เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 19-21

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 19 หลี่ไท่กับสุยหยางตี้

 

ข้าวโพดที่พึ่งจะต้มสุกใหม่ช่างมีกลิ่นหอม น่ารื่อมู่เอาไปให้ท่านย่าอย่างมีความสุข เหล่าป้าๆ น้าๆ ก็ยกกันไปเองถาดหนึ่ง แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ให้แตะต้อง


 


 


จวนโหวเจวี๋ยที่สูงส่งกินแค่ข้าวโพดก็ยังทำให้รู้สึกราวกับว่าเป็นช่วงเทศกาล สินค้าชั้นดี ท่าทางที่ซินเย่วแทะข้าวโพดมองดูแล้วช่างน่าสงสาร แทะกินจนไม่เหลือกากแม้แต่น้อย น่ารื่อมู่แทะกินของตัวเองจนหมดในคราวเดียว แล้วยังจ้องมองมาที่ของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยจึงหักครึ่งแบ่งให้นาง เสี่ยวยานับเมล็ดข้าวโพดบนข้าวโพด กำลังจะใช้มีดตัดมันออก จำนวนไม่เพียงพอ พวกเด็กๆ จึงต้องแบ่งกันคนละครึ่ง


 


 


นี่เขากำลังทำอะไรอยู่กันเนี่ย? ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ผู้คนบนโลกจะกินหรือไม่กินข้าวมันเกี่ยวอะไรกับตัวเอง ก็แค่ข้าวโพดเองไม่ใช่เหรอ ทำเอาคนในตระกูลของตัวเองตะกละตะกลามถึงเพียงนี้ ในไร่ยังมีข้าวโพดตั้งสิบกว่าไร่ไม่ใช่เหรอ ตระกูลของตัวเองกินหมดไปไร่หนึ่งจะเป็นอะไรไป เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีข้าวโพดก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนอดตายไม่ใช่เหรอ?


 


 


ในเมื่อชอบกินนัก วันนี้ก็กินกันให้เต็มที่ ส่งไปให้ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ และผู้อาวุโสบ้างเล็กน้อย คนของตัวเองยังไม่ได้กินแล้วยังจะไปหวังให้ทุกคนบนโลกกินน่ะหรือ ทุกวันนี้หลี่ซื่อหมินกระจายมันฝรั่งแค่ในพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น เขากำลังทำอะไรอยู่ พวกชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่ได้ต้องการมันฝรั่งตั้งนานแล้ว คนภายนอกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันฝรั่งคืออะไร


 


 


หรือว่าแม้แต่พืชผลก็ยังต้องแบ่งแยกยศถาบรรดาศักดิ์? อนุญาติให้ปลูกมันฝรั่งในบ้านของคนร่ำรวย แต่ไม่อนุญาติให้ปลูกในบ้านของคนที่ต้องการของสิ่งนี้มาบรรเทาความหิวโหยเช่นนั้นหรือ


 


 


ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นความระมัดระวังของหลี่ซื่อหมิน ตั้งแต่สมัยโบราณเกษตรกรรมเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบศักดินามาโดยตลอด จะระมัดระวังมากแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย ตระกูลของคนร่ำรวยสามารถทนต่อการสูญเสียได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลกำไรจากมันฝรั่งก็ไม่มีทางอดตาย แต่คนยากจนไม่เหมือนกัน ปลูกมาตั้งหนึ่งปี หากจู่ๆ ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว นั่นคือเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่สำคัญ ข้าวเปลือก ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ลูกเดือยและข้าวหมักที่ปลูกมานานหลายหมื่นปี พึ่งจะกลายมาเป็นอาหารหลักของผู้คน มันฝรั่งที่พึ่งจะปรากฏตัวออกมาได้ไม่นาน จำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจสอบ


 


 


ก็เพราะเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยังคงรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย เขารู้ดีว่ามันฝรั่งคืออะไร ข้าวโพดยิ่งไม่ต้องพูดถึง บีบโจ๊กชามเล็กที่อยู่ในมือจนเกิดเสียง เห็นซือซือแกะข้าวโพดเข้าปากอย่างน่าสงสาร เขาก็โมโหขึ้นมาทันที โยนชามใบเล็กในมือลงบนโต๊ะ หันหน้าและเดินออกไปทันที ทำเอาคนในครอบครัวที่อยู่บนโต๊ะอาหารหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยบ้าคลั่งอะไรขึ้นมาอีก


 


 


เมื่อพาคนรับใช้และองครักษ์ของตระกูลมาที่ไร่ข้าวโพดแล้วเลือกฝักที่ดีที่สุด เมื่อออกคำสั่ง คนรับใช้ก็พากันเข้าไปเก็บข้าวโพดในไร่ข้าวโพด อวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะเหลือข้าวโพดไว้แม้แต่ฝักเดียว จะสร้างความสุขให้โลกมนุษย์ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างความสุขให้กับคนในครอบครัวของตัวเอง เขาไม่เคยเชื่อในคนที่ไม่ห่วงใยดูแลภรรยาและลูกๆ ของตัวเอง คนเช่นนี้ไม่รู้ว่ายังจะนับว่าเป็นคนอยู่หรือไม่ ไม่สนใจภรรยาและลูกของตัวเองแต่กลับไปเห็นอกเห็นใจผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากทั่วโลก เบื้องหลังความยิ่งใหญ่มักจะมีจุดประสงค์อันน่ารังเกียจที่ไม่มีคนรู้ซ่อนอยู่เสมอ


 


 


ในต้าถังมีคนเช่นนี้อยู่มากมาย ล้วนแต่เป็นพวกขุนนางท้องถิ่น แต่ในเมืองหลวงไม่มีสักคนเดียว แม้แต่คนอย่างเว่ยเจิงก็ยังรู้จักที่จะซื้อบ้านให้กับลูกชายซื่อบื้อของตัวเอง กลัวว่าในอนาตคเขาจะไม่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ความรักที่มีต่อลูกมองดูแล้วช่างสบายใจ


 


 


ไร่หนึ่งมีไม่เท่าไหร่ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถูกคนรับใช้เก็บไปจนหมดเกลี้ยง มองไปที่ตะกร้าข้าวโพดหลายสิบตะกร้า อวิ๋นเยี่ยถึงได้ปัดเป่าความเกลียดชังในใจของตัวเองออกไปได้


 


 


ท่านย่าตบที่มือของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร เดินไปที่ห้องพระด้วยรอยยิ้ม เตรียมที่จะทำกิจวัตรของวันนี้ให้เสร็จ ซินเย่วกำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเบิกตาใส่ น่ารื่อมู่ชอบอกชอบใจราวกับเด็กน้อย อยากให้อวิ๋นเยี่ยต้มให้นางเยอะๆ นางวางแผนที่จะกินแต่ข้าวโพดต้มอีกครึ่งเดือนต่อไป


 


 


ต้มหม้อใหญ่เสร็จไปแล้ว แบ่งให้กับพ่อบ้านเฉียน เขายิ้มดีใจจนเห็นแค่ฟัน เสี่ยวยารีบกินข้าวโพดที่ตัวเองเก็บเอาไว้จนหมดอย่างรวดเร็ว


 


 


นี่สิถึงจะถูกต้อง น่ารื่อมู่ยกข้าวโพดเข้าไปในห้องของตัวเองถาดหนึ่ง รู้อยู่แล้วว่านางจะเอาไปให้ฮ่วนเหนียงกิน เสี่ยวยา เสี่ยวอู่และพวกเด็กๆ อีกสองสามคนแบ่งกันคนละสองฝัก กินไม่หมดก็เหลือไว้ แจกจ่ายให้ทุกคนในตระกูล


 


 


“วันนี้ท่านเป็นอะไร ปกติหวงข้าวโพดราวกับชีวิต เหตุใดตอนนี้ถึงได้ตัดออกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ ท่านไม่ได้บอกว่ามันเป็นเมล็ดธัญพืชหรือ แล้วท่านยังบอกอีกว่า ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่หิวจนจะตายก็ไม่มีทางกินเมล็ดธัญพืช วันนี้เปลี่ยนใจแล้วหรือ”


 


 


“หากข้าทนดูพ่อกับแม่ไม่กินเมล็ดธัญพืชจนหิวตายจริงๆ หากข้าเป็นคนเช่นนั้น เจ้ายังจะชอบข้าอยู่หรือไม่ หากไม่เห็นแก่ตัวก็คงไม่ใช่อวิ๋นเยี่ยแล้ว ทั่วล้าหรือราษฎร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรจะเป็นห่วง ข้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของราษฎรเช่นกัน ข้าก็ต้องการได้รับการดูแลเช่นกัน ข้าดูแลโลกทั้งใบไม่ได้ ครอบครัวของตัวเองต้องอดอยากปากแห้งถึงเพียงนี้ จิตใจที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกินข้าวอิ่มแล้วเท่านั้น”


 


 


ซินเย่วจูบที่ปากของอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่งแล้วพูดว่า “สามีอย่างท่านคือสามีที่ดี ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วข้าทำบุญอะไรไว้ถึงได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ อย่างท่าน มีลูกให้ท่านคือบุญบารมีของข้า ใช้ชีวิตที่อบอุ่นภายใต้ปีกของท่านไปตลอดชีวิต กวนจ้งเคยบอกว่า มีเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอถึงจะรู้จักมารยาทและคุณธรรม คำพูดของเขาเหมือนกับคำพูดของท่าน”


 


 


ซินเย่วชอบเห็นอวิ๋นเยี่ยห่วงใยดูแลครอบครัวมากที่สุด เห็นเขามีแนวโน้มที่จะพัฒนามาในทิศทางนี้ นางก็รีบให้กำลังใจ รีบหาหัวข้อพูดคุย เพื่อจะทำให้จิตใจของท่านพี่เข้มแข็ง


 


 


ฟ้ามืดแล้ว แต่ยังไม่เห็นว่าหลี่ไท่จะมีการเคลื่อนไหวอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาข้าวโพดสองฝักใส่ลงไปในตะกร้า กำลังจะลงไปเยี่ยมเขา ผู้บัญชาการเห็นอวิ๋นเยี่ยมาส่งข้าวให้หลี่ไท่ก็เดินออกจากประตูห้องใต้ดินด้วยความซาบซึ้ง และปล่อยให้เขาเดินลงไป


 


 


ประทัดของหลี่ไท่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้ขยันขันแข็งคนนี้ยังคงยุ่งอยู่ ถือแว่นขยายวิจัยดินประสิวและกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์แตกต่างกันพวกนั้นอย่างละเอียด เขาอยากจะทำบันทึกเอาไว้


 


 


บนสมุดเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ นี่คือตัวอักษรภาษาอังกฤษที่อวิ๋นเยี่ยตั้งใจสอนให้เขาเป็นพิเศษ มีไว้เพื่อรักษาความลับเท่านั้น หลี่ไท่ตั้งความหมายใหม่ให้กับตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัว หมายความว่าหากอวิ๋นเยี่ยหยิบสมุดของเขาขึ้นมาอ่านตอนนี้ก็อ่านไม่เข้าใจว่าเขาบันทึกอะไร


 


 


ผู้ชายที่กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการทำงานคือผู้ชายที่มีเสน่ห์ เพียรพยายาม ไม่กลัวความยากลำบาก และไม่ย่อท้อ สรุปก็คือเจ้าจะค้นพบข้อดีที่เจ้าไม่เคยเห็นในตัวเขามาก่อน


 


 


จับที่กาน้ำชาทีหนึ่ง เห็นว่าน้ำชาข้างในเย็นหมดแล้ว ถือโอกาสหาเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดให้หลี่ไท่ อวิ๋นเยี่ยก็พูดว่า “ชิงเชวี่ย พักผ่อนให้มากๆ หน่อย ข้าได้ทำการยกระดับดินปืนขึ้นใหม่ หากเจ้าอยากจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ บนพื้นฐานทางด้านนี้ต่อ มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ามีของอร่อยมาให้เจ้า”


 


 


หลี่ไท่ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย ถอนหายใจแล้วก็บิดขี้เกียจ เปิดฝาตะกร้าขึ้น แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “ข้าวโพด วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเจ้าถึงยอมให้ข้ากินของดีเช่นนี้ ปีที่แล้วข้าขอเจ้าชิมนิดหน่อย เจ้าด่าข้าอย่างกับอะไรดี หรือเห็นว่าข้าลำบากเกินไป เลยตั้งใจเอามาให้ข้า?”


 


 


“ล้างมือก่อน มือมีแต่ผงยา ไม่รู้จักสร้างนิสัยรักษาความสะอาด ล้างมือให้สะอาดหลังทำงานเสร็จซะ ข้าไม่รู้ว่าต่อไปเจ้าจะทำการวิจัยอะไร แต่หากมันเกี่ยวกับเรื่องของชีวเคมี แค่การที่เจ้าไม่ล้างมือมันอาจจะเอาชีวิตเจ้าไปได้”


 


 


หลี่ไท่มักจะถ่อมตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าหลักการที่ถูกต้องเสมอ เขาปิดฝาและเดินไปล้างมือ ล้างอย่างละเอียดสองรอบแล้วเช็ดคราบน้ำให้สะอาด หยิบข้าวโพดออกมาจากตะกร้า แกะเปลือกข้าวโพดออกทิ้งแล้วก็อ้าปากแทะทันที


 


 


เห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่า ไอ้พวกนั้นในสำนักศึกษาคงจะแอบไปขโมยกินข้าวโพดมาแล้วบ่อยครั้ง สงสารตัวเองที่ต้องกัดฟันรอจนถึงวันนี้


 


 


เดินมาข้างๆ โต๊ะของหลี่ไท่ เห็นประทัดที่เขาทำเสร็จแล้ว รอบคอบเป็นอย่างมาก มีตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก ส่วนผสมในลิ้นชักก็ใกล้จะหมดแล้ว หยิบประทัดขึ้นมาเขย่า มันถูกบรรจุอย่างแน่นหนา รูเล็กๆ ตรงข้อไม้ไผ่ก็เล็กมาก ยากที่จะจินตนาการได้ว่าสิ่งของเหล่านี้ทำมาจากมือขององค์ชาย


 


 


“ชิงเชวี่ย ความยืนหยัดของเจ้าแม้แต่ข้ายังนับถือ เจ้าเกิดมาก็ควรทำงานในด้านนี้ ความขยันหมั่นเพียรบวกกับพรสวรรค์ เจ้าไม่อยากประสบความสำเร็จก็คงยาก ข้าไม่กล้าจินตนาการถึงความสำเร็จในอนาคตของเจ้า พี่ชายของเจ้าเทียบกับเจ้าไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความขยันหมั่นเพียร ล้วนแต่สู้เจ้าไม่ได้”


 


 


หลี่ไท่คายเศษข้าวโพดออกมา มองบนแล้วพูดว่า “แต่เจ้าก็เลือกที่จะช่วยพี่ชายของข้า และเจ้าก็ยังทำเป็นมองไม่เห็นคนที่มีความสามารถอย่างข้าด้วย ตอนนี้มาพูดอะไรแบบนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันสายเกินไปหรอกหรือ”


 


 


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากเป็นแค่ฮ่องเต้ ข้าก็ยังคงสนับสนุนพี่ชายของเจ้า เจ้าบริหารจัดการประเทศชาติได้ไม่ดีนัก หากนักวิทยาศาสตร์ไปเป็นหัวหน้าประเทศ มันคือหายนะของประเทศนั้น พวกเขามีความบ้าคลั่งอยู่ในนิสัยตั้งแต่เกิด เจ้าไม่มีทางรู้ว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นกดดันแค่ไหน นิสัยของเจ้า ผ่านไปไม่นานก็คงจะปลดปล่อยความบ้าคลั่งนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์ แล้วเจ้ายังมีนิสัยชอบเอาชนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากับหยางก่วงเหมือนกันมาก”


 


 


หลี่ไท่ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าลงแทะข้าวโพดต่อไป ผ่านไปไม่นานถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าอยากจะคัดค้านเจ้า แต่กลับเห็นว่ามันเป็นเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ เราเหมือนกันมาก มีความสามารถและพรสวรรค์ที่เหมือนกัน แม้แต่ความคิดก็ยังเหมือนกัน หากไม่ใจร้อน หยางก่วงคงจะได้เป็นฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียง หากการโจมตีดินเเดนเกาลี่ไม่เร่งด่วนเช่นนี้ก็จะไม่มีทางทำให้ราชวงศ์สุยล่มสลาย นิสัยของเราเป็นคนใจร้อน ล้วนแต่อยากจะทำเรื่องต่างๆ ที่ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีให้เสร็จภายในไม่กี่ปี ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยมั่นคง”


 


 


“เสี่ยวไท่ นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ สองข้อนั้นถึงแม้ว่าจะสำคัญ แต่ข้อที่สำคัญที่สุดเจ้ายังไม่เข้าใจ เจ้าดูสิว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านพ่อของเจ้ากำลังทำอะไร แล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง หยางก่วงไม่เพียงแต่เป็นคนใจร้อน แต่เขารีบที่จะขยายอาณาเขตเกินไป ในช่วงสิ้นสุดราชวงศ์สุย พวกตระกูลขุนนางพากันใช้อำนาจข่มเหง และแน่นอนว่ารวมถึงตระกูลหลี่ของเจ้าด้วย หยางก่วงได้รับแรงกดดันมากเกินไป เขาต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่งได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโจมตีดินแดนเกาลี่ รวบรวมพลังทั้งหมดของประเทศชาติไว้ที่นั่น ใช้พลังของตระกูลเหล่าขุนนางจำนวนมาก หากการโจมตีฝั่งตะวันออกสำเร็จ เขาจะต้องมีชัยชนะและอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาจัดการกับตระกูลขุนนางในประเทศอย่างแน่นอน นี่ก็คือเหตุผลที่ท่านปู่ของเจ้านอนไม่หลับ


 


 


เขาอยากจะขุดคลองในประเทศ เพื่อวางรากฐานความดีความชอบระยะยาวให้กับตัวเอง แต่น่าเสียดายที่การโจมตีฝั่งตะวันออกของเขาล้มเหลว น่าสังเวชเสียจริง การขุดคลองก็ไม่มีใครเหลียวมอง หมาซูโหม่วกินคนราวกับสัตว์ร้าย ราษฎรในประเทศพากันเดือดร้อน เขาสูญเสียความไว้วางใจในฐานะขุนนางไปแล้วยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากราษฎร ดังนั้นราษฎรจึงพากันก่อกบฏ การเกิดสงครามขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร



 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 20 ค่านิยมของซุนซือเหมี่ยว

 

การสนทนากับหลี่ไท่ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน คนที่ไม่มีความคาดหวังอะไรกับราชบัลลังก์คือคนที่มีจิตใจสงบสุข คุณสามารถเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับราชบัลลังก์ให้เขาฟังได้ หัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ความรู้สึกที่เปรี้ยวฝาดในใจกลับไม่จางหายไปแม้แต่น้อย 


 


 


หลี่ไท่ถือประทัดที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้องใต้ดิน ทหารยามเดินลงมาหยิบของทั้งหมดในห้องใต้ดินออกมา รวมถึงฝุ่นที่เพิ่งกวาดออกมาเมื่อกี้ เหลือไว้เพียงแค่ห้องใต้ดินที่ว่างเปล่าให้กับตระกูลอวิ๋น 


 


 


การสร้างดินปืนในห้องใต้ดินคือคำสั่งของหลี่ซื่อหมิน เขาคิดว่านี่คือการขโมยพลังแห่งสรวงสวรรค์ จะให้สรวงสวรรค์เห็นไม่ได้ จะต้องดำเนินการในห้องใต้ดินชั้นที่เก้า โชคดีที่ห้องใต้ดินของตระกูลอวิ๋นมีขนาดใหญ่และลึกพอ นอกจากขุดไม่เจอน้ำพุใต้ดิน อย่างอื่นก็มีหมดทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลอกลวงตัวเอง แต่หลี่ซื่อหมินออกคำสั่งเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด อวิ๋นเยี่ยจะต้องทำให้สำเร็จ อำนาจของฮ่องเต้นั้นน่ากลัวกว่าน้ำพุใต้ดินเสียอีก 


 


 


หลี่ไท่เอาตะกร้าข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นไปอย่างดื้อรั้น ไม่เอาฝักสุก เอาแต่ฝักดิบ เขาจะกลับไปต้มเองที่พระราชวัง สับฟืนเอง เผาไฟเอง ปอกเปลือกข้าวโพดเอง เอาข้าวโพดไปให้ท่านพ่อท่านแม่ด้วยตัวเอง เขาทำอาหารไม่เป็น แต่ต้มข้าวโพดเป็นนิดหน่อย เขาอยากจะใช้วิธีนี้บอกกับหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนว่า เขาเองได้ถอนตัวออกจากการแย่งชิงบัลลังก์แล้ว และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาก็เป็นแค่องค์ชายไท่ผิงคนหนึ่งที่อยากจะทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองชอบ 


 


 


แผ่นหลังของคนคนหนึ่งมักจะบอกข้อมูลมากมายให้เรารู้ ตัวอย่างเช่นหลี่ไท่ในตอนนี้ เริ่มหดไหล่ทั้งสองข้าง งอตัวลง จากนั้นก็ค่อยๆ ยืดเอวขึ้น ยืดตัวตรง โบกมือให้กับอวิ๋นเยี่ย พูดอะไรสักอย่างแล้วก็เข้าไปในรถม้า คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่อวิ๋นเยี่ยรู้ความหมายของประโยคนั้น หลี่ไท่ก็ยังคงเป็นหลี่ไท่ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง 


 


 


“ท่านพี่ เว่ยอ๋องบอกว่าเขาเลือกสรรชายตัวใหญ่หลายสิบคน หมายความว่าอะไรกัน” ซินเย่วยืนอยู่ที่ประตู มองดูรอม้าของหลี่ไท่ที่กำลังแล่นออกไปแล้วถามอย่างสงสัย 


 


 


“เรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงจะรู้ไปทำไมเยอะแยะ” อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาผลักซินเย่วที่ในหัวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับเข้าไปในบ้าน กลางค่ำกลางคืนมีผู้หญิงที่ไหนออกมาข้างนอกกัน 


 


 


หลี่หยวนชังจะตายหรือไม่ตายอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ คนขี้แพ้นั้นตายไปคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ต่อตัวใหญ่สิบกว่าตัวต่อยเข้าไปทั่วเรืองร่าง มันคงจะทำให้เขาอยากตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน ความหดหู่ของหลี่ไท่ต้องการที่ระบาย หลี่หยวนชังก็มาได้ทันเวลาพอดี 


 


 


ซุนซือเหมี่ยวยังไม่นอน แขวนโคมไฟไว้ในสวน นอนบนเก้าอี้เอนฟังเสียงคางคกร้อง ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยเข้ามาที่บ้าน ซุนซือเหมี่ยวก็ได้รับเชิญให้ไปที่บ้านตระกูลอวิ๋น น่ารื่อมู่จะคลอดแล้ว เป็นลูกคนแรก หากไม่มีเหล่าซุนอยู่ด้วย อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่วางใจ แต่ดูเหมือนว่าเหล่าเต้าก็อยากมาที่บ้านของตระกูลอวิ๋น พ่อบ้านเฉียนเชิญเขามาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าลงไปจากเขาอวี้ซัน แล้วยังมีน้องสาวของหั่วจู้ค่อยติดตามไปด้วย เด็กผู้หญิงสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า มีปิ่นไม้ปักอยู่บนหัว คอยจุดไฟไล่ยุงอยู่ข้างๆ ซุนซือเหมี่ยวอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เหล่าเต้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ ความคิดนี้พึ่งจะโผล่ขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยเองก็ยังรู้สึกขยะแขยง หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหลี่ซื่อหมิน จะคาดเดาเช่นไรก็คงเป็นไปได้ แต่หากเกิดขึ้นกับซุนซือเหมี่ยวคงจะเป็นการดูถูกเขาเกินไป ทั้งต้าถัง อวิ๋นเยี่ยก็รู้จักคนที่มีศีลธรรมอย่างแท้จริงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายกับยาเหมิงฮั่น แต่นั่นก็มีไว้สำหรับการวิจัยทางการแพทย์ เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยไม่เคยใช้งานเขาในเส้นทางที่ถูกต้องก็เท่านั้น 


 


 


ข้างๆ ของซุนซือเหมี่ยวมีข้าวโพดอยู่พวงหนึ่ง เป็นข้าวโพดดิบ ถูกแกะเปลือกออกหมดแล้ว เมล็ดข้าวโพดหายไปสองสามเมล็ด เขายังคงมีนิสัยเดิมๆ เห็นพืชแปลกๆ ก็เอาเข้าปาก ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เห็นปากของเขาบวมราวกับกุนเชียง แค่ทำการทดลอง จะใช้หมู ม้า วัว แกะ ลิงหรือกระต่ายก็ได้ ทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เทพเจ้าแห่งการเกษตรตายไปก็เพราะแบบนี้ 


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา ซุนซือเหมี่ยวกวักมือเรียกให้เขามาหาแล้วพูดกับเขาว่า “สุขภาพของน่ารื่อมู่แข็งแรงมาก สองวันนี้ก็คงจะคลอดแล้ว เจ้าหายไปตั้งแปดเดือน อยู่กับนางให้บ่อยๆ หน่อย ข้าเห็นว่านางมีปมในใจ เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นานเข้า คนจะป่วยเอาได้ หากเจ้ายังยุ่งอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งบนเก้าอี้ที่ป้าเต้าย้ายมาให้ ยิ้มและพูดว่า “น่ารื่อมู่คิดถึงฉ่าวหยวน นางมักจะฝันถึงฉ่าวหยวนอยู่ตลอด ข้าสัญญากับนางว่ารอให้ลูกอายุได้สักหนึ่งขวบก็จะให้ลูกกลับไปกับนาง แต่ก่อนหน้านี้ ข้าอยากจะฉีดวัคซีนให้ลูกก่อน ต้าฉ่าวหยวนเริ่มตั้งแต่ชาวชงหนูก็มีความเคยชินที่ไม่ค่อยดีนัก นั่นก็คือเอาวัวและแกะที่ป่วยตาย ถึงขั้นเอาคนที่ป่วยตายมาทำเป็นอาวุธ ต่อต้านการโจมตีของชาวฮั่น ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นดาบสองคม ทำร้ายผู้อื่นและยังทำร้ายตัวเอง การใช้ชีวิตของชาวฮั่นค่อนข้างดีกว่าพวกเขา ดังนั้นคนที่จะถูกทำร้ายมากที่สุดก็คือพวกเขาเอง เด็กที่เกิดในฉ่าวหยวนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเด็กสิบคนมีเด็กแค่สามถึงสี่คนที่สามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น ก็ถือว่าพระเจ้าคุ้มครองมากแล้ว” 


 


 


“แล้วเจ้ายังจะปล่อยให้น่ารื่อมู่เอาลูกไปด้วย ข้าเลี้ยงเองไม่ได้หรือ ลูกของภรรยารองต้องเอาให้ภรรยาหลักเลี้ยงไม่ใช่หรือ แต่ตระกูลของเราไม่เหมือนพวกเขา” ซินเย่วเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง ปรากฏตัวได้ทุกที่ทุกเวลา 


 


 


ซุนซือเหมี่ยวยิ้มแต่ก็ไม่พูดไม่จา เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษในตระกูลอวิ๋น ตั้งแต่ท่านย่าก็ไม่มีใครมองว่าเขาเป็นคนนอก คำพูดเหล่านี้ หากมีคนอื่นอยู่ข้างๆ ตีให้ตายซินเย่วก็ไม่มีทางพูดออกมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซุนซือเหมี่ยว นางไม่มีข้อห้ามใดๆ 


 


 


“ทะเลาะอะไรกัน ตระกูลของเราก็คือตระกูลของเรา เข้ามาในตระกูลก็คือภรรยาของข้า ในเมื่อข้าแต่งงานกับพวกเจ้าก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้า ถึงแม้ว่าการแต่งภรรยาสองคนจะเป็นการทำร้ายอยู่แล้วก็ตาม แต่มันไม่มีทางเลือก เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็ควรพูดถึงสถานการณ์ตอนนี้ เจ้ามีลูก เจ้าก็ยังเป็นคนเลี้ยงเอง น่ารื่อมู่ก็จะมีลูกแล้ว ดังนั้นให้นางเป็นคนเลี้ยงเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร” 


 


 


ซินเย่ววางชามผลไม้ในมือลง มันคือแตงโม เพียงแต่เมล็ดแตงโมมากเกินไป ซ้ำยังเมล็ดใหญ่หากเทียบกับขนาดของชาม ดูไม่เหมือนฟักในยุคหลัง 


 


 


“แตงโมฤดูหนาว ครั้งก่อนที่เหล่าเต้ากินของสิ่งนี้ ตอนนั้นเขายังตรวจร่างกายให้ฮองเฮาที่สวนพุดตาน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี แตงโมของปีนี้ลูกโต น้ำฝนเพียงพอ นี่คือข้อดีของมัน” 


 


 


สองสามปีมานี้ซุนซือเหมี่ยวยิ่งเหมือนเทพเซียนขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขาเรื่องอะไรก็ง่ายดายไปหมด ไม่เดือนร้อนใจ แตงโมฤดูหนาว มีปลูกแค่ในสวนของฮ่องเต้เท่านั้น ปีหนึ่งก็ปลูกแค่หนึ่งถึงสองไร่ นำมาเป็นรางวัลอันล้ำค่าในช่วงฤดูร้อน แบ่งให้เหล่าอ๋องโหวคนละลูกสองลูก ไม่ว่าใครได้รับไปก็ล้วนแต่เป็นเกียรติอย่างสูง 


 


 


แตงโมลูกเล็กๆ กินสองสามคำก็หมด อวิ๋นเยี่ยเก็บเมล็ดออกอย่างระมัดระวัง ให้ซินเย่วเอาไปล้างและตากแห้ง เขาวางแผนที่จะปลูกไว้ที่บ้านของตัวเองในปีหน้า 


 


 


“ราชสำนักห้ามไม่ให้ปลูกไม่ใช่หรือ เจ้าเก็บเมล็ดไปทำอะไร” ซินเย่วยังคงทำท่าทางเป็นราษฎรที่ดี แต่สองปีที่ผ่านมาอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ทำตัวเป็นราษฎรที่ดีตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใช้ประโยชน์จากกฎหมาย เช่นเดียวกับตระกูลของอ๋องโหวเหล่านั้น ใครเขาให้ความสำคัญกับกฎหมายฮ่องเต้กัน แค่ไม่ก่อกบฏก็ถือว่าเป็นราษฎรที่ดีคนหนึ่ง 


 


 


“ฮ่องเต้เอามันฝรั่งของตระกูลเราไปซ่อนไว้ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ข้าปลูกแตงโมฤดูหนาวนิดหน่อยก็พูดเป็นเรื่องเป็นราว น่ารำคาญ” ซินเย่วตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็พากลุ่มลูกน้องของตัวเองกลับไปที่สวนหลังบ้าน 


 


 


“เจ้าอยู่บนเขาเหยี่ยเหรินซานตั้งเดือนหนึ่ง ไม่เจอสมุนไพรดีๆ เลยหรือ” ไม่เคยจะพูดถึงเรื่องอื่นจริงๆ เมื่อซุนซือเหมี่ยวเห็นว่าซินเย่วเดินออกไปแล้วก็ถามเข้าประเด็นสำคัญทันที 


 


 


“มีแน่นอน ยาเถียนซีที่ท่านกำลังตามหาข้าหามาให้ท่านแล้ว เอาแบบแห้งกลับมานิดหน่อย เดี๋ยวส่งไปให้ท่าน ข้ายังเจอดอกไม้กินเนื้อชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ มันเหม็นเกินไป ข้าก็เลยไม่ได้เอากลับมา จับตะขาบสีแดงยาวหนึ่งฟุตมาหนึ่งตัว ท่านบอกว่าที่นี่ใช้ตะขาบเป็นยาและฤทธิ์ยาไม่เพียงพอไม่ใช่หรือ ตัวนั้น ข้าคิดว่าฤทธิ์ยาคงจะเพียงพอ แล้วยังเอาปลิงพันธุ์พิเศษมาให้ท่านด้วย ตัวใหญ่เท่าหัว ดูดเลือดรุนแรง กัดทีหนึ่งเลือดไหลทั้งวัน โต้วเยี่ยนซานเคยถูกพวกมันหลายสิบตัวกัด ทำเอาเกือบตาย ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ” 


 


 


“อยู่ที่ไหน” ซุนซือเหมี่ยวไม่มีเวลาฟังอวิ๋นเยี่ยโม้ ถามประเด็นสำคัญที่สุดทันที 


 


 


“ข้าเก็บปลิงไว้ในถังน้ำ ยาเถียนซีอยู่ในคลังสมบัติ ตะขาบอยู่ที่ห้องหนังสือของข้า” อย่ามองว่านิสัยของเหล่าซุนอ่อนโยน ความจริงแล้วเขากลับเป็นคนที่มีความอดทนน้อยที่สุด หากอวิ๋นเยี่ยยังพูดมากอยู่ อาจจะถูกตีเอาได้ ต้องรีบบอกสถานที่ให้ชัดเจน 


 


 


ถือตะเกียงจับปลิงออกจากถังน้ำ ซุนซือเหมี่ยวจับมันมาวางไว้บนมือของตัวเอง ปลิงที่ลื่นไหลกำลังอยากจะดูดเลือดบนมือที่เต็มไปด้วยรอยด้าน ทว่าล้วนแต่เป็นคนยากลำบากเหมือนกัน รอยด้านตรงนิ้วชี้ของซุนซือเหมี่ยวหนาเกินไป มันกัดไม่เข้า มันเลยหมุนตัวเป็นวงกลมหาที่ที่นิ่มๆ ดูดเลือด 


 


 


ดีดนิ้วทีหนึ่ง ปลิงก็ตกลงไปในถังน้ำ มองดูมือของตัวเองและยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็หันหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือของอวิ๋นเยี่ย ตะขาบสีแดงในกล่องไม้เนื้อแข็งราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่ เท้าขาดไปไม่กี่เท้า เพื่อมันตัวเดียว อวิ๋นเยี่ยใช้ความพยายามไปไม่น้อย เอาตะขาบห่อไว้ในกระดาษ วางไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ตากให้แห้ง สุดท้ายใช้เข็มปักลงบนกล่อง มันไม่ใช่ยาสมุนไพรอะไรอีกต่อไป แต่เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง 


 


 


“ดีมาก รูปลักษณ์ภายนอกดูดี ดูเหมือนว่าพิษก็น่าจะไม่เลว เป็นยาที่ดีสำหรับบรรเทาอาการปวดและบาดแผลที่ร้ายแรง โรคที่ดื้อด้านเหล่านี้ ขอเพียงมีมันอยู่ก็ง่ายต่อการรักษา” พูดเสร็จ ก็เอากล่องยัดเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วก็บอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเขาไปที่คลังสมบัติของตระกูลอวิ๋น ยาเถียนซียังรออยู่ที่นั่น 


 


 


ไม่มีอะไรทำก็ไปเดินสำรวจคลังสมบัติของคนอื่นก็มีแค่ซุนซือเหมี่ยวที่ทำได้เช่นนี้ เขาไม่มองเครื่องแก้วเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หยิบไข่มุกสองสามเม็ดที่อวิ๋นเยี่ยเอากลับมาด้วยขึ้นมา เลือกมาสองสามเม็ด บอกว่าจะเอาไปทำเป็นยา ซินเย่วที่พึ่งเปิดประตูคลังสมบัติ ยิ้มแล้วแนะนำซุนซือเหมี่ยว บอกว่ายังมีไข่มุกอีกหลายเม็ดอยู่ด้านหลัง เสนอว่าผู้เฒ่าเทพเซียนจะเลือกเม็ดใหญ่ๆ ไปอีกสักสองสามเม็ดดีหรือไม่ 


 


 


ผู้หญิงจอมล้างผลาญคนนี้ ไข่มุกที่จะเอาไปทำเป็นยาเลือกเอาเม็ดที่แตกหักคดเคี้ยวไปก็ได้ เพราะอย่างไรก็ต้องถูกบดเป็นผง ทำไมต้องเลือกเม็ดใหญ่ๆ เม็ดดีๆ ด้วยล่ะ 


 


 


ชั้นวางของมีถุงผ้าวางอยู่สองสามถุง ข้างในล้วนแต่เป็นยาเถียนซี ล้วนแต่เป็นเถียนซีที่ดีที่สุดที่ผู้เฒ่าของตระกูลเหมิงบอกให้เก็บมา ปลูกไว้เป็นปี ลำต้นแข็งแรงกำยำ รากและใบก็สมบูรณ์ ซุนซือเหมี่ยวพอใจกับของสิ่งนี้เป็นอย่างมาก เลือกไปสองสามต้น แล้วก็เดินออกไปจากคลังสมบัติ ขมวดคิ้วและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “สิ่งของไร้ค่าพวกนั้นเจ้าเก็บไว้ทำไมตั้งเยอะแยะ สมบัติล้ำค่าเป็นแหล่งที่มาของหายนะ อย่าหลงใหลกับมันมากเกินไปล่ะ” 


 


 


คนที่ออกบวชไม่สนใจของพวกนั้นได้ แค่ตัวเองกินอิ่มก็ถือว่าคนทั้งครอบครัวกินอิ่ม แต่ตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่โตนี้ล่ะ เหล่าฉินยังยืนพูดอยู่ตรงนั้น บอกให้ตระกูลอวิ๋นเตรียมสินสอดทองหมั้นของรุ่นเหนียงให้มากหน่อย แล้วจะไม่มีเงินได้อย่างไรกัน 


 


 


แต่ว่าในเมื่อเหล่าซุนพูดออกมาแบบนี้ ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอนเท่านั้น 



 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 21 กำเนิดลูกสาวคนโต

ฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนได้ชะล้างไอร้อนออกไปหมด จนถึงเช้าตรู่ฝนก็ยังคงตกปรอยๆ ไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยไม่ได้นอนทั้งคืน เดินไปมาอยู่ใต้ชายคาไม่หยุดหย่อนเพราะคืนก่อนพึ่งจะเข้าไปที่ห้องของน่ารื่อมู่ น่ารื่อมู่ก็เริ่มมีอาการปวดท้อง ปวดท้องตลอดทั้งคืน ถึงตอนเช้าหมอตำแยถึงได้บอกว่าฮูหยินที่สองจะคลอดแล้ว 


 


 


ซุปโสมต้มเสร็จตั้งนานแล้ว ซุนซือเหมี่ยวมองดูแล้วสองครั้งบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ซินเย่วอุ้มลูกทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ห่างจากอวิ๋นเยี่ย นางรู้ดีว่าตอนนี้ท่านพี่กำลังอยู่ในสภาพที่หงุดหงิดง่าย อยู่ห่างๆ หน่อยจะดีกว่า ตอนที่ตัวเองคลอดลูก ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดเจียนตายแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนรนของท่านพี่ ตอนนี้ก็คงจะเป็นสถานการณ์เดียวกัน 


 


 


ผู้หญิงของฉ่าวหยวนแข็งแกร่งไม่น้อย น่ารื่อมู่ไม่ได้ส่งเสียงร้องดัง เพียงแต่ครางเบาๆ คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรหมอตำแยก็ไม่มีทางอนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยเข้ามาในห้องคลอดอีก เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยอยากจะเข้าไป ซินเย่วสนใจอะไรมากไม่ได้ รีบเข้าไปดึงเขาเอาไว้ ขอร้องให้อวิ๋นเยี่ยอย่าทำตามอำเภอใจ ครั้งก่อนก็เพราะว่าเขาเข้าไปในห้องคลอดทำให้แปดเปื้อนความอัปมงคล ลูกเกิดมายังไม่ถึงเดือนก็ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป หากครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้นอีก คนทั้งตระกูลก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว 


 


 


น่ารื่อมู่ที่รู้ความน่าจะได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่ประตู นางจึงไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวดอีกต่อไป มีเพียงเสียงหอบเป็นครั้งคราว อดทน กำลังอดทน ท่านย่าที่อยู่ในห้องพระส่งสาวใช้มาถามตั้งสามครั้งแล้ว 


 


 


เสียงร้องของเด็กดังออกมา ไม่ได้ดังเหมือนกับอวิ๋นน้อยอวิ๋นโซ่ว เสียงร้องราวกับเสียงลูกแมวทำให้หัวใจขออวิ๋นเยี่ยเต้นเร็วขึ้นมาทันที หันหน้าไปมองซินเย่วแล้วกำลังจะเข้าไปข้างใน แต่หมอตำแยกลับยิ้มแล้วเดินออกมา โค้งคำนับและยินดีกับเขา “ยินดีกับท่านโหว ยินดีกับท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ ได้ลูกสาวเจ้าค่ะ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาว ตราบใดที่เป็นเนื้อเลือดของตัวเองนางก็คือดวงใจของเขา อยากจะได้ลูกสาวมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สมดั่งความปรารถนาแล้ว ตระกูลอวิ๋นให้รางวัลเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด เอาไข่มุกที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ให้เป็นรางวัลแก่หมอตำแย 


 


 


ไม่แปลกที่เสียงร้องจะเล็กเช่นนั้น ที่จริงแล้วลูกของเขาตัวเล็กเอามากๆ ตัวเล็กๆ ผอมๆ ราวกับลูกแมวน้อย อย่างกับว่าแค่ลมกระโชกมาก็พัดให้ปลิวไปได้ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ปากน้อยๆ ยังคงส่งเสียงร้อง เพียงแต่ร้องเสียงเบาไปหน่อย 


 


 


นี่ก็คือลูกสาวของตัวเอง ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง เห็นหมอตำแยเอาผ้ามาพันลูก อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะยื่นมือเข้าไปแทรก พันลูกเอาไว้ราวกับขนมบ๊ะจ่าง นี่จะทำอะไร 


 


 


ไล่หมอตำแยสามคนออกไป ตัวเองอุ้มลูกอย่างมีความสุข พึ่งจะเห็นว่าน่ารื่อมู่จ้องมองมาที่ตัวเองทั้งน้ำตา 


 


 


อุ้มลูกสาวไปนอนตรงหัวเตียง ให้น่ารื่อมู่ได้ดูลูกของตัวเองชัดๆ ใครจะรู้ว่านางกลับหันหน้าหนี ไม่พอใจกับผลงานของตัวเองเป็นอย่างมาก 


 


 


“แค่คลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ คิดอะไรอยู่ ลูกสาวดั่งเทพธิดา ข้ารักเข้ากระดูก แต่เจ้ากลับไม่พอใจ เจ้าไม่ชอบ ข้าเลี้ยงเอง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าข้า อวิ๋นเยี่ย วันหนึ่งจะมีลูกสาว นี่คือรางวัลที่พระเจ้ามอบให้ข้า รอให้ลูกครบหนึ่งเดือน ครบร้อยวัน ดูสิว่าข้าจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่แค่ไหน เชิญทุกคนในฉางอันมาให้หมด คนที่ไม่มาข้าจะไปหาถึงบ้าน ข้ามีลูกสาวแล้วโว้ย” 


 


 


น่ารื่อมู่หันหน้ากลับมา ยังคงร้องไห้อยู่ ผู้หญิงที่กำลังอยู่เดือนหากร้องไห้จะทำให้ไม่สบายเอาได้ อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้นาง จูบที่หน้าผากของนางทีหนึ่งและกระซิบว่า “ขอบใจเจ้ามาก ลำบากเจ้าแล้ว” 


 


 


“ข้าอยากคลอดลูกชายให้เจ้า คลอดวีรบุรุษของฉ่าวหยวน แต่ตอนนี้เป็นลูกสาว ข้าไม่อยากได้!” 


 


 


“คลอดออกมาแล้ว ยัดกลับเข้าไปไม่ได้แล้ว อีกอย่าง ครั้งนี้เป็นลูกสาวไม่ดีตรงไหน ข้าดีใจเป็นที่สุด” 


 


 


ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดอยู่สักพักกว่าจะทำให้น่ารื่อมู่มีความสุขขึ้นมาได้ แล้วนางก็เริ่มฝันหวานของการมีลูกสาวของตัวเองขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยมองดูเงาของตัวเองบนหัวเตียงก็ถอนหายใจออกมา หน้าตาเหมือนตัวเองอย่างกับแกะ อยากจะได้ลูกสาวที่หน้าตาสวยสดงดงามอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย หลี่ซื่อหมินที่ถูกยกย่องว่าเป็นใบหน้าฟ้าประทาน รูปร่างสมส่วนงดงาม ยังมีลูกสาวที่หน้าตาดีแค่ไม่กี่คน หลี่อันหลาน เกาหยาง ถือว่าค่อนข้างดี ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกเรียกว่าเป็นองค์ผู้หญิงที่อ่อนโยนสง่างาม ขุนนางของต้าถังยังคงต้องการศักดิ์ศรี พวกเขาไม่มีทางไปติชมหน้าตาของเหล่าองค์หญิงตามอำเภอใจ ทำได้แค่บอกว่าเหล่าองค์หญิงช่างอ่อนโยนสง่างาม ไม่พูดถึงเรื่องหน้าตา พูดถึงแค่เรื่องนิสัย เรื่องของนิสัยนั้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่น จะชื่นชมอย่างไรก็ไม่ถือเกินเลย 


 


 


ต่อไปจะชื่นชมลูกสาวของตัวเองอย่างไร เรื่องหน้าตาก็ช่างมันเถอะ พันธุกรรมไม่ดี ช่วยไม่ได้ หรือว่าตัวเองก็ต้องชื่นชมลูกว่าอ่อนโยนสง่างาม? มองดูน่ารื่อมู่ก็รู้แล้วว่าความคิดนี้ใช้ไม่ได้ 


 


 


จู่ๆ น่ารื่อมู่ก็ชื่นชอบลูกสาวของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง กอดไว้ในอ้อมแขนจูบไม่หยุด ผู้หญิงอยู่เดือนที่ไหนเขาลุกขึ้นมานั่งกัน ถูกอวิ๋นเยี่ยจับยัดเข้าไปในผ้าห่ม แม่ลูกจูบหอมกันไม่หยุด 


 


 


เห็นได้ชัดว่าซินเย่วอยากจะหัวเราะ กัดฟันชื่นชมว่าลูกสาวช่างหน้าตาดี เห็นลิ้นที่ดิ้นไม่หยุดของนาง และเห็นท่าทางที่นางอุ้มอวิ๋นน้อยยกขึ้นสูงก็รู้แล้วว่า ตอนนี้นางอยากจะร้องเพลงเป็นอย่างมาก 


 


 


ลูกสาวดีจะตาย เพียงแค่มีสินสอดทองหมั้นก็ออกเรือนได้แล้ว ท่านพี่รักลูกสาว ไม่มีอะไรมากไปกว่าสินสอดทองหมั้น สินสอดทองหมั้นของตระะกูลอวิ๋นมีตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นมีอะไรหากจะต้องเสียเพิ่มอีกสักหน่อย 


 


 


น่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นน้อยก็รู้สึกอิจฉา กลับมามองลูกสาวของตัวเองที่อยู่ในอ้อมแขนก็ยิ้มไม่ออก อยากจะร้องไห้อีกครั้ง กว่าอวิ๋นเยี่ยจะกำจัดซินเย่วออกไปได้ ท่านย่าก็เข้ามาพอดี 


 


 


บรรดาป้าๆ น้าๆ ต่างพากันเบียดเข้ามา อุ้มหลานสาวมาดูอย่างละเอียด ยิ้มจนรอยย่นที่ตาหนาขึ้นกว่าเดิม ปลอบใจน่ารื่อมู่ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ บอกว่านางยังอายุน้อย รอให้สุขภาพดีขึ้นแล้วค่อยคลอดอีกสักคนก็ได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังใจเหล่านี้ใช้ได้ผล น่ารื่อมู่กลับมามีความสุขขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ตระกูลอวิ๋นมีลูกสาว เหอเซ่าก็ต้องขี่ม้าเร็วมาแสดงความยินดีอยู่แล้ว สองสามวันมานี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับสาหร่ายทะเล ทำเอาเขายุ่งพอสมควร ไม่เพียงแค่ต้องสอนการแช่สาหร่ายทะเลให้กับพวกเขา ยังต้องสอนการทำสาหร่ายทะเลอีกด้วย เรื่องราวเกินความคาดเดาของอวิ๋นเยี่ย ครอบครัวยากจนขนาดเล็กชอบสาหร่ายทะเลมากที่สุด ไม่มีเหตุผลอื่น แค่อยากให้สาหร่ายทะเลมีจำนวนมากขึ้น เอาชิ้นเล็กๆ แช่ลงไปในน้ำ ผ่านไปไม่นานก็โตเต็มหม้ออย่างรวดเร็ว เพียงพอให้คนทั้งครอบครัวกินอิ่ม ราคาก็ไม่แพง ห้ากรัมห้าเหรียญ คุ้มค่ากว่ากินข้าวตั้งเยอะ 


 


 


เหล่าราชวงค์ก็ไม่กล้าพูดออกไป อวิ๋นเยี่ยโฆษณาออกไปแล้ว ชื่นชมสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นว่าเป็นเจ้าแม่โพธิสัตว์ เพื่อเพิ่มเครื่องนุ่งห่มให้กับเหล่าทหาร เสนอราคาสาหร่ายทะเลแพงถึงสิบเท่า สมแล้วที่เป็นเศรษฐีอวิ๋น 


 


 


หลานเถียนโหวมีลูกสาวย่อมต้องแสดงความยินดีอย่างยิ่งใหญ่ให้กับเขา เหล่าราชวงค์นำโดยหลี่เซี่ยวกง เพิ่มสาหร่ายทะเลห้ากิโลเป็นของขวัญให้แก่อวิ๋นเยี่ย แล้วยังเอาวางไว้ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ผ่านไปไม่นานชื่อเสียงของอวิ๋นโหวที่ขาดสาหร่ายทะเลไม่ได้ก็แพร่กระจายไปทั่วถนนและตรอกซอยของเมืองฉางอัน เติมเต็มให้กับชื่อเสียงของอวิ๋นโหวที่ชื่นชอบในแตงกวา 


 


 


“ชื่อของลูกสาวข้าชื่อว่าสาหร่ายทะเล? ใครเป็นคนพูด ข้าจะไปฉีกปากมันให้เละ” น่ารื่อมู่นั่งโมโหอยู่ในห้องอยู่เดือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น อากาศในเดือนกรกฎาคมของฉางอันร้อนจนฆ่าคนได้ ห้องอยู่เดือนถูกปิดอย่างแน่นหนา น่ารื่อมู่ไม่ได้แปลกใจกับกลิ่นนี้ ถึงขั้นรู้สึกชอบอยู่นิดหน่อย เมื่อก่อนบ้านของนางก็เป็นกลิ่นนี้ ตั้งแต่พ่อแม่พาน้องชายไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน นางก็ไม่เคยได้กลิ่นนี้อีกเลย น่ารื่อมู่ตามหากลิ่นนี้อยู่นานแต่ก็หาไม่เจอ จึงคิดว่าพวกเขาได้ตายอยู่ท่ามกลางความโกลาหลไปแล้ว 


 


 


เมื่อสาวใช้เห็นฮูหยินที่สองผู้ไม่เคยอารมณ์เสียเป็นเช่นนี้จึงรีบไปเรียกซินเย่วมาปลอบนาง ซินเย่วที่ยืนหอบอยู่ข้างนอกกัดฟันเดินเข้าไปในห้อง เกือบจะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นเหล่านั้น ถึงแม้ว่าตอนที่นางอยู่เดือนก็ไม่ได้มีกลิ่นที่ดีมากนัก แต่ยังดีตรงที่เป็นช่วงฤดูหนาว ไม่ได้มีกลิ่นแรงขนาดนี้ 


 


 


เอาผ้าเช็ดหน้าอุดรูจมูกแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก ลูกสาวจะชื่อสาหร่ายทะเลได้เช่นไร นั่นน่ะเป็นแค่เหล่าราชวงศ์ไม่พอใจที่ถูกท่านพี่หลอก พวกเขาจงใจปล่อยข่าวออกไป เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านพี่โกงพวกเขาจนเละ…” 


 


 


“เรื่องของสาหร่ายทะเลไม่ถือว่าเป็นการคดโกง ในฐานะราชวงศ์ เดิมทีก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ราษฎร มีอาหารให้ราษฎรกินเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ก็ควรจะเฉลิมฉลองให้เต็มที่ ยังกล้าที่จะบ่นได้อย่างไร พึ่งจะกินอิ่มไปได้ไม่กี่มื้อเอง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ ข้าก็กินสาหร่ายทะเลแล้วเช่นกัน รสชาติไม่ถือว่าดี แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย แต่น้ำซุปที่ทำจากมันช่างอร่อยมาก เป็นอาหารที่ดีอย่างหนึ่ง ซือกู่ เจ้าไปซื้อเพิ่มอีกสักสองร้อยกิโล ราคาห้าสิบเหรียญ ราชวงค์ไม่รู้ความ แต่ตระกูลเหยียนของเราจะไม่รู้ความไม่ได้” ในห้องโถงของตระกูลเหยียน ชายแก่เหยียนจือทุยกำลังอบรบสั่งสอนลูกๆ หลานๆ ของตัวเองอยู่ที่ห้องโถง ปีนี้ชายชราอายุเก้าสิบหกปีแล้ว บนหัวมีเส้นผมเหลืออยู่ไม่กี่เส้น แต่กลับหวีผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หมวกทรงสูงสวมไว้แค่ส่วนบนของหัว ทั้งหัวเต็มไปด้วยรอยจุดรอยด่าง ทว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เสียงยังคงดังก้องกังวานดี ส่วนสายตาก็ไม่พร่ามัว หูไม่หนวก ดูมีพลังมากกว่าหลานชายที่อายุเจ็ดสิบแปดสิบของตัวเองเสียอีก 


 


 


“ผู้เฒ่า เรื่องที่ท่านบอก หลานจะส่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้ ตระกูลเหยียนไม่จำเป็นต้องเอารัดเอาเปรียบราษฎร เรื่องของสาหร่ายทะเลถือว่าอวิ๋นเยี่ยทำได้ไม่เลว แต่ว่า การเขียนบทความเป็นเรื่องที่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีเพียงผู้เขียนเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จะให้แนวคิดที่ผิดจรรยาบรรณมาครอบครองจุดสูงสุดได้เช่นไร” 


 


 


เหยียนซือกู่ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่โค้งคำนับให้กับคำพูดของเหยียนจือทุย เขาสามารถทนต่อความเจริญรุ่งเรืองของสำนักศึกษาและยังสามารถทนเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินบนถนนแห่งการพิมพ์หนังสือ แต่เขาจะไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยอยู่บนถนนสายนี้เพียงคนเดียว 


 


 


รสชาติที่ว่าเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ดก็ลิ้มลองมาหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันเป็นรสชาติเช่นไร ชายหนุ่มผู้อ่อนแอกำลังจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดและมองลงมาอย่างหยิ่งผยอง นี่ไม่ใช่การดูถูกว่าต้าถังไม่มีคนแล้วหรอกหรือ 


 


 


“ซือกู่ เจ้าเรียน ‘ความยุติธรรมทั้งห้า’ มาแล้วหลายปี ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเรียน เจ้ายังสู้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จริงๆ คนที่พูดเก่งมักจะขัดแย้งต่อความจริงที่ถูกต้อง คนที่พูดไม่เก่งมักจะประมาทในการพูด เนื่องจากพูดน้อยจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับผู้คน ห่างไกลจากผู้คน เกิดมาเป็นคน ยอมที่จะถูกผู้คนออกห่าง แต่ไม่ยอมที่จะขัดแย้งต่อความจริงที่ถูกต้อง สองสามปีมานี้เจ้ากลายเป็นคนขาดความอดทนไปแล้ว หนังสือเรื่อง ‘การคำนวณเบื้องต้น’ เดิมทีก็เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงของหวงหวง มีทฤษฎีที่เฉลียวฉลาดบางอย่าง เป็นความรู้ที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่แนวคิดที่ผิดจรรยาบรรณอะไร การที่ขงจื๊อฆ่าเส่าเจิ้งเม่าคือความชอบธรรม เพราะเช่นนี้ จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมานานหลายพันปี เหตุผลที่ข้าไม่อยากให้เขาโด่ดเด่น มีเพียงแค่เหตุผลเดียว ก็คือไม่อยากให้เขาถูกคนฆ่า คนที่เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องถูกทำลายในเงื้อมมือของคนที่ไม่ชอบธรรม จำเอาไว้ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แม่น้ำมีหลายหมื่นสาย แต่สุดท้ายมันก็ต้องไหลบรรจบลงทะเล วิธีการแสวงหาความรู้มีหลายพันวิธี แต่สุดท้ายไม่ว่าจะใช้วิธีใด เป้าหมายและผลลัพธ์ต่างก็เหมือนกัน เจ้าจำไว้หรือยัง” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)