เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 22-23

[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 22 การตัดสินใจของเสี่ยวอู่

 

เพื่อทำให้น่ารื่อมู่มีความสุขกับการคลอดลูกสาวคนแรกของตระกูลอวิ๋นออกมาทำให้หลายๆ คนต้องมีอันตกใจเพราะของขวัญกองพะเนินเต็มห้องสามห้อง ไม่ว่าจะราคาเท่าไร ขอแค่มันมีเยอะ น่ารื่อมู่ก็จะมีความสุข ทำเอาซินเย่วรู้สึกไม่พอใจ ตอนที่คลอดอวิ๋นน้อยไม่เห็นจะมีการประโคมข่าวขนาดนี้


 


 


“เจ้ามีลูกชายแล้วยังไม่พอใจอีก จะมาแข่งอะไรกับน่ารื่อมู่ อายุเท่าไหร่แล้ว ยังไม่รู้ความอีก พวกนางสองแม่ลูกยังจะอยู่ที่ฉางอันได้อีกนานแค่ไหน ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพวกนางก็จะกลับไปแล้ว หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป น่ารื่อมู่อาจจะตายเอาได้”


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยเสียใจเล็กน้อย ซินเย่วก็หยุดพึมพำ จับมือของเขาเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง เอาหัวนอนบนตักของเขาและหลับตา เพลิดเพลินไปกับความเงียบสงบที่หาได้ยากด้วยกัน


 


 


บางครั้งคู่สามีภรรยาก็ใช้วิธีนี้เอาใจกันและกัน หากมัวแต่แข็งกระด้างใส่กัน นั่นมันคือคนโง่สองคนที่อยู่กับตัวเองไม่ได้ ด้ายแดงที่รัดคนสองคนเข้าด้วยกัน หากอยากจะมีชีวิตที่สบายใจ พูดง่ายๆ ก็คือต้องรู้จักการประนีประนอมซึ่งกันและกัน ผู้ชายที่มารยาทดีและเป็นสุภาพบุรุษก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานก็มักจะมีนิสัยชอบแทะเท้าตัวเอง ชอบปล่อยตดออกมา เจ้าต้องใจกว้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น บางทีนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสบายที่สุดในชีวิตของเขา และแน่นอนว่าภรรยาที่แต่งหน้าแล้วราวกับนางฟ้า หากล้างเครื่องสำอางออกแล้วกลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อย ผู้ชายก็ต้องชื่นชมจนน้ำลายไหล ถึงแม้ว่าจะต้องฝันร้ายกลางดึกก็ตาม


 


 


โดยปกติแล้วความจริงมักจะไม่ได้สวยงามเสมอไป เสี่ยวอู่มีความฝันที่สวยงามมาโดยตลอด ฝันว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะชายรูปงามขี่รถม้าที่ผูกด้วยผ้าไหมสีแดงมารับตัวเองไป แต่วันนี้คนที่มารับนางที่หน้าประตูบ้านของตระกูลอวิ๋นคือชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วนราวกับหมู ที่ข้างหลังตามมาด้วยพี่ชายอีกห้าคนของนางยืนเรียงเป็นแถว ช่างดูยิ่งใหญ่อลังการ หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งก็ถูกลากมาเป็นพยานด้วย


 


 


บัตรเชิญของจวนกงเจวี๋ยตั้งใจฝังทองคำล้ำค่าเอาไว้ อู่หยวนชิ่งถือบัตรเชิญออกมายื่นให้กับทหารยามหน้าประตูของตระกูลอวิ๋น ใครจะรู้ว่าทหารยามที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อมองไปที่เขาก็เอาไม้กวาดกวาดฝุ่นที่พื้นทันที อู่หยวนชิ่งสำลักฝุ่นจนต้องถอยหลังออกไป


 


 


“เสี่ยวอู่เป็นน้องสาวของข้า นางเป็นคนของกระกูลอู่ ข้าเป็นพี่ชายของนาง จัดหางานแต่งมาให้นาง ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นของเจ้าส่งคนมาให้ข้าได้แล้ว”


 


 


หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งอยากจะจัดการกับบรรพบุรุษรุ่นสิบแปดของอู่หยวนส่วง เดิมทีคิดว่าการเป็นเซี่ยนหลิ่งนั้นจะสบาย ภายใต้ลมพายุฝนที่รุนแรงมีตระกูลอวิ๋นคอยบดบัง ตัวเองสร้างความดีความชอบอยู่ด้านหลังอย่างสบายใจ ตอนนี้บรรพบุรุษได้เป็นถึงขุนนางระดับห้า ตัวเองก็สามารถอยู่อย่างสบายใจไปได้อีกสักสองปี จากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่สิ่งที่หายากที่สุดคือตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรมากนัก วัวของตระกูลตายยังไปรายงานเองและจ่ายค่าปรับอย่างรู้ความ ซ้ำยังไม่เคยมีเรื่องรังแกชายหญิงอะไรเกิดขึ้น ทว่าจู่ๆ ตอนนี้กลับมีคนโง่สองสามคนวิ่งมาที่ฉางอัน บอกว่าตระกูลอวิ๋นซ่อนคนของตัวเองเอาไว้ ต้องให้ตัวเองที่เป็นเซี่ยนหลิ่งเป็นพยาน


 


 


ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางรังแกราษฎร ไม่เคยรังแกขุนนางชั้นผู้น้อย แต่กลับไม่เคยออมมือกับพวกเศรษฐี ยื่นมือมาตัดมือ ยื่นขามาตัดขา ไม่เคยเกรงใจ และก็ไม่รู้ว่าพวกโง่สองสามคนของตระกูลอู่เป็นโรคอะไร จะเอาคนของตระกูลอวิ๋นไปขายให้ได้ ในนามบอกว่าไปแต่งงาน แต่ความจริงแล้วแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าคืออะไร นึกถึงการปกป้องลูกตัวเองของอวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าพวกโง่สองสามคนนั้นกำลังรนหาที่


 


 


เหล่าเฉียนนั่งรถลากกลับมาถึงบ้าน ไม่มองไปที่พวกโง่สองสามคนนั้นแม้แต่น้อย กำมือพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ยากที่จะเจอกับเซี่ยนหลิ่ง น้ำชาที่บ้านก็ถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร เข้าไปดื่มชาสักถ้วยดีหรือเปล่า อากาศร้อนเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องดื่มชาเย็นๆ สักถ้วย”


 


 


เซี่ยนหลิ่งหัวเราะและพูดว่า “รบกวนแล้ว เชิญอาจารย์เฉียน”


 


 


เหล่าเฉียน เซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้ทั้งสามคนพากันหัวเราะพูดคุยเดินเข้าไปในจวน ไม่ได้ไปรบกวนบ้านของเจ้านาย เดินเลี้ยวเข้าไปในสวนของเหล่าเฉียนที่อยู่ข้างหน้าทันที


 


 


“พี่เฉียน พวกคนโง่ของจวนอิ้งกั๋วกง บอกให้พวกข้ามาเป็นพยาน ขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างข้าไม่มาไม่ได้ พี่เฉียนได้โปรดเข้าใจ”


 


 


“ความยากลำบากของเซี่ยนจุน เหล่าเฉียนอย่างข้าจะไม่รู้ได้เช่นไร เราแค่นั่งดื่มชาพูดคุยกันอยู่ที่นี่ก็พอ เรื่องอื่นเดี๋ยวท่านโหวของข้าจัดการเอง พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ ท่านโหวของข้ามีพี่น้องแค่สองคน คุณหนูซือซือกับคุณหนูเสี่ยวอู่ ล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่ชาญฉลาด พวกนางได้รับส่วนแบ่งเทียบเท่ากับท่านหญิงของที่บ้าน หมายความว่า ท่านโหวของข้าเห็นคุณหนูสองคนเป็นเหมือนกับลูกสาว วันนี้เพื่อเงินแค่ไม่กี่เหรียญ ตระกูลอู่อยากจะใช้อำนาจขององค์หญิงหย่งจยา ให้น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองไปแต่งงานเป็นภรรยาใหม่ให้กับลูกพี่ลูกน้องของเฮ่อหลานเซิงจยา คุณหนูเสี่ยวอู่พึ่งจะสิบเอ็ดขวบ ช่างเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้า เมื่อก่อนบอกว่าฮูหยินของข้าเป็นแม่หม้าย ตอนนี้ เหอะๆ ท่านโหวของข้ากลับมาแล้ว เซี่ยนจุน เจ้าคิดว่าท่านโหวของข้าเป็นเจ้านายที่ยอมคนง่ายๆ หรือไม่ล่ะ”


 


 


เซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้พากันพยักหน้า ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของอวิ๋นเยี่ยแพร่กระจายไปทั่วฉางอัน องค์หญิงหย่งจยาก็เท่านั้น คนอย่างตระกูลโต้วยังกลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วข้ามคืน คนเหล่านี้ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ


 


 


วันนี้อวิ๋นเยี่ยวางแผนที่จะไปพูดคุยกับหลี่กังที่สำนักศึกษา คงทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างเหยียนจือทุยขุ่นเคืองอยู่บ้าง จึงต้องลองดูว่ามีวิธีไหนมารับมือกับอาจารย์ผู้ชราภาพได้บ้าง ใครจะรู้ว่าพอมาถึงหน้าประตูจวนก็เห็นคนสองสามคนชี้ด่าตระกูลอวิ๋นไม่จบไม่สิ้น แล้วก็เห็นเสี่ยวอู่เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากร้องไห้ จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


จับมือของเสี่ยวอู่ ให้นางเดินตามตัวเองออกมา จัดการเรื่องนี้ต่อหน้านางดีกว่า พึ่งจะออกมาได้ไม่นาน อู่หยวนชิ่งก็ชี้หน้าด่าเสี่ยวอู่ “เจ้า นางคนชั้นต่ำ ยังรู้จักออกมา ข้าคิดว่าเจ้าจะตายอยู่ในบ้านของตระกูลอวิ๋น ไม่ออกมาตลอดชีวิตเสียอีก”


 


 


เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นกำลังจะพูดต่อจากนั้น แต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้และพูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า สถานะสูงส่ง ถูกหมากัดแล้วต้องกัดตอบหรือ มองดูหมาบ้าถูกตัดขาก็พอแล้ว อย่าไปโกรธ คนอย่างเราต้องไม่ทะเลาะกับหมา”


 


 


หลังจากพูดเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็โบกมือ หลิวจิ้นเป่าที่กำลังแสยะยิ้ม ตงอวี๋และกลุ่มองครักษ์ก็พากันออกมาจากประตูบ้าน ใช้ดาบฟาดฟันองครักษ์ของตระกูลอู่ออกไปและจับอู่หยวนชิ่งไปให้อวิ๋นเยี่ย


 


 


“ดูสิ เสี่ยวอู่ เรื่องมันก็ง่ายแค่นี้เองไม่ใช่เรือ หมาไม่กล้าเห่าอีกแล้ว เพื่อทำให้หมาหลาบจำ ข้าเอามันให้เจ้าจัดการ จะจัดการเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า เกิดเรื่องอะไรขึ้น อาจารย์รับผิดชอบเอง อาจารย์จะดูว่าเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”


 


 


เป็นฮ่องเต้หญิงในอนาคตอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ฆ่าฟันอย่างเด็ดขาด ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “เจ้าตัดขาเขาออกไปข้างหนึ่งได้หรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของข้า ข้าฆ่าเขาไม่ลง”


 


 


คำพูดที่หลิวจิ้นเป่าชอบมากที่สุดก็คือคำว่าตัดขาคน ก้มหน้าลงก็เห็นว่าอู่หยวนชิ่งมีขาอยู่สองข้าง เขาลังเลและถามว่า “เสี่ยวอู่ ขาซ้ายหรือว่าขาขวา”


 


 


“พี่ชายของข้าถนัดซ้าย เขาใช้ขาซ้ายค่อนข้างมาก เจ้าตัดขาขวาของเขาก็ได้ แบบนี้หลังจากตัดขาแล้วจะได้สะดวกหน่อย”


 


 


ฆ่าอู่หยวนชิ่งให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าเสี่ยวอู่จะกล้าตัดขาของเขา เขายังคงตะโกนอยู่:“คนชั้นต่ำ รอองค์หญิงมา ข้าจะขายเจ้าให้กับหอนางโลม เจ้าและแม่ของเจ้าเป็นยัยจิ้งจอกด้วยกันทั้งคู่ ควรจะไปหอนางโลมเป็น…”


 


 


พูดยังไม่ทันจบ หลิวจิ้นเป่ากับตงอวี๋ก็จับขาขวาและขาซ้ายของเขาไว้ ได้ยินเสียงดังที่ข้อต่อหัวเข่า อู่หยวนชิ่งก็กรีดร้องและสลบไปทันที


 


 


นอกจากเสี่ยวอู่จะมีสีหน้าซีดเซียวนิดหน่อย นางก็ยังสามารถพูดกับพี่อีกสี่คนขอนางต่อว่า “ยังมีใครอยากจะเอาข้าไปขายให้กับหอนางโลมหรือไม่” พี่น้องทั้งสี่ของตระกูลอู่หันมามองหน้ากัน ขาขวาของอู่หยวนส่วงสั่นไปหมด ส้นเท้าหมุนออกไปด้านหน้า ชาตินี้อยากจะฟื้นตัวมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หันหน้าไปมองที่เสี่ยวอู่ เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อ่อนแอคนนี้ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ พวกเขาพากันหลบหลีกสายตาอาฆาตแค้นของเสี่ยวอู่ แม้แต่อู่หยวนชิ่งที่นอนเงียบอยู่กับพื้นก็ไม่สนใจแล้ว


 


 


ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนนั้นยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม ยิ้มแล้วมองไปที่ฉากความวุ่นวาย ก้าวออกมาข้างหน้าและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “คำนับอวิ๋นโหว ข้าน้อยคือลูกพี่ลูกน้องของเฮ่อหลานเซิงจยามีนามว่าเฮ่อหลานอู่ตัว ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของข้าน้อยแล้ว อวิ๋นโหวส่งตัวนางมาให้ข้าดีหรือไม่ ต่อไปองค์หญิงหย่งจยาจะต้องมอบรางวัลอย่างงามให้กับท่าน”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหันหน้าไปพูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “ตัดขาของเขาทั้งสองข้าง” พูดเสร็จก็พาเสี่ยวอู่ขึ้นรถม้าของวั่งไฉไปที่สำนักศึกษา เสี่ยวอู่กำหมัดแน่น ยกหูขึ้นฟังเสียงกรีดร้องที่ราวกับเสียงหมูกำลังถูกฆ่าจนตายดังมาจากด้านหลัง จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา กอดที่แขนของอวิ๋นเยี่ย เอาหน้ายัดเข้าไปในแขนของเขา อวิ๋นเยี่ยลูบผมของนางเบาๆ และยิ้ม


 


 


“อาจารย์ ข้าตัดขาพี่ชายข้า คนอื่นจะคิดว่าข้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่” เสี่ยวอู่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างลังเล


 


 


“โดยทั่วไปแล้วบนโลกใบนี้ คนดีล้วนแต่ถูกเอาเปรียบ พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธคือหลักธรรมในหนังสือ แต่ว่า อาจารย์ไม่คิดอย่างนั้น เหตุใด เหตุใดข้าพยายามทำตัวเป็นคนดี แต่ยังถูกรังแกได้? เราเคารพสรวงสวรรค์เพราะตำนานบอกว่าเขาเป็นคนสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา เราเคารพแผ่นดินเพราะว่าบนแผ่นดินมีเมล็ดพืชที่เติบโตมาเลี้ยงดูเรา เราเคารพฮ่องเต้ เพราะในแง่มุมหนึ่งเขาปกป้องเรา เรายอมจำนนต่อพวกเขาล้วนแต่มีเหตุผล ล้วนแต่เริ่มต้นจากความต้องการของเรา ดังนั้นเราจึงบูชาพวกเขา ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อพวกเขา แต่คนเลว คนชั่วพวกนั้น มีค่าอะไรที่เราควรจะต้องตอบแทนกัน ตัดขาของเขา ทำให้พวกเขาทำชั่วไม่ได้อีกต่อไป ก็คือรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับคนดี”


 


 


เสี่ยวอู่ตบก้นวั่งไฉอย่างมีความสุข หวังว่ามันจะวิ่งเร็วขึ้น นางเชื่อว่าพี่ชายของนางจะไม่กล้ารังแกนางอีก สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องอดทนต่อคนชั่ว การตัดขาของพวกเขาก็คือการได้ช่วยคนดี


 


 


ตอนนี้สำนักศึกษากำลังเตรียมอาหารกลางวัน แต่ละคนถือชามข้าวเคาะอย่างเบื่อหน่าย ทั้งโรงอาหารส่งเสียงดังราวกับเป็นร้านขายเหล็ก อู๋เสอเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้า หมาน้อยถือชามข้าวเดินตามอยู่ข้างหลัง หาโต๊ะที่ไม่มีคน หยิบผ้าออกจากแขนเสื้อ เช็ดมันอย่างระมัดระวังรอบหนึ่งแล้วจึงเชิญให้อู๋เสอนั่งลง เตรียมถ้วยช้อนจานชามให้อู๋เสอเสร็จแล้วเขาถึงนั่งลงตรงข้าม เตรียมกินข้าว


 


 


“ไอ้พวกนี้คันไม้คันมือใช่หรือไม่ เคาะชามข้าวแตกแล้ว เจ้าจะใช้มือกินหรือ ถ้าเคาะอีกก็ไปรับโทษเดี๋ยวนี้” เสียงของหงเฉิงดังออกมา โรงอาหารก็เงียบลงทันที แต่ละคนพากันเรียงแถวไปตักอาหารอย่างรู้ความ


 


 


ได้ยินเสียงตะโกนของหงเฉิง อู๋เสอก็ยิ้มอย่างเงียบๆ คีบชิ้นเนื้อเข้าไปในปากแล้วเคี้ยว เนื้อปลาช่างอ้วนท้วน ไม่มีก้างแม้แต่น้อย หมาน้อยเอาก้างที่เล็กที่สุดออกให้อาจารย์หมดแล้ว

 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 23 พวกเราจะไม่เป็นคนโง่

 

นั่งมองลงมาจากบนระเบียงห้องทำงาน มักจะมองเห็นภาพบางภาพที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เสี่ยวอู่ต้มชาให้อวิ๋นเยี่ย ยกมาให้อาจารย์อย่างระมัดระวัง ย้ายเก้าอี้ตัวเล็กๆ มานั่งข้างๆ อาจารย์อย่างรู้ความ เบิกตาโตแล้วมองลงไปข้างล่าง มองอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ามอง หันหน้าไปมองอาจารย์ กลับเห็นว่าอาจารย์ยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับว่าเห็นภาพที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้


 


 


“ท่านอาจารย์ ข้างล่างมีแต่ผู้คนเดินไปเดินมา เหตุใดท่านถึงดูมีความสุขถึงเพียงนี้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบที่เท้าแขนเก้าอี้ไม้ไผ่และพูดกับเสี่ยวอู่ว่า “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าคนเหล่านี้ประกอบกันเป็นภาพที่สวยงามที่สุด เจ้าดูสิ สวี่จิ้งจงกำลังสั่งสอนลูกศิษย์สองคนที่เอาอาหารไปทิ้ง ข้ารู้ว่าที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ชอบกินอาหารของสำนักศึกษามากนัก กลับไปถึงบ้านก็เอาไปเป็นรางวัลให้กับคนรับใช้ตลอด แต่ว่าเขาชอบความรู้สึกที่เอาตัวเองไปอยู่บนความมีศีลธรรมที่สูงส่ง เพราะแบบนี้ ไม่ว่าภูมิหลังของลูกศิษย์จะเป็นเช่นไรก็ต้องก้มหัวยอมรับคำสั่งสอนของเขา ภายใต้แรงกดดันที่แข็งแกร่งของค่านิยมสากล แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังต้องยอมจำนน สวี่จิ้งจงในตอนนี้แข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบได้ เพื่อเรื่องแค่นี้ ถึงแม่ว่าเขาจะต้องขัดแย้งกับฮ่องเต้เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เสี่ยวอู่ เข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่”


 


 


คิ้วที่สวยงามของเสี่ยวอู่ขมวดแน่น นางกำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพูด สวี่จิ้งจงเป็นคนกะล่อน อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าคนแบบนี้ทั้งชีวิตก็มัวแต่คิดที่จะหลบหลีกและใช้อำนาจยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ตอนนี้อาจารย์กลับบอกว่าเรื่องการกินทิ้งกินขว้าง สวี่จิ้งจงที่ขี้ขลาดตาขาวราวกับหนูกลับมีความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่เท่าท้องฟ้า ทำไมกัน?


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับเสี่ยวอู่อีก ตัวเองเข้าใจเองถึงจะเป็นหลักการของตัวเอง หากเป็นเขาที่พยายามยัดเยียดเข้าไปให้ หลักการก็จะไม่ใช่หลักการอีกต่อไป


 


 


ยืนอยู่บนหอเล็กๆ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้มากมาย เช่นอวิ๋นชี แม่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งจากน่ารื่อมู่ หลังจากเดินทางไปที่ฉ่าวหยวนแค่ครั้งเดียวก็กระโดดเข้าไปในห้องสมุดทันที ศึกษาประเพณีท้องถิ่นของคนที่นั่น ตอนว่างก็มาอยู่กับคนรับใช้ที่น่ารื่อมู่พามาด้วย ตอนนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนพวกนั้นอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว บางครั้งฮ่วนเหนียงก็เป็นคนพาเขาไป สองคนขังตัวเองอยู่ในห้องคุยกันได้ทั้งวัน ฮ่วนเหนียงก็ชอบอวิ๋นชี ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้เช่นกัน


 


 


หลิวเหรินย่วนพึ่งจะมาถึงฉางอันก็ถูกลากไปที่สำนักศึกษาทันที เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินทั้งตัวแล้วหอบหนังสือกองโตไว้ในอ้อมแขน กระดานไม้ไผ่ของอาจารย์จินจู๋ตีลงไปบนหลังเขาอยู่บ่อยๆ ในปากกัดหมั่นโถวอยู่ลูกหนึ่ง ถูกขับไล่กลับไปที่ห้องเรียนราวกับลา การปฏิบัติต่อศิษย์ซ้ำชั้นแน่นอนว่ามันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่


 


 


อู๋เสอราวกับคนบ้าคลั่ง พึ่งจะกินข้าวเสร็จ เขาก็ยืนถือกระดานไม้อยู่ที่ต้นไม้ ก่อนจะทุบมันแตกออกเป็นชิ้นๆ แสดงทักษะกรงเล็บพญาอินทรีอันทรงพลังของตัวเอง ดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ ได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็คลุกคลี พวกเด็กๆ ที่อายุน้อยพวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง ไม่เจออะไร เขาก็ตบหัวพวกเด็กๆ แล้วบอกว่าพวกเขาเกิดมาก็เป็นต้นกล้าแห่งการเรียนรู้ ไม่กล้าไปเสียเวลาให้กับการต่อสู้ เจอคนที่มีพื้นฐานดี เขาก็จะแจกนามบัตรให้กับพวกเขา ตามที่เขาพูดก็คือถ้ารับสมัครได้ไม่ถึงจำนวนสิบคนเขาก็จะไม่ทีทางยอมแพ้ ข้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็พึ่งจะได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง


 


 


ท่าทางของอาจารย์หลี่กังก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายก็แข็งแรง วันหนึ่งเดินสิบกว่าลี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ยังให้กงซูไปสร้างรถเข็นสี่ล้อมาให้ตัวเอง มักจะมีลูกศิษย์เข็นรถให้เขาอยู่ข้างหลังตลอด ชายแก่นั่งอยู่ในรถเข็น มือหนึ่งถือกาน้ำชา อีกมือหนึ่งชี้นกชี้ไม้ วิจารณ์ไปทั่ว ทำเอาลูกศิษย์ที่ได้ยินพากันฟังอย่างตื่นเต้น นี่คือหนึ่งในงานอดิเรกไม่กี่อย่างของชายชราคนนี้


 


 


คนรับใช้หลายสิบคนกำลังตะโกนขณะดึงก้างปลาตัวใหญ่ออกมา วางไว้บนฐานก้อนหิน ก้างปลาถูกทาด้วยน้ำมันชั้นหนาๆ ส่องแสงแวววาวท่ามกลางแสงอาทิตย์ พวกลูกศิษย์สูญเสียความอยากรู้อยากเห็นไปตั้งนานแล้ว ตอนที่หลิวเหรินย่วนกลับมาเขาก็เอาก้างปลาวาฬกลับมาด้วย แล้วยังเชิญลูกศิษย์ของสำนักศึกษามากินเนื้อปลาวาฬสักมื้อ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลให้พวกเขาฟังอย่างสนุกสนาน เพียงแค่หลังจากที่เล่าเรื่องราวเสร็จเขาก็ถูกอาจารย์จินจู๋เรียกเข้าไปที่ห้องทำงาน ไม่รู้ว่าถูกตีไปกี่ที ออกมามือก็บวมราวกับตีนหมู แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างมีความสุข


 


 


ไม่มีลูกศิษย์คนไหนเต็มใจไปอยู่ในที่ที่มีร่มเงาหนาแน่น ต้นอวี๋เล็กๆ ที่ปลูกไว้เมื่อนานมแล้ว ตอนนี้เติบโตสูงเกินหนึ่งฟุตแล้ว ลำต้นที่หนาเท่าแขนก่อตัวกันเป็นกำแพงทึบ ต่อให้ใช้มีดตัดก็ตัดไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในผนังต้นไม้นั้นยังมีต้นไม้ที่แปลกๆ อยู่ข้างใน หากไม่ระวังไปโดนน้ำของมันเข้า จะทำให้เกิดตุ่มขึ้นเต็มตัว คันจนทำให้คนเป็นบ้า พูดได้ว่าทั้งสำนักศึกษา นอกจากหลี่ไท่ที่ชอบในสิ่งพวกนี้เป็นพิเศษ คนอื่นๆ ล้วนแต่วิ่งหนีออกไปไกลเท่าที่จะวิ่งได้ หั่วจู้ไม่ชอบต้นไม้นักแต่สนใจสัตว์ที่อยู่ในกำแพงต้นไม้เป็นอย่างมาก เพียงแค่ไม่กล้าเข้าไปคนเดียว มักจะต้องให้คนรับใช้ของที่นี่เข้าไปด้วยตลอด


 


 


ส่วนหลีสือกลับเห็นว่าที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองไปแล้ว ย้ายห้องทำงานของตัวเองเข้ามา ภาพวาดที่วาดออกมาในช่วงนี้ช่างดูน่าขนลุกและแปลกประหลาด พระพุทธเจ้าที่มีตาใหญ่กว่าจมูก พระสงฆ์ที่มีหน้าตาน่าเกลียด มังกรที่น่าสยอง ภาพวาดของแม่ทัพที่เหมือนภาพวาดปีศาจมากกว่าภาพวาดคน หากในอนาคตหลี่ซื่อหมินเชิญเขาไปวาดภาพเหมือนของแม่ทัพหลิงเยียนเก๋อก็คงจะไม่มีใครกล้าเข้าไปในพระราชวังอีก เพราะหลีสือบอกว่าตอนนี้เขาไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกอีกต่อไป ตอนนี้เขาวาดแก่นแท้ข้างในเท่านั้น รูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาเดี๋ยวก็หายไปในไม่ช้า ไม่ใช่ของหายากอะไร


 


 


เขาสนใจแค่นามธรรมจริงๆ สองเดือนก่อนยังเพิ่มลูกพี่ลูกน้องให้กับอวิ๋นเยี่ยอย่างนามธรรม ตอนนี้ไม่เห็นเจ้านั่นอยู่ที่สำนักศึกษา ลาหยุดทีหนึ่งก็หยุดไปสามเดือน และดูเหมือนว่ายังจะหยุดเพิ่มอีกสามเดือนด้วย


 


 


อาจารย์หลี่กังมักจะงีบหลับภายใต้แสงอาทิตย์ทุกวัน ไม่ว่าแดดจะแรงแค่ไหน เขาก็จะนอนในซุ้มเล็กๆ สักหนึ่งชั่วโมง ตอนที่อวิ๋นเยี่ยพาเสี่ยวอู่ลงมาจากห้องทำงาน ชายชรากำลังนอนหลับอยู่บนรถเข็นสี่ล้อ แสงแดดส่องลอดลงมากระทบตัวเขาที่อยู่ใต้ซุ้มไม้ไผ่ เหงื่อไหลเต็มหน้า ทว่าเขายังกรนเสียงดังราวกับฟ้าร้อง


 


 


พอเห็นอวิ๋นเยี่ย โหวเจี๋ยก็อยากจะวิ่งหนี แต่วิ่งไปได้สองก้าวก็หยุดวิ่ง เดินเข้าไปข้างๆ อวิ๋นเยี่ย เกาท้ายทอยของตัวเองและพูดเบาๆ ว่า “พี่เยี่ยจึ ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาสำนักศึกษา”


 


 


“แปลกมากเลยหรือ สำนักศึกษาก็เปรียบเสมือนบ้านของข้า ทำไมข้าจะมาไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยกลอกตาถาม


 


 


โหวเจี๋ยถูมือเบาๆ และลูบที่หน้าอีกครั้ง ราวกับว่าลูบหนังหน้าออกมาทั้งหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบกร้านว่า “ท่านดูสิ ข้าก็แค่สำรวจข้อสอบของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ แต่กลับถูกอาจารย์อวี้ซันลงโทษให้มาแบกก้อนหินที่เขาจย่าซาน แล้วยังไม่อนุญาตให้คนอื่นช่วยข้า ข้าก็ยอมทำ ตอนนี้แบกก้อนหินใกล้จะเสร็จแล้ว ทำอีกวันก็คงจะเสร็จ พี่อวิ๋น ท่านอย่าบอกแม่และพี่สาวของข้านะ”


 


 


อยู่ในสำนักศึกษาไม่รู้จักเรียนรู้อะไรที่ดีๆ แต่ความหน้าด้านของสำนักศึกษากลับเรียนรู้ได้อย่างชำนาญ ถูกลงโทษแล้วยังไม่ให้เอาไปพูดที่อื่น อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างดูถูก “สายเกินไปแล้ว พี่สาวของเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว บอกคนทั้งโลกว่าจะถลกหนังเจ้าออกให้หมด คาดว่าสองวันนี้นางก็คงจะมาหาเจ้าที่สำนักศึกษา ระวังตัวด้วย”


 


 


โหวเจี๋ยเงยหน้าขึ้นบนฟ้าและร้องเสียงดัง “เจ้าฆ่าข้าเสียเถิด ฆ่าข้าเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าปากของพี่สาวข้าร้ายแรงแค่ไหน ข้ายอมแบกหินทั้งเขา แต่ไม่อยากให้นางมาหาข้า พระเจ้า ฟ้าผ่าข้าให้ตายไปเถอะ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งลงมองโหวเจี๋ยที่กำลังสิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่และถามว่า “คำขวัญของสำนักศึกษาคืออะไร”


 


 


“พวกเราจะไม่เป็นคนโง่” โหวเจี๋ยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนแล้ว ดีมาก


 


 


“แล้วเจ้าคิดว่าทำไมคำขวัญของเราถึงไม่ใช่ตั้งใจเรียนหนังสือ ก้าวหน้าขึ้นทุกวันล่ะ เมื่อก่อนประโยคเหล่านี้ก็ไม่เลว แต่ทำไมทั้งสำนักศึกษาถึงโหวตให้ใช้ประโยคนี้เป็นคำขวัญ”


 


 


“เพราะว่าไม่มีใครชอบเป็นคนโง่” โหวเจี๋ยไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยถึงได้ถามเขาเรื่องนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดคืออย่าให้พี่สาวตามหาตัวเขาเจอ


 


 


“การลอกข้อสอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องผิด แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่ เจ้าคิดไม่ออกหรือว่าเจ้าผิดพลาดตรงไหน”


 


 


“ข้าจะรู้ได้เช่นไร อาจารย์อวี้ซันโมโหมาก เฆี่ยนข้าตั้งสิบกว่าที แล้วยังลงโทษให้ข้ามาแบกหิน เจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็คิดว่ามันแปลกๆ เมื่อก่อนหลิงกั๋วเป่าลอกข้อสอบก็ยังไม่น่าสงสารเท่าข้า”


 


 


ได้ยินโหวเจี๋ยพูดแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็โมโหขึ้นมาทันที พัดที่อยู่ในมือของเขาตีลงไปบนหัวของชายผู้นี้อย่างแรง น่าเสียดายเสียจริง คนอย่างโหวจวินจี๋ ทำไมถึงได้มีลูกชายแบบนี้


 


 


“หยุด อธิบายให้ชัดเจนแล้วค่อยตี ตีให้ตาย เจ้าก็ต้องให้ข้าตายไปอย่างเข้าใจ” โหวเจี๋ยโมโห ขยับก้นไปข้างหลัง โบกมือสองข้างขึ้น นี่คือท่าทางโมโหของเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยุดตี ปล่อยให้ตัวเองได้หยุดหายใจ เสี่ยวอู่นั่งยองๆ ทุบหลังให้อาจารย์อยู่ข้างหลัง หวังว่าเขาจะไม่โมโหจนเป็นอะไรไป


 


 


“การลอกข้อสอบในสำนักศึกษาไม่ใช่ความผิดใหญ่อะไร ถูกเฆี่ยนสิบกว่าทีก็พอแล้ว แต่คำขวัญของสำนักศึกษาเจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ เราจะไม่เป็นคนโง่ แต่เจ้ากลับทำตัวเป็นคนโง่ ไม่ลงโทษเจ้าจะให้ลงโทษใคร”


 


 


“ข้าเป็นคนโง่ได้เช่นไร แม่ของข้าบอกว่าข้าฉลาดกว่าลิงเสียอีก บอกว่าข้าเป็นอย่างอื่นข้ายอมรับ แต่บอกว่าข้าเป็นคนโง่เจ้ากำลังดูถูกข้า ข้าจะตัวต่อตัวกับเจ้า หลังเขาจย่าซาน ตอนนี้!” ความโมโหของโหวเจี๋ยพลันเดือดพล่านออกมา


 


 


“คนที่ให้เจ้าลอกคือหลิงกั๋วเป่าใช่หรือไม่ ยังบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่อีก หลิงกั๋วเป่าสอบผ่านแล้วหรือ ลูกศิษย์ที่มีผลการเรียนดีนั่งข้างเจ้าตั้งหลายคน ทำไมเจ้าถึงต้องไปลอกของหลิงกั๋วเป่า ลอกของเขาแล้วจะสอบผ่านหรือ ในเมื่อสอบไม่ผ่าน แล้วทำไมต้องเสี่ยงไปลอกเขา”


 


 


คำพูดของอวิ๋นเยี่ยทำให้ความโมโหของโหวเจี๋ยสงบลงทันที จับหัวและพูดว่า “ไม่ควรทำแบบนั้นจริงๆ จะลอกก็ควรลอกของเหลิ่งเย่ว เจ้าตีเบาๆ หน่อย มีแผลอยู่ที่หลังจากตอนแบกก้อนหิน”


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งข้างๆ เขาอย่างช่วยไม่ได้และพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ลอกของหลิงกั๋วเป่าก็ช่างเถอะ แต่เจ้าจะลอกชื่อของเขาไปด้วยทำไม ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เจ้าที่เป็นคนโง่ แม่แต้อาจารย์ของเจ้าก็กลายเป็นคนโง่ไปด้วย เจ้ายังบอกว่าเจ้าฉลาดกว่าลิงอีกหรือ”


 


 


ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูด เสี่ยวอู่ก็หัวเราะออกมาอย่างแรงทันที เอนตัวพิงลงบนหลังของอวิ๋นเยี่ย ตัวสั่นไปทั้งตัวราวกับใบไม้ที่กำลังปลิวไสวตามสายลม


 


 


โหวเจี๋ยใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา ส่งเสียงร้องคำราม จับคอเสื้อของอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ข้าเป็นคนโง่ สมควรแล้วที่ต้องมาแบกก้อนหิน แต่หากเจ้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับเจ้า ไม่ไปมาหาสู่กับเจ้าจนแก่ตาย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)