เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 29-30

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 29 ไม่ใช่ตราประทับของสุภาพบุรุษ

 

เมื่อเข้าไปด้านใน อวิ๋นเยี่ยก็ช่วยพยุงชายเฒ่าลงจากรถม้า หญิงสาวทั้งสี่คนช่วยกันพยุงไหล่ของชายเฒ่าเดินเข้าไปในจวน ความจริงแล้วที่ตระกูลอวิ๋นไม่มีคนเหล่านี้มาก่อน ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ซินเย่วยืมมาจากตำหนักจั่งซุนเมื่อวานนี้ ผู้หญิงเหล่านี้พยุงได้อย่างมั่นคง ชายเฒ่าเองก็คงรู้สึกสบายเช่นกัน สาวงามในชุดหลากสีเดินพลิ้วไหวเหมือนปุยเมฆและสายน้ำไหลเป็นจังหวะอย่างสวยงาม


 


 


ท่านย่ายืนโค้งคำนับอยู่หน้าประตูบานที่สองที่ไกลออกไป สมาชิกที่อยู่ในตระกูลอวิ๋นต่างก็พากันก้มลงคำนับที่พื้นเป็นการต้อนรับการมาของชายเฒ่า ชายเฒ่ายืนพิงที่เก้าอี้มองไปยังท่านย่าที่แก่ชราจนผมสีขาวแล้วพูดว่า “ท่านหญิงจ้าว หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตระกูลอวิ๋น เจ้าคงเลี้ยงดูเด็กสาวด้วยความยากลำบาก เจ้าไหว้บรรพบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน การทำความดีนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เจ้าจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติ ประพฤติอยู่ในจริยธรรมและคุณธรรม ตระกูลอวิ๋นได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง นั่นคือความสำเร็จของเจ้า ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นควรจะมีพื้นที่สำหรับเจ้า”


 


 


คำพูดของชายเฒ่าได้บ่งบอกถึงการกระทำที่ผ่านมาของท่านย่า การประเมินนี้สำคัญมาก สำคัญยิ่งกว่าการประเมินของราชวงศ์ที่มีต่อท่านย่า หากราชวงศ์ยังมีปัจจัยที่เป็นประโยชน์ เช่นนั้นการประเมินของเหยียนจือทุยที่มีต่อท่านย่าตระกูลอวิ๋นก็หมายความว่าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้กับสิ่งที่นางทนลำบากในวันที่ผ่านมา


 


 


สิ่งนี้ควรค่าแก่การยกย่อง อวิ๋นเยี่ยต้องแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ มีคนมากมายที่ต้องการการประเมินจากเหยียนจือทุย ต่อให้บริจาคเงินทองเป็นหมื่นก็ไม่อาจได้รับสิ่งนี้ ตระกูลอวิ๋นนั้นโชคดีที่ได้รับมา สิ่งนี้เหมาะแก่การเขียนไว้ที่แท่นจารึก ให้นักประวัติศาสตร์ได้จดบันทึกลงในบันทึกไม้ไผ่ เพราะว่าแปดในสิบส่วนของประวัติศาสตร์ต้าถังถูกเขียนโดยครอบครัวของเขา


 


 


การแสดงความขอบคุณได้จบลง ชายเฒ่าไม่ได้นั่งที่เก้าอี้แล้ว ของสิ่งนั้นเป็นของสำหรับใช้ในพิธีการ ซินเย่วและน่ารื่อมู่รีบอุ้มเด็กทั้งสองคนมาให้ชายเฒ่าดู ชายเฒ่าดึงผ้าอ้อมออก ใช้พู่กันเขียนลงบนท้องของเด็กน้อย ซินเย่วมีความสุขจึงคุกเข่าลงและแสดงความขอบคุณ ชายเฒ่าเปิดผ้าอ้อมของเด็กน้อยออกเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิง ชายเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มออกมา เขาวางพู่กันลง เอื้อมมือไปแตะสีทาปากบนปากของน่ารื่อมู่แล้วไปป้ายที่หน้าผากของเด็กน้อย เด็กน้อยรู้สึกคันจึงเบะปาก จากนั้นก็นอนหลับไป ฮ่วนเหนียงตื่นเต้นจนตัวสั่น รีบดึงให้น่ารื่อมู่คุกเข่าลงคำนับ คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกยินดีกับคนเป็นแม่ทั้งสอง มีเพียงน่ารื่อมู่เท่านั้นที่ยังงงๆ ทำตัวไม่ถูก


 


 


ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครพูดว่าเด็กน้อยมีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์อีกแล้ว ได้รับของขวัญจากท่านผู้เฒ่าแล้ว ต่อให้ในอนาคตนางจะมีผมสีบลอนด์มีดวงตาสีฟ้า คนอื่นๆ ก็จะชี้ไปที่เด็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่คือเชื้อชาติชาวฮั่นที่บริสุทธิ์”


 


 


ในสมองของอวิ๋นเยี่ยมีเสียงก้องกังวานขึ้น การที่ชายเฒ่าหยดหมึกสีดำลงบนท้องของอวิ๋นน้อย เพราะหวังว่าในภายภาคหน้าเขาจะเป็นเด็กที่มีความรู้ความสามารถ มีบทความที่ตัวเองเขียนขึ้นเยอะแยะมากมาย นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ว่าการป้ายสีแดงให้แก่เด็กน้อย นั่นถือเป็นพระคุณยิ่งนัก ได้ยินมาว่าตอนที่องค์หญิง ลูกสาวของหลี่ซื่อหมินคลอดออกมา เขาอยากเชิญให้ชายเฒ่าป้ายสีแดงให้ ชายเฒ่าพูดว่าอย่างเด็ดขาดว่า “สายเลือดของตระกูลฮั่นเหลือเพียงสามส่วน นั่นไม่อาจนำมารวมกันได้” ประโยคนี้ทำเอาจั่งซุนแทบจะสำลัก แต่ก็ไม่สามารถบังคับชายเฒ่าได้ ตอนนี้เด็กน้อยได้รับโอกาสนี้แล้ว ภายหน้าไม่ว่าจะแต่งงานกับใครก็ไม่มีปัญหา จะแต่งกับราชวงศ์หรือจะแต่งกับคนในตระกูลผู้ดีก็เหมือนกับว่าได้แต่งกับผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า สายเลือดของหลี่ซื่อหมินเป็นสายเลือดของคนป่าเถื่อน จะเทียบกับสายเลือดที่สูงส่งของเด็กน้อยได้อย่างไร


 


 


ในเมื่อชายเฒ่าทำเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยังจะพูดอะไรได้อีก กลับไปก็เตรียมเผาหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องต้นได้เลย ในชาตินี้ไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์อะไรอีก ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรแล้วในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีของสิ่งนี้อยู่แล้ว อย่างมากทุกคนก็พากันไปต้อนแกะ ใช้วิธีนับแกะโดยการกองก้อนหินก็ไม่แย่เท่าไหร่ ก็เพียงแค่หนังสือคณิตศาสตร์ เทียบไม่ได้เลยกับความสำคัญทางสายเลือดของเด็กน้อย


 


 


ในห้องรับแขก ท่านย่ายกชามาให้เหยียนจือทุยด้วยตัวเอง ซินเย่วยกขนมตามมา น่ารื่อมู่ที่ถูกฮ่วนเหนียงอบรมสั่งสอนมาได้นั่งคุกเข่าทำชีสด้วยตัวเอง


 


 


เหยียนจือทุยกินขนมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาชิมชีส ดื่มชาด้วยความชื่นชม จากนั้นก็ให้คนทั้งหมดถอยออกไปก่อน อวิ๋นเยี่ยเชิญเขาไปยังห้องหนังสือของตัวเอง เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือแล้วชายเฒ่าก็นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ร่างกายผอมบางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ทำให้ดูตัวเล็กมากกว่าเดิม หลังจากที่พวกท่านย่าออกไปแล้ว ชายเฒ่าก็เอาแต่จ้องไปที่อวิ๋นเยี่ย ในตาของคนที่อายุเกือบร้อยปีนั้นช่างแวววาวราวกับนกอินทรีย์เสียจริง ทำเอาอวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง


 


 


“อาจารย์ของเจ้าเป็นชาวฮั่นหรือชาวหู”


 


 


คิดถึงความเป็นไปได้อยู่หลายอย่าง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเหยียนจือทุยจะถามเผ่าพันธุ์ของอาจารย์ต่อหน้าคนที่มีสายเลือดชาวฮั่นฝังลึกถึงกระดูกอย่างเขา หากพูดถึงอริสโตเติล นิวตัน ไอน์สไตน์ ออกมา คาดว่าจุดจบไม่น่าจะดีเท่าไหร่ ในหัวรีบนึกถึงนักปราชญ์ของชาวฮั่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คิดถึงความนับถือที่มีต่อเฉิงจิ่งรุ่นและคนอื่นๆ จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าอาจารย์ข้าเป็นชาวฮั่น เคยมีคนกล่าวไว้ว่าผู้สืบทอดของเผ่าพันธุ์ได้ซ่อนจากโลกใบนี้ตั้งแต่ที่พวกเขาข้ามมาที่เหอหนานในราชวงศ์จิน สุดท้ายเหลือเพียงเขาแค่คนเดียว จึงสั่งให้ข้าถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นหลัง”


 


 


ประโยคนี้ทำเอาชายเฒ่าน้ำตาคลอ ตบที่เก้าอี้แล้วพูดว่า “นี่คือภัยพิบัติครั้งใหญ่ เราต้องสูญเสียชาวฮั่นไปเท่าไหร่ อำนาจชาวหูยิ่งใหญ่ทะลุภูเขากวนซัน ชาวจงหยวนต้องพากันหนีตาย หวาดระแวงเหมือนสุนัขไร้บ้าน วัฒนธรรมการใช้พู่กันมีมาถึงยี่สิบปีกลับถูกมีดดาบทำลายสลายกลายเป็นหมอกควัน การสืบทอดถูกทำลายลง ความรู้ได้สูญหายไป ผู้ชายกลายเป็นสุนัขรับใช้ ผู้หญิงกลายเป็นเสบียง เด็กทารกต้องทนหิวอยู่ในป่า คนชราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างทาง เสียงสัตว์ร้ายที่ร้องคำรามทำให้ตอนกลางคืนมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ความโกรธแค้นนี้จะสิ้นสุดได้อย่างไร”


 


 


ได้ยินคำพูดของชายเฒ่าอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับที่หัวใจของเขา ตอนนั้นที่นักปราชญ์และชาวบ้านข้ามแม่น้ำ ดินแดนจงหยวนถูกอาละวาดด้วยฝีมือของพวกชนเผ่ากลุ่มอื่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ


 


 


กลัวว่าชายเฒ่าจะเสียใจมากเกินไปจนเสียสุขภาพจึงรีบพูดให้เขาสบายใจว่า “ชาวฮั่นเจริญรุ่งเรืองมาสามพันปี ฝ่าลมฝนมานับไม่ถ้วน ตอนนี้ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอย่างภาคภูมิใจแล้ว ชีวิตของชาวเติร์กตะวันตกได้อยู่ในกำมือของข้า ชาวเกาชังก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เซวียเหยียนถัวก็อยู่ในความหวาดระแวง ถู่อวี้หุนก็เงียบเหมือนจักจั่นกำลังจำศีล ชาวหุยเกอก็อยู่ในที่ราบสูงอันไกลโพ้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมของชาวฮั่นเจริญรุ่งเรือง ดูจากข้อพิพาทในการเผยแพร่บันทึกครั้งนี้ก็รู้ได้ว่าการอบรมสั่งสอนมาหลายปีได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง”


 


 


ชายเฒ่ารู้สึกโศกเศร้าจึงทำให้เขาดูเหนื่อยอยู่บ้าง เขาขดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าการที่หนังสือหลายเล่มปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในคราวเดียวนั้นเป็นเรื่องดีหรือ หากเป็นเช่นนี้หนังสือชั้นสูงของเจ้าอาจจะถูกข่มขู่”


 


 


“อาจารย์ข้าเคยบอกว่าการกังวลก่อนผู้อื่นจะกังวลหรือการมีความสุขหลังจากที่ผู้อื่นมีความสุขแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติคนอย่างข้าก็คงทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่ว่าจิตใจที่อยากจะให้ท่านผู้เฒ่าได้ตีพิมพ์หนังสือระดับสูงก่อนนั้นยังพอมีอยู่”


 


 


ชายเฒ่าหัวเราะ วางแขนที่พนักพิงก้มหัวลงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าการที่ข้าชมท่านย่าของเจ้า แต้มสีแดงให้ลูกสาวเจ้า ก็เพื่อให้เจ้าตีพิมพ์หนังสือระดับสูงหรือ”


 


 


“ข้าไม่กล้าคาดเดาว่าท่านผู้เฒ่าต้องการอะไร นี่เป็นเพียงสิ่งที่ข้าน้อยคิดออกมาจากใจ”


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่คนพวกนั้นได้นำมันฝรั่งบริจาคให้แก่ชาวบ้านเพื่อขอบคุณการทำเพื่อส่วนรวมของเจ้า แล้วยังเตรียมพืชผลผลิตที่ดีอย่างข้าวโพดเพื่อเป็นรางวัลให้แก่ชาวบ้านที่มีอาชีพเพาะปลูกเป็นเกษตรกรก็เพื่อเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงเป็นใยอาหารการกินของราษฎร การที่ข้าช่วยเจ้าคลายความกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นี่คือสิ่งที่เจ้าควรได้รับ ข้าให้รางวัลเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากแต่ก็ดีกว่าไม่มี


 


 


หนังสือชั้นสูงก็คือหนังสือชั้นสูง อย่างไรการจัดพิมพ์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานสี่แสนสามหมื่นตัวอักษรที่ข้าอ่านมาครึ่งปีก็ยังมีบางที่ที่อ่านไม่เข้าใจ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่หาได้ยาก ไม่สามารถนำหนังสือเล่มอื่นมาแทนที่ได้ มีคุณสมบัติที่ถูกจัดเป็นหนังสือระดับสูง แต่ว่าทำไมต้องออกติดต่อกันสามฉบับ ทำไมเจ้าต้องทำให้ขุนนางนักปราชญ์ไม่พอใจจนพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างร้ายกาจเช่นนี้”


 


 


ตระกูลเหยียนไม่ยุ่งเรื่องของราชสำนัก มีเรื่องราวหลายอย่างที่ยังไม่อาจเข้าใจชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจึงได้อธิบายเหตุและผลให้เขาฟัง เริ่มเล่าตั้งแต่การก่อสร้างตำหนักว่านหมินจนถึงเรื่องที่ประเทศได้เก็บผลประโยชน์จากหลิ่งหนานจนทำให้เกิดความไม่พอใจ อธิบายอย่างละเอียดไม่ขาดไม่เกิน พูดถึงเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมดให้เหยียนจือทุยฟัง


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ราชวงศ์ก็เหมือนกับส้วม คนมีความรู้อย่างเจ้าไม่อยู่สอนหนังสือในสำนักศึกษามาคลุกคลีอยู่กับกลิ่นเหม็นเหล่านี้ทำไม หรือว่าความทะเยอทะยานกับจิตใจอันกล้าหาญของคนวัยหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้ากำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่าง”


 


 


“ข้าขอพูดอย่างไม่อาย ข้าชอบใช้ชีวิตไปกับการสอนหนังสือเป็นที่สุด มองดูภูเขาและแม่น้ำ ทำของอร่อยสักสองสามอย่าง เฝ้าดูลูกๆ เติบโต ถ่ายทอดความรู้จากอาจารย์ต่อไป ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างเงียบๆ จะได้ไม่นำความเดือดร้อนมาใส่ตัว” อวิ๋นเยี่ยพูดความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาเบื่อกับราชสำนักจนถึงขีดสุด


 


 


“มีอะไรน่าอาย หากคิดจะเรียนรู้ก็ต้องทำใจให้สงบ ไร้ความปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่นำความรู้มาใช้ในทางที่ผิด ความคิดของเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ดี เดิมทีการสืบทอดความรู้เป็นความรับผิดชอบของคนวัยหนุ่มสาว ข้าเคยได้ยินหนังสือ ‘คำพูดของหนุ่มสาว’ ของเจ้า แรงผลักดันในตอนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวของราชสำนักมาก คนที่ฉลาดกว่าเจ้านั้นมีอยู่ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าวิ่งวุ่นเพื่อแก้ไขปัญหา หากภายหลังพวกเขายังมาวุ่นวายกับเจ้าอีกก็ให้ปฏิเสธไปว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้า”


 


 


ได้ฟังคำพูดของชายเฒ่าอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยความสุข มีเกาะป้องกันธนูที่หนาเช่นนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ มองดูชายเฒ่าร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วอยากจะเข้าไปจุ๊บหัวเหม่งของเขาสักที


 


 


“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือ ไม่ว่าจะมีหนังสือเท่าไหร่ท่านก็ส่งให้ข้าเป็นคนตีพิมพ์ก็พอ รับรองได้ว่าทุกเล่มจะต้องเป็นหนังสือระดับสูง ตอนนี้หนังสือที่ต้องตีพิมพ์มีเพียงสามสิบกว่าเล่มเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร” อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่หากคนให้ความเคารพเขาหนึ่งคืบเขาก็จะเคารพคนคนนั้นหนึ่งศอก เห็นชายเฒ่ากังวลเรื่องการตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นเขาจึงได้อาสาดูแลทุกอย่างเอง


 


 


“ไม่มีประโยชน์หรอกไอ้หนุ่ม ต่อให้ตระกูลเจ้ามีเงินทองมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน เมื่อก่อนต้องจ้างให้คนคัดหนังสือ หลายปีมานี้พึ่งจะมีวิธีการพิมพ์แบบใหม่นั่นก็คือการแกะสลัก มีไม่กี่คนที่ชำนาญด้านนี้ มีช่างฝีมือน้อยเกินไป และทั้งหมดถูกราชวงศ์ผูกขาดไปหมดแล้ว การแกะสลักใช้เวลานาน เป็นเพราะทุกอย่างไม่ได้เรียบง่าย ดังนั้นทุกคนจึงได้อิจฉาเจ้า”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแหยๆ หยิบตราประทับมาจากบนโต๊ะ หลังจากที่นำตราประทับไปจุ่มหมึกแล้วเขาก็กดลงบนกระดาษที่อยู่ต่อหน้าชายเฒ่า เห็นตัวอักษรปรากฏอยู่บนกระดาษ ‘ไม่ใช่ตราประทับของสุภาพบุรุษ’ นี่คือตราประทับที่อาจารย์หยวนจางแกะสลักด้วยตัวเองแล้วมอบเป็นของขวัญให้กับอวิ๋นเยี่ยในวันเกิด


 


 


ชายเฒ่ากะพริบตาแล้วมองไปยังอวิ๋นเยี่ย เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้จะให้เขาดูตราประทับแค่อันเดียว อวิ๋นเยี่ยนำตราประทับออกมาอีกหนึ่งอัน นำตราประทับสองอันมาต่อเข้าด้วยกัน จุ่มบนหมึกแล้วกดลงไปที่กระดาษเป็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘บ๊วย กล้วยไม้ ไข่ เบญจมาศ ไม่ใช่ตราประทับของสุภาพบุรุษ’


 


 


เหยียนจือทุยดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ดูเหมือนสับสน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยนำตราประทับออกมาจากกล่องอีกครั้ง แล้วนำตราประทับทั้งสามอันกดลงไปที่กระดาษ…

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 30 ใจที่ยิ่งใหญ่

 

สถานการณ์ในห้องหนังสือเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เด็กหนุ่มและชายเฒ่ากำลังทำการจัดเรียงตราประทับหกเจ็ดอัน นำตราประทับจุ่มหมึกแล้วพิมพ์ลงบนกระดาษ การกระทำเช่นนี้ดำเนินไปแล้วหนึ่งก้านธูป ชายเฒ่าถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าวิธีนี้ได้ผลหรือ”


 


 


“แน่นอนว่าได้ผล ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นจะต้องแกะสลักตัวอักษรจารึกไว้บนกระดานไม้ หรือว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าสามารถแกะสลักตัวอักษรลงบนก้อนตะกั่วหรือดินเหนียวได้ ข้ามักจะใช้ดินเหนียว เพราะเมื่อแกะสลักเสร็จแล้วนำไปเข้าเตาเผาสักครู่ก็ใช้ได้ ในหมวดคำอักษรจีนก็มีตัวอักษรเพียงเก้าพันตัว ช่างฝีมือสองคนสามารถแกะสลักตัวอักษรเหล่านี้ได้ภายในหนึ่งเดือน พวกเรานำอักษรให้เขาแกะสลักสเจ็ดแปดชุด จากนั้นแต่ละตัวอักษรที่ใช้บ่อยก็แก่สลักสักร้อยกว่าอัน จะแกะสลักตัวอักษรข่าย[1]หรือจะแกะสลักตัวอักษรเฉ่า[2]ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะชอบตัวอักษรแบบเว่ยฮูหยิน หรือว่าชอบตัวอักษรแบบหวางโย่วจวิน เราก็แค่จ่ายเงินเล็กน้อยค่าแกะสลักแค่นี้ก็เรียบร้อย”


 


 


ชายเฒ่าดีใจเหมือนเด็กน้อย มือไม้สั่นแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องแกะสลักลงบนไม้แล้ว แค่อักขระชุดเดียวก็สามารถใช้นับครั้งไม่ถ้วน เพียงแค่นำมาจัดเรียงใหม่ก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว ฮ่าๆๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องไปแย่งใครแล้ว เพียงแค่มีช่างฝีมือ ไม่ว่าจะพิมพ์หนังสือออกมากี่เล่มก็จะมีปัญหาแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น หากเป็นหนังสือระดับสูงทั้งหมดก็จะทำให้คนพวกนั้นที่แย่งจะทำหนังสือระดับสูงกับเจ้าต้องกระอักเลือด”


 


 


ไม่ค่อยคุ้นชินกับนิสัยคิดแล้วก็ลงมือทำเลยของชาวต้าถังเท่าไหร่ ชายเฒ่าไม่ยอมกินข้าวเอาแต่ชวนอวิ๋นเยี่ยไปสำนักศึกษา ไปหาอาจารย์หยวนจางให้ช่วยแกะสลักอักษรดินเหนียว มีเพียงชายเฒ่าอย่างเขาเท่านั้นที่สามารถใช้ให้อาจารย์หยวนจางมาเป็นช่างฝีมือได้


 


 


ไม่อยากนั่งเกวียนวัวจึงรีบเดินไปขึ้นรถม้าที่นั่งสบายที่สุดของตระกูลอวิ๋นแล้วลืมคนใช้ไว้ข้างหลัง คนใช้ตะโกนอย่างรีบร้อนบอกให้นายท่านรอเขาด้วย


 


 


เมื่อชายเฒ่ามาถึงที่สำนักศึกษาก็ทำเอาสำนักศึกษาวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่กำลังเรียนหรือลูกศิษย์ที่ไม่ได้เข้าเรียนต่างก็พากันวิ่งมาทำความเคารพชายเฒ่า


 


 


“ใครมีสอนก็ไปสอน ใครมีเขียนบทความก็ไปเขียน ส่วนหลี่กังและหยวนจางให้อยู่ก่อน แล้วก็หลีสือด้วย ได้ยินว่าเจ้าปั้นตุ๊กตาได้ เจ้าไปเอาดินเหนียวมาให้ข้าสักสิบกิโล”


 


 


หลีสือไม่ได้พูดอะไร เมื่อฟังคำสั่งชัดเจนแล้วจึงรีบไปขุดดินเหนียว หลี่กังทำหน้าบูดเพราะกำลังจะมาทำความเคารพทว่าถูกชายเฒ่าด่าไปหนึ่งยก “เจ้าอายุยังน้อยทำไมถึงไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย หลายปีมานี้อาหารที่กินเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ พอพูดถึงเรื่องตีพิมพ์หนังสือเจ้าก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ออกแม้กระทั่งความคิดเห็นดีๆ ต้องให้ข้าแบกหน้าไปถามเด็กๆ เอาไว้ข้าจะมาจัดการเจ้าทีหลัง”


 


 


หลี่กังเขี่ยที่หนวดเคราสีขาวของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้กลายเป็นเด็กในสายตาเขา แต่ว่าคำพูดที่ออกจากปากเหยียนจือทุยเหมือนว่าจะไม่ได้พูดผิด ส่วนเหตุผลที่โดนว่านั้นเขาเข้าใจดีอยู่แล้ว


 


 


ตีเข้าไปที่ท้ายทอยอวิ๋นเยี่ยหนึ่งที เมื่อวานตัวเองไม่ยอมมารับผิดด้วย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้วิธีอะไรจึงได้หลอกให้ชายเฒ่าดีใจ แล้วยังพามาที่สำนักศึกษาเพื่อเล่นงานเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยลูบท้ายทอยแล้วพูดกับหลี่กังอย่างน้อยใจว่า “เมื่อวานข้าแค่อยากบอกเจ้าเกี่ยวกับวิธีพิมพ์หนังสือแบบใหม่ เจ้าไม่ฟังแล้วเดินหนีไป แล้วตอนนี้ทำไมต้องมาโทษข้า”


 


 


หลี่กังมองไปที่ชายเฒ่าที่กำลังคุยอยู่กับอาจารย์หยวนจาง เขาก้มหัวแล้วพูดว่า “ข้าต้องมารับอารมณ์โกรธของท่านผู้เฒ่าทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดีก็ต้องหาที่ระบายเป็นธรรมดา เจ้าคิดว่าข้าควรจะระบายอารมณ์กับหยวนจางหรือว่าเจ้าดีล่ะ”


 


 


ในเมื่อชายเฒ่าออกโรงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก นึกได้ว่าชายเฒ่ายังไม่ได้กินข้าว จึงเข้าครัวไปทำอาหารว่างให้เขา


 


 


ข้าวเตียวหูทั้งนุ่มทั้งเหนียวกำลังดี เต้าหู้ยัดไส้หมูสับหนึ่งจาน นกพิราบตุ๋นกับโสม ยำผักจี้หนึ่งจาน เดิมทีนี่คืออาหารที่เตรียมไว้ให้ชายเฒ่าวันนี้อยู่แล้ว หลิวจิ้นเป่าได้ขี่ม้าเร็วนำวัตถุดิบมาส่ง รวมไปถึงนกพิราบที่ตุ๋นเรียบร้อยแล้ว


 


 


หลีสือใช้เวลาเพียงไม่นาน คนที่มีศิลปะการต่อสู้มักจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่ว ดินเหนียวก้อนใหญ่ถูกยกเข้ามา แล้วเขายังทำแม่พิมพ์ไม้เล็กๆ อีกด้วย เพียงแค่เติมดินเหนียวลงไปให้เต็มแล้วค่อยแกะออกเท่านี้ก็จะได้ทรงสี่เหลี่ยมแล้ว


 


 


หลี่กังและหยวนจางเข้าใจความตั้งใจของชายเฒ่าที่ต้องการดินเหนียว อาจารย์หลีสือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดินเหนียว เขาคิดว่าดินเหนียวนั้นอ่อนเกินไปจึงรีบไปขุดมาใหม่ มีชายเฒ่าสองสามคนแย่งกันทำงานต่อหน้าเหยียนจือทุย ดูแล้วเหมือนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ


 


 


อวิ๋นเยี่ยยกอาหารเข้ามาเพราะว่าชายเฒ่าไม่ยอมออกจากห้องทำงาน เขานั่งบนเก้าอี้มองดูอาจารย์หยวนจางแกะสลักตัวอักษรสองสามตัวแล้วนำไปเผาที่เตาดูว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากไม่เห็นกับตาก็จะไม่สบายใจ เพราะนี้คือผลงานชิ้นเอก


 


 


หลี่กังรับจานข้าวมาจากอวิ๋นเยี่ยแล้วยกไปให้ชายเฒ่า เขาพูดเสียงเบาว่า “ร่างกายของท่านจะหักโหมมากไม่ได้ ฝีมือทำกับข้าวของเด็กคนนั้นเยี่ยมยอดมากจริงๆ ท่านกินข้าวเสียหน่อยแล้วไปพักผ่อนสักครู่ เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้คนหนุ่มสาวเขาทำกันก็พอแล้ว”


 


 


ชายเฒ่ามองหลี่กังอย่างไม่เชื่อใจ แต่ว่าถูกอาหารที่อยู่ในจานดึงดูดจึงฝืนตอบรับคำแนะนำของหลี่กัง เมื่อทำความสะอาดมือแล้วก็เริ่มรับประทานอาหาร อวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างๆ เพื่อคอยรับใช้ ช่วยชายเฒ่าคีบเต้าหู้มาใส่ชาม ข้างในเต้าหู้ห่อด้วยเนื้อหมูสับละเอียด สีเต้าหู้ด้านนอกออกสีเหลืองเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยนำไปทอดกับน้ำมันก่อนสักพักแล้วจึงนำไปนึ่งในหม้อนึ่ง เต้าหู้ช่วยดับอารมณ์โกรธเหมาะกับชายเฒ่าตอนนี้เป็นที่สุด


 


 


มือของเหยียนจือทุยเริ่มสั่นมากยิ่งขึ้นเพราะอายุมากแล้วจึงใช้ตะเกียบไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมช้อนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ กว่าจะตักเต้าหู้เขาปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายเฒ่าหลับตาลงเพื่อลิ้มรสอย่างละเอียด เมื่อกินเสร็จก็พูดว่า “ช่างเป็นอาหารที่อร่อยเสียจริง น่าเสียดายที่ข้าเหลือฟันเพียงแค่สามซีก มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยอาหารอันโอชะที่เจ้าทำขึ้นมาอย่างแน่นอน”


 


 


ข้าวเตียวหูไม่เยอะมากมีเพียงถ้วยเล็กๆ เท่านั้น ชายเฒ่ากินข้าวหมดแต่ไม่ได้กินเนื้อนกพิราบ เขาค่อยๆ ดื่มน้ำซุปนกพิราบ รู้สึกว่าสดชื่นมากขึ้น มองดูผักเขียวและนกพิราบที่เหลืออย่างเสียดายแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ใจอยากกินแต่กินไม่ได้ เมื่อก่อนข้าชอบผักจี้มากที่สุด แล้วก็ชอบกินน่องไก่ หลังจากที่ฟันร่วงจนหมดปากก็ไม่ได้กินอาหารพวกนี้แล้ว กินได้เพียงเนื้อสับและโจ๊ก ข้ารับรู้ได้ว่าเวลาของข้ากำลังจะหมดลงแล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะรู้เหตุผลที่ชายเฒ่าต้องรีบร้อน ไม่ได้เป็นเพราะว่านี่เป็นผลงานชิ้นเอก เขาเพียงแค่กังวลว่าตัวเองจะอยู่ไม่ถึงได้เห็นแม่พิมพ์กำเนิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว


 


 


ชีวิตนี้อยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมจีนให้กับชาวฮั่นทุกๆ คน เพราะเหตุนี้เขาถึงได้พยายามมาทั้งชีวิต หลี่กัง หยวนจาง หลีสือ และนักปราชญ์อีกมากมายในเมืองหลวงแทบทุกคนที่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขา ก่อนที่ไฟชีวิตกำลังจะดับลงได้เห็นทักษะการพิมพ์ที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้น แล้วยังเป็นสิ่งที่ทำขึ้นด้วยตัวเอง สำหรับคนที่รักหนังสือจนเข้ากระดูกอย่างเหยียนจือทุยแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด


 


 


อาจารย์หยวนจางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยแกะสลักตัวอักษรต่อ ตรงหน้ามีหนังสือหมวดคำอักษรจีนวางอยู่หนึ่งเล่ม เขาแกะสลักได้เร็วมาก ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเขาก็แกะสลักจนครบตัวอักษรในบทที่หนึ่งของคัมภีร์หลุนอวี่[3]


 


 


เหยียนจือทุยตรวจสอบทีละตัวอักษรว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วก็ยืนดูตัวอักษรถูกนำไปเผาในเตาเผาของสำนักศึกษา การเผาต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง


 


 


ชายเฒ่าเผลอนอนหลับไปบนเก้าอี้ยาว วันนี้เขาทำงานนานเกินไป ทั้งเหยียนจึซั่นและเหยียนซือกู่ก็มาด้วย ได้ยินหลี่กังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เหยียนจึซั่นจึงหันไปโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย ในฐานะที่เป็นลูกชายของเหยียนจือทุยเขารู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้สนใจว่าจะอยู่ได้เกินสองวันหรือไม่ เหยียนจือทุยแค่กลัวว่าวันเวลาที่เหลือจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมาย


 


 


ไฟในเตาได้ดับลงแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้อุณหภูมิในเตาเย็นลง มิเช่นนั้นหากอุณหภูมิเย็นลงเร็วเกินไปจะทำให้ดินเหนียวแตกออกจากกัน มีสองสามคนกำลังคุยกันเบาๆ หน้าเตาเผาเรื่องที่เข้าใจผิดระหว่างเหยียนจึซั่นกับอวิ๋นเยี่ย ในเวลานี้เพียงแค่ยิ้มให้กันก็ทำให้เรื่องที่เคยเข้าใจผิดหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น


 


 


เมื่อพูดถึงตัวอักษรแล้ว คนที่อวิ๋นเยี่ยจะต้องนึกถึงก็คือคนที่เชี่ยวชาญด้านตัวอักษรอย่างเหยียนจึซั่น เขาสั่งให้ลูกศิษย์ไปเอากระดองเต่าสองอันมาจากห้องหนังสือในสำนักศึกษา เพื่อให้คนที่โต้เถียงกันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ซัง ราชวงศ์โจวได้เปิดหูเปิดตา


 


 


อาจารย์จินจู๋เชี่ยวชาญเรื่องอักษรโลหะมากที่สุด เขามักจะพูดเสมอว่าอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในราชวงศ์ซัง เพราะว่าหลักฐานในมือเขาได้พิสูจน์ในเรื่องนี้แล้ว เมื่อปีที่แล้วเขาได้พาหวงสู่ไปเดินสำรวจที่เมืองโบราณอินซวีในตำนานแต่ก็ไม่พบหลักฐานใหม่ ดังนั้นเขาจึงสงสัยในงานเขียนที่เป็นตำนานของชังเจี๋ยเป็นอย่างมาก ในยุคนั้นเป็นยุคที่คนยังไม่ค่อยมีความรู้ การนับเลขยังคงใช้วิธีที่เก่าแก่ที่สุดอย่างการผูกปมเชือก อย่างเช่นวันนี้จับไก่ป่าได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมเล็กบนเชือกหนึ่งปม วันก่อนจับหมูป่าได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมใหญ่ๆ ไว้บนเชือกหนึ่งปม อีกสองวันข้างหน้าคนกลุ่มหนึ่งจะจับกวางได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมขนาดกลางไว้บนเชือก


 


 


คนในต้าถังจะค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเข้า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนโบราณ สรุปก็คือเป็นเพียงแค่บันทึกโง่ๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น หากมัดปมไม่ดีทำให้ปมที่เป็นสัญลักษณ์ของกวางนั้นใหญ่เกินไปก็จะไม่ต่างอะไรจากปมที่เป็นสัญลักษณ์ของหมูป่า หากมัดปมร่วมกับคนในเผ่าเดียวกันนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมัดปมรวมกับคนในเผ่าอื่น อาจทำให้เกิดปัญหาได้จากความไม่สม่ำเสมอของขนาด อาจจะทำให้เกิดสงครามได้


 


 


ลูกศิษย์ยกกระดองเต่ามาส่งให้อวิ๋นเยี่ยและเหยียนจึซั่น พวกเขาจึงได้หยุดโต้เถียงกับอาจารย์จินจู๋ พวกเขามองดูกระดองเต่าในมืออวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาวัสดุปรุงยามาทำอะไร


 


 


“ยาชนิดนี้เรียกว่ากระดูกมังกร ข้าน้อยคิดว่ากระดองเต่าถูกใช้เป็นเครื่องทำนายในสมัยโบราณ มีวันหนึ่งข้าน้อยบังเอิญค้นพบว่าบนกระดองเต่ามีลายเส้นแปลกๆ จึงเดาว่าลายเส้นเหล่านี้อาจจะเป็นตัวอักษรในสมัยนั้น”


 


 


จินจู๋ดึงกระดองเต่ามาดู แล้วนำลายเส้นบนกระดองเต่ามาเขียนเป็นลายเส้นคล้ายตัวอักษรลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบความถูกต้องอยู่สี่ห้ารอบจากนั้นก็หลบให้พวกเหยียนจึซั่นได้มาศึกษา เจ็ดแปดคนนั่งยองๆ ลงกับพื้นสุมหัวกันดูลายเส้นเหล่านี้ แต่ละคนพยายามใช้ความคิดอยากจะหาเบาะแสจากร่องรอยชิ้นนี้เพื่อมาพิสูจน์มุมมองของตัวเอง


 


 


เหยียนจือทุยที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวแอบยิ้มที่มุมปาก เขาลืมตาขึ้นมาแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เตาเย็นแล้วหรือยัง”


 


 


ทุกคนพึ่งจะได้สติกลับมา อาจารย์หลีสือจึงสวมถุงมือจากนั้นก็เอาดินเหนียวออกมาจากเตาอย่างระมัดระวัง นำไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้ความร้อนหมดไป


 


 


มีอักษรดินเหนียวเพียงสองสามอันที่แตกหัก ที่เหลือถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ลายเส้นอักษรชัดเจนสวยงาม ที่เหลือก็แค่นำอักษรพวกนี้ไปว่างไว้บนชั้นแล้วหาหมึกที่เหมาะสำหรับการใช้งาน ขอแค่แม่พิมพ์พวกนี้สำเร็จ จากนี้ก็จะทำการใหญ่ได้แล้ว


 


 


ชายเฒ่าซุบซิบว่าตัวอักษรของหยวนจางดูไม่แข็งแรงเหมือนที่เด็กๆ ทำ หลายปีมานี้ความตั้งใจของเขาถูกกลืนกินไปเพราะชีวิตที่สะดวกสบาย จากความเห็นของชายเฒ่าการมีชีวิตที่ลำบากจึงจะทำให้มีจิตใจที่ต้องการจะเรียนรู้อย่างแท้จริง


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตัวอักษรข่าย เป็นอักษรจีนรูปแบบมาตรฐานใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน


 


 


[2] อักษรเฉ่า หรือตัวหวัด เป็นอักษรจีนที่อ่านเข้าใจยาก


 


 


[3] คัมภีร์หลุนอวี่ แปลว่า “ปกิณกคดี” เป็นคัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ เป็นคัมภีร์รวมบทสนทนาที่เหล่าศิษย์สำนักขงจื๊อได้รวบรวมขึ้นหลังมรณกรรมของขงจื๊อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)