไปแล้ว ถู่อวี้หุน เซวียเหยียนถัว และชาวหุยเกอก็ยำเกรงบารมีของต้าถัง ชาวเกาลี่ก็ค่อยๆ ถอนการบุกรุกทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของต้าถัง สภาพแวดล้อมภายนอกเริ่มดีขึ้น การก่อสร้างขนาดใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว สิ่งนี้ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จึงจะสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่ราชสำนักถูกยึดครองโดยผู้คนที่ทำตัวจงรักภักดีบางคน 


 


 


คนหนึ่งคนทำเรื่องชั่วร้ายลงไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล สิ่งที่น่ากลัวก็คือความทุ่มเทในการทำเรื่องชั่วร้าย แต่อย่างน้อยความทุ่มเทในการทำเรื่องชั่วร้ายก็ยังไม่น่ากลัวเท่าการทำดีที่มีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่และยังทำอย่างตรงไปตรงมา ทำอย่างกล้าหาญ ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย 


 


 


จริงที่พวกเขาไม่กลัวความตายเลยแม้แต่นิด เมื่อฝูงตั๊กแตนบินมา ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้จุดไฟทุ่งข้าวสาลีที่สุกแล้วเพื่อเผาตั๊กแตนตายไปสองสามตัว แล้วก็เผาตัวเองตายไปด้วย ฉางอันลุกเป็นไฟเพราะไม่มีการป้องกันให้ดี และไม่มีการกระตือรือร้นหาผู้ก่อการร้าย แต่กลับจุดไฟเผาตัวเองจนตายแทน เมื่อภัยแล้งมาถึงก็ไม่รู้จักสอนให้ราษฎรหาของกินแต่กลับขังคนทั้งหมดไว้ในบ้านเพื่อรอให้อดตายไปพร้อมๆกัน 


 


 


ทำการใหญ่ให้ดูน่าตื่นเต้น ทำเอาทุกคนต่างตื่นตระหนกตกใจกันไปหมด ทำเรื่องที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองต้องเดินทางมาสู่ความตาย ทั้งๆ ที่ตรงหน้ามีหินก้อนใหญ่แต่ก็ยังจะเอาหัวไปชนก้อนหิน ชนครั้งหนึ่งไม่ตาย ก็ชนอีกครั้งไปเรื่อยๆ จนพื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยศพ จากนั้นตัวเองก็ยืนอยู่บนกองศพแล้วตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ความพ่ายแพ้ในวันนี้เป็นเพราะสวรรค์ไม่คุ้มครองข้า ฝ่าบาท กระหม่อมได้ทำเต็มที่แล้ว” พูดจบก็นำหัวสมองที่เหมือนแตงโมเน่าชนเข้ากับก้อนหิน… 


 


 


พวกเขาไม่ได้ทุจริต ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ซ้ำยังต้องอยู่กับความยากลำบาก พวกเขามีความบริสุทธิ์มากพอที่จะเป็นนักบุญ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ทำเอาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว 


 


 


เหลียงต้าที่มีชื่อว่าเจี้ยนผู่ นามว่าตัวหยวนเป็นเพื่อนที่ดีของอวิ๋นเยี่ย สองปีที่แล้วได้ไปรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่กรมขนส่งที่ถนนเปาเสีย ทำหน้าที่รับผิดชอบการขนส่งสินค้าระหว่างฮั่นจงและฉางอัน เป็นตำแหน่งที่ได้ค่าตอบแทนมาก หากไม่ใช่เพราะว่าพ่อของเขาคือคนของจั่งซุนอู๋จี้ เขาก็ไม่มีทางได้รับงานนี้ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมขนส่งก็จงตั้งใจส่งของจากฮั่นจงมาที่ฉางอันก็พอ จากนั้นก็นำของจากฉางอันส่งไปที่ฮั่นจง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่ว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น คิดว่าการขนส่งของไม่พอให้แสดงความสามารถของตัวเอง คิดว่าการสร้างถนนกระดานไม้บนภูเขาหนิวเป้ยที่เป็นทางเชื่อมระหว่างฮั่นจงไปฉางอันจึงจะเป็นเรื่องที่ตัวเองควรทำ 


 


 


เมื่อถึงเวลาบอกลา เหล่าสหายต้องร่ำลากันทั้งน้ำตา บอกให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่พึ่งมาถึงได้ยินว่าเขาเตรียมที่จะสร้างถนนกระดานไม้บนภูเขาหนิวเป้ยก็ตกใจทันที ยังไม่ทันได้ถามอะไรเหลียงเจี้ยนผู่ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังแล้วพูดว่ารอให้ถนนไม้สร้างเสร็จแล้วเขาก็จะตั้งชื่อตามชื่อของตัวเอง เรียกว่าถนนเจี้ยนผู่ พูดจบเขาก็ขึ้นรถม้าไป 


 


 


อวิ๋นเยี่ยร่ำลาเหลียงเจี้ยนผู่ครั้งสุดท้ายตั้งแต่ก่อนที่จะถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป เมื่อได้เจอก็แทบจะจำเค้าโครงเดิมของชายผู้แข็งแกร่งไม่ได้ เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ดูหลวมขึ้น มือและเท้าดูหยาบกร้าน นัยน์ตามีสีแดง เบ้าตาคล้ำ เขากลับมาเพื่อรับโทษที่ทำให้ผู้คนสี่ร้อยหกสิบสามคนถูกฝังอยู่ใต้เขาหนิวเป้ย อวิ๋นเยี่ยปลอบเหลียงต้า อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องนี้คงต้องยอมแพ้ ใครจะไปคิดว่าเหลียงต้าจะโดนลงโทษเพียงแค่ไล่ออกเพื่อสอบสวนและบำเพ็ญกุศล บอกลาท่านพ่อ ย้ำเตือนลูกๆ และปลอบใจภรรยา จากนั้นก็นำเงินจำนวนมหาศาลและพลังที่เต็มเปี่ยมไปสร้างถนนเจี้ยนผู่ของตัวเองอีกครั้ง 


 


 


สองวันก่อนที่เหยียนจือทุยจะมาได้มีข่าวร้ายว่าภูเขาหนิวเป้ยถล่มลงมา ถนนไม้กระดาษสามสิบแปดลี้ที่สร้างขึ้นได้พังทลายลงเหลือเพียงแค่สิบเอ็ดลี้…… 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างถนนไม้กระดานที่ขอบภูเขา ที่นั่นถูกแรงลมทำให้ก้อนหินค่อนข้างผุพังและก็ยังมีทรายสีแดงที่ร่วนซุย เมื่อเจาะเข้าไปก็จะทำให้หินลูกใหญ่ตกลงมา แม้ว่าจะโชคดีสร้างเสร็จแล้วแต่เมื่อก้อนหินถูกแรงลมพัดหลายปีเข้าถนนกระดานไม้ก็จะร่วงหล่นลงมาอยู่ดี ความรู้เหล่านี้ได้มาจากการที่เดินทางไปฮั่นจง ไกด์นำทางได้เล่าเกี่ยวกับความยากลำบากในการสร้างทางด่วนซีฮั่น คนรุ่นหลังใช้เงินจำนวนมากกว่าการสร้างทางด่วนอื่นๆ กว่าจะสร้างถนนสายนี้ได้สำเร็จ เหลียงเจี้ยนผู่ไม่มีระเบิด ไม่มีเครื่องขุดเจาะอุโมงค์ ก็ยังคิดจะวางแผนทำการก่อสร้างที่ยากเช่นนี้? ถนนไม้กระดานของถนนเปาเสียไม่ควรถูกเลือกให้ใช้ทางผ่านบนภูเขาหนิวเป้ยนี้ 


 


 


เป็นอย่างที่คิด เขาใช้สิ่วขุดเจาะรูใหญ่หนึ่งรู ใหญ่มากพอที่จะยัดต้นไม้ยักษ์เข้าไปได้ ภูเขาถล่มลงมาครึ่งหนึ่งแรงงานหกร้อยคนรวมทั้งเหลียงเจี้ยนผู่ถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินก้อนใหญ่นับไม่ถ้วน หากจะขุดออกมาก็ต้องใช้แรงพอๆ กับย้ายภูเขา 


 


 


เมื่อข่าวร้ายถูกส่งมาถึง ภรรยาของเขาได้ผูกคอตายทันที ซินเย่วถือผ้าผูกคอกลับมาแล้วร้องไห้ไม่หยุด นางพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่าลูกชายของภรรยาเจี้ยนผู่นอนอยู่บนตัวแม่ร้องไห้งอแงอยากกินนม 


 


 


ราชสำนักได้แสดงความไว้อาลัยอย่างถึงที่สุด อวิ๋นเยี่ยก็ไปเข้าร่วมงานศพในฐานะเพื่อน จิตวิญญาณของความเป็นคนในต้าถังได้สะท้อนออกมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งอย่างเคร่งครัดว่าไม่ให้อวิ๋นเยี่ยเข้าเมืองฉางอันแต่ว่านี่คืองานศพจึงไม่ถูกสั่งห้าม ในงานศพได้พบผู้ประกอบพิธีกรรมสองสามคน พวกเขาต่างแกล้งทำเป็นไม่รู้ เอาแต่พูดเรื่องหลังความตายของเหลียงเจี้ยนผู่ ไม่พูดถึงเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าเมือง 


 


 


ท่านพ่อของเขายังคงมีสุขภาพแข็งแรง เดินลำตัวตรง อุ้มเด็กน้อยผู้กตัญญูรู้คุณวัยสามขวบที่กำลังเล่นหนวดเคราของท่านปู่ เด็กน้อยคิดว่าแม่ของเขาเพียงแค่หลับไปเท่านั้น 


 


 


ราชโองการใหม่ได้ดังขึ้นในหัวของอวิ๋นเยี่ย พ่อของต้าเหลียงจะต้องสร้างอนุสรณ์สี่ด้าน และโปรดรับสั่งให้เขาดำเนินการก่อสร้างถนนไม้กระดานแทนลูกชายของเขา หากสร้างถนนไม้กระดานไม่สำเร็จก็ห้ามกลับบ้านเกิด 


 


 


จบกัน เหลียงต้าถูกฝังไว้ที่นั่น ตอนนี้พ่อของเขาก็จะถูกฝังไว้ที่นั่นอีก ภูเขาถล่มครั้งที่แล้วทำให้เกิดความเสียหายทางธรณีวิทยา หากจะซ่อมถนนกระดานไม้อีกครั้งจะทำให้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่า หลี่ซื่อหมินคิดจะทำอะไร ถึงแม้ว่าถนนสายเปาเสียจะสำคัญ แต่ว่าหุบเขาจื๋ออู่ก็สามารถสร้างถนนได้เช่นกัน ทำไมต้องไปแขวนคอตายบนต้นไม้ต้นเดียวด้วย 


 


 


การตัดสินใจที่ผิดพลาดสามารถฆ่าคนได้นับพัน ตอนนี้ความผิดพลาดก็ยังดำเนินต่อไป เหลียงเจี้ยนผู่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่แล้วสามีของชาวบ้านเหล่านั้นล่ะ ราชสำนักได้ให้บำเหน็จตามปกติ ทุกคนจะได้รับเงินทั้งหมดหกร้อยเหรียญ ใช่แล้ว ได้เพียงแค่หกร้อยเหรียญเท่านั้น เป็นราคาที่พอแค่สำหรับซื้อแกะสองตัว 


 


 


แกะหลายพันตัวไม่ได้มีค่ามากมายสำหรับตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยอยากจะเอาแกะเหล่านั้นไปแลกกับชีวิตคนโดยการจับแกะผูกเชือกแล้วแขวนไว้กลางอากาศ 


 


 


“ท่านปู่ ท่านปู่ ข้าก็อยากไปซ่อมถนนไม้กระดาน ข้าโตแล้ว ข้าเองก็อยากไปซ่อมถนนเจี้ยนผู่” เมื่อได้ยินเสียงของหลานชาย เหล่าเหลียงก็น้ำตาไหล พยักหน้าให้กำลังใจหลานชาย “ได้สิ หากปู่ตายแล้วเจ้าก็ทำมันต่อไป อย่างไรตระกูลเหลียงก็ต้องซ่อมถนนเจี้ยนผู่ให้เสร็จ” 


 


 


ช่างหน้าอนาถใจเสียจริง การเดินทางบนถนนในภูเขาเสฉวนยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก กว่าฉานฉงและอวี๋ฝูจะก่อตั้งดินแดนเสฉวนได้ก็ใช้เวลายาวนาน ดินแดนเสฉวนถูกก่อตั้งมาสี่หมื่นแปดพันปี แต่ดินแดนเสฉวนและดินแดนฉินก็ไม่สามารถรวมเป็นแผ่นเดียวกันได้ ทางทิศตะวันตกมีภูเขาไท่ไป่ที่สูงมากจนไม่สามารถข้ามไปได้ มีเพียงนกเท่านั้นที่สามารถบินข้ามภูเขานี้ไปยังยอดเขาเอ๋อร์เหมยในดินแดนเสฉวนได้ ภูเขาถล่มได้ฝังร่างห้าวีรบุรุษทำให้ถนนไม้กระดานบนภูเขาที่มีความอันตรายสามารถเชื่อมต่อกันได้ในภายภาคหน้า ยอดเขาในดินแดนเสฉวนได้ขวางเกวียนมังกรทั้งหกของเทพแห่งดวงอาทิตย์ ด้านล่างมีสายน้ำคดเคี้ยวขนาดใหญ่ที่ไหลริน นกกระเรียนบินขึ้นสูงเสียดฟ้าก็ไม่สามารถบินข้ามไปได้ถึงแม้ว่าจะอยากข้ามไป ถนนคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยโคลน บนสันเขาชิงหนีล้อมรอบไปด้วยบันไดร้อยขั้นจำนวนเก้าโค้ง เมื่อกลั้นหายใจและเงยหน้าขึ้นจะสัมผัสได้ถึงภพค่ำและย่ำรุ่ง ความตื่นเต้นที่มีมากทำให้ยากต่อการหายใจ ถอนหายใจแล้วกุมมือไว้ที่หน้าอกด้วยความหวาดกลัว 


 


 


การพังลงมาของภูเขาทำให้วีรบุรุษต้องไปสู่ความตาย ช่างกล้าหาญชาญชัย แต่ในเมื่อมีทางเลือกอื่นอยู่ ทำไมต้องเลือกไปสร้างถนนไม้กระดานบนภูเขาหินด้วย เมื่อวีรบุรุษตายไปลูกชายก็ต้องมารับช่วงต่อ นี่มันเป็นเหตุผลอะไรกัน เหลียงเจี้ยนผู่ทำคนตายไปหนึ่งพันคน พ่อของเขาก็จะทำคนตายอีกหนึ่งพันคน ตอนนี้ถึงคราวลูกชายของเขาจะต้องมาทำร้ายคนแล้ว 


 


 


ทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา เหล่าเหลียงถามเขาว่า “อวิ๋นโหวทำแบบนี้ทำไม” 


 


 


“ข้าทำแบบนี้ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าข้าไม่อยากเห็นตระกูลเหลียงของเจ้าต้องสิ้นสุดลง ถึงเจ้าตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ช่วยเหลือทางรอดไว้ให้เด็กน้อยไม่ได้หรือ” สหายจากตระกูลอื่นที่รู้จักกันได้ลากอวิ๋นเยี่ยออกไป เสียงหัวเราะเยาะของเหล่าเหลียงได้ดังมาจากข้างหลัง คนขี้ขลาด! 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมาถึงบ้านก็นั่งอยู่ในสวนด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย ตัวเองเพียงแค่อยากจะส่งเจ้าหน้าที่ที่มีคุณสมบัติมากพอให้แก่ราชสำนักนั้นผิดมากหรือ ให้ผู้ที่ควบคุมน้ำรู้ว่าควรจะควบคุมน้ำอย่างไร ให้ผู้ที่สร้างบ้านรู้ว่าควรจะสร้างบ้านอย่างไร ให้ชาวนาที่ทำนารู้ว่าควรจะทำนาอย่างไร หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ผู้ที่ต่อสู้กันรู้ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร แค่นี้ก็ผิดด้วยหรือ ข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ก็ใช่ว่าจะเป็นข้าราชบริพารที่ดีเสมอไป ข้าราชบริพารที่มีความสามารถ เมื่อพวกเขาฆ่าคนขึ้นมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าข้าราชบริพารที่ทรยศเสียอีก 


 


 


ในสมองมีม้าวิ่งไปมาเต็มไปหมด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟ้าสว่างโดยไม่ทันได้รู้ตัว แสงอรุณในยามเช้าได้ปกคลุมท้องฟ้า เหยียนจึซั่นขับเกวียนมาส่งเหยียนจือทุยเช่นเคย ชายเฒ่ามาถึงสำนักศึกษาโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า แถมยังบอกอีกว่าดูแม่พิมพ์เสร็จแล้วค่อยกินข้าวในสำนักศึกษาก็ยังไม่สาย 


 


 


ขณะนั่งอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา ชายเฒ่าและอวิ๋นเยี่ยนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะขนาดเล็ก กินโจ๊กไป นั่งดูลูกศิษย์ที่ยุ่งอยู่กับการพิมพ์หนังสือไป หนังสือที่พิมพ์มีประเภทเดียวก็คือคัมภีร์หลุนอวี่ 


 


 


เมื่อชายเฒ่ามาถึงก็ดูหนังสือเล่มตัวอย่าง ท่าทางพออกพอใจเป็นอย่างมาก เขาขอบคุณลูกศิษย์ทุกคนทีมีส่วนร่วมในการพิมพ์ แต่เขาพูดประโยคนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น “เจ้าเด็กน้อย ข้าหิวแล้ว” 


 


 


อาหารพื้นฐานของสำนักศึกษาจะมีโจ๊กข้าวฟ่าง ซาลาเปา หัวไชโป๊ เหยียนจือทุยชอบหัวไชโป๊มาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีฟัน จึงทำได้เพียงแค่เอาเข้าปากแล้วก็คายออกมา มองดูอวิ๋นเยี่ยเคี้ยวหัวไชโป๊ด้วยความอิจฉา เวลากินข้าวไม่ควรพูดจา เวลานอนไม่ควรเสียงดัง ชายเฒ่าปฏิบัติตามข้อปฏิบัตินี้ได้ดีมาก จนกระทั่งอวิ๋นเยี่ยรินชาโสมให้เขา เขาจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย 


 


 


“ไอ้หนุ่ม มีเงื่อนไขอะไรก็บอกข้า ถ้าหากรับปากได้ ข้าก็จะรับปากเจ้า แต่ถ้าหากข้ารับปากไม่ได้ ต่อให้สำนักศึกษาเจ้าใช้แต่หนังสือจากร้านหนังสือข้า ข้าก็รับปากเจ้าไม่ได้” 


 


 


“ข้าน้อยทำด้วยใจที่กตัญญูอย่างบริสุทธิ์ เห็นผู้เฒ่าอย่างท่านกังวลเกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ ข้าก็อยากจะแบ่งเบาภาระ การใช้เงื่อนไขมาข่มขู่ไม่ใช้นิสัยของสุภาพบุรุษ” 


 


 


“เจ้าคนกะล่อน มีอะไรก็รีบพูดมา เจ้าวางแผนจะทำอะไรก็รีบบอกมา หากผ่านจุดนี้ไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าทวงบุญคุณแล้ว ครั้งที่แล้วได้ขโมยข้าวโพดของตระกูลเจ้า คิดว่าของของตระกูลอวิ๋นนั้นไม่เลวเลยทีเดียว หากเจ้ายังไม่พูด แม่พิมพ์พวกนี้ก็ถือว่าข้าขโมยไปก็แล้วกัน” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)