เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 24-28

[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 24 ชนเผ่าเกาชังซวยแล้ว

 

เขาปลอบใจโหวเจี๋ยครั้งแล้วครั้งเล่า ให้คำมั่นสัญญาว่าตัวเองจะไม่มีทางพูดออกไป แต่เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีดำขาวของเสี่ยวอู่ที่กะพริบอยู่ข้างๆ ก็รู้ว่าเรื่องนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ


 


 


โหวเจี๋ยก็รู้เหมือนกัน เขาเชิญเสี่ยวอู่ออกไปคุยกันที่ต้นไม้ ไม่รู้ว่าลงนามไปแล้วกี่ฉบับ สรุปก็คือเสี่ยวอู่ที่เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ยิ้มหน้าบาน แต่โหวเจี๋ยกลับมีสีหน้าหดหู่


 


 


อวิ๋นเยี่ยและหลี่กังยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน เหล่าเฉียนก็พาตัวเองมาหายใจหอบรายงานกับอวิ๋นเยี่ย  บอกว่าประราชโองการของฝ่าบาทมาถึงแล้ว ต้องให้อวิ๋นเยี่ยไปรับพระราชโองการที่บ้าน เว่ยเจิงเป็นผู้ประกาศพระราชโองการ คนที่มาด้วยยังมีเฮ่อหลานเซิงจยา แต่เขาไม่รู้เนื้อหาข้างในของพระราชโองการ


 


 


ได้ยินว่าฝ่าบาทมีพระราชโองการ สีหน้าของเสี่ยวอู่ก็ซีดเซียวขึ้นมา ความสุขของเมื่อกี้ถูกโยนทิ้งออกไปนอกกลีบเมฆทันที ถึงแม้จะกังวล แต่นางก็ยังยืดหยันกับบ้านไปกับอวิ๋นเยี่ย


 


 


เมื่อไปถึงประตูบ้านก็เห็นองครักษ์ของตระกูลเฮ่อหลานใส่ชุดเกราะยืนอยู่ ตะโกนเรียกเฮ่อหลานอู่ตัวอยู่หน้าบ้านตระกูลอวิ๋นไม่หยุด หลิวจิ้นเป่า ตงอวี๋และเหล่าองครักษ์ก็ยืนอยู่ที่ประตู เหล่าเจียงและคนอื่นๆ ก็เอะอะโวยวายพร้อมที่จะสู้ แต่ละคนล้วนแต่อยู่ในอาการตื่นเต้น หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเงียบสงบมานานเกินไป กว่าจะได้เจอกับเรื่องที่ต้องใช้กำลังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่โอ้อวดสักหน่อยคงไม่ได้การ


 


 


ที่ตลาดยังคงคึกคัก มีผู้คนไปๆ มาๆ คนที่ขี้ขลาดตาขาวก็เอาแต่ทำการค้าขายของตัวเองตามกฎระเบียบ คนที่กล้าหาญหน่อยก็พากันยื่นหน้าออกมาดูความครึกครื้น ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ฮูหยินใหญ่จับดาบตัดขาคนไปหลายคน คำพูดติดปากของคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็เปลี่ยนไป หากกล้าก่อความวุ่นวายจะตัดขาเจ้าให้ขาด ประโยคนี้ฟังดูมีอำนาจ พวกหัวขโมยและพวกคนหลอกลวงต้มตุ๋นต่างพากับหนีออกไปให้ไกลจากหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น แม้แต่คนที่มาเที่ยวก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น


 


 


เฮ่อหลานเซิงจยาก็สวมชุดเกราะเหมือนกัน นั่งอยู่บนหลังม้าพร้อมกับถือหอกม้าอยู่ในมือ เห็นอวิ๋นเยี่ยพาเสี่ยวอู่ขี่รถม้าข้ามถนนหินมา เขาก็ตะโกนจากระยะไกลว่า “อวิ๋นเยี่ย หากวันนี้เจ้าไม่คืนขาสองข้างให้ข้า เรื่องนี้ไม่มีวันจบแน่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยกระซิบข้างหูเหล่าเฉียนเบาๆ เหล่าเฉียนจึงวิ่งไปที่แผงขายหมูในตลาด ไปเอาขาหมูมาสองขา เอามาวางไว้ข้างหน้าม้าของเฮ่อหลานเซิงจยา เห็นว่าตาของเฮ่อหลานเซิงจยากำลังจะลุกเป็นไฟ เขาก็รีบวางขาหมูอีกข้างลงอย่างรวดเร็วแล้วพูดกับเฮ่อหลานเซิงจยาว่า “ท่านโหวให้เอามาแค่สองข้าง แต่เหล่าฮั่นเอามาเพิ่มเองข้างหนึ่ง เจ้ารับมันไว้เถอะ ขาหมูข้างนี้จะต้องหักเงินของเหล่าฮั่น”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มและมองไปที่เฮ่อหลานเซิงจยาที่กำลังโมโห เจ้านี่มันโง่จริงๆ หากไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนจัดการโต้วเฟิ่งเจี๋ย เจ้าจะมีโอกาสได้แต่งงานกับองค์หญิงหย่งจยาหรือ ไม่รู้จักบุญคุณแล้วยังมาสร้างความวุ่นวายที่นี่อีก ดูเหมือนว่าองค์หญิงหย่งจยาอาจจะต้องเป็นม่ายอีกครั้ง


 


 


ฆ่าราษฎรคือความผิดร้ายแรง แต่ฆ่าพวกคนชนชั้นสูงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และแน่นอนว่าเจ้าย่อมต้องเป็นคนชนชั้นสูงเช่นกัน หลี่ซื่อหมินนั้นสนับสนุนความเกลียดชังที่มีต่อพวกคนชั้นสูง เพราะมักจะมีพฤติกรรมที่ต่ำช้า ไม่เหลียวแลใคร ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกคนชั้นสูงของต้าถังต้องตกอยู่ในอันตราย จนถึงตอนนี้ กลยุทธ์นี้ได้ดำเนินการสำเร็จลุล่วง


 


 


เว่ยเจิงเดินออกมาจากจวน เดินเข้ามาอยู่ระหว่างทั้งสองคนอย่างไม่ได้ตั้งใจ และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ฝ่าบาทกักบริเวณเจ้าสามเดือน นอกจากเขาอวี้ซันแล้วก็ไม่ให้ไปที่อื่น รับพระราชโองการซะ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยโค้งคำนับรับพระราชโองการมาจากมือของเว่ยเจิงและพูดเบาๆ ว่า “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” เก็บพระราชโองการใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วก็ยิ้มให้กับเฮ่อหลานเซิงจยา จากนั้นก็เชิญเว่ยเจิงเข้าไปนั่งในบ้าน


 


 


มาถึงห้องรับแขกเว่ยเจิงก็พูดว่า “อวิ๋นโหว เจ้าสร้างปัญหาแบบนี้ต่อไปแล้วเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น ผู้หญิงของตระกูลอู่คือลูกสาวของเขา เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่ไปแย่งคนเขามา ในแง่หลักการเจ้ากำลังเสียเปรียบ”


 


 


“เว่ยกง หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าอาจจะทำให้เรื่องมันแย่กว่านี้ก็ได้ เสี่ยวอู่เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจะทนดูนางตกลงไปในกองไฟอย่างไม่แยแสได้อย่างไร แค่ตัดขาของเขาแต่ไม่ได้ตัดหัวของเขา ข้าก็อับอายมากพอแล้ว บางทีพวกขุนนางชั้นสูงในฉางอันอาจจะกำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ ตอนนี้ยังมาใส่ชุดเกราะถือหอกม้าอยู่หน้าบ้านข้า เขารนหาที่เอง จะว่าข้าไม่ได้”


 


 


เว่ยเจิงตกใจ เขายืนขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้นะอวิ๋นโหว หากพวกเจ้าต่อยตีกันท่ามกลายผู้คนมากมายเช่นนี้ มันทำให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายเกินไป ถึงตอนนั้นเกรงว่าแค่การกักบริเวณก็คงไม่พอ”


 


 


“ข้าเห็นว่าคนของตระกูลอู่ก็อยู่ที่นี่ ขอแค่เขาบอกว่าต่อไปการแต่งงานของเสี่ยวอู่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลของเขาอีก ข้าก็จะยอมปล่อยเขาไป มิเช่นนั้น วันนี้ก็อยู่มันซะที่นี่เลย ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นเป็นแม่ทัพ เป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนาน ดังนั้นหากตระกูลอวิ๋นมีสิ่งของพวกหน้าไม้สามขา เว่ยกงก็อย่าได้แปลกใจ”


 


 


นิสัยหัวแข็งของอวิ๋นเยี่ย เว่ยเจิงก็รู้ดีอยู่แก่ใจ บางทีตอนนี้อาจจะกำลังเล็งหน้าไม้สามขาไปที่เฮ่อหลานเซิงจยาอยู่ก็ได้ แค่ออกคำสั่ง ประตูของตระกูลอวิ๋นก็จะกลายเป็นนรกซิวหลัว ถึงตอนนั้น ฮ่องเต้ก็ทำอะไรอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ แค่ไม่ก่อกบฏ หลี่ซื่อหมินก็ไม่มีทางแตะต้องอวิ๋นเยี่ย อย่างมากก็แค่ส่งตัวไปหลิ่งหนาน การถูกส่งไปหลิ่งหนาน สำหรับคนอื่นแล้วมันคือการข่มขู่ แต่สำหรับอวิ๋นเยี่ยมันคือโอกาสที่ดีที่สามีภรรยาจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีใครในราชสำนักที่ยังไม่รู้เรื่องขององค์หญิงโซ่วหยางกับอวิ๋นเยี่ยล่ะ


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาทให้งานหนักแก่ข้า ชายหนุ่มสองคนทะเลาะกัน ข้ายังต้องมาเป็นคนกลาง โลกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ คนอายุน้อยอย่างพวกเจ้าคนหนึ่งโหดเ**้ยม อีกคนหนึ่งเก่งกาจ จั่งซุนชงบุกเข้าไปในเมืองจยาซือ ค้นหาอยู่เป็นเวลาสามวัน ว่ากันว่าเลือดนองราวกับแม่น้ำ ตอนที่เฉิงฉู่มั่วทำการบุกเข้าเมืองหลวงของชนเผ่าเกาชัง ถูกยิงจนกลายเป็นเม่น แต่เขาก็ยังเป็นคนแรกจากแปดร้อยคนที่ปีนเข้าไปในเมือง ราชาแห่งชนเผ่าเกาชังที่มีนามว่าจูเหวินไท่ถอดชุดเกราะและทิ้งบ้านเมืองหลบหนีไป ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งของการสู้รบอย่างหลี่หวยเหรินจึงควบม้าไปบนดินแดนที่รกร้างกว่าสองวันสองคืนเพื่อตามจับรัชทายาทของชนเผ่าเกาชัง ณ ตอนนี้ ชนเผ่าเกาชังไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว


 


 


ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวนอนไม่หลับ อี๋หนานเค่อหันได้ส่งทูตมาที่ฉางอันต่อเนื่องถึงสามครั้ง ขอยอมจำนน ตอนนี้ราชสำนักไม่มีเวลามาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเจ้า จะทำลายหรือปล่อยชนเผ่าเซวียเหยียนถัวไป เรื่องนี้ช่างทำให้ข้าปวดหัวจริงๆ เจ้าคุยกับตระกูลอู่ดีๆ อย่าลงไม้ลงมืออะไร”


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองบน จั่งซุนชงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ลูกน้องของเขาคงจะประสบความสูญเสียอย่างหนัก เขาถึงได้ลงมือฆ่าคนเอง สำหรับเฉิงฉู่มั่ว เขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง ตำแหน่งขุนนางก็ถูกลดลงเหลือแค่แปดร้อยคน ยังจะคิดเรื่องที่จะได้แต่งตั้งเป็นโหว อาศัยเกราะที่แข็งแรงของตัวเอง บุกเข้าโจมตีเมืองท่ามกลางสายฝนลูกธนู โชคดีที่ไม่เจอเข้ากับหินกลิ้ง มิฉะนั้นก็คงจะตายไปแล้ว


 


 


ส่วนหลี่หวยเหรินที่ฉลาดขึ้นมาหน่อย คงถูกไอ้สองคนนั้นบังคับ เขาถึงได้ออกไปตามล่ารัชทายาทจนไม่สนใจชีวิต ไล่จับรัชทายาทก็ถือว่าไม่เสียประโยชน์อะไร แต่ว่าทำไมถึงไม่ได้ยินข่าวของหลี่เฉิงเฉียน ตีให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีทางเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลี่เฉิงเฉียนได้


 


 


เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่เฉิงเฉียน มันคงจะไม่ใช่ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าคนในกองทัพจะต้องถูกตัดหัวกี่คน เหล่าหนิว เหล่าเฉิง หลี่จี หัวของพวกเขาก็คงจะไม่ปลอดภัย


 


 


“รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง” ไม่สนใจพวกคนโง่ที่อยู่นอกประตู รีบถามถึงความเคลื่อนไหวของรัชทายาททันที


 


 


เว่ยเจิงจิบชา ลูบเคราและพูดด้วยความพึงพอใจว่า “การเดินทางของรัชทายาทในครั้งนี้ พูดได้ว่าทำตามกฎระเบียบ คำพูดคำจาเป็นไปตามแบบแผน เหล่าหนิวและเหล่าเฉิงต่างพากันบอกว่ารัชทายาทก้าวหน้า รู้การสู้รบ พูดได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของกองทัพ กองทัพกว่าเจ็ดหมื่นคนกวาดล้างทุ่งหญ้า มือขวาของรัชทายาทตามไปตลอด รัชทายาทไม่ได้นั่งรถม้า แต่ขี่ม้าไปกับกองทัพตลอด แล้วยังได้กำไรที่ไป่เฉิงจึ รายงานทหารบอกว่า ขวัญกำลังใจของกองทัพก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้ามผ่านเมืองปีศาจไปได้ในคราวเดียว


 


 


ครั้งนี้สำนักศึกษาของเจ้าก็มีหน้ามีตา ตักน้ำในทะเลทรายด้วยผ้าน้ำมัน คิดออกมาได้อย่างไรกัน ด้วยเหตุที่แหล่งน้ำถูกปนเปื้อนไปหมดแล้ว มีแต่วัวตาย ม้าตาย แกะตาย กลิ่นเหม็นไปทั่ว มันดื่มไม่ได้ตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ศิษย์ในสำนักศึกษาของเจ้าคิดการขุดบ่อทรายและใช้ผ้าน้ำมันตักน้ำขึ้นมาดื่ม ทำให้เหล่าทหารได้มีน้ำดื่มล่ะก็ หากไม่เช่นนั้นมันคงจะเกิดเรื่องใหญ่”


 


 


ได้ยินอย่างนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แค่หลี่เฉิงเฉียนไม่ได้ทำอะไรผิด ก็คือการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทำตามกฎระเบียบคือคำเปรียบเปรยที่ดีที่สุด ไม่ค่อยมีขุนนางคนไหนที่ชอบฮ่องเต้ที่มีความคิดในหัวกว่าสามพันความคิด ในสายตาของเหล่าทหารผ่านศึก แค่ประพฤติตัวตามกฎระเบียบก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนอื่นๆ ค่อยๆ เรียนรู้เอาได้ มีที่ไหนที่พอฮ่องเต้ไม่มีอะไรทำก็มักจะเข้าไปอยู่ในค่าย


 


 


วันนี้เว่ยเจิงพูดมากเป็นพิเศษ เล่าเรื่องการโจมตีชนเผ่าเกาชังให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียด จากคำบรรยายของเขา ดูเหมือนว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนเซวียเหยียนถัวได้กลายเป็นที่ดินแดนเลี้ยงสัตว์ของต้าถังไปแล้ว


 


 


เหล่าทหารหวงแหนวัวและแกะเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่เห็นวัวเห็นแกะก็ฆ่าฟัน ตอนนี้รู้แล้วว่าวัวและแกะมีค่าแค่ไหน ข้างหลังของกองทัพตามมาด้วยกลุ่มพ่อค้าจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งของที่เหล่าทหารยึดมาได้ หลังสิ้นสุดสงครามพวกเขาเอามันไปเปลี่ยนเป็นเงินให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะมีเพียงแผ่นกระดาษ แต่สามารถส่งเป็นเงินให้กับตระกูลของตัวเองได้โดยผ่านไปรษณีย์ของเหอเซ่า เป็นเงินจริงๆ ไม่หลอกลวง ถึงแม้ว่าไปรษณีย์ของเหอเซ่าจะเปิดเร็วกว่าที่อื่นๆ ตั้งสามปี แต่ป้ายของร้านเก่าก็ได้แขวนไว้แล้ว ครั้งนี้ทำเงินได้ไม่น้อย ไม่แปลกใจที่สองสามวันนี้ไม่ค่อยเห็นเจ้านั้นมาหาเงินจากพวกเศรษฐีสักเท่าไหร่ วันที่น่ารื่อมู่คลอดลูกเขาก็แค่มาหาเงินนิดหน่อยแล้วก็ไป รูปร่างที่อ้วนท้วนนอกจากอ้วนขึ้นกว่าเดิมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


 


 


เป้าหมายของเว่ยเจิงสำเร็จแล้ว เขาก็ต้องขอตัวกลับบ้านตามธรรมชาติ ตอนนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด เฮ่อหลานเซิงจยาก็คงจะวิ่งหนีไปตั้งนานแล้ว ที่เอะอะโวยวายอยู่ตั้งนานก็แค่ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยออกไปนอกบ้านไม่ได้ จะได้ไม่มีเวลาออกไปหาเรื่องเขา


 


 


ช่างมันเถอะ ผู้ชายที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยสีเขียว เสียอารมณ์ให้กับเขามากเกินไปก็ไร้ค่า พระราชโองการบอกแค่ว่าไม่ให้อวิ๋นเยี่ยเข้าไปในเมืองฉางอันเป็นเวลาสามเดือน ดูจากพระราชโองการนี้ก็รู้ว่าหลี่ซื่อหมินไม่ได้จะจัดการกับชนเผ่าเซวียเหยียนถัว กองทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า ไม่นานเกินรอ น่าจะราวสามเดือนพอดี ถึงตอนนั้นพวกเพื่อนๆ ก็จะกลับมา หากถึงตอนนั้นยังไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยเข้าไปในเมืองฉางอัน เขาก็คงจะขาดอากาศหายใจตายทั้งเป็น


 


 


นี่เป็นสัญญาณที่หลี่ซื่อหมินบอกผ่านมาทางเว่ยเจิง สิ้นสุดการโต้แย้ง การโจมตีชนเผ่าเซวียเหยียนถัวก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เปิดประตูชนเผ่าเกาชัง ถนนธุรกิจก็ถูกเปิด ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวก็คงไม่กล้าสร้างความวุ่นวายอีก หากกองทัพยังอยู่ข้างนอกอีกสักหนึ่งวัน ใจของเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจต่อไปอีกหนึ่งวัน ให้พวกเขากลับมาแล้วค่อยแยกย้ายกันไปดีกว่า กลับบ้านไปทำไร่ทำนา รอให้พลังฟื้นฟู แล้วค่อยไปหาเรื่องดินเเดนเกาลี่ต่อ นี่คือสิ่งที่หลี่ซื่อหมินคิด


 


 


ตอนที่ส่งเว่ยเจิงออกจากประตูไป หน้าประตูก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้คนหลายคนในตลาดไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดูถูกพฤติกรรมขี้ขลาดตาขาวของตระกูลอวิ๋นเป็นที่สุด


 


 


“สามเดือน อวิ๋นโหว สามเดือนเดี๋ยวก็ผ่านไป พี่น้องที่แสนดีของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”


 


 


เว่ยเจิงแสยะยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย ชายเฒ่าคนนี้ย่อมไม่ใช่คนโง่

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 25 เดินพันของเซี่ยนหลิ่ง

 

เข้าไปเยี่ยมน่ารื่อมู่ที่ห้องอยู่เดือน เห็นท่านพี่เดินเข้ามาน่ารื่อมู่ก็น้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ บึนปากแล้วฟ้องอวิ๋นเยี่ย บอกว่าคนข้างนอกเรียกลูกสาวของตัวเองที่มีชื่อว่าจัวย่าว่าสาหร่ายทะเล บอกให้ท่านพี่ไปตัดขาของพวกเขาให้หมด 


 


 


ทำแบบนั้นไม่ได้ หากอยากจะให้คนครึ่งหนึ่งของฉางอันกลายเป็นคนพิการ คาดว่าก่อนที่จะลงมือ หลี่ซื่อหมินคงจะทำให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นคนพิการไปก่อนที่ตระกูลอวิ๋นจะลงมือ แล้วอีกอย่าง ชื่อสาหร่ายทะเลก็ไม่เลวเหมือนกัน เวลาพวกเศรษฐีตั้งชื่อให้ลูกตัวเองก็มักจะชอบตั้งชื่ออะไรแบบนี้ อย่างเช่นนกกระจอก อย่างเช่นวัวขี้เหร่ อย่างเช่นหมาน้อย ลูกสาวคนโตของตระกูลอวิ๋นชื่อว่าสาหร่ายทะเลก็ไม่เลว ผู้คนจำนวนมากมาอวยพรให้กับสาหร่ายทะเลน้อยของตระกูลอวิ๋น ไม่ดีตรงไหน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยชื่นชมชื่อสาหร่ายทะเลอยู่นาน น่ารื่อมู่ถึงได้ยิ้มออกมา อุ้มลูกน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจของตัวเองแล้วเรียกนางว่าสาหร่ายทะเล ท่าทางรักและเอ็นดูลูกของนาง ทำให้คนมองเอ็นดูจากใจจริง 


 


 


ห้องอยู่เดือนคือปัญหาใหญ่ กลิ่นข้างในไม่ดีจริงๆ สภาพแวดล้อมแบบนี้ช่างเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเป็นอย่างมาก ซินเย่วอยากจะใช้น้ำหอมมาบรรเทาความเหม็น แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้ อวัยวะของเด็กน้อยอ่อนไหวเป็นอย่างมาก หากถูกทำร้ายด้วยกลิ่นที่น่ากลัวหลังจากใช้กลิ่นของน้ำหอมมันจะไม่ดีเอาได้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลอวิ๋น ต่อไปจะต้องเติบโตเป็นสาวงามที่หอมละมุน ไม่ใช่เด็กเขาที่มีกลิ่นตัวเหม็นหืน 


 


 


อยากเปิดหน้าต่างระบายอากาศ แต่กลับถูกคนทั้งตระกูลประณาม พลังของความเคยชินนั้นยิ่งใหญ่ หนึ่งพันปีผ่านไปแล้ว แต่กลิ่นในห้องอยู่เดือนก็ยังคงเหมือนเดิม 


 


 


ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยออกไปข้างนอก ดีเหมือนกัน จะได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายของตัวเองอยู่กับบ้าน เริ่มทำการเก็บเกี่ยวมันฝรั่งแล้ว เถาวัลย์ที่เ**่ยวเฉาก็ถูกถอนออกไปหมด ใช้พลั่วเหล็กขุดตามแนวของสันเขา มีผลผลิตมากมายอยู่ใต้พื้นดิน ตระกูลอวิ๋นทำการเพาะปลูกไว้กว่าหนึ่งร้อยไร่เมื่อได้รับการอนุมัติจากเซี่ยนหลิ่ง ทั้งเมืองกำลังรอคอยให้มันฝรั่งของตระกูลอวิ๋นออกผล จะได้เอาชั่งแล้วกลับไปปลูกที่บ้าน หากอำเภอหลานเถียนไม่ปลูกมันฝรั่งทั้งอำเภอในปีหน้าก็คงเป็นเรื่องแปลก 


 


 


เรื่องการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลอวิ๋นเป็นคนลงมือ เซี่ยนหลิ่ง จู่ปู้และเซี่ยนเว่ยพาผู้ใหญ่ทั้งอำเภอลงมือเก็บเอง ชาวนาก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่เห็นมันฝรั่งด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อในผลลัพธ์ของสิ่งนี้ พวกเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยตาเองเท่านั้น 


 


 


ครั้งนี้หวาเซี่ยนหลิ่งได้ทำการเดิมพันครั้งใหญ่ ราชสำนักสั่งให้ราษฎรปลูกมันฝรั่งอย่างระมัดระวัง บอกว่าของสิ่งนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่ รอให้ตระกูลของพวกเศรษฐีลองปลูกสักสองสามปี แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วถึงค่อยให้ราษฎรปลูกในพื้นที่กว้าง หวาเซี่ยนหลิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องไร้สาระแบบนี้เขาฟังจนเบื่อแล้ว เขาคิดว่า นี่คือการที่ราชสำนักแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกคนรวย ไม่เห็นเหรอว่าราคามันฝรั่งขึ้นขนาดไหน พวกขุนนางพากันกลับบ้านไปหาเงิน แล้วยังเป็นเงินที่หามาอย่างยากลำบากของราษฎร 


 


 


ความเมตตาของหลี่ซื่อหมินถูกราษฎรเอาไปฝังไว้ในหลุมราวกับว่าเป็นตับเป็นปอดของลา หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งมีตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่โต เซี่ยนหลิ่ง จู่ปู้และเซี่ยนเว่ยมาขอร้องเกือบทุกวัน ขอร้องให้ตระกูลอวิ๋นช่วยชี้ทาง ปีนี้ปลูกมันฝรั่งให้เยอะหน่อย เหลือเมล็ดพันธุ์ไว้เยอะหน่อย ปีหน้าราษฎรของอำเภอหลานเถียนจะได้ปลูกได้บ้าง จะได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่อยู่บ้าน ซินเย่วไม่กล้าตัดสินใจ ท่านย่าบอกแล้วว่าตระกูลอวิ๋นไม่อนุญาตให้กินมันฝรั่งทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวเมื่อปีที่แล้ว และเอาไปเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์ให้หมด ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ค่อยปลูกให้เต็มเชิงเขาทางตอนใต้ หากมีปัญหาอะไร ท่านย่าจะรับผิดชอบเอง 


 


 


พฤติกรรมเจ้าแม่โพธิสัตว์ของท่านย่าทำให้เซี่ยนหลิ่งร้องไห้ไปแล้วตั้งหลายรอบ รีบวิ่งเข้าไปในจวนจิงจ้าวอย่างรวดเร็ว เอาเชือกผูกไว้ที่คอข่มขู่พวกขุนนาง หากไม่อนุญาตให้ราษฎรปลูกมันฝรั่งที่เป็นเสบียงอาหารชั้นดีนี้ เขาจะแขวนคอตายบนถนนจูเชวี่ย 


 


 


เขาจะตายหรือไม่ตายก็ไม่มีใครสนใจ แต่การแขวนคอตายบนถนนจูเชวี่ยไม่ใช่เรื่องตลก จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าต้องทำตามคำขอร้องของราษฎร ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาก็คงจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์โบราณ ดังนั้นอย่าคิดว่าหวาเซี่ยนหลิ่งไม่กล้าที่จะผูกคอตาย สำหรับในยุคนี้แล้วชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต ดังนั้นเพื่อลูกหลานรุ่นหลัง หวาเซี่ยวหลิ่งจะหัวเราะและผูกคอตาย การผูกคอตาย ลิ้นก็ไม่มีทางแลบออกมา เพียงแค่ยิ้มแล้วหลับตาให้สนิทก็พอ 


 


 


ไม่ต้องคิดอะไรมาก ลูกหลานของเขาคงจะได้รับความเคารพจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแน่นอน ถึงแม้จะยากจนจนกลายเป็นขอทาน ไปขอข้าวบ้านคนอื่นกินก็ยังสมเหตุสมผลมากกว่าเป็นหัวขโมย 


 


 


จวนจิงจ้าวผลักเรื่องนี้ไปให้จงซู หวาเซี่ยวหลิ่งที่ปกติแล้วเจอกับคนใหญ่คนโตก็แทบจะเข้าไปคุกเข่าเลียนิ้วเท้า แต่ตอนนี้กับยืนหลังตรง เร่งพวกเขาให้ตัดสินใจเร็วๆ เวลาไม่เคยรอใคร! 


 


 


ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว หวาเซี่ยนหลิ่งได้เป็นคนแรกที่ปลูกมันฝรั่งตามที่เขาปรารถนา เดินทางกลับอำเภอหลานเถียนท่ามกลางราษฎรจำนวนมาก ตระกูลอวิ๋นปลูกหนึ่งร้อยไร่ ราชสำนักจะรับซื้อเก้าสิบห้าไร่ ที่เหลืออยู่ห้าไร่ให้ตระกูลอวิ๋นเก็บเอาไว้ นี่ถือว่าเป็นนโยบายพิเศษ 


 


 


พวกเลขาธิการดึงเชือกวัดไร่ที่ผูกด้วยด้ายสีแดง วนรอบที่ดินหนึ่งไร่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ เซี่ยนหลิ่งจู่ปู้และเซี่ยนเว่ยพาคนรับใช้ไปเก็บมันฝรั่งที่ขุดขึ้นมาในตะกร้า 


 


 


เก็บอยู่ดีๆ เซี่ยนหลิ่งก็นั่งกอดมันฝรั่งน้ำหนักถึงสองกิโลแล้วร้องไห้ไปด้วยอยู่ในไร่ ทุกคนก็ร้องไห้อยู่รอบตัวเขา ของดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่อนุญาติให้ราษฎรปลูก ผลผลิตของหนึ่งไร่ยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แค่มันฝรั่งที่เซี่ยนหลิ่งเก็บคนเดียวก็คาดว่าน่าจะมีถึงห้าหกตัน ยังไม่รวมกับของคนอื่น 


 


 


มันฝรั่งหนึ่งไร่ถูกขุดออกจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ขุดดินหามันฝรั่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าขุดออกไปจนหมดแล้ว ผลผลิตกว่าหนึ่งพันห้าร้อยกิโลทำให้ทุกคนถึงกับตกใจ ใครเคยได้ยินว่าที่ดินหนึ่งไร่มีผลผลิตถึงยี่สิบห้าตันบ้าง 


 


 


ตระกูลอวิ๋นยังปลูกมันฝรั่งในที่แห้งบนเนินเขาอีกด้วย ปริมาณน้ำฝนของปีนี้โดยปกติแล้วก็คงได้ผลผลิตประมาณนี้ หากปลูกในไร่เทียนจื้อเฮ่าทั้งหมด จะได้ผลผลิตขนาดไหนกัน 


 


 


หวาเซี่ยนหลิ่งปากสั่น ชี้ไปตรงผืนดินที่อยู่ไกลๆ และออกคำสั่ง “วัดอีกหนึ่งไร่ เรารอดูผลผลิตต่อ บางทีหากที่ดินผืนนี้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตอาจจะเยอะอย่างน่าประหลาดใจจนนับไม่ถ้วนก็ได้” 


 


 


ทุกคนล้วนแต่เป็นเกษตรกรมาก่อนทั้งนั้น แค่มองดูดินก็รู้ว่าเป็นดินดีหรือไม่ดี ดินสีขาว มีทรายและหินผสมอยู่ข้างใน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ดินดี แต่ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาพากันแยกย้ายไปขุดแปลงที่เซี่ยนหลิ่งชี้ต่อไป 


 


 


เกวียนเทียมด้วยวัวคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล คนขับเป็นชายเฒ่าผมขาวผู้หนึ่ง เขาสวมใส่ชุดของคนใช้ เห็นว่าในไร่คึกคักเป็นพิเศษเลยจงใจเลี้ยวเข้ามาที่นี่ 


 


 


คนรับใช้เฒ่าผู้นั้นกุมมือแสดงความเคารพชายเฒ่าของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่มาดูเรื่องสนุกสนานและถามว่า “สหายท่านนี้ ทำไมไร่นี้ถึงได้มีแต่คนของราชสำนัก กำลังทำอะไรอยู่หรือ” 


 


 


ชายเฒ่าหันหน้ามาเห็นว่าเป็นชายที่มีอายุมากกว่าตัวเอง เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า “สหายก็มาดูเรื่องสนุกสนานเหมือนกันหรือ คนพวกนี้คือคนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน พวกเขากำลังขุดแปลงให้บ้านข้าอยู่ มันฝรั่งน่ะ ท่านคงเคยได้ยินชื่อมันฝรั่งใช่หรือไม่ เป็นของดีที่ท่านโหวของข้าเอามาจากเทพเซียน เมื่อครู่แปลงนี้ขุดได้ยี่สิบกว่าตัน ทำเอาเซี่ยนหลิ่งคนนั้นถึงกับตกใจ ยังไม่เชื่ออีก อยากจะขุดหาดูอีกสักสองสามไร่ ข้าก็แค่มาดูเรื่องสนุก 


 


 


ปีนี้ฝนตกน้อย ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยว ปีที่แล้วที่ดินหนึ่งไร่ของบ้านข้าเก็บเกี่ยวได้สองพันกิโล นี่ก็แค่หนึ่งพันห้าร้อยกิโลเท่านั้น ยังทำเอาเซี่ยนหลิ่งตกใจถึงขนาดนี้ หากข้าบอกพวกเขาว่าบ้านของข้าเก็บเกี่ยวได้สองพันกิโลคงจะตกใจจนตาย” 


 


 


สำหรับการแสดงออกของเซี่ยนหลิ่ง ชาวนาในหมู่บ้านต่างรู้สึกไม่พอใจ มันฝรั่งเป็นอาหารที่ดี ถึงแม้จะกินเป็นอาหารได้ แต่ใครจะทนกินได้ทุกวัน มีแต่คนที่กลัวหิวตายที่จะเห็นว่ามันฝรั่งมีค่าราวกับชีวิต 


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ ปีนี้ท่านก็ปลูกไว้จำนวนไม่น้อยไม่ใช่หรือ ที่บ้านคงจะร่ำรวยจนน่าอิจฉาทีเดียว” คนรับใช้เฒ่าช่างพูดจาเป็น ทั้งสองพากันนั่งลงบนตอไม้ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกัน 


 


 


“โอ้ย สหายของข้า มันฝรั่งให้ผลผลิตสูงก็จริง แต่ว่ามันทำร้ายผืนดิน ปลูกมันฝรั่งหนึ่งฤดูต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการปลูกหญ้ารักษาดิน ปีนี้บ้านของข้าปลูกแค่ครึ่งไร่ เพียงพอสำหรับคนทั้งบ้านกินก็พอแล้ว ราชสำนักก็ไม่อนุญาตให้วางแผงขายมันฝรั่ง มีแค่พวกเศรษฐีใจดำไม่กี่คนที่แอบเอาออกมาขายอย่างลับๆ ได้ยินมาว่าทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว” 


 


 


“ธัญพืชดีๆ เช่นนี้ เจ้าไม่ปลูกให้มากหน่อยช่างน่าเสียดาย ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวยี่สิบกว่าตัน หมายความว่าปลูกแค่ปีเดียวยังคุ้มค่ากว่าปลูกข้าวสาลีสองฤดูเสียอีก” 


 


 


“มีอะไรน่าเสียดาย มันฝรั่งกินแค่ในปีที่มีภัยพิบัติก็พอแล้ว บ้านไหนกินของสิ่งนี้ทั้งวันทั้งคืนกัน แล้วอีกอย่างปีหน้าเราจะปลูกข้าวโพด หากปลูกมันฝรั่งทั้งหมด คนอื่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร หัวหน้าหมู่บ้านบอกแล้วว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของเราจะไม่แย่งเสบียงอาหารของคนยากลำบากพวกนั้น ปีหน้าปล่อยให้พวกเขาปลูก พวกเราจะปลูกข้าวโพด” 


 


 


“ข้าวโพด มันคืออะไรกัน ข้าเกิดมาตั้งนาน ทำไร่ทำนามาระยะหนึ่งแล้ว ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ หรือว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ที่ท่านโหวของเจ้าไปเอามาจากเทพเซียน?” 


 


 


ชาวนาของตระกูลอวิ๋นหัวเราะและพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านโหวของข้าเป็นคนโลภเรื่องกิน เมื่อก่อนตามเทพเซียนไปทุกที่ หาของอร่อยๆ ทุกที่ เขาไปกินข้าวโพดเข้าโดยบังเอิญ แต่จำไม่ได้ว่ากินที่ไหน สุดท้ายเจอเมล็ดข้าวโพดที่ยังกินไม่หมดสองสามเมล็ดอยู่ในกระเป๋าของตัวเอง จึงใช้ความพยายามครั้งสุดท้าย โยนมันลงในกระถางแล้วฝังเอาไว้ ใครจะไปรู้ ถึงฤดูใบไม้ร่วง กลับมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ก็เลยเอามาปลูกในแปลงผืนใหญ่เช่นนี้” 


 


 


ชาวนาชี้ไปที่ไร่ข้าวโพดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ข้าวโพดอร่อย ท่านโหวพูดไว้เช่นนี้ แม้แต่ท่านโหวที่สูงส่งยังบอกว่าอร่อย มันจะไม่อร่อยได้เช่นไร ปีหน้าหากมีเมล็ดพันธุ์จะปลูกให้เยอะๆ สักหน่อย ราชสำนักแค่บอกว่าไม่อนุญาตให้ขายมันฝรั่ง แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขายข้าวโพด 


 


 


คนรับใช้เฒ่าส่ายหน้า ขอบคุณชาวนา แล้วกลับไปที่เกวียนเทียมด้วยวัว กระซิบอะไรบางอย่างให้กับคนในรถ ชี้ไปที่เซี่ยนหลิ่งที่กำลังยุ่งอยู่ไกลๆ เป็นระยะ จากนั้นก็ชี้ไปที่ไร่ข้าวโพด ท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่ามาก 


 


 


หลังจากฟังรายงานของคนรับใช้เฒ่า ม่านรถก็เปิดออก ชายเฒ่าที่สวมหมวกทรงสูงเดินลงมาจากรถม้า บนหัวของเขามีเส้นผมเพียงไม่กี่เส้น ไม่มีคิ้ว ปากราวกับปากสิงโต จมูกเล็กราวกับกระเทียม ที่คางมีหนวดเคราสีขาว ซ้ำยังข้างซ้ายข้างขวายาวไม่เท่ากันอีก ท่าทางดูน่าตลก แต่กลับดูสุภาพและน่าเกรงขาม ช่างดูเป็นผู้ที่ผู้คนให้ความเคารพ 


 


 


รอบกายมีกลิ่นอายของบทกวี นี่ก็คือท่านอาจารย์แก่เหยียนจือทุย เขาเดินลงมาจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า จากนั้นก็เดินไปที่เซี่ยนหลิ่ง เมื่อมาถึงที่ไร่ เขาก็เห็นเซี่ยนหลิ่งอ้วนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนกำลังเก็บมันฝรั่งใส่ในตะกร้า เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็กุมมือแล้วถามว่า “เซี่ยนจุน เหตุใดถึงได้เต็มไปด้วยโคลน” 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 26 หัวขโมยเฒ่าสองคน

 

หวาเซี่ยนหลิ่งเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นมา เห็นชายเฒ่าหน้าตาประหลาดๆ ยืนอยู่ข้างบน ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ บอกว่าอายุแปดสิบก็ใช่ บอกว่าอายุหนึ่งร้อยก็ใช่ อายุขนาดนี้ต้องทำความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของชายเฒ่าดูไม่ธรรมดา อายุขนาดนี้แต่กลับไม่ต้องพึ่งไม้เท้า หากบอกว่าเป็นราษฎรตระกูลเล็กๆ เขาไม่มีทางเชื่อ 


 


 


ยังไม่ทันได้วางมันฝรั่งในมือลง เขาก้มตัวลงแล้วตอบว่า “อยู่ต่อหน้าท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าน้อยว่าเซี่ยนจุนก็ได้ขอรับ ท่านเรียกข้าน้อยว่าเฉิงตัวก็ได้ขอรับ ที่นี่ร้อนเกินไป ข้าน้อยพยุงท่านไปหลบแดดที่ซุ้ม ดื่มน้ำสักหน่อย ท่านอยากจะพูดอะไร ข้าน้อยจะตั้งใจฟัง” 


 


 


เหยียนจือทุยยิ้มและพยักหน้า ให้เซี่ยนหลิ่งพยุงตัวเองไปนั่งที่ซุ้ม ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ส่งคนมาที่ไร่ แค่เตรียมน้ำชาถังใหญ่มาให้พวกเขาเอาไว้ดับกระหาย หวาเซี่ยนหลิ่งหยิบถ้วยที่สะอาดออกมาถ้วยหนึ่ง ใช้น้ำชาล้าง แล้วก็เทชาครึ่งถ้วยยื่นให้กับเหยียนจือทุย 


 


 


เหยียนจือทุยก็ไม่รอช้า รับมาจิบคำหนึ่ง รู้สึกว่าขมเล็กน้อย แต่รสชาติที่ค้างอยู่ในปากกลับหวานและชุ่มฉ่ำ เขายิ้มและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ชาดีจริงๆ เจ้าเหงื่อเต็มหน้า ดื่มคลายร้อนสักถ้วยหนึ่งสิ ข้าไม่ได้ออกนอกบ้านมาเป็นสิบปีแล้ว ลูกๆ หลานๆ กลัวว่าข้าจะไปตายเอาข้างนอกเลยไม่ยอมให้ข้าออกไปไหน ข้าเห็นว่าพวกเขากตัญญูกตเวทีจึงไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอก ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าเสียเปรียบไปแล้วไม่น้อย พอออกจากบ้านมาก็เจอเรื่องมงคลที่ไม่เคยเห็นมานับพันปี ช่างเป็นวาสนา ได้ยินมาว่าผลผลิตหนึ่งไร่ได้มากถึงยี่สิบตัน เฉิงตัว เจ้าเป็นขุนนาง เจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าฟังไม่ผิด” 


 


 


หวาเซี่ยนหลิ่งที่พึ่งเทชาลงในถ้วยใบใหญ่หรี่ตาลง ใช้น้ำล้างมันฝรั่งที่พึ่งเก็บมาเมื่อครู่ก่อน เอาออกมาอวดให้เหยียนจือทุยดู “ท่านอย่าพึ่งหัวเราะเยาะข้าน้อย ข้าน้อยพึ่งจะเก็บเกี่ยวได้หนึ่งไร่ เหล่าเสมียนใช้เชือกวัดได้หนึ่งไร่ ไม่ผิดแน่นอน ทั้งหมดเก็บเกี่ยวได้หนึ่งพันห้าร้อยกว่ากิโล เพราะกังวลเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน นี่ไม่ใช่การวัดที่ดินอีกรอบแต่อย่างใด เพียงเตรียมทำการเปรียบเทียบกันดู แต่เมื่อพิจารณาจากการเก็บเกี่ยวในตอนนี้มันน่าจะไม่แตกต่างกันไม่มาก มันฝรั่งนี่คือสิ่งมงคลสิ่งแรกของต้าถังอย่างแน่นอน” 


 


 


เหยียนจือทุยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมา ตราบใดที่สิ่งนี้ปลูกในต้าถังก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวโหยอีกต่อไป เขาพลิกดูมันฝรั่งที่ถืออยู่ในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งดูก็ยิ่งชอบ จากนั้นก็ถามเซี่ยนหลิ่งอีกว่า “เฉิงตัว มันฝรั่งนี้ทำเป็นอาหารกินอิ่มหรือไม่” 


 


 


“อิ่ม อิ่มขอรับ มันฝรั่งก็เป็นอาหารเช่นกัน สามารถทำเป็นอาหารรสชาติอร่อย นึ่งเสร็จแล้วนุ่มน่ากิน เป็นอาหารในอุดมคติของคนวัยเดียวกับท่าน” 


 


 


เหยียนจือทุยปรบมือหัวเราะเสียงดังและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ข้าซื้อไปชิมสักสองสามกิโลได้หรือไม่ ลิ้มรสโชคลาภที่ของมงคลนำมาด้วย บางทีข้าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีกสักสองสามวัน” 


 


 


“ได้อยู่แล้วขอรับ แต่ข้าน้อยคงให้ท่านได้เพียงยี่สิบห้ากิโล ช่างน่าละอายใจ เพราะมันฝรั่งพวกนี้คือเมล็ดพันธุ์ที่ต้องเอาไปปลูกในปีหน้า มิฉะนั้นข้าจะเอาให้ท่านเยอะกว่านี้อีกขอรับ” 


 


 


เหยียนจือทุยส่ายหน้าและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “เป็นเซี่ยนหลิ่งอย่างเจ้าก็ไม่ได้ง่าย วันนี้ออกมาเก็บผลผลิตที่ไร่ด้วยตัวเอง ตากแดดจนเหงื่อไหลท่วมตัวเช่นนี้ ทำงานเพื่อราษฎรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้าจะปล่อยให้ความดีความชอบของเจ้าเปื้อนฝุ่นได้เช่นไร เอาแค่สองสามกิโลก็เพียงพอแล้ว ข้าก็พอจะเข้าใจ หลักการที่ว่าต่อให้พ่อแม่ต้องอดตายก็ไม่มีทางกินเมล็ดพันธุ์” 


 


 


หวาเซี่ยนหลิ่งเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของชายเฒ่า เขาจึงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่ไร่ เลือกอันที่ใหญ่ที่สุดเอาไปให้เหยียนจือทุย เห็นคนรับใช้เฒ่ากำลังจะเอาเงินออกมาให้ เขาก็รีบโบกมือ “ท่านเป็นผู้เฒ่าที่มีศีลธรรม ข้าน้อยมอบให้ท่านเพื่อแสดงความเคารพเป็นเรื่องสมเหตุสมผล หากยังเก็บเงินอีก ข้าน้อยคงจะต้องละอายใจเป็นอย่างมาก ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยซื้อให้ท่านเอง ไม่มีทางทำให้ความหวังดีของท่านเสียเปล่า” 


 


 


เหยียนจือทุยยิ้มออกมาอีกครั้ง ตบไหล่หวาเซี่ยนหลิ่งเบาๆ แล้วก็กลับเข้าไปในเกวียนวัวพร้อมกับคนรับใช้เฒ่า จากนั้นก็แล่นออกไปทางหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น  


 


 


จู่ปู้ขยับตัวมาใกล้หวาเซี่ยนหลิ่ง มองดูเกวียนวัวที่กำลังแล่นออกไปแล้วถามว่า “เซี่ยนจุนท่านรู้จักผู้เฒ่าคนนั้นหรือ ข้าว่าเขาท่าทางไม่ธรรมดา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”  


 


 


“ใช่หรือไม่ใช่คนธรรมดาไม่สำคัญ แค่อายุเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่เราจะต้องเคารพเขา ให้มันฝรั่งสามลูกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เรื่องดีๆ เช่นนี้เหตุถึงไม่ทำ” 


 


 


จู่ปู้ยิ้มและพูดว่า “ผลผลิตของมันฝรั่งช่างน่าตกใจถึงเพียงนี้ ผืนดินที่รกร้างว่างเปล่าและลาดชันของปีหน้าหากเอาปลูกมันฝรั่งให้หมด ความปรารถนาของเซี่ยนจุนจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” 


 


 


“พูดประจบประแจงให้มันน้อยๆ หน่อย ทำงานให้มากๆ เข้า เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ต้องมานั่งที่ของข้า ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี ขยันทำงานให้มากๆ หากปีหน้าปลูกมันฝรั่งได้แล้วค่อยดีใจก็ไม่สายเกินไป” 


 


 


ทั้งสองคนพูดเล่นกันเสร็จก็ออกไปที่ไร่อีกครั้ง เห็นมันฝรั่งที่ขุดออกมาวางอยู่เต็มพื้น หน้าอกของพวกเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาทันที 


 


 


เหยียนจือทุยนั่งอยู่บนเกวียนวัว มองดูมันฝรั่งสามลูกที่อยู่ข้างๆ ด้วยความมึนงง หากเขาไม่เห็นมันด้วยตาของตัวเอง เขาคงจะคัดค้านว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อครู่เขายืนดูอยู่ที่ข้างไร่ ใช้อาวุธเล็กๆ ตีมันฝรั่งที่ขุดออกมาดู แล้วเอามันฝรั่งอีกลูกมาชั่งจึงรู้ว่าเซี่ยนหลิ่งไม่ได้พูดไหลวไหล ไร่หนึ่งเก็บเกี่ยวได้หนึ่งพันห้าร้อยกิโลไม่ใช่เรื่องโกหก 


 


 


เกวียนวัวเดินขึ้นไปบนทางลาดชัน เมื่อถึงจุดสูงสุด เหยียนจือทุยสั่งให้เกวียนวัวหยุดเดิน เปิดม่านออกแล้วมองลงมาที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า ทั้งหมู่บ้านไม่มีอะไรน่าสงสัย 


 


 


เชื่อมกับถนนสายหลักคือถนนหินที่กว้างขว้าง ตัดผ่านซุ้มประตูสูงใหญ่ของตระกูลอวิ๋น ทอดยาวไปถึงภูเขาที่เขียวขจี บนภูเขาเผยให้เห็นชายคาบ้านสองสามหลัง มีเสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ ทำให้คนรู้สึกว่าที่นั่นเป็นสถานที่อันเงียบสงบและสวยงาม 


 


 


อาคารที่สูงใหญ่มองเห็นได้ชัดเจนจากเชิงเขา ไม่ต้องบอกก็รู้นี่คือจวนตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่ารอบๆ จะเป็นบ้านครึ่งหลัง ล้วนแต่เป็นสวนเล็กๆ ที่มีอิฐสีแดงและกระเบื้องสีเขียว ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวกลางวัน ควันสีฟ้าอ่อนลอยออกมาจากปล่องไฟของบ้านทุกหลัง ทำให้คนรู้สึกสงบสุขและสบายใจ 


 


 


ตลาดเล็กๆ หน้าประตูจวนตระกูลอวิ๋นช่างครึกครื้น มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา เมื่อครู่มีรถม้าหลายคันที่วิ่งผ่านเกวียนวัวไป และยังได้กลิ่นหอม ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านไหน 


 


 


เหยียนจือทุยยิ้มออกมาอีกครั้ง สั่งให้คนรับใช้เฒ่าหันหลังกลับ หวนกลับไปดูที่ไร่ข้าวโพด ในตอนนี้เหยียนจือทุยสนใจข้าวโพดมากกว่าอวิ๋นเยี่ยเสียอีก ที่เขารู้มันคืออาหารของจิตวิญญาณ เหยียนจือทุยวิจัยของสิ่งนี้มาแล้วทั้งชีวิต เขาไม่ได้ยึดติดสิ่งของนอกกายมาตั้งนานแล้ว เขาวิจัยมาตั้งนานถึงได้เห็นว่าตัวเองมักจะวนเวียนอยู่ที่เดิม ฮ่องเต้ดีๆ ในประวัติศาสตร์ล้วนแต่เริ่มต้นมาจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง ขอแค่ราษฎรกินอิ่ม มีเครื่องนุ่งห่มครบครัน บนโลกใบนี้ก็ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ หนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่คำสองคำนี้ อาหารและเครื่องนุ่มห่มเท่านั้น มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ชนเผ่านอกก็ทำได้แค่ยอมจำนนอย่างรู้ความ มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ความรู้ก็จะกว้างขว้าง มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ไม่ว่าดินแดนของใครก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กที่แข็งแกร่ง ที่จริงแล้วราษฎรไม่ได้สนว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ ระบบศักดินาก็เป็นแค่การเห่าหอนของเหล่านักปราชญ์ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม 


 


 


ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอข้าวโพดสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้กับเขาอีกครั้ง “ไอ้หนุ่ม หากข้าวโพดไม่เลว ข้าก็จะยอมรับว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์เทพเซียนจริงๆ” เหยียนจือทุยพูดกับตัวเอง 


 


 


เกวียนวัวเลี้ยวไปตามถนน ค่อยๆ เดินไปทางไร่ข้าวโพดบนถนนลูกรังเล็กๆ ต้นข้าวโพดที่สูงใหญ่ในไร่ ใบข้าวโพดที่สูงยาวเหยียดออกมาอย่างเงียบๆ มีลมพัดผ่านเข้ามาสักหนก็ส่งเสียงกึกก้อง ดอกที่อยู่ด้านบนปล่อยละอองเกสรออกมามากมายนับไม่ถ้วน เหยียนจือทุยจาม มองต้นข้าวโพดตั้งแต่หัวจรดเท้า มองจากปลายเท้าจนถึงยอด นี่คือต้นข้าวฟ่างที่สูงใหญ่ใช่หรือไม่ ความสูงของลำต้นเหมือนกันมาก ใบกว้างกว่าต้นข้าวฟ่างมาก ก้านหนากว่าต้นข้าวฟ่าง มีอะไรทรงกระบอกเสียบอยู่ในแนวทแยง ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่านี่น่าจะเป็นผลของข้าวโพด 


 


 


เหยียนจือทุยไม่ได้เรียกใช้งานคนรับใช้เฒ่า เขาหักข้าวโพดออกอย่างแรงด้วยตนเอง เมื่อแกะเปลือกออกแล้วก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เมล็ดข้าวโพดที่อวบอ้วนเรียงกันเป็นแถว ใช้มือบีบดู มีน้ำสีขาวขุ่นไหลออกมา เหยียนจือทุยแกะเมล็ดข้าวโพดเข้าปาก ชิมอย่างละเอียดอ่อน กลิ่นหอมหวานเฉพาะของเมล็ดพันธุ์อยู่ในปากของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะแกะชิมรสชาติของความหวานนี้อีกสักสองสามเมล็ด 


 


 


องครักษ์ดูแลไร่ข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นเห็นหัวขโมยสองคนนี้ตั้งนานแล้ว กล้าหาญชาญชัยจริงๆ มาขโมยข้าวโพดกลางวันแสกๆ ไม่เห็นข้าเป็นคนจริงๆ เขารีบพุ่งเข้าไปเตรียมต่อยไอ้หัวขโมยสองคนนั้น แต่พอมาถึง แม้แต่ขยับก็ยังไม่กล้าขยับ ไม่มีอะไร หัวขโมยข้าวโพดสองคนนี้เฒ่าเกินไป เฒ่ากว่าปู่ของเขาเสียอีก เขาสาบานว่าหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าที่ชราที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา 


 


 


ทุกคนบนโลกใบนี้ที่อายุเกินเจ็ดสิบปีล้วนแต่ต้องได้รับการดูแลตามหน้าที่ หน้าที่นี้ไม่เพียงแต่หมายถึงหน้าที่ของประเทศ ยังรวมถึงหน้าที่ของตระกูลอวิ๋น รวมถึงหน้าที่ของหมู่บ้าน ถึงแม้จะก่อเรื่องอะไรผิดก็ไม่มีใครตามเอาผิด หากเป็นความผิดที่ร้ายแรงก็ให้ลูกหลานไปรับโทษแทน หากทำร้ายคนประเภทนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะขึ้นไปอยู่บนขอบฟ้า ราชสำนักก็จะไปไล่ตามเจ้ากลับมารับโทษให้ได้ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับความกตัญญูกตเวที ความจริงก็เหมือนกันหากทำร้ายคนหนุ่มสาว มากสุดก็คงถูกเฆี่ยนสองสามที แต่หากทำร้ายพวกเขา ถูกขับไล่ออกไปสามพันลี้ก็ยังถือว่าเบาไป และจะไม่มีใครรู้สึกว่าเจ้าถูกปรักปรำ 


 


 


องครักษ์ที่สูงใหญ่ได้แต่เฝ้ามองดูหัวขโมยเฒ่าสองคนนั้นถือข้าวโพดไปๆ มาๆ ทำได้แค่ตะโกนอยู่ไกลๆ อย่างกังวล “พอแล้ว พอแล้ว เด็ดไปหนึ่งฝักก็พอแล้ว เด็ดไปเยอะกว่านี้ข้าจะโมโหแล้วนะ” 


 


 


พึ่งจะพูดเสร็จ เหยียนจือทุยก็เด็ดข้าวโพดออกมาฝักหนึ่ง ไม่มองไปที่องครักษ์แม้แต่น้อย องครักษ์รีบถูมือ กระโดดเข้ามาและตะโกนว่า “จับขโมย จับขโมย“ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปห้าม ชายเฒ่าที่อ่อนแอทั้งสองคนคงทนรับหมัดของเขาไม่ไหว 


 


 


“ไอ้หนุ่ม มานี่ บอกข้าว่าข้าวโพดนี่กินอย่างไร คงไม่ใช่กินแบบดิบๆ ใช่หรือไม่” 


 


 


เห็นหัวขโมยที่เฒ่าที่สุดในนั้นกวักมือเรียกตัวเอง องครักษ์ดูแลไร่ก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างระมัดระวัง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านปู่ทั้งสองคน ของสิ่งนี้บนโลกใบนี้ก็มีอยู่แค่นี้เท่านั้น สองสามปีมานี้ก็เสียเมล็ดพันธุ์ไปไม่น้อยแล้ว ท่านคงจะไม่รู้ คนทั้งหมู่บ้านยื่นคอออกมารอปลูกอยู่เต็มไปหมด” 


 


 


“พูดไร้สาระอะไรเยอะแยะ ข้าถามเจ้าว่าจะกินของสิ่งนี้เช่นไร” เหยียนจือทุยฝืนยิ้มถามองครักษ์อีกครั้ง 


 


 


“ยังจะกินเช่นไรได้ ต้มกิน สุกแล้วบดเป็นเส้นได้ ท่านโหวบอกว่าขนมที่ทำขึ้นมามีรสชาติอร่อย อร่อยกว่าขนมข้าวสาลีเสียอีก” 


 


 


“อืม เมื่อครู่ข้าชิมไปแล้ว รสชาติดีจริงๆ เหตุใดท่านโหวของเจ้าไม่มาดูข้าวโพดเอง แต่กลับส่งคนไม่ได้เรื่องอย่างเจ้ามาคอยเฝ้าดู ถูกขโมยไปหมดจะทำเช่นไร ทำเป็นเล่นเกินไปแล้ว” 


 


 


องครักษ์เบิกตากว้าง น้อยใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เข้าใจหัวขโมยเฒ่าที่หยิ่งยโสสองคนนี้ ขโมยของแล้วยังไม่หนี ยังมายืนสั่งสอนตัวเองอยู่ตรงนี้ นี่คือหลักการอะไรกัน 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 27 เหยียนจึซั่น เจ้ามีตาหามีแว...

 

เหยียนจือทุยพึมพำขณะกอดข้าวโพดแล้วกลับขึ้นไปในเกวียนวัว คนรับใช้เฒ่าตะโกนใส่วัว แต่เห็นว่ามันไม่ขยับไปไหน ถึงได้เห็นว่าล้อติดอยู่ในโคลนออกไปไม่ได้ องครักษ์หัวเราะ คนรับใช้เฒ่าด่าไปที่องครักษ์ “ตาบอดหรือไง เห็นล้อติดอยู่ในโคลนก็ไม่รู้จักเข้ามาช่วย เดี๋ยวตีให้ตายเลย คนไร้คนอบรบสั่งสอนอย่างเจ้านี่” 


 


พูดเสร็จก็จะเอาแส้ออกมาฟาด องครักษ์จึงวิ่งเข้าไปหลังรถม้าและผลักรถออกไปอย่างสุดกำลัง รีบเอาหัวขโมยเฒ่าที่มีกำลังมากกว่าม้าสองคนนี้ออกไปไกลๆ แค่คิดว่าตัวเองจะถูกหักเงิน ในใจก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง 


 


ล้อเกวียนวัวกลับขึ้นมาอยู่บนถนนอีกครั้ง แต่เหยียนจือทุยกลับไม่พูดไม่จา ผลผลิตของเมล็ดพันธุ์ใหม่นี้จะต้องไม่น้อยกว่าห้าตัน หากนำไปบดเป็นแป้ง กินเหมือนข้าวสาลีได้จริงๆ เมล็ดพันธุ์ห้าชนิดก็จะกลายเป็นหกชนิด คำว่าเมล็ดพันธุ์ห้าชนิดถูกเรียกมานานกว่าสามพันปี แต่เมื่อถึงต้าถังกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หกชนิด นี่หมายความว่าอะไร คือความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว 


 


สุภาพบุรุษก่อร่างสร้างตัว เขียนหนังสือ สร้างความดีความชอบ มีศีลธรรม ช่างสูงส่ง อวิ๋นเยี่ยสอนชาวบ้านทำมาหากิน ไม่จำเป็นต้องเป็นขุนนางแต่ก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ นี่คือการก่อร่างสร้างตัว หนังสือ ‘คณิตศาสตร์เบื้องต้น’ ของหวงหวง สี่สิบสามพันวลี แต่ละวลีล้วนแต่สวยงาม นี่คือการเขียนหนังสือ ช่วยเหลือภัยพิบัติในเหอเป่ย ราษฎรต่างพากันยกย่อง บริจาคมันฝรั่งและข้าวโพดอย่างไม่เห็นแก่ตัว ทำให้โลกใบนี้ไม่ต้องกังวลกับความอดอยากอีกต่อไป ช่างเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ หรือว่าเจ้านี่พยายามจะก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เขาอยากจะกลายเป็นเทพเจ้าหรือ 


 


ทว่าเขาพึ่งจะบังคับลูกสาวของคนอื่นให้เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วยังตัดขาของพี่ชายนางอีก ถึงแม้จะไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษ ลูกศิษย์ของเขาก็จริงๆ เลย เพื่อเรียนรู้ความรู้บางอย่าง ถึงกับเห็นความรักของพี่ชายตัวเองเป็นเหมือนสุนัข มองดูจากเรื่องนี้ก็รู้ว่าการสั่งสอนลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นนั้นบกพร่อง ตระกูลเฮ่อหลานก็แค่ต้องการมาเอาภรรยาที่ได้รับการแต่งตั้งกลับไป แต่กลับเกือบถูกฆ่าตายคาที่ หากไม่ใช่เพราะเว่ยเจิงใช้กลยุทธ์ผ่อนผัน บางทีตอนนี้ตระกูลเฮ่อหลานอาจจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์ไปแล้ว จิตใจคับแคบและอารมณ์ร้อนดั่งอารมณ์ของหนุ่มสาวทั่วไป จริงอยู่ที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนฉลาดและอายุยังน้อย ทว่าหากไม่มีนิสัยอารณ์ร้อนของคนวัยหนุ่มสาวมันก็คงจะแปลกๆ 


 


เหยียนจือทุยไม่เข้าใจ เขาได้รู้จักกับอวิ๋นเยี่ยที่มีบุคลิกสองขั้วในวันเดียว อันไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของเขากันแน่ ต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองถึงจะรู้ อากาศร้อนเช่นนี้ สุขภาพของชายเฒ่าทนไม่ไหวแล้ว เขาพิงกำแพงเกวียนวัวเดินทางกลับไปที่บ้านของตระกูลเหยียนในเขตชานเมืองของฉางอัน 


 


เหยียนซือกู่เป็นห่วงสุขภาพของปู่ตัวเองเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ เขาพาคนรับใช้เฒ่าขับเกวียนวัวออกจากบ้านไปกันตามลำพังสองคน แล้วยังไม่อนุญาตให้คนอื่นติดตามไปด้วย ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็ยังไม่กลับกันมา น่าเป็นห่วงจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล ท่านปู่มีชีวิตอยู่อีกวันหนึ่ง ตระกูลเหยียนก็มีวาสนาเพิ่มอีกวันหนึ่ง ไม่กล้าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา 


 


คนรับใช้ที่ออกไปหาข้างนอกยังไม่กลับมา ทว่ามีเกวียนวัววิ่งเข้ามาทางซุ้มประตูช้าๆ คนที่นั่งอยู่บนเกวียนไม่ใช่ลุงเหยียนหรอกหรือ เดินเข้าไปดูสองสามก้าว กำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับเป็นลุงเหยียนโบกมือให้และพูดเบาๆ ว่า “นายท่านนอนหลับไปแล้ว อย่ารบกวน วันนี้คงจะเหนื่อยไม่เบา” 


 


เหยียนซือกู่ก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ ให้คนเฝ้าประตูเปิดประตูออกเพื่อให้เกวียนวัวขับไปบ้านของท่านปู่ที่อยู่ทางเหนือ เกวียนวัวพึ่งจะหยุดลง ก็ได้ยินเสียงของเหยียนจือทุย “ถึงบ้านแล้วหรือ วันนี้ข้าไปเป็นหัวขโมยมา เป็นจนเหนื่อย ดูเหมือนว่าข้าจะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่วันแล้ว เหยียนโซ่ว เจ้าไปเรียกพวกไม่ได้เรื่องพวกนั้นมาให้หมด ข้ามีเรื่องจะพูด” 


 


คนรับใช้อ้วนสองคนเดินออกมาจากประตู ก้าวขาเล็กๆ เหยียนซือกู่พยุงท่านปู่มานั่งและพูดเบาๆ ว่า “ท่านปู่ หากท่านเบื่อหรืออยากจะออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกก็บอกหลานสักคำ หลานไปกับท่านไม่ดีกว่าหรือ สองสามปีมานี้ฉางอันเปลี่ยนแปลงไปมากมาย หลานจะได้อธิบายให้ท่านฟัง” 


 


เหยียนจือทุยกลอกตาไม่สนใจหลานชายของตัวเอง เขากำลังยุ่งอยู่กับการบอกให้สาวใช้ที่อยู่รอบๆ ไปเอาผลผลิตที่เขาได้มาวันนี้ออกมาจากเกวียน ยกไปที่ห้องโถง 


 


สาวใช้กำลังยุ่งกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือ ล้างหน้าให้กับท่านปู่ หลังจากวันที่วุ่นวาย คนเฒ่าและเด็กทุกคนในตระกูลเหยียนก็ต่างพากันโค้งคำนับและยืนรอท่านปู่อยู่ในห้องโถง 


 


มีคนมากมาย ทั้งคนเฒ่าผมหงอกและเด็กเล็ก เหยียนซือกู่ก็ยืนอยู่ข้างหลังพ่อของตัวเองไม่พูดไม่จา เขาดูออกว่าการเดินทางออกไปข้างนอกของท่านปู่วันนี้ไม่ค่อยเป็นที่น่าพึงพอใจ 


 


เหยียนจือทุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ ไม่ได้ให้หลานชายสองสามคนของตัวเองนั่งลงเหมือนปกติ พออ้าปากพูด เขาไม่ได้บ่นแต่พูดอย่างใจดีว่า “วันนี้ออกไปข้างนอก ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหลานเถียนเซี่ยนหลิ่ง ดื่มชาดีไปถ้วยหนึ่ง แล้วเขายังให้มันฝรั่งสามลูกมาเป็นของขวัญ ซือกู่ พรุ่งนี้เจ้าต้องไปขอบคุณเขาที่จวน อย่าหยิ่งยโสและจงเอาของขวัญไปด้วย ไปขอบคุณเขาแทนข้า” 


 


เหยียนซือกู่รีบรับปาก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่เซี่ยนหลิ่งเล็กๆ แต่ไปขอบคุณแทนท่านปู่ก็ไม่ถือว่าเสียหน้า 


 


“ตระกูลเหยียนของข้าล่มสลายไปแล้วหรือ ขุนนางทั้งฉางอันได้รับมันฝรั่งมาจากฮ่องเต้ เหตุใดตระกูลเหยียนของข้าถึงไม่มี หรือว่าตระกูลเหยียนของข้าไม่มีศีลธรรม? หรือว่าพวกเจ้าไม่ไปแย่งชิง?” 


 


ลูกชายคนโตของตระกูลเหยียนที่มีนามว่าเหยียนจึซั่นรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อ ตระกูลของเราก็ได้รับมาแล้ว แต่ลูกคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล มีที่ไหนที่ดินหนึ่งไร่เก็บผลผลิตได้ยี่สิบสามสิบตัน มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเล่ห์เหลี่ยมของอวิ๋นเยี่ย ก็แค่เรื่องมงคลอันน่าเบื่อที่อวิ๋นเยี่ยใช้วิธีเบี่ยงเบนสายตาของคนอื่น เช่นเดียวกับกิเลนที่ปรากฏขึ้นมาในสมัยราชวงศ์สุย เอาฟอยล์สีทองไปติดที่ตัวหมูก็เรียกว่ากิเลน มันเป็นแค่วิธีที่ราชสำนักใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจคนก็เท่านั้น มันฝรั่งพวกนั้นรูปร่างน่าเกลียด ลูกสั่งให้เอาไปเลี้ยงหมูหมดแล้ว” 


 


หลังจากได้ยินสิ่งที่เหยียนจึซั่นพูด เหยียนจือทุยก็อดไม่ได้ที่จะสำลัก กว่าจะหายสำลัก เขาก็พูดกับเหยียนจึซั่นว่า “เจ้ามานี่” 


 


เหยียนจึซั่นยิ้มและเดินเข้าไปหาพ่อของตัวเอง เขาก้มตัวลงเพื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อ แต่กลับเห็นพ่อยกมือที่สั่นคลอนขึ้นมา ตบลงที่หน้าของเขาทีหนึ่ง 


 


เห็นท่านพ่อโมโหขนาดนั้น เขาไม่กล้าถามสาเหตุ แต่รีบคุกเข่าลงแล้วพูดซ้ำๆ ว่าลูกผิดไปแล้ว ท่านพ่อโปรดลงโทษ อย่าโมโหจนทำร้ายสุขภาพ 


 


เห็นพ่อของตัวเองถูกท่านปู่ตบหน้า นี่คือเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเกือบหกปีแล้ว ลูกๆ หลานๆ ของตระกูลเหยียนที่อยู่ข้างหลังต่างพากันคุกเข่าลง ขอให้ท่านปู่เป็นห่วงสุขภาพ อย่าโมโหจนทำร้ายสุขภาพ 


 


“จึซั่น ครั้งก่อนที่เจ้าถูกตี ตอนนั้นเจ้าแอบไปหอนางโลมตอนอายุสิบห้าปีใช่หรือไม่” เหยียนจือทุยระลึกถึงความหลังไปพร้อมกับพูดกับลูกชายที่อายุเจ็ดสิบปีของตัวเอง 


 


เหยียนจึซั่นหน้าแดง เขาก้มหน้าลงและพูดว่า “ตอนนั้นลูกยังมิรู้ความ ยังไม่โตก็ออกไปก่อเรื่องวุ่นวาย ท่านพ่อลงโทษถูกต้องแล้ว แต่แค่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแล้วเกือบหกสิบปี ก็ได้เรียนรู้คำสั่งสอนของท่านพ่ออีกครั้ง มองดูภายใต้ต้าถังที่ใหญ่โต มีใครบ้างที่ยังจะได้รับการสั่งสอนจากท่านพ่อตอนอายุเจ็ดสิบสี่ วาสนาแบบนี้มีกี่คนที่จะได้รับ ลูกหวังแค่ว่าวาสนาแบบนี้จะคงอยู่ต่อไป” 


 


เหยียนจือทุยไม่สนใจต่อพฤติกรรมใจกว้างของลูกชาย เขาหยิบมันฝรั่งขนาดใหญ่ขึ้นมาจากเก้าอี้ และพูดกับเหยียนจึซั่นว่า “ตระกูลเหยียนเคารพบรรพบุรุษ แต่ไม่เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเหยียนหุย เรามุ่งมั่นในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นมาตลอด เรียนรู้การทำไร่ทำนาจากชาวนา เรียนรู้การตกปลาจากชาวประมง เรียนรู้เหตุและผลจากขอทาน ไม่เคยกล้าพอใจในความสำเร็จของตัวเอง เราไม่เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า แต่เราเชื่อในเรื่องจริง จึซั่น อะไรทำให้เจ้าสูญเสียความกล้าที่จะค้นหาเรื่องจริงไป 


 


ใครบอกเจ้าว่ามันฝรั่งมีผลผลิตไม่ถึงยี่สิบสามสิบตัน เจ้าเคยปลูกสิ่งนี้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ย ใช้แค่การคาดเดาในการตัดสิน เอาสมบัติของโลกไปเป็นขยะเลี้ยงหมู เหยียนจึซั่น เจ้ามีตาหามีแววไม่” 


 


เหยียนจึซั่นตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ แต่กลับเห็นว่าท่านพ่อหลับตา ใบหน้าของเขาซีดเซียว จุดด่างบนหัวและหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะสะดุดตามากขึ้น 


 


เขาจึงหันไปดูเหยียนโซ่วที่กำลังเดินออกไปพร้อมกับท่านพ่อ คนใช้เฒ่าที่มีนามว่าเหยียนโซ่วคือคนรับใช้คนเดียวในบ้านหลังนี้ เห็นว่านายน้อยมองมาที่ตัวเอง เขาจึงพูดว่า “นายน้อยคิดผิดแล้ว มันฝรั่งนี้ให้ผลผลิตถึงยี่สิบสามสิบตันจริงๆ วันนี้ ข้าน้อยไปที่ไร่มันฝรั่งกับนายท่าน ไปเห็นหลานเถียนเซี่ยนหลิ่งกำลังเก็บมันฝรั่งพอดี พวกเขาละเอียดอ่อนมาก ที่ดินที่วัดได้หนึ่งไร่มีผลผลิตหนึ่งพันห้าร้อยกว่ากิโลจริงๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ยของผลผลิต พวกเขาวัดที่ดินอีกหนึ่งไร่ นายท่านประเมินดูแล้ว ผลผลิตไม่น่าผิดพลาด ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ข้าน้อยและนายท่านเห็นกับตา ไม่ผิดอย่างแน่นอน” 


 


หลังจากที่เหยียนโซ่วพูดเสร็จ เหยียนจึซั่นก็ตกตะลึง นี่มันส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไป ตัวเองคัดค้านข่าวลือที่ว่าที่ดินหนึ่งไร่ให้ผลผลิตยี่สิบสามสิบตันต่อหน้าคนทุกคน เหตุผลที่พวกเขาไม่พูดอะไรก็คือพวกเขากำลังรอดูเรื่องตลกของตัวเองอยู่ แต่ที่น่าตลกก็คือตัวเองยังคิดไปว่าพวกเขาฟังคำพูดคัดค้านของตัวเองจนพูดอะไรไม่ออก ตัวเขาเองยังรอดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีจุดจบเช่นไร แต่ที่แท้อวิ๋นเยี่ยก็รอดูว่าเขาจะอับอายขายหน้าเช่นไร 


 


“วันนี้ข้าไปเป็นหัวขโมยมา วิ่งไปขโมยเมล็ดพันธุ์ที่ไร่ของตระกูลอวิ๋น โชคดีที่ไปเจอกับของสิ่งนี้ มันเรียกว่าข้าวโพด เป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่เช่นกัน มีรสชาติหวาน ว่ากันว่าไม่แย่ไปกว่าข้าวสาลี แต่กลับให้ผลผลิตที่มากมายมหาศาล ที่ดินหนึ่งไร่ ข้านับดูแล้ว หนึ่งไร่มีผลผลิตอย่างน้อยห้าหกตัน มันไม่เหมือนกับมันฝรั่ง มันเป็นอาหารจริงๆ หากตระกูลเหยียนเอามันฝรั่งไปให้หมูกินแล้วก็ช่างมันเถอะ ตระกูลข้าไม่แย่งอาหารหมูกิน แต่ข้าวโพดข้าเป็นคนขโมยมา ในเมื่อขโมยมาแล้ว มันก็คือของตระกูลข้า ข้าถามมาแล้ว อีกหนึ่งเดือนข้าวโพดก็จะสุก รอให้มันสุกแล้วข้าจะไปขโมยที่ตระกูลอวิ๋นมาอีก ปีหน้าปลูกให้เยอะๆ หน่อย ข้าจะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหนึ่งปี เฝ้าดูข้าวโพดเติบโต มิเช่นนั้นข้าคงนอนตายตาไม่หลับ” 


 


“ท่านพ่อ ล้วนแต่เป็นความผิดของลูก เรื่องไปขอเมล็ดข้าวโพดให้ลูกเป็นคนไปเอง แม้ว่าจะลำบากแค่ไหน ลูกก็จะขอมาให้ได้” 


 


เหยียนจือทุยจับหน้าของลูกชายทีหนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลเหยียนของข้าไม่เคยก้มหัวให้ใคร ใบหน้าของเจ้ายังมีคุณค่า จะไปถูกทำลายที่ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งดุด่าเด็กคนหนึ่งแสดงว่าเขาเห็นความสามารถในตัวเด็กคนนั้น หากทำผิดตระกูลเราก็ไม่มีทางยอมรับผิด ข้าเดินข้ามผ่านความปรารถนามาตั้งนานแล้ว ขโมยข้าวโพดตระกูลเขามาแล้วยังให้องครักษ์ของเขาต้องมาช่วยข้าดันเกวียน 


 


ถือว่าข้าเจอเรื่องมหัศจรรย์มาเรื่องหนึ่ง” 


 


ใบหน้าที่แก่ชราของเหยียนจือทุยเต็มไปด้วยความฉลาดแกมโกงราวกับเด็กน้อย เหยียนจึซั่นรู้สึกแปลกๆ แค่พ่อของเขาแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา แสดงว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ 


 


เหยียนจือทุยเพลิดเพลินกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของลูกๆ หลานๆ อย่างเต็มที่ หัวเราะและพูดต่อว่า “ข้าเห็นว่าการเป็นขโมยนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ความสำเร็จนี้ทำให้จิตใจของข้าสดชื่น เรื่องสนุกๆ เช่นนี้ทำแค่ครั้งเดียวไม่ได้ ตระกูลอวิ๋นต้องต้อนรับข้าอีกสักสองสามครั้งถึงจะสมเหตุสมผล ฮ่าๆๆๆ” 

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 28 ผู้เฒ่ามาแล้ว

 

ช่วงนี้ภารกิจป้องกันขโมยของตระกูลอวิ๋นค่อนข้างหนัก ล้วนแต่เป็นหัวขโมยเฒ่า พากันมาบังอาจที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น อันดับแรกมาดูการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง จากนั้นก็เริ่มวัดที่ดินหนึ่งไร่ขุดมันฝรั่ง ไม่ต้องใช้คนของราชสำนัก ใช้แค่คนของตระกูลตัวเอง ขุดออกมาชั่งน้ำหนักแล้วก็ไม่สนใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร 


 


 


หวาเซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้ยืนตัวสั่นอยู่ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า แม้แต่เหงื่อที่อยู่บนหัวยังไม่กล้าเช็ด ท่าทางดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ สองสามวันมานี้พวกเขาได้รับความตกใจนับไม่ถ้วนทีเดียว ต้องดูแลผู้เฒ่า เพราะหากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาคงจะถูกถลกหนัง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยซ่อนตัวอยู่ในไร่ข้าวโพด เขย่งมองดูหัวขโมยเฒ่าพวกนั้น บ้านของพวกเขาก็มีมันฝรั่ง แต่กลับไม่มีใครสนใจ ตอนที่หลี่ซื่อหมินขุดมันฝรั่งที่ตำหนักจินหลวน พวกนั้นก็คิดเพียงว่าเขากำลังทำการแสดง การแสดงที่ฮ่องเต้เป็นคนแสดง ดูเสร็จก็ลืมเรื่องมันฝรั่งไปหมด เมื่อฮ่องเต้มอบมันฝรั่งให้พวกเขา บางคนเอาไปวางบูชาไว้ในห้องพระ บางคนทิ้งให้มันแตกหน่อเองในคลังสมบัติ พอแตกหน่อแล้วก็เอาไปให้หมูกิน สุดท้ายหมูกินพิษตายไปตั้งเยอะแยะ แต่เพราะว่าเป็นของที่ฮ่องเต้เป็นคนมอบให้จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไร จัดการมันอย่างเงียบๆ บางทีคนเลี้ยงหมูก็อาจจะถูกฆ่าปิดปากไปแล้วหลายคน 


 


 


คนที่ไม่รอบคอบอย่างอวิ๋นเยี่ยมองเห็นว่าทั่วโลกใบนี้มีเพียงตระกูลอวิ๋น ตระกูลจั่งซุน ตระกูลหนิว ตระกูลเฉิง ตระกูลฉิน ตระกูลอวี้ฉือ และยังมีตระกูลของจั่งซุนอู๋จี้กับอีกสองสามตระกูลที่ปรึกษาหารือกันเรื่องปลูกมันฝรั่ง ไม่บอกอะไรพวกคนโง่เหล่านั้น ตัวเองปลูกเองร่ำรวยกันเอง ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยถึงได้รู้ว่ามีคนแอบขายมันฝรั่ง แต่เขาแค่คิดไม่ถึงว่ามีแค่ตระกูลเหล่านี้ที่ปลูกจริงๆ 


 


 


ไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้ไม่ยอมแพร่กระจายมันฝรั่ง ความรู้ความเข้าใจเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยถามว่าทำไมมันฝรั่งของฮ่องเต้ถึงแพร่กระจายไปทั่วไม่ได้ หลี่ซื่อหมินก็มักจะมีสีหน้าที่ไม่ดี เขากำลังรอให้คนเหล่านี้ไปขอร้องเขา เขาจะได้ฉวยโอกาสใช้จุดอ่อนของพวกเขาในการหากำไรให้ตัวเอง ของที่ได้ไปง่ายๆ มักจะไม่มีใครหวงแหน นี่คือหลักการที่ถูกต้องที่สุด 


 


 


หากคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วย ราษฎรก็ไม่มีทางกล้าที่จะเห็นด้วย อวิ๋นเยี่ยถูกหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นปกปิด เขาคิดว่าคนทั้งโลกกำลังตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของมันฝรั่งอย่างใจจดใจจ่อ ใครจะรู้ว่าทั้งหมดนี้มีอยู่แค่บ้านไม่กี่หลังที่เขาชอบไปเท่านั้น ชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่ได้เผยแพร่ข่าวดีนี้ออกไปภายนอก ลูกสะใภ้กลับบ้านก็ยังไม่อนุญาตให้พูดมาก หากเผลอพูดเรื่องใหญ่ของหมู่บ้านออกไปก็ไม่ต้องกลับมาอีก ปู่เฒ่าอายุแปดสิบปีรักษาคำพูดในเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าขัดขืน 


 


 


สถานการณ์ในวงกว้างเป็นเช่นนี้แล้วยังจะแพร่กระจายอะไรได้อีก มันฝรั่งแตกหน่อก็ต้องมีพิษอยู่แล้ว ใครจะบ้าไปกินมันฝรั่งที่มีราสีม่วง ของเช่นนั้นมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของที่กินได้ แล้วอีกอย่าง อาหารที่มีรากินแล้วก็ตายเหมือนกัน 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะหวาเซี่ยนหลิ่งไปสะกิด อวิ๋นเยี่ยก็คงไม่มีทางรู้ ซินเย่วหลบหน้าหลบตาอวิ๋นเยี่ย สองสามวันมานี้ถูกตีไปแล้วสองครั้ง ถึงแม้ว่าระหว่างการถูกตีจะมีความสุข แต่ก้นเต็มไปด้วยรอยมือมันก็ดูไม่ดี 


 


 


เหล่าเฉียนซ่อนตัวอยู่ที่ลั่วหยางไม่ยอมกลับมา บอกว่าจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการของตระกูลอย่างรอบคอบ ต้องให้เวลาเป็นครึ่งเดือน 


 


 


ท่านโหวหน้าดำหน้าแดงมาสามวันแล้ว สุนัขของตระกูลถูกเตะจนขาพิการไปแล้วสองข้าง หักคอไก่โยนเข้าไปในหม้อต้มซุป การบ้านของพวกเด็กๆ หนักมากขึ้นทุกวัน พากันเช็ดน้ำตาไปด้วยเขียนไปด้วย 


 


 


สรุปก็คือท้องฟ้าของตระกูลอวิ๋นถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ฟ้าร้องฟ้าแลบไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว คนรับใช้และสาวใช้ต่างพากันกลัวจนตัวสั่น กระทั่งการมาถึงของอาจารย์หลี่กัง ทุกคนถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก 


 


 


“ไอ้หนุ่ม อารมณ์เสียอะไร ก็แค่เรื่องมันฝรั่ง เจ้าลองคิดดู หากไม่มีเรื่องนี้ คนบนโลกนี้จะรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่ เจ้าไม่ดูว่าคนที่มามีแต่คนเช่นไร ล้วนแต่เป็นคนสำคัญของตระกูลจริงๆ คนเหล่านี้ปกติแล้วจะไม่ออกจากบ้าน แต่ตอนนี้พวกเขาแห่กันมาดูมันฝรั่งที่บ้านของเจ้า ซึ่งหมายความว่าในปีหน้าของสิ่งนี้จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ สถานที่ที่ราชวงศ์และเจ้าเอื้อมมือไปไม่ถึงก็จะปลูกกันจนเต็มพื้นที่ เจ้าเชื่อหรือไม่” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเทชาให้หลี่กังถ้วยหนึ่ง วางไว้ในที่ที่เขาสะดวกหยิบและพูดขึ้นว่า “ล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำ ไล่ก็ไม่ไป ต้องให้ลงไม้ลงมือ ต้องให้ข้าหาเงินได้ก้อนใหญ่ถึงยอมจำนน” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็หาเงินสิ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้าหาเงิน คราวนี้พวกเขาเต็มใจมาถึงนี่หนิ เหตุใดถึงต้องไม่หาล่ะ เจ้าขายราคาถูกพวกเขาคงไม่ซื้อ นี่คือการที่พวกเขากำลังมารับโทษของฝ่าบาท ฮ่าๆ บางทีตอนนี้ราชวงศ์อาจจะเริ่มขายเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งในวงกว้างแล้วก็ได้ ไอ้หนุ่ม เจ้าปลูกไปแค่ไม่กี่ไร่ ราชวงค์ปลูกไปห้าพันไร่ เจ้ามาถามข้า ฮองเฮาชาญฉลาดเช่นนั้น จะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้หรือ เจ้าคิดว่าการกักบริเวณเจ้าสามเดือนคืออะไร ขายเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งไปหมดแล้วถึงจะมาเจอเจ้าไงล่ะ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าถอนหายใจแล้วถามว่า “หรือว่าหวาเซี่ยนหลิ่งก็เป็นคนที่ฮองเฮาจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า?” 


 


 


“เจ้าคิดว่าเช่นไรล่ะ ขุนนางชั้นน้อยที่ไม่มีชื่อเสียง กล้าที่จะเอาเชือกผูกคอข่มขู่เหล่าขุนนาง หากไม่มีฮองเฮาอยู่เบื้องหลัง เขาคงไม่กล้าทำเช่นนี้แน่นอน เจ้าคิดว่าชื่อเสียงมีกันง่ายๆ หรือ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาอยู่ใกล้กับตระกูลอวิ๋นของเจ้า เรื่องแบบนี้คงตกไปไม่ถึงเขา เขาเป็นใครกัน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์โดยรวมไม่เท่าชายเฒ่าผู้นี้ คิดคำนวณพิจารณาผู้อื่นในเรื่องที่มองไม่เห็น สุดท้ายเขาเองก็ยื่นคอออกมาอย่างไม่รู้ความ หลี่ซื่อหมิน ทั้งสองสามีภรรยาไม่ใช่คนดีจริงๆ 


 


 


“ไปต้มโจ๊กมาให้ข้าหน่อย โจ๊กข้าวโพดที่ข้าดื่มครั้งก่อนรสชาติไม่เลว ข้าอายุมากแล้ว ย่อยพวกเนื้อปลาเนื้อสัตว์ไม่ค่อยได้ กินได้แค่โจ๊กข้าวโพด ตระกูลของข้ามีข้าวโพดน้อยเกินไป กินไม่ได้” 


 


 


กินโจ๊กข้าวโพดสองถ้วยใหญ่เป็นเพื่อนอาจารย์หลี่กัง เขาถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เมื่อหันหลังไปกลับเห็นว่าซินเย่ว เฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยิน จั่งซุนฮูหยิน ฉินฮูหยินและอวี้ฉือฮูหยินซ่อนตัวดื่มเฉลิมฉลองอยู่หลังบ้านตระกูลอวิ๋น เสียงชักชวนให้ดื่มของภรรยาเฉิงเหย่าจิน ถึงจะมีสวนดอกไม้คั่นกลางระหว่างสองสวนก็ยังได้ยิน ดูเหมือนว่าจะดื่มกันไปไม่เบา ซินเย่วกำลังพรรณนาสถานการณ์ที่นางถูกตี พระเจ้า เรื่องนี้ก็พูดออกมาได้? 


 


 


เมื่อถึงยามดึก ซินเย่วที่ใบหน้าแดงก่ำโบกผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามาในห้อง กลิ่นเหล้ารุนแรงในปากของนางเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยสลบ ปีนขึ้นไปบนหลังของอวิ๋นเยี่ย เอาแต่พูดว่าวันนี้มีความสุขจริงๆ 


 


 


สามารถบังคับให้ผู้สูงศักดิ์ดั้งเดิมเหล่านั้นมาหาถึงบ้าน มันคือชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับขุนนางใหม่เหล่านี้ ตระกูลอวิ๋นยังเข้าไปในสังคมกลุ่มขุนนางดั้งเดิมไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าได้รับคำเชิญแล้วกี่ครั้ง ยังไงก็ตาม แขนเสื้อของนางพองขึ้นมาเป็นกอง นางหยิบบัตรเชิญออกจากแขนเสื้อ ไม่มีอารมณ์จะดูเท่าไหร่ ล้วนแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งนั้น นี่คือพื้นที่ของซินเย่ว ปกติอวิ๋นเยี่ยจะไม่เข้าไปแทรกแซง เมื่อถอดเสื้อผ้าออกหมด วางกระโถนไว้บนหัวเตียงให้นาง ตบหลังที่เปลือยเปล่าของนางเพื่อช่วยบรรเทาอาการเมา 


 


 


คนงามเมาแล้วอ้วกก็ดูไม่ค่อยดีอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะเปลือยเปล่าก็ตาม เส้นเลือดสีฟ้าที่คอเต้นเป็นจังหวะ อ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง มองดูแล้วก็สงสาร กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายเต็มห้อง ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่ 


 


 


ในเช้าตรู่ของวันต่อมา ซินเย่วที่กำลังนอนกรนไม่สนใจวันเวลา ดูเหมือนว่านางคงจะยังนอนต่ออีกซักพัก อวิ๋นเยี่ยบอกสาวใช้ทำโจ๊กให้นาง ท้องของนางว่าง หวังว่าวันนี้คงจะได้กินโจ๊กสักคำสองคำ 


 


 


บัตรเชิญของตระกูลเหยียนมาถึงแล้ว เหยียนจือทุยผู้มีชื่อเสียง หากได้รับบัตรเชิญเช่นนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น ตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนที่มีคุณสมบัติต้อนรับชายเฒ่าคนนี้มีเพียงท่านย่าของตระกูลอวิ๋นเท่านั้น เมื่อคืนอยากจะให้หลี่กังอยู่เป็นเพื่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าถูกหลี่กังถ่มน้ำลายใส่ บอกว่าครั้งก่อนก็เพราะตระกูลอวิ๋น เขาถึงได้ถูกคนถ่มน้ำลายใส่หน้า แล้วยังเช็ดไม่ได้ น้ำลายนี้ถือว่าเป็นบทเรียนของอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รู้จักเคารพคนเฒ่าคนแก่ ตอนนี้ต้าถังหาคนที่มีอายุมากกว่าเหยียนจือทุยไม่เจอแล้ว เขาก็เป็นแค่เด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเหยียนจือทุย โดนตียังไม่มีที่ให้ระบาย สร้างปัญหาขึ้นมาเองก็รับผิดชอบเอาเอง พูดเสร็จก็หนีจากไปทันที ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเจอกับน้ำลายของเหยียนจือทุยอีกต่อไปแล้ว 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าของท่านย่าก็เปลี่ยนใหม่หมด เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแบบเดียวกับตอนที่นางเป็นลูกสะใภ้ หวีผมอย่างพิถีพิถัน ปักปิ่นปักผมหยกสีขาว ไม้เท้าก็ไม่ใช้แล้ว นางไขว้มือไว้ตรงหน้าท้องส่วนล่าง รอการมาถึงของเหยียนจือทุย ชายเฒ่าอายุเก้าสิบสี่ปีแล้วยังไม่ตาย ผู้ที่มาหาเรื่องให้ตระกูลอวิ๋นอย่างไร้ยางอาย 


 


 


ซินเย่วที่น่าสงสารมีสีหน้าซีดเซียว โจ๊กตอนเช้าไม่ได้กินสักคำ เพราะกินไปเท่าไหร่ก็อ้วกออกมาหมด ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เหมือนลอยอยู่บนอากาศ ต้องให้สาวใช้คอยพยุงแขนขึ้นมา 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยืนรอการมาถึงของเหยียนจือทุยอยู่ใต้ซุ้มประตูอย่างห่างๆ ไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อย หลี่ซื่อหมินได้ยินว่าเหยียนจือทุยจะมาหาเขา เขายังต้องออกไปต้อนรับที่ประตูเมือง พาชายเฒ่าเข้าไปพูดคุยที่ตำหนักไท่จี๋ 


 


 


ตระกูลเหยียนเป็นตระกูลเหวินจง บรรพบุรุษคือเหยียนหุย ตระกูลนี้เป็นขุนนางที่สะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น เมื่อเทียบกับตระกูลเศรษฐีเหล่านั้น ตระกูลเหยียนไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นตระกูลที่ทุกราชวงศ์ขาดไม่ได้ 


 


 


ตระกูลนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของการทำไร่ทำนา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการวิจัยความรู้ เหยียนหุยเป็นคนยากจน ใช้ชีวิตอย่างยากจน ได้รับการยกย่องจากขงจื๊อว่าเป็นผู้ที่มีศีลธรรมสูงส่งที่สุด ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงอยู่ห่างไกลจากคำว่าหรูหรา 


 


 


เหยียนจือทุยนั่งอยู่ในเกวียนวัว เกวียนวัวที่มีการใช้งานมาแล้วเนิ่นนาน ไม้สีน้ำตาลแดงแวววาวเป็นสีเหลืองอำพัน ล้อหนึ่งเป็นล้อใหม่ อีกล้อหนึ่งเป็นล้อเก่า ผ้าคลุมสีน้ำฟ้าเก่าๆ คนรับใช้โค้งตัวขับเกวียนวัวไปข้างหน้า มีคนรับใช้ถือของขวัญเดินตามมาอยู่ข้างหลัง 


 


 


เหยียนจือทุยมาถึงแล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบวิ่งออกไปทันที รับบังเ**ยนจากมือคนรับใช้เฒ่ามา พาวัวเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นด้วยตัวเอง ชายเฒ่ายื่นหัวล้านๆ ออกมา มองดูร้านค้าตามสองข้างทางอย่างละเอียด จากนั้นก็มองดูเด็กๆ ที่แข็งแรงพอๆ กับลูกวัวพวกนั้น ปากเอาแต่พูดว่า “ไม่เลว ไม่เลว หมู่บ้านดี เด็กๆ ก็ดี!” 


 


 


สองประโยคนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าชายเฒ่าจะมาหาเรื่องเขา แต่คำพูดสองประโยคนี้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจลักษณะนิสัยของชายเฒ่าอย่างคร่าวๆ นี่คือนักปราชญ์ที่แท้จริง เขาไม่ได้ตำหนิว่าตระกูลอวิ๋นอยู่ใกล้กับดินแดนพ่อค้ามากเกินไป มีกลิ่นทองแดงที่เหม็นไปถึงบนท้องฟ้า และก็ไม่ได้ตำหนิว่าตระกูลอวิ๋นละเลยราษฎร อ่อนน้อมถ่อมตน สร้างตลาดในหมู่บ้านของตัวเอง เขาสนใจแค่ความอุดมสมบูรณ์ของชาวบ้านและสุขภาพของเด็กๆ 


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับชายเฒ่าเช่นนี้ ยอมถอยให้เขาจะเป็นอะไรไป? 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)