เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 16-18

 [ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 16 เพลงกล่อมเด็กทางสามแยกอันคุ...

 

อย่างไรก็ต้องยอมรับว่าหลี่ซื่อหมินเป็นลูกผู้ชายที่กล้าทำกล้ารับ ทุกคนต่างก็รับรู้เรื่องที่เขาขังพ่อ ฆ่าพี่ชายและน้องชายตัวเอง เรื่องขืนใจพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ ชาวฉางอันทำเหมือนว่าไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้ ส่วนเรื่องฆ่าหลานชายก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง 


 


 


ที่น่าแปลกก็คือชาวฉางอันเป็นคนใจกว้างแทบจะทุกคน เรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นปัญหา เรื่องในราชวงศ์ก็แค่ข้าฆ่าเจ้า เจ้าฆ่าข้า ตีกันไปตีกันมาขอแต่ไม่มายุ่งกับภรรยาตัวเองก็พอ การกักขังอดีตฮ่องเต้ไม่สำคัญเท่าที่บ้านไม่มีเนื้อกิน ต่อให้มีเหาเยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกกัด จิตวิญญาณที่กล้าหาญของหลี่ซื่อหมินจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม 


 


 


ยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าขุนนางที่เสื้อผ้ายับเยิน หลี่ซื่อหมินบอกพวกเขาว่าตัวเองกำลังทดลองอาวุธชนิดใหม่ ควบคุมพลังได้ไม่ดีจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทุกคนอย่าได้ตกใจไป ผ่านไปสองสามวันจะพาพวกเขาไปทดลองที่ป่านอกเมืองอีกครั้ง เหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้ไม่เป็นอะไรจึงแนะนำให้ฮ่องเต้เพิ่มการคุ้มกันวังหลวง หลังจากนั้นก็พากันกลับไปนอน 


 


 


ตอนที่มือข้างหนึ่งของจั่งซุนดึงหูอวิ๋นเยี่ย อีกข้างหนึ่งดึงหูหลี่ไท่ แล้วลากทั้งสองไปยังวังหลัง หลี่ซื่อหมินก็ทำเป็นมองไม่เห็น มือไขว้หลังสั่งให้ขุนนางเตรียมน้ำให้เขาอาบน้ำ วันนี้เขากะจะนอนที่ตำหนักไท่จี๋ 


 


 


ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยพึ่งจะคิดได้ว่าเขาประเมินหลี่ซื่อหมินไว้สูงเกินไป เขาพูดกับเหล่าขุนนางอีกอย่างหนึ่ง แต่กลับพูดกับจั่งซุนอีกอย่างหนึ่ง ที่ทหารยามตำหนักไท่จี๋ได้รับบาดเจ็บเป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่ได้ทำการทดลองจุดระเบิด ที่ตำหนักกันลู่ได้รับความเสียหายเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากระเบิดลูกที่สองที่กระเด็นมา โชคดีที่ตัวเองมือไวจึงช่วยชีวิตเจ้าเด็กสองคนนั้นไว้ได้ทัน 


 


 


ฟังไม่ถนัดว่าจั่งซุนพูดอะไร นางพูดเร็วมาก นิ้วชี้ไปมา ตีหัวอวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่อยู่เรื่อยๆ นางโมโหพวกผู้หญิงในวังหลวงที่วิ่งออกมาโดยไม่ได้ใส่อะไรเลย สภาพแวดล้อมที่ดีและสามัคคีกันในวังหลวงถูกทำลายลงด้วยระเบิดสองลูก 


 


 


สองคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ให้นางระบายความโกรธออกมาให้หมดก่อนจะดีกว่า 


 


 


“ใครเขาทดสอบอาวุธสังหารในวังหลวงกัน มีแค่คนไร้สมองอย่างพวกเจ้าสองคนเท่านั้นแหละที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ในวัง ยังดีที่มีแค่ขันทีกับนางในบาดเจ็บไม่กี่คน หากฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งสองคนให้ดู” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่อ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ก้มหัวไม่พูดอะไร ยังจะพูดอะไรได้อีก หลี่ซื่อหมินจะเป็นคนผิดได้อย่างไร เช่นนั้นคนผิดก็มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่ 


 


 


ช่างน่าสงสาร ทั้งสองคนถูกขังไว้ในตำหนักเฉิงไท่และไม่ให้กินข้าวเย็น ใบหน้าที่เลอะเทอะก็ไม่มีใครเอาน้ำมาล้างให้ แสงจันทร์ที่ดูเย็นเยียบได้สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ผุพัง ทั้งสองคนนั่งเงียบไม่พูดอะไรกัน 


 


 


ทั้งสองคนตักน้ำจากอ่างรองน้ำฝนมาล้างหน้าแล้วแกะผมออก ซุกตัวอยู่หลังผ้าม่านเพราะว่าในนี้มียุงเยอะ ตำหนักเฉิงไท่เป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่และชื้นมากที่สุดในวังไท่จี๋ ดูเหมือนว่ายุงทั้งหมดในฉางอันจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ 


 


 


สถานที่นี้คือสถานที่ที่ใช้ลงโทษองค์ชายและองค์หญิงเวลาทำผิด เพราะความมืดมิดที่ดูน่ากลัว ยิ่งรวมเข้ากับเสียงท้องร้องของเด็กสองคนนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศที่นี่หดหู่กว่าเดิม 


 


 


ดูเหมือนว่าหลี่ไท่จะคิดอะไรบางอย่างออก เขาลุกขึ้นมาขุดใต้เสาต้นหนึ่ง ขุดไปขุดมาก็ได้ขนมดอกกุ้ยฮวามาสองสามชิ้น แต่ว่ามีราขึ้นเต็มไปหมดจึงต้องจำใจโยนทิ้ง 


 


 


มีเงากระโดดผ่านทหารยามไปราวกับแมวที่ถูกฝึกมา แล้วมาหยุดที่ประตูหลังของตำหนักเฉิงไท่ ใช้เล็บขูดที่ประตูเสียงฟังดูน่ากลัว ทหารยามดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงนี้ ดูจากที่พวกเขายิ้มมุมปากก็รู้ว่าพวกเขาคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น 


 


 


“หลานหลิง หากเจ้าไม่รีบไปเอาของกินมา เมื่อเข้าสำนักศึกษาก็รอดูได้เลยว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยหรี่ตามองไปยังเสียงคุยกันที่หลังประตู เห็นหลี่ไท่ยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อก่อนเวลาตัวเองถูกทำโทษก็จะให้เกาหยางไม่ก็หลานหลิงเอาของกินมาส่งให้ ดูแล้วคืนนี้คงไม่ต้องทนหิวแล้ว 


 


 


ประตูที่ใส่โซ่ไว้ถูกผลักเข้ามาทำให้มีช่องแคบๆ หลานหลิงที่ใส่ชุดนอนเบียดตัวเข้ามาในช่องแคบเล็กๆ นั้น ในมือถือตะกร้าใบหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วพูดว่า “เอาระเบิดให้ข้าหนึ่งลูก ไม่เช่นนั้นข้าไม่ให้พวกเจ้ากิน” แล้วนางก็เอาตะกร้าซ่อนไว้ข้างหลังอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ฝ่าบาทเอาระเบิดไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ลูกเดียว แล้วอีกอย่าง เจ้าจะเอาระเบิดไปทำอะไร เอาไประเบิดวังหรือ ตอนนี้สภาพพวกข้าสองคนอนาถแค่ไหน เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร เจ้าช่างไม่รู้จักหลาบจำเอาเสียเลย” อวิ๋นเยี่ยแย่งตะกร้ามาจากหลานหลิงขณะที่กำลังบ่นพึมพำ มองดูด้านในมีขนมต่างๆ นานา เห็นได้ชัดว่านี่คือขนมในจานของวังหลัง ไม่รู้ว่าทำไว้นานเท่าไหร่แล้ว ขนมเริ่มแข็ง อวิ๋นเยี่ยพยายามหักขนมก้านบัวแต่ก็หักไม่ได้ 


 


 


ยังดีที่ขนมดอกกุ้ยฮวายังทำไว้ไม่นานเท่าไหร่ ใช้น้ำลายทำให้นิ่มก็พอกินได้ แบ่งให้หลี่ไท่หนึ่งชิ้น ทั้งสองคนกัดขนมดอกกุ้ยฮวาอย่างยากลำบาก หลานหลิงใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ นางเอาผ้าม่านมาล้อมไว้เป็นพื้นที่เล็กๆ แล้วตัวเองก็นั่งพิงตัวของหลี่ไท่ พูดเลียนแบบผู้ใหญ่ “ค่อยๆ กิน ระวังติดคอ ห้องครัวในวังหลวงถล่มลงมาแล้ว แม่ครัวตัวอ้วนถูกฝังอยู่ด้านใน ใช้แรงคนอยู่หลายคนกว่าจะดึงนางออกมาจากกองไม้ได้จนฉี่รดกางเกงหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่เหลืออะไรให้กิน ข้าก็เลยต้องไปเอาของเสวยมาจากตำหนักฉางหมิง ที่จริงมีหัวหมูอีกหนึ่งหัว แต่ข้ายกมาไม่ไหว ก็เลยเอาขนมมาให้พวกเจ้า วังหลวงดีๆ พวกเจ้าพากันระเบิดทิ้งทำไม อย่างกับเสียงฟ้าร้อง ข้ากำลังเล่นกับกระต่ายน้อยที่สวนเชอร์รี่ เจ้ากระต่ายตกใจจนเป็นลมไปเลย ข้าก็เลยวิ่งไปดูด้านหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็เห็นจ้าวชงย่วนกับหวางเหม่ยเหรินยืนอยู่ที่สวนไม่ได้ใส่อะไรเลย ตลกสุดๆ” 


 


 


หลี่ไท่ถอนหายใจ วางขนมดอกกุ้ยฮวาที่กัดไปครึ่งหนึ่งลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มิน่าล่ะเจ้าถึงต้องการให้ข้ารับมือกับชาวหูพวกนั้น เรื่องนี้มีเพียงเราเท่านั้นที่สมควรรู้ หากเผยแพร่ออกไป หากมีคนอย่างโต้วเยี่ยนซานต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ ก่อนเกิดเรื่องทุกอย่างยังคงสงบ เมื่อเกิดเรื่องทุกคนต่างพากันตกใจ หลังจากเกิดเรื่องก็ทำให้ทุกคนสะเทือนใจ ในเมื่อข้ารับช่วงต่อสิ่งนี้มา เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ไม่มีวาสนากับข้า 


 


 


เช่นนั้นก็ดี การจัดการของเจ้ามักจะสมเหตุสมผลเสมอ คนที่อยู่ใต้อำนาจข้าเหล่านั้น ตอนนี้เริ่มพากันหวาดระแวง เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขายังยุยงให้ข้าฉวยโอกาสในขณะที่พี่ใหญ่ไม่อยู่แสดงความสามารถให้ท่านพ่อเห็น ลองดูว่าพอจะมีโอกาสเป็นรัชทายาทแทนพี่ใหญ่ได้หรือไม่ 


 


 


คนพวกนั้นเพื่ออนาคตที่ร่ำรวยของตัวเองก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่สนใจว่าข้าจะคิดอย่างไร ท่านพ่อลำบากฝ่าฝันมามากเพื่อบัลลังก์นี้ เหตุใดข้าต้องเป็นเหมือนท่านพ่อด้วย 


 


 


พี่ใหญ่ก็ไม่ใช้คนไร้ความสามารถ หากเขาได้ครองบัลลังก์ต่อนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หากเขาได้เป็นฮ่องเต้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ขาดน้องชายแท้ๆ อย่างข้าไม่ได้ ขอเพียงแค่ให้ข้าได้สงบสติอารมณ์และตั้งใจศึกษาหาความรู้ อย่างไรข้าก็ต้องไม่แพ้เหล่านักปราชญ์ในอดีต เพราะข้ามีทรัพยากรมากมายที่สามารถนำมาใช้ได้ตามใจชอบ นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่มี การที่ข้าจะทำได้เกินความสามารถของพวกเขานั้นย่อมเป็นไปได้ อนาคตในหนังสือประวัติศาสตร์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในบันทึกของกษัตริย์ แต่ว่าความสำเร็จอื่นๆ ที่เฉิดฉายจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับบัลลังก์ได้อย่างนั้นหรือ แม้ว่าในจุดนี้แสงสว่างจะยังคงเปล่งประกายบนตัวพี่ใหญ่อยู่ แต่เขาก็คงรู้สึกยินดีเท่านั้น ไม่ได้จะทำตัวกร่างไม่เกรงใจใคร เป็นการเตรียมการที่ดีมาก อวิ๋นเยี่ย ในที่สุดสิ่งที่เจ้าพยายามทำอย่างยากลำบากก็บรรลุผล บางทีนี่อาจเป็นเส้นทางเดินที่ดีที่สุดสำหรับข้า” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร เขายังคงทำตัวเป็นเครื่องจักรแทะขนมที่แข็งเหมือนก้อนหิน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทิ้งขนมไป หันมาพูดกับหลี่ไท่อย่างจริงจังว่า “ข้าเคยแห็นภาพลวงตาว่าเจ้าใช้ชีวิตอย่างหดหู่ใจเป็นอย่างมากจนอายุสามสิบสี่ปี” 


 


 


“ภาพลวงตา? นั่นคือที่ไหน” หลี่ไท่จ้องตาอวิ๋นเยี่ยไม่กะพริบ เหมือนจะส่องแสงออกมาท่ามกลางความมืดมนในตำหนักเฉิงไท่ 


 


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าจะเป็นในฝัน เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นแค่ความฝันของข้าก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็หยิบขนมอีกชิ้นที่ไม่รู้ว่าคือขนมอะไรมาจากตะกร้าแล้วกินต่อ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก 


 


 


หลานหลิงอายุยังน้อย อยากจะเอาขนมมาให้พี่สี่กิน แต่ก็อดทนต่อความง่วงไม่ได้จึงหลับไปในอ้อมแขนของหลี่ไท่ ปากเล็กๆ มีน้ำลายไหลที่มุมปาก หลี่ไท่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดให้จนสะอาดแล้วเปลี่ยนท่านอนให้นางเพื่อที่นางจะได้หลับสบายขึ้นในอ้อมแขนของเขา มือตบไหล่หลานหลิงเบาๆ ค่อยๆ ร้องเพลงกล่อมเด็กแบบโบราณขึ้นมา “คุณชายจูขายสุรา คุณหญิงจูไล่สุนัข ไล่จนไปถึงทางสามแยก หมูหนึ่งขา วัวหนึ่งขา เตะขึ้นไปบนหลังคาบ้านคุณยาย สาวน้อยกระโดดขาเดียวออกมา ทางสามแยก…” 


 


 


ได้ใช้เวลาในค่ำคืนที่นอนไม่หลับในวังหลวง เมื่อเหล่าขุนนางไปราชการในยามเช้า วังหลวงก็ยังคงเป็นเหมือนวันก่อนๆ ดินโคลนที่ไหม้เกรียมเมื่อคืนนี้ถูกจัดแต่งด้วยดอกไม้สวยสดงดงาม เบ่งบานท่ามกลางแสงแดดและน้ำค้าง เพียงแต่ว่ากลับไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายร่ม ชาววังเดินขวักไขว่ไปมา ยังคงทำความเคารพทักทายกันอยู่อย่างเดิม 


 


 


หลานหลิงถูกจั่งซุนเลี้ยงดูมาแต่เด็ก ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้นางกลัวมาก อยากจะหาไหล่ที่มั่นคงให้พึ่งพิง น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ให้อ้อมกอดแก่นางไม่ได้ พระสนมคนอื่นๆก็เช่นกัน ท่านแม่ของนางจากไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครคอยปลอบนาง แล้วก็ไม่มีใครกอดนางเข้านอน ยังดีที่หลานหลิงฉลาดพอจึงหาอ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแรงมากที่สุดให้แก่ตัวเอง นางได้ยินเพลงที่พี่ชายร้องกล่อมในความฝัน นี่คือสิ่งที่นางแลกมาด้วยความฉลาด ดังนั้นนางจึงไม่ยอมรีบตื่นขึ้นมา 


 


 


ดังนั้นตอนที่จั่งซุนมาถึงที่ตำหนักเฉิงไท่จึงได้เห็นหลานหลิงนอนอยู่ในอ้อมกอดของหลี่ไท่ บนตัวถูกห่อด้วยเสื้อคลุมของหลี่ไท่ เท้าเล็กนุ่มๆ ทั้งสองข้างอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ย ไม่เช่นนั้นหากถูกยุงกัดทั้งคืน เท้าทั้งสองข้างคงดูไม่ได้ 


 


 


เมื่อคืนหลี่ไท่นอนคิดทั้งคืน จนถึงย่ำรุ่งจึงได้ผล็อยหลับไป ส่วนอวิ๋นเยี่ยนั้นหลับไม่รู้เรื่องไปเสียตั้งนานแล้ว อาจเป็นเพราะว่าปล่อยวางต้นเหตุของเรื่องราวต่างๆ ในใจแล้ว และไม่ได้รับรู้ถึงการมาของจั่งซุน 


 


 


เห็นทั้งสามคนที่กำลังหลับใหล จั่งซุนจึงได้เดินออกไปแล้วสั่งให้นำผ้าห่มไปห่มให้พวกเขาทั้งสามคน นางรู้สึกว่าอย่าทำลายสิ่งสวยงามจะดีกว่า 


 


 


กงซูมู่ถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงแต่เช้า หลังจากที่ตรวจสอบความเสียหายของตำหนักกันลู่แล้วจึงทูลต่อจั่งซุนว่า “ฮองเฮา ตำหนักกันลู่นั้นเสียหายร้ายแรงมาก ไม่สามารถซ่อมแซมได้ มีทางเดียวคือต้องสร้างขึ้นใหม่ ตำหนักกันลู่มีขนาดเล็กกว่าตำหนักว่านหมินอยู่มาก รากฐานตำหนักไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างตำหนักว่านหมินก็กำลังจะสร้างเสร็จแล้ว แต่วัสดุก่อสร้างยังเหลือเยอะอยู่ กระหม่อมคิดว่าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าซ่อมแซมเสียอีก จะจัดการอย่างไร จะเริ่มงานเมื่อไหร่ ฮองเฮารับสั่งได้เลย” 


 


 


จั่งซุนขมวดคิ้วมองไปที่ตำหนักกันลู่ที่พังยับเยิน รู้สึกว่าหากจะซ่อมแซมคงเป็นไปได้ยาก จึงบอกกับกงซูมู่ว่า “อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง แน่นอนว่าคำแนะนำของท่านนั้นเป็นไปได้มากที่สุด เช่นนั้นก็สร้างใหม่เถิด ไม่ต้องสร้างหรูหรามากเกินไป ขอแค่สงบร่มเย็นก็พอ” 



 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 17 อู๋เสอกลับบ้าน

 

ราชวงศ์ไร้ความปราณี มีแต่ความเยือกเย็น ไม่มีความผูกพัน อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่พึ่งจะตื่นขึ้นมาก็ถูกจั่งซุนไล่ออกจากวังหลวง ไม่ให้กินแม้กระทั่งข้าวเช้า ต้วนหงที่ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าพันแผลเดินขากะเผลกมาทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เข้าใจคนเก่งอย่างเขาจริงๆ ทั้งๆ ที่กระดูกข้อต่อผิดตำแหน่งแต่ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ได้เหมือนไม่เป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นี่คือเหตุผลอะไรกัน 


 


 


ยอดฝีมือย่อมมีศักดิ์ศรีของยอดฝีมือ ต้วนหงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทั้งร่างกายของเขาบิดเบี้ยวไปหมด อวิ๋นเยี่ยมองดูข้อต่อของร่างกายเขาที่ผิดรูป ใบหน้าบิดเบี้ยว หัวของเขาดูเหมือนจะแหลมขึ้น อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่พากันอ้าปากค้าง 


 


 


“โบราณมีคำพูดที่ว่าไก่ขันหมาขโมย ดูแล้วตอนนี้เจ้าก็คือหมาขโมยที่สามารถเดินผ่านในสถานที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ คงต้องเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางในอดีตอย่างแน่นอนจึงมีความสามารถพิเศษ ทักษะนี้ทำให้ต้วนหงต้องทนทุกข์ ความโหดร้ายของมันแม้แต่ข้ายังรู้สึกกลัว” 


 


 


อู๋เสอหัวล้านสวมชุดสีครามเดินออกมาจากวังหลวง เห็นอวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจกับทักษะของต้วนหงจึงอธิบายไปหัวเราะไป 


 


 


ต้วนหงสั่นสะท้านไปทั้งตัวสักพักก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที เขาคุกเข่าลงเพื่อคำนับอู๋เสอแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยินดีกับท่านด้วยที่ทำภารกิจสำเร็จไปได้ด้วยดี ตอนนี้ได้เป็นอิสระแล้ว ต้วนหงขอแสดงความยินดีกับท่าน!” 


 


 


อู๋เสอพยุงต้วนหงขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ วันนี้ของข้าก็คือพรุ่งนี้ของเจ้า ค่อยปกป้องฝ่าบาทไว้ให้ดี นี่คือหน้าที่ของขันทีอย่างพวกเรา ถึงแม้จะไม่มีผู้สืบทอด แต่พวกเราก็มีวิธีส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หลังจากที่ตายไปก็จะไม่ถูกลืม ข้าจะเป็นผู้บุกเบิกเพื่อนำทางให้กับพวกเจ้า” 


 


 


ต้วนหงน้ำตาไหลทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจ เมื่อคืนไอ้หมอนี่ยังดูเป็นคนดื้อรั้นแล้วยังชอบทำท่าทางยิ้มเยาะ แต่ตอนนี้กลับร้องไห้เสียใจเพราะประโยคนี้ประโยคเดียว 


 


 


อู๋เสอหัวเราะแล้วตีไหล่ต้วนหงไปหนึ่งหน จากนั้นก็หันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหวตอนนี้ข้ามีแต่ตัวไม่มีที่ให้ไป ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตามสัญญาแล้ว บ้าน รถม้า คนรับใช้ แม่ครัว เงิน ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว ข้าดูไว้นานแล้วว่าหอขนาดเล็กสวยงามตรงข้ามกับแม่น้ำตงหยางที่สำนักศึกษา เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของคนโสดอย่างข้า ข้าเลือกที่นี่ก็แล้วกัน” 


 


 


“เจ้านี่ช่างเลือกเสียจริง อย่าได้ดูถูกหอเล็กๆ หลังนั้น การตกแต่งข้างในนั้นประณีตเป็นที่สุด แม้แต่กล่องลูกกวาดของสนมหยางก็ยังเทียบไม่ได้ เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของพระสนมผู้เป็นที่รัก หากคนแก่อย่างเจ้าไปอาศัยก็คงจะทำให้หอหลังนั้นพังไปเสียเปล่า” 


 


 


“ข้าเป็นทาสมาทั้งชีวิต ตอนนี้สามารถตัดสินใจเองได้แล้ว แน่นอนว่าข้าต้องเลือกสิ่งที่มีราคา ไม่ใช่เลือกสิ่งที่เหมาะสม เช่นนั้นข้าก็จะเลือกหอเล็กหลังนั้น ฮ่าๆๆ” 


 


 


ต้วนหงมองอู๋เสออย่างอิจฉา อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ขึ้นรถม้าไป ออกจากวังหลวงพร้อมกับองครักษ์กลุ่มใหญ่ คำพูดของอู๋เสอดูเหมือนว่ายังคงดังก้องอยู่ในหู รู้สึกมีกำลังใจขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรเสียตัวเองก็จะมีวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว หากถึงเวลานั้นได้ไปอยู่ที่สำนักศึกษาก็พอใจแล้ว 


 


 


หมาน้อยอายุสิบหกปียังคงขายชาอยู่ที่ร้านซันสือหลี่ สุขภาพของแม่เริ่มดีขึ้นมากแล้ว ชายหนุ่มรูปงามไม่สนใจสายตาเร่าร้อนของคุณหนูเมืองฉางอันเหล่านั้น ยกน้ำชาไปให้สาวๆ อย่างร่าเริง ถึงแม้มักจะถูกจับมือ แต่ว่าตอนนี้ในกระเป๋ามีปิ่นปักผมอยู่สามอันแล้ว เห็นแก่เงินที่ได้จึงยังคงยิ้มหวานอยู่ 


 


 


มีเพียงรถของท่านโหวเท่านั้นที่กล้าวิ่งเร็วเหมือนหมูป่าบนถนนสายนี้ ท่านย่า ฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรองนั้นเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ พวกเขาจะสั่งคนขับรถของตระกูลอวิ๋นไม่ให้ขับเร็วเช่นนี้ ฝุ่นคลุ้งกระจายมาหยุดที่ข้างโรงน้ำชา เสียงของอวิ๋นเยี่ยดังออกมา “หมาน้อย ขอชาร้อนหนึ่งเหยือก เร็วๆ ด้วย ขอบะหมี่เย็นฝีมือแม่เจ้าอีกสามชาม ใส่พริกเผาเยอะๆ” 


 


 


หมาน้อยผู้ร่าเริงรีบตอบรับโดยเร็ว รีบส่งเหยือกชาร้อนเข้าไปในรถม้าก่อน จากนั้นก็เข้าไปหยิบบะหมี่เย็นสามชามจากหลังโรงไผ่ส่งเข้าไป 


 


 


ท่าทางเย่อหยิ่งของเจ้าของรถม้าได้ดึงดูสายตาเอือมระอาจากสาวๆ กลุ่มใหญ่ พวกนางเห็นองครักษ์จำนวนมากอยู่หลังรถม้าจึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ บรรยากาศอันอบอุ่นได้ถูกหมูป่าทำลายไปเสียแล้ว นี่คือสิ่งที่พวกนางคิดเป็นเสียงเดียวกัน 


 


 


อู๋เสอรับบะหมี่เย็นมาหนึ่งชาม เหลือบมองไปที่นิ้วของหมาน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงร้องเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ คว้ามือไปจับแขนของหมาน้อยคนนั้นไว้ แยกนิ้วทั้งห้าของเขาออกจากกัน มีเพียงเสียงข้อต่อที่ดังขึ้น ดูเหมือนว่ามือของหมาน้อยคนนั้นจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย 


 


 


หมาน้อยที่อดทนต่อความเจ็บได้สักพักก็ดึงมือกลับมา มองอู๋เสอด้วยความโกรธ เพราะว่าคนคนนี้เป็นแขกของท่านโหวจึงไม่สามารถล่วงเกินได้ ทำได้เพียงแค่อดทน แต่ด้วยมีชาติกำเนิดเป็นทหาร หมาน้อยคนนี้จึงยังคงกำหมัดแน่น 


 


 


“เด็กน้อย ข้าคิดว่ากระดูกของเจ้านั้นวิเศษมาก ฉลาดและหน้าตาดี เหมาะแก่การฝึกศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าอายุจะเยอะไปหน่อย แต่ว่ายังมีข้าอยู่ เจ้ายังคงมีหวังที่จะได้เป็นยอดฝีมือ หากเจ้ายอมเรียกข้าว่าท่านปู่ ข้าจะยอมสอนเจ้า” 


 


 


อู๋เสอพูดประโยคนี้อย่างจริงจังมาก ไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด อวิ๋นเยี่ยหันไปมองเด็กคนนั้นแล้วพยักหน้า ในใจก็หวังว่าอู๋เสอจะสามารถรับหมาน้อยเป็นลูกศิษย์ได้ 


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยพยักหน้าผงกหัว ก็รู้ได้ทันทีว่าชายแก่ที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา จึงกัดฟันพูดว่า “ดูจากอายุของเจ้าแล้วจะให้ข้าเรียกว่าท่านปู่ก็ไม่เสียหายอะไร แต่ว่าก็ให้ข้าได้เห็นเสียหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง” 


 


 


อู๋เสอยิ้มจนตาหยี เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นกรงเล็บ เขาคว้าท่อนไม้อันล้ำค่าบนรถม้าตระกูลอวิ๋นด้วยกรงเล็บมือข้างเดียวแล้วส่งให้หมาน้อยคนนั้น หรี่ตามองรอหมาน้อยคนนั้นเรียกเขาว่าท่านปู่ 


 


 


ทหารเก่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยขายน้ำชาเตะไปที่ขาของหมาน้อยคนนั้น โน้มตัวลงแล้วพูดกับอู๋เสอว่า “อาจารย์เป็นผู้มีความสามารถ ได้เห็นเจ้านี่เป็นเหมือนหลานนับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว พ่อของเขาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ของเขาเลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวมาจนเติบใหญ่ ไม่ค่อยมีเวลาได้อบรมสั่งสอน ขอท่านอย่าได้โกรธเคือง” 


 


 


อู๋เสอพยักหน้า ถึงตอนนี้หมาน้อยคนนั้นก็ได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเรียกเขาว่าท่านปู่ เมื่อได้ยินหมาน้อยคนนั้นเรียกตัวเองว่าท่านปู่ อู๋เสอก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุด หยิบป้ายเงินเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หมาน้อย “นี่คือป้ายสังกัดของข้า เจ้านำป้ายไปหาข้าที่สำนักศึกษาหลังจากนี้สามวัน” 


 


 


เห็นหมาน้อยยกสองมือขึ้นมารับป้ายเงิน อู๋เสอก็สั่งให้รถม้าออกเดินทาง ได้บังเอิญเจอต้นกล้าดีๆ ทำให้อู๋เสอรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก อยากจะไปให้ถึงสำนักศึกษาเร็วๆ เพื่อหาลูกศิษย์ให้ได้เยอะขึ้น เขารอนาทีนี้มาตั้งนานแล้ว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยวางชามเปล่าในมือลง ยื่นมือไปให้อู๋เสอแล้วพูดว่า “ที่จริงข้าก็เป็นคนที่มีกระดูกวิเศษเช่นกัน เพียงแต่ว่าข้ามักจะถ่อมตนมาตลอด ไม่ค่อยชอบโอ้อวด อาจารย์อู๋เสอ ท่านช่วยดูมือของข้าทีว่าเป็นมือหนึ่งในล้านหรือไม่” 


 


 


หลี่ไท่ที่กำลังกินบะหมี่เย็นถึงกับสำลัก เกือบจะพ่นบะหมี่เย็นออกมา หันไปมองอวิ๋นเยี่ย แล้วหันไปมองอู๋เสอ จากนั้นก็ก้มหัวแล้วกินบะหมี่เย็นของตัวเองต่อไป  


 


 


อู๋เสอมองดูมืออ้วนๆ ของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดออกมาว่า “มือของเจ้าเหมาะแก่การทำข้าวเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การทำอย่างอื่น” พูดจบก็ถือชามบะหมี่เย็นขึ้นมาตักใส่ปากเคี้ยวแล้วไม่หันไปมองอวิ๋นเยี่ยอีก  


 


 


อวิ๋นเยี่ยดึงฝ่ามือกลับมา พูดกับหลี่ไท่ด้วยอารมณ์ทั้งเขินทั้งโกรธว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้ากับข้าต้องตั้งใจศึกษาวิธีการทำสิ่งนั้นในห้องใต้ดินที่บ้านข้า หลังจากที่ทำได้แล้วก็รีบไสหัวไป หากมีเจ้าอยู่จะทำให้ข้าโชคร้าย” 


 


 


หลี่ไท่วางชามลง พูดกับอู๋เสอด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่วยหลอกเขาเสียหน่อยไม่ได้หรือ เหตุใดต้องพูดความจริงด้วย เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลาพวกเจ้าทะเลาะกันทีไรสุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือข้า” 


 


 


สำหรับเจ้านายเก่าแล้วอู๋เสอเพียงแค่หัวเราะไม่ได้พูดอะไร เขายังคงกินบะหมี่เย็นของตัวเองต่อไป เขารู้สึกถึงความเคารพจากคำพูดของหลี่ไท่ หลี่ไท่เองไม่ได้มีอิริยาบถทำตัวมีอำนาจเหนือผู้อื่นอีกต่อไป เขารู้สึกมีความสุข และอยากอยู่ในโลกที่เป็นของตัวเองให้เร็วขึ้น 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเข้าใจความคิดของอู๋เสอจึงได้เรียกองครักษ์ประจำตระกูลมาแล้วบอกให้เขาจัดการบางอย่าง องครักษ์ประจำตระกูลผู้นั้นรีบควบม้าไปที่จวนตระกูลอวิ๋นทันที 


 


 


เมื่อถึงจวนตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยก็ไล่ให้อู๋เสอลงรถ “เจ้าไปนั่งรถของเจ้า ไม่ต้องมานั่งเบียดข้า โต๊ะน้ำชาทำจากไม้จันทร์อย่างดีเจ้าก็ทำพัง แล้วก็ไม่ต้องไปที่บ้านข้า เจ้ามีบ้านเป็นของตัวเองก็กลับบ้านเจ้าไป จำไว้หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้มากินข้าวบ้านข้า ไม่อนุญาตให้ทำของในบ้านข้าพัง มือของข้าที่ใช้สำหรับทำกับข้าวนั้นไม่สามารถต้อนรับเจ้าได้” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างเด็ดขาด แต่ว่าอู๋เสอกลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เขาคว้าสัมภาระของตัวเองแล้วลงจากรถ เห็นเพียงรถม้าจอดอยู่ที่ทางแยก คนใช้หนุ่มสวมชุดสีครามเข้ามาทักทายแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ข้าน้อยรอท่านมาสักพักแล้ว” อู๋เสอขึ้นรถม้าของตัวเองด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นไปหมดแล้วมองดูข้างใน รถม้าดูธรรมดา เทียบไม่ได้กับรถม้าในวังหลวงของเขา ไม่ได้ตกแต่งด้วยทองคำและเงิน ไม่มีผ้าไหมหรูหราตกแต่งในรถม้า มีเพียงผ้าสีครามดูเรียบง่าย ม้าสองตัวที่ลากรถก็เป็นม้าธรรมดา สรุปก็คือเป็นเพียงแค่รถม้าธรรมดาคันหนึ่ง แต่มันช่างเหมาะกับตัวเขาเป็นอย่างมาก นี่เป็นของสิ่งแรกที่ตัวเองมีในโลกใบนี้ เขาเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขากับอวิ๋นเยี่ยคุยกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีมันได้ในชั่วพริบตา สิ่งนี้ทำให้อู๋เสอแทบจะหลั่งน้ำตา 


 


 


“ท่านปู่ ที่บ้านได้เตรียมน้ำไว้อาบเรียบร้อยแล้ว แม่บ้านเฟิงซันให้ข้าถามท่านว่าท่านชอบกินบะหมี่หรือว่าชอบกินข้าว” 


 


 


เด็กน้อยพูดยืดยาวไม่หยุด มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น แต่อู๋เสอกลับรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก มองดูเด็กหนุ่มที่กำลังบังคับม้าแล้วพูดว่า “เจ้าชื่ออะไร” 


 


 


“ข้าชื่อเสี่ยวหม่าน ปีนี้อายุสิบห้าปี พ่อบ้านตระกูลอวิ๋นซื้อข้ามาจากตลาดเพื่อให้ข้ามารับใช้ท่านปู่ แล้วยังบอกอีกว่าเงินที่ซื้อข้ามาจะถูกหักจากเงินเดือนของท่านปู่ ท่านปู่ เงินเดือนคืออะไร” 


 


 


“ฮ่าๆ เงินเดือนคือค่าแรง แต่ว่าค่าจ้างของข้าไม่ได้มาจากตระกูลอวิ๋น แต่มาจากสำนักศึกษา เสี่ยวหม่าน เจ้าขับรถช้าลงหน่อย ม้าสองตัวนี้ยังทำงานร่วมกันได้ไม่ค่อยดี เดี๋ยวจะเป็นอันตราย…” 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับถึงบ้าน ซือซือก็วิ่งมาบอกว่าตอนนี้ตัวเองได้รู้จักตัวหนังสือมากมาย แล้วยังบอกอีกว่าอาจารย์ได้ทดสอบตัวเองอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยมองไปที่มุมกำแพงด้วยความเคยชิน เห็นเด็กผู้หญิงกำลังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ นั่นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเสี่ยวอู่ ซึ่งเป็นคนคะยั้นคะยอให้ซือซือมาหาเขา ความจริงแล้วนางเองต่างหากที่อยากจะอวดกับอวิ๋นเยี่ย กลัวอวิ๋นเยี่ยจะไม่รู้จึงได้โผล่หัวออกมาเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงนี้เช่นกัน 


 


 


เด็กผู้หญิงคนนี้น่าเป็นห่วง พ่อของนางเสียชีวิตไปแล้ว แม่ก็พาพี่สาวและน้องสาวกลับไปที่ดินแดนเสฉวน มีเพียงนางคนเดียวที่ยืนกรานจะอยู่ตระกูลอวิ๋นไม่ไปไหน อู่หยวนชิ่งและอู่หยวนส่วงต้องการให้น้องสาวตัวเองหมั้นกับตระกูลที่มีฐานะร่ำรวยจึงได้มาเอะอะโวยวายที่ตระกูลอวิ๋นอยู่สามรอบ ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้กลับมา เสี่ยวอู่คุกเข่าต่อหน้าซินเย่วแล้วถือกรรไกรไว้ หากให้นางกลับไปนางจะฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้ซินเย่วจึงปฏิเสธคำขอของพี่ชายนางทั้งสองคน 



 

 

 


[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...

 

ตอนที่ 18 ความกังวลของเสี่ยวอู่

 

อยากสอบก็จัดให้ อวิ๋นเยี่ยไม่รอช้า เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีเด็กชอบการสอบ อย่างนี้ต้องได้รับกำลังใจ กระถางธูปหนึ่งอันแขวนอยู่ในศาลาหลังเล็ก นี่คือรางวัลของคนที่ได้ที่หนึ่ง และแน่นอนว่าไม้ไผ่ที่อยู่ในมือคือการลงโทษของคนที่ได้ที่สุดท้าย


 


 


เสี่ยวยา ตง หนาน ซี เป่ยพากันงอแงไม่อยากไปที่ศาลา ท่านน้าพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมเข้าไป หนึ่งคนต่อหนึ่งโต๊ะ อวิ๋นเยี่ยตั้งคำถามบนกระดานดำที่แขวนอยู่บนเสา คำถามเหล่านี้ไม่ยากเกินไป อาจารย์สอนหนังสือในตระกูลเดินมือไขว้หลังคุมสอบ คอยมองดูว่าลูกศิษย์ของตัวเองเขียนคำตอบว่าอย่างไร


 


 


เพียงแค่ทำข้อสอบก็สามารถมองออกว่าปกติแล้วตั้งใจเรียนหรือไม่ มีคนที่นั่งเกาหัว มีคนหันซ้ายหันขวา และแน่นอนว่าย่อมมีคนที่มีความรู้และกระตือรือร้นที่จะเขียนคำตอบ อาจารย์มักจะชอบยืนอยู่ข้างหลังเสี่ยวอู่กับซือซือแล้วผงกหัวอย่างพอใจ เมื่อเห็นเสี่ยวยาท่าทางเหมือนลิงก็เอาแต่ส่ายหัว คณิตศาสตร์ของเสี่ยวตงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เสี่ยวซีถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเสี่ยวหนานและเสี่ยวเป่ยก็พยายามจะตอบคำถามสองสามข้อ กระดาษของเสี่ยวยาเต็มไปด้วยจุดสีดำทำให้อวิ๋นเยี่ยมองแล้วรู้สึกปวดหัว หลี่ไท่หยิบข้อสอบของซือซือและเสี่ยวอู่มาดู จากนั้นก็หยิบพู่กันหมึกแดงเขียนลงในกระดาษข้อสอบตัวใหญ่ว่าหนึ่งร้อยคะแนน สาวน้อยสองคนมีความสุข ดึงแขนหลี่ไท่ทำตัวออดอ้อนไม่หยุด


 


 


เสี่ยวยานอนพาดบนเข่าพี่ชายรอโดนตี นางรู้ว่าตัวเองทำข้อสอบได้ไม่ดี อวิ๋นเยี่ยยกไม้ไผ่ขึ้นมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำใจตีไม่ได้ สาวน้อยกัดฟันหลับตาปี๋ ท่าทางเตรียมพร้อมโดนตีทำให้รู้สึกว่าน่าสงสาร ช่างเถิด ถึงแม้จะตีที่ก้นนาง แต่ตัวเองก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ใจไปหลายวัน ต่อให้เสี่ยวยาไม่เจ็บก้นแล้ว ออกไปวิ่งเล่นได้แล้ว แต่ตัวเองก็ยังคงเสียใจอยู่ ไม่ยุติธรรมเสียเท่าไหร่ ใช้ฝ่ามือตีไปที่ก้นนางหนึ่งที อุ้มนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “ช่วยตั้งใจหน่อย ในบ้านนี้เจ้าเป็นคนที่เรียนมาเป็นเวลานานที่สุด แต่กลับสอบได้คะแนนแย่ หากในอนาคตหาแม่ย่าที่ดีไม่ได้จะแย่เอา”


 


 


เสี่ยวยากอดพี่ชายด้วยความดีใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่ที่นี่ดูแลท่านย่า เชื่อฟังพี่ชาย ข้าจะไม่แต่งงานในชาตินี้” พูดจบก็หยิกไปที่แก้มของอวิ๋นเยี่ย


 


 


แค่นี้ก็พอใจแล้ว เด็กผู้หญิงตราบใดที่พวกนางจิตใจดีก็ไม่มีอะไรต้องน่ากังวล เสี่ยวยาเป็นเด็กดี แต่ว่าเป็นเพราะตัวเองตามใจมากเกินไปทำให้นางติดเป็นนิสัย จะโทษเสี่ยวยาคนเดียวคงไม่ได้


 


 


คนในตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยฉลาด ยกเว้นต้ายาที่ชอบอ่านหนังสือ นอกนั้นก็ไม่มีใครชอบอ่านหนังสือแล้ว ต้ายาใช้ความพยายามอย่างมากในการอ่านหนังสือเหล่านั้นให้จบ เมื่อไม่กี่วันก่อนบอกอวิ๋นเยี่ยว่ารู้สึกตาพร่ามัวเวลามองที่ไกลๆ ตัวเองจะตาบอดหรือไม่ นางกลัวจนร้องไห้ออกมา


 


 


นางอ่านหนังสือจนสายตาเสีย กลายเป็นคนสายตาสั้นไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยตรวจดูตาของต้ายาอย่างละเอียด ซุนซือเหมี่ยวบอกว่าความชั่วร้ายกำลังก่อตัวขึ้นภายใน ต้องกินยาเพื่อฟื้นฟูสายตา และยังสนับสนุนให้ต้ายากินเครื่องในของหมูและแกะเยอะๆ


 


 


หากจะกินยาจีนให้ได้ผลต้องค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ อวิ๋นเยี่ยทำได้แต่ทำแว่นให้ต้ายา เขาหาคริสตัลที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่ช่างฝีมือไม่เข้าใจความโค้งของแว่นตา ทำตามคำขอของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องทำการศึกษาไปอย่างช้าๆ


 


 


ได้อันดับหนึ่งมีอยู่สองคน อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เสี่ยวอู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง เขาไม่ลังเลที่จะตัดสินว่าเสี่ยวอู่เป็นผู้ชนะหลังจากที่ดูความเรียบร้อยของข้อสอบ ซือซือแสดงความยินดีกับเสียวอู่อย่างเต็มใจ


 


 


เสี่ยวอู่พึ่งจะคลายมือจากที่กำกระโปรงไว้แน่น นางหันไปมองซือซืออย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยที่ในมือถือกระถางธูปกำยานแล้วพูดว่า “อาจารย์ ข้าไม่อยากได้กระถางธูปกำยาน ข้าแค่อยากขอร้องอาจารย์เรื่องหนึ่ง”


 


 


“เรื่องอะไร หากอาจารย์ทำให้ได้ก็จะรับปากเจ้า เสี่ยวอู่สอบได้ที่หนึ่ง ก็ควรจะให้กำลังใจ รีบลุกขึ้นมาบอกกับอาจารย์ บ้านเราไม่นิยมคุกเข่า หัวเข่ามีเอาไว้เดิน ไม่ใช่มีเอาไว้คุกเข่า ลูกศิษย์สำนักข้าไม่แบ่งแยกชายหญิง หัวเข่านั้นเป็นสิ่งสำคัญ”


 


 


เสี่ยวอู่ที่ร้องไห้อยู่รีบลุกขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่ชายของข้าต้องการให้ข้าแต่งงานเพื่อแลกเงิน ข้าไม่อยากแต่ง ข้าอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ข้า ข้าอยากรู้ว่าใครจะกล้าเอาเจ้าไปแลกเงิน หากจะเอาไปแลกคนคนนั้นควรจะเป็นข้า เสี่ยวอู่ของข้าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตีราคาไม่ได้ ในโลกใบนี้มีไม่กี่อย่างที่ไม่สามารถตั้งราคาได้”


 


 


เสี่ยวอู่ยิ้มขึ้นมาทันที แต่กลับทำหน้าเศร้าอีกครั้งแล้วพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาเป็นพี่ชายข้า ท่านพ่อของข้าไม่อยู่แล้ว ตามกฎของผู้หญิง ข้าต้องเชื่อฟังพี่ชายของข้า”


 


 


“เจ้าเด็กโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ของเจ้ามีฉายาว่าวายร้ายเมืองฉางอัน ในเมื่อมีฉายานี้จะทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อยจะเป็นไรไป หากพี่ชายของเจ้ากล้ามาที่บ้านอีก ข้าจะตีขาของพวกเขาให้หัก เจ้าก็อ่านหนังสือ หรือเที่ยวเล่นให้สบายใจเถิด เรื่องอื่นๆ ให้อาจารย์เป็นคนไปจัดการเอง รับรองได้ว่าถูกต้องเหมาะสม ไม่มีปัญหาแน่นอน” พูดจบก็นำกระถางกำยานเกี่ยวไว้บนเข็มขัดของเสี่ยวอู่ ชี้ไปที่เด็กน้อยสองสามคนที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านนอกศาลา ให้นางไปเที่ยวเล่นด้วยกัน


 


 


หลี่ไท่กุมขมับแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย เหตุใดเวลาสั่งสอนคนเจ้าจึงเลือกใช้วิธีนี้ตลอด เอาแต่บอกว่าจะหักขาคนนั้น จะหักขาคนนี้ สุดท้ายพอถึงตอนนี้ก็ตีขาหักไปแล้วสองคน หนึ่งในนั้นถูกเจ้าเล่นงานจนเละ นี่ไม่เหมาะสมกับสถานะท่านโหวของเจ้า หากจะจัดการก็ต้องเอาให้ตาย อย่าจัดการเพียงแค่ครึ่งเดียว ทำให้เขาต้องขายขี้หน้าคนไปทั่ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ไหนแต่ไรมาหลี่ไท่ก็ไม่ใช้คนจิตใจดีอยู่แล้ว หลี่หยวนชังจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ความเป็นไปได้ยังคงครึ่งๆ กลางๆ อย่ามองแค่ว่าตอนนี้เขาไม่พูดถึงหลี่หยวนชัง แต่ถ้าหากเขาโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ หลี่หยวนชังต้องได้รับผลกรรมเป็นแน่


 


 


ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนกินบะหมี่เย็นไปแค่ชามเดียว ขนมที่หลานหลิงเอามาก็กินไม่ได้ ตอนนี้หิวจนท้องร้อง คิดมาตลอดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าบะหมี่เซ่าจื่อ[1]แล้ว ไม่สนอาหารหรูหรา อาหารชั้นสูง เมื่ออยู่ต่อหน้าของคนหิวทั้งสองคน อาหารพวกนี้ก็ไม่จำเป็น


 


 


ทั้งสองคนถือชามใหญ่คนละหนึ่งชาม น้ำซุปเปรี้ยวหอมบวกกับเนื้อเป็นรสชาติที่อร่อยที่สุด อวิ๋นเยี่ยได้ลงมือกินแล้ว องครักษ์ของหลี่ไท่วิ่งมาเพื่อจะชิมอาหารของเขาจึงถูกหลี่ไท่เตะไปหนึ่งที ไม่มีกับข้าวอย่างอื่น ทั้งสองคนมีเพียงแค่บะหมี่ชามใหญ่ชามเดียวนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอกห้องครัว ลงมือกินกันอย่างออกรสออกชาติ


 


 


เมื่อบะหมี่หนึ่งกิโลอยู่ในท้องเรียบร้อย ทั้งสองคนที่กินอิ่มจนจุกแล้วก็เตรียมตัวลงไปชั้นใต้ดินเพื่อปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องดินปืน องครักษ์แย่งลงไปที่ห้องใต้ดินก่อน ต้องตรวจสอบทุกตารางนิ้วอย่างละเอียด แม้แต่กำแพงรอบห้องใต้ดินก็ต้องลองใช้หอกแทงเบาๆ จึงจะยอมให้อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ลงไป องครักษ์ร่างใหญ่เฝ้าอยู่หน้าห้องใต้ดิน หากมีใครเข้าใกล้เกินสามศอกก็จะฆ่าทิ้งให้หมด นี่คือคำสั่งที่หลี่ซือหมินให้กับพวกเขาไว้ ดังนั้นพวกคนเหล่านี้จึงทำขั้นตอนการตักเตือนให้ง่ายขึ้น


 


 


ในห้องใต้ดินมีโคมไฟเพียงไม่กี่อันที่ส่องแสงสว่างมายังพื้น อวิ๋นเยี่ยเดินมาอยู่ที่ข้างโต๊ะ หยิบของสามอย่างออกมาจากลิ้นชัก แต่ละอันถูกเทลงบนกระดาษสาอย่างละนิด ส่วนที่เหลือถูกเก็บไว้อย่างดี เขาหันไปพูดกับหลี่ไท่ว่า “ชิงเชวี่ย วัสดุสามสิ่งนี้ใช้สำหรับทำดินปืน นั่นก็คือดินประสิว กำมะถัน ถ่าน เมื่อนำสามสิ่งนี้มาผสมกันจะกลายเป็นดินปืน จำไว้ว่าอัตราส่วนผสมคือเจ็ดต่อสองต่อหนึ่ง ข้าเจาะลึกได้มาถึงเพียงจุดนี้เท่านั้น ที่เหลือเจ้าต้องไปศึกษาด้วยตัวเอง ข้ายังค้นพบอีกว่าหลังจากที่นำสามสิ่งนี้มาผสมให้เข้ากันแล้วใส่ไข่ขาวปั้นให้เป็นก้อนเล็กๆ จะทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสิบส่วน แน่นอนว่าเจ้าต้องไปศึกษาสิ่งนี้ต่อในภายหลัง หลังจากวันนี้ข้าจะไม่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้อีก จำไว้ว่าเวลาคนส่วนผสมให้เข้ากันจะใช้วัสดุที่เป็นเหล็กไม่ได้ ใช้ได้เพียงวัสดุที่เป็นไม้เท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดอันตราย ทั้งพวกทาสเหล่านั้นและเซี่ยวชังเซิง ข้าก็จะไม่ถามความเป็นไปของพวกเขาอีก และเจ้าก็ไม่ต้องพูดให้ข้าได้ยิน”


 


 


เมื่อพูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็หันไปหัวเราะกับหลี่ไท่ เขาปีนขึ้นมาจากห้องใต้ดินอย่างสบายใจแล้วพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “เว่ยอ๋องทำการศึกษาค้นคว้าอยู่ในนี้ หากไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญเป็นพิเศษก็อย่ารบกวนเขา ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที”


 


 


เมื่อเห็นองครักษ์น้อมรับคำสั่งจึงได้เดินจากไปอย่างสบายใจ ในที่สุดก็ทิ้งภาระอันใหญ่หลวงนี้ไปได้แล้ว


 


 


น่ารื่อมู่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน หลายวันมานี้อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาตให้นางนั่งเป็นเวลานาน มักจะบอกให้นางเดินให้มากขึ้นอยู่เสมอ ครั้งที่แล้วที่ซินเย่วให้กำเนิดลูกได้ทิ้งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่ออวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก


 


 


สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำได้คือประคองน่ารื่อมู่เดินเล่น ส่วนในบ้านน่ารื่อมู่เดินจนเบื่อแล้ว นางจึงพาสาวใช้ทั้งสองคนเดินออกไปทางประตูด้านหลัง เดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยหินแคบๆ ไปสู่สนามหญ้า


 


 


ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นชอบถนนที่ปูด้วยหินเป็นอย่างมาก เพียงแค่มีโอกาสก็จะช่วยกันสร้างเส้นทางที่ปูด้วยหิน หมู่บ้านนี้มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดสิบไร่ นี่คือมาตราส่วนที่ได้จากการปลูกมาตลอดต่อเนื่องสามปี อวิ๋นเยี่ยทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อสิ่งนี้ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นอย่างที่หวังแล้ว ขอเพียงแค่เมล็ดพันธุ์ไม่เสื่อมสภาพ ปีหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เตรียมจะปลูกข้าวโพดในพื้นที่ภูเขาใกล้เคียง สำหรับหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้วมันฝรั่งไม่ใช้ของหายากสำหรับพวกเขาอีกต่อไป ในยามเช้าผู้อาวุโสที่อายุมากหน่อยมักจะย่างมันฝรั่งสองหัวกินเป็นอาหารเช้าพร้อมกับดื่มชา กินมันฝรั่งย่างร้อนๆ ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก


 


 


น่ารื่อมู่มองข้าวโพดแล้วหันไปอ้อนอวิ๋นเยี่ย นางอยากกินข้าวโพด ปีที่แล้วนางก็อยากกินแต่ว่าซินเย่วไม่ให้นางกิน ท่านย่าพูดปลอบนางว่าถ้าปีนี้มีข้าวโพดเยอะก็จะได้กิน ตอนนี้ทั้งไร่เต็มไปด้วยใบข้าวโพดเขียวขจี นางคิดว่าแค่นั้นก็เยอะมากพอแล้ว สามีเคยต้มข้าวโพดที่หักใหม่ๆ ให้นางดูว่าอร่อยแค่ไหน คนท้องไม่ควรอยากกิน เพราะถ้าหากอยากกินก็จะหมดความอดทน


 


 


แค่กินข้าวโพดไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าหากลูกในท้องนางอยากกินหงส์ อวิ๋นเยี่ยก็คงทำทุกทางเพื่อที่จะเข้าไปจับหงส์ในสวนหลวงมา ในสวนดอกชบานั้นมีหงส์อยู่มากมายถึงครึ่งทะเลสาบเล็กๆ พวกมันพากันกินปลาในทะเลสาบจนปลาแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว


 


 


ต้นข้าวโพดอวบอ้วนและสูงตรง ฝักข้าวโพดถูกแทรกตามแนวทแยงมุมบนก้านข้าวโพด บนฝักข้าวโพดมีเส้นฝอยสีน้ำตาล เกสรตัวผู้ที่อยู่ด้านบนเริ่มร่วงโรยแล้ว เพียงแค่เขย่าละอองเรณูก็จะร่วงลงมานับไม่ถ้วน


 


 


พืชผักผลไม้ในไร่ของตัวเองจะยังต้องเกรงใจอีกเหรอ อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนสันเขา หักฝักข้าวโพดมาสามฝัก เขาคิดว่าในเมื่อจะกินก็ไม่จำเป็นต้องตระหนี่ จึงหักเพิ่มอีกสิบกว่าฝัก เมื่อเห็นฝักข้าวโพดความยาวหนึ่งศอกถูกองครักษ์ประจำตระกูลแบกจนหนักอึ้งไปหมด ส่วนน่ารื่อมู่เองก็รู้สึกไม่อยากเดินเล่นแล้วจึงได้ชวนอวิ๋นเยี่ยให้กลับไปต้มข้าวโพดให้นางกิน


 


 


สั่งการกับองครักษ์ที่เฝ้าไร่ข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นไว้ว่าให้พวกเขาตัดต้นข้าวโพดที่ไม่มีฝักให้หมด จะได้ใช้เป็นปุ๋ยคลุมดิน


 


 


วั่งไฉไม่เคยกินข้าวโพด อวิ๋นเยี่ยปอกข้าวโพดให้มันหนึ่งฝัก ถือไว้ในมือรอดูมันกินทีละนิดจนหมด ปอกเปลือกข้างนอกออกแล้วเหลือเปลือกอ่อนๆ ข้างในไว้หนึ่งชั้น หากปอกเปลือกข้าวโพดออกจนหมดเวลาต้มจะทำให้ให้ไม่มีกลิ่นหอมหวาน


 


 


 


 


——


 


 


[1] บะหมี่เซ่าจื่อ หรือเซ่าจื่อเมี่ยน มีที่มาจากมณฑลซ่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เป็นบะหมี่น้ำที่มีทั้งเนื้อสัตว์และผักนานาชนิดใน รสชาติออกเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)