เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 12-15
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 12 งานขายที่สมบูรณ์แบบ
“พวกเราสองคนเป็นลูกหลาน ก็ถูกต้องแล้วที่จะต้องเอาใจผู้อาวุโส เราสองคนนำอาหารอร่อยๆ มาแสดงความกตัญญู เสียมารยาทที่ไหนกัน เจ้าเอาสาหร่ายทะเลกลับมาตั้งเยอะแยะจะไม่ขายได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าทหารกองทัพเรือกำลังรอเงินขายสาหร่ายมาใช้เป็นค่าจ้าง ค่าจ้างมีขึ้นเป็นครั้งแรกในกองทัพเรือหลิ่งหนานของเจ้า กองทัพเรือเขตอื่นๆ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเงินค่าจ้าง เพื่อพวกเขาแล้วต่อให้เสียมารยาทก็ต้องลองไปดูสักครั้ง อย่างมากก็อาจจะถูกผู้หญิงเหล่านั้นกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่ได้จะเอาชีวิตพวกเราเสียหน่อย”
ตอนนี้หลี่เค่อมีคุณสมบัติในการเป็นพ่อค้าที่ดีตามมาตรฐานแล้ว ขอแค่ได้กำไรก็ไม่จำเป็นต้องห่วงศักดิ์ศรี สำหรับเขาแล้วการขายสาหร่ายทะเลถือเป็นเรื่องใหญ่ หากราชวงศ์ไม่มีใครกินสาหร่ายทะเล เจ้ายังกล้าหวังให้ราษฎรซื้อสาหร่ายทะเลของเจ้าอีกหรือ
สองคนพากันแบกกล่องใหญ่คนละกล่อง หลี่เค่อได้ขู่พ่อครัวว่าไม่อนุญาตให้บอกเรื่องที่พวกเขาสองคนไปหลังตำหนักแก่พวกผู้ชายที่กำลังพูดคุยเรื่องเส้นทางรวย มิเช่นนั้นจะถูกเฆี่ยน
องค์ชายและท่านโหวจะไปประจบฮองเฮาที่หลังตำหนัก ไม่อนุญาตให้บอกใครทั้งนั้น นี่คือความเข้าใจของพ่อบ้านของหลี่เซี่ยวกง หน้าที่รับผิดชอบของเขาคือห้องครัวไม่ใช่หลังตำหนัก เขาจึงยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อวิ๋นเยี่ยจึงให้รางวัลเขาเป็นเงินหนึ่งเหรียญ
เมื่อผ่านห้องแผนที่จำลองก็ได้ยินเสียงหลี่เซี่ยวกงพูดอย่างดุดันว่ “แคว้นวอมีความสัมพันธไมตรีที่ดีกับแดนไป่จี้มาตลอด แม้ว่าดินแดนซินหลัวจะเข้าข้างเรา แต่ก็มักจะถูกพวกชาวแดนไป่จี้รั้งไว้เสมอ ทำให้เราไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าหากจะบอกว่าที่นั่นไม่มีการควบคุมของแคว้นวอ ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด หากไม่แน่ชัดว่าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ข้าก็จะบัญชาการกองทัพทหารไปปราบแคว้นวอ เพื่อกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่เซี่ยวกงจะไปแคว้นวอหรือไม่ แต่สิ่งที่ตัวเองต้องทำก็คือจะต้องไปหลังตำหนักเพื่อขายสาหร่ายทะเล ในเมื่อโจมตีทางตรงไม่ได้ ยังจะไม่อนุญาตให้ข้าโจมตีทางอ้อมอีกหรือ
ในสวนดอกไม้มีเสียงดังครึกครื้น เต็มไปด้วยสาวใช้และหญิงแก่ที่เดินเข้าๆ ออกๆ แน่นอนว่ามีองค์หญิงที่น่ารำคาญมากมายอยู่ในนั้น อย่างเช่นองค์หญิงหลานหลิงที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ
อวิ๋นเยี่ยและหลี่เค่อเจอกับนางทันทีที่เดินเข้าทางประตูพระจันทร์ เมื่อนางเห็นกล่องใหญ่ๆ สองกล่องแววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา นอกจากตั๊กแตนที่ทำให้คนคลื่นไส้แล้วสิ่งของอื่นๆ จากตระกูลอวิ๋นก็มีแต่ของอร่อยทั้งนั้น แต่ว่าท่านแม่บอกว่านั่นเป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่ประเทศ กินเข้าไปก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรซ้ำยังถือว่าได้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยและพี่สามได้ยกกล่องอาหารขนาดใหญ่มาสองกล่อง ข้างในจะต้องมีของอร่อยมากมายแน่ๆ
เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบนั้นน่ารำคาญแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอย่างลึกซื้ง ที่บ้านของตัวเองก็มีอยู่สองสามคน เป็นเด็กที่ช่างอยากรู้อยากเห็น นี่คือคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของพวกนาง
ดึงแขนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยแกว่งไปมา ออดอ้อนอยากจะกิน แล้วยังให้เขาเปิดกล่องอาหารให้นางดู เหอผู่ที่แก่กว่านางสองปีก็ตามมาด้วย นางไม่ได้สนใจของกินแต่นางสนใจอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นโหว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโดนปลาตัวเล็กตกใส่หัวจนเป็นลมไป เจ้าไม่ดูอ่อนแอเกินไปหรือ”
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่านางยังเด็กจึงไม่ได้สนใจนาง ไม่มีเวลาอธิบายให้นางฟังว่าปลาที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งศอกจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อตกจากที่สูงด้วยความเร็วของแรงโน้มถ่วงโลก เด็กผู้หญิงคนนี้คงไม่เก่งคณิตศาสตร์ นางมักจะแอบอู้เวลาเรียน อาจารย์ของนางควรโดนทำโทษ
เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจตัวเอง เกาหยางก็ไม่ยอมทำตาม จึงดึงแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยแกว่งไปมากับหลานหลิง แต่ว่าเด็กผู้หญิงสองคนนี้มีแรงเท่าอวิ๋นเยี่ยเสียที่ไหน เขาลากพวกนางเดินเข้าไปข้างในด้วย
“อวิ๋นเยี่ย ที่นี่คือตำหนักหลัง เจ้าช่วยอ่อนโยนสักหน่อยไม่ได้หรือ เจ้าดูสิสาวน้อยพากันตกใจกลัวไปยืนหลบอยู่หลังต้นไม้กันหมดแล้ว”
โหวเหลียนเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสองคน เมื่อครู่ก่อนกลุ่มองค์หญิงกำลังอ่านบทกวีอยู่ริมสระบัว ตอนนี้พากันไปหลบอยู่ข้างหลังต้นไม้กันหมดแล้ว หลบก็หลบไปแต่ทำไมต้องใช้พัดปิดครึ่งหน้าแล้วแอบดู ทำท่าทางขยะแขยง น่าจับมาแกล้งหนักๆ เสียจริง
“น้องเหลียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยสงสารข้าเห็นแก่ที่ข้าถูกเฆี่ยนไปหลายร้อยครั้งที่บ้านของเจ้าด้วยเถิด รัชทายาทแต่งงานกับเจ้า คนที่โดนเล่นงานมากที่สุดก็คือข้า ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่ ตอนนี้แค่คิดก็รู้สึกกลัว รบกวนเจ้าช่วยเลิกมองว่าข้าเป็นภาระด้วยเถิด แค่นี้ข้าก็จะรู้สึกเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”
โหวเหลียนเอ๋อร์ใช้พัดปิดปากตัวเองแล้วยิ้ม รีบทำหน้านิ่งแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ชายแต่กลับรังแกเด็กผู้หญิงสองคน ข้าเป็นคนมีเหตุผล ในเมื่อเจ้ากล้ามาตำหนักหลัง ก็เตรียมรอรับความโชคร้ายไว้ให้ดี จริงสิ น้องข้าที่อยู่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็พอได้ ได้ยินมาว่าแอบเปิดดูข้อสอบจึงถูกอาจารย์หลี่กังสั่งให้ไปยกหิน หากสร้างแท่นหินสูงแปดศอกขึ้นมาไม่ได้ก็ห้ามหยุด”
โหวเหลียนเอ๋อร์รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที จีบปากจีบคอแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นพี่ชายของเขา ทนดูเขาถูกลงโทษได้อย่างไร เสียแรงที่แม่ของข้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนอย่างลูกชาย มีพี่ชายที่ไหนทำตัวแบบเจ้ากัน”
“หากข้าไม่เห็นว่าโหวเจี๋ยเป็นน้องชายแท้ๆ เขาก็จะไม่ได้รับโทษเช่นนี้ ผู้ชายอกสามศอก ทำเรื่องที่ผิดก็ต้องได้รับโทษ โดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดข้าจะต้องถูกลงโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในสำนักศึกษาจะไม่มีความเห็นใจ และข้าก็จะไม่เห็นใจ เจ้าลองถามฉู่อ๋องดูว่าตอนที่เขาโดนอัด เขาได้ขอให้ข้าเห็นใจหรือไม่”
เรื่องอื่นสามารถละเว้นได้ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสำนักศึกษา โหวเหลียนเอ๋อร์นึกถึงสภาพน้องชายของนางต้องแบกก้อนหินภายใต้แสงแดดที่แผดเผาก็ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ในที่สุดนางก็ดูเหมือนผู้หญิงขึ้นมาบ้าง
“พี่สะใภ้ หลังจากที่เข้าสู่สำนักศึกษาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย ข้าและชิงเชวี่ยก็ผ่านมาอย่างลำบากลำบน ท่านดูสิหากอดทนได้ถึงสามปีมีใครบ้างที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เสี่ยวเจี๋ยก็จะเป็นเช่นนั้น เพียงแค่ต้องการการฝึกอบรมเสียหน่อย”
“แต่ว่าเขาพึ่งจะอายุสิบห้าปี ร่างกายก็บอบบาง เจ้าลงโทษเขาหนักเช่นนั้น ข้าจะไปฟ้องแม่ให้จัดการกับเจ้า”
มองดูโหวเหลียนเอ๋อร์ที่แม้แต่ท่าวิ่งยังดูสง่างาม หลี่เค่อถามอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ว่า “เจ้าทำให้นางโกรธ มันจะเสียแผนของพวกเราหรือไม่”
“ไม่หรอก เรื่องการสั่งสอนจะละเลยไม่ได้ พี่สะใภ้เจ้าก็รู้ แต่เพียงแค่ต้องการหาทางออกเพราะกลัวจะเสียหน้าเท่านั้น ข้าเตรียมจะเปิดห้องเรียนให้เด็กผู้หญิง ให้บรรดาน้องๆ ของเจ้ามาเรียน อย่างเช่นเกาหยาง หลานหลิง พวกนางเหมาะสมเป็นอย่างมาก สำนักศึกษาเลี้ยงงูไว้ก็เพื่อจะรีดพิษงู แล้วให้พวกนางเขียนบันทึกสังเกตการณ์ทุกวัน”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดจบสองคนด้านหลังก็รีบปล่อยแขนเสื้อของเขา หลานหลิงยิ้มแหย่ๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่อวิ๋นเยี่ย ข้าอยากไปดูผีเสื้อ ส่วนเรื่องของกินก็เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็ดึงเกาหยางที่กำลังหน้าซีดวิ่งหนีออกไป
สองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ช่วยกันแบกกล่องเข้าไปที่ตำหนักหลัง
ตำหนักหลังเต็มไปด้วยสุภาพสตรีชั้นสูง จั่งซุนและภรรยาของหลี่เซี่ยวกงถูกล้อมอยู่ตรงกลาง พากันพูดเรื่องครอบครัวทั่วไป เห็นท่าทางยิ้มแย้มของจั่งซุน คิดไม่ถึงว่านางจะสนใจเรื่องราวของคนอื่น แต่โหวเหลียนดึงท่านแม่ของตัวเองแล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนกำลังโกรธ
จั่งซุนเห็นอวิ๋นเยี่ยกับหลี่เค่อเดินเข้ามา จึงได้ปล่อยมือจากแม่บ้านหยางแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “วันนี้เจ้าก็มาด้วยหรือ ข่าวช่างไวเสียจริง งานมงคลของตระกูลเจ้าก็ยังรู้ ในมือถืออะไรมา”
ทั้งสองโค้งคำนับจั่งซุนแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเราแค่บังเอิญผ่านมาในเวลาที่เหมาะสมพอดี ไม่ได้เตรียมอะไรเข้าวังมาด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ทำอาหารเล็กน้อยเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้อาวุโส ข้าเสียมารยาทแล้ว”
แม่บ้านหยางหัวเราะแล้วพูดว่า “เพียงแค่มีบะหมี่อายุยืนหนึ่งชามก็พอแล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากมาย ท่านโหวเป็นคนลงมือปรุงเองก็ถือว่าเป็นเกียรติมากๆ แล้ว ข้ามักจะได้ยินองค์ชายชมว่าทักษะการทำอาหารของเจ้าไม่แพ้อี้หยาเลย วันนี้ได้กินบะหมี่หนึ่งชามข้าก็รู้สึกว่าที่เหล่าองค์ชายพูดกันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ข้าอยากเห็นอาหารอื่นๆ ที่เจ้าทำ ให้ผู้หญิงอย่างเราได้เปิดหูเปิดตาบ้าง” จั่งซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมกับพยักหน้า
แม่บ้านหยางเชิญให้ฮองเฮาและสตรีผู้มียศถาบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ นั่งลง ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนดูอยู่ข้างนอกเตรียมดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำอะไร
สาหร่ายทะเลรสเผ็ดหนึ่งจานและสาหร่ายทะเลผัดกระเทียมหนึ่งจานได้ดึงดูดผู้คนให้เกิดเสียงเฮฮาดังขึ้น อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าพวกนางทำเพื่อเป็นมารยาท คนที่ไม่เคยเห็นสาหร่ายทะเลจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย นี่เป็นเพียงการสร้างความสนุกสนาน
“นี่คือสาหร่ายทะเลที่ข้าเอามาจากทะเล น่าเสียดายที่คนท้องถิ่นที่นั่นไม่รู้จักมัน มีอาหารเลิศรสเช่นนี้แต่ยังต้องต่อสู้กับความอดอยาก ข้าจึงได้คิดค้นวิธีกินอยู่หลายวิธีสอนให้แก่ราษฎรในท้องถิ่นนั้น ตอนนี้ทุกคนรู้จักการรับประทานอาหารชนิดนี้แล้ว”
จั่งซุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ราษฎรมีความรู้น้อย การที่อวิ๋นโหวช่วยชี้แนะนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว ได้มีผักที่กินได้อีกหนึ่งชนิดบนโลกอาจจะช่วยลดทอนความอดอยากลงได้ เห็นแก่ความตั้งใจของเจ้า ข้าขอลองชิมสักหน่อย”
จั่งซุนใช้ตะเกียบคีบขึ้นมานิดหน่อย หลังจากที่กินเข้าไปก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่เลวเลย รสชาติล้ำเลิศจริงๆ ท่านพี่ทั้งหลายลองชิมดู อวิ๋นเยี่ยบอกว่าอร่อยก็ไม่มีทางรสชาติแย่แน่นอน”
เหล่าท่านหญิงพากันจับตะเกียบ สาวใช้ตักใส่จานให้ทุกคนเล็กน้อย แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกก็มีส่วนแบ่งด้วย เมื่อกินอาหารสองจานนี้แล้ว ทุกคนก็มั่นใจในสาหร่ายทะเลมากขึ้น ทุกคนต่างพากันมองตาแป๋วรออาหารจานต่อไปของอวิ๋นเยี่ย
เมื่อสาหร่ายทะเลกรอบและซี่โครงหมูตุ๋นสาหร่ายถูกยกออกมาสาวใช้ก็พากันตักแบ่งให้ทุกคน สาหร่ายทะเลกรอบชุบไข่กับแป้งทอด มีกลิ่นจางๆ เหมือนปลาทะเล ถูกปากเป็นอย่างมาก ซี่โครงหมูตุ๋นจากสาหร่ายทะเลเป็นอาหารอันโอชะของโลกใบนี้
อาหารที่อวิ๋นเยี่ยเลือกนั้นถูกคัดสรรมาอย่างดี พยายามทำให้อาหารทุกจานสร้างความประทับใจให้กับพวกนาง เขายืนอยู่ข้างๆ จั่งซุนคอยแนะนำข้อดีข้อเสียของอาหารและคุณค่าทางโภชนาการด้วยภาษาที่นุ่มนวลที่สุด แล้วยังปลูกฝังแนวคิดให้กับเหล่าท่านหญิงว่าสาหร่ายทะเลสามารถลดน้ำหนักและเสริมความงามได้ หลี่เค่อตามติดอวิ๋นเยี่ยอย่างใกล้ชิดเพื่อเรียนรู้วิธีการยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนขยะให้เป็นทองคำ ในมือถือสมุดจดไว้หนึ่งเล่ม จดไว้ทุกคำไม่มีพลาด
ทุกครั้งที่ชิมอาหาร อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เหล่าท่านหญิงบ้วนปากแล้วค่อยชิมอาหารจานต่อไป พวกคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อนก็รู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ครั้งแรกที่จั่งซุนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อมีคนยกชามา ก็ยกมาบ้วนปากอย่างคุ้นเคยแล้วบ้วนใส่ถ้วยที่แม่บ้านถือไว้
มีบางคนดื่มชาเข้าไปก็หน้าแดงด้วยความเขินอายทันที แต่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้มีการหัวเราะเยาะแต่อย่างใด แต่บอกเหตุผลในการทำเช่นนี้ในเชิงแนะนำ แล้วยังเล่าเรื่องที่เฝิงอั้งดื่มน้ำล้างมือตอนที่กินปูให้ฟัง ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
จั่งซุนหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นข้าราชบริพารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำเรื่องไม่สมกับฐานะเช่นนี้ ไม่อายหรือ”
“กราบทูลฮองเฮา หากข้างหลังท่านยังมีอีกหมื่นปากท้องที่รอกินข้าวอยู่ ท่านก็จะพยายามทำให้เต็มที่เช่นกัน”
จั่งซุนพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 13 ชัยชนะของการขายที่ขมขื่น
ลมกระโชกแรง เมฆดำจับตัวกันเป็นก้อน คลื่นลูกใหญ่ซัดในทะเล ระหว่างเมฆดำและทะเลมีเรือเดินสมุทรกำลังแล่นไปอย่างยากลำบาก ใบเรือถูกลมพัดกระโชกจนขาด กะลาสีเรือผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นกำลังดึงไม้พายอย่างยากลำบาก ถูกคลื่นซัดขึ้นซัดลง มีบางคนถูกคลื่นลมซัดตกลงไปในทะเล ยังไม่ทันได้ช่วยก็ถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดลงไปก้นทะเลลึก ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ยังคงดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ขยับใบพัดต่อไป หากไม่ทำอะไรเลยเรือก็จะถูกคลื่นซัดจนแตก
เหล่าชายฉกรรจ์ที่ไม่ใส่เสื้อพยายามช่วยกันอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมทิศทางของหัวเรือให้หัวเรือหันหน้าเข้าหาคลื่น เรือมู่หลานลำมหึมาฝ่าคลื่นยักษ์ของทะเลมาได้ หัวเรือฝ่าคลื่นทะเลลอยสูงขึ้นมีเสียงเหมือนกับว่าไม้กำลังจะหัก ชายหนุ่มที่ถือหางเสือถูกมัดไว้ที่ท้ายเรือปล่อยให้คลื่นน้ำเย็นซัดเข้าที่ร่างกายอย่างเต็มแรง เขาพ่นน้ำที่พึ่งกลืนเข้าไป ตะโกนท่ามกลางทะเลเสียงดังว่า มาสิ มาเลย ข้าไม่กลัวพระเจ้าหรอกนะ”
อวิ๋นเยี่ยบรรยายถึงความยากลำบากในทะเลด้วยภาษาที่เหมือนกับบทกวี ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาแล้วพูดต่อว่า “คลื่นค่อยๆ สงบลง เมฆดำทะมึนก็ลอยออกไปไกลแล้วเช่นกัน ชายที่ถือหางเสือผู้นั้นยังคงจับหางเสือไว้แน่น เหมือนกับว่ายังคงต่อสู้กับคลื่นอยู่ กัปตันเรือเดินมาอยู่ข้างๆ เขาแล้วบอกให้เขาไปพักผ่อนได้แล้ว เขาไม่ขยับ กัปตันเรือได้แต่ถอนหายใจ แล้วเอามือไปอังที่จมูกก็พบว่าเขาได้ตายไปแล้วแต่ว่ามือยังคงจับหางเสือไม่ยอมปล่อย ไม่รู้จะทำอย่างไร กัปตันเรือจึงต้องปลดหางเสือเก่าออกแล้วเอาอันใหม่ใส่เข้าไปแทน ใช้ผ้าห่อร่างกายของเขาและหางเสือไว้ให้แน่น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ส่งพวกเขาลงสู่ทะเลด้วยกัน คนบนเรือทั้งหมดยืนขึ้นเพื่อส่งเขาจากไป มีคนร้องเพลงขึ้นมา ข้าจำได้เพียงหนึ่งประโยค นั่นก็คือ ‘ขอให้สวรรค์โปรดคุ้มครองเด็กชายผู้แสนขมขื่นของข้า ขอให้สวรรค์โปรดคุ้มครองเด็กชายผู้แสนขมขื่นของข้า…’”
อวิ๋นเยี่ยร้องเพลงที่ซีถงเคยร้องด้วยเสียงต่ำ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เบาๆ ใครร้องไห้มากที่สุดในที่แห่งนี้กัน คำตอบจะเห็นได้จากตอนนี้ที่ชุดลายหงส์ของฮองเฮาได้เปียกไปหมดแล้ว
“เวลาเล่าอาจจะดูน่าขัน เผชิญกับความยากลำบากอย่างมากมายเพียงเพื่อหาเสบียงให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อเป็นการประหยัดเสบียงอาหาร ชายเหล่านั้นพากันกินสาหร่ายทะเลทุกวัน
ข้าเป็นคนกินจุพวกเจ้าก็รู้ ข้าถูกอาจารย์ตามใจตั้งแต่เด็กจนเสียนิสัย อาหารเคี้ยวยังไม่ทันละเอียดก็กลืนลงไปเสียแล้ว ข้าเพียงทำตามความคิดของตัวเองโดยการนำสาหร่ายทะเลมาแปรรูปใหม่ จนค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดว่าจริงๆ แล้วสาหร่ายทะเลนั้นมีรสชาติดีเยี่ยม ดังนั้นข้าจึงได้นำสาหร่ายทะเลกลับมาเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมจะขายในฉางอัน นำเงินที่ได้มาซื้อเสื้อผ้าใหม่และอาวุธไปเปลี่ยนให้แก่เหล่าทหาร พากันไปดื่มบ้างในยามว่าง แล้วยังมีเงินไปซื้อเสื้อผ้าให้แก่ภรรยาที่บ้านหรือซื้อริบบิ้นราคาห้าเหรียญสวยๆ ให้แก่ลูกสาวก็พอแล้ว
เมื่อครู่เกาหยางหัวเราะข้าที่ถูกปลาตกใส่หัวจนเป็นลมไป นั่นไม่ใช่เรื่องตลกแต่เป็นเรื่องจริง โชคดีที่เป็นปลาตัวเล็กตกใส่หัวข้า เพราะว่าหลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาก็ได้พบว่ามีฉลามตัวหนึ่งน้ำหนักหนึ่งถึงสองร้อยกิโลตกลงมาข้างๆ ข้าจนเนื้อเละไปหมดเหลือเพียงแค่ฟันเท่านั้นที่พาดอยู่บนขาของข้า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็ปาดน้ำตาของเขาอีกครั้ง น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เขาพูดเสียงดังว่า “ข้าถูกตามใจจนนิสัยเสีย ถึงแม้ว่าจะติดตามอาจารย์ไปทุกที่แต่ก็ไม่เคยต้องมาลำบาก ข้าเคยไปที่ทะเลทรายฉ่าวหยวนก็ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหาร เหล่าแม่ทัพ แล้วยังมีคนรับใช้คอยปรนนิบัติอย่างครบครัน แม้ว่าชีวิตที่ฉ่าวหยวนจะยากลำบากไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ทรมาน แต่ครั้งนี้ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
จู่ๆ คำพูดของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนกับแก๊สน้ำตาอีกครั้ง จั่งซุนน้ำตาไหล มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อย แม่บ้านหยางร้องไห้เสียงดังขึ้นมา โหวเหลียนเอ๋อร์ก็ลืมเรื่องที่จะฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยแล้วตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
ไม่เสียแรงที่เป็นพันธมิตรในการทำกิจการที่ดี หลี่เค่อร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าอย่าเสียใจไป ข้าจะซื้อสาหร่ายทะเลเจ้าห้าร้อยกิโล หนึ่งกิโลต่อหนึ่งร้อยเหรียญคงไม่น้อยเกินไป รีบส่งไปที่บ้านข้าเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้ข้าจะกินสาหร่ายทุกวัน เงินที่ได้มาก็เอาไปแบ่งให้พวกทหารเสียหน่อย”
ความเห็นอกเห็นใจทำให้คนตาบอด โดยเฉพาะในเวลาที่ยังไม่ได้สติ สาหร่ายทะเลหลายหมื่นกิโลถูกขายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาตให้พวกนางซื้อมากเกินไป มิเช่นนั้นสาหร่ายแสนกิโลจะไม่เพียงพอให้พวกนางแบ่งกัน
หลานหลิงดึงขากางเกงของอวิ๋นเยี่ย อีกมือหนึ่งถือถุงเงินของตัวเองแล้วพูดว่า “พี่อวิ๋นเยี่ย ข้าก็มีเงิน ข้าอยากซื้อ เงินพวกนี้เอาไปให้ลูกสาวของเหล่าทหารซื้อริบบิ้นสวยๆ ริบบิ้นราคาห้าเหรียญนั้นไม่สวยหรอก”
“ฝันไปเถอะ อย่าคิดใช้เงินไม่กี่เหรียญมาซื้อข้า ข้าเห็นเจ้าเอาอัญมณีสองเม็ดใส่ลงไป เจ้าคิดว่าเงินเพียงแค่นี้จะเลี่ยงไม่ให้เจ้าไปรับโทษที่สำนักศึกษาได้อย่างนั้นหรือ ข้าจะหาอาจารย์ที่ดุที่สุดให้เจ้า แบบที่ไม่กลัวสายเลือดกษัตริย์ ตีฝ่ามือของเจ้าทุกวันหากเจ้าทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนหรือไม่กินข้าว อย่างไรทุกวันเจ้าก็ต้องโดนตี ในสำนักศึกษาไม่มีอาจารย์คนไหนจะมารับผิดแทนเจ้าได้”
หลานหลิงร้องไห้เสียงดัง เพียงครู่เดียวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันมามอง
“หลานหลิงเจ้าเป็นเด็กดีมาก เจ้าอายุยังน้อย เงินพวกนี้เจ้าก็เป็นคนหาเอง เจ้าไม่ต้องซื้อสาหร่ายทะเล หากเจ้าชอบก็มากินที่บ้านข้า” อวิ๋นเยี่ยรีบคืนถุงเงินให้นาง แล้วทำท่าทางเป็นคนดีปลอบใจนาง
“เจ้ารังแกข้า ท่านแม่ อวิ๋นเยี่ยรังแกข้า” หลานหลิงรีบอธิบายอย่างจริงจัง ตัวเองไม่ได้อยากซื้อสาหร่ายทะเลตั้งแต่แรก เพียงแค่อยากให้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กดีเพื่อที่จะไม่ต้องไปรับโทษที่สำนักศึกษา ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเขามองออกแล้วยังโดนขู่อีกด้วย เหล่าผู้อาวุโสยังคงคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนดีที่ไม่ให้ตัวเองควักเงิน มองดูเหล่าผู้อาวุโสมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความเอ็นดู ก็รู้ว่าตัวเองนั้นถูกเข้าใจผิดจนไม่สามารถจะบอกให้ใครรู้ได้ ดังนั้นจึงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ
อวิ๋นเยี่ยและหลี่เค่อเดินออกมาจากวังหลังอย่างเบาสบาย หลี่เค่อพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังไม่หยุดว่ามีองค์ชายซื้อสาหร่ายไปหนึ่งพันกิโล จวิ้นอ๋องซื้อไปห้าร้อยกว่ากิโล จวนองค์หญิงซื้อไปห้าร้อยกิโลและจวนขุนนางซื้อไปห้าร้อยกิโล…
“อย่าลืมเพิ่มจำนวนที่เจ้ารับปากว่าจะซื้ออีกห้าร้อยกิโล” อวิ๋นเยี่ยเช็ดตาที่กำลังแสบร้อน เขาควรจะเลือกขิงอ่อนไม่ใช่ขิงแก่ ตอนนี้แสบตาจนทนไม่ไหวแล้ว
“อวิ๋นเยี่ย ข้าแค่พูดเพื่อเปิดประเด็นให้เจ้า เจ้าคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยซื้อด้วยหรอกนะ” หลี่เค่อรีบบอกปัดทันที เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังแสวงหาประโยชน์จากการขูดเลือดขูดเนื้อ
“ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ที่ข้าทำก็เพราะหวังดีต่อเจ้า เจ้าเป็นคนพูดคนแรกว่าจะซื้อ แต่สุดท้ายที่บ้านกลับไม่มีสาหร่ายแม้แต่กิโลเดียว จะให้คนอื่นมองเจ้าอย่างไร หากถูกมองเป็นคนทรยศเจ้าจะรับไหวหรือ” เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดก็รู้สึกเหมือนตื่นจากฝันทันที หันไปคำนับอวิ๋นเยี่ย ไม่มีทางที่สหายจะหลอกตัวเอง เพียงแต่ว่าสาหร่ายห้าร้อยกิโลจะกินอย่างไรให้หมด นี่คือปัญหาโลกแตก
หลี่ซื่อหมินกำลังจิบชาอย่างช้าๆ ในห้องโถง สมาชิกตระกูลหลี่ทุกคนกำลังพูดคุยกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับอวิ๋นเยี่ย เขาเป็นถึงท่านโหวอย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ให้ทุกบ้านซื้อสาหร่ายสองถึงสามกิโลขึ้นไปก็ถือว่าช่วยสุดๆ แล้ว คราวนี้จะแกล้งอวิ๋นเยี่ยดูบ้าง ถือว่าเอาคืนที่หลอกให้ฮ่องเต้กินตั๊กแตน
รอนานแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา หลี่เต้าจงพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท หรือว่าอวิ๋นเยี่ยเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงทาน้ำมันที่พื้นให้ตัวเองลื่นล้มหัวฟาดพื้นตายไปแล้ว”
หลี่ซื่อหมินส่ายหัว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไอ้เจ้านี่น่ะมีความสามารถอยู่ไม่น้อย การหลบหนีไม่ใช่นิสัยของเขา ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าเขายังมีวิธีบางอย่างที่ยังไม่ได้นำออกมา อีกสักครู่ไม่ว่าอาหารที่เขาทำออกมาจะอร่อยแค่ไหน พวกเจ้าก็แค่กินเข้าไป แต่หากพูดเรื่องขายสาหร่ายทะเล ก็บอกไปเหมือนเดิมว่าไม่ซื้อ ดูสิว่าเขาจะยังมีวิธีอะไรอีก ข้าอยากรู้นัก เกมในวันนี้ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะพลิกกระดานกลับมาได้ รอให้เขายอมแพ้แล้วพวกเราค่อยซื้อสาหร่ายทะเลกลับไปกินก็ยังไม่สาย”
มองดูพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้ว สีหน้าของหลี่ซื่อหมินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลุกขึ้นมาแล้วพูดกับหลี่เซี่ยวกงว่า “มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อวิ๋นเยี่ยต้องหาทางอื่นแล้วแน่ๆ เซี่ยวกง อวิ๋นเยี่ยไปที่หลังตำหนักของเจ้าได้หรือไม่”
หลี่เซี่ยวกงสีหน้าเปลี่ยนไป พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “แย่แล้วไอ้หมอนั่นกับหวยเหรินเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาไปที่ตำหนักหลังหลายครั้งแล้ว หากเขาต้องการจะไปก็จะไม่มีใครห้าม ฮูหยินของข้าก็ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นหลานชาย ไม่เคยสงสัยในตัวเขาเลย”
หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับผู้คนตระกูลหลี่ว่า “ดูแล้วพวกเราคงจะต้องกินสาหร่ายทะเลไปสักพัก อวิ๋นเยี่ยชนะแล้ว พวกเราไม่รอบคอบเอง”
ทั้งห้องมีเพียงแค่หลี่ซื่อหมิน หลี่เซี่ยวกง และหลี่เต้าจงเท่านั้นที่เข้าใจ คนอื่นๆ ยังคงมองหน้ากันด้วยความมึนงง แต่สามคนนั้นหมดอารมณ์ที่จะพูดต่อแล้ว
อวิ๋นเยี่ยล้างหน้าแล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ซับที่ดวงตา รู้สึกว่าตาเริ่มกลับมาสดใสเหมือนเก่าแล้ว เขาเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เห็นผู้คนในห้องต่างพากันจับจ้องมาที่เขา ทำเอาอวิ๋นเยี่ยขนลุกไปหมด
หลี่ซื่อหมินยิ้มแหยๆ แล้วถามว่า “อวิ๋นเยี่ย ฮองเฮาซื้อสาหร่ายทะเลไปเท่าไหร่ พอที่จะให้คนในวังหลวงกินได้ทั้งปีหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฮองเฮาต้องการซื้อห้าพันกิโล แต่กระหม่อมบอกว่าสองพันห้าร้อยกิโลก็พอสำหรับให้คนในวังหลวงกินได้หนึ่งปีแล้ว ที่กระหม่อมเอามาเป็นสาหร่ายตากแห้ง หากนำไปแช่น้ำก็จะหนักขึ้นห้าพันกว่ากิโล ดังนั้นสองพันห้าร้อยกิโลถือว่าเพียงพอสำหรับวังหลวงแล้วขอรับ”
“บอกราคาเรามา เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าขายได้เป็นเงินจำนวนมากมาย” หลี่ซื่อหมินจิบน้ำเพื่อให้อารมณ์ที่บ้าคลั่งของเขาสงบลง พยายามถามด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล
“ไม่แพงเท่าไหร่ขอรับ กระหม่อมไม่กล้าเพิ่มราคา”
“ไม่ค่อยแพงคือราคาเท่าไหร่” หลี่ซื่อหมินถามอย่างรีบร้อน เขาไม่สนใจว่าเสียเงินไปเท่าไหร่ เพียงแค่อยากรู้ว่าการหลอกลวงของอวิ๋นเยี่ยนั้นทำเงินไปได้เท่าไหร่ ตัวเองเสียเปรียบไปมากแค่ไหน
“หนึ่งกิโลต่อหนึ่งร้อยเหรียญเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วขอรับ” อวิ๋นเยี่ยดึงขอบประตูไว้ หากคนเหล่านี้มีปฏิกิริยาแปลกๆ ตัวเองจะได้ปิดประตูหนีได้ทัน คนโง่หลังจากที่ถูกหลอกก็จะรู้สึกโกรธมากเป็นธรรมดา
หลี่ซื่อหมินนั่งลงอย่างเงียบๆ หลี่เต้าจงพึ่งจะดื่มชาเข้าไปก็ต้องสำลักออกมา เขาสำลักอยู่นานจากนั้นก็ถามออกมาว่า “ตอนที่เจ้ารับสาหร่ายทะเลมาจากทะเล สาหร่ายกิโลกรัมละเท่าไหร่”
“องค์ชายโฮ่ว ของแบบนี้เมื่ออยู่ในทะเลไม่สามารถประเมินค่าได้ พวกชาวประมงขายให้ข้าเป็นกองๆ จะให้เงินพวกเขาเท่าไหร่ก็ได้ แต่ว่าค่าขนส่งนั้นเสียไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
หลี่ซื่อหมินและหลี่เซียวกงมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง วันนี้ช่างเป็นวันที่สนุกเสียจริง ตอนนี้ปรมาจารย์ที่เก่งกาจหลายคนที่คิดว่าตัวเองจะชนะก็ถูกอวิ๋นเยี่ยคว่ำกระดานจนได้ ซ้ำยังชนะโดยไม่มีข้อกังขา ตอนนี้คนในตระกูลที่พึ่งจะเข้าใจก็พากันหัวเราะดังลั่น ทำเอาสาวๆ ที่อยู่ตำหนักหลังต้องส่งให้สาวใช้มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 14 รอยยิ้มปีศาจ
คำพูดที่ไม่จำเป็นพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอแค่ทำแล้วมีความสุขก็พอแล้ว หลี่ซื่อหมินหัวเราะและพาจั่งซุนที่กำลังงุนงงกลับวังไปด้วย องค์ชาย ท่านชาย และเหล่าขุนนางต่างก็พาภรรยาตัวเองที่ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยกลับบ้าน นี่คือเกมของเหล่าผู้ชาย แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ ผู้คนตระกลูหลี่มีคุณธรรมในการพนัน พวกเขาไม่ได้ตำหนิภรรยาที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยต่อหน้าผู้อื่น ฮ่องเต้บอกว่านี่คือสิ่งที่สง่างาม ภายหลังยังต้องพัฒนาให้มากกว่านี้อีก เหล่าองค์ชายก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ภูเขาและแม่น้ำมักจะมาบรรจบกันเสมอ พวกเขาทั้งหมดอาศัยรวมกันอยู่ร่วมในฉางอัน อย่างไรก็ต้องเจอกัน
หลี่ไท่ตามอวิ๋นเยี่ยกลับไปที่สำนักศึกษา ตอนที่นั่งอยู่บนรถม้าเขาก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องร้องไห้เสียใจเพียงเพราะสาหร่ายไม่กี่พันกิโล หากต้องการเงินจริงๆ ก็แค่ขายสาหร่าย เงินไม่กี่พันเหรียญไม่เห็นต้องทุ่มเทขนาดนี้ ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ยิ่งไปกว่านั้นการทำแบบนี้ทำให้เสียหน้า คนอย่างหลี่ไท่เป็นคนที่เป็นห่วงเรื่องหน้าตาที่สุด
“เพราะเป็นกฎ กฎนั้นสำคัญมาก ชิงเชวี่ย พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน จะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ หากจะทำเรื่องดีๆ สักเรื่อง ก็ต้องพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสมอ ให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด นี่คือพื้นฐานของการทำความดีที่คงอยู่ตลอดมา สาหร่ายจะต้องได้รับการยอมรับจากชาวฉางอัน วิธีที่เร็วที่สุดก็คือทำให้ราชวงศ์ยอมรับเสียก่อน ของแบบนี้ไม่ได้ซื้อขายแค่ปีเดียว จากนี้ไปสาหร่ายทะเลจะถูกส่งไปที่เมืองใหญ่อย่างฉางอัน ลั่วหยาง และหยางโจวทุกปี นี่คือกิจการ เราต้องใส่ใจมันให้มากๆ เพื่อจะได้ค่อยๆ เติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน การเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ดีจะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายแก่เรา ผู้คนริมทะเลก็จะได้รับผลประโยชน์เพราะสาหร่าย ชาวจงหยวนก็จะมีผักไว้บริโภคมากขึ้น ในอนาคตประเทศก็จะได้เก็บภาษีราคาสูงจากมันด้วย ดังนั้นข้าจะไม่ยอมถอดต้นกล้า ข้ายอมให้ทุกคนค่อยๆ ยอมรับ แต่จะไม่ใช้วิธีเจ้าเล่ห์ ชิงเชวี่ย เจ้าจงจำไว้ ต่อจากนี้หากเจ้าค้นพบกิจการใหม่ เจ้าอย่าได้ไปขัด อย่างน้อยก็อย่าทำให้มันเสียหาย ตัวหนอนที่ยังไม่แปลงร่างเป็นผีเสื้อ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะดีหรือร้าย”
การที่หลี่ไท่ไม่เห็นด้วยกับอวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นเรื่องปกติ “หากหนอนไม่กลายเป็นผีเสื้อแต่กลายเป็นแมลงวันแทนล่ะ ข้าเลี้ยงหนอนมาไม่รู้กี่ตัว สุดท้ายก็โตมาเป็นแมลงวันหมด กลายเป็นหายนะ เช่นนี้ก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของเจ้า ข้ามีสติปัญญามากพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เจ้ายังมีสติปัญญาไม่พอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะเลี้ยงออกมาเป็นแมลงวันซะส่วนใหญ่”
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยปิดบังความคิดของตัวเองกับหลี่ไท่ คิดอะไรก็พูดเช่นนั้น ไม่เคยพิถีพิถันวิธีการพูด หลี่ไท่เองก็ชินแล้ว ดังนั้นเวลาอยู่กับอวิ๋นเยี่ยเขาก็ไม่ได้สำรวมอะไรมากมาย
รถม้าไม่ได้ไปที่สำนักศึกษา แต่เลี้ยวไปทางแม่น้ำป้า กองทัพเรือของหลิ่งหนานประจำการอยู่ที่นั่น เมื่อเข้าไปในค่ายทหารคนติดตามของหลี่ไท่ก็ถูกกักให้อยู่นอกประตูค่าย นี่คือกฎ อวิ๋นเยี่ยได้ลงนามออกเอกสารคำสั่งให้หลี่ไท่เข้าไปในค่ายทหาร นี่ก็เป็นกฎเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในค่ายทหาร หลิวเหรินย่วนไม่ต้องการให้ละเว้นกระบวนการเหล่านี้
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จะมาดูอะไรนอกจากพาหลี่ไท่ไปดูเหล่าทาสที่ไม่มีลิ้น นับว่าพวกเขายังมีความเป็นคนอยู่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ยังรู้จักทำความเคารพ แล้วยังรู้จักขอบคุณพวกคนผิวเหลืองที่ดีต่อตัวเอง
ทั้งหมดสามร้อยสามสิบสี่คน นี่คือจำนวนของคนที่มีชีวิตรอดมาจนถึงฉางอัน มีบางคนที่ระหว่างเดินทางที่ร่างกายประสบความทรมานอย่างรุนแรงจึงค่อยๆ ทยอยตายไป
อวิ๋นเยี่ยตรวจดูปากของพวกเขาอย่างละเอียด มั่นใจว่าพวกเขาทุกคนไม่มีลิ้น พูดกับเซี่ยวชังเซิงที่อยู่ด้านหลังว่า “บอกพวกเขาว่า หากมีใครรู้ตัวหนังสือ ข้าอยากจะจ้างพวกเขาทำงานเกี่ยวกับหนังสือ”
เซี่ยวชังเซิงถ่ายทอดคำพูดของอวิ๋นเยี่ยให้กับคนพวกนั้นอย่างเสียงดัง แต่ไม่มีใครก้าวออกมา ก็จริง ชาวต้าสือคงไม่ให้คนรู้หนังสือขึ้นเรือหรอก
ไม่มีใครก้าวออกมา มีแต่คนส่ายหัว อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดกับเซี่ยวชังเซิงว่า “เซี่ยวชังเซิง ตอนนี้เจ้ามีหนึ่งตัวเลือก เจ้าจะได้กลายเป็นขุนนางอันดับหกของราชสำนักแล้ว หลังจากนี้มีโอกาสสูงที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เจ้าถูกลิขิตให้มีชีวิตที่ไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของเจ้า แต่เจ้าก็ยังมีลูกและภรรยาที่น่ารัก ทั้งชีวิตของเจ้าจะอยู่ภายใต้การดูแลของราชสำนัก คำพูดที่เจ้าพูดกับผู้อื่น ทุกเรื่องจะถูกบันทึกไว้ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน”
“ท่านโหว ไปรับฮวาเหนียงมาเถิด ข้าขอเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งอื่นอีก ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นขุนนางมาครึ่งชีวิต อย่าว่าแต่หลังจากนี้จะไม่ได้พบกันเลย ต่อให้เอาข้าไปขังคุกขอแค่ยังใส่เครื่องแบบของขุนนาง ขอแค่ลูกหลานข้ารุ่นต่อๆ ไปได้เข้ารับราชการ ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไร”
หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยและเซี่ยวชังเซิงที่กำลังสนทนากันอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นอวิ๋นเยี่ยสั่งให้คนนำเงินให้เซี่ยวชังเซิงสองร้อยเหรียญ ให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินที่ฉางอันเป็นเวลาหนึ่งเดือน จึงได้ถามขึ้นมา “อวิ๋นเยี่ย เรื่องราวในวันนี้ต้องสำคัญมากเป็นแน่ ทั้งข้าและเจ้าต่างก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะแต่งตั้งขุนนาง แต่ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ดูมั่นใจเป็นอย่างมาก หรือว่าเจ้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อของข้าแล้ว”
มองดูเซี่ยวชังเซิงที่เดินจากไป อวิ๋นเยี่ยส่ายหัว ชี้ไปที่เหล่าทาสแล้วพูดกับหลี่ไท่ว่า “มีความลับบางเรื่องที่ต้องให้คนพวกนี้ไปทำ เซี่ยวชังเซิงเป็นช่องทางเดียวที่จะสื่อสารกับพวกเขาได้ เว้นแต่ราชวงศ์จะมีตัวเลือกที่น่าเชื่อถือกว่านี้ ข้าก็จะไม่ใช้เขา ตระกูลเจ้ามีคนที่มีความสามารถในการใช้ภาษานี้หรือไม่”
หลี่ไท่ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มี อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามี คนไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้เช่นคนพวกนี้มาทำเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าสรุปคือเรื่องอะไร”
“ข้าบังเอิญค้นพบปีศาจ เมื่อมีของสิ่งนี้ เมืองอันเข้มแข็งรุ่งเรืองทั้งหมดจะกลายเป็นซากปรักหักพัง เจ้าจะเรียกว่าเทพสายฟ้าก็ได้ คือเทพสายฟ้าที่คนสามารถควบคุมได้ ข้าลองสร้างขึ้นมาบ้างแล้ว แต่พลังของมันควรจะยิ่งใหญ่กว่านี้ สิ่งเหล่านี้เจ้าจะต้องไปศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ว่าให้ผู้อื่นช่วยหรือจะศึกษาด้วยตัวเองก็ได้ทั้งนั้น ข้าจะยุ่งกับสิ่งนี้อีกไม่ได้”
หลี่ไท่หน้าซีด เขานึกถึงวันที่เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนยอดตำหนักไท่จี๋ที่มีสายฟ้าแลบอยู่รอบตัว อวิ๋นเยี่ยดูเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาบนโลกมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงได้ส่งเสริมเจตจำนงของเขาในการค้นหาสมบัติจากเมืองที่ยังไม่มีใครรู้จักเหล่านั้น
“ผู้คนสามารถมีพลังของพระเจ้าได้เหรอ” หลี่ไท่มองดูรอบตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงได้ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง
“ชิงเชวี่ย เมื่อเจ้าไปวัดลัทธิเต๋าแล้วจะรู้เอง เทพเจ้าที่แท้จริงก็คือมนุษย์ บรรพบุรุษของเจ้าอย่างเล่าจื๊อตอนแรกก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่ว่าต่อมาถูกคนรุ่นหลังวางไว้บนแท่นบูชา ทำให้มีพลังอำนาจต่างๆ ที่น่าเหลือเชื่อ พลังอำนาจของเทพเจ้านั้นแท้ที่จริงแล้วได้รับมาจากมนุษย์ ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าแค่คนเดียว บางทีบนโลกใบนี้อาจมีเจ้าเพียงคนเดียวที่เข้าใจ รอเจ้าเรียนรู้ลึกซึ้งกว่านี้ ก็จะเริ่มมีเรื่องที่ต้องกังวลมากมายยิ่งขึ้น หลังจากที่เจ้าตามหามันไม่หยุดหย่อน เจ้าจะได้พบความประหลาดที่ว่าเทพและสัตว์ประหลาดทั้งหลายต้องใช้ความรู้ทางกายภาพจึงจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้”
หลี่ไท่เป็นคนที่ใกล้เคียงกับคนสมัยใหม่มากที่สุดในต้าถัง จากการร่ำเรียนมาตลอดหลายปี เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้พบความลับของเทพเจ้าด้วยตัวเอง ตอนนี้ได้ยินว่าตัวเองสามารถควบคุมพลังของพระเจ้าได้ก็ดีใจจนสั่นไปทั้งตัว
อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถมีพลังเหล่านี้ได้ หลี่ไท่เข้าใจดี เขาเองก็เข้าใจดี หากเขาทำเรื่องนี้เอง ก็เหมือนกับการไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งนี้ไม่สำคัญอะไร เขาแค่อยากรู้ว่าเทพเจ้ามีพลังแบบไหนกันแน่
องครักษ์ตระกูลอวิ๋นสองคนช่วยกันยก**บที่ถูกขี้ผึ้งปิดไว้สนิทขึ้นจากเรือ หลังจากที่ตรวจสอบว่าปิดสนิทดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็หยิบกุญแจออกมาจากคอเสื้อแล้วไข**บเปิดออกอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงไม้ไผ่กระบอกใหญ่ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันที่ยังคงแห้งสนิทอยู่ก็โล่งใจ นี่คือดินปืนที่เขาทำเองบนเรือ และยังทรงพลังที่สุด
เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็ลากหลี่ไท่มาเป็นพยาน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฉางอัน อวิ๋นเยี่ยยืนยันที่จะให้รถม้าลากดินปืนอยู่ห่างๆ จากเขา องครักษ์ที่อยู่รอบๆ ก็ต้องไม่เกินสามคน เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็ต้องหยุดตรวจหนึ่งครั้งเพื่อดูสถานการณ์ เดินๆ หยุดๆ จนฟ้ามืดกว่าจะเข้าวัง อวิ๋นเยี่ยวาง**บไว้ในที่โล่ง ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้ หลี่ไท่ขอให้หัวหน้าทหารยามยกระดับการป้องกันเป็นพิเศษ
เมื่อหลี่ซื่อหมิ่นกินข้าวเย็นเสร็จ เตรียมตัวจะพักผ่อนเดินเล่นในสวนดอกไม้ ได้ยินคนใช้รายงานว่าเว่ยอ๋อง หลานเถียนโหวขอเข้าเฝ้า แต่กลับไม่ไปที่ห้องนอนของเขา รออยู่หน้าตำหนักไม่เข้ามา เด็กสองคนนี้หัดมีมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หลี่ซื่อหมินออกมาข้างนอกอย่างไม่รอช้า เห็นอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่นั่งกอดเข่าข้างกันอยู่บนบันได ทั้งสองจ้องไปที่**บใบเดียว รอบๆ **บยังมีองครักษ์ถือดาบอยู่รอบๆ หัวหน้าทหารยามก็สวมชุดเกราะเต็มยศยืนคุมอยู่ข้างๆ ชักจะมากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นสมบัติหายากแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องลำบากทุกคนขนาดนี้
มือไขว้หลังแล้วกระแอมเล็กน้อย เมื่ออวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ได้ยินการเคลื่อนไหวก็รีบลุกขึ้นต้อนรับฮ่องเต้ทันที
“นั่นคืออะไร” หลี่ซื่อหมินชี้ไปที่**บใบนั้น
“เป็นสิ่งที่กระหม่อมใช้ทำเสียงดังก่อวุ่นวายที่หลิ่งหนาน” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างสำรวม หลี่ซื่อหมิ่นต้องรู้เรื่องราวที่เทพเจ้าตีกลองก่อความวุ่นวายเป็นแน่ หลายวันมานี้ที่ไม่ได้ถามอะไรก็เพื่อให้อวิ๋นเยี่ยอธิบายให้เขาฟังเอง เขาเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ปิดบังปัญหากับเขาในเรื่องนี้
ก้าวไปที่**บแล้วยื่นมืออกมาเปิด “ฝ่าบาท ช้าก่อน” อวิ๋นเยี่ยรีบห้ามไว้ หลี่ซื่อหมินไม่รู้ว่าสิ่งของข้างในนั้นร้ายแรงแค่ไหน หากเกิดเรื่องเข้าจะวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเรียกทหารยามที่ถือตะเกียงเข้ามาใกล้อีกด้วย ท้องฟ้ามืดแล้ว มองอะไรไม่ค่อยชัด
ดีที่หลี่ซื่อหมินมีนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งคือการฟังคำแนะนำจากผู้อื่น หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยห้ามไว้เขาก็หยุดไม่ขยับเข้าไป อวิ๋นเยี่ยเปิด**บออก หอบไม้ไผ่กระบอกใหญ่ออกมาให้หลี่ซื่อหมินดู
“เป็นสิ่งนี้เองหรือ เจ้าใช้สิ่งนี้ในการทำเสียงดังขับไล่สัตว์ป่าในภูเขาอย่างนั้นหรือ” หลี่ซื่อหมินดูถูกผลงานของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก ไม้ไผ่ก็ไม่เลือกตัดปล้องที่ดีๆ มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด ปากกระบอกไม้ไผ่ก็ยัดไม้ไว้แน่นยุ่งเหยิงไปหมด มีเพียงรูเล็กๆ ที่มีเชือกกระดาษสีเทายาวยื่นออกมา แตกต่างจากสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
“ทำให้สิ่งนี้เสียงดังสิ เราอยากรู้นักว่าเทพแห่งขุนเขาตีกลองส่งเสียงดังอย่างไร”
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 15 ได้เวลาจุดประทัด
“ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ไม่เหมาะกับการสาธิตในวัง ขอให้ฝ่าบาทอดทนรอพรุ่งนี้ พวกเราไปสาธิตกันที่เขาหนานซันดีหรือไหม” หลี่ซื่อหมินไม่รู้ว่าของสิ่งนี้อนุภาพรุนแรงแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าเม็ดดินปืนสีดำจำนวนสองกิโลครึ่งนี้มีพลังมากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นเขากังวลว่าไนเตรทนี้ไม่ใช่ไนเตรทบริสุทธิ์จึงได้กลั่นกรองเป็นพิเศษ นี่เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทางการทหาร หากสาธิตในวังหลวงจะทำให้เหล่าสาวงามวังหลังตกใจเอา
“เราไม่อยากจะเชื่อ แรงของไม้ไผ่กระบอกแค่นี้จะทำให้เกิดเสียงดังแค่ไหนกัน ก็แค่การจุดประทัดฉลองปีใหม่ เจ้าคิดว่าเราไม่เคยเห็นหรือ เพียงแค่จุดฉนวนลูกโทะ? ง่ายจะตายไป ต้วนหง เจ้าไปจุดประทัดสักสองลูก เราไม่ได้ยินเสียงประทัดนานแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกำลังจะพูด แต่กลับถูกทหารยามลากออกไปด้านข้าง หลี่ซื่อหมินเตรียมที่จะชมประทัดกระบอกใหญ่นี้แล้ว เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเทพแห่งขุนเขาตีกลองส่งเสียงดังก่อความวุ่นวายได้ คิดว่าประทัดที่อวิ๋นเยี่ยจุดคงเสียงดังกว่าเล็กน้อย ใช้จำนวนคนเยอะหน่อย เป็นเหตุผลเดียวกับการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงที่ต้องต้อนสัตว์ให้ไปรวมกัน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เพิ่งจะเสียเปรียบให้อวิ๋นเยี่ย ต้องกู้หน้าคืนมาให้ได้ เมื่อครู่พึ่งจะชมว่าเขาเป็นคนรับฟังคำพูดของคนอื่น เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ฝ่าบาท ขอร้องล่ะ หากจุดประทัดที่นี่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ตำหนักไท่จี๋จะเป็นอันตราย” หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ พูดเกินจริงไปหรือเปล่า แค่ฟ้าผ่าคงไม่มากพอที่จะทำลายตำหนักไท่จี๋ได้ในคราวเดียว
“จริงหรือ” หลี่ซื่อหมินเหล่มองไปที่อวิ๋นเยี่ย เห็นสีหน้าของเขาดูเป็นกังวล ไม่เหมือนกับการแกล้งทำ จึงปัดมือบอกให้ทหารยามปล่อยตัวอวิ๋นเยี่ย เกาที่จมูกแล้วหันไปพูดกับต้วนหงว่า “เช่นนั้นก็ฝังลงดิน ฝังไว้ใต้ต้นตีนเป็ดที่เราชอบ มีต้นไม้บังไว้ คงไม่มีปัญหาอะไร”
ต้วนหงเชื่อฟังมากกว่าอู๋เสอ รีบขุดหลุมอย่างรวดเร็ว นำไม้ไผ่กระบอกใหญ่สองกระบอกฝังในดิน เพียงแค่หลี่ซื่อหมินออกคำสั่ง ก็เตรียมจุดได้ทันที
เจ้านั่นถือคบเพลิงแกว่งไปมา ทำเอาทุกคนกลัวไปหมด ต่อให้อวิ๋นเยี่ยมีความกล้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าถือคบเพลิงแกว่งไปมาข้างๆ ดินปืนจำนวนห้ากิโล
อยากจะลากหลี่ซื่อหมินไปข้างหลัง หากเข้าใกล้ในรัศมียี่สิบเมตรต้องอันตรายถึงชีวิตเป็นแน่ แต่ว่าลากไม่ไป หลี่ซื่อหมินยืนได้มั่นคงมาก อวิ๋นเยี่ยมีแรงไม่พอ
“ต้วนหง หากเจ้ากล้าจุดไฟ ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ” อวิ๋นเยี่ยไม่มีเวลามาห่วงเรื่องมารยาท พยายามจะดึงหลี่ซื่อหมินไปข้างหลัง หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกสนุก ยืนหัวเราะอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ดูเหมือนว่าความกังวลของอวิ๋นเยี่ยนั้นทำให้เขามีความสุข
“หลี่ไท่ รีบมาช่วยข้าเร็ว” หากมือของต้วนหงขยับเพียงแค่นิดเดียว ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านั่นยังเอาแต่ทำหน้ายิ้มแย้มถือคบเพลิงแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนฉนวนลูกโทะ
หลี่ไท่ค่อนข้างเชื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ย เห็นเขากัดฟันพูดเหมือนจะร้องไห้ ทั้งสองคนช่วยกันดันหลี่ซื่อหมินไปข้างหลังกำแพงวัง
“แรงของพวกเจ้าสองคนไม่เลวเลยนี่ เมื่อก่อนไม่เห็นพวกเจ้าจะแรงเยอะเช่นนี้ ดีมาก แสดงว่าพวกเจ้านั้นโตแล้ว อวิ๋นเยี่ย ของสิ่งนี้อันตรายมากหรือ” จนถึงตอนนี้หลี่ซื่อหมินก็ยังคงคิดว่าเด็กสองคนนี้กำลังล้อเล่นอยู่ เขาชอบความห่วงใยแบบครอบครัวเช่นนี้
หลี่ซื่อหมินปลอดภัยแล้ว ต้วนหงจะตายหรือไม่ก็ไม่มีใครสนใจ แต่เมื่อนึกถึงระเบิดสองลูกนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ ปฏิกิริยาความเร็วของลูกโทะนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าอันหนึ่งระเบิด อีกอันก็จะกระเด็นไประเบิดที่อื่น มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าจะกระเด็นไปที่ไหน อวิ๋นเยี่ยตัวสั่น หันไปพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ครั้งนี้จุดเพียงหนึ่งลูกได้หรือไม่ หากจุดหนึ่งลูกแล้วเสียงยังดังไม่พอใจท่าน เราค่อยจุดสองลูกดีหรือไม่”
“เห็นแก่ความกตัญญูของพวกเจ้าเราจึงได้ถอยมาตรงนี้ หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้มีทหารเป็นพันนายเราก็ไม่เคยคิดถอย นับประสาอะไรกับประทัดแค่นี้”
“นี่ไม่ใช่ประทัด นี่คืออาวุธที่ใช้ฆ่าคน ข้าเองก็เคยจุดประทัดมาก่อน ของสิ่งนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำออกมาได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ควรประมาท มันไม่สามารถนำมาเทียบกับประทัดได้ ฝ่าบาท พวกเราทดลองที่เขาหนานซันพรุ่งนี้เถิด หากทดลองในวังหลวงจะทำให้มีผู้เสียชีวิตได้”
หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกจริงจังเป็นครั้งแรก มองดูต้วนหงอยู่ไกลๆ แล้วหันไปมองอวิ๋นเยี่ย คำพูดเมื่อครู่ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น อยากดูเสียตอนนี้เลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งนี้ยิ่งไม่ควรให้คนภายนอกเห็น ต้องทดลองในวังหลวง ต้วนหง จุดไฟ” อวิ๋นเยี่ยรีบบอกให้หลี่ซื่อหมินอ้าปากและปิดหูโดยไม่ได้คำนึงถึงมารยาท หลี่ไท่ก็ต้องทำด้วยเช่นกัน ส่วนเขาหลับตาแล้วยืนบังหลี่ซื่อหมินอยู่ด้านหน้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวตาย แต่เป็นเพราะว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับหลี่ซื่อหมิน ตระกูลอวิ๋นก็ไม่รอดเช่นกัน
มองดูไฟที่ไล่ไปตามฉนวนลูกโทะเข้าไปในดิน ต้วนหงเดินแกว่งแขนแกว่งขาออกมาอย่างสบายใจ หันกลับไปมองที่ฝังดินปืนเป็นพักๆ
อวิ๋นเยี่ยจ้องไปที่เนินดินโดยไม่กล้ากะพริบตา เตรียมดูว่าอีกอันจะกระเด็นไประเบิดที่ไหน
เสียงฟ้าร้องนั้นไม่สามารถบรรยายความดังได้ ต้นตีนเป็ดที่หลี่ซื่อหมินชอบนั้นตรงกลางของลำต้นได้หักลง ทหารยามที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันขว้างดาบทิ้ง พวกเขามีเลือดไหลออกมาจากหู
อวิ๋นเยี่ยหูอื้อไปหมด เขาได้ยินเสียงระเบิดเพียงครั้งเดียว ไม่ได้การ ยังเหลืออีกหนึ่งลูก ตามองตรวจดูด้านบนหัว มีแต่ฝุ่นผสมโคลน และก้อนหินตกลงมาจากฟ้า ไม่เสียแรงที่หลี่ซื่อหมินเป็นผู้บัญชาการในสนามรบมานาน มีความสงบนิ่งเหนือมนุษย์ทั่วไป ดึงอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ที่มอบอยูที่พื้นไปที่มุมกำแพงด้วยมือข้างเดียว
ทั้งสามคนเบิกตามองหาระเบิดอีกลูก ไม่เห็นวี่แววอะไร ได้ยินแต่เสียงดินและหินที่กระเด็นไปโดนกำแพงไหลลงมาจึงได้โล่งใจ ยังไม่ทันหายตกใจก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่วังหลัง ฝุ่นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า สามคนรีบนั่งลงกับพื้น เอามือกุมหัวไว้ เวลานี้เริ่มมีความรู้สึกโศกเศร้าเกิดขึ้น
หลี่ไท่รีบลุกขึ้นมาและตะโกนเสียงดัง “เสด็จแม่” พูดจบก็รีบวิ่งไปวังหลัง อวิ๋นเยี่ยรีบตามไปติดๆ หลี่ซื่อหมินตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งตามไปทางวังหลัง
พระเจ้า โชคดีที่ตำหนักลี่เจิ้งของจั่งซุนไม่เป็นไร ตำหนักต้าอันของไท่ซั่งหวงก็ไม่เป็นไร ที่ได้รับความเสียหายก็คือตำหนักกันลู่ ห้องบรรทมของหลี่ซื่อหมิน ตำหนักที่เหล่าพระสนมอาศัยอย่างตำหนักต้าจี๋ ตำหนักไป่ฝู ตำหนักอู่เต๋อ และตำหนักว่านชุนก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่ามีขันทีและนางในพากันวิ่งวุ่นวายไปมาเหมือนแมลงวัน มีคนเป็นลมหมดสติไปนับไม่ถ้วน
ตำหนักกันลู่ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง จั่งซุนสวมชุดคลุมถือดาบอยู่ในมือ สวมใส่ชุดนอนอยู่ด้านใน ดวงตาโตดูตกใจ อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าบนดาบของนางมีเลือด ไม่รู้ว่าใครคือผู้โชคร้ายคนนั้น นางกำลังสั่งให้ขันทีและนางในยกอิฐและกระเบื้องของตำหนักกันลู่ออก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแววตาอาฆาตของจั่งซุน ช่างน่ากลัวเสียจริง
“อวิ๋นเยี่ย เกิดอะไรขึ้น” ตอนนี้ตาของจั่งซุนลุกเป็นไฟ หากเดินเข้าไปตอนนี้ต้องถูกจั่งซุนเอาดาบแทงแน่ๆ อวิ๋นเยี่ยจึงแสร้งทำส่ายหัวไปมาเหมือนว่าไม่ได้ยิน
หลี่ไท่ร้องไห้โผเข้ากอดจั่งซุน เสียงร้องไห้ฟังดูน่าสงสาร เมื่อเห็นหลี่ซื่อหมินยืนลูบคาง จั่งซุนก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด นางยังคงโซเซ ปล่อยดาบในมือลง น้ำตาไหลออกมา วันนี้อยู่ที่ตำหนักของหลี่เซี่ยวกงนานมากเช่นเคย
พระสนมและสาวใช้จำนวนมากยังไม่ทันได้แต่งตัวให้เรียบร้อย บางคนไม่ได้ใส่อะไรเลย รูปร่างไม่เลวเลยทีเดียว คาดว่าเมื่อครู่คงกำลังอาบน้ำ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ควรอยู่ ต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้
กว่าจะลากแขนหลี่ไท่ออกจากวังชั้นในมาได้ ก็โยนหลี่ไท่ลงบนระเบียงดอกไม้ รีบวิ่งไปดูประทัดอีกสี่ลูกที่เหลือ เหตุการณ์ตอนนี้ช่างน่าอนาถ ต้วนหงห้อยอยู่บนต้นไม้ เห็นกิ่งไม้แทงเนื้อของเขาอยู่ โชคดีที่ต้วนหงเป็นขันที มิเช่นนั้นหากไม่ตายก็ต้องมาเป็นขันทีอีก ตอนนี้หัวหน้าทหารยามผู้กล้าหาญใบหน้ามอมแมมหมอบอยู่ที่พื้น ส่วนทหารยามที่เหลือก็พากันร้องครวญคราง
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจพวกเขานัก ยก**บที่คว่ำอยู่พลิกกลับมา เห็นว่าประทัดอีกสี่ลูกที่เหลือยังอยู่ดี กระดาษน้ำมันไม่ฉีกขาด ค่อยๆ หอบประทัดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เมื่อหัวหน้าทหารยามเห็นของสิ่งนี้ก็รีบถอยออกไปเร็วกว่าเมื่อครู่ก่อนเสียอีก
มองดูวังหลวงของต้าถังเหมือนถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเอาประทัดสี่ลูกไปวางไว้ที่บันไดตำหนักไท่จี๋ ในใจแอบคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้หลี่ซื่อได้สัมผัสถึงพลังของระเบิด จะได้ตัดสินใจพัฒนาสิ่งนี้อย่างพากเพียร หากสิ่งที่เล่าจื๊อทุ่มเทพัฒนาสามารถเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้ เช่นนั้นคงจะทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด คราวหลังหากมีการรบ เราก็ไม่ต้องใช้ดาบแล้ว ใช้ระเบิดแทน รับรองว่าตายทั้งกอง เมื่อมีแรงบันดาลใจก็จะทำให้เกิดการพัฒนาต่อไป ไม่แน่อาจจะมีระเบิดแอมโมเนียไนเตรท ระเบิดกรดพิคริกเกิดขึ้น แต่จะว่าไปแล้วกระสุนที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็ใช้ไม่ถึงหลายร้อยปี เมื่อถึงเวลาทุกคนเอาออกมายิง สุดท้ายโลกก็จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นจะดีแค่ไหน
การทดลองดินปืนลับๆ ของชาวอังกฤษนั้นล้มเหลว มิเช่นนั้นพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ก็คงจะไม่ได้อยู่ในแผนเส้นทางท่องเที่ยวของคนรุ่นหลัง วันนี้วังหลวงของต้าถังจุดดินปืนไปสองลูก แล้วยังเป็นฮ่องเต้ออกคำสั่งเองอีกด้วย จะไม่จุดก็ไม่ได้ ชาวอังกฤษใจแคบ ไม่มีความใจกว้างสมกับเป็นประเทศใหญ่เลย
หลี่ไท่ท่าทางหงุดหงิดส่งไหเหล้าองุ่นให้อวิ๋นเยี่ย ดูแล้วเขาเองก็คงดื่มไปไม่น้อย ชี้ไปที่ความโกลาหลวุ่นวายที่กำแพงเมืองฉางอันแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย เมื่อของสิ่งนี้กำเนิดขึ้น หากเป็นที่หลิ่งหนานก็คงคร่าชีวิตคนไปสองร้อยกว่าคน ตอนนี้มาระเบิดที่นี่ คิดว่าจะเป็นวันสุดท้ายของฉางอันเสียแล้ว สิ่งนี้เป็นของอัปมงคล”
“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าของสิ่งนี้คือของดี แต่ว่าต่อให้เป็นอาวุธที่น่ากลัวแค่ไหน หากใช้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์มากมาย หากใช้ในทางที่ผิดก็จะทำให้เกิดหายนะ มีดในมือพวกเราสามารถฆ่าคนได้ สามารถใช้เป็นเครื่องมืออย่างอื่นก็ได้ ของสิ่งนี้ก็เช่นกัน หากใช้ระเบิดเปิดทางเหมืองแร่ ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ใช้ฆ่าคนก็ได้เช่นกัน จะใช้ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับใจตัวเอง ข้าเป็นคนของต้าถัง แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งนี้แล้วข้าก็จะไม่ทนดูเหล่าทหารต้องไปเสียเลือดเนื้อที่กำแพงเมืองของศัตรู ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง จะทำชั่วก็ดี หรือจะทำดีก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นหลักประกันที่เราฝากไว้ให้คนรุ่นหลังว่าบาปนับพันจะคืนสู่เราอย่างไรบ้าง”
หลี่ไท่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เราสองคนต่างมีส่วนร่วมในการทำสิ่งนี้ หากในอนาคตมีคนด่าว่าเป็นพันคน เราสองคนก็ต้องโดนด่าด้วยกัน เจ้าจะได้ไม่ต้องเหงา”
“เจ้านี่ เรายังไม่ตายสักหน่อย การจารึกชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จะเป็นของพวกเจ้าสองคนได้อย่างไร เราเป็นคนสั่งระเบิดวังหลวง เราไม่ชอบตำหนักกันลู่มานานแล้ว ระเบิดไปก็ดี อวิ๋นเยี่ย สอนเรื่องที่เจ้ารู้ทั้งหมดให้แก่ชิงเชวี่ย จากนั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกศิษย์ต่อไป ส่วนเรื่องฆ่าคนเหล่านี้ให้เราทำเอง ฮ่าๆๆ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น