เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 3-4

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 3 เมืองฉางอันที่น่าสยดสยอง

 

เรือพึ่งมาถึงลั่วหยาง อาจารย์เซียวอวี่ที่รออยู่ที่นี่นานแล้วได้ขึ้นมาบนเรือ ท่าทางไม่เกรงใจ สั่งให้อวิ๋นเยี่ยเปิดคลังสมบัติ เขาต้องการจะตรวจสอบจำนวนคร่าวๆ สักหน่อย เพื่อประกาศให้ทั่วหล้ารู้ว่าคนในราชวงศ์นั้นร่ำรวยแค่ไหน


 


 


มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถอวดความร่ำรวยได้ ส่วนคนอื่นๆ มักจะพากันซ่อนเงินไว้ในคอกหมูอย่างลับๆ ในวันปกติก็กินแต่ข้าวต้ม ใส่เสื้อผ้าที่มีรอยฉีกขาด พวกเขาจะกินเนื้อสัตว์ในช่วงวันเทศกาลเท่านั้น ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัด เมื่อถึงค่ำคืนที่มืดมิดก็จะไปนั่งนับเงินในคอกหมู เพลิดเพลินไปกับความสุขของเงินอยู่ตามลำพัง


 


 


ตีให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยคิดที่จะเอาเงินไปซ่อนไว้ในคอกหมู มีเงินก็ควรนำไปใช้ ซ่อมแซมห้องให้สวยงาม กินอาหารดีๆ มีม้าลากรถเยอะๆ ผู้หญิงในบ้านมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้คนรับใช้ ทุกคนต่างมีความสุข นั่นคือเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องแต่งตัวเหมือนขอทานทั้งๆ ที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย


 


 


ว่ากันว่าซาลาเปาจะมีไส้หรือไม่มีนั้นไม่ได้ดูที่ภายนอก แต่ก็ไม่สามารถหาไส้เจอได้ในการกัดเพียงหนึ่งถึงสองคำ หลังจากที่อาจารย์เซียวอวี่เห็นสมบัติล้ำค่าก็ยิ้มไม่หุบ แต่เขากลับอยากให้อวิ๋นเยี่ยถ่อมตน ถ่อมตน แล้วก็ถ่อมตน ไม่ให้ไปทำเรื่องเหมือนคราวที่แล้วที่โจมตีจนเรือพังเพราะแย่งผู้หญิงกัน และไม่ควรยิงหน้าไม้ในตอนกลางคืน ยิงคนตายอย่างง่ายดายราวกับยิงกระต่าย คืนนั้นหลู่อ๋องก็ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ โดนลูกหน้าไม้ยักษ์พุ่งเข้าใส่จนกระเด็น ตอนนี้องค์ชายยังเอาแต่พูดว่า “เฉียดไปนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น” อยู่เลย


 


 


อวิ๋นเยี่ยคิดว่าฝ่าบาทคิดผิดที่ส่งอาจารย์เซียวอวี่มา ตอนนี้ต้องการให้ทั้งเมืองรู้ว่าในคลังนั้นมีสมบัติล้ำค่า ไม่ได้ต้องการถ่อมตนสักหน่อย ผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก กังวลว่าหลังจากที่ทำสงครามตามพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้วจะมีการเพิ่มภาษีหรือไม่ มีคนฉลาดคิดว่าการที่ฝ่าบาทยกเว้นภาษีแท้ที่จริงแล้วคือกลยุทธ์อย่างหนึ่ง


 


 


คำพูดที่ว่าหากอยากได้สิ่งใดก็ต้องให้สิ่งนั้นก่อน ฝ่าบาทที่ฉลาดและโหดร้ายได้ยกเลิกภาษีก็เพื่อรอให้คนโง่เหล่านี้เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองก่อน จากนั้นก็… เหอะๆๆ


 


 


คนฉลาดต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อภรรยาน้อยของตัวเอง เฝ้าระวังคนตรวจลาดตระเวนทั่วเมืองอย่างระแวดระวัง วุ่นวายอยู่กับการวัดแบ่งที่ดินที่ให้กับคนที่สถานะถูกปิดบัง เอาแต่บอกว่าตัวเองมีลูกสามคนแต่ก็อิจฉาเพื่อนบ้านที่แบ่งที่ดินทำกินให้ลูกทั้งสี่คน ในใจก็หวังจะให้ฝ่าบาทยึดที่ดินของคนโง่พวกนี้เร็วๆ จากนั้นก็ลงโทษโดยการให้พวกเขาล้มละลาย เมื่อถึงตอนนั้นตัวเองคงจะพึงพอใจเป็นที่สุด


 


 


ผู้คนทั้งริมสองฝั่งแม่น้ำเห็นสมบัติล้ำค่าเต็มท้องเรือ ทองคำที่กองอยู่บนพื้นเรือเมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ส่องก็สว่างจ้าจนลืมตาแทบไม่ขึ้น พระเจ้า ที่ตรงกลางนั้นคือต้นอะไร ทั้งสูงและมีสีแดง หรือว่าจะเป็นต้นโพธิ์ทอง?


 


 


“คนบ้านนอกจะไปเข้าใจอะไร สิ่งนั้นเรียกว่าปะการัง ครอบครัวที่ร่ำรวยหากมีปะการังขนาดหนึ่งศอกก็สามารถนำมาเป็นมรดกตกทอดของตระกูลได้ ราชวงศ์ต้องการทำให้สูงถึงสิบศอกเพื่อแสดงถึงความสง่างามของราชวงศ์” คนที่มีประสบการณ์มองคนฉลาดเหล่านั้นด้วยหางตาแล้วหัวเราะเยาะ


 


 


“อาจารย์เซียวเหตุใดจึงนำทองคำออกจากคลังในลั่วหยางย้ายไปเก็บไว้บนเรือล่ะ” อวิ๋นเยี่ยถามเซียวอวี่เมื่อเห็นทองคำรูปพีระมิดวางอยู่


 


 


“นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท ข้ากับเจ้ามีหน้าที่ทำตามก็พอแล้ว อย่าหอบทองไว้ในอ้อมแขนเพราะนั่นไม่ใช่ของเจ้า หากขาดหายไป เจ้าจะไม่สามารถรักษาหัวตัวเองไว้ได้ ทุจริตสมบัติของประเทศใครก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเอาทองคำมาวางกองไว้บนพีระมิดแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “ทองคำเหล่านี้มักจะดึงดูดให้คนทำผิดไม่ใช่หรือ ท่านก็รู้ว่าข้าเห็นทองคำไม่ได้ ทำได้แค่มองไม่สามารถแตะต้องได้ช่างทรมานเหลือเกิน”


 


 


อาจารย์เซียวอวี่ยกโทษให้กับการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของอวิ๋นเยี่ยอย่างสงวนท่าที ยืนอยู่บนหัวเรือรับลมเย็นๆ สภาพอากาศที่อบอ้าวในกวนจงเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้สูงอายุ สำหรับเขาแล้วสายลมเย็นๆ ที่หัวเรือมีค่ามากกว่าทองคำที่กองอยู่ด้านหลังเสียอีก


 


 


“จดหมายเหตุของข้าถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลาง แต่หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานของเจ้าถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นสูง แล้วยังมีแม่แบบถึงสามเล่ม เล่นเอาศาลาหงเหวินวุ่นวายไปหมด นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนอยากจะเอาหัวชนเสาให้ตายในตำหนักจินหลวน บอกว่าทนไม่ได้ที่โดนดูถูก หนังสือของเด็กเมื่อวานซืนกลับถูกยกย่องให้เป็นหนังสือชั้นสูง แต่หนังสือของคนอื่นๆ ถือว่าเป็นหนังสือชั้นกลาง หนังสือของฮองเฮาเป็นหนังสือสำหรับผู้หญิง ถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลางนั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ว่าหนังสือของพวกเขามีไว้สำหรับผู้ชาย มีเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานของการปกครองประเทศและสันติภาพ แต่กลับถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลาง พวกเขาคิดว่านี่คือความอัปยศอดสู


 


 


สองวันมานี้เหล่านักปราชญ์คิดว่าการเอาหัวชนเสานั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อไปแล้ว เพราะฝ่าบาทได้สั่งให้เอาผ้าห่มมาห่อเสาทุกต้นในตำหนักไท่จี๋ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาหัวชนเสาไม่ได้ รอให้เจ้ากลับมาค่อยไปเอาหัวชนกำแพงที่บ้านเจ้าแทน เหล่านักปราชญ์ที่มีนิสัยแข็งกร้าวได้ถ่มน้ำลายใส่อาจารย์หลี่กังของเจ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่อายุถึงเก้าสิบปี อาจารย์ของเจ้าจึงทำได้แค่ยืนอยู่เฉยๆ บอกแต่ว่าเมื่อเจ้ากลับมาเขาจะถลกหนังเจ้าเพื่อไถ่โทษให้แก่ผู้อาวุโสทุกๆ คน”


 


 


ได้ยินเหล่าเซียวพูดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็ตกใจจนทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น เรื่องนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว การทำให้ขุนนางขุ่นเคืองนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แค่ต้องหลบอยู่ในภูเขาอวี้ซัน เท่านี้ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่แน่ราษฎรอาจจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจน ทำผิดต่อเจ้าของทรัพย์สมบัติเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่คนยากจน อย่างไรก็ยังพอมีคนชื่นชมอยู่บ้าง


 


 


แต่การสร้างความขุ่นเคืองให้แก่บรรดาเหล่านักปราชญ์จะทำให้คนทั้งเมืองเอาแต่สาปแช่ง คำด่านี้จะไม่ได้คงอยู่เพียงชั่วครู่แต่จะถูกสาปแช่งต่อไปอีกเป็นเวลาหลายปี การไม่ถูกด่าสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก คราวนี้ดีเลย อวิ๋นเยี่ยและลูกศิษย์คนหนึ่งถูกด่าว่าบ้ากาม ส่วนอีกคนหนึ่งถูกด่าว่าเป็นขโมย สามารถไปดูในหนังสือประวัติศาสตร์ได้เลยว่าชื่อเสียงของตระกูลอวิ๋นนั้นป่นปี้มากแค่ไหน


 


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แม้ว่าจะยกลูกสาวของตระกูลอวิ๋นให้พร้อมกับสินสอดก็คงไม่มีใครมาสู่ขอ เสี่ยวยาอาจจะขายไม่ออก แต่ว่าต้ายานั้นไม่มีปัญหา ตระกูลอวิ๋นขึ้นชื่อว่าเป็นโจรก็ไม่ต่างอะไรกับชาวตันยิง เพียงแค่ไปสู่ขอผู้หญิงที่ตัวเองฉุดกลับมาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้แต่งงาน


 


 


คราวนี้ควรจะทำอย่างไรดี เมื่อก่อนที่เคยเผชิญหน้าด้วยก็มีเพียงนักปราชญ์จอมปลอมเท่านั้น ที่ไม่ว่าจะดุด่าอย่างไรพวกเขาก็คิดว่ากำลังถูกชมอยู่ เพราะว่าพวกเขาด่าได้เจ็บกว่า แต่ในเมื่อกลายมาเป็นขุนนางแล้วก็ต้องไม่ถือว่าเป็นนักปราชญ์อีกสิ!


 


 


พวกคนที่เอาแต่ศึกษาหาความรู้มาทั้งชีวิต หากพวกเขาสักคนหนึ่งก้าวออกมาก็จะถูกพวกขุนนางดูถูก ขอเพียงแค่พวกเขายอมกล้าออกมาจากภูเขา ฝ่าบาทก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เชิญพวกเขามาดื่มชาและพูดคุยกันที่ห้องหนังสือ แม้แต่ฮองเฮาก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า หากจั่งซุนกล้าเข้ามาหา บางทีพวกเขาอาจจะออกไปจากที่นี่ทันที คิดว่าเป็นความอับอายอย่างหนึ่ง


 


 


ชีวิตนี้ไม่ได้จะแสวงหาอะไร เพียงแค่อยากเขียนหนังสือไม่กี่เล่มเอาไว้สอนลูกศิษย์ ชี้นำแนวทาง พูดถึงความดีความชั่วของคน หาบทสรุปในกรณีที่น่าสงสัยของประวัติศาสตร์บางอย่าง ตอนนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยฉวยโอกาสไป นี่ไม่ใช่แค่การแหย่รังต่อ แต่หลี่ซื่อหมินได้ผลักอวิ๋นเยี่ยเข้าไปอยู่ในหุบเขาแห่งความชั่วร้าย


 


 


“ผู้บัญชาการเซียว ท่านช่วยข้าด้วย มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าตัวตายบนกองทอง” อวิ๋นเยี่ยพูดพร้อมกับดึงที่แขนเสื้อของเซียวอวี่


 


 


ใบหน้าของเซียวอวี่เต็มไปด้วยแววดูถูก “เจอกันเมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าเหล่าเซียว แต่พอเห็นข้าไม่สนใจเรื่องที่ซ่อนทองคำของเจ้า เจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์เซียว ตอนนี้ได้ยินว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อยากจะขอร้องให้ข้าช่วย เจ้าก็เรียกค่าว่าผู้บัญชาการเซียว คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าจะให้ข้าช่วยได้อย่างไร ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองขึ้นมาหนังสือชั้นสูงพึ่งจะถูกแต่งตั้งเพียงสามเล่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือ ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ เล่มใหม่ล่าสุดของท่านอวิ๋นโหวผู้ปราดเปรื่อง ข้าจะรอดูวันที่รถม้าและเจ้าหน้าที่ล้อมเต็มหน้าบ้านเจ้า ฮ่าๆๆ”


 


 


เรื่องดูถูกกันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว มองใครก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด ชายชราอายุเก้าสิบปีนอกจากเหยียนจือทุยแล้วยังจะมีใครอื่นอีก ยังไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร แค่พูดถึงหลานชายของเขา อวิ๋นเยี่ยก็ถึงกับเหงื่อตก หลานชายของเขามีชื่อว่าเหยียนชือกู่ได้ทดสอบคัมภีร์ทั้งห้า กำหนดรูปแบบตัวอักษร เขียนเป็น ‘สรุปคัมภีร์ทั้งห้า’ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ราชสำนักได้เฉลิมฉลองเรื่องนี้อยู่สามวัน มีหลานชายเก่งถึงเพียงนี้ตาเฒ่าผู้นี้กลับบอกว่าตอนที่หลานชายของเขาเข้าทดสอบ ‘บันทึกราชวงศ์ฮั่น’ ไม่ได้อ่านหนังสือเลย เอาแต่ขี้เกียจ สมควรต้องถูกลงโทษ กล้าขโมยความคิดเห็นจากบทความของท่านลุงเหยียนโหยวฉินของเขาไปทำเป็นคำอธิบายประกอบ ช่างไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย


 


 


ตาเฒ่าคนนี้เป็นขุนนางระดับสูงในเป่ยฉี ตอนนี้เขากะจะมาเอาเรื่องเรื่องการแต่งตั้งหนังสือชั้นสูง ข้าควรจะทำอย่างไรดี ไม่แปลกใจเลยที่คนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างหลี่กังยังต้องยืนให้เขาด่า และสิ่งที่ทนไม่ได้ก็คือการถูกด่าอย่างมีเกียรติ ไม่ได้เป็นการรับโทษแต่อย่างใด ไม่สนว่าเรื่องนี้จะถูกหรือผิด แต่อวิ๋นเยี่ยคิดว่ามันเป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่ง


 


 


“ผู้บัญชาการเซียว ในเมื่อทุกคนชอบหนังสือชั้นสูง เช่นนั้นก็แต่งตั้งหนังสือทุกเล่มให้กลายเป็นหนังสือชั้นสูงก็สิ้นเรื่อง อย่างมากก็ต้องใช้แรงคนบ้างเล็กน้อย หากเงินไม่พอข้าจะเป็นคนออกเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้”


 


 


“เหอะๆ เจ้าคิดว่าเงินจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เดินไปที่ไหน หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานของเจ้าได้กลายเป็นผลงานวิจัยทางวิชาการที่สำคัญที่สุดของต้าถัง ไม่ว่าหนังสือของข้าจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่มีผลอะไรอยู่ดี เพียงแค่ถูกแต่ตั้งให้เป็นหนังสือชั้นกลางก็ถือว่าราชสำนักได้ไว้หน้าข้ามากพอแล้ว คงจะสงสารที่ข้าอายุมากแล้ว ต่อจากนี้คงไม่มีโอกาสได้เขียนหนังสือแล้วจึงได้ให้สิ่งนี้เป็นของขวัญ สิ่งที่เจ้าพูดออกมา จะมีนักวิชาการคนไหนทนได้ บรรพบุรุษยังต้องตกใจ เจ้ารอโดนอัดได้เลย หากเก่งจริงตอนที่ถูกบรรพบุรุษจัดการก็เอาตัวให้รอดก็แล้วกัน ข้าจะรอดู หากทำให้พวกเขาโกรธล่ะก็ เหอะๆๆ”


 


 


เซียวอวี่ยิ้มและดูอวิ๋นเยี่ยที่นอนขี้เกียจอยู่บนเรือ ในใจรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองเสียเปรียบอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด ตอนนี้เห็นอวิ๋นเยี่ยติดอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก แล้วคนในราชสำนักก็ยังพร้อมใจกันที่จะส่งอวิ๋นเยี่ยไปสู่ความตาย ช่างดูยิ่งใหญ่เสียจริง สมแล้วที่ลงทุนไปอย่างมากมายเพื่อกำจัดอวิ๋นเยี่ย ความจริงตอนนี้ก็เหมือนกับว่ากำลังยัดอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในปล่องภูเขาไฟแล้ว เขาอยากรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีวิธีวิเศษวิโสอะไรมาใช้ในการหลบหนีอันตรายในครั้งนี้


 


 


อวิ๋นเยี่ยนอนกลิ้งไปมาอยู่บนดาดฟ้า จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วตะโกนออกคำสั่งกับตงอวี๋เสียงดังว่า “ตงอวี๋ ตงอวี๋ พวกเราต้องหันหัวเรือแล้ว พวกเราจะกลับไปเป็นโจรที่เขาเหยี่ยเหรินซาน ตอนนี้ฉางอันอันตรายเกินไป!”


 


 


ตงอวี๋มองอวิ๋นเยี่ยอย่างงงงวย ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านโหวถึงได้อยากไปเป็นโจร จะไม่กลับฉางอันแล้ว? หลิวจิ้นเป่ายังรับปากตัวเองไว้แล้วว่าเมื่อกลับไปถึงจะให้เงินรางวัล แล้วพาตัวเองไปหอเอี้ยนไหลโหลว


 


 


เซียวอวี่หัวเราะดังลั่น ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้าก็ดีแต่หนี ไม่แก้ไขปัญหา ชื่อเสียงเสื่อมเสียไปแล้ว ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ หนังสือชั้นสูง ตำแหน่งผู้นำกองทัพเรือ ไม่ใช่สิ่งที่ขอมาได้ง่ายๆ นะ ฮ่าๆๆ”


 


 


ที่ตาเฒ่าพูดไว้ก็ไม่ผิดไปจากความจริงเลย หนีไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องแบบนี้ต้องชี้แจงกันต่อหน้าถึงจะชัดเจน แต่ว่ามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า หนังสือของข้าเป็นหนังสือเรียนที่เอาไว้สอนลูกศิษย์ จึงถูกใช้งานมากเป็นธรรมดา หนังสือประวัติศาสตร์ คัมภีร์อี้จิง[1]และหนังสือห้าคัมภีร์ที่พวกเขาเขียนเป็นหนังสือที่เข้าใจได้ยาก มีไม่กี่คนที่ชอบอ่าน และมีพระไม่กี่คนที่ไม่มีอะไรทำจึงได้แปลพระไตรปิฎก และยังเตรียมตีพิมพ์ออกมาเพื่อหลอกชาวบ้าน เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน


 


 


 


 


——


 


 


[1] คัมภีร์อี้จิง นับเป็นปรัชญาโบราณที่เก่าแก่มากที่สุดเล่มหนึ่งของโลก

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 4 มอบสมบัติล้ำค่า

 

ไม่ว่าอย่างไร เรือรบก็ยังคงดึงดันพาอวิ๋นเยี่ยกลับมายังเมืองฉางอันจนได้ คนอื่นคงจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้กลับบ้านเกิด แต่อวิ๋นเยี่ยกลับรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้กลับบ้านเกิด ท่าเรือของฉางอันคราคร่ำไปด้วยผู้คน ถึงแม้ว่าทุกคนจะมาเพื่อดูสมบัติล้ำค่าและทองคำ ไม่มีใครสนใจอวิ๋นเยี่ย แต่เขากลับรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย


 


 


ผู้หญิงควรจะรอสามีอยู่ที่บ้าน แต่กฎระเบียบพวกนี้ใช้ไม่ได้กับน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยต้องส่งมอบทรัพย์สมบัติอยู่ที่นี่ ปลีกตัวออกไปไม่ได้ จึงทำได้แค่โบกมือให้กับภรรยาที่ท้องโตของตัวเองจากระยะไกล น่ารื่อมู่ยืนอยู่บนรถม้า เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยมองเห็นตัวเองแล้ว นางถึงได้กลับเข้าไปในรถม้า สั่งให้เดินทางออกไป นางรู้ว่าวันนี้ท่านพี่มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ไม่มีเวลาเจอกับนาง แค่เห็นว่าเขาปลอดภัยก็เพียงพอ


 


 


อยากจะกลับบ้านเต็มที แต่สีหน้าของจั่งซุนอู๋จี้หม่นหมอง ไม่ว่าใครที่เห็นทรัพย์สมบัติของตระกูลตัวเองถูกเอาเข้าไปในไว้คลังประเทศก็คงจะไม่มีความสุขมากนัก เขาตบๆ กล่องและถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


“นี่คือรายได้ที่ได้จากหลิ่งหนานหรือ” เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าตระกูลของตัวเองในหลิ่งหนานจะทำเงินได้ไม่ถึงห้าหมื่นเหรียญ


 


 


“นี่คือครึ่งหนึ่งของทั้งหมด อีกครึ่งหนึ่งถูกข้าขายไปที่หมิงโจวแล้ว ล้วนแต่เป็นของไร้ค่า ของมีค่าล้วนแต่อยู่ที่นี่” อวิ๋นเยี่ยตบๆ ที่กล่อง


 


 


“สองสามวันก่อนฝ่าบาทเอาตั๋วเงินสดเก้าแสนเหรียญให้ข้าหนึ่งใบ มันคือเงินที่เจ้าได้จากการขายสมบัติในหมิงโจวหรือ”


 


 


“ใช่แล้ว มีตั๋วเงินสดแบบนี้อยู่สองใบ ใบหนึ่งใช้ถอนเงิน อีกใบใช้ปิดบัญชี ใบที่เอาไว้ปิดบัญชีอยู่ในแขนเสื้อของอู๋เสอ เขาไม่ให้ใครดู”


 


 


จั่งซุนอู๋จี้ดึงอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในห้องโดยสาร ลดเสียงลงถามเบาๆ ว่า “รายได้ของตระกูลข้า เจ้าคงจะไม่ได้เอาคืนให้กับคลังประเทศทั้งหมดตามที่ข้าพูดในจดหมายใช่หรือไม่?”


 


 


“ท่านลุงจั่งซุน ท่านเคยเขียนจดหมายให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดหลานถึงจำไม่ได้ หรืออยู่ในพระราชโองการของฝ่าบาท? ส่งมอบทรัพย์สมบัติหกส่วนนี่คือกฎเหล็ก มีอู๋เสอคอยกำกับดูแล ใครจะกล้าทำอะไรเหลวไหล แน่นอนว่าหลานเก็บรายได้ของตระกูลจั่งซุนถึงหกส่วนเต็มๆ มีเพียงอวี่กั๋วกงที่รักประเทศชาติตัดสินใจส่งมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับประเทศ หลานก็เชื่อฟังโดยธรรมชาติ เพราะเรื่องนี้ หงเฉิงยังใช้มีดฆ่าแม่ทัพที่ไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สมบัติไปแล้วตั้งหลายคน หากท่านไม่เชื่อ จดหมายของจางกงยังอยู่ในแขนเสื้อของหลาน ทุกคำ ทุกประโยคบอกให้หลานไม่ต้องเกรงใจกับกิจการตระกูลของเขา ดังนั้นหลานจึงไม่เกรงใจ ไม่เหลือไว้ให้จางกงเลยแม้แต่บาทเดียว จิตใจที่มองเห็นเงินทองเป็นแค่มูลสัตว์ หลานนับถือจริงๆ”


 


 


จั่งซุนอู๋จี้ถอนหายใจและพูดว่า “จางเลี่ยงกับข้าต่างก็เป็นแม่ทัพเก่าแก่ของตำหนักเทียนเช่อ ตอนนั้นที่ถูกทรมานก็ไม่เคยเปิดเผยความลับของฝ่าบาท ไม่ยอมใส่ร้ายใคร พวกข้านับถือในกระดูกที่แข็งแรงของเขาเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาได้รับความร่ำรวย เขาก็ลืมความยากลำบากในอดีตไปจนหมดสิ้น เจ้าไม่สนใจจดหมายของข้าและคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย เหลือไว้แค่เพียงจดหมายของจางเลี่ยง เจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่ากำลังจะฆ่าเขาให้ตาย อวิ๋นเยี่ย เขาผิดที่คิดจะไปทำลายกิจการตระกูลของเจ้า แต่ฝ่าบาทก็ได้ลงโทษเขาไปแล้ว แล้วเขาก็ยังเอาหมู่บ้านของตัวเองที่อยู่ในฉางอันให้กับเจ้า เรื่องนี้ก็จบแค่นี้ได้หรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา จั่งซุนอู๋จี้เริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จัดการตระกูลของฝางเสวียนหลิง ตระกูลของตู้หรูฮุ่ย ตระกูลของหลื่จี ใส่ร้ายหลี่เค่อให้ตายทั้งเป็น เขาไม่เคยเบามือเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเรื่องพวกนี้จะยังไม่เกิดขึ้น แต่หนังสือประวัติศาสตร์มีหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าเขาจะจิตใจดีขนาดนี้ หากไม่หาแพะรับบาป เขาก็จะต้องแบกรับด้วยตัวเอง จั่งซุนอู๋จี้ของเจ้าก็เพียงยืนดูเรื่องตลกอยู่บนฝั่งเฉยๆ? การสร้างศัตรูไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้มีด ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ใช่ว่าคำพูดแค่คำสองคำก็จะแก้ตัวให้เขาได้


 


 


เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่พูดไม่จา จั่งซุนอู๋จี้ก็เข้าใจแล้วว่าอวิ๋นเยี่ยตัดสินใจจะหลอกลวงจางเลี่ยงให้ตาย เพราะคำพูดไม่กี่คำของตัวเองทำให้อวิ๋นเยี่ยมองตัวเองเปลี่ยนไป


 


 


เขาส่ายหน้า ขึ้นไปตรวจสอบทรัพย์สมบัติบนดาดฟ้า สำหรับเรื่องของจางเลี่ยง เขาไม่พูดถึงอีกเลยแม้แต่คำเดียว อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจจดหมายของตัวเองก็ถือว่าเห็นแก่ตำแหน่งจั่งซุนของเขาแล้ว ตัวเองไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น


 


 


ทรัพย์สมบัติยังไม่ถึงที่ อวิ๋นเยี่ยก็จะต้องตามเขาไปตลอดทาง จะปล่อยให้เขาหายไปจากสายตาตัวเองไม่ได้ หากถูกหลอกลวงในเวลานี้ แม้จะมีแปดสิบปากก็คงอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้


 


 


ตั้งแต่อู๋เสอมาถึงฉางอัน ท่าทางเย็นชาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หงเฉิงจับด้ามมีดเฝ้าดูสมบัติล้ำค่าพวกนั้นไม่ห่าง ทุกชิ้น ทุกอย่างตราตรึงอยู่ในหัวของเขา สิ่งของพวกนี้คือพยานแห่งความทุกข์ทรมานที่ตัวเองเจอในหลิ่งหนานมานานกว่าหนึ่งปี และยังเป็นที่พึ่งพาในการกลับมารับตำแหน่งของตนเอง จะสูญเสียไปไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ทหารเรือเริ่มทำงานตามคำสั่งของหลิวเหรินย่วน จั่งซุนอู๋จี้ก่อตั้งทัพในส่วนของน้ำป้าสุ่ย วาดในส่วนของทางน้ำให้สำหรับทหารเรือใช้งาน สาหร่ายเต็มลำเรือถูกผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นเอากลับไปหมด รอให้อวิ๋นเยี่ยมาจัดการในยามว่าง


 


 


เหล่าทหารที่แข็งแกร่งแบกสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านทางถนนจูเชวี่ย ส่วนที่อยู่ด้านหลังยังอยู่ที่ประตูเมือง ส่วนข้างในสุดเอาเข้าไปในพระราชวังเรียบร้อยแล้ว


 


 


อู๋เสอสีหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ที่พื้นข้างล่างบันไดของตำหนักไท่จี๋ ในมือถือแผ่นรายการหนาๆ ทุกครั้งที่สมบัติล้ำค่ามาถึง เขาก็จะตะโกนอ่านเสียงดังออกมา ตอนอยู่ที่เติงโจวอวิ๋นเยี่ยได้ทำบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามสำหรับสมบัติล้ำค่าพวกนี้ไว้แล้ว สมบัติล้ำค่าทุกชิ้นส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงแดดร้อนแรง ทำให้พวกขุนนางและทูตที่มาร่วมชมพากันตกตะลึง


 


 


“ไข่มุกลี่จูเป่ยไห่สิบหกเม็ด หินซือซานห้าสีสองก้อน หินชิงโย่วสือหนึ่งก้อน อัญมณีหยกหนึ่งเม็ด ต้นไม้ปะการังสีเลือดชั้นยอดหนึ่งต้น…”


 


 


หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่ใต้ร่มหวางลัว เฝ้าดูท่าทางของเหล่าขุนนางด้วยความเยาะเย้ย เฝ้าดูเหล่าทหารเดินถือสมบัติล้ำค่าผ่านเขาไป จะไม่ให้พลาดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว


 


 


ขุนนางบางคนกัดฟันจนเกิดเสียง กำหมัดแน่นดูเหมือนอยากจะเลือกคนที่มีความสามารถไปใช้งาน มีคลื่นลูกใหญ่ซัดขึ้นมาในใจ สิ่งของพวกนี้เดิมทีควรมีส่วนแบ่งของตัวเอง แต่ตอนนี้ทำได้เพียงเฝ้าดูพวกมันไหลเข้าสู่คลังของประเทศ ชีวิตนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นสิ่งของพวกนี้อีกครั้งหนึ่ง


 


 


สีหน้าของจางเลี่ยงซีดเซียวจนน่ากลัว ภายใต้แสงอาทิตย์ที่อยู่บนหัวของกวงจง แต่เขากลับหนาวจนตัวสั่นไปหมด ทุกครั้งที่อู๋เสออ่านชื่อสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งออกมา ดาววีนัสที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองก็โผล่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งดวง เสียงในหูดังจนน่ากลัวแล้วยังมีเสียงก้องสะท้อน แค่รู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากความเป็นจริงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เมื่อพระอาทิตย์ตกลงไปทางทิศตะวันตก ถึงได้เห็นจุดสิ้นสุดของกองทัพทหาร อวิ๋นเยี่ยถือกล่องไม้อยู่ในมือ เดินอยู่ข้างหลังสุด หงเฉิงที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาถือทองคำก้อนใหญ่ไว้ในมือทั้งสองข้าง เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่ซื่อหมินก็ไม่พูดอะไรสักคำ ทว่าวางทองคำลงไว้ที่เท้าของหลี่ซื่อหมิน ตัวเองคุกเข่าและร้องไห้เบาๆ ออกมา


 


 


ไม่ได้เจอกันสองปี หลี่ซื่อหมินมองไปที่หงเฉิงที่ถูกแดดเผาจนผิวดำเกรียม ในใจก็อยากจะร้องไห้เช่นกัน ยืนขึ้นเดินผ่านทองคำไป ตบที่หลังของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “สองปีที่ผ่านมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


ได้ยินหลี่ซื่อหมินยกโทษให้ตัวเอง หงเฉิงที่เดิมทีมีคำพูดมากมายนับไม่ถ้วน จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะร้องไห้เสียงดังออกมา เคาะหัวลงกับพื้นไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังสูดลมหายใจ


 


 


“ลุกขึ้นมา เป็นลูกน้องของเราอย่าอ่อนแอ ก็เพียงแค่สูญเสียตำแหน่งเจวี๋ยไปไม่ใช่หรือ เราเอาคืนให้เจ้า ความลำบากของเจ้าในหลิ่งหนานสองปีมานี้ เราเห็นมาโดยตลอด หัวใจที่อยากจะไถ่บาปของเจ้า เราก็รู้ ขอแค่จงรักภักดีต่อเรา เราเคยให้เขาต้องเสียเปรียบหรือไม่ ลุกขึ้นมา อย่าให้เสียรูปแบบของขุนนาง”


 


 


หงเฉิงสะอื้นขณะยืนขึ้นมา เห็นทองคำที่อยู่บนพื้น หยิบมันขึ้นมา ยื่นให้หลี่ซื่อหมินอีกครั้งแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท นี่คือของขวัญมงคลที่หลี่หรงซื่อ หัวหน้าแห่งดินแดนเหลียวมอบให้แด่ฝ่าบาท เป็นทองคำธรรมชาติชิ้นใหญ่ มีน้ำหนักทั้งหมดสิบกว่ากิโลและเจ็ดร้อยยี่สิบหกเหรียญ สร้างขึ้นมาโดยสรวงสวรรค์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทองหัววัว ว่ากันว่าหากได้ครอบครองสิ่งนี้เท่ากับได้รับความรักจากสรวงสวรรค์ รัชทายาทบุญบารมีน้อยนิด ครอบครองสมบัติล้ำค่าสิ่งนี้ไม่ได้จึงให้กระหม่อมนำของล้ำค่าสิ่งนี้มาให้แก่ฝ่าบาท ขอให้ต้าถังของข้ายิ่งใหญ่ตลอดไป”


 


 


“เราได้ยินมาว่าทองคำชิ้นนี้มีดวงวิญญาณติดมาด้วยมากกว่าสองร้อยดวง เทพภูเขาตีกลองทำให้สัตว์ร้ายไล่ฆ่าผู้คน จนถึงทุกวันนี้เฝิงอั้งก็ยังคงไม่พอใจ แต่ก็ดีเหมือนกัน สมบัติล้ำค่าก็ควรจะเป็นของคนที่มีศีลธรรม ของชิ้นนี้ก็มีแค่เราเท่านั้นที่ครอบครองได้ เจ้าเอามันไปไว้ยังตำหนักหลัง ไปหาฮองเฮาเถิด นางก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้ามากเช่นกัน”


 


 


หงเฉิงซาบซึ้ง น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง คำนับหลี่ซื่อหมิน ก้มหน้าลงแล้วเดินออกไปทางตำหนักหลัง


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่รู้ว่าทำไมเห็นหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วถึงได้รู้สึกโมโห เมื่อครู่หงเฉิงร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้แต่คนที่มีหัวใจแข็งดั่งเหล็กเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกสงสาร เจ้านายกับคนรับใช้ คนหนึ่งกำลังแสดงความรัก อีกคนก็กำลังแสดงความรัก ขุนนางพวกนั้นพากันพยักหน้าทีละคนช่างน่าชื่นชม มีเพียงไอ้เจ้านี่เท่านั้นที่แอบแคะจมูกอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้สึกอะไร ภาพลักษณ์เลวทรามยิ่งนัก หลี่ซื่อหมินอดทนต่อความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปต่อยเขาแล้วกลับมานั่งที่เดิม รอให้อวิ๋นเยี่ยเข้าเฝ้า


 


 


อวิ๋นเยี่ยที่ถูกแดดเผาจนดำอ้าปากทีเห็นฟันสีขาว ยิ้มและเดินเข้าไปถวายความเคารพให้หลี่ซื่อหมินทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทว่าไม่รอให้เขาได้พูดอะไรออกมา หลี่ซื่อหมินก็ชิงพูดเสียก่อน


 


 


“เจ้าถูกโต้วเยี่ยนซานลักพาตัวไป เหตุใดโต้วเยี่ยนซานตายไปแล้ว แต่เจ้ากลับยังมีชีวิตอยู่? ฎีกาของเจ้าบอกว่าโต้วเยี่ยนซานต่อสู้กับมังกรสามร้อยครั้ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน เราสับสนมาตั้งครึ่งปี รอให้เจ้ากลับมาอธิบายให้เราฟัง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเสียใจยิ่งนัก พูดกับฮ่องเต้ด้วยความน้อยใจว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ถามไถ่ว่ากระหม่อมรอดออกมาได้เช่นไร แต่กลับพัวพันอยู่กับประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้”


 


 


“สารเลว อย่ามาทำท่าทางน่ารังเกียจ ตั้งแต่วันที่เจ้าเกิดเรื่องข้าก็มั่นใจในตัวเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่โต้วเยี่ยนซานไม่ฆ่าเจ้าให้ตายตั้งแต่แรก คนที่ตายก็จะต้องเป็นโต้วเยี่ยนซาน พูดถึงการพลิกแพลงตามสถานการณ์ เจ้าเป็นอันดับหนึ่งบนโลกใบนี้ หน่วยข่าวกรองบอกว่าเจ้ากำลังหลบหนีอยู่ในแม่น้ำ เราก็รู้แล้วว่าเจ้าจะต้องกลับมาไม่ช้าก็เร็ว แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะข้ามป่าข้ามเขาไปถึงหลิ่งหนาน ช่างมีความสามารถจริงๆ รีบเล่าเรื่องโต้วเยี่ยนซานให้เราฟังได้แล้ว เราอยากรู้จริงๆ ว่าเหตุใดโต้วเยี่ยนซานถึงได้บ้าคลั่งต่อสู้กับมังกร หากเราเดาไม่ผิด จะต้องมีผู้ชมที่กำลังกินอะไรรับชมการแสดงอยู่ข้างๆ เป็นแน่ ผู้ชมคนนี้นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครแล้วใช่หรือไม่”


 


 


หลี่ซื่อหมินตบที่เท้าแขนเร่งอวิ๋นเยี่ยไม่หยุด ไม่มีความสง่างามของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย


 


 


“ฝ่าบาท สิ่งที่กระหม่อมถืออยู่ในมือคือสมบัติล้ำค่าที่หายาก เพชร…”


 


 


“เพชรอะไรกันล่ะ การกลับมาของเจ้าสำคัญกว่าสมบัติล้ำค่าใดๆ รีบเล่าเรื่องโต้วเยี่ยนซาน เราอยากรู้เรื่องมังกร”


 


 


เห็นว่าหลี่ซื่อหมินอยากจะฟังเรื่องของโต้วเยี่ยนซานตอนนี้ เขาก็รู้ว่ามีขุนนางในราชสำนักสังสัยในการตายของโต้วเยี่ยนซาน หลี่ซื่อหมินให้โอกาสตัวเองในการแสดงความบริสุทธิ์ จะได้ไม่มีคนเอาไปนินทาลับหลัง จริงๆ เลยนะ จะเล่นกับข้าใช่หรือไม่ หากวันนี้ข้าไม่ทำให้พวกเจ้าเป็นลมไปสักสองสามคน อย่ามาเรียกนามสกุลข้าว่าอวิ๋นเลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)