เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 9 ตอนที่ 1-2
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 1 ความขายหน้าของหลี่ซื่อหมิน
หลังจากที่ทำลายเรือของหลู่อ๋องแล้ว บนแม่น้ำสายนี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับกองทัพเรืออีก ผู้บัญชาการทองทัพเรือหลิ่งหนานได้ประกาศว่าอวิ๋ยเยี่ยและหลี่หยวนชังได้สู้รบกันบนแม่น้ำเพื่อแย่งหญิงสาวงามสองคน สุดท้ายอวิ๋นเยี่ยอาศัยเรือที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะหลู่อ๋องจนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินสองฝั่งของแม่น้ำ ท่านโหวที่กล้าโจมตีองค์ชายในต้าถังก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ถึงขั้นใช้อาวุธทางทหารเพื่อแย่งชิงสาวงามพึ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่คิดว่านี้เป็นความอัปยศของราชสำนัก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอกสารการฟ้องร้องได้ปลิวว่อนไปทั่วฉางอันราวกับเกร็ดหิมะ ในฎีกาไม่ได้เขียนเข้าข้างใคร และไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด บอกเพียงแต่ว่าเป็นการเสื่อมเสียอารยธรรม ไม่มีความเป็นผู้ดี ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดลงโทษทั้งคู่ด้วย อย่างไรก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องสืบสวนว่าใครถูกใครผิด
ม้าเร็วส่งข่าวเร็วกว่าเรือเร็ว อวิ๋นเยี่ยและหลี่หยวนชังยังไม่ทันได้ถึงเมืองหลวง คนในเมืองหลวงก็รู้แล้วว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เหล่าฉินผู้มีจิตใจดีงามถึงกับถอนหายใจ คิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นตัวก่อปัญหา ตัวเองที่เป็นเสาหลักของครอบครัวในฉางอันก็เริ่มจะแบกรับไว้ไม่ไหวแล้ว
อวี้ฉือกงปรบมือหัวเราะชอบใจ นี่สิถึงจะสมกับเป็นชายในกองทัพทหาร ของที่เป็นของตัวเองหากใครแย่งไปก็ต้องโดนจัดการ เมื่ออารมณ์โมโหพลุ่งพล่าน แม้แต่เทพเจ้าบนสวรรค์ก็ไม่ยอมปล่อยไป เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยได้เรียนรู้สิ่งนี้มาจากตัวเอง
หลี่ซื่อหมินวางฎีกาลงแล้วนวดขมับ พูดกับตัวเองว่า “ไอ้เจ้านี่ เพื่อที่จะขอลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพกองทัพเรือแล้วก็ลงทุนไปไม่น้อยเลย เหอะๆ เจ้าก็มีช่วงเวลาไม่สบายใจเหมือนคนอื่นเขาด้วยหรือ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพทหารเรือต่อไปเถิด ข้ายังหวังว่าเจ้าจะสามารถสร้างเรือดีๆ ได้อีกหลายลำ”
แววตาของหลี่ไท่เต็มไปด้วยแสงแห่งความมืดมน ในมือถือขวดแก้วสองใบ ขวดหนึ่งมีมดแดงอยู่สี่ห้าตัว อีกขวดหนึ่งมีแมงมุมขนาดเท่ากำปั้นเด็กหนึ่งตัว มองดูสัตว์สองชนิดที่กำลังกระสับกระส่าย ถอนหายใจออกมาแล้วนำแมงมุมกลับไปไว้ที่ชั้นวางของ จากนั้นก็ปล่อยมดลงในตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็ก เขาเดินออกจากสำนักศึกษาเตรียมตัวกลับเข้าร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ที่ฉางอัน
ช่วงนี้ที่ฉางอันมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นมากมาย ได้รับรายงานชัยชนะจากทัพหน้า หงหลิงเดินนำทัพตะโกนว่าได้รับชัยชนะบนถนนจูเชวี่ย แต่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของราษฎรได้ ได้รับเพียงคำตอบที่บอกว่ารับรู้แล้วเท่านั้น จากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายไปทำเรื่องที่ตัวเองควรทำ ได้รับชัยชนะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากวันไหนมีข่าวร้ายมาจึงจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ ต้าถังไม่มีวันแพ้สงคราม
เพื่อเป็นการขอพรให้แก่ไท่ซั่งหวง ฝ่าบาทได้มีรับสั่งเป็นพิเศษว่าหลังจากนี้โทษประหารชีวิตจะมีเพียงสองประเภทคือการแขวนคอและตัดหัว เฉพาะผู้ที่ทรยศและชั่วร้ายเท่านั้นที่จะถูกตัดหัว ส่วนโทษอื่นๆ ที่เหลือจะถูกแขวนคอโดยการตั้งเสาขึ้นมาแล้วเอาเชือกคล้องคอนักโทษแขวนขึ้นไปข้างบน ไม่มีเลือด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีเลือดนองเต็มพื้น กลิ่นเหม็นเน่าไม่พอยังมีแมลงวันบินมาตอมอีก คิดว่าการแขวนคอน่าจะดีกว่า มีบางคนจินตนาการถึงฉากที่มีศพแขวนอยู่บนถนนจูเชวี่ยเต็มไปหมด
ราษฎรไม่สนใจว่านักโทษจะตายกี่คน ตอนนี้ภายในหนึ่งปีก็มีนักโทษตายอยู่ไม่กี่คน ต้องใช้ความพยายามหลายชั่วอายุคนหากอยากจะทำให้ถนนจูเชวี่ยเต็มไปด้วยศพ แต่หากไม่มีการเก็บภาษีนี่จึงจะถือว่าเป็นข่าวดีที่ควรแก่การเฉลิมฉลอง เมื่อก่อนในบ้านจะมีเสี่ยวเอ้อถึงสองสามคน คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเรียกว่าเสี่ยวเอ้อ คนที่ยังนั่งเล่นโคลนอยู่เรียกว่าเสี่ยวเอ้อ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว สามารถเรียกด้วยความมั่นใจว่าเสี่ยวซัน เสี่ยวซื่อ เสี่ยวอู่ไปตามลำดับ
มีกฎบางข้อของฉางอันที่ค่อยๆ หายไป ตั้งแต่ครั้งก่อนที่มีการออกคำสั่งห้ามออกนอกบ้านในตอนเวลากลางคืน พระราชโองการนี้คนในฉางอันได้ทำตามมาโดยตลอด แต่ขุนนางแก่ๆ เหล่านั้นดูเหมือนจะลืมธรรมเนียมปฏิบัติของกฎข้อนี้ เพราะหลังจากพระอาทิตย์ตกดินพวกเขามักจะชอบให้คนรับใช้ไปเลือกซื้อโคมไฟหลังพระอาทิตย์ตก แล้วยังชอบไปเดินเล่นย่อยอาหารที่เมืองทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
โรงละครในตรอกซิ่งฮว่าฟางมีบทเพลงใหม่เพิ่มเข้ามา ได้ยินว่าเป็นเรื่องราวของชายหญิงสองคนที่แอบคบกันจนสุดท้ายกลายเป็นผีเสื้อ คุณยายที่อายุมากแล้วไม่ชอบเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พูดกับลูกสาวคนโตและลูกสะใภ้ที่บ้านว่านี่เป็นตอนจบที่น่าอับอาย แอบคบกันแต่สุดท้ายกลายเป็นผีเสื้อมันไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ เหตุใดไม่กลายเป็นหมู
ไม่ว่าจะกลายเป็นผีเสื้อหรือกลายเป็นหมู นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก คุณหนูที่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ในครอบครัวให้ไปศึกษาศีลธรรมของผู้หญิงที่โรงละคร เมื่อกลับถึงบ้านต่างก็พากันร้องไห้ แล้วร้องเพลงละครด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ดูแล้วคงจะเป็นบทเรียนที่หนักพอสมควร ครั้งต่อไปเมื่อมีบทเพลงใหม่ค่อยกลับไปอีกครั้ง พี่น้องคนอื่นๆ ก็ไปด้วย เมื่อไม่เห็นสาวๆ ในบ้านก็นั่งเท้าคางมองต้นไม้ข้างนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ชิงช้าที่เมื่อก่อนเคยชอบที่สุดก็ไม่ไปนั่งแล้ว เป็นผู้หญิงควรจะสงบเสงี่ยมรอให้สามีแบกเกี้ยวให้นั่งสิ
คนที่ไม่มีโอกาสได้ซื้อบ้านที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง ตอนนี้ต้องนั่งทุบอกตัวเองด้วยความเสียใจ เมื่อดอกสาลี่บานในฤดูใบไม้ผลิ ตรอกซิ่งฮว่าฟางมักจะทำให้คนหลงใหล สายน้ำใสสะอาด หอสีแดง ดอกไม้สีขาว หญ้าเขียวขจีราวกับอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า มองไปที่ลานกว้างในบ้านของตัวเองดูเทาๆ เหมือนสถานที่โบราณ คนอื่นเพาะต้นสาลี่ บ้างก็เอาต้นโตเต็มวัยมาปลูก เมื่อดอกสาลี่ร่วงแล้วลมพัดผ่านมาก็ดูราวกับว่าหิมะกำลังตกอยู่ ที่บ้านของตัวเองมีเพียงต้นอวี๋ที่อยู่ตรงหน้าประตู เมื่อลมพัดมีเพียงแค่ใบแห้งๆ ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น วันหนึ่งต้องทำความสะอาดอยู่หลายรอบเชียว
เมื่อเว่ยเจิงไม่มีอะไรทำก็จะชอบไปเดินเล่นที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเสมอ เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของที่นี่ ชายร่างใหญ่ที่หน้าประตูตรอกซิ่งฮว่าฟาง เมื่อได้เจอกับเว่ยเจิงก็จะโค้งคำนับอย่างรู้งาน เป็นถึงขุนนางจะไม่คำนับได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะชอบใส่ชุดเก่าๆ ไปเดินรอบๆ แต่ก็เพียงพอจะให้ดูสถานะออกได้เพราะเขาดูเย็นชาไม่สนใจผู้ใด
มองดูผู้คนที่แต่งตัวเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้าน เว่ยเจิงไม่สามารถจินตนาการถึงตอนที่พวกเขาเป็นคนไม่ดีได้เลย ตอนนี้พวกเขามีไม้สั้นเหน็บอยู่ที่เอว จะมาเดินดูตรอกซิ่งฮว่าฟางทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เห็นขยะตกบนพื้นก็เก็บขึ้นมา เห็นเด็กล้มก็เข้าไปช่วยประคอง ทั้งยังช่วยพยุงคนแก่ไปนั่งใต้ต้นสาลี่ที่เขาชอบ และเรื่องที่ทำให้เว่ยเจิงตกใจมากที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาเก็บปิ่นปักผมทองได้ก็จะประกาศให้เจ้าของมารับไป
สภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนคนได้ นี่คือสิ่งที่ผู้ดูแลตรอกซิ่งฮว่าฟางของตระกูลอวิ๋นบอกกับเว่ยเจิง การเก็บปิ่นปักผมส่งคืนให้เจ้าของไม่ใช่เรื่องใหญ่ เทียบกับข้าวที่กินมาทั้งชีวิต ปิ่นปักผมกลับเทียบไม่ได้เลย ค่าแรงเก้าร้อยเหรียญต่อเดือนมากพอที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ได้ และมากพอที่จะทำให้พวกเขาไม่สนใจปิ่นทอง ส่วนเพื่อนไม่ดีที่เคยติดต่อกันเมื่อก่อนนั้นได้เตรียมการจะก่อเรื่องครั้งใหญ่ ตอนนี้เพื่อนเหล่านี้ถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ต้องนอนกินข้าวอยู่ในคุก
มีขุนนางบางคนที่ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองภูมิใจแม้แต่พ่อแม่ก็ยังดีใจไปด้วย จากเมื่อก่อนเป็นคนที่หมายังเมิน ทุกวันนี้ก็มีแม่สื่อมาที่บ้านแล้วพูดกับพ่อแม่ของพวกเขาว่าที่บ้านของตัวเองนั้นมีลูกสาวจัดการเรื่องงานบ้านงานเรือนได้ดีแค่ไหน ทั้งยังชงชาและทำกับข้าวเก่ง พ่อแม่ของเขาก็เรื่องมากติโน่นตินี่ คนไม่เอาไหนที่เมื่อก่อนไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ตอนนี้กลับรู้จักอาย เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้องของตัวเองแอบยืนฟังอยู่หลังประตู ทำเอาพ่อแม่และแม่สื่อหัวเราะลั่น นี่คือปฏิกิริยาทั่วไปของชายที่ยังไม่เคยแต่งงาน
พิธียิ่งใหญ่ของราชสำนักกำลังจะเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ นักปราชญ์ทั่วทุกหนแห่งจะมารวมตัวกันที่ฉางอัน เตรียมตัวเข้าร่วมการสอบของราชสำนัก การนำผลงานของตัวเองยื่นต่อราชสำนักก่อนเข้าร่วมการสอบนั้นไม่มีประโยชน์ ตอนนี้กระดาษข้อสอบถูกปิดผนึกทั้งหมด รายชื่อจะถูกปิดบัง ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือคนตรวจสอบคำตอบ รู้เพียงแต่ว่าผู้ดำเนินการสอบคือฝางเสวียนหลิง รองผู้ดำเนินการสอบคือจั่งซุนอู๋จี้ ที่เหลือก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นใคร ในปีก่อนๆ ผู้คุมสอบใจกล้าจะบอกผู้เข้าสอบว่าจะทดสอบเกี่ยวกับอะไร แต่ว่าปีนี้ไม่มีใครรู้เนื่องจากข้อสอบทั้งหมดอยู่ในห้องหนังสือของฝ่าบาท ผู้คุมสอบเหล่านั้นไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถพอที่จะนำข้อสอบออกจากวังหลวงได้
พวกเขาทำไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าหลี่ไท่กับหลี่เค่อจะทำไม่ได้ พี่น้องคู่นี้ถูกฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าไปพบที่ห้องหนังสือ จากนั้นฝ่าบาทก็เปิดข้อสอบอย่างลับๆ ให้ลูกชายตัวเองลองทำก่อนหนึ่งฉบับ ลูกชายของตัวเองไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบ แต่เขาอยากรู้ว่าลูกชายของตัวเองอยู่ในระดับไหน จะได้คะแนนดีหรือไม่
“ในเมื่อให้เกียรติผู้อาวุโสของตัวเอง ก็ต้องเคารพผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วย เมื่อเลี้ยงดูลูกของตัวเองก็ต้องดูแลลูกของคนอื่นด้วย’ ท่านพ่อโจทย์ข้อนี้ข้าทำมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ในนั้นยังมีแนวคิดของต้าถังที่ข้าเสนอแต่ถูกหลี่กังนำไปเขียนเป็นบทความเผยแพร่ในสำนักศึกษา คำถามข้อนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับข้าแล้ว ข้อนี้ก็เป็นโจทย์ ‘หานซิ่น[1]นับทหาร’ อีกแล้ว เพียงแค่เปลี่ยนอะไรเล็กน้อยเท่านั้น จากหานซิ่นเปลี่ยนเป็นคนเลี้ยงแกะ จากทหารเปลี่ยนเป็นไก่และแกะ ไม่มีการแบ่งแถว แต่มีการนับขา กลายเป็นโจทย์คล้ายกับ ‘ไก่และกระต่ายในกรงเดียวกัน’ ถึงจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือไก่ห้าสิบหกตัวและแกะแปดสิบสามตัว ท่านพ่อ ท่านลองให้ลูกศิษย์ที่มีความสามารถของสำนักศึกษาไปคำนวณพื้นที่หน้าดินดู นี่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับข้าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ตอนที่กระรอกขุดดินข้าก็ทำมันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากท่านเพิ่มแนวคิดเรื่องความหนาแน่นเข้าไป ข้าก็พอจะมีความสนใจอยู่บ้าง”
หลี่ซื่อหมินคิดว่าข้อสอบที่ตัวเองออกนั้นมีความยากอยู่แล้ว ได้รับการยอมรับจากฝางเสวียนหลิงและจั่งซุนอู๋จี้ คิดว่าคำถามเหล่านี้น่าจะเป็นหัวข้อที่ยากที่สุดในรอบหลายปี ใครจะไปรู้ว่าจะถูกลูกตัวเองบอกว่าง่ายเกินไป
หลี่เค่อเป็นเด็กมีมารยาท เมื่อเห็นท่านพ่อไม่สบายใจจึงรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งคำถามเหล่านี้ ทำไมข้อสอบถึงได้ง่ายเหลือเกิน ตำแหน่งทางการของต้าถังไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเสี่ยวอั้น คนระดับอย่างพวกเขาก็เหมาะสมจะเป็นขุนนางหรือ หรือจะบอกว่าลูกศิษย์ปีสองของสำนักศึกษาก็สามารถรับราชการได้แล้ว? ท่านพ่อ ท่านควรสั่งลงโทษขุนนางที่ขาดความรับผิดชอบผู้นี้ ให้เขาออกข้อสอบใหม่” หลี่ซื่อหมินหน้าแดงด้วยความโมโห ตบไปที่ท้ายทอยของลูกชายทั้งสองคนละทีแล้วพูดออกมาเสียงดังว่า “คำถามนี้ข้าเป็นคนตั้งเอง ฝางเสวียนหลิงและลุงของเจ้าต่างก็บอกว่าเป็นข้อสอบที่ยากแล้ว แถมยังมีการประชุมอย่างเป็นทางการในภายหลัง ข้าไม่เชื่อว่าคนสำนักศึกษาจะไม่มีปัญหากับหัวข้อเหล่านี้เมื่อต้องใช้ในสถานการณ์จริง”
หลี่ไท่ลูบที่ท้ายทอยแล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “คำถามเชิงปฏิบัติที่ท่านตั้งขึ้นมานั้นผิด ความมั่งคั่งของสถานที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่เขาจ่ายไป แต่ต้องดูรายได้ที่แท้จริงของคนในท้องถิ่นให้ครอบคลุม จำนวนวัวและแกะ ผลการผลิตเสบียงอาหาร ระดับการศึกษา ความรุ่งเรืองของกิจการ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านอุตสาหกรรมหรือไม่ ปริมาณของคนที่หลั่งไหลเข้ามามีเท่าไหร่ อัตราการเติบโตของประชากร พิจารณาอัตราการรอดชีวิตของทารกแรกเกิด และสุดท้ายจึงจะมีการเสียภาษี ความมั่งคั่งคือการพัฒนาโดยรวม ไม่เพียงแค่ขออาหารจากประชาชนเท่านั้น เมื่อประชากรมีความมั่งคั่งแล้ว ต้าถังก็จะมั่งคั่งไปด้วย ดังนั้นคำถามของท่านนั้นผิด อย่างน้อยก็ยังมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง”
หลี่ซื่อหมินนั่งลงบนเก้าอี้ มองลูกชายทั้งสองแล้วพูดว่า “สำนักศึกษาสอนอะไรพวกเจ้ากันแน่”
…………………………………..
[1] หานซิ่น เป็นขุนศึกซึ่งรับใช้หลิวปังในช่วงสงครามฉู่–ฮั่น และมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น
[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ]...
ตอนที่ 2 แหล่งรวมพลคนไม่ดี
คนที่ไม่เชื่อในความโชคร้ายอย่างหลี่ซื่อหมินได้เรียกตัวหลี่โย่วและหลี่อั้นกลับจากสำนักศึกษาในตอนกลางคืน ให้พวกเขาเขียนตอบคำถามพวกนี้ต่อหน้าตัวเอง ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ้ย และจั่งซุนอู๋จี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นคำถามที่ใช้ในการสอบ บอกเพียงแค่ว่าอยากจะทดสอบการบ้านสำนักศึกษาของลูกชาย
หลังจากชายหนุ่มหน้าบึ้งทั้งสองเปิดกระดาษก็ดูใจเย็นลง สองพี่น้องมองหน้ากัน ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนมองเห็นความสุขในสายตาของพวกเขาอย่างชัดเจน หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ ชิงเชวี่ยพูดไว้ไม่มีผิด เกรงว่าคำถามเหล่านี้จะง่ายดายเกินไปสำหรับพวกเขา
เป็นอย่างที่คิดไว้ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ทำข้อสอบเสร็จแล้ว หลี่อั้นยังคงไม่วางใจกับคำถามข้อสุดท้าย คิดว่าการให้ความสำคัญกับภาษีเพียงอย่างเดียวเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อราษฎรในต้าถัง หลี่โย่วได้เขียนสิ่งที่ทางการควรทำใหม่ทั้งหมด พูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง
ฮ่องเต้และขุนนางทั้งสี่คนนั่งนิ่งเงียบในแสงมืดสลัวไม่พูดอะไร หลี่อั้นและหลี่โย่วรับรางวัลจากท่านพ่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปเยี่ยมแม่ของตัวเองที่วังหลัง
มองดูลูกชายทั้งสองคนเดินออกนอกประตูไปไกล หลี่ซื่อหมินพูดขึ้นมาว่า “นี่คือลูกชายสองคนที่ดื้อรั้นที่สุดของข้า เสวียนหลิง เค่อหมิง อู๋จี้ พวกเจ้าดูหลี่โย่วและหลี่อั้นสิ ถึงแม้ว่าคำตอบของพวกเขาทั้งสองคนจะดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก แต่กลับถูกหลักการ วิชาอื่นอย่างคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ชิงเชวี่ย เด็กสองคนนี้คงคิดว่าการตั้งคำถามแบบนี้เป็นการดูถูกพวกเขา เสวียนหลิง ลูกชายคนเล็กสุดที่รักของเจ้าก็อยู่ในสำนักศึกษาเหมือนกันไม่ใช่หรือ คำถามเหล่านี้คงไม่ยากสำหรับเขา เค่อหมิง ข้าได้ยินว่าคะแนนของตู้เหอในสำนักศึกษาดีกว่าลูกชายของข้าทั้งสองคนเสียอีก อู๋จี้ เหล่าซื่อและเหล่าอู่ของเจ้าก็อยู่ในสำนักศึกษา พวกเขาคงจะคิดว่าพวกเราออกข้อสอบง่ายไป ให้ถือว่าข้อสอบพวกนี้เป็นโมฆะไปแล้วกัน ข้าไม่ต้องการให้เด็กอายุสิบสามสิบสี่ปีแห่เข้ามารับราชการในราชสำนัก”
“ฝ่าบาท ท่านลองให้บัณฑิตที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นลองทำดูจะได้รู้ว่าวิชาความรู้ของสำนักศึกษาแตกต่างจากของที่อื่นอย่างไร จากนั้นพวกเราค่อยคิดเกี่ยวกับมาตรการรับมือ ขุนนางทุกคนก็เอาข้อสอบกลับไปด้วย หาคนมาทำเยอะๆ แล้วรอดูผล”
ฝางเสวียนหลิงมองปัญหาออกทันที ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาใช้ความเข้าใจในการเก็บเกี่ยวความรู้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ แต่ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีนโยบายดั้งเดิมอย่างภาษาโบราณ การพาดพิงคำพูด และบทกวียังถือว่าอยู่ในความคาดหมาย ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้เน้นเรื่องการนำความรู้ไปใช้งานจริง ลดคำถามเกี่ยวกับความรู้ดั้งเดิมเหล่านั้น ทำให้ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาทำบททดสอบได้อย่างสบายๆ และแน่นอนว่าเจ้าคนกะล่อนอย่างหลี่ไท่ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าเหล่าฝางชื่นชมในนโยบายของเขา
หลี่ซื่อหมินกลับไปที่ห้องนอนอย่างเป็นกังวล ไม่คิดจะไปตำหนักของสนมคนอื่นๆ เขาเดินตรงมาที่ตำหนักของฮองเฮา จั่งซุนกำลังกล่อมลูกสาวเข้านอน หลี่ซื่อหมินมาเห็นจึงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วจิบชา รอให้ลูกน้อยนอนหลับไปก่อนแล้วค่อยพูดคุยกับจั่งซุน
ลูกน้อยนอนหลับไปแล้ว จั่งซุนอุ้มนางไปไว้ในเปล สั่งให้แม่นมดูแลอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไปที่ห้องโถงด้านหน้า หยิบขนมจากห้องครัวมาวางไว้บนโต๊ะ
“หลี่ซื่อหมิน กินเสียหน่อยสิ ขนมพวกนี้ไม่ได้ใส่น้ำตาล อาจารย์ซุนให้เจ้ากินอาหารที่มีน้ำตาลให้น้อยลง”
“ข้าไม่มีอารมณ์กินอะไรทั้งนั้น หลี่อั้นและหลี่โย่วลูกชายทั้งสองของข้าแก้ปัญหาที่ข้าตั้งขึ้นมาได้ทุกข้อ หากเขาทั้งสองเข้าร่วมการสอบครั้งนี้จะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน”
จั่งซุนมองไปที่หลี่ซื่อหมินด้วยความประหลาดใจ นางไม่อยากจะเชื่อว่านิสัยอย่างเด็กชายสองคนนั้นจะสามารถแก้ปัญหาที่สามีตั้งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าความประหลาดใจได้หายไปทันที นางยิ้มแล้วพูดว่า “คนมักพูดว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ลูกชายของท่านแก้โจทย์ของท่านได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อลูกมีพัฒนาการที่ดีท่านควรจะดีใจเหตุใดจึงขมวดคิ้ว”
“การสอนของสำนักศึกษาในสองปีนี้ คุ้มค่ากับการทำงานมาตลอดสิบปีของข้า ตอนนี้เจ้ายังได้ยินว่าหลี่โย่วและหลี่อั้นทำตัวเละเทะอยู่หรือไม่ เมื่อก่อนพวกเขาเคยทำผิดพลาดมามาก แต่ว่าตอนนี้เมื่อกลับมาในวัง หากไม่ไปดูแลแม่ของเขาก็จะไปเดินเล่นอยู่ในฉางอัน เหล่าอาจารย์ในวังที่ได้ทดสอบความรู้ของพวกเขาต่างก็ต้องมองพวกเขาในมุมใหม่ จะเห็นได้ว่าการอบรมสั่งสอนในราชวงศ์นั้นยังคงมีปัญหาอยู่มาก”
“ฝ่าบาทกำลังตำหนิหม่อมฉันที่อบรมสั่งสอนเด็กๆ ได้ไม่ดี” จั่งซุนก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน หลี่โย่วและหลี่อั้นเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน ความหยิ่งผยอง โหดเหี้ยม ร้ายกาจ หลงระเริงในความสวยความงาม สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีในตัวพวกเขาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขอโทษนางในและขันทีที่เคยรังแกมาก่อน แต่ว่าก็ให้เงินพวกเขามากมายเป็นการชดเชย ตอนนี้หากเด็กทั้งสองคนนี้ไม่มีชื่อเสียงด้านความชั่วร้ายเหมือนเมื่อก่อนก็จะไม่มีใครมองเด็กชายที่สุภาพทั้งสองในด้านร้ายได้อีก เพราะเหตุนี้สนมยินจึงได้กินเจหนึ่งปีเพื่อขอบคุณพระโพธิสัตว์
“ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ในตอนแรกที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าให้ส่งพวกเขาไปที่สำนักศึกษา พวกเราก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่แปลกแต่ก็ไม่ควรถาม จากนั้นก็มีเรื่องที่ว่าอวิ๋นเยี่ยได้เปลี่ยนหัวใจของหลี่โย่วเกิดขึ้น หลี่อั้นถูกมัดไว้กับเสา อ้างว่าเห็นอวิ๋นเยี่ยแหกอกของหลี่โย่วด้วยตาของเขาเอง ควักหัวใจออกมาแล้วใส่หัวใจของแกะให้เขาแทน แม้ว่าหลิวเซี่ยนจะอธิบายอย่างละเอียดถึงสาเหตุและผลที่ตามมาให้ข้าฟัง แต่ว่าข้าก็ยังไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง เหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยบอกว่าเขาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมาเป็นเวลานาน จนกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่นั่นไปแล้ว เขาใช้คำเหล่านี้เพื่อเอาชนะข้า ตอนนี้มาคิดๆดู แล้วเหมือนว่าเขากำลังด่าข้า เพราะว่ามีประโยคก่อนหน้านั้นก็คือ ‘เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อยู่นานไปก็จะเริ่มกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม’ ไอ้เจ้านี่กล้าบอกว่าวังหลวงคือแหล่งรวมพลคนไม่ดี รอให้เจ้ากลับมา ข้าจะขังเจ้าไว้กับคนพวกนี้ซะ โจมตีผู้ที่มีสายเลือดกษัตริย์อย่างไรก็มีโทษติดตัวอยู่แล้ว ซุนผินก็เอาแต่ร้องไห้จนน่ารำคาญ เช่นนั้นก็ดี จะได้ให้หลี่หยวนชังได้สมใจเสียหน่อย”
“ฝ่าบาท เกรงว่าจะไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยต้องลําบากตรากตรํามากในครั้งนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนำเสบียงและสมบัติมาให้ท่าน ถือว่ามีความดีความชอบต่อประเทศชาติ พอเขากลับมาท่านก็จะลงโทษ ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
“จริงอยู่ที่ว่าดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เช่นนั้นก็รอให้เขาทำผิดครั้งต่อไปค่อยลงโทษไปเลยทีเดียวแล้วกัน อย่างไรเขาก็มักจะทำผิดอยู่แล้ว หากข้าอยากจะถือหางเขาไว้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เหอะๆๆ”
ตอนที่หลี่ซื่อหมินกำลังพูดคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งอยู่บนเรือใช้ตะเกียบคีบปลาเตรียมจะต้มปลา มีน้ำมันสีแดงลอยอยู่ในหม้อ พริกสีเขียวเสียบไม้ส่งกลิ่นหอม เนื้อปลาสีขาวถูกพลิกไปมาอยู่ในหม้อ หงเฉิงคาบตะเกียบไว้ในปากรอเวลาปลาสุก
“หากเจ้ากล้าเอาตะเกียบที่คาบอยู่จุ่มเข้าไปในหม้อ ข้าจะเอาหม้อครอบหัวเจ้า” อวิ๋นเยี่ยเตือนหงเฉิงอย่างจริงจัง คนอย่างหงเฉิงเวลากินข้าวมักจะกินอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ห่วงเรื่องมารยาท ส่วนเหอจงอู่นั้นกินข้าวด้วยท่าทีที่สง่างาม จัดวางจานชามเป็นระเบียบตามคำสอนของอวิ๋นเยี่ย อู๋เสอก็นั่งตัวตรง ข้างหน้ามีตะเกียบสองคู่วางอยู่เตรียมพร้อมที่จะกินได้ตลอดเวลา
อาหารสุกแล้ว อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะกินไปชิ้นเดียว อู๋เสอก็ตักใส่ชามตัวเองจนเต็ม หงเฉิงเองก็ไม่พลาด ซดน้ำซุปร้อนจนหุบปากไม่ได้ แม้แต่เหอจงอู่ก็ตักเนื้อปลาชิ้นใหญ่มาสองชิ้น
ในหม้อไม่เหลืออะไรแล้ว จึงต้องเทเนื้อปลาถาดใหม่เพื่อเตรียมต้มหม้อต่อไป
“ท่านโหว นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตข้า พวกเราชาวกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินปลา กินเนื้อวัวเนื้อแกะจนชินแล้ว กินของอะไรพวกนี้ไม่เป็นจึงทำให้พลาดอาหารรสดีเช่นนี้ ช่างหน้าเสียดายจริงๆ” พูดจบก็คีบเนื้อในชามตัวเองขึ้นมากิน
“กลับบ้านครั้งนี้จะไม่ออกไปไหนแล้ว แทบจะวิ่งเป็นวงกลมรอบชายแดนต้าถังอยู่แล้ว คนอื่นๆ ได้เที่ยวชมภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงพร้อมกับแต่งบทกวี มีเพียงข้าที่ต้องไปแต่ในที่ที่โชคร้าย ไม่เคยได้ไปสถานที่ดีๆ ในกวนจงเลย น่าเสียดายจริงๆ ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านก็จะนอนให้เต็มอิ่มเสียก่อน จากนั้นก็จะใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูกๆ ที่บ้าน ภรรยารองของข้ากำลังจะคลอดแล้ว แต่ในเวลานี้ข้ายังคงล่องอยู่ในแม่น้ำ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ผู้คนต้องการอะไรในชีวิตกันล่ะ แล้วเมื่อไหร่จึงจะพอใจได้ แต่ข้าพอใจแล้ว ข้ามีตำแหน่งหน้าที่การงาน ข้ามีภรรยา ข้าทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อต้าถังแล้ว ดังนั้นข้าวางแผนไว้ว่าจะเกษียณตอนอายุสามสิบปีเพื่อจะได้มีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง อู๋เสอเจ้าก็อายุมากแล้ว ข้าว่าเจ้าควรจะทำผลงานที่เยี่ยมยอดในครั้งนี้ จากนั้นก็ไปอยู่กับข้าที่เขาฉินหลิ่ง ใช้ชีวิตนี้ไปด้วยกัน เวลาตายจะได้ไม่ต้องคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตยังไม่คุ้มค่า”
“คำพูดของอวิ๋นโหวช่างสมเหตุสมผล ข้าจะกลับไปทูลขอฝ่าบาท หวังว่าจะได้รับอนุญาต ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทำให้ข้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าอยากตกปลา เลี้ยงนก เล่นหมากรุก สิ่งที่คนแก่เขาทำกันข้ากลับไม่รู้อะไรสักอย่างเลย พออายุมากแล้วพึ่งจะได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”
ได้ยินอู๋เสอพูดอวิ๋นเยี่ยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็คีบเนื้อปลาขึ้นมาใส่ชาม มองไปที่เหอจงอู่ที่ทำหน้าอึดอัดใจแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการเติบโตในหน้าที่การงาน นี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เจ้าจะทำท่าทางอึดอัดทำไม เจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำของแคว้นวอ และตอนนี้เป็นช่วงที่ราชสำนักต้องการให้เจ้าทำงานหนัก แคว้นวอนี้พิเศษมาก เจ้าต้องคอยระมัดระวังการเคลื่อนไหวของพวกเขา ตอนนี้ที่พวกเขาแสดงความนอบน้อมก็เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับก่อการใหญ่ในอนาคต ถึงแม้ว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ว่าจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พวกเราสามคนได้ผ่านประสบการณ์มามากมาย ข้าก็แค่อยากจะใช้ชีวิตนี้ให้ผ่านไปอย่างสบายๆ เท่านั้น หากเจ้าไม่ต้องการก็พยายามต่อไปเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของเจ้า”
เหอจงอู่ยกมือขึ้นคำนับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ อู๋เสอมองไปที่ริมแม่น้ำแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หลู่อ๋องดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ มีทหารของเขาคอยติดตามเราอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เจ้าต้องการจะจัดการพวกเขาหรือไม่”
หงเฉิงหัวเราะแล้วพูดว่า “จะดีมากหากหลู่อ๋องสามารถตีเรือของพวกเราได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถทุบเขาให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูกได้เลย เพียงแต่ว่าคนขี้ขลาดอย่างเขาคงอยากแต่จะฟ้องร้องอย่างเดียวจึงได้จับตาดูพวกเรา”
“พวกเขาอยู่ที่ไหน ทำไมข้าไม่เห็น ทหารที่เฝ้าบนเสาเรือก็ไม่เห็นเช่นกัน”
“เป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาเท่านั้น หากท่านโหวอยากเห็นก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่ รอดูข้าก็แล้วกัน” อู๋เสอเดินไปที่หัวเรือ ถือหน้าไม้ที่ใส่ลูกศรไว้แล้ววางบนไหล่ของตัวเอง เล็งไปที่ริมฝั่งแม่น้ำที่มืดและเงียบสงบแล้วยิงหน้าไม้ออกไป พึ่งจะปล่อยหน้าไม้ออกไปก็มีเสียงกรีดร้องจากริมฝั่งแม่น้ำและมีเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้น
อู๋เสอฟังอยู่สักพัก วางหน้าไม้ลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “แมลงวันพวกนั้นบินหนีไปแล้ว หนึ่งในนั้นถูกข้ายิงเข้าที่หน้าอก คาดว่าคงจะไม่รอด มีกองทัพขนาดใหญ่อยู่ที่นี่ก็ยังกล้ามาสอดแนม คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น