เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 10-11
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 10 เร่ขายสาหร่ายทะเล
หลี่เค่อใส่ต้นหอมลงไปแล้วพูดกับหลี่ไท่ว่า “เจ้ามั่วทำอะไรอยู่ ค้นคว้าข่าวจากสำนักต่างๆ มากมาย ก็ยังหาวิธีปิดบังไม่ให้ใครรู้ไม่ได้หรือ ต่อให้คนทั้งเมืองรู้ว่าเจ้าเป็นคนทำ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานทุกอย่างก็จบ ไม่ได้จะไปฆ่าเขาเสียหน่อย พวกมดเหล่านี้ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นมดของสำนักศึกษา แต่ว่าต่อเป็นแมลงที่เพิ่งเลี้ยง ยังไม่มีใครรู้ เจ้าใส่นมผึ้งในเหล้าของเขา ต่อให้ตรงนั้นมีคนหนึ่งหมื่นคน ต่อก็จะต่อยเขาแค่คนเดียว เจ้านี่จริงๆ เลย มีวิธีดีๆ ก็ไม่ใช้ ดูเหมือนเจ้าจะถูกความโกรธแค้นครอบงำจนหน้ามืดตามัวเสียแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยหันไปมองหลี่เค่อด้วยความตกใจ ต่อที่อยู่ในสำนักศึกษา หวงสู่เป็นคนหามาจากภูเขาฉินหลิ่งอย่างยากลำบาก มีหัวขนาดใหญ่ พลังเยอะ เหล็กในค่อนข้างยาว เป็นกลุ่มสีดำขนาดใหญ่ดูน่ากลัว ซุนซือเหมี่ยวจะรีดพิษตัวต่อทุกห้าวัน หวงสู่ถูกต่อยไปสองครั้งตอนที่จับนางพญาต่อ ฝ่ามือบวมจนมันเงาราวกับอุ้งเท้าหมี ใช้เวลาตั้งแปดวันกว่าจะหายกลับมาเป็นปกติ ดีที่รีบเอาเหล็กในออกแล้วใช้ยาของซุนซือเหมี่ยวมิเช่นนั้นคงแย่แน่ๆ
หลี่ไท่ตบหน้าตัวเองไปหนึ่งทีแล้วเดินไปกอดหลี่เค่อ หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนของเขา เทมดลงในกองไฟ ใบหน้ายิ้มระรื่นเต็มไปด้วยความสุข
ในชามบะหมี่มีบะหมี่อยู่เพียงเส้นเดียว ข้างบนมีไข่ดาว ช่างดูงดงาม หลี่ไท่ไม่ยอมให้คนรับใช้แตะต้องชามบะหมี่ เขาจะยกไปให้ฮูหยินด้วยตัวเอง ในตอนเด็กคนที่รักและเอ็นดูเขามากที่สุดคือฮูหยินเหอเจียน อวิ๋นเยี่ยกับหลี่เค่อช่วยกันถือเตาถ่าน คนรับใช้พากันยกเนื้อปลาวาฬและเครื่องปรุงเข้าไปด้วย
ฮูหยินรับถ้วยบะหมี่มาด้วยความดีใจ เอามาอวดให้หลี่เซี่ยวกงและหลี่เต้าจงดู เตรียมตัวที่จะกินบะหมี่ชามนี้ท่ามกลางเสียงชื่นชมของทุกคน
“ท่านป้าคงยังไม่รู้ การกินบะหมี่อายุยืนจะต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ในชามนี้มีบะหมี่เพียงเส้นเดียว เพื่อให้อายุยืนยาวห้ามกัดเส้นบะหมี่ขาดอย่างเด็ดขาด”
เพื่อเป็นการสร้างให้บรรยากาศดูรื่นเริงขึ้น อวิ๋นเยี่ยตั้งใจพูดกฎในการกินบะหมี่ออกมาดังๆ ทันใดนั้นในห้องโถงก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ โดยเฉพาะลูกชายของหลี่เซี่ยวกงที่หัวเราะดังที่สุด น่าเสียดายที่หลี่หวยเหรินไม่อยู่ มิเช่นนั้นคงจะครึกครื้นกว่านี้
ฮูหยินแกล้งดุอวิ๋นเยี่ยเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็กินบะหมี่จนหมดโดยที่ไม่กัดเส้นบะหมี่ขาด ทุกคนต่างส่งเสียงเฮอย่างพร้อมเพรียงกัน หลี่เซี่ยวกงเอาเนื้อปลาวาฬที่แล่เรียบร้อยแล้วไปย่าง รอจนผิวด้านนอกกรอบเล็กน้อยค่อยทาเครื่องปรุง หยิบเนื้อปลาวาฬที่ทาน้ำมันพริกให้ภรรยาก่อนหนึ่งไม้ จากนั้นก็หยิบให้หลี่เต้าจงหนึ่งไม้ ตัวเองก็หยิบขึ้นมาดมหนึ่งไม้แล้วกัดเข้าไปคำใหญ่
กินหมดในคำเดียว หลี่เซี่ยวกงกระดกน้ำไปหลายอึก ลูบที่เคราตัวเองแล้วพูดว่า “มีคำพูดเกี่ยวกับการกินปลายักษ์ ในหนังสือฮั่นมีบันทึกเอาไว้ว่าหากปลายักษ์ตายหนึ่งตัวเหล่าอ๋องโหวก็จะต้องตายหนึ่งคนเพื่อชดใช้ให้มัน ปลายักษ์ที่ว่าก็คือปลาชนิดนี้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนต่างมองไม่ที่หลี่เซียวกงด้วยความมึนงง แล้วก็หันไปมองอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นอกจากอวิ๋นเยี่ยแล้วคนที่นั่งอยู่ต่างก็เป็นองค์ชายทั้งหมด เมื่อครู่ทุกคนรู้แค่ว่าอาหารนั้นคือเนื้อปลาวาฬ แต่ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่พอตอนนี้ได้รู้แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
หลี่เซี่ยวกงหัวเราะเสียงดัง ขาข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้กลมแล้วพูดว่า “อย่าพึ่งตกใจไป คนที่สอนให้อวิ๋นเยี่ยกินปลาวาฬก็คือข้า ดังนั้นข้าไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท เรื่องที่ว่าปลายักษ์ตายแล้วเหล่าอ๋องโหวจะต้องตายนั้น หากนี้เป็นเรื่องจริง องค์ชายในต้าถังก็คงตายกันไปหมดแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ที่หมิงโจวก็ฆ่าปลายักษ์ตายไปไม่น้อย ตอนนั้นทั้งกองทัพไม่มีเสบียงอาหาร ฆ่าปลายักษ์หนึ่งตัวก็เพียงพอต่อความต้องการของเหล่าทหาร เพราะสิ่งนี้ฉินอ๋องจึงได้ประทานรางวัลให้ข้า ตอนนั้นข้ายังไม่ใช่องค์ชาย แต่ว่าฝ่าบาทก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือ อวิ๋นเยี่ย ตอนที่อยู่เติงโจวเจ้าฆ่าปลายักษ์ตายไปแล้วกี่ตัว”
“ไม่เยอะ เพียงแค่ประมาณสามสิบกว่าตัว แผ่นดินเหอเป่ยประสบภัยแล้งอย่างหนัก หากไม่ฆ่าปลายักษ์ก็จะไม่มีอะไรกิน” อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ในวังก็มีเนื้อปลาวาฬถูกส่งเข้ามาอยู่ไม่ใช่น้อย
หลี่เต้าจงหยิบเนื้อปลาขึ้นมาแล้วเคี้ยวเข้าปากอย่างไม่แยแส หลังจากเคี้ยวหมดแล้วเขาก็ยิ้มจนเห็นฟันแล้วพูดว่า “หากกองทัพไม่มีเสบียงอาหาร หากผู้ประสบภัยไม่มีอะไรกิน อย่าว่าแต่เนื้อปลายักษ์เลย แม้แต่เนื้อคนก็คงไม่ใช่ปัญหา ในหนังสือประวัติศาสตร์มีเรื่องราวมากมายในการใช้คนเป็นเสบียงอาหารของกองทัพ หากกินปลายักษ์แล้วคนในราชวงศ์จะต้องตาย ต้าถังของข้าจะไม่ดูอ่อนแอไปหน่อยหรือ เจ้าอย่าลืมส่งปลาไปให้คนที่บ้านอีกหนึ่งคันรถ ต้องเลือกตัวที่อ้วนที่สุดด้วยล่ะ”
ฮูหยินอุทานบทสวด เอามือทาบอกแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเกิดสงความครั้งใหญ่ องค์ชายนำกองทัพใหญ่เข้าต่อสู้กับอดีตราชวงศ์สุย เมืองจิ้นหยางผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรกิน ที่ไท่ซั่งหวงเหลือเพียงแค่ข้าวต้ม ในครอบครัวมีสมาชิกจำนวนมาก ข้าพานางสนมสองสามคนไปจับกบในป่า พวกเขาก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดมาก็เพื่อเตรียมไว้ให้สำหรับคน ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่รอดไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไร เป็นเพียงคำพูดของเหล่านักปราชญ์ที่กินดีอยู่ดี เมื่อไม่มีอะไรทำก็แต่งเรื่องไปเรื่อย หากเป็นอย่างที่พวกเขาพูด คนทั้งโลกก็คงต้องอดตาย”
เมื่อฮูหยินพูดออกมา แม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามแล้วก็ตาม คนเราเกิดมาท่ามกลางความจนก็ไม่จำเป็นจะต้องพิถีพิถันอะไร ได้ยินทุกคนพูดเช่นนี้คิดว่าคงไม่มีข้อห้ามอะไรอีกแล้ว จะว่าไปแล้วเนื้อปลาก็มีรสชาติอร่อย จากนั้นพวกเขาก็พากันย่างเนื้อปลาวาฬด้วยตัวเอง
“อวิ๋นเยี่ย แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่ทำอะไรโดยไม่มีเป้าหมาย เจ้าช่วยบอกข้าที เสี่ยงอันตรายเพื่อทำเรื่องเช่นนี้เจ้ามีเป้าหมายอะไร” หลี่ไท่ หลี่เค่อ และหลี่เต้าจงก็ล้อมวงเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อวิ๋นเยี่ย รายได้ของตระกูลเจ้าในหลิ่งหนานถูกเจ้ายึดมาหกส่วน เพื่อต้าถังแล้วข้าจะไม่ยอมแพ้ มีหนทางรวยอะไรก็ชี้แนะมา ไม่ได้ยินที่ท่านป้าของเจ้าพูดหรือว่าครอบครัวยากจนจนต้องกินกบ”
หลี่เต้าจง หลี่ไท่ และหลี่เค่อต่างพากันผงกหัวเพื่อแสดงให้รู้ว่าพวกเขาก็อยากรู้เช่นกัน
“ช่วงนี้ข้าพึ่งจะได้รับตำแหน่งใหม่ก็คือผู้บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนาน ท่านรู้ใช่หรือไม่”
“เหลวไหล เรื่องนี้ข้าต้องรู้อยู่แล้ว ข้านี่แหละคือคนแนะนำ กองทัพเรือที่เหมือนกับขอทาน เมื่อส่งมอบให้เจ้ามันกลับกลายเป็นกองทัพเรือที่หรูหราภายในพริบตา การมองการณ์ไกลของข้าครั้งนี้ได้รับคำชมจากฝ่าบาทอีกด้วย เจ้ารีบเล่าความจริงมา”
อวิ๋นเยี่ยขอให้เหล่าหลี่พาตัวเองไปที่โต๊ะแผนที่ เตรียมจะอธิบายประกอบแผนที่ให้พวกเขาฟัง ตั้งแต่ที่สำนักศึกษาได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมา หลังจากที่กำหนดอัตราส่วนตายตัวแล้ว ทุกบ้านก็จะต้องมีของสิ่งนี้ไว้ หากบ้านไหนไม่มีจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอา ได้ยินมาว่าหลี่ซื่อหมินได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในตระกูลกงซู เพิ่มตำหนักขึ้นมาอีกหนึ่งตำหนักเพื่อสร้างแผนที่ทางภูมิศาสตร์โดยเฉพาะ แม้แต่แม่น้ำก็ต้องมีความพิถีพิถัน คนตระกูลกงซูใช้ปรอทมาทำเป็นน้ำในแม่น้ำ ถูกอวิ๋นเยี่ยปิดประตูด่าอยู่ทั้งวัน จึงได้ล้มเลิกไป ตอนนี้ยังคงสร้างขึ้นมาใหม่ งานนี้ไม่ต่างอะไรกับการขัดหินอ่อน ต้องใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะสำเร็จ
หลี่ไท่กำลังทำการแบ่งละติจูดและลองจิจูด จุดเริ่มต้นคือบัลลังก์ที่นั่งของหลี่ซื่อหมินในตำหนักไท่จี๋ หลี่ซื่อหมินผู้หลงตัวเองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การแบ่งในปัจจุบันยังคงเป็นแบบดั้งเดิม ไม่มีใครยอมรับว่าพวกเขาอาศัยอยู่บนโลกที่มีทรงกลมแล้วยังมีการหมุนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหมุนกลับหัวไปด้านล่าง พวกเราก็จะตกลงมาสู่ความว่างเปล่าอย่างนั้นหรือ
ไม่มีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ ตอนที่กำหนดความยาวใหม่ หลี่ซื่อหมินได้กำหนดให้ความยาวตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงรักแร้เท่ากับหนึ่งเมตร เมื่อวิธีนี้ได้เผยแพร่ออกไปเหล่าพลเรือนและพวกทหารต่างก็พากันคิดว่าวิธีนี้นั้นสามารถใช้การได้ อวิ๋นเยี่ยที่น่าสงสารทำได้เพียงแค่ทำลายไม้บรรทัดที่เสร็จสมบูรณ์ดีอยู่แล้วเพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ ผู้คนยังคงใช้ไม้บรรทัดแบบเก่า ส่วนการก่อสร้างได้เริ่มใช้เมตรมาเป็นหน่วยในการวัดความยาว
แผนที่จำลองของหลี่เซี่ยวกงนั้นมีขนาดใหญ่มากเกือบจะเต็มพื้นที่ห้อง ทั้งสี่ทิศยังคงเหลือที่ว่างอยู่เล็กน้อยเพื่อให้คนได้มีที่ยืนศึกษาแผนที่
ยืนเรียงกันอยู่ข้างโต๊ะแผนที่ หลี่เซี่ยวกงและหลี่เต้าจงได้แผ่รังสีความเยือกเย็นออกมา พวกผู้น้อยที่ยืนอยู่รอบๆ แต่ละคนท่าทางเหมือนไก่ถูกตอน พวกเขาพากันหลบตาไม่กล้ามองไปยังผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว หยิบไม้ไผ่ยาวขึ้นมาด้วยท่าทางสบายใจแล้วชี้ไปที่เมืองหยางโจว หมิงโจว ฉวนโจว กว่างโจว เติงโจว และเจียวโจวแล้วพูดขึ้นมาว่า
“องค์ชายทั้งหลาย พวกท่านเห็นหรือไม่ว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขนส่งสินค้าทางเรือของต้าถัง หากขนส่งทางบกจะต้องใช้ระยะเวลานาน หากใช้เรือมาเป็นพาหนะก็จะขนส่งได้ง่ายขึ้น เรือมู่หลานที่ใหญ่ที่สุดในต้าถังคือเรือที่มีความจุหนึ่งหมื่นลูกบาศก์เซนติเมตร ครั้งนี้ข้าได้ใช้กองทัพเรือบรรทุกเสบียงนับหนึ่งล้านตัน ขจัดความอดอยากในเหอเป่ยไปได้ หากไม่ได้การขนส่งทางมหาสมุทรในครั้งนี้ทางราชสำนักอาจจะควบคุมภัยพิบัติในเหอเป่ยไม่ได้ กว่าจะรอให้เสบียงอาหารส่งไปถึง ราษฎรในเหอเป่ยก็คงอดตายกันหมดแล้ว
ข้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก ผลผลิตที่ได้จากมหาสมุทรนั้นดีกว่าผลผลิตบนบกถึงสิบเท่า แต่ทำไมคนที่อยู่รอบๆ มหาสมุทรจึงได้หิวโหย ผู้ว่าราชการการเมืองโยวโจวบอกข้าว่าหากปลายักษ์ตายคนในราชวงค์จะต้องตายเพื่อชดใช้ จะฆ่าปลาเหล่านั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของข้านั้นจะต่ำต้อย แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ฆ่าปลายักษ์ตายไปหนึ่งตัวข้าก็ยังไม่เป็นอะไร กินเนื้อปลาวาฬเป็นเวลาสามมื้อก็ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร แล้วเขายังเน้นย้ำว่าห้ามกินปลาหมึกยักษ์ ข้าใช้เหล็กย่างปลาหมึกยักษ์จนสุกแล้วเอาไปให้ผู้ว่าราชการมณฑลกิน เขากินไปถึงสองจานใหญ่ๆ วันต่อมายังถามข้าว่ามีอีกหรือไม่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการอะไร ซ้ำยังบอกว่ากรอบและอร่อยมาก
ข้าได้เอาสาหร่ายทะเลกลับมาด้วย มีแต่คนบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แต่ว่าหลังจากที่ข้าต้มแล้วเอามาทำเป็นของกินเล่น รสชาติอร่อยนุ่มลิ้นซ้ำยังสามารถป้องกันโรคคอหอยพอกได้อีกด้วย ผักในมหาสมุทรสีดำที่ติดอยู่ตามแนวปะการังไม่มีใครกล้ากิน ข้าได้เอามันมาตากให้แห้งแล้วเอาไปย่างเสียหน่อย สามารถเอามาทำเป็นน้ำซุปที่รสชาติอร่อยกลมกล่อม หากวันไหนพวกท่านมีเวลาว่างข้าจะทำให้พวกท่านลองชิมดู รับรองได้ว่ารสชาติอร่อยแน่นอน
ที่พูดว่าเยอะขนาดนี้ก็เพราะอยากจะบอกทุกคนว่าผลผลิตของมหาสมุทรนั้นอุดมสมบูรณ์มาก แม้ปลาตัวยักษ์จะถูกฆ่าไปบ้างแต่ปีหน้าก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีก ถึงแม้ว่าสาหร่ายจะถูกเก็บไปแต่ปีหน้าก็จะโตขึ้นมาใหม่ อย่าเอาแต่จ้องไปที่พื้นดินสีเหลืองแห่งนี้ พื้นที่แห่งนี้หล่อเลี้ยงเรามาหลายพันปี ความอุดมสมบูรณ์เริ่มไม่เหลือแล้ว
แล้วยังมีท่าเรือที่ข้าพูดถึงอีกสองสามที่ หากเดินทางไปทางทิศใต้ก็จะได้พบกับทวีปที่ยังไม่ถูกค้นพบ ที่ทวีปนั้นมีงาช้าง นอแรด ทองคำ อัญมณีอยู่มากมาย หากเดินทางไปทางทิศเหนือก็จะสามารถเดินทางไปถึงอาณาจักรป๋อไห่ ที่นั่นมีไข่มุก ขนสัตว์ เหยี่ยว สิ่งของเหล่านี้มีราคาสูงเฉียดฟ้าเมื่ออยู่ในต้าถัง ทั้งดินแดนต้าสือ ทั้งทาสสาวชาวเปอร์เซีย พวกท่านอยากได้มานานแล้วไม่ใช่หรือ ไหนจะเงินของรัฐวออีก สิ่งเหล่านั้นทำให้คนอยากได้ไม่ใช่หรือ เท่าที่ข้ารู้ที่นั่นมีเหมืองแร่เงินซ่อนอยู่ มีเยอะกว่าเมืองต้าถังทั้งเมืองเสียอีก โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่เราคิด ต้าถังไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ในช่วงราชวงศ์ฮั่น ดินแดนตะวันตกได้มีประเทศมหาอำนาจเกิดขึ้นเรียกว่าอาณาจักรโรมัน มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มหาสมุทรเป็นเพียงแค่ทะเลสาบที่อยู่ในประเทศนั้น ทุกท่านคงจะจินตนาการออกว่าพวกเขาทรงพลังมากเพียงใด ในปัจจุบันประเทศแห่งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ พื้นที่ของประเทศไม่ได้เล็กไปกว่าต้าถัง และยังมีประเทศใหม่ที่มีอำนาจถือกำเนิดขึ้น นั่นก็คือดินแดนต้าสือ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนมหาสมุทร การขยายพื้นที่ไปทั่วทุกทิศนั้นได้เผยแพร่หลักคำสอนของพวกเขา ข้าจับกองทัพเรือของพวกเขาได้หนึ่งลำในหลิ่งหนาน ผู้คนทั้งหมดถูกข้าจับตึงตอกตะปูยืนอยู่บนเกาะร้างจนตายเพื่อทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง”
“อวิ๋นเยี่ย เหตุใดเจ้าไม่พูดคำพูดเหล่านี้กับพวกขุนนางในวัง แต่กลับมาที่นี่เพื่อขายสาหร่ายทะเล?”
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 11 ความแค้นของหลี่ซื่อหมิน
อวิ๋นเยี่ยคิดจะแยกตัวออกไป แต่ถูกคนพวกนั้นดึงคอเสื้อไว้ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ หลี่ซื่อหมินไม่สนใจพวกขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ที่กำลังทำความเคารพเขา เดินฝ่าฝูงชนมาหาอวิ๋นเยี่ย
“พูดต่อสิ โม้ต่อสิ เดินทางโดยเรือไปทางทิศใต้เก้าสิบวันก็จะไปถึงดินแดนต้าสือ แล้วเดินทางไปอีกสี่สิบกว่าวันก็จะไปถึงทวีปที่ยังไม่มีใครคนค้นพบ เจ้าพูดถึงแต่ความร่ำรวยเท่านั้น เหตุใดไม่พูดถึงความยากลำบากและอันตราย แล้วยังจะกล้าไปทางทิศใต้อีก รู้ทิศทางไม่ชัดเจนแล้วยังกล้าพูดเรื่องเหลวไหลขนาดนี้ อาณาจักรป๋อไห่ที่อยู่ทางตอนเหนือนั้นมีความเสี่ยงอยู่มาก มีศัตรูอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยังมีอารมณ์มาทำกิจการค้าขายกับเจ้าอยู่อีกหรือ แร่เงินของรัฐวอยังคงอยู่ใต้ดิน เจ้ายังกล้าพูดได้เต็มปากว่าพวกเขามีเหมืองแร่เงินเยอะกว่าต้าถังอีกหรือ
ครั้งที่แล้วเจ้าก็คุยโม้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์เพื่อที่จะขายตั๊กแตน ทั้งรักษาโรคตาบอดกลางคืน ทั้งเป็นประโยชน์ต่อประเทศและราษฎร แต่เหตุใดสุดท้ายแล้วมีเพียงตระกูลอวิ๋นของเจ้าเท่านั้นที่ได้รับเงินจำนวนมาก ทหารที่น่าสงสารของข้าได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อตั๊กแตนจากตระกูลอวิ๋น ช่างใจดำเสียจริง ตอนนี้กลับขนอาหารหมูมาอีกครั้งเพื่อหลอกชาวเมืองฉางอัน เจ้าทำใจกับการหลอกลวงพวกคนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้อย่างไร
ทุกครั้งที่หลอกขายของก็จะเอาความสอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศและการดำรงชีวิตของผู้คนมาอ้าง เชื่อมโยงเข้ากับแผนการใหญ่ของราชสำนัก ทำให้ดูเหมือนว่าหากไม่ซื้ออาหารหมูของเจ้าก็แสดงว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก ไม่สนใจความเป็นอยู่ของบ้านเมือง คนที่โกหกได้อย่างเจ้าไม่เคยมีมาก่อน และหลังจากนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว”
หลี่ซื่อหมินพึ่งจะพูดจบ ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องพากันจับจ้องไปยังอวิ๋นเยี่ย เมื่อครู่ถูกกระตุ้นจนเลือดเดือดพล่านกระทั่งทุกคนเกือบจะสั่งให้เอารถมาขนสาหร่ายไปเพื่อลองชิม โชคดีที่ฝ่าบาททรงพระปรีชา เปิดเผยข้อมูลหลอกลวงได้ทันเวลา ตอนนี้เมื่อคิดถึงภาพที่คนในครอบครัวล้อมวงเพื่อกินอาหารหมูก็รู้สึกโกรธ แค่คิดถึงสถานการณ์เช่นนั้นก็รู้สึกสลดใจ
หลี่เซี่ยวกงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย นอกจากวันนี้จะเป็นวันเกิดของท่านป้าของเจ้า มีบะหมี่อายุยืนหนึ่งชาม ที่แท้วันนี้พวกข้าก็เป็นหมูที่เจ้าเตรียมจะเชือด เจ้าเอาของดีอย่างเนื้อปลาวาฬออกมาก่อน จากนั้นค่อยดึงดูดให้ทุกคนสนใจสาหร่ายทะเล เมื่อนำปลาวาฬออกมาก่อนทำให้สาหร่ายดูเป็นของที่มีคุณค่า นอกจากนี้ยังพูดเรื่องการไปเสี่ยงโชคทางเส้นทางเหนือและใต้ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทมาเตือนสติ วันนี้ข้าคงกลายเป็นตัวตลกในเมืองฉางอัน อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้ข้าจะให้เจ้ากินสาหร่ายทะเลและต้องกินเข้าไปให้หมด”
หลี่เต้าจงได้สั่งให้คนรับใช้ไปหาสาหร่ายทะเลที่รถด้านนอก ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยต้องการจะขายสาหร่ายทะเลที่รถด้านนอกจะต้องมีแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพียงครู่เดียวคนรับใช้ก็ยกหม้อสาหร่ายทะเลมา ทุกคนเห็นความลื่นของสาหร่ายทะเลแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นคาวรุนแรงที่คละคลุ้งไปหมด
อวิ๋นเยี่ยถูกขันทีร่างใหญ่ดึงคอเสื้อไว้จนไม่สามารถขยับไปไหนได้ เขายิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะเชิญทุกคนมาชิมเนื้อปลาวาฬ ส่วนเรื่องขายสาหร่ายทะเลก็พูดแนะนำขึ้นมาก็เท่านั้น สำหรับเรื่องเส้นทางการเดินเรือข้าก็แค่พูดตามคำบอกเล่า มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ก็ต้องนำมาแบ่งปันให้ทุกคนได้ร่ำรวยด้วยกัน”
หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ใหญ่ที่สุด หยิบขนมพุดตานจากบนโต๊ะขึ้นมาชิม เมินเฉยต่ออวิ๋นเยี่ยที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก นั่งรอดูความสนุก
เมื่อเห็นหลี่เต้าจงหยิบสาหร่ายชิ้นยาวที่มีเมือกขึ้นมาเตรียมจะยัดเข้าปากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “องค์ชาย สาหร่ายทะเลพวกนี้ต้องทำให้สุกก่อนถึงจะกินได้ หากกินดิบจะไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร”
หลี่เต้าจงมองดูสาหร่ายที่อยู่ในมือ ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม อาหารพวกนี้อย่างไรก็ต้องทำให้สุกก่อนจึงจะกินได้ ตัวเองทำไม่เป็น จึงพูดกับขันทีที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยว่า “ต้วนหงปล่อยเขา วันนี้ข้าอยากจะเห็นว่าเขาจะทำอาหารหมูออกมาได้อร่อยสักแค่ไหน เจ้ารีบไปทำเดียวนี้”
ขันทีมองไปที่หลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินปัดมืออนุญาตให้ไปได้ ขันทีจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ยลง อวิ๋นเยี่ยลูบคอที่รู้สึกปวดแล้วเหยียบไปที่เท้าขันทีอย่างแรง พบว่าต้วนหงไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ตัวเองกลับรู้สึกเจ็บเท้า ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินไปหาขันทีที่มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงแบบนี้มาจากไหน
อวิ๋นเยี่ยยกสองมือขึ้นคำนับแล้วเดินออกไปพร้อมกับคนรับใช้ที่ถือสาหร่าย เตรียมจะให้พวกเขาเหล่านี้ได้ลิ้มรสความอร่อยของสาหร่ายทะเล
เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปหลี่ซื่อหมินก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคำนวณผิดอีกแล้ว ไอ้เจ้านั่นเป็นคนฉลาด อย่าว่าแต่กินสาหร่ายทะเลเลย ต่อให้เป็นท่อนไม้เขาก็สามารถทำให้พวกเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยได้ สิ่งที่เขาทำออกมารสชาติจะต้องดีแน่นอน ปัญหาก็คือหลังจากที่พวกเจ้าซื้อกลับไปจะสามารถทำให้มันอร่อยได้หรือไม่ สุดท้ายก็เป็นเขาที่ชนะ ดูแล้ววันนี้พวกเจ้าจะต้องซื้อสาหร่ายทะเลของเขาและคงซื้อไปไม่น้อย”
หลี่เซี่ยวกงหัวเราะแล้วพูดว่า:“ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรพวกเราก็แค่ทำเป็นหูทวนลม เช่นนี้เขาจะยังยัดเยียดขายสาหร่ายให้พวกเราอีกหรือ ที่นี่ต่างก็เป็นคนในตระกูลหลี่ของข้า ท่านโหวอย่างเขาคงไม่มีอำนาจทำตัวเป็นใหญ่”
หลี่ซื่อหมินพูดอย่างหงุดหงิดว่า:“พวกเจ้าไม่เคยเห็นตอนที่เขาแกล้งให้ข้ากินตั๊กแตน เมื่อพวกเจ้าได้เห็นแล้วก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วโอกาสชนะของพวกเจ้านั้นมีน้อยนัก ตั๊กแตนพวกนี้แม้แต่ฮองเฮาก็ยังกินเข้าไป ชิงเชวี่ยและเค่อเอ๋อร์ก็กินเข้าไปไม่น้อย เซี่ยวกง เต้าจง พวกเจ้าสองคนก็หนีไม่พ้นไม่ใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หลี่เค่อก็หน้าซีดปิดปากตัวเองแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ตั๊กแตนคือฝันร้ายของเขา หลี่เซี่ยวกงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “ตั๊กแตนที่ระบาดในตอนนั้นถูกพวกเรากินจนหมด หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ยินว่ามีตั๊กแตนระบาดในกวนจงอีก หากทำให้เกิดเรื่องดีๆ เช่นนี้ ต่อให้ต้องกินอีกข้าก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่”
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้นอีกเมื่อกินสาหร่ายทะเล” หลี่ซื่อหมินวางขนมในมือลงแล้วหยิบไม้ไผ่ที่อวิ๋นเยี่ยวางไว้บนแผนที่จำลอง ชี้ไปที่แผนที่จำลอง อธิบายความแตกต่างระหว่างเส้นทางใต้และเส้นทางเหนือให้กับเหล่าขุนนาง เส้นทางทิศใต้นั้นยาวไกล ตลอดทางต้องผ่านเมืองและท่าเรืออีกมากมาย หากอยากจะทำกิจการ เส้นทางเดินเรือนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดและได้ผลกำไรเยอะที่สุด ส่วนเส้นทางเหนือมีสงครามอยู่เรื่อยๆ จึงมีความอันตรายอยู่มาก อิทธิพลของต้าถังไม่เพียงพอที่จะควบคุมความป่าเถื่อนของชนเผ่าอี้โหลว…
เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกคุมตัวมาถึงห้องครัวจึงได้เข้าใจว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของภรรยาหลี่เซี่ยวกง ถือว่าเป็นงานใหญ่ของตระกูลหลี่ ทุกครั้งที่เวียนมาพบเรื่องแบบนี้ ในฐานะผู้นำประเทศหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนก็จะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเพื่อกระชับสัมพันธไมตรี เพราะอย่างไรแล้วนี่ก็คือการพึ่งพาในการปกครองของเขา ตัวเองไม่ได้เลือกวันให้ดี เดิมทีคิดว่าคนโง่เหล่านี้หลอกได้ง่าย คำพูดที่ว่า ‘โง่แต่มีเงิน’ นั้นหมายถึงพวกเขา เพียงแค่พูดสรรพคุณสองสามคำแล้วเติมแต่งข้อเท็จจริงลงไปจากนั้นก็พูดถึงเป้าหมายที่น่าหลงใหล เพียงเท่านี้ก็จะขายสาหร่ายได้อย่างราบรื่น วิธีการทางธุรกิจธรรมดาทั่วไปนี้ใช้ไม่ได้ในยุคปัจจุบันแล้ว แต่มักจะใช้ได้ผลในต้าถัง
แต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอคนที่ไม่เชื่อใครนอกจากตัวเองอย่างหลี่ซื่อหมิน ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิด ถูกขันทีหิ้วปีกลอยขึ้นกลางอากาศ ช่างน่าอับอายขายขี้หน้า ยังดีที่อดทนไว้พยายามไม่ดิ้น ไม่เช่นนั้นก็จะขายหน้าไปมากกว่านี้ ช่างเถอะ การถือสาหลี่ซื่อหมินก็มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกโมโห คงจะอาศัยคนโง่อย่างตระกูลหลี่ไม่ได้แล้ว ทำได้แค่เพียงหากลุ่มคนโง่เป้าหมายใหม่ ไม่รู้ว่าพวกฝางเสวียนหลิงอยู่บ้านหรือไม่
หากหลี่ซื่อหมินรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดอะไรจะต้องจับเขาหั่นเป็นชิ้นๆ แน่ แกล้งทำเป็นผู้นำที่ดีเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนในตระกูลหลี่?
ต้าถังเป็นสังคมที่แปลกมาก ในราชสำนัก ในฐานะฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินจะไม่ยอมให้ตระกูลหลี่ใช้ผลประโยชน์จากประเทศ แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นฮ่องเต้ตระกลูหลี่ในกวนจง เขาก็จะวางแผนให้แต่ตระกูลของตัวเอง จัดทำแผนพัฒนาระยะยาวอย่างทุ่มเท สร้างปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดให้กับโลกใบนี้
หลี่เค่อยืนพิงประตูมองดูอวิ๋นเยี่ยจัดการกับอาหารหมู สาหร่ายทะเลที่มีเมือกเหนียวๆ นั้นกินได้จริงๆ หรือ แต่ว่าซุปไก่ในหม้อนั้นรสชาติไม่เหลวเลยทีเดียว มองดูอวิ๋นเยี่ยโยนสาหร่ายสีเขียวเข้าไปในหม้อ เหตุใดกลิ่นจึงหอมดึงดูดเช่นนี้
สาหร่ายทะเลสามารถนำไปตุ๋นซีโครงได้? นำไปผัดกับเนื้อก็ได้? สาหร่ายที่โรยด้วยงาจานนั้นดูมีสีสันสวยงาม สาหร่ายทะเลที่ผัดใส่พริกเล็กน้อยก็มีกลิ่นหอมเตะจมูก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เขายังมัดสาหร่ายทะเลเป็นปมและตุ๋นกับเต้าหู้ โรยด้วยกุ้ยช่าย สีสันดูน่ากิน
เหตุใดต้องเอาซี่โครงใส่ลงไปในซุป แต่เทเพียงหัวไชเท้ากับสาหร่ายทะเลใส่ถ้วยเซรามิกสีขาวเท่านั้น เพื่อให้ดูหรูหราอย่างนั้นหรือ มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่ามีราคา
เดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังกินซี่โครง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะกินอะไร หลี่เค่อก็จะไม่ปฏิเสธ ยกเว้นอาหารที่มีมากเกินไปอย่างตั๊กแตน รสนิยมของเขาและอวิ๋นเยี่ยไม่แตกต่างกันมากนัก หยิบซี่โครงขึ้นมาจากจานหนึ่งชิ้น ลองกัดเข้าไปหนึ่งคำ รู้สึกว่ารสชาติอร่อยเป็นพิเศษ
“อวิ๋นเยี่ย ซี่โครงช่างอร่อยเสียจริง เหตุใดเจ้าจึงแยกซี่โครงออกมาเสียดายของ” หลี่เค่อกินซี่โครงจนหมดแล้วจึงถาม
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร ส่งชามเซรามิกใบเล็กให้หลี่เค่อ บอกให้เขาลองชิมดู หลี่เค่อรับมา หลับตาแล้วลองดื่มซุป จากนั้นก็ใช้ช้อนจัดการส่วนที่เหลือจนหมดทันที มองไปที่อวิ๋นเยี่ยอย่างมีความหวัง เขาอยากจะลองชิมอาหารอื่นๆ อีก
“เสี่ยวเค่อ ฮองเฮาก็มาด้วยใช่หรือไม่ กำลังพูดคุยอยู่กับพวกท่านป้าใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามหลี่เค่ออย่างมีเลศนัย
“อยู่สิ ช่วงเวลาแบบนี้ฮองเฮาจะไม่อยู่ได้อย่างไร ตอนนี้ที่หลังตำหนักมีผู้หญิงหลายคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ น้องสาวข้าสามสี่คนก็มาด้วย ช่างน่ารำคาญ เมื่อก่อนตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่พวกนางก็เอาแต่ตามติดเขา ตอนนี้พี่ใหญ่ไปชายแดน ส่วนชิงเชวี่ยเองเจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนไม่มีความอดทนและเป็นคนน่าเบื่อ ดังนั้นตอนนี้พวกนางจึงตามติดข้า บ้านของข้าในฉางอันกำลังจะกลายเป็นสนามเด็กเล่นของพวกนาง ทำเอาข้าไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ปล่อยให้พวกนางอยู่ในบ้านได้ตามใจชอบ”
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจแล้วพูดกับหลี่เค่อว่า “ที่นี่มีอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงแก่ผู้หญิง ข้าคิดว่าพวกผู้หญิงที่มีอายุแล้วอย่างฮองเฮาและท่านป้าต้องการสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก แม่ของเจ้าก็ต้องการด้วยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบำรุงหัวใจและสายตา หน้าที่หลักของสาหร่ายทะเลคือกำจัดไขมัน มีประโยชน์ต่อคนที่เลือดลมไม่ดีอย่างฮองเฮา แล้วยังช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย”
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้กับข้า มีอะไรก็พูดมา หากช่วยได้ข้าก็จะช่วย” หลี่เค่อทำกิจการกับอวิ๋นเยี่ยมานับครั้งไม่ถ้วน จึงรู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่การปูทางเพื่อเชื่อมโยงเข้าเรื่องที่จะพูดในภายหลัง
“ความจริงแล้วข้าอยากจะถามว่า หากพวกเราสองคนยกอาหารพวกนี้ไปที่หลังตำหนักจะเสียมารยาทหรือไม่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น