พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 899-916
ตอนที่ 899
ก๊อกแก๊ก
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเรื่องนี้…โอวหยางกวงเดินช้าๆ มานั่งลงข้างกายนาง จากนั้นก็เงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังลังเลหรือกำลังคิดหาวิธีการ
เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทีแบบนั้น อันหรูอวี้ก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ทำไมล่ะ? เจ้ามีความเห็นอะไรเหรอ?”
โอวหยางกวงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเจ้ากังวลจริงๆ ก็ให้หลางหลางกับหวนหวนอยู่เป็นโสดไปทั้งชีวิตก็สิ้นเรื่อง!”
อันหรูอวี้หน้าบึ้งทันที “พูดบ้าอะไรของเจ้า! หรือว่ามีแค่ผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่ใช้ชีวิตสำราญสามเมียสี่เมีย ส่วนผู้หญิงก็เป็นท่อนไม้ไปทั้งชาติงั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เลือกใช้แผนสำรองสิ…ถ้าพวกเราไม่สะดวกจะเอ่ยปาก ก็ไปให้คนอื่นช่วยถามให้ก็ได้ ดูว่าไอ้จัญไรนั่นยินดีจะรับหลางหลางกับหวนหวนเป็นอนุภรรยารึเปล่า”
“พูดออกมาได้อย่างไร พวกเรามีฐานะเป็นอย่างไร ลูกสาวพวกเราจะไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้เหรอ? ยังจะส่งลูกสาวไปเป็นอนุภรรยาอีก พ่อแม่แบบนี้มีที่ไหนกัน?”
ซ้ายก็ไม่ได้ขวาก็ไม่ได้ โอวหยางกวงทำได้เพียงหุบปาก…
หลังจากท่านทูตสายต่างๆ ของแดนเซียนมากันครบแล้ว ก็รวมกลุ่มกันมาคำนับคุณชายรอง ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถอยออกไป
ถึงแม้ร่างกายจะเป็นผู้หญิง แต่กลับเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ ร่างกายอันหรูอวี้เดิมทีก็สูงกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาท่านทูต ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ นางกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน พลางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ครั้งนี้เรียกท่านทูตทุกคนมากันครบ ที่จริงก็เป็นเพราะท่านจื่อหยางนั่น จากเรื่องเจดีย์งามวิจิตรครั้งก่อน คาดว่าทุกคนคงจะเดาเจตนาของเฟิงเป่ยเฉินออกแล้ว ช่วยไม่ได้ที่สำนักงามวิจิตรถูกบีบอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน ไม่สามารถรับมาทำงานให้แดนเซียนได้ ตอนนี้ท่านจื่อหยาง ศิษย์ระดับสูงของสำนักงามวิจิตรต้องการจะท้าทายสำนักงามวิจิตร พวกเราคอยจับตาดูไปก่อน ถ้าเป็นยอดฝีมือหลอมของวิเศษที่หายากจริงๆ ก็จะต้องช่วงชิงให้มาอยู่ฝ่ายเราให้ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อย่าปล่อยให้ไปทำงานให้คนอื่นเหมือนกัน”
ท่านทูตทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ช่างเหมือนกับสำนวนที่ว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด[1] นึกไม่ถึงว่าท่านจื่อหยางนั่นจะมีภัยถึงชีวิตเพราะมีฝีมือในการหลอมของวิเศษ
ซูเย่ท่านทูตสายขาลกล่าวอย่างลังเลว่า “คุณชายรอง กำลังพลแต่ละแดนมากันครบแล้ว ดูจากสถานการณ์ เกรงว่าคงไม่ได้มีแค่พวกเราที่มีความคิดแบบนี้”
อันหรูอวี้พยักหน้า “ทุกคนมีความคิดแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี ท่านปราชญ์สั่งมาแล้ว ว่าให้ดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจ ถ้าหากเป็นไปได้ ก็กำจัดสำนักงามวิจิตรทิ้งเสียเลย เฟิงเป่ยเฉินจะได้ไม่เกิดความคิดเหลวไหลมากเกินไป ถ้าเกิดมีการลงมือขึ้นมา ก็ให้เข้าร่วมได้เลย ทุกท่านเตรียมความพร้อมไว้ในใจ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ฉุกละหุก แล้วอีกอย่าง อย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ จะได้ไม่มีข่าวหลุดออกไป!”
ขณะที่ทางนี้กำลังวางแผนลับ เหมียวอี้ก็กำลังไปเยี่ยมเยียนคนรู้จักเช่นกัน ประมุขถิ่นสี่ทิศมาถึงแล้ว ต่างคนต่างพาทูตซ้ายหนึ่งคนและราชาปีศาจสองคนมาด้วย ทะเลดาวนักษัตรมาด้วยกันทั้งหมดสิบหกคน
สำหรับเรื่องนี้ สำนักงามวิจิตรค่อนข้างประหลาดใจ แดนอู๋เลี่ยงค่อนข้างแปลกใจ น้อยครั้งมากที่ประมุขถิ่นสี่ทิศจะมาดูเอาสนุกแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมาด้วยเหมือนกัน
หารู้ไม่ว่าประมุขถิ่นสี่ทิศเองก็ไม่ได้อยากมา และไม่อยากมาประสมโรงด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะไม่อาจทนเห็นเหมียวอี้เป็นอะไรไปได้ เมื่อขึ้นเรือโจรลำเดียวกับเหมียวอี้แล้ว อยากจะไล่ลงก็ไล่ไม่ได้ แล้วตัวเองก็ไม่อยากลงด้วย
“เจ้าห้า ลูกศิษย์ที่โดนขับไล่คนหนึ่งกลับบมาล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร สะเทือนถึงบุคคลระดับสูงของแดนต่างๆ เลยเหรอ คนมากันเยอะขนาดนี้ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลนิดหน่อยนะ!”
พอเหมียวอี้มาถึง เพิ่งจะเดินเข้าโถงหลักมากุมหมัดคารวะประมุขถิ่นสี่ทิศ ฝูชิงก็เข้ามาถามต่อหน้าแล้ว
เหมียวอี้เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “ข้าเองก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าที่จินตนาการไว้จริงๆ”
ตอนนี้เขากำลังปวดประสาทอยู่พอดี เยารั่วเซียนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายตนมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพอปรากฏตัวก็ป่วนให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ขนาดเขาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
“เจ้าห้า คนกลุ่มนี้พุ่งเป้ามาที่จื่อหยางอะไรนั่นจริงเหรอ ถ้าเกิดลงมือต่อสู้กันขึ้นมา พวกเราคงคุ้มกันส่งจื่อหยางออกไปอย่างปลอดภัยไม่ไหวหรอก” อิงอู๋ตี๋กล่าว
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าติดต่อกับฝ่ายนภาจอมมารแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ส่งตัวให้นภาจอมมาร พวกท่านช่วยให้ฝ่ายนภาจอมมารพาตัวเขาไปได้ก็พอ”
“ล้อเล่นอะไรกัน อย่างน้อยภายนอกพวกเราก็ยังเป็นคนของแดนปีศาจอยู่ ถ้าไปช่วยฝ่ายนภาจอมมาร พวกเราก็ไม่สะดวกจะอธิบายกับแดนปีศาจน่ะสิ” สงเวยว่า
“พี่ใหญ่ ข้าก็ยังเป็นคนของแดนเซียนเหมือนกัน กำลังกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเหมือนกันนั่นแหละ” เหมียวอี้บอก
“เจ้าห้า แบบนั้นเหมือนกันเสียที่ไหน? เจ้ามันเป็นเขยของนภาจอมมารนี่นา” หงเทียนแสดงความเห็น
ฝูชิงพยักหน้า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ต่อให้พวกเราช่วยฝ่ายนภาจอมมาร ดีไม่ดีอาจจะทำให้อีกห้าแดนร่วมมือกัน ถึงตอนนั้นก็อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นนภาจอมมารก็ต้านไม่ไหว!”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ จากนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอีก “ประเด็นสำคัญก็คือไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวท่านจื่อหยางอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้จะปรากฏตัวออกมาด้วยวิธีไหน ไม่อย่างนั้นข้าจะจับตัวเขากลับไปเอง แม่งเอ๊ย สมองมีปัญหารึไง ล้างความอัปยศบ้าบออะไรล่ะ!”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาเองก็เข้าใจเหมือนกัน เรื่องล้างความอัปยศแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็อาจจะทำเหมือนกัน แต่ประเด็นคือวิธีการไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาแบบนี้ เป็นไปได้สูงว่าเยารั่วเซียนก็อาจไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าตัวเองป่วนให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดไหน
สรุปก็คือตอนนี้เหมียวอี้ปวดหัวมาก อยากจะพาพวกผู้ช่วยมาจากพิภพใหญ่มาก ทว่านั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงส่ายหน้าบอกว่า “ก็ทำได้เพียงรอดูสถานการณ์พรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงได้แค่ปล่อยไปตามธรรมชาติแล้ว!”
ถ้าสู้สุดชีวิตแล้วยังช่วยไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงยอมแพ้ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปทิ้งแบบสูญเปล่า อย่างมากในภายหลังก็ค่อยช่วยล้างแค้นให้เยารั่วเซียนก็ได้ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีวิธีการอื่น ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด
“ถ้าโน้มน้าวให้ฝ่ายแดนเซียนช่วยเจ้าอีกแรง บางทีก็อาจจะเป็นไปได้” ฝูชิงกล่าว
“ที่จริงก็มีวิธีการนี้เหมือนกัน ใครจะคิดว่าอันหรูอวี้จะมาด้วย คนอื่นมาก็ยังพอเป็นไปได้ แต่คนที่นำกำลังลังพลของแดนเซียนมาดันเป็นอันหรูอวี้ เลิกคิดไปได้เลยละมั้ง?” เหมียวอี้โบกมือยิ้มเจื่อน
“ทำไมล่ะ?” สงเวยแปลกใจ “หรือว่าเจ้ากับอันหรูอวี้ไม่ถูกกัน?”
“ไม่ต้องพูดถึงหรอก!”เหมียวอี้พูดลำบากจริงๆ เขาชี้ไปด้านนอก “ถ้าพรุ่งนี้สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล รบกวนท่านพี่ทั้งสี่พาลูกน้องที่ข้าพามาด้วยกลับไปก่อนนะ”
เหล่าประมุขถิ่นพยักหน้า ต่างก็รู้ว่าเขาหมายถึงฉินเวยเวย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกัน ตอนที่อวิ๋นจือชิวพาไปทะเลดาวนักษัตร ก็รู้แล้วว่าอวิ๋นจือชิวกับผู้หญิงคนนี้เรียกกันว่าพี่สาวน้องสาว มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
“เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ข้าจะไปหาฝ่ายแดนมารสักหน่อย ดูว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เหมียวอี้ลุกขึ้นกล่าวขอตัว ออกมากโถงหลัก แล้วพาฉินเวยเวยออกไป
เมื่อมาถึงที่พักของคนฝ่ายแดนมาร พอพบกับอาแปดอวิ๋นเป้า ฝ่ายนี้ก็ย่อมสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน กำลังสับสนว่าเยารั่วเซียนอยู่ที่ไหน ถ้าหาเยารั่วเซียนพบจะได้ปรึกษาหารือขอความร่วมมือได้สะดวก ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเยารั่วเซียนมีสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ทำเอาพวกเขาแม้แต่จะวางแผนก็ทำได้ไม่สะดวก
ม่านราตรีมาเยือน ฝูงนกบินกลับรัง บนภูเขาที่เงียบสงบด้านหลังสำนักงามวิจิตร สภาพแวดล้อมงดงาม คนไม่มีกิจธุระห้ามเข้า
ฟู่หยวนคังเดินสาวเท้ามาหยุดที่ด้านนอกตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง นักพรตหญิงที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันที และไม่นานก็ออกมาเชิญ
ฟู่หยวนคังผ่อนฝีเท้าเดินเข้ามา เลี้ยวเข้าไปที่ตำหนักหลัง พอเจอเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง ก็กุมหมัดคารวะ “ท่านอาจารย์!”
คนนอกไม่มีใครรู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินมาถึงสำนักงามวิจิตรแล้ว เป็นเพราะข่าวที่ได้รับจากแดนต่างๆ ทำให้เขาพบความไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ จึงมาคอบคุมอย่างเงียบๆ
เฟิงเป่ยเฉินหน้าตาไม่ธรรมดา ไว้หนวดสีดำขลับราวกับน้ำหมึก มีลักษณะราศีของนักกพรตเต๋า เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “สถานการณ์ไม่ชัดเจนขอรับ มองไม่ออกว่าทางแดนเซียนมีใครอยากเล่นงานให้ไอ้เหมียวจัญไรถึงตาย จีเหม่ยเหมยเองก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องการทำอย่างนี้ แต่ต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอำนาจในแดนเซียนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่สร้างโอกาสลงมือให้พวกเราได้ง่ายๆ แต่จีเหม่ยเหมยมั่นใจว่าบุคคลลึกลับที่มาติดต่อด้วยจะเกีย่วข้องกับเยว่เทียนโป”
“เยว่เทียนโป?” เฟิงเป่ยเฉินถามว่า “ทำไมคิดอย่างนั้น?”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “ไอ้เหมียวจัญไรกับแดนโพ้นสวรรค์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเกินไป เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งของเยว่เทียนโป การอาศัยโอกาสนี้กำจัดทิ้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ศิษย์คิด่าการคาดเดาของจีเหม่ยเหมยก็มีเหตุผล แต่ศิษย์ก็กลัวอีกว่าจะมีกับดักอะไร?”
เฟิงเป่ยเฉินกล่าวดูถูกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะมีกับดักอะไรได้? ขอแค่มีโอกาสลงมือ เจ้าก็สนใจแต่เรื่องลงมือก็พอ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่ไอ้เด็กจัญไรนั่นดึงสี่ปีศาจเฒ่าจากทะเลดาวนักษัตรมาได้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาบ้างเหมือนกัน เจ้าไปสืบให้แน่ชัดมาก่อนว่าคนที่อยู่ข้างกายเขาเป็นใคร อย่ามุทะลุบุ่มบ่ามจนตัวเองเสียเปรียบ”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “สืบสถานการณ์คร่าวๆ มาชัดเจนแล้วขอรับ ข้างกายเขาไม่ได้มีคนสำคัญอะไร นอกจากผู้หญิงคนหนึ่งที่พามาด้วย ก็มีแค่กำลังพลแดนเซียนพวกนั้น ฝ่ายเรารู้เบาะแสหมดแล้วขอรับ”
“อย่าประมาท บางทีผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาอาจจะมีลับลมคมในบางอย่าง ระว่างทุกอย่างไว้จะดีกว่า” เฟิงเป่ยเฉินกล่าว
ฟู่หยวนคังยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้หญิงคนนั้นเลยขอรับ เป็นเพียงประมุขตำหนักใต้บังคับบัญชาของเขา ชื่อว่าฉินเวยเวย ได้ยินว่าเพิ่งบรรลุระดับบงกชแดง ฝ่ายเราสืบสถานการณ์มาชัดเจนแล้ว”
“ฉินเวยเวย?” เฟิงเป่ยเฉินลังเล ลองนึกไปนึกมาก็พบว่าไม่คุ้นเลยจริงๆ
ทว่าในขณะนี้เอง ในห้องข้างๆ กลับมีเสียง “ก๊อกแก๊ก” ดังมา เฟิงเป่ยเฉินกับฟู่หยวนคังหันไปมองพร้อมกัน ไม่รู้ว่าด้านหลังม่านไข่มุกมีความเคลื่อนไหวอะไร
ม่านไข่มุกนั่นพลันกระเพื่อมออกโดยไร้ลม เฟิงเป่ยเฉินหายตัวไปจากเตียงหลังนั้นแล้ว ขณะที่ม่านไข่มุกกระเพื่อมกลับมาติดกกันอีกครั้ง เฟิงเป่ยเฉินก็ไปโผล่อยู่ในห้องแล้ว สายตากำลังมองไปยังขอบหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่
บนขอบหน้าต่างจัดวางกระถางต้นไม้ที่สวยประณีตไว้ต้นหนึ่ง ฉินซี ฮูหยินผู้งดงามเลิศล้ำของเขากำลังโน้มตัวลงเก็บกรรไกรตัดกิ่งไม้ ไม่รู้ว่ากรรไกรตกลงพื้นได้อย่างไร
เฟิงเป่ยเฉินกางนิ้วทั้งห้า ดูดกรรไกรมาไว้ในมือตัวเอง ฉินซีเอียงศีรษะมองเขาแวบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แววตายังคงเย็นชา สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์อยู่ตลอด
เฟิงเป่ยเฉินเดินเข้าไป วางกรรไกไว้บนขอบหน้าต่าง แล้วขมวดคิ้วถาม “ฮูหยินเป็นอะไรไป?”
ฉินซีหยิบกรรไกรขึ้นมาอีกครั้ง ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่พลั้งมือตัดกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง รู้สึกเสียดาย”
เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วส่ายหน้า พบว่านิสัยของผู้หญิงคนนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งรักสันโดษ เรื่องที่เป็นการเป็นงานไม่สนใจ แต่กลับตื่นตูมกับของที่อยู่ในกระถางต้นไม้
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้านางยิ่งเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากแผนการเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขากังวลว่าตำหนักหลังจะไม่สงบสุข แต่มีฮูหยินแบบฉินซีอยู่ในบ้าน ทำให้เขาไม่ต้องกังวลใจอะไรเลยจริงๆ กลับเป็นเรื่องดีสำหรับเขา หมดความยุ่งยากใจ! นางจึงได้รับความเอ็นดูจากเขา! เขายิ้มบางๆ พลางพูดปลอบว่า “ผิดพลาดก็ไม่เป็นไร โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ มีข้อเสียนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป”
พอมองดูที่กระถางต้นไม้ ก็ไม่เห็นว่าตัดเสียตรงไหน แต่ผู้หญิงคนนี้ชอบปรนนิบัติของเล่นพวกนี้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก พูดปลอบใจสองสามคำ ก่อนจะหันตัวและเอามือไขว้หลังเดินจากไป
“ฉินเวยเวย…” ฉินซีกลับมองไปนอกหน้าต่างพลางพูดพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ แววตาค่อนข้างเหม่อลอย…
…………………………
[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด 匹夫无罪怀璧其罪 อุปมาว่า มีภัยเพราะความสามารถของตัวเอง
ตอนที่ 900
ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงจันทร์กระจ่างฟ้า ส่องสว่างโลกมนุษย์
หลังจากออกจากเรือนพักของอวิ๋นเป้า ฉินเวยเวยก็ตามหลังเหมียวอี้ออกมา เดินลงบันไดหินตามแนวป่าภูเขาที่เป็นเงามืดลงมา เหยียบแสงจันทร์ที่ส่องบนพื้นพลางมองไปยังแสงไฟริบหรี่ที่อยู่ตามแนวเขารอบๆ มีเพียงตำหนักหลักของสำนักงามวิจิตรที่แสงของโคมไฟสว่างพร่างพราว
เหมียวอี้ที่มองไปโดยรอบถอนหายใจเบาๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้ว่าตอนนี้เยารั่วเซียนอยู่ที่ไหนกันแน่ เรื่องของเยารั่วเซียนทำให้เขาปวดหัวมาก อยู่ดีๆ ดันก่อเรื่องขึ้นมา ทรมานคนอื่นจริงๆ เลย บุคคลระดับสูงของหกแดนมารวมตัวกันที่นี่ แต่ละคนมีเจตนาชั่วร้าย ความสามารถอันน้อยนิดที่มี เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่สมบูรณ์ เขาก็อับจนปัญญาเหมือนกัน ดันไม่รู้อีกว่าสถานการณ์ของตัวละครหลักอย่างเยารั่วเซียนเป็นอย่างไร แก้ปัญหาไม่ได้เลยจริงๆ!
ป่าภูเขามีแต่เงามืด บันไดหินที่ทอดลงตามภูเขาเป็นสีขาวเงินอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดตระหนกทันที หันขวับพลาบถามว่า “ใคร!”
ฉินเวยเวยที่กำลังเดินตามหลังและมองเขาตลอดทางตกใจทันที นางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ยังหันหน้ามองออกไป บนบันไดหินแยกเป็นถนนเล็กสายหนึ่งเบี่ยงขึ้นไหล่เขา ตรงจุดที่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะสองจั้ง มีศาลาที่ถูกบดบังอยู่ใต้เงาไม้ครึ่งหนึ่ง ในศาลามีเงาร่างสะโอดสะองกำลังยืนอยู่
สตรีนางผู้หนึ่งที่งามสง่าราวกับเดินออกมาจากภาพวาด สวมชุดกระโปรงสีขาวราวกับหิมะ รูปร่างผอมบางแต่ไม่ขาดส่วนเว้าส่วนโค้ง ดวงหน้างดงามราวกับหลุดมาจากความฝัน เกล้ามวยผมสูงอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ใส่เครื่องประดับศีรษะใดๆ ดูสูงส่งเลอค่าไปทั้งตัว ความงามไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพธิดาหงเฉินกับเทพธิดาเยว่เหยาเลย สวยสะกดใจไม่ธรรมดา
คนที่ยืนอยู่ในศาลาเงยหน้ามองดวงจันทร์ด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
ฉินเวยเวยไม่รู้จักคนคนนี้ แต่เหมียวอี้กลับตกตะลึงอยู่บ้าง เพราะเขาเคยเห็นมาก่อน นางคือฉินซี ฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน เขาจึงคำนับอย่างลังเลทันที “คำนับฮูหยิน”
ความคิดในใจเหมียวอี้กลับมีเป็นร้อยเป็นพัน จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาที่นี่ หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าอยากจะล้างแค้นให้เฟิงเสวียน?
คิดไม่คิดมาก็พบว่าไม่ใช่ ได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้คือฮูหยินคนใหม่ของเฟิงเป่ยเฉิน เป็นแม่เลี้ยงของเฟิงเสวียน ได้ยินว่าวรยุทธ์ไม่ได้สูงเท่าไร เหมือนจะอยู่แค่ระดับบงกชม่วงเท่านั้น ถ้าต้องลงมือสู้กันจริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน อย่าบอกนะว่าเฟิงเป่ยเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน? สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้กวาดมองสำรวจโดยรอบด้วยสายตาตาระแวดระวัง
ฉินเวยเวยไมรู้ว่าเป็นฮูหยินไหน คำนับตามเหมียวอี้เช่นกัน
ฉินซีเก็บสายตากลับมา แล้วมองหน้าฉินเวยเวย จ้องฉินเวยเวยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาถึงจะไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ นางพยักหน้าเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นเจ้า เหมียวอี้ที่ปลอมตัวเป็นเยียนเป่ยหงในงานนิทรรศการของวิเศษครั้งก่อน คือเจ้าใช่มั้ย?”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เป็นผู้น้อยเองขอรับ!”
สายตาของฉินซีไปหยุดอยู่บนตัวฉินเวยเวยที่กำลังระมัดระวังตัวมากเกินไปอีกครั้ง แล้วถามว่า “แล้วนางคือใคร?”
“นางคือประมุขตำหนักใต้บังคับบัญชาของผู้น้อย จะว่าไปก็แซ่เดียวกับฮูหยิน ชื่อว่าฉินเวยเวยขอรับ” เหมียวอี้แนะนำตัวให้นาง
“ฉินเวยเวย…” ฉินซีพึมพำ “แซ่เดียวกันจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่ามาจากสำนักเดียวกันรึเปล่า ชื่อแซ่ของพ่อแม่คืออะไร บอกให้ฟังสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรู้จัก”
ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่มีเจตนาร้ายอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามเรื่องนี้ เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วหันไปมองฉินเวยเวย
ฉินเวยเวยอึ้งไปชั่วขณะ ประวัติของตัวเองไม่ใช่ความลับที่บอกใครไม่ได้ จึงกุมหมัดคารวะตอบทันที “ผู้น้อยเป็นเด็กกำพร้า ถูกคนเก็บมาเลี้ยงจากข้างทางค่ะ บิดาบุญธรรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ผู้น้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพ่อแม่ตัวเองชื่อแซ่อะไร”
“เด็กกำพร้า?” สองมือที่ประสานอยู่ตรงท้องบีบแน่นขึ้นโดยจิตใต้สำนึก “สงสัยบิดาบุญธรรมของเจ้าจะเป็นคนจิตใจงดงาม ไม่ทราบว่าบิดาบุญธรรมมีนามว่าอะไร?”
ฉินเวยเวยรู้สึกแปลกใจทันที ตอนนี้นางยังไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเหมียวอี้ เหมือนกำลังถามว่า ควรจะตอบคำถามต่อไปหรือไม่?
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอยแทนว่า “ฮูหยิน นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหยางชิ่ง ผู้การใหญ่หยางลูกน้องของผู้น้อยขอรับ”
“หยางชิ่ง?” ฉินซีทำสีหน้าใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาสุขุมดังเดิม ถามว่า “แม่นางฉินหน้าตางดงามโดดเด่น ไม่ทราบว่าพบสามีในอุดมคติหรือยัง?”
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ทั้งสองค่อนข้างแปลกใจ คำถามของท่านนี้ล้ำเส้นเกินรึเปล่า เหมียวอี้รีบช่วยตอบทันที “ยังไม่มีขอรับ! เหตุใดฮูหยินจึงถามเช่นนี้?”
“ไม่มีอะไร เพียงเห็นหน้าแม่นางฉินแล้วถูกชะตาก็เท่านั้น” ฉินซีตอบ
เห็นหน้าแล้วถูกชะตาก็ถามเรื่องนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ พอบอกแบบนี้ เหมียวอี้ก็สังเกตเห็นจริงๆ ว่าฉินเวยเวยกับเฟิงฮูหยินท่านนี้หน้าตาคล้ายคลึงกันหลายส่วน แต่สวยไม่เท่าเฟิงฮูหยิน ผู้หญิงที่ได้รับเลือกมาเป็นฮูหยินคนใหม่ของเฟิงเป่ยเฉินที่เป็นหนึ่งในหกปราชญ์ได้ ย่อมเป็นหญิงงามเลิศล้ำที่หายากในใต้หล้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเฟิงเป่ยเฉินจะสนใจได้อย่างไร
เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าคนนี้ ดูไปดูมาก็หน้าตาคล้ายฮูหยินหลายส่วนจริงๆ”
คำพูดนี้ทำให้ฉินซีตาเป็นเป็นประกายเล็กน้อย จ้องพินิจใบหน้าฉินเวยเวยอย่างละเอียด
แต่เหมียวอี้เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “หากฮูหยินไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยทั้งสองขอตัวลา!” เห็นว่าถึงอย่างไรก็เป็นฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่กล้าพัวพันอยู่กับนางที่นี่นานเกินไป ต่อให้สวยกว่านี้ก็ไม่มีความสนใจจะมองแล้ว
แต่ใครจะไปคิด ฉินซีกล่าวว่า “ข้ากำลังอ้างว้างพอดี ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน แม่นางนั่งอยู่คุยกับข้านานๆ ก็ได้”
ล้อเล่นอะไรกัน! มีใครไม่รู้บ้างว่าเหมียวอี้กับตระกูลเฟิงมีความแค้นต่อกัน ทั้งสองแอบระมัดระวังตัวทันที เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ขอบพระคุณฮูหยิน ผู้น้อยทั้งสองยังมีธุระต้องจัดการ นิบังอาจหน่วงเหนี่ยวจนเสียงานเสียการ และไม่สะดวกจะรบกวนเวลาชมจันทร์ของฮูหยินด้วย ขอตัวขอรับ!”
สองคนกำลังหันตัวจะเดินจากไป แต่ฉินซีพลันเอ่ยถามว่า “เหมียวอี้ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีความแค้นกับนภาอู๋เลี่ยง เหตุใดยังพาลูกน้องมาเสี่ยงอันตรายที่นี่?”
สุดแผนที่ ปรากฏมีดสั้นแล้วสินะ[1]? เหมียวอี้มองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ปากก็พูดตอบอย่างขอไปที “ได้รับคำสั่งให้มาขอรับ ผู้น้อยตัดสินใจเองไม่ได้”
ฉินซีจึงบอกว่า “เห็นแก่ที่ถูกชะตากับแม่นางฉินผู้นี้ ข้าขอปากมากสักหน่อย เจ้าฟังไว้เฉยๆ ก็ได้! ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มา นั่นก็แปลว่าคำสั่งของเบื้องบนมีเลศนัย ทางที่ดีคืนนี้อย่าเพ่นพ่านไปไหน อย่าออกจากบริเวณนี้โดยไร้สาเหตุ อยู่ตรงนี่หากเกิดเรื่องขึ้นยังพอมีที่พึ่งอยู่บ้าง ถ้าออกจากตรงนี้ไปแล้ว เจ้าก็เหมือนน้ำน้อยที่แพ้ไฟ…ทางที่นี่ให้แม่นางผู้นี้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย อย่าพาไปเสี่ยงอันตรายด้วย ข้าบอกได้เพียงเท่านี้ เจ้าต้องจำใส่ใจเอาไว้ อย่าลำพองใจเกินไป!”
เหมียวอี้รู้สึกขำ เขากับนภาอู๋เลี่ยงมีความแค้นต่อกัน ถ้าเชื่อคำของนภาอู๋เลี่ยง ก็แสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนเลย แต่ตัวเองดึงดันจะมาเอง เบื้องบนจะมีเลศนัยอะไรกันล่ะ
“ความหวังดีของฮูหยิน ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว ขอตัวขอรับ!”เหมียวอี้ตอบอย่างขอไปที
ฉินซีขมวดคิ้ว เหมือนมองออกว่าเหมียวอี้ไม่เชื่อตน จึงพูดเสริมว่า “ถ้าข้าจะพาแม่นางฉินไปด้วย เกรงว่าเจ้าคงจะขัดขวางข้าไม่ได้ ไม่เชื่อคืนนี้ก็ลองดู!”
เหมียวอี้ตกใจทันที ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้เกาะแกะกับฉินเวยเวยไม่เลิก ไม่เปลืองคำพูดกับนางแล้ว เขาคว้าแขนฉินเวยเวยเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปยังที่ทีเพิ่งออกมาก่อนหน้านี้ เรือนพักของคนจากนภาจอมมาร
เมื่อเห็นทั้งสองกลับไปยังเรือนพักของฝ่ายนภาจอมมาร ฉินซีก็ถอนหายใจเบาๆ แช้วเงยหน้ามองดวงจันทร์อีกครั้ง พลางพึมพำว่า “หยางชิ่ง…หยางชิ่ง…หยางก่วง…หยางก่วง”
ผ่านไปครู่เดียว เมื่อหายจากอาการใจชอบแล้ว นางก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง หายไปในป่าภูเขาเงียบๆ…
“อาแปด!”
เหมียวอี้ที่กลับถึงที่พักของนภาจอมมารรออยู่ในโถงหลักครู่หนึ่ง พอเห็นอวิ๋นเป้าออกมา ก็กุมหมัดคารวะทันที
อวิ๋นเป้าทีออกมาเพราะมีลูกน้องไปรายงานมองประเมินเขาแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เพิ่งจะออกไป ทำไมกลับมากแล้วล่ะ?”
เหมียวอี้ชีฉินเวยเวยที่อยู่ข้างกาย พร้อมบอกว่า “เพิ่งจะลงเขาไปก็บังเอิญเจอฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ผู้หญิงบ้าคนนี้สมองมีปัญหา แค่เพราะฉินเวยเวยแซ่เดียวกับนาง แล้วก็หน้าตาเหมือนกันนิดหน่อย จะพาตัวนางไปด้วยให้ได้ ข้ากังวลนิดหน่อยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถึงได้กลับมาอีก อยากจะพานางมาฝากไว้กับอาแปดที่นี่ ขอให้อาแปดปกป้องแทนสักหน่อย”
“ฉินซี!” อวิ๋นเป้าตะลึงงัน “นางมาเหรอ? แย่แล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะต้องมาคุมที่นี่แล้วเหมือนกัน ถ้าอยากจะพาตัวท่านจื่อหยางออกไป เกรงว่าจะยากกว่าเดิม”
“เฮ้อ! เหาเยอะไม่ต้องกลัวคันหรอก” เหมียวอี้ชี้ไปยังฉินเวยเวยอีกครั้ง “อาแปด ฝากตัวนางไว้ที่ท่านแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม่เสือที่บ้านข้าจะต้องเล่นงานข้าถึงตายแน่นอน!”
“แม่เสือ? เหอะๆ เป็นแม่เสือจริงๆ นั่นแหละ!” อวิ๋นเป้าได้ยินแล้วหัวเราะลั่น รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเวยเวยและอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ทั้งสองเรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาว จึงตอบตกลงทันที “วางใจได้ ฝากคนไว้ที่นี่ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ถ้าฮูหยินฉินซีนั่นกล้ามา ก็ระวังข้าจะจับนางขึ้นเตียงก็แล้วกัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นหายากในใต้หล้าจริงๆ เสียเปรียบเจ้าจมูกวัวเฟิงเป่ยเฉินแล้ว”
เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย เจ้าปากไม่มีหูรูดแบบนี้ ฉินเวยเวยยังจะกล้าอยู่ที่นี่กับเจ้ามั้ย? นางยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์อยู่นะ จะทนรับคำพูดแบบนี้ได้อย่างไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ ฉินเวยเวยทำสีหน้ากังวลทันที ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือจอมมารนี่จริงๆ เกรงว่าแม้แต่ร้องขอความช่วยเหลือก็ทำไม่ทัน นางรีบกุมหมัดคารวะทันที “นายท่าน มีคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์คุมอยู่ ไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป” เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว
อวิ๋นเป้าก็ดูออกแล้วเช่นกัน พูดกลั้วหัวเราะว่า “เหมียวอี้ คืนนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่เสียเลยล่ะ ถึงอย่างไรเจ้ากับเฟิงเป่ยเฉินก็มีความแค้นต่อกัน อยู่กับแดนโพ้นสวรรค์อาจจะไม่ปล่อยภัย ถ้าอยู่ที่นี่เฟิงเป่ยเฉินไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรหรอก”
เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วพยักหน้าบอกว่า “ระวังไว้หน่อยก็ดี! แต่ข้าก็ต้องกลับไปบอกทางนั้นสักหน่อย ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินอาจจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องแจ้งให้ทางนั้นเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นกลับไปคงไม่สะดวกอธิบาย”
อวิ๋นเป้าพยักหน้า เหมียวอี้ลุกขึ้นบอกฉินเวยเวยว่า “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“นายท่านระวังตัวด้วยค่ะ” ฉินเวยเวยกล่าว
อวิ๋นเป้าบอกว่า “ไม่ต้องคิดมาก เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ถลันตัวแวบเดียวก็ถึงแล้ว ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร ทุกคนก็จะโผล่ไปช่วยทันที ถ้าเฟิงเป่ยเฉินต้องการจะลงมือ แต่เขาก็ไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจหรอก ถ้าทำพังก็เท่ากับตบหน้าตัวเอง ถ้ามีคนมากมายขนาดนี้ลงมือพร้อมกัน สำนักงามวิจิตรก็จะโดนทำลายทันที พวกเราไม่ถือสาที่จะอาศัยข้ออ้างนี้ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้งหรอก!”
“ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง…” เหมียวอี้ตะลึงงัน ในดวงตาฉายแววเป็นประกาย ใช่แล้ว! ทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง ถ้าไม่มีสำนักงามวิจิตรแล้ว เยารั่วเซียนก็ย่อมไม่จำเป็นต้องโผล่หน้ามาประลองของวิเศษอีก…เขาเอามือลูบคางพลางพึมพำ “ทำไมถึงนึกไม่ถึงล่ะ!”
เพี้ยะ! อวิ๋นเป้าตบหลังศีรษะเขาหนึ่งที “คิดอะไรเหลวไหล ถ้าอยู่ดีๆ ไปทำลายสำนักงามวิจิตรทิ้ง เจ้าคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินมาคุมที่นี่ใช่เล่นๆ ซะที่ไหน? ปราชญ์อีกห้าคนยังไม่มา พวกเราหลายแดนรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงเป่ยเฉินอยู่ดี ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ รีบไปรีบกลับ ไม่อย่างลูกน้องเจ้าจะโดนข้าจับขึ้นเตียงนะ!”
ฉินเวยเวยรับไม่ไหวจริงๆ กับวิธีการพูดจาแบบนี้ ทำให้นางระมัดระวังตัวมากเกินไป
เหมียวอี้จับหลังศีรษะตัวเอง นับว่าเข้าใจแล้วว่าอวิ๋นเฟยหยางได้รับการปฏิบัติที่นภาจอมมารอย่างไร ถึงอย่างไรก็มักจะเห็นอวิ๋นเฟยหยางโดนผู้หลักผู้ใหญ่ตบจนตัวโงนเงนอยู่บ่อยๆ
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ รีบออกจากประตู แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปทันที
เป็นอย่างที่อวิ๋นเป้าบอก ไม่ต้องเดินหรอก แค่ถลันตัวทีเดียวก็ถึงแล้ว ที่พักของแดนเซียนอยู่บนภูเขาเยื้องตรงข้ามกันนี่เอง
เมื่อกลับถึงเรือนพักของคนสายมะโรง ปรากฏว่าพวกเยว่เทียนโปไม่อยู่เลยสักคน รู้สึกถึงความผิดปกติทันที…
…………………………
[1] สุดแผนที่ ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 หมายถึงเจตนาที่แท้จริงเปิดเผยออกมาในตอนสุดท้าย
ตอนที่ 901
ติดกับดัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทำไมไม่เห็นใครเลยล่ะ? พอเดินวนที่เรือนพักเดี่ยวรอบหนึ่ง ก็ไปหาศิษย์สำนักงามวิจิตรที่เฝ้าประตูและถามว่า “คนข้างในไปไหนแล้ว?”
“เหมือนจะไปสถานที่พักผ่อนของแดนโพ้นสวรรค์แล้ว” คนเฝ้าประตูตอบ
ไปกันแล้วเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ประมุขปราสาทอย่างตนเพ่นพ่านไปทั่ว เหมือนจะทำเกินไปหน่อย จึงรีบออกจากเรือนพักเดี่ยว ถลันตัวเหาะไปยังลานบ้านที่อยู่บนยอดเขา ผลก็คือพบว่าไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู
เหมียวอี้แปลกใจยิ่งกว่าเดิม เดินเข้าไปแล้วเหลียวซ้ายแลขวา
“ใครกัน?” ในโถงหลักมีเสียงตะคอกดังมา หนึ่งในหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้เดินออกมา พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ก็คลายความระแวดระวังลง พยักหน้ากล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นประมุขปราสาทเหมียว”
ก่อนหน้านี้เหมียวอี้เคยเห็นนางติดตามอยู่ข้างกายอันหรูอวี้ นางมากับอันหรูอวี้ เมื่อรู้ว่าเป็นคนข้างกายอันหรูอวี้ ก็กุมหมัดคารวะพลางถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตเยว่อยู่มั้ยขอรับ?”
หญิงรับใช้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่อยู่ ไปกันหมดแล้ว คุณชายรองพาบรรดาท่านทูตออกไปหมดแล้ว ท่านทูตเยว่สั่งไว้ก่อนจะไป ว่าถ้าหากประมุขปราสาทเหมียวมาแล้ว ให้ไปที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตรที่ห่างไปทางทิศเหนือหนึ่งร้อยลี้”
ที่เรียกว่าที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตร ก็คือที่ตั้งเดิมของสำนักงามวิจิตรที่ย่อยยับลงหลังจากเจดีย์งามวิจิตรพัง สำนักงามวิจิตรในตอนนี้คือสำนักที่ก่อสร้างใหม่ในพื้นที่ใหม่
“ไปที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตรทำไม?” เหมียวอี้สงสัย
หญิงรับใช้ตอบว่า “ไม่ทราบแน่ชัด ท่านทูตเยว่กำชับไว้อย่างนี้ เหมือนจะพบที่ซ่อนตัวของท่านจื่อหยางที่นั่น”
“…” เหมียวอี้เบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน นั่นคือสถานที่ที่เยารั่วเซียนเรียนรู้วิชาจากอาจารย์ มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าเยารั่วเซียนจะหลบอยู่ที่นั่น
เขาแทบจะไม่คิดอะไรมาก กุมหมัดกล่าวอำลาหญิงรับใช้ แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปทันที รีบไปยังสถานที่นั้น
หลังจากเหลือบไปเห็นว่าเหมียวอี้ไปทางเหนือจริงๆ หญิงรับใช้ก็หันตัวและหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ระยะทางหนึ่งร้อยลี้ สำหรับวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้ถือว่าเสียวลาไม่เยอะเลย เขาเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ใต้แสงจันทร์ และไม่นานก็เห็นป่าอันกว้างขวางบนพื้นที่ราบ เดิมทีสภาพพื้นที่ไม่ได้ราบเสมอกันขนาดนี้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ หลังจากเจดีย์งามวิจิตรพังในปีนั้น พื้นที่นี้ก็โดนสิ่งของที่อยู่ในเจดีย์ระเบิดไหลดันจนราบ แต่หลังจากผ่านวันคืนนับพันปี พื้นที่ยับเยินหมดสภาพในปีนั้นก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
เมื่อมาที่นี่จะหาเป้าหมายพบได้อย่างชัดเจน สาเหตุก็เพราะหลังจากเจดีย์ถล่ม บริเวณศูนย์กลางของการถล่มมีโคลนเลนค่อนข้างเยอะ สภาพพื้นที่จึงค่อนข้างสูง เหาะตามพื้นที่ราบและค่อยๆ เคลื่อนไปยังพื้นที่สูงก็คือการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
หลังจากเหาะลงมาเหยียบบนยอดเขาสูง เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ สายลมเย็นแสงจันทร์กระจ่าง ป่าบนที่ราบโดยรอบลึกทึบและเงียบสงัดราวกับทะเล ที่นี่คือที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตร แต่ก็ไม่พบเจออะไรเลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เหมียวอี้ก็เกิดความระแวดระวังในใจ เขามาแบบไม่ได้พรางตัวเลยสักนิด อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกเยว่เทียนโป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นเขา เขาตระหนักได้รางๆ ว่าสถานการณ์ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล
อันที่จริงแล้ว พอมาที่นี่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดมากเลย เขาค่อยๆ หันไปมองข้างหลัง ตรงไหล่เขามีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเนิบนาบเข้ามาภายใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้ทำสายตาหนักแน่นทันที คนที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน จีเหม่ยเหมย!
และด้านหลังรวมทั้งซ้ายขวาของจีเหม่ยเหมยก็มีคนโผล่ออกมาสี่คน คือท่านทูตทั้งสี่ของแดนปีศาจ เดินล้อมภูขามาครึ่งหนึ่ง
ทั้งสี่ด้านล้วนมีเสียงฝีเท้า พอหันไปมองข้างหลัง เหมียวอี้ก็เบิกตากว้างทันที เป็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ชุยหย่งเจิน ลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน
ส่วนข้างหลังชุยหย่งเจินก็มีคนโผล่มาสี่คน ท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยงโผล่มาทางซ้ายและขวา ล้อมภูเขาทางนี้เอาไว้ครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ทั้งสิบคนล้อมภูเขาเข้ามา ล้อมขังเหมียวอี้ไว้ตรงกลาง แต่ละคนกำลังจ้องเขา บางคนก็ทำสีหน้าเรียบเฉย บางคนก็ไม่แยแส บางคนก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม บางคนก็ทำสีหน้าถากถาง
ทั้งสิบคนนี้ นอกจากจีเหม่ยเหมยแล้ว คนอื่นก็เป็นนักพรตระดับบงกชทองทั้งหมด
ตอนแรกเหมียวอี้ตระหนกตกใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำสีหน้าเย็นเยียบลง กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ห่างจากสำนักงามวิจิตรเกินไป ตรงจุดไกลๆ ยังมีแนวภูเขกั้นด้วย ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาทางนั้นก็อาจจะไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว อาศัยวรยุทธ์ของเขา ถ้าอยากจะหนีรอดจากเงื้อมมือคนพวกนี้ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้
เหตุการณ์แบบนี้ ทั้งยังหลอกล่อให้เขามาที่นี่ ไม่ต้องสงสัยเลย อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสเขาได้รอดชีวิตเลย!
จนป่านนี้แล้ว ถ้าเหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองติดกับดัก ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้วล่ะ!
เขาหันตัวมองรอบกายอย่างช้าๆ ถึงแม้จะไม่เห็นคนของแดนเซียนมาร่วมด้วย แต่ความโกรธแค้นในใจของเขาก็ยากจะอธิบายออกมาได้
เขามั่นใจได้เลย ว่าคนฝ่ายแดนเซียนมี่เอี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้ที่หลอกล่อให้เขามาที่นี่ สามารถหลอกในเขามาติดกับดักได้อย่างไม่มีผิดพลาดแบบนี้ เขามั่นใจได้ว่าอันหรูอวี้ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย
ไม่น่าเชื่อว่านางมารร้ายอันหรูอวี้อยากจะเล่นงานตนให้ถึงตาย! รสชาติในใจของเหมียวอี้ตอนนี้ ไม่อาจหาคำพูดใดมาเปรียบเทียบได้เลย ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบแท้ๆ ข้าไม่ใช่เหรอที่โดนผู้หญิงขืนใจ? พอเรื่องราวเปิดโปง เจ้ากลับจะสังหารข้า แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน?
ที่ฝ่ายจีเหม่ยเหมยกับฝ่ายชุยหย่งเจินต้องการฆ่าเขา เขาก็ยังพอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรตัวเองก็ฆ่าลูกชายของจีเหม่ยเหมย แล้วก็ฆ่าหลานชายของเฟิงเป่ยเฉินไป แต่ที่อันหรูอวี้อยากจะทำให้เขาตาย เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้คิดได้อย่างไร เขาเคยคิดว่าอันหรูอวี้ต้องกลั่นแกล้งเขาแน่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่าเดิม!
จนกระทั่งตอนนี้ เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ฉินซีเตือนหมายความว่าอะไร ทำไมนางเตือนไม่ให้เขาออกจากสำนักงามวิจิตรโดยพลการ ที่แท้นางก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะมีปัญหา มีแต่เจตนาดีทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่นางยืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ตัวเองอาจจะฟังไม่เข้าหู
ถึงแม้จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาก็คงจะไม่เชื่อเหมือนเดิม สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ใครจะไปเชื่อฟังคำพูดของฝ่ายศัตรูล่ะ!
เป็นเพราะตัวเองประมาทเกินไป ถ้าพาประมุขถิ่นทั้งสี่มาด้วยก็อาจจะไม่ตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้ แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่ายแดนเซียนจะวางกับดักตนในเวลานี้
เขากางแขนสองข้างเล็กน้อย หมอกสีทองกลุ่มหนึ่งพันรอบร่างกาย เกราะรบของตำหนักสวรรค์ที่มีพลังป้องกันไม่ธรรมดา ตอนนี้สวมใส่อยู่บนตัวแล้ว พอสะบัดแขนในแนวขวาง ดาบยาวสีม่วงที่ปล้นจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ถือเฉียงลงพื้น เขาพลิกมือนำผลของสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาผลหนึ่ง กัดคำหนึ่งแล้วกลืนลงไปทันที ส่วนที่เหลืออีกครึ่งก็เก็บเอาไว้
บนตัวเขาไม่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวแล้ว ใช้ไปหมดตอนโดนขังในค่ายกลมารโลหิต เหลือเพียงผลของสมุนไพรเซียนซิงหัวผลสุดท้าย
เมื่อได้เห็นฉากที่เหมียวอี้กัดกินผลไม้ คนที่กำลังล้อมก็ตะลึงงันทันที เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นว่าสิ่งนี้คืออะไร รู้สึกประหลาดใจกับเกราะรบบนตัวเหมียวอี้เช่นกัน เป็นลักษณะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไอ้เหมียวจัญไร ในปีนั้นลูกชายข้าก็ตายที่นี่ ตายด้วยน้ำมือของเจ้าอยู่ที่นี่ วันนี้ได้กลับมาเที่ยวสถานที่เก่า รู้สึกยังไงบ้างล่ะ!” จีเหม่ยเหมยเริ่มหัวเราะอย่างแปลกพิศวง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวเราะจนตั่วสั่นระริก ในเสียงหัวเราะเจือด้วยความเศร้าอ้างว้าง
“พวกเจ้านี่ใช้ได้เลยนะ แค่รับมือกับข้าคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้นักพรตบงกชทองตั้งเก้าคน ประเมินเหมียวอี้สูงเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ
ชุยหย่งเจินกลับนับถือในความสุขุมใจเย็นของเขา ขนาดมาถึงขั้นนี้แล้วยังหนักแน่นไม่หวาดกลัว จิตใจแบบนี้หาได้ยากจริงๆ
นางพยักหน้าตอบว่า “ก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นั่นแหละ แต่ไอ้จัญไรอย่างเจ้ามาผ่านเหตุการณ์มามากมายแต่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ทางนี้ก็ต้องระวังตัวหน่อยสิ แน่นอน ประเด็นสำคัญคือกลัวเจ้าจะพาผู้ช่วยมาด้วย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายแดนเซียนจะจัดการได้อย่างสวยงามขนาดนั้น ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะล่อเจ้าออกมาคนเดียวได้ ตัดความยุ่งยากไปไม่น้อยเลย”
เหมียวอี้หันมาถามทันที “คนไหนของแดนเซียนที่สมคบคิดกับพวกเจ้าเพื่อทำร้ายข้า?” เขาคาดการณ์ไว้ว่าเป็นอันหรูอวี้ แต่ก็ยังอยากจะยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
จีเหม่ยเหมยหัวเราะคิกคัก แล้วตอบว่า “ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนอยากให้เจ้าตายเยอะขนาดนั้น”
เหมียวอี้หันกลับไป เป็นฝ่ายพูดท้าทายก่อนว่า “จีเหม่ยเหมย เจ้าอยากจะล้างแค้นให้ลูกชายใช่มั้ย? เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ยล่ะ? โอกาสในการล้างแค้นให้ลูกชายด้วยตัวเองอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว จะพลาดไปได้อย่างไร!”
ใบหน้างามของจีเหม่ยเหมยบิดเบี้ยวเล็กน้อย โดนคำพูดของเหมียวอี้ยั่วยุแล้วจริงๆ “สัตว์ที่โดนขังอยู่ในกรง ตอนใกล้ตายยังคิดจะกัดคนอีกเหรอ? ข้ามาเพื่อดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร เจ้าเองก็ไม่ต้องยั่วยุข้าหรอก ขนาดเฟิงเสวียนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลย ข้าไม่ได้เก่งกว่าเฟิงเสวียนสักเท่าไร ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า”
จากนั้นก็กุมหมัดคารวะต่อทุกคนทันที “ทุกท่านโปรดไว้หน้าน้องสาวด้วย จับเป็นมา ข้าจะเฉือนร่างเขาสักพันดาบ ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติเวลาทรมานจนอยู่ไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้ ข้าจะทรมานเขาให้ตายอย่างช้าๆ ให้เขานึกเสียใจที่ได้มาเกิดบนโลกใบนี้!”
“ต้องไว้หน้าอยู่แล้ว!” ชุยหย่งเจินตอบพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้จึงชี้ไปที่จีเหม่ยเหมย “นางคนชั้นต่ำ! ยังไม่แน่หรอกว่าใครจะตาย ถ้าข้ายังไม่ตาย รับรองว่าเจ้าจะต้องเสียใจที่พูดคำนี้ออกมา! ถ้าข้าจำไม่ผิด ในปีนั้นที่ตำหนักดาวประจิม อวิ๋นก่วงคิดอยากนอนกับเจ้ามาตลอด! ถ้าเหมียวคนนี้ยังไม่ตาย จะต้องทำให้เขาสมความปรารถนาแน่นอน!”
จีเหม่ยเหมยกำหมัดสองข้าง ตวาดจนเสียงแตก “จับตัวไอ้จัญไรนี่มา ข้าจะตัดลิ้นสุนัขของมันก่อน!”
“เหมียวอี้ถือดาบอยู่ตรงนี้แล้ว ใครกล้าก็เข้ามาสู้กับข้า!” เหมียวอี้พลันหมุนตัว ชี้ดาบไปที่ชุยหย่งเจิน เป็นฝ่ายเริ่มท้าสู้ก่อน
ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ คนที่เป็นภัยต่อเขาที่สุดก็คือชุยหย่งเจิน เขาจะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้จักความร้ายกาจของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพื่อเล่นงานนางสักยก กำจัดคนที่มีภัยคุกคามมากที่สุดทิ้งไปก่อน แบบนี้ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ถ้าไม่มีชุยหย่งเจินแล้ว พูดด้วยความสัตย์จริงเลยนะ อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสสู้หรอก
นึกถึงในปีนั้นที่เขามีวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง เขาก็เคยสู้กับฝูงมารปีศาจที่มีหัวหน้าเป็นนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งสองคนมาแล้ว ตอนนี้วรยุทธ์ของตนถึงระดับบงกชม่วงขั้นเก้าแล้ว ถึงขั้นสูงสุดของระดับบงกชม่วง สัมผัสกับประตูสู่ระดับบงกชทองแล้ว ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีคนเยอะ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขา
แต่ชุยหย่งเจินฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เป็นหนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่ เขาจึงไม่กล้าประเมินต่ำ ถ้าอีกฝ่ายสำแดงเคล็ดวิชานี้ขึ้นมา จะต้องไม่ใช่อานุภาพที่ระดับอย่างเฟิงเสวียนเทียบติดแน่นอน ดังนั้นเขาจึงอยากกำจัดนางทิ้งก่อน
แต่ใครจะคิดล่ะ ชุยหย่งเจินกลับยืนอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ที่เดิม มีนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนี้อยู่ในสนาม นางคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องลงมือแล้ว ในฐานะที่เป็นตัวละครที่โผล่มารั้งท้าย ถ้าลงมือก่อนจะดูไม่เข้าท่า
วิธีคิดแบบนี้ของนางทำให้แผนของเหมียวอี้พังทันที กลับเป็นเหมยซาง ท่านทูตสายมะเมียของแดนปีศาจที่ตะโกนว่า “ไอ้หัวขโมยอวดดี รับความตายซะเถอะ!”
หมัดหนึ่งโจมตีฝ่าอากาศเข้ามา เงาหมัดขนาดใหญ่เกือบเท่าหม้อเหล็กถลันวูบเข้ามา
เหมียวอี้ฟันดาบในแนวขวาง รวดเร็วฉับไวเด็ดขาด ทำให้ทุกคนคิ้วกระตุก รับรู้ถึงความไวในการออกดาบของเหมียวอี้แล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่านักพรตบงกชทองทั่วไปเลย!
บึ้ม! แผ่นดินสะเทือนภูเขาสะท้าน ฝุ่นดินระเบิดกระจาย ทำให้เหมียวอี้ตกอยู่ท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล ฝุ่นละอองตลบม้วนไปทุกคน
ทุกคนสะบัดแขนเสื้อ พลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดม้วนราวกับลมพายุคลั่ง ขูดพื้นไปหนึ่งเมตร กวาดฝุ่นทรายที่ระเบิดออกไปในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้ถือดาบอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แต่เกราะสีทองบนตัวเปล่งแสงสีม่วงออกมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีเกราะรบขั้นสี่ทั้งชุดคอยปกป้องร่างกาย แค่อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่หมัดจากนักพรตบงกทองขั้นหนึ่งเพียงหมัดเดียวจะทำให้เขาเจ็บตัว อาจจะไม่ทำให้เขาสะเทือนเลยสักนิด
ภายใต้การใช้หมัดนี้หยั่งเชิง ทุกคนไม่ค่อยมั่นใจว่าวรยุทธ์ของเหมียวอี้เป็นอย่างไร หลังจากเหมียวอี้บรรลุระดับบงกชม่วงขั้นเก้า ก็ปิดบังเรื่องนี้มาตลอด ไม่กล้าเปิดเผย กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเยียนเป่ยหงคนที่สอง
“เกราะรบขั้นสี่ทั้งชุด!” เหมยซางเดาะลิ้น จ้องตาเป็นมันเหมือนอยากได้มาก ไม่ว่าใครก็ดูออกทั้งนั้น ว่าเกราะรบนี้ไม่ได้สร้างมาจากยาเจี๋ยตันขั้นสี่แค่เม็ดสองเม็ด
ตอนที่ 902
ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยาเจี๋ยตันขั้นสี่นับเป็นยาเจี๋ยตันขั้นสูงของพิภพเล็ก ถึงอย่างไรทรัพยากรก็มีจำกัด นักพรตบงกชทองก็มีจำนวนจำกัดเช่นกัน ยาเจี๋ยตันขั้นสี่ย่อมมีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว ต่อให้เป็นนักพรตบงกชทอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีของวิเศษขั้นสี่ได้ เกราะรบขั้นสี่ทั้งชุดแบบนี้ ยังไม่ถึงพูดถึงว่าในนั้นมียาเจี๋ยตันขั้นสี่อยู่กี่เม็ด แต่แค่เกราะรบขั้นสี่ชุดนี้ ถ้าให้นักพรตบงกชทองใช้ร่วมกับเกราะของพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ต่อให้สู้กับหกปราชญ์ก็สามารถต้านทานได้บ้าง สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้เยอะมาก
อย่าว่าแต่เหมยซาง แม้แต่ชุยหย่งเจินก็ตาเป็นประกาย ต่างก็คาดไม่ถึงว่าบนตัวเหมียวอี้จะมีของวิเศษระดับนี้อยู่
ซวบ! ในชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็ถือดาบพุ่งฝ่าฝุ่นดินขึ้นบนฟ้า ทุกคนเงยหน้ามอง แล้วพุ่งตัวตามขึ้นไปเช่นกัน
เหมียวอี้ที่หมายจะไปทางสำนักงามวิจิตรพลันหยุดชะงัก ห้าคนที่นำโดยชุยหย่งเจินเหาะเข้ามาขวางทางเขาไว้แล้ว ความต่างด้านวรยุทธ์ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าอยากจะอาศัยความเร็วเพื่อฝ่าวงล้อมก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เห็นเหมียวอี้ทำท่าใจเย็นหนักแน่น เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาฝ่าวงล้อมสักเท่าไร
“เกราะรบชุดนี้คือของข้า!” ชุยหย่งเจินประกาศ
“นั่นก็ต้องดูว่าใครจับตัวเขาได้!” จีเหม่ยเหมยกล่าว
เมื่อพูดจบ เหมยซางก็พลิกฝ่ามือถือทวนยาวด้ามหนึ่งไล่ตาม
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่สนใจเขาเลย เสียงยิงดังซวบ เหมียวอี้ชิงลงมือก่อน พุ่งเป้าไปที่ชุยหย่งเจินโดยตรง เขากำหนดเป้าหมายของตัวเองแล้ว นั่นก็คือจัดการกับชุยหย่งเจินก่อน
ชุยหย่งเจินสุขุมใจเย็น เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย ไม่มีท่าทีจะลงมือ ลอยตัวอยู่บนฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
กลับเป็นสี่คนทางซ้ายและขวาของนางที่ถลันตัวออกไป เรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้านางแล้ว
พอเหมียวอี้ที่พุ่งตัวออกมาพลิกฝ่ามือโบก เงาคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง
ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวกรูออกมาราวกับฝูงผึ้ง พุ่งใส่ทั้งสี่คนที่ขวางทางราวกับธนูที่พุ่งออกจากสาย
เยารั่วเซียนยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง อาจจะรู้ว่าเหมียวอี้มาที่นี่แล้วจะมีอันตราย ประกอบกับเขาไม่สามารถควบคุมตั๊กแตนพวกนี้ให้ต่อสู้ได้ จึงไม่ได้นำเจ้าพวกนี้ของเหมียวอี้ไปด้วยทั้งหมด ถึงขั้นทิ้งสิ่งของเอาไว้ไม่น้อย แล้วเหมียวอี้ก็นำตั๊กแตนพวกนั้นมาด้วยทั้งหมดเพื่อป้องกันตัว ถึงอย่างไรก็มาแดนอู๋เลี่ยง เห็นๆ กันอยู่ว่าเขากับนภาอู๋เลี่ยงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่ตนไม่เตรียมตัวให้มากๆ หน่อยๆ
พวกนั้นมันตัวอะไร? ชุยหย่งเจินงุนงง สี่คนที่อยู่ตรงหน้านางก็ทำสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน ไม่เคยเห็นของเล่นแบบนี้มาก่อน ตั๊กแตนเหรอ? ตั๊กแตนตัวหนึ่งใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?
ทั้งสี่รีบโบกอาวุธในมือ ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง พอได้ลงมือก็ยิ่งตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์ระดับบงกชทองจะทำลายเกราะของตั๊กแตนพวกนี้ไม่ได้ แต่ตั๊กแตนพวกนี้กลับทำลายเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ทำให้พวกเขาตระหนกตกใจมาก
นี่ไม่ใช่ตั๊กแตนสิบห้าตัวที่เหมียวอี้ใช้ก่อนหน้านี้ แต่เป็นตั๊กแตนแปดสิบห้าตัว กดดันให้ทั้งสี่ฉุกละหุกในชั่วพริบตาเดียว ต่อให้ตั๊กแตนจะโดนพวกเขาโจมตีจนกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า แต่ทั้งสี่ก็ต้านทานตั๊กแตนมากมายขนาดนี้ไม่ไหวเหมือนกัน ตัวที่เหลือโจมตีไปทางชุยหย่งเจิน
เมื่อเห็นนักพรตระดับบงกชทองโจมตีตั๊กแตนประหลาดพวกนี้ไม่ตาย ชุยหย่งเจินก็สีหน้าเปลี่ยน รีบเรียกทวนยาวด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ โต้ตอบอย่างห้าวหาญ โจมตีตั๊กแตนที่ประชิดเข้ามาจนกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า
ในมือของเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แสงสีฟ้าพลันเปล่งออกมา ดาบใหญ่กวาดโจมตีเข้ามาด้วยความมุทะลุดุดันจนตั้งรับไม่ทัน แสงสีฟ้าสายหนึ่งกลืนเข้าคายออก สะบัดหางราวกับดาวหาง กวาดใส่ทั้งสี่คนที่กำลังขวางทาง
ทั้งสี่ที่กำลังโดนตั๊กแตนล้อมโจมตีจนฉุกละหุกตกใจมาก รับรับมืออย่างเร่งด่วน ตีโต้แสงสีฟ้าที่กวาดโจมตีเข้ามา
แต่พวกเขาโจมตีได้เพียงส่วนหางของดาวหางเท่านั้น เกราะพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวกลับต้านทานแสงสีฟ้าที่โผเข้ามา แสงสีฟ้าที่โผใส่หน้าซึมเข้าไปในผิวหนังโดยตรง
พอโดนแสงสีฟ้าโจมตี ทั้งสี่ก็ทำสีหน้าเหมือนเจอผีทันที ความในการลงมือช้าลงทันที ตั๊กแตนบินขวักไขว่ทะลุทั้งสี่คนจนมีเลือดสดพุ่งออกมาสายแล้วสายเล่าทันที
“อา…” เสียงกรีดร้องสี่ครั้งพลันหยุดลง คนเป็นๆ ทั้งสี่คนแทบจะโดนฉีกร่างในชั่วพริบตาเดียว
ชุยหย่งเจินที่โดนกดดันจนฉุกละหุกก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เรือมังกรอเวจี!”
แสงสีฟ้าสายหนึ่งที่เหมือนทั้งมังกรบินเหมือนทั้งพายุหมุนถูกปล่อยออกจากดาบใหญ่ในมือเหมียวอี้ ชุยหย่งเจินที่กำลังโดนฝูงตั๊กแตนโหดล้อมโจมตีไม่มีที่ให้หลบ โดนแสงสีฟ้าที่ม้วนหมุนเข้ามาชะล้างคาที่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในหัวชุยหย่งเจินพลันมีภาพภาพหนึ่งแวบเข้ามา นั่นก็คือภาพที่เหมียวอี้กับเฟิงเสวียนต่อสู้กันที่ทะเลทรายม่านเมฆา เหมือนเหมียวอี้จะนำดาบยาวสีม่วงด้ามนี้ออกมาใช้เหมือนกัน… ความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุดขยายออกจากในร่างกายทันที ความรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ล้นทะลัก ทั้งตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่
นางคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว จะต้องตายด้วยน้ำมือของตั๊กแตนน่าสะพรึงกลัวฝูงนี้แน่นอน
ใครจะคิดว่าตั๊กแตนพวกนี้จะพุ่งกลับหลังอย่างรวดเร็ว ละทิ้งโอกาสที่จะสังหารนาง แต่รีบบินกลับไปอยู่ด้านหลังเหมียวอี้
ตั๊กแตนที่กำจัดสี่คนก่อนหน้านี้ไป ในตอนนี้ได้บินกรูเข้ามาล่วงหน้าแล้ว มาล้อมโจมตีท่านทูตทั้งสี่ของแดนปีศาจ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อหน้านี้ตอนที่สี่คนนั้นยังไม่ตาย ก็มีตั๊กแตนส่วนใหญ่บินเข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ท่านทูตแดนปีศาจทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาแย่งชิงเกราะรบแทบจะไม่รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยง ทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาก็โดนตั๊กแตนน่ากลัวพวกนั้นล้อมไว้แล้วเช่นกัน ตกอยู่ในสภาพเดียวกับสี่คนก่อนหน้านี้ ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก
“เรือมังกรอเวจี!” จีเหม่ยเหมยร้องอุทานขณะที่เห็นตั๊กแตนพวกนั้นพุ่งเข้ามา
นางร้องอุทานเหมือนกับชุยหย่งเจินก่อนหน้านี้ สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร นางเคยเห็นภาพที่หกปราชญ์ดันทุรังบุกขึ้นเรือมังกรอเวจีเมื่อห้าหมื่นปีก่อน แสงสีฟ้าที่เหมือนกับดาวหางนั่นเหมือนกับสิ่งที่ผีดิบบนเรือมังกรอเวจีโจมตีออกมา
ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน สิบคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเคยเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อห้าหมื่นปีก่อนมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้นจีเหม่ยเหมยยังเด็ก เพิ่งจะบรรลุระดับบงกชแดง ทว่าตอนนั้นหกปราชญ์แทบจะยอมแลกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกน้องคนไหนที่เหาะได้ก็นำมาใช้งานทั้งหมด เพียงเพราะอยากจะขึ้นเรือมังกรอเวจี ในตอนนั้นอวิ๋นจือชิวที่ยังเป็นสาวแรกรุ่นก็อยู่ด้วยเหมือนกัน
ในปีนั้นที่ทะเลทรายท่านเมฆาเกิดการต่อสู้กันจนมืดฟ้ามัวดิน ไม่รู้ว่ามีคนตายไปตั้งเท่าไร!
เหมียวอี้พุ่งเข้าหาชุยหย่งเจินด้วยความเร็วสูง ชูคมดาบขึ้นมา แล้วฟันดาบไปข้างหลังทีเดียว มังกรฟ้าพุ่งไปยังเหมยซางที่ไล่นำหน้ามาทันที
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เหมยซางตะลึงงัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เกินกว่าภาพที่เขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง แทบจะใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยงก็ร่างแหลกแล้ว จากนั้นตนก็โดนตั๊กแตนน่ากลัวนั่นล้อมไว้อีก
เหมยซางหวาดระแวงกลัว รีบโจมตีตั๊กแตนหมายจะหลบหนี แต่กลับโดนตั๊กแตนมาดักไว้ตัวแล้วตัวเล่า มีประสบการณ์แล้วว่าพลังโจมตีของตั๊กแตนเฉียบคมขนาดไหน ทั้งยังเห็นแสงสีฟ้าโจมตีเข้ามาราวกับมังกรบิน ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะต้านทานตั๊กแตนหรือต้านทานแสงสีฟ้าดี ได้แต่แค้นพ่อแม่ที่คลอดออกมาให้มีแขนน้อย เรียกได้ว่าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ปั้ง! ในขณะเดียวกัน เหมียวอี้ที่มีสีหน้าเย็นเยียบดุร้ายก็หมุนตัวและเสยหมัดออกมา โจมตีอย่างหนักหน่วงหนึ่งที โจมตีโดนหน้าอกของชุยหย่งเจินอย่างรุนแรง
ขณะที่กระดูกแตกร้าว “พลั่ก” ชุยหย่งเจินกระอักเลือดสดคำหนึ่ง ลูกตาแทบจะถลนออกมา กระเด็นออกไปทั้งตัว
เหมียวอี้ที่ถลันตัวไล่ตามมาบีบคอนางไว้ บีบจนนางแทบจะคอหัก แต่ก็ยังไม่ได้ฆ่านาง แต่พลิกฝ่ามือเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์โดยตรง
ขณะที่เสียงกรีดร้องของเหมยซางดังขึ้น เหมียวอี้ก็ถือดาบลากพื้นและหันตัวมา จากนั้นก็พุ่งตัวไล่ตามท่านทูตแดนปีศาจอีกสามคน ซึ่งขณะนี้กำลังหลบหนีอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีของฝูงตั๊กแตน
แสงสีฟ้าที่สะบัดไล่ตามไปคอยหนุนช่วยตั๊กแตนอีกแรง พอโจมตีโดนสักคนก็ไม่สนใจแล้ว แค่ส่งต่อให้ตั๊กแตนจัดการก็พอ แล้วเขาก็พุ่งเข้าไปเสริมอีกแรง
เมื่อไล่ตามไปได้รอบหนึ่ง เหมียวอี้ที่ฟันแสงสีฟ้าออกไปสามครั้งติดต่อกันก็เลี้ยวกลับทันที พุ่งเป้าไปยังตัวละครที่สำคัญกว่า
ขณะที่เสียงกรีดร้องดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เหมียวอี้ที่ถือดาบข้างเดียวก็ลอยไปหาจีเหม่ยเหมยที่อยู่ไม่ไกล ร่างกายที่สวมเกราะทองลอยอยู่ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าเย็นเยียบเหี้ยมโหด สายตาที่จ้องมองออกไปก็ยิ่งมืดครึ้มน่าหวาดกลัว
จีเหม่ยเหมยได้รับการปฏิบัติดีที่สุด มีแค่ตั๊กแตนสี่ตัวบินวนอยู่รอบกายนาง และไม่มีท่าทีว่าจะสังหารนาง เพียงล้อมไว้ไม่ให้นางหนีไปไหน ภายใต้การรุกโจมตีเป็นระยะ กลับกดดันให้นางใช้มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ
ท่ามกลางหมอกปีศาจที่เข้มข้น จีเหม่ยเหมยใช้มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจทางซ้ายทีขวาที ทว่าปราณปีศาจนั่นใช้ไม่ได้ผลกับตั๊กแตนเลย นอกจากจะไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย กรงเล็บอันแหลมคมของตั๊กแตนยังฝ่าปราณปีศาจที่โจมตีเข้ามาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
บินเข้ามาเสียงดังหึ่งๆ บนตัวตั๊กแตนแปดสิบกว่าตัวมีรอยโดนทำร้าย บนกระดองที่ทนทานมีรอยแผลไขว้ตัดสลับกัน
โดนตั๊กแตนมากมายขนาดนี้ล้อมไว้ทีเดียว จีเหม่ยเหมยก็ขนหัวลุก ตกใจจนหน้าถอดสี เป็นการสู้กลับครั้งสุดท้ายตอนใกล้ตายโดยแท้
เหมียวอี้มองประเมินครู่หนึ่ง ตอนนี้ไม่ลังเลแล้ว กลัวว่าชักช้าแล้วจะมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก จึงยกดาบในมือขึ้นอย่างช้าๆ แล้วลงมืออย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งฟาดลงไป พุ่งเข้าไปในปราณปีศาจที่กำลังล้อมรอบ โดนตัวจีเหม่ยเหมยที่กำลังดิ้นรนเหมือนสัตว์ป่าที่โดนขัง เห็นเพียงนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ตั๊กแตนที่ล้อมโจมตีแยกย้ายออกไปทันที ฝูงตั๊กแตนหลีกทางให้แล้ว เหมียวอี้ถือดาบลอยเข้าไป ยืนเผชิญหน้าอยู่กับจีเหม่ยเหมย ยืนห่างกันแค่ครึ่งจั้ง
“จีเหม่ยเหมย ข้าบอกแล้วใช่มั้ย! ใครจะตายก็ยังไม่แน่หรอก” เหมียวอี้กล่าวอย่างเย็นชา
จีเหม่ยเหมยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นมารร้ายที่น่ากลัวที่สุด นางตกลงจากฟ้าทันที ตกลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พอเงยหน้ามอง ก็เห็นร้องเท้าสีทองคู่หนึ่งเหยียบลงตรงหน้าอย่างช้าๆ
ฉึก! ดาบยาวในมือเหมียวอี้ปักลงบนพื้น ยื่นมือไปบีบคอนางยกขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความสั่นเทิ้มที่มาจากร่างกายนาง
สภาพจีเหม่ยเหมยในเวลานี้ ใช้คำว่าขี้ขลาดเหมือนหนูมาบรรยายได้เลย โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำ แต่กลับไม่กล้าต่อต้าน แม้แต่ร้องก็ไม่กล้าร้อง ได้แต่หวาดกลัวอยู่อย่างนั้น
นึกถึงตอนที่อยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ ขนาดสงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกโดนทีเดียวยังทนไม่ไหว แล้วจะนับประสาอะไรกับนาง!
ภายใต้แสงจันทร์ ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวบินลงมาจากฟ้ามาบินขนาบพื้นล้อมรอบทั้งสองคน แต่ละตัวกำลังส่ายหน้า กระดองแข็งบนตัวสะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เหราะรบสีทองที่ยืนอยู่ตรงกลางก็กำลังสะท้อนแสงเช่นกัน
“เดิมทีข้าก็ไม่มีความแค้นอะไรกับเจ้า และไม่อยากจะไปหาเรื่องพวกเจ้าด้วย แต่พวกเจ้าสองแม่ลูกกลับมาเจอข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้เจ้าก็จะมาทำร้ายข้าถึงที่! จีเหม่ยเหมย เจ้ารู้บ้างรึเปล่า ลูกชายเจ้าสังหารผู้หญิงของข้า…” เหมียวอี้บีบคอนาง ในหัวมีภาพน้ำตาสองหยดหยดใส่หน้าเขา ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางลืมภาพนั้นลง ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ พอนึกถึงทีไรก็เหมือนกับโดนมีดคว้านหัวใจ
เหมียวอี้ค่อยๆ มีแนวโน้มเหมือนโดนจิตมารเข้าแทรก แววตาน่าหวาดกลัว ถึงขั้นใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย บีบคอจนจีเหม่ยเหมยร้องเสียงประหลาดออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนคอจะขาดได้ตลอดเวลา
ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่ลงมือสังหาร ปล่อยให้รอดชีวิตไว้สักคนก็ยังพอใช้ประโยชน์ได้
ตุ้บ! หมัดหนักชกเข้าที่หน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า กระดูกซี่โครงแตกละเอียด เลือดสดที่กระอักออกมา อยากจะพ่นก็พ่นไม่ออก เพราะยังโดนบีบคออยู่ จากนั้นก็โดนเหมียวอี้จับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง
ตอนที่ 903
ลับๆ ล่อๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้โล่งอก เมื่อครู่นี้ใช้วิธีการ ‘สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ’ มาโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ถูกแท้ๆ เลย ไม่อย่างนั้นถ้าเลือกนักพรตบงกชทองสักคนหนึ่งมาสู้กับตน ตนก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ได้
แต่การทำแบบนี้ก็อันตรายมากจริงๆ เขาอาศัยที่อีกฝ่ายไม่รู้อานุภาพของตั๊กแตนและ ‘อารมณ์หวาดกลัว’ หนึ่งในเจ็ดอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในดาบของตน แน่นอนว่าเป็นเพราะตัวเองมีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชม่วงขั้นเก้าแล้ว ทำให้อาศัยความเร็วของตัวเองถ่วงเวลาได้ ถ้าตอนนี้ยังวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่งอยู่ ความเร็วในการเคลื่อนไหวแบบนั้นก็ไม่มีทางทำให้เขาบรรลุผลได้ แค่เหมยซางคนเดียวก็สามารถสกัดเขาได้ในชั่วอึดใจเดียวแล้ว ถ้าให้คนอื่นมองทะลุสมบัติลับของตัวเองก่อน ก็คงไม่เกิดผลทำให้อีกฝ่ายฉุกละหุกจนรับมือไม่ทันเหมือนเมื่อครู่นี้หรอก
เขาหันซ้ายหันขวา ตั้งสมาธิตอบสนองปฏิกิริยาของตั๊กแตน พลังจิตที่ฝูงตั๊กแตนสื่อมายังเหมือนเดิม และไม่มีความผิดปกติใดๆ ตอนนี้เขาถึงแน่ใจว่าเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตั๊กแตน สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก ตอนที่เขาลอบจู่โจมเมื่อครู่นี้ เขากังวลกับเรื่องนี้ที่สุด กลัวว่าแสงสีฟ้าบนดาบจะส่งผลกระทบต่อการล้อมโจมตีของฝูงตั๊กแตน ถ้าไม่มีตั๊กแตนคอยช่วยพัวพันให้ เขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้อยู่ดี
ไม่ว่าจะพูดยังไง การเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เขายืนมือออกไป แล้วตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวก็กระพือปีกบินขึ้นมาทันที บินเข้ามาในกำไลเก็บสมบัติของเขา จากนั้นก็ดึงดาบขึ้นมาจากพื้น พลิกดูในมือแล้วเก็บไว้
จากนั้นก็จัดการเก็บกวาดตรงนี้อย่างรวดเร็ว สมบัติที่อยู่บนตัวท่านทูตเหล่านั้น ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยทิ้งให้เสียของ
หลังจากเก็บกวาดสถานที่จนไม่มีมีช่องโหว่แล้ว เหมียวอี้ก็รีบออกไปจากตรงนั้น ไม่ได้เหาะขึ้นฟ้า แต่กลับมาโดนอาศัยลักษณะพื้นที่ในป่าภูเขาพรางตัว
หลังจากคลำทางจนมาถึงสำนักงามวิจิตร เขาก็ไม่ได้กลับภูเขาที่เป็นที่พักของแดนเซียน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะพาตัวเองไปอยู่ในมืออันหรูอวี้อีก เขาไปยังเรือนพักของกลุ่มปีสาจทะเลดาวนักษัตรโดยตรง คืนนี้เตรียมจะอยู่กับประมุขถิ่นสี่ทิศ ไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องพาพี่น้องร่วมสาบานพวกนี้มาด้วยหรอก การอยู่คนเดียวก็หน้านี้ก็เป็นบทเรียนให้เขาแล้ว
“ใคร?”
เหมียวอี้ที่เพิ่งปีนกำแพงเข้ามาโดนคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามาขวาง ไม่ใช่ใครที่ไหน ราชาปีศาจกระดูกขาวนั่นเอง
พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ราชาปีศาจกระดูกขาวก็ประหลาดใจมาก มองสำรวจศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง พอดูแล้วไม่เหมือนตัวปลอม ก็ถามอย่างฉงนใจทันที “คุณชายห้า ท่านมาอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ปีนกำแพงเข้ามาทำไม”
“ก็ไม่อยากให้คนนอกรู้ว่าข้ามา” เหมียวอี้โบกมือตอบ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ทั้งสี่ล่ะ? ข้ามีธุระจะคุยกับพวกเขา”
ราชาปีศาจกระดูกขาวตอบว่า “รับแขกอยู่ที่โถงหลัก จีเต๋อไห่กำลังคุยกับประมุขถิ่นทั้งสี่อยู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง!” เหมียวอี้ยื่นมือห้าม พี่ชายของจีเหม่ยเหมยมาทำอะไรที่นี่? เขาลูบคางพลางพึมพำในใจ จากนั้นก็ดึงราชาปีศาจกระดูกขาวมากระซิบบอกว่า “อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องที่ข้ามานะ โดยเฉพาะคนของนภาหมื่นปีศาจ ยิ่งจีเต๋อไห่ยิ่งห้ามให้รู้ รอให้จีเต๋อไห่ไปแล้ว เจ้าค่อยไปแจ้งให้พี่ใหญ่ทั้งสี่รู้เงียบๆ ก็พอ”
“ทำไมล่ะ?” ราชาปีศาจกระดูกขาวแปลกใจ
“จัดการตามที่ข้าบอกก็พอ จำไว้ว่าอย่าให้คนนอกรู้ว่าข้ามา ให้พี่ใหญ่ทั้งสี่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไป” เหมียวอี้กำชับอีกครั้ง
“ได้ ข้าทราบแล้ว… คุณชายห้า ท่านจะไปไหน?” ราชาปีศาจกระดูกขาวงงงัน เห็นเพียงเหมียวอี้ปีนกำแพงหนีออกไปอีก
เหมียวอี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าภูเขาต่อไป นอกจากนักพรตบงกชทอง คนทั่วไปก็ไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้ง่ายๆ เขาคลำทางไปจนถึงภูเขาที่พักของแดนมารอีก ครั้งนี้ก็ปีนกำแพงเข้ามาเช่นกัน พอปีนเข้ามาก็โดนดักถามว่า “ใคร?”
คนที่เข้ามาขวางเขาคือซ่งหยวนฟาง ท่านทูตสายเถาะของแดนมาร พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ก็รู้สึกงงทันที “ท่านเขยเหมียว ท่านทำตัวมีลับลมคมในปีนกำแพงเข้ามาทำไม? ท่านเดินเข้าทางประตูใหญ่ก็ไม่มีใครขวางหรอก!”
“เรื่องมันยาว” เหมียวอี้ถอนหายใจ ขณะที่พูดก็มองสำรวจอีกฝายศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “ท่านทูตซ่ง ทำไมพวกเขารบกวนให้ท่านมาคอยเฝ้าบ้านล่ะ?”
คนเฝ้าเรือนพักของประมุขถิ่นสี่ทิศยังพอสมเหตุสมผล เพราะไม่ได้พาคนอื่นมาด้วยแล้ว ให้ราชาปีศาจใต้บังคับบัญชาเฝ้าก็ยังพอฟังขึ้น แต่ที่นี่ใช่ว่าจะไม่มีคนอื่นให้ใช้งานเสียหน่อย
ซ่งหยวนฟางชี้ไปที่โถงหลัก “ไม่รู้ว่าฝ่ายนภาอู๋เลี่ยงวางแผนจะทำอะไร จู่ๆ ฟู่หยวนคังก็มาเล่นเล่นหมากล้อมกับคุณชายแปด คุณชายแปดกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเลศนัยอะไร เลยสั่งให้พวกเราเฝ้าอยู่รอบๆ อย่างเข้มงวด”
“ฟู่หยวนคังอยู่ที่นี่เหรอ?” เหมียวอี้ตะลึงงัน
“ใช่แล้ว!” ซ่งหยวนฟางพยักหน้า พอเห็นเขาทำสีหน้าแปลกไป ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าช้าๆ พลางขมวดคิ้ว จีเต๋อไห่เฝ้าพวกประมุขถิ่นสี่ทิศ ส่วนฟู่หยวนคังก็เฝ้าพวกอวิ๋นเป้า พวกเขากำลังแบ่งงานทำชัดๆ มารดาเจ้าเถอะ ทำแบบนี้เพราะกลัวว่าจะมีคนช่วยข้าไง แม้แต่กองกำลังหนุนสุดท้ายของข้า พวกเจ้าก็เตรียมจะตัดขาดด้วย!
ไอ้พวกเวรเอ๊ย ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะสิ้นเปลืองความพยายามมากขนาดนี้รับมือกับข้าแค่คนเดียว ประเมินข้าสูงจริงๆ! เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วกระซิบห้างหูซ่งหยวนฟาง “ท่านทูตซ่ง เรื่องที่ข้ามาที่นี่ ห้ามให้เล็ดรอดออกไปเด็ดขาด อย่าให้สะเทือนไปถึงฟู่หยวนคังด้วย ท่านไปแจ้งท่านอาแปดเงียบๆ ก็พอ ให้เขาหาข้ออ้างมาพบข้าที่สวนหลังบ้านสักหน่อย…”
หลังจากอธิบายอย่างละเอียด ซ่งหยวนฟางก็มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผย เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงพยักหน้าแล้วไปทำตาม
เหมียวอี้ดึงผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาทันที นำมาคลุมทั้งตัวและศีรษะ แล้วเดินตามซ่งหยวนฟางไปด้านหลัง
ทั้งสองมาถึงห้องเดี่ยวเล็กๆ ห้องหนึ่งของสวนด้านหลัง ข้างในมีแสงสว่างของโคมไฟ เหมียวอี้เดินไปเคาะประตู
“ใคร?” เสียงฉินเวยเวยดังมาจากในห้อง น้ำเสียงฟังดูระมัดระวังตัว
“ข้าเอง!” เหมียวอี้ตอบด้วยเสียงต่ำเบา
ประตูห้องเปิดออก ฉินเวยเวยแง้มประตูออกมาดูแวบหนึ่ง เหมียวอี้เผยใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมให้นางดู
ฉินเวยเวยฉงนใจอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้ นางจึงรีบปล่อยให้เขาเข้ามาในห้อง พอเข้ามาแล้วก็ยื่นศีรษะออกไปพยักหน้าให้ซ่งหยวนฟาง อีกฝ่ายพยักหน้าตอบแล้วเดินออกไป
พอปิดประตู เหมียวอี้ก็ถึงผ้าสีดำที่คลุมตัวออกมาเก็บไว้ ฉินเวยเวยเดินถามอยู่ข้างหลังเขาว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ยคะ?”
เหมียวอี้ไม่ตอบคำถาม เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เวยเวย ครั้งนี้เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลยจริงๆ” เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะซับซ้อนแบบนี้
ฉินเวยเวยอึ้งนิดหน่อย และไม่ได้ถามอะไรมาก หันกลับไปรินน้ำชามาวางตรงหน้าเขา จากนนั้นก็ไปยืนเก็บมืออยู่อีกด้าน มองดูเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด…
แสงจันทร์ส่องเฉียงลงมา ซ่งหยวนฟางเข้ามาในโถงหลัก มองดูอวิ๋นเป้ากับฟู่หยวนคังที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน
“คุณชายแปด!” ซ่งหยวนฟางเดินมาตรงหน้าและยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ “นภาแดนมารส่งข่าวมาขอรับ”
ฟู่หยวนคังเหลือบตาขึ้นจ้องแผ่นหยกแผ่นนั้น แล้วลงหมากต่อไป ส่วนอวิ๋นเป้าก็เอียงหน้าเหล่มองซ่งหยวนฟางแวบหนึ่ง คนที่ทำหน้าที่ส่งข่าวและรับข่าวของนภาแดนมารไม่ใช่ซ่งหยวนฟาง แต่เป็นผู้ติดตามของอวิ๋นเป้า แต่การที่ซ่งหยวนฟางพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน
พอลงหมากตัวหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาดู เขาขยับหัวคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเก็บแผ่นหยกเอาไว้ แล้วเล่นหมากล้อมของตัวเองต่อไป ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก
ซ่งหยวนฟางกุมหมัดคารวะทั้งสอง จากนั้นหันตัวเดินออกไป
ในห้องโถง หลังจากเล่นหมากล้อมเสร็จไปตาหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็ลุกขึ้น ฟู่หยวนคังที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามกลั้วหัวเราะว่า “อวิ๋นเป้า อย่าบอกนะว่าคิดจะเบี้ยวหนี้?”
“เหลวไหล! ข้าจะไปเยี่ยว รอข้ากลับมาแล้วค่อยจัดการเจ้า!” อวิ๋นเป้าทิ้งข้ออ้างหยาบๆ เอาไว้ แล้วหันตัวเดินอ้อมไปที่โถงด้านหลัง
“ข้ออ้างนี้ช่างหยาบจริงๆ” ฟู่หยวนคังพูดเหน็บแนม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คาดว่าทางนั้นคงจัดการเรื่องราวได้พอสมควรแล้ว ต่อให้อวิ๋นเป้ารู้ก็สายไปแล้วอยู่ดี
ส่วนเป้าหมายที่แท้จริงของอวิ๋นเป้า ก็ย่อมต้องมุ่งตรงสู่ห้องพักที่เหมียวอี้อยู่ หลังจากเคาะประตูและเข้าไป พอเห็นเหมียวอี้ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไม?”
เหมียวอี้เองก็ไม่พูดอะไรมาก ยื่นแหวนเก็บสมบัติให้สองวง “อาแปด ส่งยอดฝีมือมาสองคน ให้นำแหวนเก็บสมบัติสองวงนี้ไปแบ่งโยนที่แดนปีศาจกับสำนักงามวิจิตร”
“มันคืออะไร?” อวิ๋นเป้าบ่นพึมพำ พอพลังอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ใบหน้าก็เหมือนโดนตะคริวกิน แล้วก็รีบตรวจดูแหวนเก็บสมบัติอีกวง ก่อนจะเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างงงๆ
ข้างในมีศพอยู่สองกอง จะว่าไปแล้วเขาก็รู้จักเหมือนกัน ต่อให้เป็นศพของนักพรตปีศาจที่กลับร่างเดิม ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็น ข้างในเป็นศพของท่านทูตแดนปีศาจและท่านทูตแดนอู๋เลี่ยงจำนวนแปดศพ ตอนกลางวันยังเจอหน้าแปดคนนี้อยู่เลย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นเป้าถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ อวิ๋นจือชิวเกือบจะกลายเป็นแม่ม่ายแล้วน่ะสิ…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากกลับที่พักแดนเซียนให้ฟังทันที รวมทั้งเหตุการณ์ที่จีเหม่ยเหมยกับชุยหย่งเจินนำท่านทูตมาฝั่งละสี่คนมาล้อมสังหารหลังจากที่เขาติดกับดัก
ตอนนี้ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางตกใจจนกัดริมฝีปากแน่น ยืนเงียบงันไม่พูดอะไร
อวิ๋นเป้าสูดหายใจอย่างตกตะลึง “นั่นก็หมายความว่า เจ้าสงสัยว่าอันหรูอวี้กับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยงร่วมมือกันฆ่าเจ้าเหรอ? แล้วเจ้ารอดมาได้ยังไง เจ้าคงไม่บอกหรอกนะว่าเจ้าฆ่าเองหมดนี่เลย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ฆ่าเอง ตอนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน จู่ๆ ก็มีบุคคลลึกลับโผล่มา แล้วฆ่าพวกเขาหมดเลย หลังจากข้าหลบกลับมาเงียบๆ ก็ไปหาประมุขถิ่นสี่ทิศก่อน ปรากฏว่าเห็นจีเต๋อไห่กำลังอยู่ที่นั่นพอดี ข้าเลยมาที่นี่เงียบๆ ใครจะคิดว่าฟู่หยวนคังก็อยู่ที่นี่อีก”
อวิ๋นเป้าหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ข้าก็ว่าอยู่ ว่าทำไมฟู่หยวนคังถึงมาเฝ้าอยู่ที่นี่ สงสัยอยากจะตัดทางหนีทีไล่ของเจ้า เออใช่ แล้วบุคคลลึกลับที่ช่วยเจ้าเป็นใคร?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อน อาแปด เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ ท่านช่วยส่งคนให้นำแหวนเก็บสมบัติสองวงนี้กลับไปโยนทิ้งก่อน ให้ศพพวกนี้ได้กลับบ้านตัวเอง”
“เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร? เจ้าอย่าวางกับดักฝ่ายข้าเชียวนะ” อวิ๋นเป้าทำสีหน้าระแวง แล้วจู่ๆ ก็ทำเสียงฮึดฮัด หลังจากตรวจดูแหวนเก็บสมบัติสองวงนั้นอีกครั้ง ก็ถามว่า “เจ้าบอกว่าชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมข้างในไม่มีศพพวกเขาสองคนล่ะ!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “จะให้พวกเขาหมดเลยได้ยังล่ะ บีบคนที่สำคัญที่สุดสองคนเอาไว้ เดี๋ยวสองฝ่ายนั้นจะต้องมาตามหาแน่นอน ถ้าหาไม่เจอขึ้นมา จะต้องไปตามหาจากคนคนเดียวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกแน่นอน”
คนคนเดียวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึก? อวิ๋นเป้าตาเป็นประกาย “ฝ่ายอันหรูอวี้เหรอ?” จากนั้นก็เริ่มลูบคางหัวเราะ “ยอดเยี่ยมมาก แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายพวกเรานะ พวกเรามีพยานที่อยู่ ฟู่หยวนคังมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด”
เหมียวอี้ตอบว่า “ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรก็มีพยานที่อยู่เหมือนกัน จีเต๋อไห่กำลังเฝ้าอยู่ที่นั่น ฝ่ายพวกเราจะไม่เป็นอะไรเลย”
“น่าสนใจ คืนนี้มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว” อวิ๋นเป้าหันตัวจะเดินไปจัดการ แต่ก็หันหน้ากลับมาอีก หันมาทั้งตัวแล้วมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า “เจ้าเป็นคนของแดนเซียน ขนาดคนฝ่ายตัวเองยังวางกับดักเลยเหรอ?”
“ถุย!” เหมียวอี้สบถเหยียดหยาม “อาแปด ฝ่ายนั้นต้องการจะทำร้ายข้า พวกเขาเห็นข้าอยู่ฝ่ายเดียวกันเสียที่ไหน ถ้าข้าเปิดโปงก็ไม่ได้ผลสักเท่าไร ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าทำ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะเตรียมแผนสำรองเช็ดล้างหลักฐานเอาไว้แล้ว มิหนำซ้ำข้าก็เป็นคนของแดนเซียน ไม่สะดวกจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ท่ามกลางฝูงชน คงไม่ดีหากแดนเซียนหาทางออกไม่ได้ ให้แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงรับบทคนชั่วไปก็แล้วกัน”
ตอนที่ 904
เฟิงเป่ยเฉินเดือดดาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นเป้าก็ค่อนข้างแปลกใจ ความหมายแฝงในคำพูดของเขาก็คือไม่อยากทิ้งฝ่ายแดนเซียน แต่ก็อยากจะวางกับดักอันหรูอวี้ ดูแล้วสงสัยจะเป็นความแค้นส่วนตัว พุ่งเป้าไปที่อันหรูอวี้คนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหมียวอี้ เจ้ากับอันหรูอวี้มีความแค้นอะไรกันแน่? ไม่เคยได้ยินว่าพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกันนะ ทำไมนางคิดจะเล่นงานเจ้าให้ถึงตาย แล้วทำไมเจ้าถึงอยากวางกับดักนางอีก?”
ควรไปถามคำถามนี้กับหลานสาวเจ้ามากกว่านะ! เหมียวอี้พึมพำในใจ เป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยปากพูดความจริงๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าเสียเปรียบหรือไม่เสียเปรียบ เพราะมันทำลายเกียรติศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ถ้าผู้หญิงเสียเปรียบในด้านนี้ก็ยังพอไปร้องทุกข์ได้ แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมบอก เขาถึงได้ปฏิเสธว่า “ข้าไม่ได้มีความแค้นอะไรกับนาง ข้าไม่ได้บอกด้วยว่าจะวางกับดักนาง ข้าแค่อยากจะกดดันให้คนที่อยู่เบื้องหลังเผยตัว!”
เมื่อเห็นเขาไม่ยอมบอก อวิ๋นเป้าก็รู้ว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “งั้นเจ้าจะทำยังไง? ถ้าฝ่ายแดนเซียนก่อเรื่องขึ้นมา ประมุขปราสาทอย่างเจ้าจะหลบอยู่ข้างๆ ไม่โผล่หน้าออกไปร่วมด้วยเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ข้าพลาดไปติดกับดัก ก็เหมือนกับชุยหย่งเจินและจีเหม่ยเหมยในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย… ข้าจะหลบอยู่ที่นี่สักพัก ถ้าออกไปตอนนี้ สองฝ่ายนั้นจะไม่มาล้วงคำตอบจากข้าหรอกเหรอ? รอให้ฝั่งนั้นก่อเรื่องไปสักพัก ข้าจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“เจ้าเด็กนี่ชั่วใช้ได้เลย อยู่ที่แดนเซียนนั่นแหละดีแล้ว แดนมารไม่ต้อนรับเจ้าหรอก” อวิ๋นเป้าเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า แล้วก็ตบบ่าเขา “เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน ฟู่หยวนคังยังรอเล่นหมากล้อมกับข้าอยู่!” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
“อาแปด ส่งยอดฝีมือไปจัดการ อย่าให้คนอื่นจับได้นะ”
“รู้แล้วน่า”
พอประตูปิด เหมียวอี้ก็หันตัวมาคุยกับฉินเวยเวยที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ “เวยเวย ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ข้าจะจัดคนให้คุ้มกันส่งเจ้ากลับไปก่อน”
ฉินเวยเวยไม่ได้คัดค้าน เพียงพยักหน้าเงียบๆ ในใจรู้สึกเป็นทุกข์นิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวถ่วง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลยสักนิด
ตอนนี้นับว่านางเข้าใจแล้ว ว่าครั้งนี้ตัวเองไม่ควรจะมาด้วยเลย เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะยื่นมือเข้าไปแทรกได้
นางเริ่มคิดไม่ตก ในปีนั้นที่เหมียวอี้ยังมีวรยุทธ์บงกชขาว แต่ก็ไปออกล่าที่ทะเลดาวนักษัตรแล้ว ตอนหลังก็ไปเข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ตีฝ่านักพรตหนึ่งแสนแปดหมื่นคนออกมาได้ ตอนวรยุทธ์อยู่ระดับบงกชเขียวก็ไปเสี่ยงภัยที่ทะเลทรายม่านเมฆาอีก แถมในระหว่างนั้นยังผ่านเรื่องราวต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องอันตรายมาแล้วตั้งกี่ครั้ง กว่าจะเดินขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างทุกวันนี้
วรยุทธ์ของนางในตอนนี้เหนือกว่าเหมียวอี้ในปีนั้น นางอยู่ระดับบงกชแดงแล้ว แต่กลับพบว่าเมื่อออกจากอาณาเขตที่ตัวเองอยู่ นางก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ได้สำคัญอะไรทั้งนั้น เมื่อนึกย้อนดูตัวเองในหลายปีที่ผ่านมา ก็พบว่าไม่เคยผ่านเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรเลย ครั้งที่เสี่ยงอันตรายที่สุดก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่ช่วยชีวิตนางไว้ ถ้านางได้ประสบพบเจอเรื่องราวเหมือนกับเหมียวอี้ ต่อให้เป็นแค่เรื่องเดียวก็ตาม เกรงว่านางอาจจะตายไปแล้วก็ได้
พอได้เห็นเหมียวอี้เจรจาเตรียมการเมื่อครู่นี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ล้วนมีคนอื่นคอยปูทางให้นางเดินตลอดทาง
“เออใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ กลับไปแล้วห้ามบอกใครนอกจากฮูหยิน ทางที่ดีอย่าเอ่ยเรื่องนี้กับผู้การหยาง ไม่อย่างนั้นเขาต้องเกลียดข้าตายแน่นอน” เหมียวอี้พูดเสริมอีกว่า เดิมทีเมื่อครู่นี้ไม่อยากจะคุยกันต่อหน้านาง อยากจะถ่ายทอดเสียงคุยกัน แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะไม่อยากให้นางคิดมาก
“รับทราบค่ะ!” ฉินเวยเวยเอ่ยรับ
หลังจากอวิ๋นเป้าออกไปแล้ว ก็เรียกท่านทูตสองคนเข้ามา แล้วยื่นแหวนเก็บสมบัติให้ทั้งสอง หลังจากสั่งงานแล้ว ท่านทูตทั้งสองก็พยักหน้า แล้วหายไปในความมืดอย่างเงียบๆ
อวิ๋นเป้ายืนหัวเราะเบาๆ อยู่ภายใต้เงามืด แล้วเอามือไขว้หลังเดินกลับมาที่โถงหลัก พอเห็นฟู่หยวนคังยังนั่งจิบน้ำชาอย่างเนิบนาบ เขาก็เดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน
ฟู่หยวนคังเหล่ตาพูดเหน็บแนมว่า “แค่ไปเยี่ยวทำไมใช้เวลานานขนาดนี้?”
“ถือโอกาสขี้ด้วย!” อวิ๋นเป้ายื่นไปฝ่ามือไปฝั่งตรงข้ามโต๊ะอย่างไร้ความอาย แหย่ไปที่จมูกของฟู่หยวนคังอย่างร่าเริง “ไม่เชื่อเจ้าก็ดมดูสิ ยังมีกลิ่นขี้อยู่เลย”
ฟู่หยวนคังเอนศีรษะหลบไปข้างหลัง แล้วขมวดคิ้วมองดูน้ำชาที่อยู่ในมือ ชั่วพริบตาเดียวก็หมดอารมณ์ดื่ม ที่นี่มีทั้งขี้มีทั้งเยี่ยว จะยังดื่มลงได้อย่างไร วางถ้วยน้ำชาไว้ข้างๆ แล้ว…
ที่สำนักงามวิจิตร การเฝ้ายามวันนี้เหมือนจะเข้มงวดเป็นพิเศษ เฟิงเป่ยเฉินอยู่ที่นี่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้มงวด มีศิษย์สำนักงามวิจิตรเฝ้าอยู่ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง จะได้ไม่มีใครบุกเข้ามาโดยพลการ
ตำหนักใหญ่เงียบขรึมอยู่ภายใต้แสงโคมไฟสว่างพร่างพราว โคมไฟหลายดวงที่แขวนอยู่บนลานกว้างสั่นไหวตามแรงลม
ซวบ! เสียงเบาๆ ทำลายความเงียบ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งกระเด็นอยู่บนลานกว้างสองสามครั้ง
เงาคนหลายคนเหาะออกจากความมืดทันที มีสองคนยืนอยู่ตรงหน้าแหวนเก็บสมบัติที่ตกพื้น บางคนก็เดินไล่ไปทางที่แหวนเก็บสมบัติที่กระเด็นมา ถลันตัวไปค้นหาตรงตำแหน่งที่อาจจะเป็นไปได้ แต่กลับไม่พบเงาใครแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งหลายคนเดินส่ายหน้ากลับมา แหวนเก็บสมบัติวงนั้นก็ถูกเก็บขึ้นมาแล้ว คนแรกที่ตรวจดูข้างในตกใจจนยืนนิ่งอยู่กับที่
“มีของอะไร?” มีบางคนหยิบจากมือเขามาดู แล้วก็งุนงงหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
ไม่นาน พวกเขาก็รีบเหาะไปยังภูเขาด้านหลัง แล้วนำของส่งให้โม่หมิงและฮูหยินเหมียวจวินอี๋
หลังจากเห็นของที่อยู่ข้างใน สองสามีภรรยาก็ตกใจไม่เบา สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว เหมียวจวินอี๋ตะคอกถามว่า “เอาสิ่งนี้มาจากไหน?”
ศิษย์คนแรกที่เก็บได้ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฮูหยิน มีคนโยนสิ่งนี้ลงบนลานกว้าง ไม่ทราบว่าใครขว้างมา ไปตรวจหาแล้วก็ไม่พบใครเลย เกรงว่าคนที่ลงมือคงจะวรยุทธ์เหนือกว่าพวกเรามาก”
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ท่านทูตทั้งสี่จะตายโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร? อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกเขา ต่อให้สู้กับท่านปราชญ์ก็ต้องมีเสียงการต่อสู้ดังมาบ้าง!” โม่หมิงเรียกได้ว่าทำสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เหมียวจวินอี๋เองก็ไม่รู้ว่าสี่คนนี้ไปทำอะไรมา
“เรื่องนี้จะปิดบังไว้ไม่ได้! ไป รีบไปพบท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ก็เริ่มกลัวแล้วเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ท่านทูตแดนอู๋เลี่ยงตายไปสี่คนในรวดเดียว แม้แต่เสียงต่อสู้ก็ไม่ได้ยิน ทั้งยังตายที่สำนักงามวิจิตรด้วย เรื่องนี้ใหญ่โตจริงๆ นางดึงแขนสามี แล้วทั้งสองก็รีบร้อนออกไปด้วยกัน
ที่เขตต้องห้ามด้านหลัง หลังจากทั้งสองรายงานแล้วก็รีบเข้าไปรอให้ตำหนักเล็กหลังหนึ่ง
เฟิงเป่ยเฉินที่ได้รับรายงานเดินเนิบนาบออกมา พอเห็นทั้งสองก็ถามเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไรทำไมรีบร้อนจะเข้าพบขนาดนี้?”
“ท่านปราชญ์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เหมียวจวินอี๋ใช้สองมือมอบแหวนเก็บสมบัติวงนั้นให้
หลังจากเฟิงเป่ยเฉินได้เห็นแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างก็พลันฉายแววดุดัน เรียกได้ว่าสีหน้าเดือดดาลมาก บนตัวเผยกลิ่นอายสังหาร จ้องทั้งสองอย่างเย็นเยียบพลางตวาดถาม “เรื่องอะไรกัน?”
“มีคนนำมาโยนไว้บนลานกว้างของตำหนักหลักค่ะ พวกลูกศิษย์ออกไปค้นหาแล้วแต่ก็ไม่พบใคร…” เหมียวจวินอี๋เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ทันที นางเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารบนตัวท่านอาจารย์ สุดท้ายก็พูดเสริมอย่างตัวสั่นงันงก “ศิษย์เองก็ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ด้วยวรยุทธ์อย่างท่านทูตทั้งสี่ ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์จะไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใดๆ เลย”
เฟิงเป่ยเฉินกวาดตามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วนำแหวนเก็บสมบัติในมือขึ้นมาดูอีก เขาย่อมรู้ว่าทั้งสองไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก ท่านทูตทั้งสี่ไปทำเรื่องอะไรมา คนที่รู้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ได้บอกใครในสำนักงามวิจิตรเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ ข้างในมีแค่ศพของท่านทูตสี่คน แต่กลับไม่เห็นชุยหย่งเจินลูกศิษย์ของตัวเอง และไม่เห็นชุยหย่งเจินกลับมาด้วย ข้างในเกิดปัญหาใหญ่แล้ว เขารู้สึกเหมือนติดกับดักและโดนคนปั่นหัว
“ใครก็ได้!” เฟิงเป่ยเฉินตะโกนเรียก
ด้านนอกมีหญิงรับใช้คนหนึ่งรีบสาวเท้าเดินเข้ามา เฟิงเป่ยเฉินสั่งว่า “ให้ฟู่หยวนคังมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้รีบเดินออกไป
เหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าหายใจแรง กล้าแค่แอบมองเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างโมโหเดือดดาล
ส่วนอวิ๋นเป้าในตอนนี้ก็ยังเล่นหมากล้อมอยู่กับฟู่หยวนคัง ผู้ติดตามคนหนึ่งของอวิ๋นเป้าเดินเข้ามา นำน้ำชาร้อนมาเปลี่ยน รินน้ำชาใส่ถ้วยของอวิ๋นเป้าจนเต็มแล้ว รินจนเกือบล้น จากนั้นก็เดินมารินน้ำชาตรงหน้าฟู่หยวนคัง
อวิ๋นเป้าเหลือบมองน้ำชาที่อยู่ในถ้วยตัวเอง ในดวงตาฉายแววยิ้มเย้ย นี่คือสัญญาณที่นัดกันไว้ รินน้ำชาเต็มถ้วยแสดงว่าเรื่องราวเป็นที่น่าพึงพอใจ แสดงว่าเรื่องที่สั่งไว้ถูดจัดการเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้เอง หญิงรับใช้ที่เฟิงเป่ยเฉินส่งมาก็แจ้งทหารยามแล้วรีบร้อนเดินเข้ามา ถ่ายทอดเสียงบอกฟู่หยวนคังว่า “ท่านปราชญ์ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
ฟู่หยวนคังขมวดคิ้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
“ไม่ทราบค่ะ แต่ท่านปราชญ์เดือดดาลมาก ต้องการให้ท่านไปพบเดี๋ยวนี้” หญิงรับใช้ตอบ
อวิ๋นเป้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาสูดเข้าปาก แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องลึกลับอะไร ทำไมไม่พูดต่อหน้า?”
“ไม่เล่นแล้ว!” ฟู่หยวนคังปล่อยตัวหมากที่กำอยู่ในมือลงบนกระดาน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
อวิ๋นเป้าวางถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “มารดาเจ้าเถอะ ฟู่หยวนคัง เจ้าล้อข้าเล่นใช่มั้ย? ไอ้หลานอย่างเจ้ามายั่วยุให้ข้าเล่นหมากล้อมด้วย ตอนนี้บทจะเลิกก็เลิก! ไม่เล่นแล้วก็ได้ แต่ยอมแพ้แล้วส่งสิ่งของเดิมพันเอาไว้เสียดีๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่าคิดจะออกจากที่นี่เลย!”
ฟู่หยวนคังไม่ได้พูดอะไรมาก พลิกฝ่ามือแล้วดีดแหวนเก็บสมบัติเข้ามา
อวิ๋นเป้ารับมาดูในมือ พอนับคร่าวๆ ว่ามีผลึกทองหนึ่งพันล้านครบ ก็โบกมือพูดทันที “ฝีมือการเล่นสู้คนอื่นไม่ได้ก็อย่าโมโหสิ ตอนนี้รู้ถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ รีบไสหัวไปเถอะ”
ฟู่หยวนคังโมโหจนกัดฟันกรอด ตัวเองชนะมากกว่าแพ้แท้ๆ ตอนนี้ยังจะโมโหอะไรอีก แต่จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ ท่านปราชญ์กำลังเร่งรัด ไม่มีเวลามาใช้สิ้นเปลืองกับอวิ๋นเป้า เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกจากโถงหลักอย่างรวดเร็ว
พอลูกน้องสี่คนที่อยู่ข้างนอกเห็นเขาออกมา ก็เข้ามาล้อมทันที ฟู่หยวนคังถ่ายทอดเสียงถามตอบกับพวกเขาพักหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ “ไป!”
พวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปทันที มุ่งหน้าไปยังสำนักงามวิจิตร แล้วเหยียบลงที่นอกตำหนักใหญ่ตรงเขตหวงห้ามโดยตรง ฟู่หยวนคังเดินสาวเท้าเข้าไปคนเดียว เห็นเหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงยืนก้มหน้าอยู่ในตำหนักแล้ว เห็นเฟิงเป่ยเฉินกำลังเดินไปเดินมาด้วย
เขาก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ท่านปราชญ์ ไม่ทราบว่าเรียกพบด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”
“เจ้าดูเอาเองสิ!” เฟิงเป่ยเฉินโยนแหวนเก็บสมบัติออกมา
ฟู่หยวนคังทำสีหน้าสงสัย หลังจากได้เห็นแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าถามว่า “เอ่อ… นี่… ท่านปราชญ์ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เฟิงเป่ยเฉินมองไปทางเหมียวจวินอี๋ เหมียวจวินอี๋เข้าใจความหมาย เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที
เฟิงเป่ยเฉินพูดต่ออีกว่า “ฝ่ายนภาแดนมารเป็นอย่างไร?”
ฟู่หยวนคังรีบตอบว่า “ข้าเล่นหมากล้อมอยู่กับอวิ๋นเป้าตลอด ระหว่างนั้นเขาออกไปข้างนอกครู่เดียว แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไปกลับอย่างไม่รีบเร่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไปต่อสู้มาเลย ข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ เพื่อหลอกให้ท่านทูตใต้บังคับบัญชาของเขาไปเฝ้าอยู่รอบๆ ลูกน้องของข้าก็เห็นพวกเขาอยู่ตลอด ต่อให้มีคนอื่นออกไป แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารท่านทูตทั้งสี่ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์น้องก็ยังอยู่ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะฆ่าใครกันแน่ เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นเป้าจะทำเรื่องนี้”
พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงก็สบตากันแวบหนึ่ง พอจะฟังออกแล้วว่ามีปฏิบัติการลับอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้
“ที่สำคัญคือตอนนี้ไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงของเจ้าเป็นตายร้ายดียังไง!” เฟิงเป่ยเฉินที่เดินไปเดินมาพลันหยุดฝีเท้า แล้วกล่าวเสียงเข้ม “เจ้าพาคนไปดูตรงสถานที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้ พาไปคนเยอะๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จวินอี๋ก็ไปด้วย”
ตอนที่ 905
ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“น้อมรับคำสั่ง!” เหมียวจวินอี๋เอ่ยรับตามฟู่หยวนคัง แล้วออกไปรวบรวมกำลังพลด้วยกัน
ทิ้งโม่หมิงให้ยืนตัวสั่นงันงกอยู่คนเดียว จากนั้นเฟิงเป่ยเฉินที่สีหน้ามืดครึ้มเดาอารมณ์ยากก็โบกมือ บอกให้เขาออกไปได้แล้ว
เฟิงเป่ยเฉินแดนเดินหน้าเครียดกลับไปที่ตำหนักหลัก ปรากฏว่าเห็นฉินซีเดินออกมาจากห้อง ยืนนิ่งๆ อยู่ในโถง
“เหมือนท่านจะไม่พอใจมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?” ฉินซีถาม
เฟิงเป่ยเฉินไม่พอใจมากจริงๆ เมื่อเห็นฉินซีในยามนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ เพราะใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยของนาง เป็นใบหน้าที่ไม่เคยยิ้มให้เขามาหลายปีแล้ว
ไฟโกรธเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เฟิงเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น จู่ๆ ก็ดึงมือนางเดินเข้าไปในห้อง ฉีกเสื้อผ้าบนร่างกายนางออก ร่างเปลือยอ้อนแอ้นที่ขาวหมดจดเปิดเผยอยู่กลางอากาศ ทำให้คนเลือดลมสูบฉีด
ฉินซียังคงไม่สะทกสะท้าน มองดูการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็โดนโถมทับ ปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินระบายอารมณ์…
ที่สำนักงามวิจิตร ตอนที่คนกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านฟ้ามาอย่างรวดเร็ว เรือนพักรับแขกของแดนปีศาจก็มีคนกลุ่มหนึ่งเหาะออกมาเช่นกัน
ฟู่หยวนคังหันกลับไปมอง จากนั้นก็ยกมือเล็กน้อย เจอกับจีเต๋อไห่ที่นำคนกลุ่มหนึ่งเหาะมา ตอนนี้จีเต๋อไห่สีหน้าแย่มากเช่นกัน
“ศิษย์น้องข้าหายไปแล้ว” ฟู่หยวนคังกล่าว
“น้องสาวข้าก็หายไปแล้วเหมือนกัน!” จีเต๋อไห่กัดฟัน
ทั้งสองเข้าในใจทันที ทั้งสองฝ่ายประสบเหตุการณ์เดียวกัน จึงรีบนำคนเหาะออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ที่เรือนพักรับแขกของนภาจอมมาร อวิ๋นเป้านำคนกลุ่มหนึ่งมองดูคนอีกสองกลุ่มเหาะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “น่าสนุก!”
“คุณชายแปด เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหยวนฟานเอ่ยถาม เขารู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” อวิ๋นเป้าหนตัวมามองทุกคน แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “คืนนี้อาจจะได้ดูอะไรสนุกๆ พวกเราสนใจแค่เป้าหมายที่ตัวเองมาที่นี่ก็พอ แต่ถ้ามีโอกาสได้ชุบมือเปิบก็ลงมือได้เลย”
ที่เรือนพักรับรองแขกของทะเลดาวนักษัตร ประมุขถิ่นสี่ทิศมองตามคนสองกลุ่มนั้นเช่นกัน บนใบหน้าเจือด้วยความฉงนสนเท่ห์
“คงไม่เกี่ยวกับเจ้าห้าหรอกใช่มั้ย?” สงเวยหันซ้ายหันขวาเอ่ยถาม พี่น้องที่เหลือส่ายหน้า แสดงออกว่าไม่รู้เหมือนกัน
ที่เรือนพักรับแขกของแดนพุทธะ ฝาไห่ที่แววตาเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์ รูปร่างผอมสูงและสวมจีวรสีม่วงทั้งตัวยืนประนมมืออยู่ข้างหน้า ข้างหลังเป็นพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง พวกเขาถูกการเคลื่อนไหวใหญ่ของคนสองกลุ่มทำให้ตกใจเช่นกัน มองไปทางที่คนสองกลุ่มนั้นหายไปด้วยกัน
“ใครก็ได้ ตามข้าไปดูหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ฝาไห่เอ่ยเรียก แล้วนำกำลังพลเหาะขึ้นฟ้าตามไปอย่างรวดเร็ว
ที่เรือนพักของแดนผี อวี้หนูเจียวที่สวมชุดกระโปรงสีดำทั้งตัวนำคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป
ที่เรือนพักรับแขกของแดนเซียน หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเห็นเงาคนหายไปในม่านราตรี ก็หันไปมองอันหรูอวี้ที่ยืนอยู่ใต้ชายคาพร้อมกัน
ปรากฏว่าอันหรูอวี้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง โอวหยางกวงโผล่หน้าออกมา แล้วเดินตามหลังเข้าไปในห้องเช่นกัน
หลังจากหลบสายตาฝูงชนแล้ว ทั้งสองก็ถ่ายทอดเสียงคุยกันอย่างระวังตัว โอวหยางกวงถามว่า “ฮูหยิน ทิศทางที่พวกเขาไป… พวกเราไปดูกันสักหน่อยมั้ย?”
อันหรูอวี้ถามว่า “จะไปดูอะไร? กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เหรอว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเรา? แดนมารกับทะเลดาวนักษัตรยังไม่เคลื่อนไหวอะไร คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ก็ไม่เคลื่อนไหว พวกเราจะไปทำอะไรล่ะ?”
โอวหยางกวงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้ากังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นรึเปล่า? จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กนั่นก็ผ่านอุปสรรคอันตรายมาไม่น้อย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นมันไม่ได้ตายง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงวันนี้หรอก”
อันหรูอวี้แสยะยิ้ม “ถ้าคนสองกลุ่มร่วมมือกันแล้วยังฆ่าไอ้ฆ่าไอ้จัญไรนั่นไม่ได้ ก็แปลว่าคนสองกลุ่มนั้นไม่ได้เรื่อง ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดแล้วอย่างไรล่ะ ขอแค่เจ้าชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างระมัดระวัง ไม่ทิ้งจุดอ่อนอะไรเอาไว้ก็พอแล้ว”
“เฮ้อ! ในเวลาและสถานที่แบบนี้ ข้าว่าที่พวกเราทำเรื่องแบบนี้เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะนะ” โอวหยางกวงกล่าวอย่างจนใจ
“ความคิดอ่านพื้นๆ เหมือนสตรี!” ในฐานะที่เป็นภรรยา คำพูดนี้ของอันหรูทำให้เขาค่อนข้างพูดไม่ออก “ถ้าไม่ฉวยโอกาสทำตอนนี้ ด้วยฐานะตำแหน่งปัจจุบันของเขา ถ้ากลับไปแล้วเจ้ายังจะทำอะไรเขาได้อีกเหรอ? ถ้าท่านปราชญ์ไม่อนุญาต ที่แดนเซียนก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาเลย!”
ตรงสถานที่เก่าของสำนักงามวิจิตร คนสองกลุ่มเหาะตามกันลงมา ไม่นานก็พบร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดบนพื้นได้บ่งบอกปัญหาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
ตอนนี้ไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ คนที่ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือการยืนยันว่าชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
คนที่ฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่พามาต่างก็แยกย้ายกันออกไป ตามหาเบาะแสไปทั่วทุกที่
ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวเจอกัน ทั้งสองสบตาอย่างรู้ความคิดของกันและกัน ย่อมมองออกว่าตรงนี้เคยเกิดการต่อสู้มาก่อน ทั้งคู่ไปหาฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวา อวี้หนูเจียวถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ทั้งสองย่อมไม่บอกอยู่แล้วว่าตัวเองวางกับดักสู้กับเหมียวอี้แต่กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง ปล่อยให้ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวถามไป ทั้งสองฝ่ายก็แค่ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไร
คนที่แยกย้ายกันไปตามหา หลังจากค้นหาจนทั่วเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ก็กลับมารายงานอย่างไม่มีผลงานอะไรเลย
ฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่เหลือกำลังคนเอาไว้ที่นี่เพื่อค้นหาต่อ แล้วทั้งสองก็รีบกลับไปที่สำนักงามวิจิตร
ที่เขตหวงห้ามของสำนักงามวิจิตร เมื่อได้รับรายงานจากลูกศิษย์ที่กลับมา เฟิงเป่ยเฉินก็ลุกออกจากกายเนื้ออันขาวหมดจดของฉินซี เขาลุกนั่งอยู่บนเตียง แล้วลูบไล้บนเรือนร่างของฉินซีอย่างถนอมรักพักหนึ่ง ทำสีหน้าเหมือนยังติดใจในรสชาติ
หลังจากแต่งตัวเสร็จ เฟิงเป่ยเฉินที่ได้ระบายอารมณ์ก็ใจเย็นลงแล้ว เขาหันกลับมามองฉินซีที่โดนเขารังแกจนนอนเปลือยแน่นิ่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อ ผ้าห่มก็ม้วนขึ้นมาห่มร่างกายนาง จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป
ออกมาเจอฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่ หลังจากถามสถานการณ์ชัดเจนแล้ว สีหน้าของเฟิงเป่ยเฉินก็บูดบึ้งลง ถามจีเต๋อไห่ว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าฝ่ายทะเลดาวนักษัตรไม่ได้เข้าไปช่วย?”
“เปล่าเลย! ข้าเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอด ” จีเต๋อไห่ตอบ
“ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครไปช่วย ด้วยความสามารถของไอ้เด็กจัญไรนั่น คงรับมือกับนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนั้นไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะฆ่าหมดจนไม่เหลือกลับมาสักคน!” เฟิงเป่ยเฉินแสยะยิ้ม “พวกเราคงตกหลุมพรางแล้ว หรือไม่ก็มีคนแอบช่วยเหลือ แต่ต่อให้มีคนแอบช่วยเหลือ เรื่องราวเกิดขึ้นปุบปับแต่ยังเตรียมสถานที่ได้แม่นยำ แปลว่ามีคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว สงสัยพวกเราจะโดนวางกับดัก!”
“หมายถึงฝ่ายแดนเซียนเหรอ?” จีเต๋อไห่ลังเล จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “ข้าว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะไม่เป็นการย้ายหินทุ่มใส่เท้าตัวเองเหรอ ตัวพวกเขาก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่กลัวพวกเราจะล้างแค้นเชียวหรือ?”
“เจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าฝ่ายแดนเซียนเข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย?” เฟิงเป่ยเฉินถาม
จีเต๋อไห่ไม่ตอบอะไร เพราะไม่มีหลักฐานจริงๆ มีแค่คนแอบมาติดต่อกับฝ่ายเขา บอกว่าจะหาทางล่อเหมียวอี้ออกไปให้ จะสร้างโอกาสให้พวกเขาลงมือ
“ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหรือไม่ เจ้าก็ต้องไปขอคำอธิบาย ถ้าไม่ได้คำอธิบาย ก็เอาชีวิตแลกชีวิต หาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้!” เฟิงเป่ยเฉินสั่งฟู่หยวนคัง
เขาไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะสามารถรับมือกับคนมากมายขนาดนั้นได้ ต่อให้พวกอันหรูอวี้จะมาช่วย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมดจนไม่เหลือรอดกลับมาสักคน เขาสงสัยว่ายังมีคนซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“ขอรับ!” ฟู่หยวนคังกุมหมัดน้อมรับคำสั่ง แล้วหันตัวไปมองจีเต๋อไห่ “เจ้าล่ะ?”
จีเต๋อไห่ลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้า “ข้าไปด้วย!”
จากนั้นทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองฝ่ายก็เลือกยอดฝีมือของตัวเอง แล้วรีบไปล้อมภูเขาซึ่งเป็นที่พักของแดนเซียนเอาไว้ ท่าทางเหมือนเสือที่พร้อมตะครุบ
การเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ทำให้พวกฝาไห่กับอวี้หนูเจียวที่กำลังกลับที่พักรู้สึกเหลือเชื่อมาก ย่อมต้องมามุงดูเอาสนุกสักหน่อย
บรรดาสำนักหลอมของวิเศษที่ได้รับเชิญมาดูการประลองของวิเศษก็ประหลาดใจไม่หยุดเช่นกัน ต่างก็หันมามองทางด้านนี้
“ยะฮู้! ความบันเทิงเริ่มขึ้นแล้ว ไปเถอะ ไปดูกันสักหน่อย!” อวิ๋นเป้าเรียกกำลังพลเหาะออกไป ขณะเดียวกันก็เหลือคนส่วนหนึ่งให้เฝ้าไว้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ยังซ่อนตัวอยู่ที่นี่
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายแดนเซียนจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลย กำลังพลมารวมกันตรงนี้แล้ว เฝ้าระวังกำลังผลที่ล้อมอยู่บนฟ้า อันหรูอวี้ก็ยิ่งชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าพลางตวาดว่า “ฟู่หยวนคัง จีเต๋อไห่ พวกเจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่ายังไงเหรอ?” ฟู่หยวนคังแสยะยิ้ม นำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาสะบัด ทำให้ศพหลายศพร่วงกระแทกลงพื้น
จีเต๋อไห่ก็ทำแบบนี้เช่นกัน ศพหลายศพที่กลับร่างเดิมและโดนควักยาปีศาจออกไปแล้ว ในตอนนี้ถูกโยนลงในลานบ้านด้านล่างเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นศพท่านทูตของแดนอู๋เลี่ยงและแดนปีศาจตั้งแปดศพ ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวตกใจมาก คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
อวิ๋นเป้าเอามือลูบคางพูดกลั้วหัวเราะ “เด็กๆ เอ๋ย ตอนกลางวันยังเห็นแปดคนนี้ตัวเป็นๆ อยู่เลย ทำไมชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเนื้อที่พร้อมกินซะแล้วล่ะ? ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด ใครมันฆ่าคนได้เก่งกาจขนาดนี้!”
ชัดเจนว่าเจ้าเวรนี่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น กำลังพลของเขาก็หัวเราะร่าเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เข้าร่วมอยู่ในนั้น
แน่นอน ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวก็มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นเช่นกัน
คนของฝ่ายแดนเซียนค่อนข้างตกใจ ส่วนใหญ่หาคำตอบกับเรื่องนี้ไม่ได้ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงสีหน้าเปลี่ยนทันที พอจะเดาอะไรได้รางๆ แล้ว ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นไปได้สูงว่าจะทำพลาด ไม่อย่างนั้นสองคนนี้คงไม่จำเป็นต้องฆ่าท่านทูตพวกนี้เพื่อแสดงละครตบตาหรอก เพราะผลที่ตามมาใหญ่หลวงเกินไป
โอวหยางกวงชำเลืองอันหรูอวี้ฮูหยินของตัวเองแวบหนึ่ง โน้มน้าวอย่างไรก็ไม่ได้ผล ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ!
อันหรูอวี้ถลันตัวเหาะขึ้นไปบนหลังคาบ้าน แล้วถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฟู่หยวนคัง แดนอู๋เลี่ยงของพวกเจ้ามีวิธีรับแขกอย่างนี้เหรอ?”
“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย! เจ้าติดต่อกับพวกเราสองแดนให้วางกับดักลอบสังหารไอ้เหมียวจัญไร ผลก็คือคนของพวกเราตายแล้ว! อันหรูอวี้ ถ้าวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบาย ก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปได้!” ฟู่หยวนคังตะคอก
เยว่เทียนโปที่เตรียมพร้อมอยู่ในลานบ้านหันขวับไปมองอันหรูอวี้ ดวงตาฉายแววระแวงสงสัย
“มันเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นเป้าพลันตะคอกถาม “สังหารเขยของนภาจอมมารเหรอ? เหมียวอี้ล่ะ? เหมียวอี้อยู่ที่ไหน?” พูดเหมือนกลัวว่าในใต้หล้าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย
กลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรที่ดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ พอได้ยินแล้วก็เหาะพรวดเข้ามา มาเรียงแถวหน้ากระดานออยู่บนฟ้า แล้วมองลงมาข้างล่างด้วยแววตาเย็นเยียบ
ทั้งสี่แอบประหลาดใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ได้รับข่าวจากราชาปีศาจกระดูกขาว ว่าเหมียวอี้แอบลักลอบเข้ามา เหมือนจะยังสบายดี ทั้งยังพูดสั่งอย่างอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างลับลมคมนัย อย่าบอกนะว่าเวลาสั้นๆ แค่นี้ก็เกิดเรื่องขึ้นได้?
อันหรูอวี้เหมือนจะทำสีหน้าแปลกๆ นางรู้สึกอึ้งนิดหน่อย จากนั้นก็พูดเหมือนอยากขำว่า “ฟู่หยวนคัง พวกเรากับพวกเจ้าร่วมกันวางแผนลอบสังหารเหมียวอี้งั้นเหรอ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้รึไง? ถ้าอยากจะสู้กับกำลังพลของแดนเซียนก็เข้ามาได้เลย ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรหรอก คิดว่าเรากลัวพวกเจ้ารึไงล่ะ!”
นางเองก็นึกไม่ถึงว่าการฆ่าเหมียวอี้แค่คนเดียวจะสร้างเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้ รู้ว่าไม่มีทางคุยกันดีๆ ได้แล้ว ท่านทูตตายไปแล้วแปดคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นางแค่คิดไม่ตก ว่ามียอดฝีมือมากมายแต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้? แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงเลี้ยงฝูงหมูเอาไว้รึไง!
ท่านทูตทั้งสิบสองสายของนางถืออาวุธลอยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว แต่ละคนมองหญิงรับใช้ของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าลงมือต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มนักพรตบงกชทองได้แลกหมัดกัน หญิงรับใช้ของตัวเองก็จะมีโอกาสตายมากกว่ารอด ทุกคนแอบถ่ายทอดเสียงสั่งว่า “ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็หนีไปทันที!”
ตอนที่ 906
เยารั่วเซียนที่ทำเสียเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรยากาศตึงเครียดทันที พายุกำลังจะกระหน่ำ!
จีเต๋อไห่สีหน้ามืดครึ้ม ประกาศคำเตือนครั้งสุดท้ายว่า “อันหรูอวี้ ส่งตัวจีเหม่ยเหมยกับเหมียวอี้มา!”
“ส่งตัวศิษย์น้องชุยมา!” ฟู่หยวนคังกล่าวตาม
เมื่อได้ยินทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้คนไม่น้อยตื่นตะลึง ไม่ใช่แค่สังหารท่านทูตทิ้งแปดคน แต่ชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายด้วยเหรอ?
แม้แต่อันหรูอวี้ก็สังเกตได้ว่าเรื่องราวชักประหลาดพิลึก ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ชุยหย่งเจินที่ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงถึงระดับหนึ่งแล้ว จะตกอยู่ในน้ำมือของเหมียวอี้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ร้ายแรงเกินกว่าที่นางคาดการณ์ไว้ นางไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ตอนนี้จะไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น “ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!”
เหมียวอี้ที่ปลอมตัวปะปนอยู่กับกลุ่มคนบนฟ้าแอบขำ ตีกันเลยสิวะ! จะดีมากถ้าช่วยข้าเล่นงานนางป้าอันหรูอวี้ให้ตาย พวกเจ้ายิ่งตายเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี เอาให้พินาศย่อยยับไปทั้งสองฝ่าย รอให้พลังปราณของพวกเจ้าเสียหายอย่างหนัก ถึงตอนนั้นถ้าเยารั่วเซียนปรากฏตัว ข้าจะได้ช่วยเขาไปได้สะดวกหน่อย!
โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรที่กำลังดูเหตุการณ์อยู่บนฟ้า ตอนนี้เรียกได้ว่าปวดร้าวหัวใจ ถ้ายอดฝีมือกลุ่มนี้ตีกันขึ้นมา สำนักงามวิจิตรของเขาจะต้องจบเห่แน่ ไม่รู้ว่ามีลูกศิษย์ตั้งเท่าไรที่จะต้องติดร่างแหซวยไปด้วย ตอนสำนักงามวิจิตรโดนถล่มในปีนั้น ศิษย์ในสำนักบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ต้องใช้เวลาเป็นพันปีกว่าจะฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาได้ นึกไม่ถึงว่าจะประสบกับเรื่องนี้อีกแล้ว
เมื่อเห็นแต่ละคนถืออาวุธขึ้นมา ก็รู้ว่าศึกใหญ่กำลังจะปะทุ คนที่ไม่เกี่ยวข้องพากันถอยหลังแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ดันมีเสียงตะโกนดังมาจากแนวภูเขา “จื่อหยางอยู่นี่แล้ว! เซี่ยงไป่ถิง กล้าประลองกับข้าสักยกมั้ย!”
ทุกคนตะลึงงัน เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน นี่คือเสียงของเยารั่วเซียนแน่นอน
ทุกคนเอียงศีรษะหันไปมอง ชำเลืองไปทางกลุ่มคนของสำนักหลอมของวิเศษที่ลอยอยู่บนฟ้า เห็นเพียงคนคนหนึ่งถลันตัวออกมาจากตรงกลาง เหาะไปอยู่บนฟ้าเหนือหุบเขา พอสะบัดแขนสองข้าง หนังกำพร้าบนใบหน้าก็ระเบิดออกและลอยไปกับสายลม เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก
เหมียวอี้ถลึงตาจ้อง ถ้าไม่ใช่เยารั่วเซียนแล้วจะเป็นใครไปได้!
เพียงแต่วันนี้เยารั่วเซียนแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ มองไม่เห็นสภาพมอมแมมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในที่สุดก็สภาพเหมือนคนปกติขึ้นมาเสียที
“พี่หวง ท่าน…” เจ้าสำนักหลอมของวิเศษชี้ไปที่เยารั่วเซียน “ท่าน… ท่านคือท่านจื่อหยางเหรอ!”
เยารั่วเซียนหันตัวมา กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “พี่เปา ไม่ผิดหรอก ข้าคือจื่อหยาง! ในปีนั้นที่ได้เริ่มคบค้ากับพี่เปา ข้าโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกจริงๆ จำเป็นต้องปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริง ครั้งนี้อาศัยให้สำนักของท่านคุ้มกันมาส่งที่นี่ เป็นเพราะจำใจจริงๆ หวังว่าพี่เปาจะไม่ถือสา คาดว่าบุคคลสำคัญมากมายที่อยู่ตรงนี้ก็จะไม่ถือสาสำนักของท่านเช่นกัน!” พูดจบก็ก้มหน้าขออภัยอีกครั้ง
เจ้าสำนักแซ่เปาท่านนั้นอึ้งกิมกี่ไปเลย
เหมียวอี้กระตุกมุมปาก นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนก็มีช่องทางของตัวเองเหมือนกัน ปะปนเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว สงสัยตัวเองจะสอนจระเข้ว่ายน้ำซะแล้ว!
แต่เจ้าจะโผล่มาตอนไหนก็ไม่โผล่ ดันมาโผล่ตอนนี้เนี่ยนะ? บอกว่าวันที่สิบเก้าไม่ใช่เหรอ? เหมียวอี้หมั่นไส้นิดหน่อย พบว่าเจ้าบ้าเยารั่วเซียนส่งปัญหาที่แก้ยากมาให้เขา ทั้งยังทำลายเรื่องดีๆ ของเขาด้วย!
อันที่จริงเยารั่วเซียนก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลุกลามถึงขั้นนี้ เขามีวิธีของตัวเองในการแฝงตัวเข้ามา แต่จู่ๆ กลับมีข่าวลือดังสะเทือนใต้หล้า เปิดโปงความจริงเรื่องการประลองใหญ่ของสำนักงามวิจิตรในปีนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำ นอกจากเจ้าคนขาดคุณธรรมเหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้อีก เขาเองก็รู้ว่าเหมียวอี้หวังดีกับเขา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ตอนที่เขามาที่นี่ ตอนกลางวันก็เจอเหมียวอี้แล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะเข้าไปคลุกคลี เขาเองก็เดาออกว่าเหมียวอี้อาจจะมาเพราะเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึงเลยก็คือ เรื่องราวที่กำลังลุกลามใหญ่โตอยู่ตอนนี้ เหมียวอี้ติดกับดักแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง!
จู่ๆ เยารั่วเซียนก็พบว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้จริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังไง ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจตอนนี้ ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
และสาเหตุที่ปรากฏตัวตอนนี้ ก็เพราะไม่อยากให้สำนักงามวิจิตรถูกทำลายเพราะตัวเอง ถึงแม้ครั้งนี้จะมาเพื่อล้างความอัปยศ แต่ถึงอย่างไรสำนักงามวิจิตรก็เป็นสถานที่ที่ชุบเลี้ยงเขามาจนโต ทั้งยังมีบุญคุณถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วย ถ้าหากไม่มีสำนักงามวิจิตร ก็ไม่มีเขาในตอนนี้เช่นกัน เขาแค่อยากล้างความอัปยศ ไม่ได้อยากทำลายสำนักงามวิจิตร
ส่วนจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่นั้น ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเขาเลย ตอนที่มาเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปอยู่แล้ว จึงนำตั๊กแตนรวมทั้งทรัพยากรฝึกตนทั้งหมดทิ้งไว้ที่ปราสาทดำเนินสุริยันของเหมียวอี้
เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะตีกันแล้ว แต่เพราะการปรากฏตัวของเยารั่วเซียน ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงทันที ความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่ตัวเขาหมดแล้ว
ซวบ! เงาคนคนหนึ่งถลันมาอยู่ตรงหน้าเยารั่วเซียน โม่หมิงเจ้าสำนักสำนักงามวิจิตรนั่นเอง เขามองเยารั่วเซียนด้วยแววตาสับสน เหมือนจะสังเกตเห็นว่าเยารั่วเซียนแก่ลงเยอะ ถามด้วยน้ำเสียงจนใจว่า “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้?”
เยารั่วเซียนมองเขา เหมือนกำลังอยู่ในอารมณ์ฮึกเหิม เพียงก้มหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร
โม่หมิงถามด้วยสีหน้าขื่นขมเศร้าโศก “เจ้ายังจะกลับมาทำไมอีก? ในเมื่อไปแล้ว ยังจะกลับมาอีกทำไม? หายตัวไปตั้งหลายปีขนาดนี้ จะโผล่มาอีกทำไม? ไม่ง่ายเลยกว่าจะอยู่รอดมาได้ ทำไมไม่ใช่ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี?” ถามเหมือนจะสื่อว่า ทำไมต้องถ่อมารนหาที่ตาย!
อารมณ์ที่ข่มอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเยารั่วเซียน ราวกับระเบิดออกมาในชั่วพริบตาเดียว เขาคำรามอย่างโกรธแค้นว่า “ไม่ยุติธรรม! ก็เพราะไม่ยุติธรรมไง! ไม่ว่าใครก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างขาดความยุติธรรมได้ แต่ไม่ใช่ท่าน! ท่านคือคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด! เหตุใดจึงทำเช่นนั้นกับข้า? ข้าทำอะไรผิดกันแน่? ข้าแค่อยากทวงถามความยุติธรรม!” ตอนพูดประโยคสุดท้าย เขากำหมัดและคำรามออกมาจนเสียงแทบแตก
โม่หมิงเหลือบมองผมที่หงอกขาวของเยารั่วเซียน ถอนหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องถามว่าเพราะอะไร จะทวงความยุติธรรมได้หรือไม่แล้วยังไงล่ะ? การได้มีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมดีกว่าสิ่งใดทั้งนั้น ทำไมไม่ปิดบังชื่อแซ่แล้วใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ ทำไมต้องมาที่นี่ ทำไมโง่เง่าขนาดนี้?”
ในขณะนี้เอง เงาคนคนหนึ่งแวบมาอยู่ข้างกายโม่หมิง เป็นเหมียวจวินอี๋นั่นเอง นางชี้เยารั่วเซียนพร้อมตะคอกว่า “ศิษย์อกตัญญู! บังอาจมาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่เหรอ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ในปีนั้นก็ไม่ควรใจดีปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปเลย แทนที่จะรู้จักตอบแทน กลับจะมาทำลายสำนัก นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพาลเกเร เด็กๆ! มาจับตัวศิษย์ทรยศคนนี้ไว้!”
ศิษย์สำนักงามวิจิตรหลายคนถลันตัวเข้ามาทันที แต่ใครจะคาดคิด โม่หมิงพลันตะคอกว่า “หลีกไปให้หมด!”
ศิษย์พวกนั้นชะงักงันอยู่บนฟ้า ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังใครดี สิ่งนี้ทำให้เหมียวจวินอี๋เดือดดาลทันที แต่คาดไม่ถึงว่าโม่หมิงจะคว้าข้อมือนางไว้ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “หลีกไป!”
เหมียวจวินอี๋ค่อยๆ หันหน้ามามองเขา “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกให้เจ้าหลีกไป!” โม่หมิงตะคอกเสียงดัง เหมือนจะระเบิดอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร!” เขากวาดสายตามองลูกศิษย์พวกนั้นอีก “ข้าให้พวกเจ้าหลีกไป ไม่ได้ยินรึไง?”
ศิษย์พวกนั้นหัวหดทันที ค่อยๆ เหาะกลับไปอย่างรู้สึกลำบากใจ
“เจ้า…” เหมียวจวินอี๋โกรธจนหน้าเขียว ยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ กลับได้ยินคนถ่ายทอดเสียงถามอย่างเย็นเยียบ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวจวินอี๋สีหน้าเปลี่ยนทันที ก้มหน้าถอยออกไปแต่โดยดี ถลันตัวกลับไปที่สำนักงามวิจิตร เข้าไปในหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นลอยที่กำลังเปิดอยู่
ในชั้นลอยนั้น เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนเอามือไขว้หลัง มองดูเหตุการณ์ข้างนอกผ่านหน้าต่างที่ฉลุลายดอกไม้ โดยมีฉินซียืนอยู่ข้างกาย
“ท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ก้าวขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “ศิษย์อกตัญญูนั่นน่าโมโหจริงๆ ข้า…”
เพียะ! เสียงดังฟังชัด เฟิงเป่ยเฉินหันมาตบหน้านางฉาดหนึ่ง แล้วก็เตะนางจนล้มไปนั่งอยู่บนพื้น ก่อนจะแสยะยิ้ม “นี่ไม่ใช่ผลงานที่เจ้าทำในปีนั้นหรอกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะคนโง่เง่าอย่างเจ้า จะเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้เหรอ? วันนี้ศิษย์พี่หญิงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างก็ยังไม่รู้ ทั้งยังทำให้ข้าเสียท่านทูตไปสี่คนอีก ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย เจ้ายังกล้าทำบุ่มบ่ามอีก หรือเห็นคำพูดข้าเป็นเพียงลมที่ผ่านหู? ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นศิษย์ทรยศ!”
เหมียวจวินอี๋นั่งเอามือกุมหน้าและก้มศีรษะอยู่บนพื้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฉินซีที่อยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หันกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อไป
เฟิงเป่ยเฉินพ่นเสียงทางจมูก เอามือไขว้หลังแล้วหันตัวมา มองดูเหตุการณ์นอกหน้าต่างต่อไป
ตอนนี้มีคนอีกคนถลันตัวมาอยู่ข้างกายโม่หมิงแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน โม่จวินหลันลูกสาวของเขานั่นเอง เฟิงเป่ยเฉินเห็นแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“หลันเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไร?” โม่หมิงตะคอก “หรือเจ้าก็ไม่เชื่อฟังคำพูดข้าเหมือนกัน?”
โม่จวินหลันไม่สนใจเขา จ้องแต่เยารั่วเซียน พลางถามด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ศิษย์พี่รอง! ข่าวลือข้างนอกมาจากท่านรึเปล่า เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
พอเยารั่วเซียนเห็นนางปรากฏตัว เห็นใบหน้างามที่คุ้นเคยของนาง เขาก็รู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหวอีก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงย่างรวดเร็ว อึกอักพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากมองโม่หมิงแวบหนึ่ง ในดวงตาก็ฉายแววเจ็บปวด จู่ๆ ก็กำหมัดทุบหน้าอกตัวเองเสียงดังตุ้บๆ พลางประกาศเสียงดังต่อหน้าทุกคน “ข่าวลือข้างนอกไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าไม่ใช่คนปล่อยข่าวด้วย แท้จริงแล้วมีคนต่ำทรามคอยชักใย มีคนคอยปั่นป่วนสถานการณ์ ข้ามาที่นี่เพราะอยากจะประลองอย่างสง่าผ่าเผยเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหมียวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ด่าในใจว่า ไอ้แก่เอ๊ย ข้าอุตส่าห์หวังดีช่วยเจ้า แต่กลับกลายเป็นคนต่ำทรามคอยชักใยไปแล้ว!
แต่การที่เยารั่วเซียนพูดแบบนี้ออกมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการลบล้างชื่นเสียงฉาวโฉ่ของสำนักงามวิจิตรต่อหน้าฝูงชน จะมีคำอธิบายใดที่มีน้ำหนักไปกว่าคำให้การที่เขาพูดเองกับปากในเวลานี้ล่ะ?
เฟิงเป่ยเฉินที่ดูสถานการณ์อยู่ในชั้นลอยพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาก้มมองเหมียวจวินอี๋ที่นั่งอยู่ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ดูออกเลย จื่อหยางคนนี้ยังรู้สึกสนใจหลันเอ๋อร์มาก พอหลันเอ๋อร์ปรากฏตัว เขาก็ยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมทุกอย่าง ดูเหมือนจะไม่สนใจว่าหลันเอ๋อร์แต่งงานแล้ว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความจริงใจ! ลูกเขยประเสริฐแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่กลับโดนเจ้าทิ้งไปเสียได้ จำคำของข้าเอาไว้นะ เรื่องนี้ควรค่าที่จะทำ การหาผู้ชายที่ดีต่อหลันเอ๋อร์จากใจจริงนั้นแย่ตรงไหนเหรอ? เป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง รูปร่างหน้าตาของผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลย มีความสามารถก็ย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้น!”
เหมียวจวินอี๋กัดริมฝีปากโดยไม่ตอบอะไร
ส่วนโม่หมิงที่อยู่ตรงหน้า ในใจกลับเหมือนโดนคลื่นโหมซัดใส่ ได้แต่มองดูลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งอย่างพูดไม่ออก การที่เยารั่วเซียนพูดคำนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน ในใจเขารู้ดีที่สุดว่าเยารั่วเซียนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมขนาดไหน เมื่อพูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนแล้ว ต่อไปก็ไม่มีโอกาสลบล้างความไม่เป็นธรรมอีก ถ้าพูดกลับไปกลับมาก็จะไม่มีใครเชื่อแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ ทำแบบนี้เท่ากับต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมไปทั้งชาติ!
โม่จวินหลันแค่มองตาเยารั่วเซียนเท่านั้น นางไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนจะอ่านอะไรออกจากความขื่นขมที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขา ดวงตานางไม่ได้ฉายแววดีใจเพราะคำตอบนี้ได้พิสูจน์อะไร แต่กลับเศร้าสลดผิดหวังด้วยซ้ำ
“หลันเอ๋อร์หลีกไป!” โม่หมิงหันหน้าไปสั่ง
หลังจากโม่จวินหลันหันตัวเหาะจากไปเงียบๆ โม่หมิงก็ถามเสียงดังว่า “ไป่ถิง! ศิษย์น้องจะมาประลองกับเจ้า เจ้ากล้ารับคำท้ามั้ย?”
ตอนที่ 907
เจดีย์งามวิจิตรเล็ก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายที่มีลักษณะสง่างามคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา เขาคือเซี่ยงไป่ถิงนั่นเอง เขากุมหมัดคารวะโม่หมิงด้วยความเคารพก่อน “ท่านอาจารย์!”
จากนั้นก็หันตัวมาหาเยารั่วเซียน ถามอย่างจนใจว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะประลองอย่างไร?” ดูมีกิริยาท่าทางงดงามกว่าเยารั่วเซียนเยอะเลย
ที่จริงถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสอง เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ก็ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาแล้ว เยารั่วเซียนไม่มีจุดไหนที่สามารถเทียบกับเซี่ยงไป่ถิงได้เลย ดูเหมือนอายุจะต่างกันไม่น้อยด้วย ที่จริงเซี่ยงไป่ถิงอายุมากกว่าเยารั่วเซียนตั้งเยอะ แต่ดูหล่อเหล่าอ่อนเยาว์และยังหนุ่มยังแน่นกว่า ส่วนเยารั่วเซียนกลับเป็นตาเฒ่าผมหงอกขาวแล้ว
สำหรับนักพรต อายุไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไร ที่สำคัญคือความต่างด้านวรยุทธ์ วรยุทธ์ของเซี่ยงไป่ถิงคือบงกชม่วงขั้นหนึ่ง ส่วนเยารั่วเซียนที่ต่างกับเขาแค่ขั้นเดียวในปีนั้น ตอนนี้กลับยังอยู่แค่ระดับบงกชแดงขั้นหก ต่างกันไม่ใช่น้อยๆ
ความน่าเศร้าเรื่องความแตกต่างนี้ มีเพียงเยารั่วเซียนที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ เซี่ยงไป่ถิงอยู่ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ไม่เคยขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนจากสำนักงามวิจิตร ส่วนตัวเขาในปีนั้นกลับใช้ชีวิตทุกข์ยาก หลบหนีซ่อนตัวไปทั่วสารทิศ สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ถือว่าไม่แย่แล้ว จะหาทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอมาจากไหนกัน
แต่พอได้มาอยู่กับเหมียวอี้ เขาก็ไม่ขาดทรัพยากรฝึกตนแล้ว ถึงได้มีวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหกเหมือนอย่างวันนี้ ไม่อย่างนั้นแค่บรรลุระดับบงกชแดงขั้นสามก็ยังยากเลย
เยารั่วเซียนตอบว่า “ได้ยินว่าสำนักงามวิจิตรใช้เวลาหลายปีเพื่อหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ข้าไปสืบมาแล้ว นั่นคือของวิเศษที่เกิดจากการรวมทักษะการหลอมหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพิภพเล็ก ในโลกนี้ยากจะหาของวิเศษใดมาเทียบเทียมได้ แต่ก็ยังมีจุดอ่อน เพราะคนที่ถือของวิเศษไม่สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจดีย์งามวิจิตรถูกทำลายพัง วันนี้ข้าชดเชยจุดอ่อนนั่นให้แล้ว ข้าอาศัยแรงของข้าคนเดียวเพื่อหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็กขึ้นมาหลังหนึ่ง วันนี้ตั้งใจจะมาแสดงฝีมืออันต่ำต้อย!”
เยารั่วเซียนพลิกฝ่ามือเผยเจดีย์วิเศษแก้วสีทองอร่ามชิ้นหนึ่งวางอยู่บนฝ่ามือ ลวดลายที่แกะสลักอยู่บนนั้นเรียกได้ว่าประณีตงดงามไร้ที่เปรียบ ให้ความรู้สึกเหมือนครอบจักรวาล อย่างน้อยเมื่อมองจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็สามารถข่มเจดีย์งามวิจิตรที่สำนักงามวิจิตรหลอมสร้างในปีนั้นได้แล้ว
เหมียวอี้ยิ้มมุมปาก เหมือนมองเห็นเงาของสำนักงามประณีตบนเจดีย์งามวิจิตรเล็กชิ้นนี้ ดูเหมือนว่าในหลายปีมานี้ การให้พวกตงกัวหลี่มาอยู่กับเยารั่วเซียนจะไม่สูญเปล่า
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เมื่อเผยของวิเศษชิ้นนี้ออกมา บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตรก็พากันทำสีหน้าสะดุ้งตกใจ เจดีย์งามวิจิตรเป็นของวิเศษที่ใช้ยอดฝีมือด้านการหลอมของวิเศษของสำนักงามวิจิตรไปตั้งเท่าไร ใช้สติปัญญาและกำลังตั้งกี่ปีเพื่อสร้างขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าเยารั่วเซียนจะบอกว่าเขาหลอมสร้างขึ้นมาด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว ที่สำคัญที่สุดก็คือ เยารั่วเซียนยังอยู่ในวรยุทธ์ระดับบงกชแดง จะไม่ให้บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตรสั่นสะเทือนได้อย่างไร?
โม่หมิงมองลูกศิษย์ที่ถูกขับไล่ด้วยแววตาเหลือเชื่อ ในฐานะที่เคยหลอมเจดีย์งามวิจิตรมาก่อน เขารู้สึกว่าคำพูดของเยารั่วเซียนอาจจะคุยโวโอ้อวดเกินไปหน่อย แต่เขารู้จักอุปนิสัยของลูกศิษย์คนนี้ดี ไม่เหมือนคนที่จะมาพูดโอ้อวดในโอกาสและสถานที่แบบนี้
บอกได้เพียงว่า ความตกตะลึงที่อยู่ในใจ ยากที่จะหาคำใดมาบรรยายได้!
เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางครุ่นคิด ในดวงตาฉายแววสงสัยประหลาดใจ จริงหรือล้อเล่น ตาแก่เยาหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรได้แล้วเหรอ? ทั้งยังเป็นเจดีย์งามวิจิตรที่ชดเชยจุดด้อยแล้วด้วย?
เขาคือคนที่เข้าไปในเจดีย์งามวิจิตร รับรู้ถึงอานุภาพของเจดีย์งามวิจิตรอย่างลึกซึ้ง นั่นคือของวิเศษที่แม้แต่นักพรตบงกชทองก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะสังเกตเห็นพิรุธและโชคดีขุดรูหนีออกมาได้ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ถ้าเยารั่วเซียนเติมเต็มช่องโหว่ของเจดีย์งามวิจิตรแล้วจริงๆ ของวิเศษชิ้นนี้จะไม่พลิกฟ้าหรอกเหรอ?
ใช้ของที่สำนักงามวิจิตรภาคภูมิใจที่สุดมาเอาชนะสำนักงามวิจิตร ช่างเป็นวิธีการล้างความอัปยศที่ดีจริงๆ!
แต่ในใจเหมียวอี้แทบจะด่าแม่ ถ้าเยารั่วเซียนสามารถหลอมของวิเศษแบบนั้นได้จริงๆ แต่นำมาประลองของวิเศษบ้าบออะไรนี่แทนที่จะให้เหมียวอี้ลองใช้ก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาต้องด่าบรรพบุรุษของเยารั่วเซียนไปสิบแปดรุ่นแน่ๆ ข้าใช้ทรัพยากรเลี้ยงเจ้าไปตั้งเยอะนะโว้ย!
เขาแน่ใจได้เลย ว่าวัตถุดิบที่เยารั่วเซียนใช้หลอมของวิเศษชิ้นนี้มาจากเขา โดยเฉพาะเปลือกหุ้มของเจดีย์วิเศษ ชัดเจนว่าหลอมสร้างจากทองผลึกบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ผลิตมาจากตั๊กแตนพวกนั้นแน่นอน
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่หลังหน้าต่างชั้นลอยก็ตาลุกวาวเช่นกัน หลังจากหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรแล้ว เขาเองก็เคยเข้าไปทดสอบในเจดีย์งามวิจิตรเช่นกัน และรับรู้ถึงอานุภาพของมันอย่างลึกซึ้ง สรุปก็คือต่อให้อาศัยความสามารถของเขาก็ยังไม่มีทางหลุดออกจากเจดีย์งามวิจิตรได้เลย ทุกวันนี้สำนักงามวิจิตรรวมทั้งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเจดีย์งามวิจิตรถูกทำให้พังได้อย่างไร
ถ้าท่านจื่อหยางสามารถเติมเต็มช่องโหว่ของเจดีย์งามวิจิตรได้จริงๆ… หัวใจของเฟิงเป่ยเฉินร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ดวงตาฉายแววเป็นประกาย ค่อนข้างตั้งตารอ!
คนที่ตั้งตารอมีอยู่ไม่น้อย แต่ละคนจับจ้องเจดีย์วิเศษที่อยู่บนฝ่ามือของเยารั่วเซียน!
เซี่ยงไป่ถิงที่จ้องเจดีย์วิเศษด้วยแววตาเหลือเชื่อค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ถ้าอีกฝ่ายสามารถหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรด้วยตัวคนเดียวจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องประลองแล้ว เขายอมรับเลยว่าตัวเองทำไม่ได้ ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียเลยดีกว่า
แต่เขาไม่เชื่อ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ว่า “ศิษย์น้อง อย่าหาว่าข้าพูดจาไม่น่าฟังเลยนะ เจดีย์งามวิจิตรเป็นผลงานที่อาจารย์หลายท่านทุ่มกำลังและสติปัญญาเป็นเวลาหลายปี ที่เจ้าบอกว่าเจ้าหลอมสร้างขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว ข้าไม่เชื่อหรอก! เพราะวรยุทธ์ของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ คนที่หลอมของวิเศษเป็นเขารู้กันทั้งนั้น บางครั้งถ้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ก็จะควบคุมของบางอย่างไม่ได้!”
“เซี่ยงไป่ถิง ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิดหรอก ข้ามีข้อจำกัดด้านวรยุทธ์ ไม่มีทางหลอมสร้างของวิเศษที่เหมือนกับเจดีย์งามวิจิตรทุกกระเบียดนิ้วได้ เจดีย์งามวิจิตรมีความจุกว้างใหญ่ขนาดนั้น แค่เรื่องกำลังทรัพย์อย่างเดียวข้าก็รับไม่ไหวแล้ว แต่สำหรับคนที่หลอมของวิเศษอย่างพวกเรา มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาด แต่ขึ้นอยู่กับฝีมือการหลอมต่างหาก ของชิ้นไหนที่วรยุทธ์ยังไม่สูงพอ รอให้วรยุทธ์สูงพอก็ย่อมชดเชยข้อเสียได้แล้ว! พื้นที่ว่างและจำนวนของที่อยู่ในเจดีย์งามวิจิตรเล็กของข้าเทียบกับเจดีย์งามวิจิตรไม่ติดเลย เพราะข้ามีข้อจำกัดด้านวรยุทธ์ บุกเบิกพื้นที่ให้กว้างกว่านี้ไม่ได้ และไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะทำของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นด้วย ข้าถึงได้เรียกว่าเจดีย์งามวิจิตรเล็กไง!” เยารั่วเซียนตอบ
พูดจบแล้วก็สะบัดมือ เจดีย์งามวิจิตรเล็กบินขึ้นไปเปล่งแสงสีแดงอยู่บนฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเจดีย์วิเศษเจ็ดชั้นสูงประมาณหนึ่งจั้ง ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้ว
ตอนนี้ทุกคนถึงได้พบว่ามันคือของวิเศษขั้นสาม หรือพูดได้อีกอย่างว่าอานุภาพไม่ได้เยอะสักเท่าไร ทว่าตัวเจดีย์ที่สูงหนึ่งจั้งก็ยังทำให้คนส่วนใหญ่เดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุด แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสร้างจากทองผลึกบริสุทธิ์ทั้งหมด ทองผลึกที่มีความบริสุทธิ์สูงขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาได้
เยารั่วเซียนย้ายสายตาออกจากตัวเซี่ยงไป่ถิง แล้วมองไปทางสำนักงามวิจิตร “คนที่คุ้นเคยกับเจดีย์งามวิจิตรสามารถเข้าไปทดสอบได้ พิสูจน์ได้ว่าข้าพูดจริงหรือโกหก!”
คนที่คุ้นเคยกับเจดีย์งามวิจิตรก็ย่อมเป็นคนของสำนักงามวิจิตรอยู่แล้ว พูดแบบนี้เท่ากับเป็นการเชิญให้คนของสำนักงามวิจิตรมาทดสอบสินค้า
“ข้าไปเอง!” ใครจะคิดว่าคนที่เสนอตัวคนแรกจะเป็นโม่หมิง พูดจบก็เหาะไปที่เจดีย์วิเศษเลย
“ข้าด้วย!” เสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ผู้อาวุโสหลายท่านของสำนักงามวิจิตรระงับอารมณ์ไม่ไหว เหาะออกไปด้วยกัน
สุดท้ายแม้แต่เซี่ยงไป่ถิงก็ยังต้องแข็งใจพุ่งตัวเข้าไป ถึงแม้เขาจะกังวลนิดหน่อยว่าอาจจะโดนลอบทำร้ายลับหลัง แต่เขาคือคนที่โดนท้าสู้ แม้แต่พวกอาจารย์ก็ไปกันหมดแล้ว เขาจะมัวชักช้าอยู่ได้อย่างไร
ใต้ฐานเจดีย์เปิดอุโมงค์มืดไว้ช่องหนึ่ง มันทะยานขึ้นครอบกลางอากาศ เก็บคนพวกนั้นเข้าไปโดยตรง
เหมียวอี้เห็นแล้วแอบส่ายหน้า อาศัยแค่จุดนี้ก็ต่างกับเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงแล้ว เจดีย์งามวิจิตรตัวจริงเก็บคนได้รวดเร็วสุดๆ ขนาดนักพรตระดับบงกชทองอย่างเลี่ยหวนยังหนีลำบาก ด้วยความเร็วเล็กน้อยแบบนี้ ถ้าอยากจะเก็บคนเข้าไปในเจดีย์ก็เกรงว่าจะยาก อย่างมากก็ใช้รับมือกับนักพรตที่ระดับไม่เกินบงกชม่วงได้ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะมันเป็นแค่ของวิเศษขั้นสามด้วย
พอคนจำนวนหนึ่งเข้าไปในเจดีย์ เยารั่วเซียนก็โบกมือร่ายวิชาทันที ทำให้หลังคาของเจดีย์งามวิจิตรเล็กพลันเปล่งแสงสีขาว คายสิ่งของที่เหมือนกับลูกแก้วใสออกมาลูกหนึ่ง คายออกมาวางอยู่บนยอดเจดีย์ ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ สภาพภายในเจดีย์ปรากฏเป็นภาพให้เห็นบนลูกแก้วใส ทำให้ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน เห็นโลกอีกใบที่อยู่ในเจดีย์ เห็นพวกโม่หมิงที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในเจดีย์ แม้แต่เสียงพูดคุยกันก็ได้ยินออกมาถึงข้างนอก
แค่ฉากนี้ก็ทำให้เหมียวอี้แอบตกใจแล้ว ถ้าเจดีย์งามวิจิตรในปีนั้นมีความสามารถนี้ เขากับเลี่ยหวนก็คงไม่มีทางฉวยโอกาสขุดรูออกมาได้หรอก เพราะอีกฝ่ายสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของลักษณะพื้นดินได้ตลอดวลา เพื่อไม่ให้เจ้าสามารถขุดรูออกมาได้
คนที่ร่วมหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรไม่ได้เข้าไปทั้งหมด คนข้างนอกที่ได้เห็นภาพนี้พากันสีหน้าเปลี่ยน นี่คือช่องโหว่ที่พวกเขาอยากจะเติมเต็มในตอนนั้น แต่จนใจเพราะไม่เคยคิดหาวิธีได้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเยารั่วเซียนทำได้อย่างไร
ท่ามกลางสายตาฝูงชน คนในเจดีย์เริ่มแยกย้ายกันเหาะเหิน เยารั่วเซียนที่เห็นสภาพข้างในชัดเจนโบกแขนเสื้อติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดเจดีย์วิเศษก็เริ่มหมุนวนแล้ว เจดีย์วิเศษทั้งเจ็ดชั้น มีทั้งหมุนตามเข็มนาฬิกา มีทั้งหมุนทวนเข็มนาฬิกา หมุนเร็วมากจนเกิดเสียงดังหึ่งๆ
ที่จริงพื้นที่ว่างในเจดีย์ก็ไม่ได้ใหญ่โต มีรัศมีเพียงหนึ่งพันเมตรเท่านั้น ภูเขาเล็ก ทะเลสาบเล็ก ป่าผืนเล็ก แม้จะเล็กแต่มีทุกอย่างครบครัน สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพได้ต่างๆ นาๆ ภูเขาเดี๋ยวก็จมเดี๋ยวก็นูน ป่าไม้เดี๋ยวก็โดนฝังเดี๋ยวก็งอกใหม่ ทะเลสาบเดี๋ยวก็แห้งเดี๋ยวก็เอ่อท่วม เดี๋ยวก็มีฝนตก เดี๋ยวก็มีหิมะตก… เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อันจำกัด คนที่ดูอยู่ข้างนอกพากันเหม่อลอย
คนที่ไม่เข้าใจอาจจะยังมองอะไรไม่ออก แต่สิ่งที่เยารั่วเซียนอยากจะแสดงให้สำนักงามวิจิตรเห็น ก็คือฝีมือในการหลอมของวิเศษของเขา พิสูจน์ว่าฝีมือของเขาสามารหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรได้ คนบางกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้ จะมองเข้าใจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
เหมียวอี้ก็เป็นคนนอกวงการเช่นกัน เขาหลอมของวิเศษไม่เป็น แต่เขาเคยเข้าไปในเจดีย์งามวิจิตรมาก่อน แค่เห็นสภาพการณ์แบบนี้ก็เข้าใจทันที ถ้าให้เยารั่วเซียนมีวรยุทธ์ที่สูงพอ มีทรัพยากรมากพอ หลอมสร้างพื้นที่ว่างได้ใหญ่มากพอ เจดีย์งามวิจิตรที่มีภาพมายาทำให้คนสับสนงุนงง เยารั่วเซียนก็ทำได้เช่นกัน
พื้นที่ในเจดีย์วิเศษมีจำกัดจริงๆ ตรงจุดไกลๆ ที่มีหมอกหนาคงจะเป็นจุดสิ้นสุด คนในเจดีย์เหาะอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วสูง บินไปยังจุดสิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงของพื้นดินข้างล่างเหมือนจะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาข้ามน้ำข้ามภูเขามานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ในสายตาของคนที่อยู่ข้างนอก เหมือนพวกเขาจะยังอยู่ที่เดิม
เมื่อดูไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นคนที่ไม่เข้าใจ แต่ก็เริ่มมองเห็นเงื่อนงำแล้วเช่นกัน มองออกถึงความยอดเยี่ยมหากของวิเศษชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีเสียงตื่นตะลึงดังขึ้นแล้ว
กลุ่มคนในเจดีย์สีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย รู้ว่าถ้าทำแบบนี้จะไม่มีวันหาจุดสิ้นสุดเจอ โม่หมิงเรียกให้ทุกคนเหาะลงมาบนพื้น แล้วจู่ๆ ก็ลงมือโจมตี ทำให้ที่ผิวดินมีมนุษย์ดินกระโดดออกมาต่อต้านตัวแล้วตัวเล่า ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด! เจดีย์งามวิจิตรหลังนี้เหมือนจะมีพลังที่ไม่สิ้นสุด
คนที่ดูการต่อสู้อยู่ด้านนอกส่งเสียงร้องตกใจอีกครั้ง ตกตะลึงพรึงเพริดมาก!
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาพบว่าในเจดีย์งามวิจิตรสั่นสะเทือนเล็กน้อย จึงเข้าใจทันที ถึงอย่างไรที่ก็เป็นแค่ของวิเศษขั้นสาม พวกโม่หมิงวรยุทธ์สูงเกินไป เจดีย์วิเศษหลังนี้พยุงได้ไม่นานเท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะโครงสร้างหลักของมันเป็นทองผลึกที่มีความบริสุทธิ์สูง เกรงว่าคงจะทนไม่ไหวและพังไปแล้ว
แต่ไม่ว่าใครก็ดูออก อาศัยแค่ของวิเศษขั้นสามชิ้นเดียวก็สามารถขังนักพรตหลายคนได้นานขนาดนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่หายากมากแล้ว แค่นี้ก็เป็นของที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นแล้ว ถึงแม้จะมีบางคนเคยเห็นเจดีย์งามวิจิตรมาก่อน แต่ก็เพิ่งเข้าใจว่าภายในของเจดีย์งามวิจิตรในตอนนั้นเป็นอย่างไรหลังจากได้เห็นภาพที่แสดงบนลูกแก้วใส
อวิ๋นเป้ากับตัวแทนจากแดนอื่นๆ ดูจนเหงื่อแตกเต็มหลัง สิ่งที่สำนักงามวิจิตรทำออกมาในปีนั้นคือของวิเศษขั้นสี่ และอานุภาพก็เหนือกว่าเจดีย์หลังเล็กนี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า แค่ของวิเศษขั้นสามเล็กๆ ชิ้นเดียวก็ขังนักพรตบงกชม่วงได้เป็นกลุ่ม ในปีนั้นที่เฟิงเป่ยเฉินตั้งใจให้ยอดฝีมือจากแดนต่างๆ มาทดสอบเจดีย์งามวิจิตร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร ชัดเจนว่าจะเอาไว้สู้กับอีกห้าปราชญ์
โชคดีที่ตอนนั้นแผนพังเสียก่อน แต่เยารั่วเซียนก็พูดไว้ชัดเจนมากแล้ว ว่าเขามีวิธีเติมเต็มช่องโหว่ของเจดีย์งามวิจิตร ถ้ามีเจดีย์งามวิจิตรที่ไร้ช่องโหว่โผล่ออกมาจริงๆ แบบนั้นจะไม่แย่หรอกเหรอ!
เหมียวอี้เริ่มรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว ถ้าเยารั่วเซียนทำแบบนี้ต่อไป บางทีอาจจะล้างความอัปยศได้ อาจจะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเก่งกว่าเซี่ยงไป่ถิง อาจจะพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สืบทอดสำนัก อาจจะพิสูจน์ว่าเจ้ามีคุณสมบัติจะแต่งงานกับลูกสาวเจ้าสำนัก แต่นี่ก็เท่ากับตัดหนทางรอดชีวิตเช่นกัน หกปราชญ์ไม่ยอมให้เจ้าตกอยู่ในมือคนอื่นแน่ มารดาเจ้าเถอะ แล้วจะให้ข้าช่วยเจ้ายังไงล่ะ…
หลังจากแสดงอานุภาพในเจดีย์งามวิจิตรเล็กทีละอย่าง ที่หน้าผากเยารั่วเซียนก็มีเม็ดเหงื่อผุดเยอะมาก ถึงแม้จะเป็นของวิเศษขั้นสาม แต่ด้วยวรยุทธ์อย่างเขา เวลาควบคุมก็ลำบากเหมือนกัน ไม่สามารถทำต่อเนื่องได้นานเกินไป
ก็เหมือนกับเจดีย์งามวิจิตรในปีนั้น ถึงแม้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ แต่เจ้าสำนักโม่หมิงไม่มีทางควบคุมมันได้เลย ยังต้องอาศัยแรงฮูหยินเหมียวจวินอี๋ซึ่งมีวรยุทธ์บงกชทองให้ลงมือควบคุมให้
ตอนที่ 908
จะแสดงบทบู๊แล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความสามารถที่ควรแสดงก็แสดงออกมาหมดแล้ว ถ้ายืนหยัดทนต่อไปก็ไม่มีความหมาย เยารั่วเซียนโบกมือปล่อยลำแสงเล็กๆ ออกมาสายหนึ่ง ทำให้เจดีย์งามวิจิตรเล็กหยุดหมุนทันที
มนุษย์ดินที่กำลังสู้กับพวกโม่หมิงในเจดีย์พังทลายลงทันที ทลายลงบนพื้นดิน เรียกได้ว่าฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน
ขณะเดียวกันนี้เอง จู่ๆ บนฟ้าก็ปรากฏหลุมดำหมุนวน พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนเป็นคนในวงการนี้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เหาะขึ้นไปโดยมีโม่หมิงเป็นคนนำ ทยอยกันเข้าไปในหลุมดำนั่น
ผ่านไปครู่เดียว คนที่โดนขังอยู่ในเจดีย์ก็ทยอยกันออกมาคนแล้วคนเล่า มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนอีกครั้ง
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว โม่หมิงเหาะออกมาลอยนิ่งๆ อยู่บนฟ้า แล้วมองไปทางเยารั่วเซียนที่กำลังร่ายวิชาอยู่ท่ามกลางแสงแห่งรุ่งอรุณ เขาทำสีหน้าสับสน เห็นเพียงเยารั่วเซียนโบกมือ จากนั้นเจดีย์งามวิจิตรเล็กก็พลันหดเล็กลง ตกลงมาอยู่บนฝ่ามือของเยารั่วเซียนอีกครั้ง
เยารั่วเซียนถามว่า “ทุกท่านอยู่ในวงการนี้เหมือนกันทั้งนั้น ถึงแม้อานุภาพของเจดีย์หลังนี้จะเทียบกับเจดีย์งามวิจิตรที่พวกท่านหลอมสร้างไม่ได้ แต่พวกท่านก็คงจะดูออก ว่าในด้านการใช้งานไม่ได้ด้อยกว่าเจดีย์งามวิจิตรของพวกท่านเลย เซี่ยงไป่ถิง เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร?”
เซี่ยงไป่ถิงตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ศิษย์น้อง นี่ไม่ใช่ของวิเศษที่คนคนเดียวสามารถหลอมสร้างออกมาได้ ต่อให้เป็นเจดีย์งามวิจิตรขนาดเล็ก แต่วัตถุดิบสิ้นเปลืองที่อยู่ในนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะรับไหว ต้องมีคนช่วยเจ้าแน่นอน”
“วัตถุดิบสิ้นเปลืองจะมาจากไหนก็ไม่สำคัญ!” เยารั่วเซียนยกฝ่ามือรองเจดีย์วิเศษขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเองคนเดียว ก็ไม่เป็นไรหรอก! เจดีย์งามวิจิตรคือของวิเศษที่รวมทักษะการหลอมแบบต่างๆ เอาไว้ด้วยกัน ทักษะการหลอมของใครสูงกว่า ทักษะใครรอบด้านกว่า พวกเรามาประลองกันเดี๋ยวก็รู้เอง! ใช้วัตถุดิบแบบเดียวกัน ใช้เวลาที่กำหนดเหมือนกัน แล้วมาดูว่าใครจะสามารถหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้ ให้สหายในวงการหลอมของวิเศษทั้งใต้หล้าตัดสินแพ้ชนะ!”
นี่เป็นการตบหน้า! ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าสามารถหลอมสร้างออกมาได้ ข้าก็จะไม่แก้ตัว พวกเรามาประลองต่อหน้าฝูงชนเลยดีกว่า ดูว่าเจ้ากับข้าใครจะทำได้! คนในวงการอาชีพหลอมของวิเศษกำลังแอบกระซิบกระซาบกัน สามารถอาศัยวรยุทธ์บงกชแดงหลอมสร้างของวิเศษแบบนี้ออกมาได้ ช่างเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในวงการหลอมของวิเศษจริงๆ ตอนนี้กำลังดูว่าเซี่ยงไป่ถิงจะกล้ารับคำท้าหรือไม่
มีเพียงเหมียวอี้ที่รู้ดีที่สุดว่าหลายปีมานี้เยารั่วเซียนใช้ชีวิตอย่างไร ทุกครั้งที่ไปหา ส่วนใหญ่ก็จะเห็นเยารั่วเซียนกำลังขีดเขียนวาดภาพประหลาดบางอย่าง กำลังครุ่นคิดพิจารณา กำลังศึกษาค้นคว้าทักษะการหลอมของวิเศษไม่หยุด ไม่เคยสนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง ทำไปเพื่อนล้างความอัปยศในวันนี้เท่านั้น!
และการที่เยารั่วเซียนพูดแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความมั่นใจ บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตร คนของสำนักงามวิจิตรที่ร่วมหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร เรียกได้ว่าพากันตกตะลึงมาก ของวิเศษที่ทุกคนต้องร่วมมือกันถึงจะหลอมสร้างสำเร็จ แต่เขาจะทำมันด้วยตัวคนเดียวต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ?
ถ้าปล่อยให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างสำเร็จต่อหน้าฝูงชน ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงบารมีของทั้งสำนักงามวิจิตรน่ะสิ!
คนทั้งสำนักงามวิจิตรรู้ดีอยู่แก่ใจ อาศัยความสามารถของเซี่ยงไป่ถิง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรได้ อย่าว่าแต่เซี่ยงไป่ถิงเลย ทั้งสำนักงามวิจิตรก็ไม่มีใครทำได้เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเจดีย์งามวิจิตรที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติด้วย ต่อให้ทั้งสำนักงามวิจิตรร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะหลอมสร้างออกมาได้ เพราะไม่รู้วิธีการ!
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องยิ่งสะเทือนใจ การหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรในปีนั้น เพราะทุกคนร่วมมือกันถึงได้ทำสำเร็จ ทำคนเดียวไม่ไหว ดังนั้นหากคนบางคนหรือคนบางส่วนอยากจะเปิดเผยวิธีการหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร ก็ไม่มีทางเปิดเผยได้ นอกเสียจากทุกคนจะเปิดเผยพร้อมๆ กันทีเดียว
แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ความหมายว่าจื่อหยางแค่ได้ยินข่าวลือของเจดีย์งามวิจิตร ก็สามารถค้นคว้าวิธีการหลอมสร้างได้แล้ว ทั้งยังเติมเต็มช่องโหว่ของเจดีย์งามวิจิตรแล้วด้วย พรสวรรค์แบบนี้ทำให้คนทึ่งจนพูดไม่ออก!
บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ในใจของทุกคนรู้สึกอย่างไร รู้เพียงว่าในปีนั้นสำนักงามวิจิตรได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงคนหนึ่งไปแล้ว ตอนนี้ลองมาคิดดูสิ เสียดายหรือไม่เสียดาย?
ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาทวงถามความเป็นธรรมแล้ว…
หลังจากเหตุการณ์ตรงนั้นเงียบลง เยารั่วเซียนก็จ้องเซี่ยงไป่ถิงพร้อมถามว่า “ทำไมล่ะ? ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักงามวิจิตรผู้สง่าผ่าเผย ไม่กล้ารับคำท้าจากลูกศิษย์ที่โดนทอดทิ้งรึไง?”
เซี่ยงไป่ถิงเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้า ตอบเสียงเข้มว่า “ข้ายอมรับว่าข้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรไม่ได้ ถ้าเจ้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรต่อหน้าฝูงชนได้ ข้าก็จะยอมแพ้!” ไม่ง่ายเลยที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ เขาโดนกดดันจนถึงที่สุดแล้ว
“ดี!” เยารั่วเซียนขานรับ เอามือยันเจดีย์วิเศษไว้ แล้วบอกว่า “บนตัวข้ามีวัตถุดิบหลอมของวิเศษไม่พอ ข้าจะทำลายเจดีย์วิเศษหลังนี้ต่อหน้าทุกคน แล้วนำวัตถุดิบมาหลอมสร้างใหม่ หลอมสร้างใหม่อยู่ที่นี่ต่อหน้าทุกคน ให้ทุกคนคอยจับตาดู เจ้าตกลงมั้ย?”
ไม่มีอะไรต้องคัดค้าน เซี่ยงไป่ถิงพยักหน้า “ตกลง!”
“อย่าตอบตกลงเร็วเกินไปแล้ว ข้ามีเงื่อนไขมาเสนอ!” เยารั่วเซียนกล่าว “ถ้าข้าหลอมสร้างสำเร็จ เจ้าก็ต้องออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดสำนักงามวิจิตร เพราะเจ้าไม่คู่ควร แล้วต้องออกจากสำนักงามวิจิตรไปด้วย!”
เหมียวอี้แอบขำในใจ ยังนึกว่าตาแก่นี่จะไม่เสนอเงื่อนไขอะไรเสียแล้ว ลงทุนถ่อมาถึงที่นี่ คงจะอยากล้างแค้นสักหน่อยนั่นแหละ
หารู้ไม่ว่าเยารั่วเซียนไม่ได้มีเจตนาจะล้างแค้นเลย แต่เขามีความผูกพันกับสำนักงามวิจิตร รู้สึกจากใจจริงว่าคุณสมบัติอย่างเซี่ยงไป่ถิงไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร
บางคนก็มองในแง่ดี บางคนก็มองในแง่ลบ นานาจิตตัง คนไม่เหมือนกัน ย่อมมองเรื่องเดียวกันด้วยทัศนะที่ต่างกันอยู่แล้ว วิธีคิดที่มีต่อเรื่องต่างๆ มักแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
“ข้ารับปาก!” เซี่ยงไป่ถิงกล่าวเสียงเข้ม “แล้วถ้าเจ้าหลอมสร้างไม่สำเร็จล่ะ?”
“ถ้าข้าหลอมสร้างไม่สำเร็จ ข้าจะปลิดชีพตัวเองเพื่อรับโทษ มอบชีวิตของข้าให้เจ้า!” เยารั่วเซียนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เซี่ยงไป่ถิงถอนหายใจ “ศิษย์น้อง ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก และไม่ได้ต้องชีวิตเจ้าด้วย เจ้าแค่ต้องให้เวลาก็พอ… ข้าคงมาเฝ้าเจ้าหลอมสร้างซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้เรื่อยๆ ไม่ได้ เจ้ากำหนดเวลาให้ตัวเองก็แล้วกัน ข้าไม่ฝืนใจเจ้าหรอก!”
นี่ก็คือจุดที่เฉลียวฉลาดของเขา เขาก็อยากจะลองเชิดหน้าชูตาตัวเองอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้อย่างไร ถ้าใช้วิธีการบีบบังคับก็มีแต่จะเสียหน้า! ตอนนี้ต้องให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างไปคนเดียว เขาถึงจะมีโอกาสชนะ ขอเพียงเยารั่วเซียนหลอมสร้างไม่สำเร็จ ต่อให้แค่ทำพลาดก็ตาม นั่นก็แปลว่าเขาชนะแล้วเหมือนกัน มีโอกาสชนะย่อมดีกว่าไม่มีโอกาสชนะอยู่แล้ว
แล้วอีกอย่าง ถ้าเยารั่วเซียนแพ้แล้วเขาจะเอาชีวิตของเยารั่วเซียน เขาก็จะดูไร้น้ำใจไร้เหตุผลในสายตาคนอื่น การเอาชีวิตของเยารั่วเซียนไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา ถ้าจะทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ และที่บอกว่าไม่อยากเอาเปรียบ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่อย่างเขาใจกว้าง
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ด่าในใจว่า ไอ้เจ้าเล่ห์!
แต่จากมุมมองของเหมียวอี้ ถ้าลบอคติส่วนตัวทิ้งไป อาศัยแค่คำพูดเมื่อครู่นี้ของเซี่ยงไป่ถิง เขารู้สึกว่าคนอย่างเซี่ยงไป่ถิงเหมาะสมจะเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรมากกว่า ส่วนเยารั่วเซียนก็เหมาะกับการค้นคว้าวิธีการหลอมของวิเศษมากกว่า สำหรับเหมียวอี้แล้ว ควรจะจับคนที่มีประโยชน์ไปวางไว้ในจุดที่ใช้ประโยชน์ได้ ถ้าให้คนนิสัยอย่างเยารั่วเซียนไปเป็นเจ้าสำนัก กลับจะสร้างความวุ่นวายให้สำนักงามวิจิตรด้วยซ้ำ
“หนึ่งร้อยวัน!” เยารั่วเซียนเอ่ยตอบคำเดียว
หนึ่งร้อยวันเหรอ? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ เจ้าอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่งร้อยวัน แบบนั้นโอกาสที่จะเกิดปัญหาก็ยิ่งสูงน่ะสิ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีวิธีอะไรทีทำให้เจ้าพลาดก็ได้ เซี่ยงไป่ถิงคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ นะ!
“ได้!” เซี่ยงไป่ถิงยื่นมือ “ศิษย์น้องเชิญตามสะดวก!” จากนั้นก็หันตัวไปกุมหมัดคารวะโม่หมิง “ศิษย์ละอายใจยิ่งนัก!”
ส่วนเยารั่วเซียนก็เหาะลงไปที่พื้นทันที เหาะลงไปอยู่บนพื้นราบด้านล่าง ควักลูกแก้วพลังปรารถนากำหนึ่งมาไว้ในมือ นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์
ตัวแทนของหกแดนแต่ละคนเริ่มตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่าเกิดความคิดอะไรขึ้นมา
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ลางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล ตาเป็นประกายวูบไหวเล็กน้อย แล้วเหาะออกจากกลุ่มคนไปเงียบๆ กลับไปยังที่พักของนภาจอมมาร แล้วกำชับให้ท่านทูตของแดนมารที่เฝ้าอยู่พาฉินเวยเวยออกไปก่อน
ฉินเวยเวยไม่ได้คัดค้านอะไร นางรู้ว่าถ้าตัวเองอยู่ที่นี่ต่อไป ก็อาจจะกลายเป็นภาระของเหมียวอี้ได้
กลับเป็นท่านทูตของแดนมารที่ไปถามความเห็นของอวิ๋นเป้าก่อน อวิ๋นเป้าพยักหน้าเล็กน้อย เท่ากับอนุญาตแล้ว เข้าถึงได้กลับมา แล้วพาฉินเวยเวยจากไปเงียบๆ
ส่วนเหมียวอี้ก็รีบถอดหน้ากากบนใบหน้าออก กลับมาใส่เสื้อผ้าตัวเดิม นำมีดสั้นออกมาทิ่มแทงบนแขนจนเกิดแผลเล็กๆ ถูเลือดมาป้ายที่มุมปากสองสามที แล้วก็รีบดึงผมตัวเองให้ยุ่งเหยิง ฉีกเสื้อผ้าให้ขาด จากนั้นรีบกลิ่งบนพื้น ทำให้ตัวเองมีสภาพสะบักสะบอมเหมือนประสบเหตุร้ายมา
พอเห็นเขาทำแบบนี้ ท่านทูตแดนมารอีกคนที่เฝ้าอยู่ก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านเขยเหมียว ทำอะไรของท่านน่ะ?”
เหมียวอี้กระโดดพรวดขึ้นมาจากพื้น แล้วมองดูตัวเองอย่างรู้สึกพอใจ เสร็จแล้วถึงได้ตอบว่า “เตรียมตัวให้พร้อม จะแสดงบทบู๊แล้ว!” พูดจบก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในชั้นลอย เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างลายฉลุดอกไม้ เขาเอียงหน้ามามองฉินซีที่อยู่ข้างๆ “ข้าว่าไม่ต้องประลองแล้วล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านจื่อหยางมีความสามารถที่จะหลอมสร้างออกมาได้ ฮูหยินคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่เข้าใจค่ะ” ฉินซีตอบอย่างเย็นชา
เจอกับความน่าเบื่ออีกแล้ว แต่เฟิงเป่ยเฉินก็ชินแล้วที่นางเป็นแบบนี้ หันไปหาเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ข้างหลังอีก “จวินอี๋ เรื่องประลองไม่ต้องรีบหรอก ควบคุมจื่อหยางนั่นมาไว้ในมือพวกเราให้ได้ก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้ไม่มีใครแอบวางแผนชั่วกับเขา ไปจัดการ!”
ผ่านไปครู่เดียว เหมียวจวินอี๋ก็โผล่มาอีกครั้ง จ้องเยารั่วเซียนที่อยู่ข้างล่างพร้อมบอกว่า “จื่อหยาง ชะลอเรื่องประลองไว้ก่อนแล้วกัน เจ้าไปปรึกษารายละเอียดกับศิษย์พี่ของเจ้าก่อน ตรงนี้มีความแค้นอีกเรื่องที่ต้องจัดการ! ไป่ถิง พาศิษย์น้องของเจ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ!” เซี่ยงไป่ถิงสงสัยในใจ แต่ก็ยังเอ่ยรับและเข้ามา
“ช้าก่อน” อวิ๋นเป้าพลันตะคอกห้าม “เดิมทีท่านจื่อหยางก็ถูกสำนักงามวิจิตรของพวกเจ้าไล่ออกมาแล้ว ถ้าให้เขาไปกับพวกเจ้า ใครจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะเล่นไม่ซื่ออะไรกับเขารึเปล่า แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับการประลอง! ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเจ้ากับแดนเซียนจัดการเรื่องความแค้นกันต่อไปเถอะ ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ไม่สู้ยืนอยู่ข้างๆ คอยเป็นคนกลางดีกว่า ให้ท่านจื่อหยางมาอยู่กับฝ่ายข้าก่อน ข้ารับร้องว่าจะรักษาความปลอดภัยให้เขา!” ขณะที่พูดก็ตบหน้าอกเสียงดัง รับประกันอย่างหนักแน่นดุจเหล็กกล้า
“อวิ๋นเป้า พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ ทำไมบอกว่าความแค้นของแดนเซียนไม่เกี่ยวกับเจ้าล่ะ เขยของนภาจอมมารเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนเถอะ!” อวี้หนูเจียวยืนขึ้น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ท่านจื่อหยาง ข้าเป็นคนกลางถึงจะเหมาะที่สุด”
ฝาไห่ถลันตัวออกมา “อวี้หนูเจียว ให้อาตมาเป็นคนกลางก็เหมาะสมเหมือนกันนะ”
อวี้หนูเจียวแววตาวูบไหว หัวเราะคิดคักทันที “จะว่าไปก็ถูก มีแค่พวกเราสองแดนที่ไม่เกี่ยวจ้องกับเรื่องในวันนี้ ฝาไห่ พวกเราไม่สู้ร่วมมือกันเป็นคนกลางดีมั้ย?”
นางรู้ชัดอยู่แก่ใจ วันนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ยอมให้คนอื่นพาตัวท่านจื่อหยางนี่ไปง่ายๆ ลำพังนางฝ่ายเดียวถ้าคิดจะพาไปก็คงยาก ไม่สู้ร่วมมือกันดีกว่า แบบนั้นจะมีความมั่นใจมากกว่า
ฝาไห่เข้าใจเจตนาของนางทันที นั่นก็คือร่วมมือกันพาตัวเยารั่วเซียนไปก่อน จากนั้นถ้าเหลือแค่สองฝ่ายที่แย่งชิงกัน ทุกคนก็จะมีความมั่นใจแล้ว จึงประนมมือกล่าวทันที “อามิตตาพุทธ คำกล่าวนี้ช่างมีกุศล อาตมาเห็นด้วย!” ทั้งสองกลายเป็นพันธมิตรกันในชั่วพริบตาเดียว
ตอนที่ 909
จับตัวประกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้เยารั่วเซียนจะไม่ได้มองทะลุปรุโปร่ง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ แต่ละแดนทำท่าทางเหมือนจะแย่งชิงตัวกันแล้ว เขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลทันที เข้าใจแล้วว่าตัวเองไร้เดียงสาขนาดไหน การคิดจะใช้เวลาหนึ่งร้อยวันเพื่อหลอมของวิเศษอยู่ที่นี่ ก็คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เรื่องบางเรื่องก็เป็นเช่นนี้ ถ้าไม่เผชิญหน้ากับความจริง ก็ยากที่จะพบความเป็นจริง แต่ความเป็นจริงกลับโหดร้าย
ฟู่หยวนคัง จีเต๋อไห่ อันหรูอวี้ต่างก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทิ้งโอกาสจัดการความแค้นระหว่างกันและกัน ถลันตัวเข้าไปแล้ว
เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ตอนนี้เรื่องความแค้นไม่ได้สำคัญเท่าเยารั่วเซียน ถ้าปล่อยให้เยารั่วเซียนไปตกอยู่ในมือใครสักคน หากสร้างเจดีย์งามวิจิตรที่ไร้ช่องโหว่ขึ้นมาอีก แบบนั้นก็จะสามารถโจมตีอีกปราชญ์คนอื่นๆ ให้อันตรายถึงชีวิตได้ ไม่ว่าใครก็รับผลที่ตามมาแบบนี้ไม่ไหว
แต่ละฝ่ายจ้องมองกันเหมือนเสือพร้อมตะครุบ ล้อมเยารั่วเซียนที่อยู่ข้างล่างเอาไว้ตรงกลาง ไม่มีใครกล้าลงมือแย่งก่อนทั้งนั้น เพราะคนที่ลงมือก่อนจะกลายเป็นเป้าหมายในการโดนโจมตีหมู่ จะทำให้ทุกคนมาล้อมโจมตี เซี่ยงไป่ถิงที่ไม่ทันระวังตัวโดนล้อมไว้ตรงกลางเหงื่อแตกทันที จะลงไปก็ไม่ได้ จะถอยไปก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์แม่ยังไม่ได้บอกให้เขาถอยไป
คนของสำนักหลอมของวิเศษสำนักอื่นๆ พากันพูดไม่ออก ถอยออกไปอย่างช้าๆ จะได้ไม่ติดร่างแหซวยไปด้วย
จีเต๋อไห่มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เขาพบว่าฝ่ายตัวเองมีกำลังอ่อนแอที่สุด ถึงอย่างไรก็เสียท่านทูตไปหลายคน ถึงแม้ฟู่หยวนคังจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ก็ยังมีศิษย์น้องหญิงคอยช่วยอีกแรง ทั้งยังมีเฟิงเป่ยเฉินหลบอยู่เบื้องหลังอีก
“สงเวย ทะเลดาวนักษัตรก็เป็นส่วนหนึ่งของแดนปีศาจเหมือนกัน หรือว่าพวกเจ้าเตรียมจะดูอยู่เฉยๆ?” สายตาของจีเต๋อไห่ไปหยุดอยู่ที่ตัวประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตร
ประมุขถิ่นสี่ทิศสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็กวักมือนำกำลังคนเหาะไปอยู่ข้างหลังจีเต๋อไห่ นี่คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนของแดนปีศาจ ถึงแม้ยามปกติจะไม่ฟังคำสั่งของปราชญ์ปีศาจจีฮวน แต่ตอนเผชิญหน้ากับศัตรูภายนอกก็ต้องเป็นพันธมิตรทางทหารกัน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ทะเลดาวนักษัตรคงโดนปราชญ์คนอื่นๆ กำจัดทิ้งไปนานแล้ว
ถึงแม้จะไม่อยากช่วยจีเต๋อไห่ ทว่าสำหรับสถานการณ์แบบนี้ ถ้าตัวไม่อยู่ที่นี่ก็ยังพอเลี่ยงได้ แต่ในเมื่อตัวอยู่ตรงที่เกิดเหตุแล้ว ก็คงไม่ดีหากจะหลบเลี่ยง
เมื่อมีประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรนำกลุ่มปีศาจมาร่วมเป็นพันธมิตรแล้ว จีเต๋อไห่ก็ฮึกเหิมทันที เมื่อมีกำลังแบบนี้แล้ว ต่อให้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินก็ยังต้านทานไหว เขาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเฟิงเป่ยเฉินอยู่ที่สำนักงามวิจิตร จึงกังวลที่สุดว่าเฟิงเป่ยเฉินจะยื่นมือเข้ามา
ถึงแม้การที่เฟิงเป่ยเฉินยื่นมือเข้ามาจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป แต่ก็อาจจะยั่วโมโหให้อีกห้าปราชญ์มาคิดบัญชีด้วยตัวเอง แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงความสำคัญของท่านจื่อหยาง กอปรกับก่อเรื่องในอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ยากที่จะรับประกันว่าเฟิงเป่ยเฉินจะไม่ลงมือ
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว แต่การคุมเชิงของหกแดนกลับอันตรายมาก สามารถปะทุได้ทุกเมื่อ ยังไม่มีใครกล้าลงมือแย่งตัวก่อน กลัวว่าจะโดนล้อมโจมตี
เยารั่วเซียนที่อยู่เบื้องล่างนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ รู้สึกถึงแรงกดดันแล้วเช่นกัน
ขณะนี้เอง ในป่าภูเขาข้างๆ พลันมีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา ส่งเสียงร้องเหมือนเจ็บปวดว่า “คุณชายรอง! ช่วยข้าด้วย”
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? คนที่อยู่บนฟ้าพากันหันหน้ามอง เห็นเพียงคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าภูเขา สภาพเขาสะบักสะบอมมาก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง พอทุกคนตั้งใจจ้องดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหมียวอี้ เจ้าบ้านี่ยังไม่ตายอีกเหรอ?
อวิ๋นเป้ามองจนหนังตากระตุก ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตัวเองจะได้รับรายงานจากลูกน้องแล้ว แต่พอเห็นนิสัยแบบนี้ของเหมียวอี้ เขาก็ยังอึ้งมาก ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านี่ทำตัวเองจนเป็นแบบนี้เพราะคิดจะทำอะไร
อันหรูอวี้กลับเบิกตากว้าง หันไปสบตากับโอวหยางกวงแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าบ้านี่ดวงชะตาแข็งเกินไปแล้ว นักพรตบงกชทองตายไปตั้งหลายคน ทำไมเขายังมีชีวิตรอดมาได้?
แต่นางก็ยังหาทางออกได้เพราะเหมียวอี้ ตะคอกถามว่า “เหมียวอี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
คนอื่นๆ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เหมียวอี้ที่กำลังมองด้านล่างพลันกระโดดไปอยู่ข้างกายเยารั่วเซียน
เยารั่วเซียนมองเขาอย่างตะลึงงัน กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ข้างหูกลับได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมาเบาๆ “หุบปากเหม็นของเจ้าซะ!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอันหรูอวี้ที่อยู่บนฟ้า พลางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลดน่าเวทนา “คุณชายรอง แดนอู๋เลี่ยงกับแดนปีศาจรวมมือกันวางกับดักลอบสังหารข้าน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนมาช่วย เกรงว่าข้าน้อยคงไม่ได้มาพบคุณชายรองอีก คุณชายรองได้โปรดทวงความยุติธรรมให้ข้าน้อยด้วย!”
จีเต๋อไห่แสยะยิ้ม “เจ้ามาทวงหาความยุติธรรมผิดคนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแยกเจ้าจากฝ่ายแดนเซียน พวกเราคงลงมือไม่สะดวกหรอก คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือแดนเซียนของพวกเจ้านั่นแหละ เจ้าคงต้องขอให้คุณชายรองพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองก่อนแล้วล่ะ! ข้าถามเจ้าหน่อย จีเหม่ยเหมยน้องสาวข้าอยู่ที่ไหน?”
“ตายแล้ว!” เหมียวอี้ตอบไปตรงๆ
จีเต๋อไห่สีหน้ามืดครึ้มทันที ฟู่หยวนคังรีบถามว่า “ชุยหย่งเจินศิษย์น้องของข้าล่ะ?”
“ก็ต้องตายเหมือนกันอยู่แล้ว!” เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
จีเต๋อไห่กับฟู่หยวนคังแทบจะถามพร้อมกันว่า “ใครทำ?”
ทั้งสองฝ่ายไม่สงสัยเลยว่าเหมียวอี้พูดโกหก เพราะไม่คิดเลยว่าเหมียวอี้จะเป็นคนทำ
“ไม่รู้จัก” เหมียวอี้เอียงศีรษะไปมองทางฝาไห่แวบหนึ่ง “ถึงอย่างไรก็เป็นพระสงฆ์ที่ร้ายกาจมาก ตอนที่ข้าโดนดักสังหาร คนสองกลุ่มนั้นบังอาจไปเจอพระสงฆ์ ปรากฏว่าไปยั่วโมโหพระสงฆ์รูปนั้น”
สายตาของทุกคนไปรวมที่ตัวฝาไห่ทันที พระสงฆ์ในใต้หล้าที่สามารถกำจัดนักพรตบงกชทองได้มากมายขนาดนี้ในรวดเดียว สามารถฆ่าหมดจนไม่เหลือสักคน แม้แต่ชุยหย่งเจินก็ยังกำจัดทิ้ง นอกจากปราชญ์พุทธฉางเหลยก็ไม่มีใครแล้ว ก่อนหน้านี้ทุกคนยังแอบสงสัยว่าว่ามีหนึ่งในหกปราชญ์มาแล้วหรือเปล่า
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่หลังหน้าต่างฉลุลายดอกไม้บนชั้นลอยพลันหรี่ตา แล้วกวาดสายตามองไปทั่วอย่างระแวดระวัง
ฝาไห่จ้องเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่าง “อย่ามาพูดจาเหลวไหล เรื่องเล็กแค่นี้ไม่รบกวนให้ท่านอาจารย์มาเองหรอก?”
“ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นอาจารย์ของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นอาจารย์ของเจ้าด้วย ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์เจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร” เหมียวอี้ตอบ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเสี้ยมใครได้ก็เสี้ยมก่อน ทางที่ดีต้องให้คนอีกกลุ่มตีกันถึงจะดี สิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวที่สุดในตอนนี้ก็คือแดนพุทธะกับแดนผี
จากนั้นก็หันไปมองเยารั่วเซียนที่อยู่ข้างกัน ถามว่า “แล้วเจ้าเป็นใคร? ทำไมมาโดนคนกลุ่มนี้ล้อมไว้ได้?”
“…” เยารั่วเซียนพูดไม่ออก เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้าเป็นใคร? แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าที่เหมียวอี้ถามแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน จึงตอบเสียงเรียบว่า “จื่อหยาง!”
เหมียวอี้มองสำรวจเขาแวบหนึ่ง แล้วถามเหมือนแปลกใจว่า “เจ้าคือท่านจื่อหยางผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นรึเปล่า?”
“ใช่แล้ว!” เยารั่วเซียนเพิ่งจะตอบ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชกไปที่ท้องเขาหมัดหนึ่ง
ตุ้บ! เยารั่วเซียนแทบจะตาถลน กระอักเลือดสกออกมาคำหนึ่ง แล้วได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมาบอกว่า “ไปกับข้า!”
“การประลองยังไม่ได้…”
“ประลองกับบรรพบุรุษเจ้าสิ ข้าหนีได้แต่ก็ไม่หนี มาเสี่ยงอันตรายเพื่อเจ้าเนี่ย เจ้าอยากจะทำให้ข้าตายใช่มั้ย?” เหมียวอี้ชักกระบี่วิเศษไปจ่อคอเขาแล้ว
ทุกคนตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะลงมือกะทันหันแบบนี้ ได้ยินเพียงเหมียวอี้ตะโกนว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ก่อเรื่องนี้ ทำเอาข้าเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร!”
อันหรูอวี้อุทานว่า “เหมียวอี้ อย่าจับตาย!” ถ้าสามารถนำตัวคนคนนี้กลับไปได้ ก็เท่ากับได้ผลงานใหญ่แน่นอน เพียงพอจะลบล้างความผิดก่อนหน้านี้ทิ้ง
ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้จับเยารั่วเซียนมาไว้ในมือตัวเองได้แล้ว กระบี่วิเศษด้ามหนึ่งจ่ออยู่ที่คอเยารั่วเซียน แล้วหันกลับมาถามอันหรูอวี้ “คุณชายรอง เก็บเขาไว้จะมีประโยชน์เหรอ?”
“มีประโยชน์!” อันหรูอวี้พยักหน้า
“งั้นก็ดี!” เหมียวอี้หันกลับมาตะคอกใส่เยารั่วเซียนอีก “จะไปกับข้ามั้ย? ถ้ากล้าทำซี้ซั้วข้าจะฆ่าเจ้าซะ!” พูดจบก็ดึงเยารั่วเซียนขึ้นไปบนฟ้าโดยตรง
คนจากแดนต่างๆ ตะลึงงัน ไม่มีใครกล้าลงมือชิงตัวก่อน เพราะกลัวจะโดนรุมโจมตี ทุกคนนึกไม่ถึงว่าเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ แต่เหมียวอี้ตัวเล็กๆ คนเดียวจะทำไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งยังไม่กลัวตายด้วย ต่อให้นอนฝันทุกคนก็นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนจะตกอยู่ในมือเหมียวอี้แบบนี้
ทุกคนย่อมไม่ยอมเลิกรา มีหรือที่จะให้เหมียวอี้พาตัวเยารั่วเซียนไปง่ายๆ แบบนี้ ทุกคนเพิ่งจะเคลื่อนไหว แต่เหมียวอี้ก็จ่อกระบี่วิเศษที่คอเยารั่วเวียนพร้อมตะคอกว่า “ไม่ว่าใครก็ห้ามขยับ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเขาซะ!”
คนที่เตรียมจะลงมือชะงักงัน สงสัยในชั่วอึดใจเดียวนี้ ท่านจื่อหยางจะกลายเป็นตัวประกันของเหมียวอี้ไปแล้ว พวกเขาเกิดลำบากใจขึ้นมาทันที
สิ่งที่ทำให้ทุกคนพูดไม่ออกก็คือ พบว่าเจ้าเวรเหมียวอี้มันใจกล้าเกินไปแล้ว ขนาดอยู่ต่อหน้ากลุ่มคนพวกนี้ยังกล้าลงมืออีก ลองดูว่าเขาใจเย็นขนาดไหนก็จะรู้เอง ไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัวทุกคนเลย
ตอนนี้ทุกคนถึงได้ค้นพบ ว่าการที่เจ้าบ้านี้มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ได้มีดีแต่ชื่อเสียงแน่นอน อวิ๋นเป้าเลิกคิ้วหัวเราะทันที ผู้ชายของอวิ๋นจือชิวน่าสนใจทีเดียว!
เหมียวอี้จับตัวประกันลอยไปที่ฝ่ายแดนมารอย่างช้าๆ พร้อมตะโกนว่า “อาแปด ท่านคงไม่ดูข้าประสบอันตรายโดยไม่สนใจใยดีหรอกใช่มั้ย?”
อวิ๋นเป้าหัวเราะเบาๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ครอบครัวเดียวกันไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว จะเห็นอวิ๋นจือชิวกลายเป็นม่ายไม่ได้หรอก!” พูดจบก็โบกมือ นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปล้อมพิทักษ์เหมียวอี้ไว้ตรงกลางทันที
“คุณชายรอง! ถ้ามีอะไรก็ออกจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยคุยกัน!” เหมียวอี้หันไปตะโกนบอกอันหรูอวี้
เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ เดิมทีอยากจะยืมมือคนอื่นสังหารผู้หญิงคนนี้ให้ตาย แต่จู่ๆ เยารั่วเซียนก็มาทำแผนเขาพัง ถ้าอยากจะช่วยเยารั่วเซียนออกไป อาศัยกำลังพลของนภาจอมมารฝ่ายเดียวไม่มีทางทำสำเร็จเลย มีแต่ต้องมารวมเป็นพวกเดียวกันก่อนเท่านั้น หาทางพาเยารั่วเซียนออกจากที่นี่ไปก่อนที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด บัญชีที่เหลือเอาไว้ค่อยมาสะสาง
อันหรูอวี้ตะลึงงัน แต่เหตุผลก็เห็นๆ กันอยู่ แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ต้องร่วมมือกับนภาจอมมารถึงจะมีความมั่นใจ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เป็นคนของแดนเซียน ท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือเหมียวอี้ ก็เท่ากับตกอยู่ในมือของแดนเซียนเช่นกัน
ไม่ต้องพูดเยอะว่าควรต้องทำอย่างไร อันหรูอวี้โบกมือ นำกำลังพลของแดนเซียนเหาะมาพิทักษ์ทันที
อวิ๋นเป้าเองก็รู้ ว่าถ้าอาศัยแค่ฝ่ายตัวเองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะออกไปจากตรงนี้ ไม่ได้คัดค้านที่กำลังพลฝ่ายแดนเซียนมาเข้าร่วมด้วย
อันที่จริงระหว่างหกปราชญ์ก็อยู่ในสภาะที่ร่วมมือกันมาตลอด ทั้งยังจ้องจะโค่นล้มกันมาตลอดด้วย ต่อให้วันนี้เป็นศัตรูที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้ามีข้อตกลงด้านผลประโยชน์ ก็จะร่วมมือกันทันที
“ทำไมพี่ชายทั้งสี่ท่านไม่มาช่วยข้าอีกแรงล่ะ?” เหมียวอี้ตะโกนไปทางฝั่งทะเลดาวนักษัตรอีก
จีเต๋อไห่ได้ยินแล้วหันขวับ “สงเวย พวกเจ้าคิดดีๆ นะว่าจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?”
สงเวยตอบว่า “พวกเราไม่ยืนอยู่ทั้งฝ่ายแดนเซียนกับแดนมาร และไม่ได้จะเป็นศัตรูกับแดนปีศาจด้วย พวกเราแค่จะปกป้องเจ้าห้าของพวกเรา ใครกล้าแตะต้องพี่น้องพวกแม้แต่นิดเดียว พวกเราก็จะขอสู้ตาย!” พูดจบก็โบกมือ กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรถลันตัวมาทันที
เหมียวอี้ไม่วางใจคนของแดนมารและแดนเซียน เพราะคนสองกลุ่มนี้ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็มีแต่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง แต่คนที่เห็นเหมียวอี้เป็นศูนย์กลางผลประโยชน์อย่างแท้จริง ก็มีแค่ประมุขถิ่นสี่ทิศเท่านั้น เขาจึงรู้สึกว่าคนของทะเลดาวนักษัตรพึ่งพาได้มากกว่าหน่อย จึงเรียกทันที “มาทางนี้!”
กลุ่มปีศาจเฒ่าเข้ามาเบียดอยู่ข้างในสุดทันที เบียดจนกำลังพลของแดนมารถอยออกไป ประมุขถิ่นสี่ทิศมาล้อมพิทักษ์เหมียวอี้ไว้ทั้งสี่ด้านแล้ว
จีเต๋อไห่เห็นแล้วแค้นจนกัดฟันกรอด
ตอนที่ 910
มีตัวประกันเยอะเชียวนะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นเป้ากับอันหรูอวี้หันไปมองเหมียวอี้พร้อมกัน ต่างก็มองด้วยสายตาที่อึ้งทึ่ง รวบรวมกำลังได้มหาศาลขนาดนี้ภายในรวดเดียว ตอนนี้ต่อให้อีกสี่แดนร่วมมือกันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ถึงอย่างไรแดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงก็มีนักพรตบงกชทองตายไปเยอะขนาดนั้น
เยารั่วเซียนที่กลายเป็นตัวประกันได้รับรู้ถึงพลังของเหมียวอี้แล้ว แอบรู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง นี่ใช่นักพรตบงกชขาวกระจอกที่ตัวเองเจอในปีนั้นรึเปล่า?
คนจากสำนักหลอมของวิเศษอื่นที่ดูอยู่ไกลๆ แอบทึ่ง ไอ้เหมียวจัญไรสมกับเป็นไอ้เหมียวจัญไร กลายเป็นบุคคลที่กล้าต่อกรกับหกปราชญ์แล้ว สมคำร่ำรือจริงๆ!
คนบางคนก็พึมพำในใจ สงสัยเวลาจะแต่งเมียคงต้องหาเมียที่ช่วยสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ซะแล้ว ดูอย่างไอ้เหมียวจัญไรสิ ดูแค่ภูมิหลังของเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นรองเท้ามือสองหรือไม่ก็ยังจะแต่งอยู่ดี ตอนนี้เห็นข้อดีได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ จะดึงคนของนภาจอมมารมาช่วยเหลือได้เหรอ แปลว่าคนเราถ้าอยากประสบความสำเเร็จ ก็ต้องมองโลกตามความเป็นจริงถึงจะดี!
“ไป!” เหมียวอี้จับตัวประกันพลางตะโกนบอก
“คิดจะไปเหรอ?” ฟู่หยวนคังแสยะยิ้ม
แทบจะไม่ต้องพูดอะไรเลย ฝาไห่ อวี้หนูเจียว จีเต๋อไห่นำกำลังพลเคลื่อนไหวทันที อีกสี่แดนก็รวมมือกันแล้วเช่นกัน ล้อมพวกเหมียวอี้เอาไว้แล้ว
“แกล้งสลบ!” เหมียวอี้พลันถ่ายทอดเสียงบอกเยารั่วเซียน แล้วจู่ๆ ก็ชกที่แผ่นหลังเยารั่วเซียนอย่างแรงหนึ่งหมัด
ตุ้บ! เยารั่วเซียนที่ไม่ได้เตรียมป้องกันโดนชกจนมึน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ชกพ่อเจ้าสิ… แต่ยังไม่ทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนเหมียวอี้จับยัดเข้ากระเป่าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้โดนกดดันจนทำอะไรไม่ถูกแล้วเช่นกัน จำเป็นต้องเล่นบทโหดกับเยารั่วเซียนสักหน่อย ถ้าให้คนอื่นดูออกว่าเขาไม่กล้าฆ่าเยารั่วเซียน จะต้องพุ่งตัวมาลงมือกับเขาโดยตรงแน่นอน
ขณะเดียวกันก็เคียดแค้นการกระทำของเยารั่วเซียนมาก เลยฉวยโอกาสระบายอารมณ์ไปสักหน่อย เป็นเพราะโมโหตาแก่นี่มากจริงๆ มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ถ้าเจ้าอยากจะล้างความอัปยศจริงๆ พวกเราจะช่วยเจ้าหาทางไม่ได้เชียวเหรอ? อย่างน้อยก็น่าจะคิดหาวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้หน่อย หนีมาอย่างนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน? เป็นการวางกับดักให้คนตายจริงๆ!
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะบ่นตำหนิไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงแก้ไขปัญหา เห็นเพียงเหมียวอี้ขยุ้มมือไปข้างหลัง ชุยหย่งเจินที่สะบักสะบอมก็ถูกจับออกมา ตอนนี้กระบี่วิเศษในมือจ่ออยู่บนคอของชุยหย่งเจินแล้ว “ฟู่หยวนคัง เชื่อฟังข้าสักหน่อยก็พอ พากำลังคนของแดนอู๋เลี่ยงถอยออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นข้าจะเชือดศิษย์น้องเจ้าทิ้งซะ!”
เมื่อเห็นชุยหย่งเจินทำท่าทางขวัญผวา ตัวสั่นงันงก กลัวจนหัวหด ฟู่หยวนคังก็ตกใจมาก
ไม่ว่าจะเป็นพวกอวิ๋นเป้าหรือพวกฝาไห่ก็พากันอึ้งกิมกี่ ชุยหย่งเจินยังไม่ตายเหรอ? เมื่อครู่ไอ้เวรนี่มันบอกว่าตายแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนแรกเหมียวอี้ไม่ได้บอกอวิ๋นเป้าว่าชุยหย่งเจินยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่เขาเป็นศพของทั้งแปดคน ก็นึกว่าสองคนนี้จะตายไปแล้วเหมือนกัน
สงสัยเจ้าเด็กนี่จะไม่ซื่อสัตย์กับตนด้วยเหมือนกัน ยังซุกซ่อนความลับเอาไว้ อวิ๋นเป้าทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่ก็ยังดีใจมากกว่า เขายิ้มมุมปาก ความรู้สึกแบบนี้ดีจริงๆ ได้ตัวประกันมาไว้ในมือเพิ่มอีกคนแล้ว!
อันหรูอวี้เองก็เลิกคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมีแผนสำรอง! ขณะที่รู้สึกชื่นชม ในใจก็ยิ่งรู้สึกดื้อรั้น เพราะเขาดันไม่ใช่ลูกเขยของตนน่ะสิ โดนผู้หญิงคนอื่นคว้าไปก่อนแล้ว ผู้ชายดีๆ โดนผู้หญิงไม่ดีล่อลวงไปแล้ว!
ตั้งแต่เหมียวอี้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว อันหรูอวี้ก็ช่วยลูกสาวตัวเองหาผู้ชายดีๆ เหมือนกัน แต่นางนำเหมียวอี้มาเป็นมาตรฐาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หวังว่าจะหาผู้ชายที่ดีกว่าเหมียวอี้ให้ลูกสาวทั้งสองของตัวเอง จะได้ปลอบโยนหัวใจที่รู้สึกสูญเสียของตัวเองได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การหาผู้ชายมาตรฐานเดียวกับเหมียวอี้นั้นลำบากจริงๆ!
ฝ่ายแดนอู๋เลี่ยงสบตากันเลิกลั่ก มีคนฝ่ายเราไปเป็นตัวประกันอยู่ในมือของอีกฝ่าย ทำอย่างไรดี?
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นศิษย์น้องของตัวเอง ฟู่หยวนคังก็ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไอ้เหมียวจัญไร ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์น้องข้าแม้แต่ปลายผมก็ลองดูสิ!”
ฉับ! เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้กระบี่ตัดทันที ตัดผมของชุยหย่งเจินทิ้งแล้ว ทำให้ชุยหย่งเจินผมปลิวสยายทันที จากนั้นกระบี่ก็ย้ายลงมาจ่อคอชุยหย่งเจินอีก เหมียวอี้แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ขู่ข้าเหรอ? หลังจากข้าตีฝ่านักพรตหนึ่งแสนแปดหมื่นคนที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรออกมาได้ ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนยังไง! ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกระบี่จะไม่ตัดแค่ที่ผมแล้วนะ!” คมกระบี่ย้ายไปบนแขนของชุยหย่งเจิน
อวิ๋นเป้าพูดกลั้วหัวเราะ “ฟู่หยวนคัง ถอยไปซะดีๆ เถอะ เจ้าเด็กนี่มันกล้าทำจริงๆ นะ ถ้าเขาเผลอถอดเสื้อผ้าศิษย์น้องเจ้าให้ทุกคนได้เชยชมล่ะ แบบนั้นพวกเราก็ไม่สบายใจแล้ว”
เหงื่อแตก! เหมียวอี้เหงื่อแตกนิดหน่อย ยังมีคนที่โหดกว่าตัวเองอีก ขนาดข้ายังไม่กล้าถอดเสื้อผ้าผู้หญิงต่อหน้าฝูงชนเลย แต่จะว่าไปแล้ว เหมือนคำขู่แบบนี้จะได้ผลยิ่งกว่าฆ่าชุยหย่งเจินอีก เรื่องแบบนี้นภาอู๋เลี่ยงทนเสียหน้าไม่ไหวหรอก!
“อาแปดพูดจามีเหตุผล ส่งต่อผู้หญิงคนนี้ให้อาแปดจัดการก็แล้วกัน!” เหมียวอี้โบกมือ โยนชุยหย่งเจินออกไปทันที
อวิ๋นเป้ารับตัวนางมาไว้ในมือ ทำสีหน้าไม่ถูกนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน เขาแค่เตือนเหมียวอี้นิดหน่อยว่าจะขู่นภาอู๋เลี่ยงอย่างไรให้ได้ผล ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กนี่จะโยนเรื่องขาดคุณธรรมมาให้เขาทำ!
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย อวิ๋นเป้าไม่พูดพร่ำเพลง คว้าคอเสื้อชุยหย่งเจินแล้วดึงลง หัวไหล่ที่ขาวดุจหิมะของชุยหย่งเจินเปิดเผยออกมาทันที
“หยุดนะ!” ฟู่หยวนคังคำรามทันที
อวิ๋นเป้ากลับทำท่าจะดึงเสื้อผ้าของชุยหย่งเจินต่อ “ฟู่หยวนคัง ให้คนของนภาอู๋เลี่ยงถอยไป ไม่อย่างนั้นถ้ามือข้าสะบัดทีเดียว เรือนร่างของศิษย์น้องเจ้าก็จะถูกเปิดโปงเดี๋ยวนี้!”
ฟู่หยวนคังตาแทบจะถลน หันซ้ายกันขวาแล้วสั่งว่า “ถอยไป!”
“ช้าก่อน!” จีเต๋อไห่ตะคอก จากนั้นก็หันไปทางสำนักงามวิจิตร “เฟิงเป่ยเฉิน ลูกศิษย์เจ้าตกอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเจ้ายังไม่โผล่หน้าออกมาก็จะฟังดูไม่เข้าท่าแล้ว!”
ทุกคนตกใจมาก เฟิงเป่ยเฉินก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ?
อวิ๋นเป้ากับเหมียวอี้แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เรื่องที่กังวลที่สุด สงสัยจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น!
เหมียวอี้กลับพลิกฝ่ามมือแล้วขยุ้ม นำจีเหม่ยเหมยที่ตัวสั่นระริกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมออกมาอีก เอากระบี่จ่อที่คอจีเหม่ยเหมย พูดอย่างรู้สึกอับอายปนโมโห “จีเต๋อไห่ เสียงดังไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าก็ถอยไปเหมือนกัน! ถ้ากดดันจนข้าหมดทางเลือก ก็อย่านึกว่าข้าไม่กล้าถอดเสื้อผ้าน้องสาวเจ้านะ!”
“ฮ่าๆ! ยังมีอีกหนึ่ง!” อวิ๋นเป้าหัวเราะลั่น กล่าวอย่างร่าเริงสุดๆ ว่า “เจ้าเด็กนี่มีตัวประกันเยอะเชียวนะ!”
เรื่องที่จีเต๋อไห่กังวลที่สุดเกิดขึ้นแล้ว ตอนที่เห็นชุยหย่งเจินยังมีชีวิตอยู่ เขาก็กังวลนิดหน่อย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาหวังว่าน้องสาวตัวเองตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาทนรับความอับอาย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สมหวัง ฉากที่ไม่อยากเห็นมากที่สุดได้โผล่ขึ้นมาแล้ว เขาหน้าบึ้งทันที โมโหจนตัวสั่น กำหมัดสองข้างไว้แน่น “ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าบังอาจ!”
“ถ้าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง เจ้าคิดว่าข้าจะกล้ามั้ยล่ะ!” เหมียวอี้กล่าว
ซวบ! เงาคนคนหนึ่งแฉลบมาจากสำนักงามวิจิตร แล้วลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ เฟิงเป่ยเฉินปรากฏตัวอยู่ด้านบน มองดูชุยหย่งเจินที่อยู่ในมืออวิ๋นเป้าอย่างเงียบๆ สายตาเหลือบลง สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นแอบตกใจ อาศัยพลังของพวกเขา ถ้าอยากจะแย่งคนกับเฟิงเป่ยเฉิน ก็ไม่มีความหวังเลย
เหมียวอี้ก็ยิ่งแอบร้องในใจ เฝ้าหวังมาตลอดว่าจะมีแค่ฉินซีอยู่ที่นี่คนเดียว หวังว่าเฟิงเป่ยเฉินจะไม่อยู่ด้วย ตอนนี้พอเห็นเฟิงเป่ยเฉินปรากฏตัว ความหวังสุดท้ายในใจก็ดับลงทันที ฉากกำบังเดียวที่มีอยู่ในมือก็คือชุยหย่งเจินแล้ว หวังว่าจะใช้ประโยชน์ได้!
สาเหตุที่เขาเหลือชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยเอาไว้ ก็เพราะหวังว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานจะนำมาเป็นยันต์ป้องกันตัวได้ สามารถพาตนกลับไปอย่างปลอดภัยได้
เฟิงเป่ยเฉินกวาดสายตาเย็นเยียบมองเหมียวอี้ สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนตัวอวิ๋นเป้า แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เอาท่านจื่อหยางแล้ว ปล่อยชุยหย่งเจิน แล้วข้าจะละเว้นชีวิตพวกเจ้า ปล่อยพวกเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย”
จริงหรือโกหก? ไม่ต้องการท่านจื่อหยางแล้วเหรอ? ทุกคนรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ สงสัยท่านอาจารย์จะเอาใจใส่ลูกศิษย์ของตัวเองมาก เพื่อที่จะช่วยลูกศิษย์ของตัวเอง แม้แต่ท่านจื่อหยางที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์โดยรวมก็ไม่สนใจแล้ว
คนของสำนักหลอมของวิเศษอื่นๆ ที่ดูอยู่ไกลๆ ก็ยิ่งแอบชื่นชม อาจารย์ทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว
แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ลูกศิษย์แต่ละคนของหกปราชญ์ กว่าจะเลี้ยงและฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้นับว่าไม่ง่ายเลย ต้องใช้ทรัพยากรไปมากมายกว่าจะได้ลูกศิษย์สักหนึ่งคน ถ้าตายไปสักคนก็ถือว่าเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของหกปราชญ์
“ท่านอาจารย์!” ฟู่หยวนคังพลันหันไปถ่ายทอดเสียงเรียกเฟิงเป่ยเฉิน ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือ อย่าบอกนะว่าท่านจะปล่อยท่านจื่อหยางไปแบบนี้จริงๆ? ท่านทูตหลายคนตายไปโดยสูญเปล่าอย่างนี้น่ะเหรอ?
เฟิงเป่ยเฉิยถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ตอนแรกอาจารย์เห็นแก่ผลประโยชน์จนหน้ามืดตามัว คิดผิดไป! เขาจะหลอมสร้างอะไรก็ไม่หลอม ดันมาหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร เกรงว่าอีกห้าปราชญ์ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาตั้งแต่แรก! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จื่อหยางเหลือแค่ทางตายเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะไปตกอยู่ในมือใคร คนนั้นก็ปกป้องเขาไม่ได้ คนพวกนี้นิสัยเป็นอย่างไร ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าอีก ปราชญ์ที่เหลือจะต้องรุมโจมตีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเราปล่อยเขาไป แต่เจ้าคิดว่าพวกที่เหลือจะปล่อยเขาไปเหรอ? ตอนนี้ไม่รู้ว่าเบื้องหลังยังซ่อนใครเอาไว้อีก รอให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองไปสักพัก คนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคงจะปรากฏตัว รอดูอีกสักหน่อย!”
ฟู่หยวนคังกวาดสายตามองฝาไห่และคนอื่นๆ แวบหนึ่ง เข้าใจกระจ่างในทันที ต่อให้ฝ่ายพวกเขาปล่อยไป แต่พวกฝาไห่ไม่ปล่อยไปแน่นอน
หลังจากอวิ๋นเป้าไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้ารักษาคำพูดรึเปล่า?”
“เจ้าคิดว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะทำให้ข้ากลับคำพูดเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวด้วยอย่างยึดมั่นในคุณธรรม
อวิ๋นเป้าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเห็นด้วย หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยกล่าวคำนี้ต่อหน้าฝูงชน ไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นคนอย่างไร แต่ภายนอกก็ยังต้องรับประกัน
อวิ๋นเป้าหันมามองเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เฟิงเป่ยเฉินให้คำสัญญาต่อหน้าฝูงชนแบบนี้น่าจะเชื่อถือได้ มีคนมากมายกำลังมองอยู่ ถ้าแรงกดดันจากฝ่ายนภาอู๋เลี่ยงหมดไป พวกเราก็จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างมั่นใจขึ้นกว่าเดิม”
เดิมทีเหมียวอี้ก็จะคิดจะจับชุยหย่งเจินเป็นตัวประกันอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยคิดจะปล่อยชุยหย่งเจินไปเลย เพราะถ้าปล่อยยนางไป ความลับของตัวเองก็จะถูกเปิดเผยทั้งหมด จึงตอบเสียงดังทันทีว่า “เฟิงเป่ยเฉิน พวกเราไม่ฆ่าชุยหย่งเจินก็ได้ แต่ต้องรอให้พวกเราออกไปจากแดนอู๋เลี่ยงก่อน”
เฟิงเป่ยเฉินมองต่ำพลางกล่าวว่า “ข้าถอยให้แล้วก้าวหนึ่ง แต่คนจัญไรอย่างเจ้าได้คืบจะเอาศอก คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ! เพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์ข้า เงื่อนไขข้อนี้ก็ใช่ว่าจะตอบตกลงไม่ได้ อยากออกจากแดนอู๋เลี่ยงก็ง่ายมาก ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับแดนโพ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยปล่อยตัวประกันก็ยังไม่สาย แต่ท่านทูตสี่คนของข้าจะตายเปล่าไม่ได้” จากนั้นก็ชี้ไปตรงข้างกายอันหรูอวี้ “เอาชีวิตท่านทูตของแดนเซียนมาแลกสี่คน! ไม่อย่างนั้นก็ต้องปล่อยคนเดี๋ยวนี้! เงื่อนไขสองข้อนี้ เจ้าเลือกมาหนึ่งข้อ ไม่อย่างนั้นข้าก็ยอมตัดใจทิ้งชีวิตของชุยหย่งเจิน ดีกว่ายอมให้คนจัญไรอย่างเจ้ามาขู่ได้ตามใจชอบ อย่างมากหลังจากจบเรื่องก็แค่ฆ่าพวกเจ้าให้ลงหลุมศพไปเพื่อนนาง ข้าพูดจริงทำจริง เจ้าจะเอาอย่างไรก็คิดเอง!”
ตอนที่ 911
ลงมืออย่างเหี้ยมโหด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้ว่าไม่มีทางเหลือให้เจรจาแล้ว หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยพูดออกมาแบบนี้แล้ว ไม่มีทางกลับคำแน่นอน นอกเสียจากเจ้าจะมีความสามารถทำให้เขากลับคำ ที่สำคัญคือเจ้าไม่มีความสามารถนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเปลืองคำพูดแบบนี้หรอก
พลังอันแข็งแกร่งของเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ จะไม่ปล่อยชุยหย่งเจินก็ไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยไป ไพ่ใบสุดท้ายของตัวเองก็จะถูกเปิดเผยออกมาหมด เดิมทีก็ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปง เพราะอย่างมากก็หนีไปพิภพใหญ่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าสามดันอยู่ในมือมู่ฝานจวิน
เขาเองก็อยากจะเอาชีวิตท่านทูตของแดนเซียนสี่คนไปแลก แต่เขาตัดสินใจเรื่องนี้เองไม่ได้ ฝั่งอันหรูอวี้ต้องไม่รับปากแน่นอน
ตอนนี้เหมียวอี้เรียกได้ว่าลำบากใจทุกทาง อยากจะโยนเยารั่วเซียนออกมาให้สิ้นเรื่อง ตาปีศาจเฮงซวยนี่วางกับดักให้คนอื่นตาย
จู่ๆ อันหรูอวี้ก็สั่งว่า “เหมียวอี้ ส่งตัวชุยหย่งเจินไปให้เขา!”
มารดาเจ้าเถอะ! เจ้าก็พูดได้อย่างสบายใจน่ะสิ! เหมียวอี้บ่นในใจ พอเอียงหน้ามองเห็นอวิ๋นเป้า ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังมองตัวเองอยู่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเหมือนอันหรูอวี้
ถ้าพูดถึงในจุดยืนของทั้งสอง การส่งตัวชุยหย่งเจินไปแลกเพื่อไม่ให้เฟิงเป่ยเฉินลงมือเป็นแผนที่ดีที่สุด และไม่ได้เสียหายอะไรด้วย
เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวาพักหนึ่ง แววตาเป็นประกายเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็พยักหน้าบอกว่า “เฟิงเป่ยเฉิน ข้าตอบตกลงเงื่อนไขข้อที่สอง ชีวิตของท่านทูตสี่คนของแดนเซียน เจ้าเอาไปเถอะ!”
ท่านทูตทุกคนของแดนเซียนแทบจะตาถลนออกมา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป!
พวกอวิ๋นเป้าจากนภาจอมมาร พวกปีศาจของทะเลดาวนักษัตร ต่างก็พากันตกตะลึงอ้าปากค้าง แม้แต่เฟิงเป่ยเฉินเองก็อึ้งเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงเงื่อนไขนี้
“เหมียวอี้ เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” อันหรูอวี้ตวาดถาม
“บังอาจ!” เยว่เทียนโปก็โมโหเช่นกัน
“ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าบังอาจ!” ท่านทุกคนด่าสาดเสียเทเสีย ด่าว่าเขาวางกับดักแม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักเห็นข้าเป็นพวกเดียวกันแล้วเหรอ เมื่อคืนตอนที่ร่วมมือกับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยงลอบสังหารข้า ไม่เห็นบอกว่าข้าเป็นพวกเดียวกันเลย?”
“คำพูดไร้สาระ! คำพูดยุยงเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน เจ้าเชื่อเข้าไปได้อย่างไร?” อันหรูอวี้ตะคอกอย่างดุดัน
เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “คุณชายรอง เมื่อคืนหญิงรับใช้ของท่านหลอกข้าไปที่นั่น เป็นใครที่วางกับดักทำร้ายข้า เกรงว่าในใจท่านคงจะรู้ชัดดีที่สุด”
“พูดจาเหลวไหล เจ้ามีหลักฐานรึเปล่า?” อันหรูอวี้ตะคอกอย่างโมโห
“เรื่องที่ข้าประสบมาด้วยตัวเอง ยังต้องการหลักฐานอะไรอีก?” เขาเอียงหน้าไปมองเฟิงเป่ยเฉิน “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน” เหมียวอี้กล่าว
“เจ้าแน่ใจเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินถาม
เหมียวอี้พยักหน้าอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย “แน่ใจ!”
“ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเลย!” อันหรูอวี้เดือดดาลสุดขีด ถลันตัวเข้ามาฟาดหนึ่งฝ่ามือ
สงเวยที่พิทักษ์อยู่ข้างกายเหมียวอี้ถลันตัวออกมาทันที ชกออกไปหนึ่งหมัด บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือนฟ้าดิน คลื่นแรงพัดม้วน ลมกระโชกแรง ต้นไม้ป่าภูเขาที่อยู่ด้านล่างก็ถูกถอนขึ้นมาทั้งราก คนกำลังอ่อนแอกว่าที่อยู่ไกลๆ ทนรับไม่ไหว รีบถอยไปไกลกว่าเดิมแล้ว
อันหรูอวี้สะเทือนจนลอยออกไป สงเวยก็กระเด็นถอยหลังอยู่กลางอากาศ รีบวาดแขนสองข้าง ขจัดพลังโจมตีที่อยู่ในร่างกายตัวเอง ถึงแม้วรยุทธ์ของสงเวยจะสูงกว่าอันหรูอวี้หนึ่งขั้น แต่อันหรูอวี้ก็ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้หกชั้นฟ้าแล้ว ภายใต้พลังโจมตีที่ปะทะเข้ามาหลายชั้น ตอนนี้ในร่างกายของเขาราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร เลือดลมปั่นป่วน
เมื่อเห็นทุกคนของแดนเซียนจะพยายามหาช่องโหว่หนี เหมียวอี้ก็รีบบอกว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้ารับปากจะส่งพวกเรากลับแดนโพ้นสวรรค์ หรือว่าจะกลืนคำพูดตัวเอง?”
เพิ่งจะพูดจบ เฟิงเป่ยเฉินก็แสยะยิ้มทันที ร่างหายไปจากที่เดิมภายในชั่วพริบตาเดียว พุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มท่านทูตที่กรูกันเข้ามา
ทุกคนของแดนเซียนตกใจมาก ย่อมต้องโจมตีสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดออยู่แล้ว เฟิงเป่ยเฉินยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กลุ่มคนถืออาวุธต่างๆ พุ่งเข้ามาใส่ตน
ขณะที่ดาบหอกกระบี่พุ่งเข้ามาโจมตีใส่ รอบกายเฟิงเป่ยเฉินก็มีลมพายุรุนแรงกลุ่มหนึ่งหมุนวน อาวุธหลายชิ้นโดนโจมตีกระเด็นไปแล้ว แทบจะไม่มีอาวุธใดทำร้ายเขาได้เลย กลุ่มท่านทูตก็ตอบสนองเร็วเช่นกัน ใช้ทั้งหมัดทั้งเท้าโจมตีเข้ามาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง
เฟิงเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่บนฟ้าไม่ขยับไปไหน ครั้งนี้ก็ยิ่งปล่อยให้หมัดเท้าของพวกท่านทูตโจมตีมาโดนร่างกายตัวเอง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าโจมตีรุนแรงมาก แต่กลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไร
เหมียวอี้เคยเห็นฉากนี้มาก่อน ในหัวมีภาพตอนตัวเองต่อสู้กับเฟิงเสวียนแวบเข้ามา ดวงตาพลันเบิกกว้าง มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง!
เป็นอย่างที่คาดไว้ วินาทีที่โดนหมัดพวกนั้นโจมตี เฟิงเป่ยเฉินก็ยิ้มเย้ย “ไม่ประมาณกำลังตัวเอง!”
โดนหมัดที่มีพลังโจมตีรุนแรงมากมายมายขนาดนี้ เฟิงเป่ยเฉินกลับเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรเลย จู่ๆ ก็กางแขนสองข้าง บึ้มๆๆ! เสียงระเบิดดังต่อเนื่องกัน พวกท่านทูตที่โจมตีเฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ากระอักเลือกสดออกมาพร้อมกัน มีห้าหกคนที่สะเทือนจนกระเด็นออกไป
คนที่โดนโจมตีไม่เป็นอะไร แต่คนที่เป็นฝ่ายโจมตีกลับบาดเจ็บสาหัส!
ลมพายุรุนแรงระเบิดไปทั่วสารทิศ ด้านล่างภูเขาถล่มพื้นดินทลาย พวกเหมียวอี้ที่กำลังจับตัวประกันรีบถอยไปข้างหลัง หลบแรงชนปะทะที่รุนแรง
ภาพนี้ทำให้คนมากมายแอบตกตะลึงพรึงเพริด เหมียวอี้ก็ยิ่งสูดหายใจอย่างตกตะลึง หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
เห็นเพียงวินาทีที่เฟิงเป่ยเฉินขยับตัว เงาร่างแฉลบวนด้วยความเร็วสูง ไล่ตามไปหาท่านทูตที่กระเด็นออกไป ฟาดฝ่ามือใส่คนละที ฟาดไปทั้งหมดสี่ฝ่ามือ มีเสียงดังสี่ครั้ง ศีรษะของคนสี่คนโดนฟาดจนกลายเป็นแตงโมเละในชั่วพริบตาเดียว
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ท่านทูตสี่คนของแดนเซียนตายแล้ว เยว่เทียนโปก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ตกลงจากบนฟ้าทันที
“ไม่!” ฉางฮวน ฉางเล่อ หญิงรับใช้ของเยว่เทียนโปกรีดร้องอย่างเศร้าโศก ต่างคนต่างถือทวนยาวพุ่งเข้ามา
ที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันยังมีหญิงรับใช้ของท่านทูตอีกสามคน เฟิงเป่ยเฉินไม่แม้แต่จะหันมอง เพียงสะบัดแขนเสื้อไปทางซ้ายทางขวานิดหน่อย
บึ้มๆๆ! เสียงสั่นสะเทือนดังต่อเนื่อง ผู้หญิงหลายคนกระอักเลือดสดออกมา ขนาดเข้าใกล้เฟิงเป่ยเฉินยังทำไม่ได้ ตกลงจากฟ้าคนแล้วคนเล่าราวกับว่าวที่สายป่านขาด
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย เขาเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำหมายความว่าอย่างไร!
“หนี!” อันหรูอวี้ตะโกนเสียงแหลม คนฝ่ายแดนเซียนที่เหลือเรียกได้ว่าหนีกระเจิดกระเจิง เมื่อรู้ว่าการต่อสู้นี้ต้องเจอกับเฟิงเป่ยเฉิน ก็ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย
เฟิงเป่ยเฉินก็รักษาคำพูดจริงๆ บอกไว้แล้วว่าจะเอาชีวิตท่านทูตสี่คนมาแลกกับชีวิตท่านทูตสี่คน เขาไม่ได้ลงมือกับท่านทูตคนอื่นอีก เพียงแต่เงาร่างหายไปจากที่เดิมอีกครั้ง ไล่ตามอันหรูอวี้ที่กำลังหลบหนี ฟาดไปที่แผ่นหลังของอันหรูอวี้หนึ่งฝ่ามือ
“อั่ก…” อันหรูอวี้กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ยังหลบหนีไม่ทัน โดนเฟิงเป่ยเฉินขยุ้มฝ่ามือดูดกลับเข้ามา
“ฮูหยิน!” โอวหยางกวงที่หนีไปไกลร้องเรียกอย่างเศร้าโศก
“รีบหนีไป!” อันหรูอวี้ตวาดเสียงเข้ม
เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ไล่ตามคนอื่นอีก รีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของอันหรูอวี้ แล้วบีบคออันหรูอวี้ดึงกลับมา
การลงมือไม่กี่ครั้งที่ง่ายเหมือนหั่นผัก ทุกคนที่เห็นภาพนี้พากันตาลาย เพิ่งรู้ว่าพลังของหกปราชญ์แข็งแกร่งขนาดไหน นักพรตบงกชทองโดยทั่วไป ยามตกอยู่ในมืออีกฝ่าย แม้แต่จะโต้ตอบสักครั้งก็ทำไม่ได้ น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเห็นเฟิงเป่ยเฉินลงมือได้ปราดเปรียวขนาดนั้น เขาก็เริ่มสงสัยนิดหน่อย ว่าต่อให้ดึงตัวจงหลีค่วยจากปราสาทดำเนินนภามา ก็เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงเป่ยเฉินก็ได้ หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ!
ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรสบตากันวบหนึ่ง ทุกคนสีหน้าแย่มาก ไม่ได้ประมือกับหกปราชญ์มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผ่านไปหลายหมื่นแล้ว ดูจากตัวของเฟิงเป่ยเฉินก็จะรู้ ว่าพลังของหกปราชญ์ต่างไปจากอดีตแล้ว แข็งแกร่งกว่าในปีนั้นเยอะ ประมุขถิ่นทั้งสี่ต้านทานไม่ไหวตั้งนานแล้ว!
เฟิงเป่ยเฉินหิ้วอันหรูอวี้ที่สภาพสะบักสะบอมเหาะกลับมา มองชุยหย่งเจินที่อยู่ในมืออวิ๋นเป้าแวบหนึ่ง แล้วยกอันหรูอวี้ขึ้นมาเก็บเอาไว้โดยตรง!
เฟิงเป่ยเฉินกวาดมองคนอื่นด้วยแววตาเย็นชา แล้วบอกว่า “อาณาเขตของข้า ไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างพวกเจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้ง่ายๆ ไสหัวไปให้หมด!”
ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้ว่าไม่มีทางแย่งตัวท่านจื่อหยางได้แล้ว ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินรับปากว่าจะคุ้มกันเหมียวอี้ส่งกลับแดนโพ้นสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว
จีเต๋อไห่พลันเอ่ยว่า “เหมียวอี้! ปล่อยน้องสาวข้า ข้าไม่ต้องการท่านจื่อหยางแล้ว!”
เหมียวอี้ที่จ้องเฟิงเป่ยเฉินค่อยๆ ย้ายสายตากลับมา เขามองจีเต๋อไห่พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “เดิมทีข้าก็ไม่มีความแค้นอะไรกับน้องสาวเจ้า แต่น้องสาวเจ้ากับลูกชายนางจะเล่นงานข้าให้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่หวังให้ความแค้นนี้ถูกแก้ไขหรอก ไม่สู้ผูกเอาไว้เลยดีกว่า!”
พอพูดจบ เลือดก็สาดพุ่ง กระบี่ในมือสะท้อนแสงคมมีด ลำคอที่ขาวหมดจดของจีเหม่ยเหมยขาดเป็นสองท่อน ร่างที่ยังไม่ทันได้ดิ้นรนตกลงบนพื้น แต่ศีรษะที่กำลังถลึงตากลับยังอยู่ในมือเหมียวอี้
“ไอ้จัญไร!” จีเต๋อไห่ตวาดอย่างเดือดดาล
ทุกคนตกใจมาก ต่างก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำแบบนี้ทำไม นี่เป็นการผูกความแค้นที่ไม่มีวันแก้ได้กับนภาหมื่นปีศาจ! แม้แต่อวิ๋นเป้าก็สูดหายใจอย่างตกตะลึง เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้วใช่มั้ย?
กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรก็อ้าปากค้างพูดไม่ออก คุณชายห้าโคตรโหด เรื่องที่แม้แต่ประมุขถิ่นสี่ทิศยังไม่กล้าทำ แต่ประมุขถิ่นกลางคนนี้บทจะทำขึ้นมาก็ไม่ปรานีเลยสักนิด!
เฟิงเป่ยเฉินจ้องเหมียวอี้พลันหรี่ตา แล้วจู่ๆ ก็หันพ่นเสียงทางจมูก หันขวับไปจ้องจีเต๋อไห่ที่กำลังจะพุ่งเข้าหาเหมียวอี้
เขารับปากแล้วว่าจะคุ้มกันส่งเหมียวอี้กลับแดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเหมียวอี้ได้ง่ายๆ
จีเต๋อไห่จำต้องถอย แล้วโบกมือชี้เหมียวอี้พลางตวาดด้วยสีหน้าดุร้าย “ไอ้เหมียวจัญไร วันหลังข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนอยู่ต่อไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้!”
เหมียวอี้สะบัดมือที่กำลังหิ้วผมของจีเหม่ยเหมย โยนศีรษะของจีเหม่ยเหมยทิ้งแล้ว นี่คือคำตอบของเขา กระบี่ที่ถือเฉียงอยู่ในมือยังมีเลือดหยด!
ศีรษะที่โดนโยนพลันค้างอยู่กลางอากาศ กลายเป็นศีรษะของมังกรคะนองน้ำที่มีเขาเดียว ส่วนร่างที่ตกลงพื้นก็ปรากฏร่างเดิมเช่นกัน เป็นร่างยาวสีดำ เหมือนจะเป็นงูแต่ก็ไม่ใช่งู มีขาหน้าสองข้าง!
จีเต๋อไห่ที่อุ้มศีรษะมังกรคะนองน้ำโกรธจนตัวสั่น มองดูเฟิงเป่ยเฉินแวบหนึ่ง แล้วถลันตัวลงไปที่พื้น เก็บกวาดเศษร่างของจีเหม่ยเหมย
เหมียวอี้กลับยื่นมือไปหาอวิ๋นเป้า “อาแปด ส่งตัวประกันมาให้ข้า!”
อวิ๋นเป้าจับตัวชุยหย่งเจินลอยเข้ามา แล้วกล่าวอย่าอกสั่นขวัญแขวนว่า “เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะเหมียวอี้!”
เขากังวลจริงๆ ว่าเจ้าบ้านี่จะทำอะไรซี้ซั้ว เมื่อครู่นี้อยู่ดีๆ ก็ฆ่าจีเหม่ยเหมยไป ทำให้เขาตกใจเหมือนกัน เจ้าเวรนี่ไม่กลัวว่าจะโดนนภาหมื่นปีศาจล้างแค้นด้วยซ้ำ ยังจะหวังให้เขากลัวนภาอู๋เลี่ยงอีกเหรอ? ถ้าจะพูดแรงๆ หน่อยก็คือ เพิ่งนึกออกว่าชายคนนี้กล้าแย่งแม้แต่ลูกสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน ทั้งยังฆ่าหลานชายของเฟิงเป่ยเฉินไปแล้วด้วย
เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบเคร่งขรึม ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก ดึงตัวชุยหย่งเจินมาไว้ในมือ แล้วเอากระบี่จ่อที่คอชุยหย่งเจิน
“เหมียวอี้ เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว!” ฟู่หยวนคังร้องอุทาน เขาเองก็ตกใจที่เหมียวอี้ฆ่าจีเหม่ยเหมยอย่างเหี้ยมโหด กังวลว่าเหมียวอี้จะตัดคอชุยหย่งเจินอีก
เฟิงเป่ยเฉินกล่าวเสียงเข้มว่า “ไอ้จัญไร ถ้าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ก็ลองดูได้!”
“เฟิงเป่ยเฉิน เจ้าเองก็อย่าเล่นไม่ซื่ออะไรก็แล้วกัน ถึงอย่างไรชีวิตข้าก็ไร้ค่า ถ้าพบความไม่ชอบมาพากลอะไร ข้าก็จะลากลูกศิษย์เจ้ามารับกรรมด้วยกัน!” เหมียวอี้หันซ้ายหันขวา “พวกเราไปกันเถอะ!”
พอเขาขยับตัว กลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรและพวกอวิ๋นเป้าที่อยู่ในอาการตกใจก็คุ้มครองเขาออกไปจากตรงนั้น
ตอนที่ 912
ตกใจมาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฟิงเป่ยเฉินยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ตามไป เขาไปคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าให้คนอื่นไปแดนโพ้นสวรรค์ด้วย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นและต้องสู้กับมู่ฝานจวินจริงๆ คนอื่นก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน บางทีอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงเขาด้วยซ้ำ
หลังจากกลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นมองส่งตามเฟิงเป่ยเฉินจากไปไกล จีเต๋อไห่ที่กำลังอยู่ในความเศร้าโศกปนโกรธแค้น ฝาไห่และอวี้หนูเจียวก็รีบรายงานข่าวไปบอกอาจารย์ตัวเอง
คนจากสำนักหลอมของวิเศษแต่ละแห่งก็มากล่าวอำลาเจ้าสำนักโม่หมิงเช่นกัน ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ใครก็คาดไม่ถึงว่าการประลองของวิเศษจะจบลงด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่นานก็แยกย้ายกลับไปหมด
โชคดีที่เฟิงเป่ยเฉินมาคุมที่นี่ จึงไม่มีการต่อสู้ใหญ่โต รอบนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายกับสำนักงามวิจิตรมากนัก แต่ความเรี่ยราดระเกะระเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ย่อมมีคนไปเก็บกวาดให้อยู่แล้ว
ในชั้นลอย ฉินซีที่เห็นทุกอย่างกับตาตัวเองขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
ในบ้านเดี่ยวที่งดงามหลังหนึ่งตรงภูเขาด้านหลัง เซี่ยงไป่ถิงที่งานยุ่งมาพักหนึ่ง พอกลับมาถึงโถงรับแขกก็เห็นภรรยานั่งทำหน้าหดหู่เศร้าซึมอยู่อย่างนั้น
หลังจากมีข่าวลือออกมา โม่จวินหลันก็มีท่าทางอย่างนี้มาตลอด ถ้าในใจเซี่ยงไป่ถิงยังสุขสำราญได้ก็แปลกแล้ว เขาไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนั้นของนาง ขณะกำลังจะหันตัวเดินออกไป เสียงของโม่จวินหลันที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่!”
เซี่ยงไป่ถิงหยุดฝีเท้า กำลังฟังเสียงฝีเท้าของโม่จวินหลันที่เดินเข้ามาใกล้ โม่จวินหลันยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว ถามเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข่าวลือเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
หลังจากมีข่าวลือออกมา นางก็อยากถามแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จนใจที่พูดไม่ออก แต่สุดท้ายวันนี้ก็ทนไม่ไหว จึงถามออกมาแล้ว
เซี่ยงไป่ถิงพลันหันตัวมาตบหน้านางฉาดหนึ่งอย่างแรง เสียงตบดังสนั่น ตบจนโม่จวินหลันล้มนั่งลงบนพื้น จากนั้นก็ชี้นางพลางตวาดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ตอนนี้เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? นึกเสียใจทีหลังที่แต่งงานกับข้าเหรอ? อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่าก็ไปถามแม่เจ้าโน่น!”
เขาเองก็ไม่รู้ว่าความโมโหมาจากไหน สรุปก็คือคำพูดของโม่จวินหลันทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมากะทันหัน ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยหยาบคายกับนางเลย แม้แต่พูดแรงๆ สักคำก็ไม่เคย และไม่กล้าด้วย ถนอมปกป้องไว้ในอุ้งมือมาตลอด วันนี้กลับควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
แต่พอตบเสร็จแล้วก็นึกเสียใจทีหลัง ถึงแม้สามีเป็นช้างเท้าหน้าจะเป็นค่านิยมของโลกใบนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็แบ่งแยกชนชั้นอยู่เสมอ คนอื่นมีภรรยาหลายคนได้ แต่เขากลับไม่กล้า ขนาดเรื่องรับอนุภรรยายังไม่กล้าเอ่ยถึง ภูมิหลังของโม่จวินหลันก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไปมีเรื่องด้วยไหว
ดังนั้นเขาจึงรีบประคองโม่จวินหลันขึ้นมาด้วยความหวาดระแวงกลัว รีบขอโทษซ้ำๆ โม่จวินหลันสีหน้าเศร้าสลด ปล่อยให้เขาปลอบโยนไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ…
ณ แดนโพ้นสวรรค์ สถานที่ที่สงบเงียบและเจริญรุ่งเรือง
เมฆหมอกเลื่อนลอย ตำหนักหยกหลังหนึ่งที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย ตำหนักเก้าชั้นฟ้า!
ตำหนักหยกหลังหนึ่งที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า เมฆหมอกเลื่อนลอยตามลม บนบันไดหยกที่สูงลิ่ว มู่ฝานจวินยืนเอามือไขว้หลัง สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
โอวหยางกวงที่สีหน้าเศร้าอาดูรยืนก้มหน้าอยู่บนบันไดเบื้องล่าง ท่านทูตอีกเจ็ดคนที่โชคดีรอดมาได้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน ยืนเรียงรายอยู่ทางซ้ายและขวา โอวหยางกวงยังคงพร่ำบ่นอย่างระทมทุกข์
เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตร ท่านทูตทั้งแปดที่มาถึงก่อนได้รายงานข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว ขอให้ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินทวงความเป็นธรรมให้
ถึงแม้พวกเหมียวอี้จะมาทางนี้เหมือนกัน แต่การเหาะที่มีเหมียวอี้อยู่ตรงกลางนั้นค่อนข้างช้า สู้ความเร็วของคนพวกนี้ไม่ได้
ข้างหลังมู่ฝานจวิน จงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินและเยว่เหยากำลังยืนเรียงแถวหน้ากระดาน
หลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตร บนใบหน้าเยว่เหยาก็เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม หงเฉินเอียงหน้ามามองนางอยู่เป็นระยะ พลางแอบทอดถอนใจ พี่ใหญ่คนนี้ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว บางครั้งก็แอบซ่อนตัวไม่โผล่ออกมา แต่พอโผล่มาก็ก่อเรื่องทันที ก่อเรื่องไว้ใหญ่ขนาดนี้ จะหาข้อยุติอย่างไรดีล่ะ?
“พูดจบรึยัง?” พอโอวหยางกวงที่อยู่ข้างล่างหุบปาก มู่ฝานจวินก็มองลงเบื้องล่างพลางถามเสียงเรียบ
โอวหยางกวงกำหมัด “เหมียวอี้เป็นหนอนบ่อนไส้ ทำให้คุณชายรองไปตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน ท่านปราชญ์ได้โปรดลงโทษให้หนัก!”
“ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กับแดนอู๋เลี่ยงมีความแค้นต่อกันหรืออย่างไร? ใครเป็นคนอนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่สำนักงามวิจิตร? เยว่เทียนโปสมองมีปัญหารึเปล่า?” มู่ฝานจวินถาม
นางถามเข้าประเด็นทันที โอวหยางกวงอึ้งจนพูดไม่ออก เขารู้สถานการณ์เบื้องลึกชัดเจน เรื่องที่ไปแดนอู๋เลี่ยง มู่ฝานจวินส่งต่อให้อันหรูอวี้จัดการ และตอนที่เยว่เทียนโปรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป อันหรูอวี้ก็ตอบตกลงทันที ตอนแรกโอวหยางกวงก็ไม่รู้ ไปถึงสำนักงามวิจิตรแล้วถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โชคดีที่เยว่เทียนโปตายแล้ว ตายแล้วก็ไม่มีใครเป็นพยาน โอวหยางกวงที่โดนถามจนเสียวสันหลังวาบตอบอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”
ในดวงตามู่ฝานจวินฉายแววคมกริบ ชำเลืองมาอย่างเย็นเยียบ “แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงร่วมมือกันลอบสังหารเหมียวอี้ ในกลุ่มพวกเจ้ามีใครทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ไปเข้าร่วมด้วยรึเปล่า?”
นางถามคำถามนี้อย่างมีต้นสายปลายเหตุ เรียกได้ว่าแทงเข้าประเด็นสำคัญดาบแล้วดาบเล่า สามารถกลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยฐานะสตรี แสดงว่าไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว และไม่มีอะไรน่าโง่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงวางกับดักรั้งเหมียวอี้ไว้ไม่ได้ตั้งแต่แรกหรอก นางบีบจุดอ่อนของเหมียวอี้ไว้อย่างแน่นหนา
โอวหยางกวงโดนถามจนเหงื่อแทบแตก เขารู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม เคยเกลี้ยกล่อมอันหรูอวี้มาหลายครั้ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เวลาผู้หญิงจะดื้อดึงขึ้นมา จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็เกลี้ยกล่อมไม่อยู่
แต่ในตอนนี้โอวหยางกวงย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว ตอบเหมือนกับท่านทูตคนอื่นๆ บอกว่าไม่มีใครทำแบบนั้น
ท่านทูตคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องทราวเบื้องลึกจริงๆ อันหรูอวี้ก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ใครจะประกาศไปทั่วว่าตัวเองทำเรื่องแบบนี้
“ไม่มีก็ดี!” มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบ กวาดสายตามองทุกคน แล้วหยุดจ้องบนหน้าโอวหยางกวงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนไม่ยอมรับ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก นางหลับตาลงช้าๆ แล้วยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ที่นี่
ในเมื่อนางไม่ขยับไปไหน บรรดาท่านทูตที่อยู่ข้างล่างกับลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลังก็ยืนนิ่งอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน
รออยู่ไม่นาน ดวงตาหงส์ของมู่ฝานจวินก็พลันลืมตาขึ้น มองไปที่ขอบฟ้าด้วยตาเป็นประกาย ทุกคนมองตามอย่างรวดเร็ว
เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะมา พวกอวิ๋นเป้า กลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตร เหาะมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนพร้อมกับเหมียวอี้ ส่วนในมือเหมียวอี้ก็ยังจับตัวชุยหย่งเจินอยู่ โดยมีเฟิงเป่ยเฉินเหาะตามอยู่ข้างหลังกลุ่มพวกเขาอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อเห็นมู่ฝานจวินยืนอยู่นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า เฟิงเป่ยเฉินก็ถลันตัวเข้ามา ยืนอยู่บนบันไดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมู่ฝานจวิน สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา แล้วดึงอันหรูอวี้ออกมา ก่อนจะใช้มือบีบคอนางไว้ สภาพนางตอนนี้สะบักสะบอมเกินทน โดนจับเป็นตัวประกันอยู่ในข้อมือเหล็กของเฟิงเป่ยเฉิน
“ศิษย์พี่!” จงเจิ้นและศิษย์คนอื่นๆ เรียกอย่างเป็นห่วง
มู่ฝานจวินยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนเงียบทันที จากนั้นก็มองไปทางเหมียวอี้ที่กำลังนำกลุ่มคนเหาะลงมา ในมือเขากำลังจับชุยหย่งเจินเป็นตัวประกัน
เมื่อมาถึงที่นี่ พวกอวิ๋นเป้าลอยอยู่บนฟ้าไม่ได้เหยียบลงพื้น มีเพียงประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรที่ล้อมระวังรอบด้านให้เหมียวอี้
จะพูดอย่างไรดีล่ะ? ไม่ว่าเหมียวอี้จะถูกหรือจะผิด แต่การที่สามารถจับชุยหย่งเจินมาเป็นตัวประกันได้ สามารถกดดันจนเฟิงเป่ยเฉินจับตัวประกันมาขู่ สามารถต่อต้านเฟิงเป่ยเฉินและกลับมาจนถึงแดนโพ้นสวรรค์ได้ แค่นี้ก็ทำให้มู่ฝานจวินชื่นชมมากแล้ว แต่มู่ฝานจวินยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกเหรอ!” โอวหยางกวงชี้เหมียวอี้พลางตะคอกอย่างโมโห
“ไอ้เวรตะไลใจกล้า!”
“ไอ้หนอนบ่อนไส้!”
พวกท่านทูตเห็นเขาแล้วโมโหเดือดดาลมาก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เหมียวอี้เอาชีวิตพวกเขาไปแลกเปลี่ยน ไม่น่าเชื่อว่าประมุขปราสาทคนหนึ่งจะเอาชีวิตพวกท่านทูตไปแลกเปลี่ยน ไม่ต้องพูดถึงว่าน่าแค้นขนาดไหน ลองคิดดูว่าตอนนั้นหวาดเสียวขนาดไหน แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ไม่โกรธแค้นก็คงแปลก ย่อมต้องร่วมประณามอยู่แล้ว
จงเจิ้นกับถังจวินย้ายสายตากลับมาจากตัวเหมียวอี้ ทั้งสองสบตากันโดยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกพูดไม่ออก
ในดวงตาของหงเฉินกับเยว่เหยาเต็มไปด้วยความกังวลทุกข์ใจ
เหมียวอี้เหยียบลงบนบันไดด้านล่าง เหลือบมองเจ้าสามก่อนแวบหนึ่ง พึมพำในใจว่า พวกเจ้าคิดว่าข้าเต็มใจรึไง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามอยู่ที่นี่ ข้าคงสะบัดก้นหนีไปนานแล้ว
แต่คำพูดนี้แค่ผุดขึ้นในใจเท่านั้น เขาไม่ยอมเป็นคนเงียบที่ปล่อยให้คนอื่นประณามหรอก พอเอ่ยปากก็กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศกปนโกรธแค้นทันที “ท่านปราชญ์ได้โปรดทวงความยุติธรรมให้ข้าน้อย!”
มู่ฝานจวินขานรับเสียงเรียบ แล้วถามกลับว่า “ประมุขปราสาทเล็กๆ อย่างเจ้า มีเรื่องอะไรต้องให้ข้าทวงความยุติธรรมให้งั้นเหรอ?”
เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางกลุ่มท่านทูต “ไม่รู้ว่ามีใครบางคนในกลุ่มพวกเขาที่ไปร่วมมือกับแดนปีศาจและแดนอู๋เลี่ยง วางกับดักลอบทำร้ายข้าน้อยที่สำนักงามวิจิตร!”
เขาไม่ได้ระบุว่าเป็นอันหรูอวี้ เคาะไม้กระบองไปมั่วๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้ว่าทำไมไม่สนใจความเป็นความตายของกลุ่มท่านทูต เอาชีวิตของกลุ่มท่านทูตมาแลกเปลี่ยน
“เหลวไหล ประมุขปราสาทอย่างเจ้าคนเดียว มีค่าพอให้พวกเราวางแผนลอบทำร้ายด้วยเหรอ!” เหล่าท่านทูตย่อมโต้เถียงอย่างเดือดดาล
มู่ฝานจวินกวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกอวิ๋นเป้ากับพวกทะเลดาวนักษัตร แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน!” จากนั้นก็หันตัวไปถามเฟิงเป่ยเฉิน “เฟิงเป่ยเฉิน เสียแรงที่ครั้งก่อนข้าไปช่วยเจ้าจากเงื้อมมือของอวิ๋นอ้าวเทียนได้ทันเวลา แต่เจ้ากลับสังหารท่านทูตของข้า คิดจะเปิดศึกกับข้าเหรอ?”
เฟิงเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่เพราะลูกน้องเจ้าวางแผนทำให้ท่านทูตของข้าตายไปสี่คน แล้วอีกอย่าง ลูกน้องเจ้าจับลูกศิษย์ข้ามาเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองเงื่อนไขก่อนนะ ชีวิตลูกศิษย์ข้าอยู่ในมือลูกน้องเจ้า เขาดึงดันจะขู่บังคับให้ได้ ข้าก็แค่ช่วยให้เขาสมปรารถนา!”
“อย่าพูดเหลวไหลไร้ประโยชน์เลย เจ้าจะเอาอย่างไร?” มู่ฝานจวินถาม
เฟิงเป่ยเฉินใช้มือดันอันหรูอวี้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม “หนึ่งชีวิตแลกกับหนึ่งชีวิต!”
ถึงแม้เหมียวอี้จะรับปากแล้วว่าจะปล่อยตัวชุยหย่งเจินเมื่อมาถึงที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมียวอี้สามารถตัดสินใจเองได้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด… นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เขาจับตัวอันหรูอวี้
มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได พลางกล่าวเสียงเรียบ “ส่งตัวคนให้เขา!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับอย่างเด็ดขาด กดมือที่ขยุ้มคอชุยหย่งเจินเล็กน้อย ทำให้ชุยหย่งเจินร้องครางออกมาหนึ่งที ตอนนี้โดนเหมียวอี้โยนออกไปแล้ว
เฟิงเป่ยเฉินเอามือช้อนชุยหย่งเจินที่โซเซเข้ามา พร้อมทั้งผลักอันหรูอวี้จนโซเซออกไป
มู่ฝานจวินรับตัวอันหรูอวี้ไปวางไว้อีกด้าน หงเฉินกับเยว่เหยาเข้ามาประคองอันหรูอวี้ทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เฟิงเป่ยเฉินรับตัวชุยหย่งเจินมาเก็บไว้ แต่กลับถลันตัวเข้ามา โผเข้าใส่เหมียวอี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“เฟิงเป่ยเฉิน!” มู่ฝานจวินตวาดเสียงเข้ม ไล่ตามเข้ามาทันที
เหมียวอี้ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะลอบโจมตีในสถานที่แบบนี้ และอานุภาพยามเฟิงเป่ยเฉินลงมือ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานไหวเลย
เคราะห์ดีที่ประมุขถิ่นสี่ทิศที่อยู่ข้างกายเคลื่อนไหวพร้อมกัน รีบลงมือปกป้องเขา อานุภาพยามลงมือไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านทูตจะเทียบติด แถมทั้งสี่ยังเคยมีประสบการณ์สู้กับเฟิงเป่ยเฉินมาแล้วด้วย
สงเวยคุ้มกันเหมียวอี้ให้ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ส่วนหงเทียนกับฝูชิงก็ออกหมัดมาสกัดเอาไว้ราวกับขุนเขา อิงอู๋ตี๋กลายร่างเป็นมายามานับร้อยพันในชั่วพริบตาเดียว ใช้กรงเล็บเหยี่ยวขยุ้มตัดสลับกันไปทั่ว รีบล้อมโจมตีเฟิงเป่ยเฉิน
ยามพวกเขาประมือกันก็เหมือนโลกจะแตก จงเจิ้นกับเหล่าท่านทูตรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปกป้องยอดเขาเอาไว้ ตำหนักเก้าชั้นฟ้าจะได้ไม่พังทลาย
มู่ฝานจวินเหาะมาถึงในชั่วอึดใจเดียว พอม้วนแขนเสื้อขึ้น ก็ปรากฏอัสนีบาตสีสันสะดุดตาเจ็ดสายทันที ราวกับมีงูสายฟ้าพันอยู่บนแขนนาง นางชกไปที่เฟิงเป่ยเฉินหนึ่งหมัด สายฟ้าผ่าตัดสลับกันท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า สายฟ้าที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นอานุภาพของเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างแท้จริง!
ตอนที่ 913
ใช้วิธีการสกปรกไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นอานุภาพที่แท้จริงของเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จงเจิ้นและลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเผยแววตาอิจฉา ทว่าช่วยไม่ได้ เคล็ดวิชาไม้ตายของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่มีทางถ่ายทอดออกมาง่ายๆ ไม่อย่างนั้นหากลูกศิษย์ของตัวเองเกิดเจตนาชั่วร้ายขึ้นมา ดีไม่ดีอาจจะไม่สามารถยุติเรื่องได้และโดนลูกศิษย์แว้งกัด
ที่จริงหกปราชญ์ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ยามอาจารย์ส่วนใหญ่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ แต่ไหนแต่ไรมาก็จะสงวนไว้ส่วนหนึ่ง คำโบราณกล่าวไว้ว่า แมวสอนเสือต้องออมมือเอาไว้ ห้ามสอนเสือปีนต้นไม้
หงเทียนกับฝูชิงที่พยายามขัดขวางเต็มที่ ถึงแม้การโจมตีจะรุนแรงดุเดือด แต่กลับทำอะไรเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงคือการสะท้อนพลังกลับ กอปรกับการโจมตีด้วยพลังอิทธิฤทธิ์หลายชั้น ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสองครั้ง สองคนที่เข้ามาขวางกระเด็นถอยหลังไปทันที
คนที่สร้างความยุ่งยากใจให้เขามากที่สุดกลับเป็นอิงอู๋ตี๋ การรุกโจมตีของอิงอู๋ตี๋เรียกได้ว่าโด่งดังเรื่องความเร็วมากในพิภพเล็ก ในใต้หล้าไม่มีใครทัดเทียม ไม่ได้ใช้พลังโจมตี แต่ใช้ความเร็วโจมตี กรงเล็บเหยี่ยวโดนจุดสำคัญของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่วงเวลาเขาได้แล้ว
ใช้เวลาห่างกันแค่นิดเดียว มู่ฝานจวินโจมตีเข้ามาแล้ว เฟิงเป่ยเฉินฟาดกลับหนึ่งฝ่ามือภายใต้ความฉุกละหุก ทำให้เกิดเสียงระเบิดบึ้มดังขึ้นหนึ่งครั้ง
มู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินสะเทือนถอยหลังพร้อมกัน เมื่อเจอกับมู่ฝานจวิน มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินได้ผลน้อยลงเยอะมาก วรยุทธ์ยังไม่สูงถึงระดับที่สามารถคลายการโจมตีของสายฟ้าได้ เรียกได้ว่าสีหน้าบิดเบี้ยวแยกเขี้ยวยิงฟันร่ายอิทธิฤทธิ์ทนรับการโจมตีที่ต่อเนื่องของอัสนีบาดเจ็ดสาย
แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็มีจุดที่พิเศษเช่นกัน ถึงแม้จะต้านทานการโจมตีของสายฟ้าไม่อยู่ แต่กลับต้านทานการโจมตีจากพลังจริงได้ มู่ฝานจวินก็ย่อมไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็ฉวยโอกาสเหาะขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง หลุดออกจากการพัวพันของอิงอู๋ตี๋ แต่บนตัวยังมีกระแสฟ้าไหลเวียน เหาะขึ้นฟ้าไปไกลอย่างรวดเร็ว
เขาไม่คิดจะลงมือสังหารเหมียวอี้อีก เพราะพลาดโอกาสไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดมาที่นี่แล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศจะยังเตรียมพร้อมปกป้องเหมียวอี้ในระดับสูงอยู่อีก การพัวกันที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำให้เขาพลาดโอกาสดีในการสังหารไป เมื่อมู่ฝานจวินมีการเตรียมพร้อม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเหมียวอี้สำเร็จ ทำได้เพียงออกไปจากตรงนั้น ไม่อย่างนั้นถ้าสู้กับมู่ฝานจวินก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์แพ้ชนะ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์
ที่จริงระหว่างทางที่มา ไม่มีสายตาคนจับจ้องเยอะเท่าไหร่ เฟิงเป่ยเฉินอยากจะลงมือฆ่าเหมียวอี้ทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนใจที่ชุยหย่งเจินอยู่ในมือเหมียวอี้ ทั้งยังมีกลุ่มของนภาจอมมารกับทะเลดาวนักษัตรคุ้มกันอีก หาโอกาสลงมือไม่ได้
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่ตอนอยู่สำนักงามวิจิตร ตอนที่ตนบอกให้เหมียวอี้ส่งตัวชุยหย่งเจินมาให้ ตอนนั้นก็คิดจะลงมือฆ่าเหมียวอี้แล้ว แต่ตอนนั้นอยู่ต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า จะต้องแสดงมาดของปราชญ์เต๋าผู้สง่าผ่าเผยที่พูดจาคำไหนคำนั้น ลงมือสังหารไม่ได้ แต่หลังจากออกสำนักงามวิจิตรมาก็ต้องการจะลงมือ แต่ใครจะไปคิดล่ะ! ว่าเหมียวอี้จะเลือกสละชีวิตท่านทูตสี่คน แทนที่จะยอมปล่อยชุยหย่งเจิน ต่อให้ตายก็จะต้องเอาชุยหย่งเจินมาเป็นเกราะกำบัง!
เข้าถึงขั้นอยากจะสละชีวิตชุยหย่งเจินเพื่อสังหารเหมียวอี้ทิ้ง แต่คนที่อยู่ในฐานะระดับเขา ไม่สามารถทำตามอารมณ์ได้ง่ายๆ อีก จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสีย การเอาชีวิตของชุยหย่งเจินไปแลกกับชีวิตเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า
กว่าจะเลี้ยงดูฝึกฝนลูกศิษย์คนหนึ่งให้ถึงระดับบงกชทองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนไปเยอะมาก ทั้งยังเป็นคนสนิทที่ใช้ให้ทำงานแทนได้ ถ้าจะให้ฝึกเลี้ยงใหม่อีกคน ก็ใช่ว่าจะทำได้ภายในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่ได้ใช้ทรัพยากรฝึกตนจำนวนมหาศาลกับเวลาหลายหมื่นปี ก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
ดังนั้นถึงได้รอจนมาถึงที่นี่ รอให้ได้ตัวชุยหย่งเจินกลับมาก่อนค่อยลงมือ ถึงแม้จะรู้ว่าอาจทำไม่สำเร็จ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยเหมียวอี้ไปเฉยๆ ลองลอบโจมตีดูสักหน่อยดีกว่า แต่ผลที่ได้ก็คือความล้มเหลว
เหมียวอี้ได้ผูกความแค้นใหม่กับเขาอีกแล้ว ความคิดอยากจะฆ่าเหมียวอี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องในวันนี้ แต่คิดจะฆ่ามาตั้งนานแล้ว หลังจากเฟิงเสวียนตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่ทะเลทรายม่านเมฆา เขาก็คิดจะลงมือแล้ว แต่ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ อวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้ามาแทรก จู่ๆ ก็มาลอบโจมตีเขาก่อน โจมตีจนเขาบาดเจ็บสาหัส และขู่เตือนเขาไว้ด้วย ทำให้เขายังกังวลไม่กล้าแตะต้องเหมียวอี้ แต่ครั้งนี้เหมียวอี้กลับมาหาถึงที่และชิงตัวลูกศิษย์ของเขาเป็นตัวประกัน เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ลอบโจมตีครั้งนี้
มู่ฝานจวินลอยอยู่กลางอากาศ มองตามเฟิงเป่ยเฉินจนหายลับไปในท้องฟ้า นางไม่ได้ตามไปอีก เพราะรู้เช่นกันว่าสู้กันไปก็หาคนชนะไม่ได้ ตอนนี้นางจึงเหล่ตามองอิงอู๋ตี๋อย่างเย็นเยียบ
ในกรงเล็บของอิงอู๋ตี๋ขยุ้มแขนเสื้อไว้ชิ้นหนึ่ง ตอนนี้เขาคลายกรงเล็บโยนทิ้งไป เมื่อครู่นี้เพิ่งฉวยโอกาสดึงมาจากแขนเสื้อของเฟิงเป่ยเฉิน สุดท้ายก็ยังพลาดไปนิดเดียว ยังทำให้เฟิงเป่ยเฉินเจ็บตัวไม่ได้
ฝูชิงและหงเทียนที่สะเทือนปลิวออกไป ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมให้เลือดลมที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายหายเป็นปกติ แล้วลอยกลับมาอย่างช้าๆ
เหมียวอี้ที่เพิ่งรีบสวมเกราะทองถอนหายใจเบาๆ วางทวนยาวที่ถือไว้ในมืออย่างช้าๆ เรียกได้ว่ายังหวาดผวาไม่หาย
เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือกะทันหันเกินไป เคราะห์ดีที่ประมุขถิ่นสี่ทิศไม่ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเป็นครั้งแรก พอจะรู้จักนิสัยใจคอของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง จึงเตรียมพร้อมเฝ้าระวังเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด ถึงได้ป้องกันการลอบจู่โจมได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะต้องประสบหายนะแล้วจริงๆ ความคิดที่แวบขึ้นมาเมื่อครู่นี้ก็คือ ต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร พยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้านทานเฟิงเป่ยเฉินไหวหรือไม่
บนท้องฟ้า อวิ๋นเป้าก็โล่งใจแล้วเช่นกัน เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือได้รวดเร็วเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาต้านไม่ไหว ต่อให้ต้านไหวก็ต้านไม่ทันอยู่ดี
“เด็กเปรตของนภาจอมมาร ถ่อมาทำอะไรที่แดนโพ้นสวรรค์ของข้า?” มู่ฝานจวินพลันจ้องอวิ๋นเป้าพลางตะคอก
อวิ๋นเป้าพูดไม่ออก และไม่แก้ตัวอะไรด้วย นภาจอมมารเตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อตระกูลอวิ๋นมาเจอกับผู้หญิงคนนี้ ก็ไม่สามารถพูดกันด้วยเหตุผลได้เลย นภาจอมมารไม่ให้พวกเขาไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เวลาที่ควรจะอดทนก็ต้องอดทน ถึงอย่างไรก็คุ้มกันเหมียวอี้มาส่งถึงที่แล้ว เขาถ่ายทอดเสียงบอกลาเหมียวอี้ แล้วดึงกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรออกไปจากที่นี่ด้วยกันอย่างเซ็งๆ
พวกเขานัดกันไว้แล้วว่าจะรอฟังข่าวของเหมียวอี้อยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์
มู่ฝานจวินเหาะลงมาเหยียบที่ด้านนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วคลายจุดที่เฟิงเป่ยเฉินสกัดไว้บนตัวอันหรูอวี้ โคจรพลังอิทธิฤทธิ์ให้อันหรูอวี้ที่เซื่องซึมไร้ชีวิตชีวา ทำให้กำลังวังชาฟื้นตัวกลับมาเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หลังจากอันหรูอวี้คำนับปราชญ์เซียนแล้ว ก็พลันชี้ไปที่เหมียวอี้
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่ฝานจวินก็หันตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักแล้ว พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “เจ้ามานี่หน่อย!”
อันหรูอวี้ที่คำพูดติดอยู่ในลำคอทำได้เพียงเดินตามหลังนางไป ก่อนไปยังหันหน้ามาจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายด้วย
เหมียวอี้หันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
แต่คนอื่นๆ กลับไม่คิดจะปล่อยเขาไปแน่นอน ท่านทูตแปดคนที่เหลือเดินลงจากบันไดอย่างช้าๆ เพื่อมาคิดบัญชีกับเขา
โดยเฉพาะโอวหยางกวง พอเจอหน้าก็ด่าเขาทันที “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร!”
“ข้าจะอยู่หรือจะตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ใช่ท่านทูตสายมะโรงเสียหน่อย เจ้าควบคุมได้เหรอ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วกวาดมองท่านทูตแปดคนที่เข้ามาล้อมตัวเอง พร้อมเตือนว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? พวกหนอนบ่อนไส้ วางแผนลอบสังหารข้าที่สำนักงามวิจิตรไม่ได้ แล้วยังคิดจะลงมือกับข้าที่นี่อีกเหรอ?”
กลุ่มท่านทูตเดือดดาลทันที “เจ้าว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้?”
“ใครที่วางกับดักทำร้ายข้า ข้าก็ว่าคนนั้นแหละ! หลีกไป!” เหมียวอี้เบียดตัวออกมาจากวงล้อมโดยตรง เพราะเขาแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่กล้าลงมือที่นี่ จึงขี้คร้านจะสนใจ ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว เขาวิ่งขึ้นมาด้านบน แล้วคำนับจงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินและเยว่เหยา “คุณชายสาม คุณชายสี่ คุณชายห้า คุณชายหก!”
ทั้งสี่มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด จงเจิ้นกับถังจวินพยักหน้าพลางยิ้มตามมารยาท ถ้ามู่ฝานจวินยังไม่ได้จัดการ ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแสดงความเห็นอะไร
หงเฉินมองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก ทำท่านทูตตายไปแล้วสี่คน ยังกล้าเหยียบจมูกขึ้นหน้าท่านทูตคนอื่นอีก หรือคิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของเยว่เหยาแล้วจะไม่สนใจอะไรได้?
เยว่เหยากลับมองเขาอย่างโมโหฉุนเฉียว
ตอนที่เอียงหน้าหลบสายตาของกลุ่มคน เหมียวอี้ก็กะพริบตาให้นาง จากนั้นก็มายืนรอโดนทำโทษอยู่ข้างๆ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น เขาครุ่นคิดจนใจลอย ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะช่วยชีวิตชุยหย่งเจินได้หรือไม่…
ในป่าภูเขาที่อยู่ไม่ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์เท่าไรนัก เฟิงเป่ยเฉินลงมาซ่อนตัวที่นี่ เขาไม่ได้ออกไปไหนไกล และไม่ได้คิดจะออกไปด้วย เตรียมจะรออยู่ที่นี่ก่อน เพราะเขารู้ว่าหลังจากอีกสี่ปราชญ์ทราบว่าเยารั่วเซียนอยู่ในมือมู่ฝานจวิน ก็จะต้องรีบตามมาที่นี่แน่นอน ความคึกครื้นนี้จะขาดเขาไปได้อย่างไร
สาเหตุรองลงมา ก็คือจะหาโอกาสลงมือสังหารเหมียวอี้อีก ตอนที่อีกสี่ปราชญ์ยกพวกมาเอาเรื่องที่นี่ เขาจะต้องมีโอกาสลงมือแน่นอน แค่คนต่ำต้อยคนเดียว แต่กลับมามีเรื่องกับเขาครั้งแล้วครั้งแล้ว ถ้าไม่ฆ่าทิ้งก็ไม่สามารถหยุดเสียงวิจารณ์ของผู้คนในใต้หล้าได้ เขาเกือบจะเสียหน้าจนหมดสิ้นเพราะเหมียวอี้ จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร!
เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ นำชุยหย่งเจินออกจากกระเป๋าสัตว์ เตรียมจะถามชุยหย่งเจินว่าเมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรกันแน่
ทว่าผลที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขาตกใจมาก ชุยหย่งเจินมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ที่รูจมูกมีฟองเลือดผุดออกมา ร่างกายร้อนจี๋ ทั้งตัวยังสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกสักคำ เพียงมองเขาด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ
เฟิงเป่ยเฉินรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกายของนาง ทำให้สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว พบว่าน้ำเลือดในร่างกายนางเดือดเหมือนน้ำต้มโดยไม่รู้สาเหตุ จึงช่วยร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับอาการให้ทันที แต่ในร่างกายนางเหมือนจะมีของประหลาดบางอย่างเจือปน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะละลายพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนแผดเผา
สิ่งนี้คืออะไร? เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาไม่สามารถช่วยชุยหย่งเจินกำจัดของประหลาดนี้ได้ และไม่มีทางระงับได้ด้วย!
เมื่อเห็นชุยหย่งเจินทำท่าเหมือนไม่ไหวแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็รีบนำดวงจิตน้ำแข็งออกมา นำมาแช่เย็นร่างกายที่ร้อนผ่าวของชุยหย่งเจิน ถึงขั้นยัดเข้าปากชุยหย่งเจินไปเม็ดหนึ่งด้วย ร่ายอิทธิฤทธิ์บังคับให้เข้าไปในร่างกายนาง จากนั้นก็นำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอีก เป่าหมอกประกายดาวออกมาช่วยไม่หยุด
สรุปก็คือนึกถึงวิธีการอะไรได้ก็ใช้ไปหมดแล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดวงจิตน้ำแข็งก็ไม่สามารถระงับของประหลาดที่อยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินได้ สมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีสรรพคุณอัศจรรย์ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ฤทธิ์ยาที่อยู่ในหมอกดาว พอเข้าไปอยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินก็ถูกเผาทันที
สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ชุยหย่งเจินตาเหลือก ร่างกายหยุดชักกระตุกแล้ว ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป ตายจนไม่รู้จะตายยังไงแล้ว แต่ยังมีฟองเลือดพ่นปุดๆ ออกมาจากจมูก
จนถึงตอนนี้แล้ว มีหรือที่เฟิงเป่ยเฉินจะไม่รู้ว่าชุยหย่งเจินโดนเล่นสกปรกใส่ แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกใจก็คือ เขาไม่เคยพบพิษประหลาดชนิดนี้มาก่อน ทำให้เขาคิดหาทางช่วยเยียวยารักษาไม่ได้เลยสักนิดเดียว
ขณะมองดูร่างที่ผิวกายเป็นสีแดงสดของชุยหย่งเจิน เฟิงเป่ยเฉินก็หน้าดำเหมือนเมฆครึ้ม กำหมัดสองข้างไว้แน่นจนสั่นระริก ไอ้จัญไรมันช่างใจกล้านัก ขนาดปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินออกโรงเองยังกล้าใช้วิธีการสกปรก ตัวเองดันพลาดให้กับฝีมืออันต่ำต้อยประเภทนี้ สิ้นเปลืองความพยายามไปขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยกลับมาได้แค่ร่างคนตาย…
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า อันหรูอวี้ที่สภาพสะบักสะบอมยืนนิ่งอยู่ตรงเบื้องล่างของบัลลังก์ เห็นเพียงมู่ฝานจวินนั่งหลับตาเงียบๆ อยู่บนบัลลังก์หยกเย็น ลูกตาที่อยู่ใต้หนังตากำลังกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็ไม่กล้าเอ่ยเสียงรบกวนเหมือนกัน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็เหมือนจะตัดสินใจได้เลย ลืมดวงตาหงส์อย่างช้าๆ จ้องอันหรูอวี้ที่อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาคมกริบ พร้อมถามว่า “ใครอนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่สำนักงามวิจิตร?”
อันหรูอวี้เกร็งหนังศีรษะ นึกไม่ถึงว่าท่านปราชญ์จะถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก นายไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ก้มหน้าตอบว่า “คงจะเป็นเยว่เทียนโปพาไปค่ะ”
“เยว่เทียนโปตายแล้ว ตายแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้เสียด้วยสิ!” มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หรูอวี้ เจ้ากับข้าอยู่ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์เองก็ไม่อยากทำรุนแรงเกินไป! อาจารย์จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าได้วางแผนทำร้ายเหมียวอี้รึเปล่า? คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ เหลือทางกลับตัวไว้ให้อาจารย์สักหน่อย และเหลือทางกลับตัวไว้ให้ตัวเองด้วย!”
ตอนที่ 914
ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดนี้ค่อนข้างแทงใจดำ นับว่าเป็นการยื่นคำขาดสุดท้าย เท่ากับเป็นการบอกอันหรูอวี้ว่านางไม่อยากฟังคำโกหก
สามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ ก็แสดงออกถึงปัญหาอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่านางรู้อะไรมาบ้างแล้ว นางเหลือทางกลับตัวไว้ให้อันหรูอวี้อย่างที่นางบอก ถ้าอันหรูอวี้ยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกอีก ไมตรีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
อันหรูอวี้ยังจะกล้าปากแข็งได้อย่างไร นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว นางมีสามี มีลูกสาว มีน้องชายแท้ๆ นางแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว จึงกัดริมฝีปากและคุกเข่าลง กล่าวพร้อมน้ำตาทันทีว่า “ศิษย์เลอะเลือนไป ศิษย์เลอะเลือนไปเอง ท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตา!”
มู่ฝานจวินจ้องมองข้างล่างอย่างเย็นชา ถามอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “โอวหยางกวงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”
อันหรูอวี้พลันหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผงกศีรษะโขกพื้นทันที พลางแก้ตัวอย่างร้อนรน “ท่านอาจารย์ ศิษย์เลอะเลือนเอง ศิษย์เลอะเลือนคนเดียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวง โอวหยางกวงเกลี้ยกล่อมศิษย์ตั้งหลายครั้ง แต่ศิษย์เหมือนโดนภูติผีดลใจ ไม่เชื่อฟังเขา!”
ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังโอวหยางกวง ตอนนี้เหมือนโดนภูติผีดลใจจริงๆ
มู่ฝานจวินกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ท่านทูตสี่คน นักพรตบงกชทองสี่คน ตายไปเพราะความคิดชั่ววูบของเจ้า ถ้าไม่ลงโทษเจ้า แล้วจะให้อาจารย์อธิบายกับคนในใต้หล้าอย่างไร? เจ้าว่ามาเถอะ อาจารย์ควรจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”
อันหรูอวี้ตอบพร้อมเสียงสะอื้น “เป็นความผิดของศิษย์คนเดียวค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาสักครั้ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวงจริงๆ!”
ถ้าสองสามีภรรยาได้รับโทษทั้งคู่ นางก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าลูกสาวทั้งสองของตนจะทำอย่างไรเมื่อขาดที่พึ่ง นี่คือสังคมคนกินคน หากคนหนึ่งสิ้นอำนาจลง ก็มีคนอีกเป็นโขยงรอเหยียบ ฮูเหยียนไท่เป่าศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว นางกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะมีจุดจบเหมือนตระกูลฮูเหยียน บางครั้งผู้ชายก็แค่ตายไป แต่ผู้หญิงอาจจะลำบากยิ่งกว่าตายเสียอีก
“เจ้าทำแบบนี้ทำไม? หรือว่าเรื่องที่ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้คือเรื่องจริงๆ?” มู่ฝานจวินถาม
อันหรูอวี้เอามือยืนพื้น ตอบว่า “ค่ะๆ” นับว่ายอมรับแล้ว
“ทำไมลูกสาวทั้งสองของเจ้าถึงไปอยู่กับเหมียวอี้ได้? เล่าที่มาที่ไปให้ชัดเจน!” มู่ฝานจวินตะคอกถาม
อันหรูอวี้หวาดกลัวยำเกรง จำเป็นต้องเล่าความจริงออกมา เรื่องนี้ย่อมมีที่มาจากทะเลทรายม่านเมฆา…
หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้โดนฝาแฝดคู่นั้นขืนใจ ขนาดคนที่เยือกเย็นเงียบขรึมอย่างมู่ฝานจวิน ในดวงตาก็ยังฉายแววแปลกใจ
“เหมียวอี้ไม่ได้ผิดอะไร เจ้าวางแผนทำร้ายเขาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ? ข้าเฝ้าดูเจ้าเติบโตมาตลอด เจ้าจิตใจคับแคบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“มีบางอย่างที่ท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ! เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ลูกสาวทั้งคู่แต่งงานกับเขา แต่ไอ้เหมียวจัญไรนั่นทำตัวน่ารังเกียจ…” อันหรูอวี้เล่าว่าตัวเองประจบเอาใจเหมียวอี้ย่างไร ถึงขนาดเล่าเรื่องที่บังคับให้ลูกสาวเย็บเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ด้วย ใครจะคิดว่าเบื้องหลังเหมียวอี้จะแอบคบกับเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งยังแต่งงานกับอีกฝ่ายด้วย หลังจากเกิดเรื่องนั้นนางก็อับอายจนโกรธแค้น ลูกสาวที่โดนบังคับให้จับเข็มเย็บผ้าก็ยิ่งอับอายจนเกินทน แทบจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกันแล้ว นางข่มความแค้นไม่ไหวจริงๆ
หลังจากได้ฟังความจริงจนจบ มู่ฝานจวินก็นับว่าเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่เหมียวอี้ชิงตัวอวิ๋นจือชิวแล้วไม่กล้ากลับแดนเซียน สงสัยจะมีเหตุผลนี้แอบแฝงอยู่
แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ชอบอวิ๋นจือชิวจริงๆ เขาไม่ใช่แค่สร้างศัตรูไปทั่วเพราะเรื่องนี้ ทั้งยังยอมทิ้งอนาคตที่ดีอีกด้วย
มู่ฝานจวินจึงกล่าวว่า “ธรรมเนียมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ เรื่องร่างกายด่างพร้อยทำให้ฝ่ายหญิงรับไม่ได้ที่สุด ต่อให้แข็งแกร่งอย่างอาจารย์ ก็ไม่มีอาจเปลี่ยนธรรมเนียมของสังคมได้อยู่ดี ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก ลูกสาวคู่นั้นของเจ้า เจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน หรืออยากจะให้เป็นอย่างนี้ไปทั้งชีวิต? ถ้าเจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน อาจารย์ก็จะช่วยเตรียมการให้เอง!”
อันหรูอวี้ที่ร้องไห้จนตาพร่าพลันเงยหน้า “ในโลกนี้มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาบ้างคะ อาจารย์ได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา!”
ชีวิตการแต่งงานของลูกสาวทั้งคู่ หากมีท่านอาจารย์ออกหน้าสนับสนุนให้ได้ แบบนั้นก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว อย่างน้อยในภายหลังก็ไม่มีใครในแดนเซียนกล้านินทาว่าร้ายหรือสร้างความไม่เป็นธรรมต่อลูกสาวนาง นี่คือสิ่งที่นางปรารถนามาก
“ก่อนหน้านี้เจ้าอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อพวกนางเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้แล้ว ถ้าจะดันทุรังให้แต่งกับคนอื่นก็จะฟังดูไม่เข้าท่า อาจารย์จะตัดสินใจเรื่องนี้ให้เจ้า แต่งกับเหมียวอี้ก็แล้วกัน แต่งให้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้!” มู่ฝานจวินกล่าว
ตอนแรกอันหรูอวี้ก็ดีใจ เมื่อฟังที่พูดตอนแรก ก็ยังนึกว่าท่านอาจารย์จะให้เหมียวอี้ทิ้งอวิ๋นจือชิวแล้วมาแต่งงานกับลูกสาวนาง ใครจะคิดว่าพอฟังถึงตอนท้าย ถึงได้รู้ว่าจะให้ลูกสาวทั้งสองของนางเป็นอนุภรรยา นางชะงักทันที หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็โขกศีรษะพูดช่วงชิงทันที “ท่านอาจารย์ อวิ๋นจือชิวชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว ถ้าจะให้หย่าร้างก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ศิษย์ไม่อยากให้ลูกสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ท่านอาจารย์ได้โปรดออกคำสั่งให้เหมียวอี้เลิกกับอวิ๋นจือชิวด้วยค่ะ!”
มู่ฝานจวินที่เดิมทีสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้กลายเป็นบึ้งตึงในชั่วพริบตาเดียว ในดวงตาฉายแววขุ่นเคือง กล่าวเสียงเย็นว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเป็นคนประทานงานแต่งงานให้เหมียวอี้เอง ที่ข้าอนุญาตให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานกับเหมียวอี้อีกก็นับว่าเมตตาแล้ว! คำสั่งของข้าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร คิดว่าคำสั่งของข้าเป็นของเด็กเล่นอย่างนั้นเหรอ?”
อันหรูอวี้ไม่รู้ว่าทำไมนางต้องไม่พอใจขนาดนี้ ก็แค่ทิ้งผู้หญิงจากแดนมารแค่คนเดียว นางจึงโขกศีรษะกับพื้นอีกครั้ง “ศิษย์มิบังอาจ! ศิษย์เพียง…”
“พอแล้ว!” มู่ฝานจวินพูดตัดบทเสียเลย “ผู้หญิงเราน่ะ ได้แต่งงานกับคนที่ใช่ถือว่าสำคัญที่สุด การจะมีชีวิตดีหรือไม่นั้น ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นภรรยาเอกหรือเป็นอนุภรรยา อาจารย์เป็นคนประทานงานสมรสด้วยตัวเอง เหมียวอี้ยังจะกล้าปฏิบัติต่อลูกสาวเจ้าอย่างโหดร้ายเชียวหรือ? ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่งกับเหมียวอี้ก็ดีกว่าแต่งกับคนอื่นให้โดนหมางเมินไปทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ว่าความบริสุทธิ์ของสตรีหมายความว่าอย่างไรในธรรมเนียมของสังคม คำพูดคนนั้นน่ากลัว สามารถล่องหนฆ่าคนได้ ใช่ว่าในใจเจ้าจะไม่กังวลเรื่องนี้ เพียงแต่ฐานะของเจ้าทำให้เจ้าเสียหน้าไม่ลง ตอนนี้อาจารย์จะประทานงานสมรสเพื่อหาทางออกให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก? แต่งหรือไม่แต่ง ตอบข้ามาตรงๆ เดี๋ยวนี้เลย!”
อันหรูอวี้จำต้องยอมรับว่าโดนพูดเปิดโปงความกังวลในใจ การจะให้ลูกสาวไม่ได้แต่งงานไปทั้งชีวิต คนเป็นแม่ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ยอมที่ต้องไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่าย แต่การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนก็เป็นเรื่องปกติสำหรับโลกใบนี้ และในใจนางก็คิดว่าแต่งงานกับเหมียวอี้เหมาะสมที่สุด เพราะความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่นางแค่ทำใจเสียหน้าไม่ลง วันนี้ปราชญ์เซียนจะตัดสินใจให้แล้ว ถือเป็นการหาทางออกให้นางแล้วจริงๆ
นางเอามือยันพื้นพลางไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ศิษย์ยินดีเชื่อฟังตามที่อาจารย์เตรียมการ แต่งค่ะ!”
มู่ฝานจวินสีหน้าผ่อนคลายลงแล้ว “อย่าเพิ่งประกาศเรื่องนี้ให้ภายนอกรู้ อีกสองปีก็แล้วกัน! หลังจากส่งส่วยประจำปี อาจารย์จะประทานงานสมรสให้ลูกสาวทั้งสองของเจ้า รอให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานเสร็จ เจ้าก็ไปรับช่วงต่อจากศิษย์พี่ใหญ่ที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง ไปยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อทบทวนความผิดก็แล้วกัน! โอวหยางกวงควบคุมไม่ได้แม้แต่เมียของตัวเอง ข้าว่าตำแหน่งท่านทูตของเขาควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว รอจัดการทุกอย่างหลังจากจบงานแต่งงานของลูกสาวเจ้า เดี๋ยวให้โอวหยางกวงไปรับงานต่อจากอันเจิ้งเฟิงที่สมาคมร้านค้าทะเลทรายม่านเมฆา ส่วนตำแหน่งท่านทูตสายชวด ก็เปลี่ยนให้อันเจิ้งเฟิงน้องชายเจ้ามารับต่อแล้วกัน!”
ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์ อันหรูอวี้สะอึกสะอื้นพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยให้สมปรารถนา!”
นางเองก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไว้หน้านางเต็มที่แล้ว ถ่วงเวลาลงโทษพวกเขาสองสามีภรรยาเอาไว้หลังจากลูกสาวแต่งงาน ก็นับว่าให้เกียรติลูกสาวนางแล้ว ไม่ได้ลงโทษสามีกับน้องชายนางไปด้วย เพียงแค่สลับตำแหน่งเพื่อเป็นการตักเตือน นับว่าใจกว้างโอบอ้อมอารีแล้วเช่นกัน
“จงเจิ้น! เยว่เหยา!” มู่ฝานจวินพลันร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก เสียงทะลุออกไปนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยตรง
จงเจิ้นกับเยว่เหยารีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นอันหรูอวี้นั่งคุกเข่าเช็ดน้ำตา ทั้งสองก็แอบแปลกใจ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ทำอะไรผิดมา ทั้งสองยืนนิ่งแล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านอาจารย์!”
“เยว่เหยา ไปที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง เรียกศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้ามาพบข้า” มู่ฝานจวินกล่าว
เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รีบเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที
ผ่านไปไม่นาน ฮูเหยียนไท่เป่าที่ยืนสำนึกผิดอยู่ที่เขตหวงห้ามก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พอเห็นอันหรูอวี้กำลังคุกเข่า เขาก็แอบแปลกใจอยู่บ้าง ส่วนตัวเองก็คุกเข่าหน้าแนบพื้นเช่นกัน “ศิษย์เข้าพบท่านอาจารย์พร้อมความผิดติดตัว!”
“ทั้งคู่ลุกขึ้นเถอะ!” มู่ฝานจวินกล่าว
ฮูเหยียนไท่เป่ากับอันหรูอวี้ที่นั่งคุกเข่าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกัน
“ไท่เป่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามารับงานต่อจากหรูอวี้ เดี๋ยวพวกเจ้าสองคนไปส่งมอบงานกันด้วย” มู่ฝานจวินถามกล่าว
ฮูเหยียนไท่เป่างงทันที แต่ก็แอบดีใจ หมายความว่าตัวเองจะไม่ต้องยืนหันหน้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดแล้ว จึงกุมหมัดเอ่ยรับทันที “ขอรับ!”
“ค่ะ!” อันหรูอวี้เอ่ยรับเช่นกัน
มู่ฝานจวินมองไปที่จงเจิ้นอีก “จงเจิ้น นี่เป็นเวลาที่ต้องใช้งานคน ควรจะใช้งานคนเก่าคนแก่ของสมาคมร้านค้าได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าไปเลือกนักพรตบงกชทองจากสมาคมร้านค้ามาสามคน ให้มารับตำแหน่งท่านทูตสายฉลู สายมะเมียกับสายกุนแล้วกัน”
“ขอรับ!” จงเจิ้นเอ่ยรับ จากนั้นก็ขอคำชี้แนะอีกว่า “ท่านอาจารย์ ท่านทูตสายมะโรง…”
“แต่งตั้งไว้แล้ว ให้เจ้าควบตำแหน่งท่านทูตสายมะโรงไปก่อนแล้วกัน” มู่ฝานจวินพูดตรงๆ
“ขอรับ!” จงเจิ้นกุมหมัดเอ่ยรับ
“หรูอวี้ ตอนนี้ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือของเหมียวอี้ใช่มั้ย?” มู่ฝานจวิน
อันหรูอวี้กุมหมัดตอบ “ยินดีกับท่านอาจารย์ ท่านจื่อหยางอยู่ในมือเหมียวอี้แล้วค่ะ”
“โง่เง่า! ยังต้องการคนคนนั้นอีกเหรอ? เดี๋ยวตาแก่คนอื่นๆ จะต้องมาหาถึงที่แน่ ใครเก็บไว้ก็โชคร้าย!” มู่ฝานจวินไม่พอใจมาก
อันหรูอวี้ก้มหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร แต่ตำหนิในใจไม่หยุด ใครจะไปรู้ว่าท่านจะวางแผนแบบนี้ ถ้าพากลับมาได้ก็ย่อมต้องพากลับมาอยู่แล้ว ถ้าตกอยู่ในมือคนอื่นท่านก็ยิ่งไม่พอใจ ถ้าอยู่ในมือตัวเองจะฆ่าหรือจะเก็บไว้ก็ได้ทั้งนั้น มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้เป็นคนพากลับมาด้วย
แต่นางก็จะผลักความรับผิดชอบไปให้เหมียวอี้ไม่ได้ เพราะเขากำลังจะกลายเป็นลูกเขยของนางแล้ว พอนึกถึงลูกเขยคนนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือกลุ้มใจ ในภายหลังเขาคงไม่ไประบายอารมณ์ใส่ลูกสาวของนางหรอกใช่มั้ย? พอคิดถึงตรงนี้ นางก็นึกเสียใจทีหลังอีกครั้งที่ตัวเองลงมือทำร้ายเหมียวอี้
มู่ฝานจวินก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร รู้ว่าเรื่องที่ท่านจื่อหยางถูกจับตัวมาไม่เกี่ยวกับนาง จึงโบกมือบอกว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว เรียกเหมียวอี้เข้ามา”
พวกเขาโค้งตัวคำนับแล้วถอยออกมา พอออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า โอวหยางกวงก็ไม่สบายใจนิดหน่อย มองออกว่าอันหรูอวี้เพิ่งร้องไห้ ในใจก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว
แต่กลับพบว่าอันหรูอวี้ค่อนข้างให้ความสนใจเหมียวอี้ เขาจึงมองตามนาง
เหมียวอี้ก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสองสามีภรรยากำลังมองเขา จึงท่าทางเหมือนบอกว่า ‘กลัวที่ไหนล่ะ เจ้ากล้ากัดข้าเหรอ’ หันหน้าไปอีกทาง มองดูท้องฟ้า ขี้คร้านจะสนใจ
เขาเดาว่าว่าสองผัวเมียคู่นี้คงแค้นเขาแทบตาย แต่ในเมื่อก่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่จำเป็นต้องเกรงใจสองคนนี้ เขาได้เตรียมกลั่นกรองคำพูดเอาไว้แล้ว กะว่าอีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาสได้พบมู่ฝานจวิน ต่อให้ต้องเปลืองคำพูดไปมากมาย ก็ต้องหาทางดึงสองผัวเมียคู่นี้ลงจากตำแหน่งให้ได้
จงเจิ้นเดินมาหยุดข้างกายเหมียวอี้ เหลือบมองเจ้าคนใจกล้าบุ่มบ่าม พร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ ท่านปราชญ์เรียกพบ!”
ตอนที่ 915
มึนงงนิดหน่อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“รบกวนคุณชายสามแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ ขณะที่หันตัวก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ เมื่อเห็นคนมาล้อมเรียกอีกคนว่าคุณชายใหญ่ ก็เดาออกว่าคนคนนี้คือฮูเหยียนไท่เป่า เขาจึงก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “เหมียวอี้คารวะคุณชายใหญ่!”
อันที่จริงหลังจากอันหรูอวี้กับฮูเหยียนไท่เป่าออกมา ทั้งสองก็ยืนอยู่ด้วยกันแล้ว การที่เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ ทำให้อันหรูอวี้วุ่นวายใจมาก ตอนนี้จะโมโหเหมียวอี้ก็ทำไม่ลง จะแค้นก็ทำไมลง จะด่าก็ไม่ได้ จะทำร้ายก็ไม่ได้ อยากจะลดตัวเข้าไปตีสนิท… แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังวางกับดักลอบสังหารเขาอยู่เลย หัวใจนางพัวพันกันอุตลุด
ฮูเหยียนไท่เป่ามองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าคือเหมียวอี้เหรอ?”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบอย่างเคารพ แต่ในใจหงุดหงิด เขามีความแค้นกับคุณชายใหญ่ท่านนี้เหมือนกัน แต่พอนึกว่าอีกฝ่ายต้องยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกตัวหนึ่งหมื่นปี ภายนอกเขาจึงปล่อยผ่านไป หนึ่งหมื่นปีหลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะกลัวใครกันแน่
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าฮูเหยียนไท่กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร
ฮูเหยียนไท่เป่าพยักหน้าเล็กน้อย “อย่าให้ท่านปราชญ์รอนาน รีบไปเถอะ!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับแล้วรีบเดินไป
พอเข้ามาในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็เห็นมู่ฝานจวินนั่งอยู่บนบัลลังก์ เหมียวอี้ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าหญิงแต่งชายที่สีหน้าเรียบเฉยคนนี้มองตัวเองด้วยสายตาที่ค่อนข้างแปลก บอกไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร สรุปว่ารู้สึกแปลกนั่นแหละ
“ข้าน้อยคารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอย่างเคารพนบนอบ
มู่ฝานจวินขานรับ แล้วใช้สายตาแปลกๆ มองสำรวจเขาพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “เหมียวอี้ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจเอาชีวิตของท่านทูตแดนเซียนไปต่อรองแลกเปลี่ยน!”
เหมียวอี้พลันเงยหน้า สีหน้าเคารพเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าโศกในชั่วพริบตาเดียว “ท่านปราชญ์! ข้าน้อยโดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ในกลุ่มพวกเขามีคนสมคบกับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยง ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้วางแผนลอบทำร้ายข้าน้อย ข้าน้อย…”
ยังไม่ทันพูดจบ มู่ฝานจวินก็ตัดบทแล้ว “เจ้ากำลังบอกว่า กำลังทำความสะอาดบ้านเพื่อข้าเหรอ?”
“มิบังอาจ! ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ต้องการทำร้ายข้าน้อย ก็เลย…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็โดนตัดบทอีก มู่ฝานจวินถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่าใครต้องการทำร้ายเจ้า?”
“ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่
“ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองรอดตัวหรอกนะ?” มู่ฝานจวินถาม
เหมียวอี้เสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว จึงกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ ปฏิเสธด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อน “ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ!”
มู่ฝานจวินมองเขานิ่งๆ มองจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สงบใจ
เรื่องบางเรื่องมู่ฝานจวินก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว และนางก็รู้สึกนับถือชายที่อยู่อยู่เบื้องล่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์แบบนั้น จะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่แปลกใจที่สามารถผ่านอุปสรรคชีวิตตั้งแต่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรจนรอดมาถึงวันนี้ได้ ถ้าอันหรูอวี้มีความสามารถในการปรับตัวสักหน่อย เรื่องราวก็คงไม่บานปลายถึงขั้นนี้
แต่นางก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเหมียวอี้ เมื่ออยู่ในฐานะอย่างนาง เรื่องไหนที่ควรจะปิดตาข้างเดียว นางก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้าใช้วิธีการโหดเหี้ยมกับทุกเรื่อง ฮูเหยียนไท่เป่าคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ครั้งนี้อันหรูอวี้ก็ยากที่จะพ้นโทษตายเช่นกัน แต่ถ้าฆ่าคนทิ้งหมดก็จะไม่มีใครทำงานให้นาง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่วรยุทธ์อย่างนางจะควบคุมด้วยตัวคนเดียวไหว
ถ้านางเปิดโปงเหมียวอี้ ก็จะต้องลงโทษเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถให้คำอธิบายกับคนอื่นได้ นางถามเสียงเรียบว่า “คนที่ทำร้ายเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น อันหรูอวี้ทำคนเดียว นางยอมรับแล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษนางอย่างไร?”
“คุณชายรองหรือขอรับ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนตกใจมาก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยมิบังอาจตัดสินใจ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับท่านปราชญ์!”
“ข้าย่อมจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว!” มู่ฝานจวินกดเรื่องนี้เอาไว้ยังไม่พูดถึง เปลี่ยนเรื่องถาม “ข้าถามเจ้าหน่อย คืนที่เจ้าโดนลอบโจมตีที่สำนักงามวิจิตร ที่บอกว่ามีพระสงฆ์มาช่วยเจ้าไว้ เป็นใครกัน?”
บทพูดที่เหมียวอี้เตรียมมา ตอนนี้ถูกนางทำให้ยุ่งเหยิงหมดแล้ว ไม่ได้พูดตามจังหวะของตัวเอง อีกฝ่ายไม่ทันเปิดโอกาสให้เขาพูดว่าร้ายอันหรูอวี้ ก็ตัดสินใจไปเองเสียแล้ว ที่จริงเขาก็อยากรู้มากว่าจะลงโทษอันหรูอวี้อย่างไร แต่จนใจที่ถามมาไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ และไม่ใช่สิ่งที่ประมุขปราสาทเล็กๆ อย่างเขาควรถามด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอันหรูอวี้ เหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกว่ามู่ฝานจวินจะต้องถามเรื่องพระสงฆ์แน่นอน เขาตอบว่า “เป็นเทพพยากรณ์ขอรับ!”
เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ทำได้เพียงก้าวผ่านด่านต่อด่าน ตอนนี้ทำได้เพียงอ้างเทพพยากรณ์ที่ทำตัวลึกลับเหมือนเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยมีใครหาชายคนนั้นเจออยู่แล้ว
“เทพพยากรณ์?” มู่ฝานจวินแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า ยืนขึ้นถามซ้ำว่า “เทพพยากรณ์ช่วยชีวิตเจ้าไว้เหรอ? ทำไมเขาต้องช่วยเจ้าด้วย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะว่าข้าน้อยกับเทพพยากรณ์รู้จักกันมานานแล้ว ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติภารกิจที่ทะเลทรายม่านเมฆาในปีนั้น ข้าน้อยก็ได้พบกับเขาแล้ว เป็นตอนที่หาเรือมังกรอเวจีพบ ตอนหลังข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาก็ได้พบเขาอีก จึงสนิทสนมกัน ครั้งนี้บังเอิญเจอที่เจ้าสำนักงามวิจิตรพอดี เขาเองก็ได้ข่าวการประลองของวิเศษ จึงจะมาดูเอาสนุกเหมือนกันขอรับ”
“เทพพยากรณ์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ เขาฆ่าท่านทูตเพื่อเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินทั้งตระหนกทั้งสงสัย
“ที่จริงเขาไม่ได้ฆ่าหรอก เป็นข้าน้อยที่ฉวยโอกาสลงมือตอนที่เขากำลังควบคุมคนพวกนั้น ข้าน้อยเป็นคนสังหารเอง… พวกเขาต้องการสังหารข้า ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องปล่อยพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงทำให้เทพพยากรณ์โกรธ ทั้งยังตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าน้อยด้วย!” เหมียวอี้ตอบด้วยท่าทางที่ซื่อสัตย์จริงใจ
“เป็นอย่างนี้เหรอ…” มู่ฝานจวินจมดิ่งอยู่ในความคิด แววตาที่ชำเลืองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะค่อนข้างหวาดระแวง ถามอีกว่า “เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”
เหมียวอี้ยกมือเช็ดตรงหว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นเก้า “บงกชม่วงขั้นเก้าขอรับ!”
มู่ฝานจวินตกใจอีกครั้ง ดวงตาหงส์ทั้งคู่พลันหรี่ลงและฉายแววดุดัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนลุกว่า “ฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ดูท่าทางแล้ว เจ้ากับเยียนเป่ยหงคงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
เหมียวอี้รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารที่แผ่มาจากตัวนาง จึงรีบตอบว่า “ตอบท่านปราชญ์ ถึงแม้จะน้อยจะเป็นสหายของเยียนเป่ยหง แต่สาเหตุที่เยียนเป่ยหงฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน ที่ข้ากับอวิ๋นจือชิวฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะบุญคุณของเทพพยากรณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาให้ยาแก่นเซียนมาจำนวนหนึ่ง พวกเราสองสามีภรรยาคงไม่อาจฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ขอรับ”
“ยาแก่นเซียน?” มู่ฝานจวินอุทานถาม เรื่องประหลาดอัศจรรย์ที่ทยอยโผล่มาไม่ขาดสาย ทำให้นางรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ รีบถามว่า “เทพพยากรณ์มียาแก่นเซียนเหรอ?”
เหมียวอี้อธิบายว่า “มีบางอย่างที่ท่านปราชญ์ไม่ทราบ ครั้งแรกที่ข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาแล้วเจอเทพพยากรณ์ ตอนนั้นก็เจอเรือมังกรอเวจีแล้วเช่นกัน เป็นครั้งที่ท่านปราชญ์มาด้วยตัวเอง และตอนที่พบเทพพยากรณ์ที่ทะเลทรายม่านเมฆาอีกครั้ง ข้าน้อยก็เจอเขากำลังไล่ตามเรือมังกรอเวจี พอได้คุยถึงทราบว่าเขาก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด และเป็นครั้งนั้นเช่นกัน ข้าน้อยเห็นกับตาว่าเทพพยากรณ์กับเรือมังกรอเวจีปะทะกัน เขาโจมตีจนได้ของบางอย่างมาจากตัวผีดิบพวกนั้น ในจำนวนนั้นมียาแก่นเซียนจำนวนมหาศาล แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจมันเท่าไร เหมือนสนใจเรือมังกรอเวจีมากกว่า จึงมอบยาแก่นเซียนให้ข้าน้อยทั้งหมด หลังจากข้าน้อยได้เลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ก็เก็บตัวฝึกฝนหลายร้อยปีเพื่อใช้ยาแก่นเซียนพวกนั้นเพิ่มวรยุทธ์ อวิ๋นจือชิวก็อาศัยยาแก่นเซียนพวกนี้เพิ่มวรยุทธ์จนถึงระดับบงกชทองแล้วเช่นกัน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าน้อยวรยุทธ์ต่ำเกินไป ใช้ยาแก่นเซียนจนหมดก็หยุดแค่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้า ไม่สามารถบรรลุระดับบงกชทองได้”
ตอนนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต ดีไม่ดีตอนหลังอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เขารู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่อาจปิดบังวรยุทธ์ไปตลอด จึงถือโอกาสอธิบายรวดเดียวไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง
มู่ฝานจวินกลับแววตาวูบไหว กำลังไตร่ตรองคำพูดของเขา มีอยู่จุดหนึ่งที่นางมั่นใจได้ นั่นก็คือครั้งแรกที่เหมียวอี้เจอเรือมังกรอเวจี นางเองก็เจอเทพพยากรณ์เช่นกัน ที่แท้เทพพยากรณ์ก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด
ส่วนคำพูดในตอนท้ายของเหมียวอี้ เรื่องที่นางไม่สามารถยืนยันได้ นางก็ไม่มีทางเชื่อได้ง่ายๆ เลย
หลังจากหายเหม่อลอย นางก็ตะคอกถามเสียงเข้ม “ทำไมไม่รายงานเรื่องนี้ให้เร็วว่านี้?”
เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ยาแก่นเซียนก็เป็นของดีมากจริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาอยากจะเพิ่มวรยุทธ์ใหสูงขึ้นไว ก็เลย…” ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว
มู่ฝานจวินหมั่นไส้นิดหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้ยาแก่นจำนวนมากขนาดนั้น ก็คงจะไม่มีใครเปิดเผยเช่นกัน นางค่อยๆ ข่มความโมโหเอาไว้ แล้วถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเองก็ปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองมาตลอด ไม่กล้าเปิดเผย
“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้า
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเหมียวอี้ไม่ได้ฮุบยาแก่นเซียนเอาไว้คนเดียว และไม่ปฏิบัติต่อเมียตัวเองอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ชายที่เต็มใจให้วรยุทธ์ของเมียสูงกว่าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รักเมีย เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความโมโหของมู่ฝานจวินก็คลายลงแล้วไม่น้อย เพียงพึมพำเบาๆ ว่า “บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว…”
ขณะที่นางพูดคำนี้ ในดวงตาก็ฉายแววปลื้มใจเล็กน้อย
เหมียวอี้ที่กำลังแอบมองนางสังเกตได้ว่าดวงตานางฉายแววปลื้มใจแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัยทันที ข้ามองผิดไปรึเปล่า?
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วนั่งลงอย่างช้าๆ วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน นางทำสีหน้าเย็นชาพร้อมบอกว่า “ประมุขปราสาทเล็กๆ คนเดียว บังอาจนำชีวิตของท่านทูตไปแลกเปลี่ยนต่อรอง เดิมทีมีโทษถึงตาย! แต่เห็นว่าเรื่องนี้มีสาเหตุ และเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่โทษ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้รึเปล่า!”
เหมียวอี้หงุดหงิดใจทันที ยังกัดไม่ปล่อยอีกเหรอ? เจ้าไม่อยากใช้ประโยชน์จากประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรแล้วเหรอ?
เป็นเพราะเขาสามารถดึงประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรมาเป็นพวกได้ เขาถึงได้มั่นใจว่าเรื่องในครั้งนี้จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นบ้าอะไรอีก จึงกล่าวหยั่งเชิงว่า “ข้าน้อยจะตั้งใจฟังขอรับ!”
มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็มีความแค้นกับแดนมารอยู่บ้าง เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้ว ถ้าเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินของเจ้าประกาศต่อสาธารณะ ให้นางเต็มใจเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนได้ แบบนี้ก็นับว่าช่วยให้ข้าได้ระบายความโกรธ ข้าก็จะพิจารณาเรื่องผ่อนโทษให้เจ้า!”
เรื่องแค่นี้เองเหรอ? เหมียวอี้ถอยหายใจหนักๆ ยังนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ถ้าเจ้าอยากจะตบหน้านภาจอมมาร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก จึงกล่าวรับประกันทันที “ข้าน้อยต้องเกลี้ยกล่อมให้นางตอบตกลงได้แน่นอน!”
“เจ้าอย่ารับปากเร็วเกินไปนักเลย!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นประมุขปราสาทต่อไปได้อีกเหรอ?”
“…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดอีกที พวกเราต้องการแค่ชีวิตที่สงบสุข จะได้เป็นประมุขปราสาทหรือไม่ เขาก็ไม่แยแสเลยจริงๆ จะโดนลดขั้นกลับไปเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพาก็ไม่เป็นไร จึงกุมหมัดตอบทันทีว่า “ข้าน้อยยินดีรับการลงโทษจากท่านปราชญ์!”
มู่ฝานจวินกล่าวอย่างคล่องปากว่า “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ การลงโทษตักเตือนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพื่อเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก ตำแหน่งประมุขปราสาทนั่น ยกให้ฮูหยินของเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็ลดขั้นไปเป็นที่ปรึกษาของนาง ผลประโยชน์ที่ควรได้ก็ยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้อง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ใช่มั้ยล่ะ?”
“อะไรนะ?” เหมียวอี้อุทานถาม มึนงงนิดหน่อย
“ทำไมล่ะ? เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?” มู่ฝานจวินทำหน้าเข้ม
ตอนที่ 916
โดนจู่โจมที่แดนโพ้นสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าน้อยยินดีขอรับ!” เหมียวอี้รีบเอ่ยรับ
ไม่ใช่ว่าไม่อยาก! เหมียวอี้ไม่ได้แยแสตำแหน่งประมุขปราสาทเลย ให้ใครเป็นก็ไม่ให้เป็น ประเด็นสำคัญคือให้เขาไปเป็นลูกน้องของอวิ๋นจือชิว เขารู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกรอบล่ะ ตัวเองกลายเป็นบริกรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่ฝานจวินเป็นคนเตรียมการ ทำให้เขารู้สึกว่ามีบางจุดที่ไม่ชอบมาพากล
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักเล็กน้อยหน้าอย่างพอใจ “ยังคงเป็นอย่างที่บอก ผลประโยชน์ทุกอย่างยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้องก็เหมือนกัน เดี๋ยวในภายหลังข้าจะให้รางวัลชดเชยเจ้า”
“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ ไม่รู้ว่าจะให้รางวัลอะไรได้ แต่ภายนอกยังคงเจียดร้อยยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณที่ท่านปราชญ์ช่วยให้สมปรารถนา!”
เรื่องนี้ก็จบลงอย่างนี้แล้ว มู่ฝานจวินไม่ได้ถามอะไรมากอีก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือเจ้าใช่มั้ย?”
“อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้าน้อยขอรับ” เหมียวอี้พูดจบก็เรียกออกมา
“ไม่ต้องแล้ว!” มู่ฝานจวินยกมือห้าม” ส่งตัวให้อวิ๋นอ้าวเทียนแล้วกัน นี่คืออีกเรื่องที่จะให้เจ้าไปจัดการ”
ตั้งแต่ที่เฟิงเป่ยเฉินมาถึงแดนโพ้นสวรรค์แล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องเยารั่วเซียนสักคำ เหมียวอี้ก็เดาออกแล้วมู่ฝานจวินก็ไม่ต้องการเยารั่วเซียนเหมือนกัน ตอนนี้ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะส่งต่อหายนะไปให้นภาจอมมาร
สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ว่าเยารั่วเซียนไม่อาจลงหลักปักฐานที่พิภพเล็กได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยไว้ก็มีแต่จะตายสถานเดียว ไม่มีหกปราชญ์คนไหนย่อมปล่อยเขาไป
“ขอรับ! ข้าน้อยจะนำเขาไปส่งให้นภาจอมมารเดี๋ยวนี้! หากท่านปราชญ์ไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวอำลา!”
“ไม่จำเป็นต้องไปนภาจอมมาร ถ้าเจ้าไปตอนนี้ ถึงตอนนั้นถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนได้คนไปแล้วไม่ยอมรับ คนอื่นก็นึกว่าข้าซ่อนคนเอาไว้น่ะสิ ต่อให้มีเป็นร้อยปากก็อธิบายไม่ได้ รออยู่ที่นี่แล้วกัน คาดว่าอีกไม่กี่วันตะแก่พวกนั้นก็คงจะมาถึง ถึงตอนนั้นก็ส่งมอบคนให้อวิ๋นอ้าวเทียนต่อหน้าทุกคน”
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ทำแบบนี้เท่ากับไม่เหลือทางรอดไว้ให้เยารั่วเซียนเลย แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยรับ
หลังจากได้รับคำสั่งจากมู่ฝานจวิน เหมียวอี้ก็ขอตัวออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วโบกมือบอกพวกท่านทูตที่รออยู่ด้านนอก “ท่านปราชญ์ให้พวกเจ้าไปเข้าพบ”
กลุ่มท่านทูตเดินเข้าตำหนักทันที ส่วนเหมียวอี้ก็รออยู่ด้านนอก ถือโอกาสตอนไม่มีใครสนใจส่งสายตาให้เยว่เหยา
เยว่เหยาเข้าตำหนักไปพบมู่ฝานจวินทันที หลังจากออกมา ก็เรียกเหมียวอี้ “ประมุขปราสาทเหมียว”
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที “คุณชายหกมีอะไรจะกำชับขอรับ?”
“ตามข้ามานี่หน่อย” เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงสีขาวเอ่ยเรียก แล้วดึงหงเฉินเหาะออกไปด้วยกัน เหมียวอี้เหาะตามไปทันที
พวกอันหรูอวี้แค่มองมาสองสามครั้ง และไม่ได้สนใจอะไร คิดว่ามู่ฝานจวินคงสั่งให้พวกเขาไปทำอะไรบางอย่าง
เยว่เหยากับหงเฉินพักอยู่ด้วยกัน อยู่บนภูเขาลูกเดียวกัน อยู่ในตำหนักที่งดงามราวกับวิมานหยก สิ่งของที่จัดวางไว้ล้วนเป็นของที่งดงามประณีตและหาพบได้น้อยในโลกนี้ เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพียงแต่ใช้สายตาสื่อสารกับเยว่เหยา
เยว่เหยาเข้าใจที่เขาสื่อ จึงไล่ให้ลูกน้องออกไป แล้วเข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรท่านใช่มั้ย?”
“ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้เป็นประมุขปราสาทแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก” เหมียวอี้มองเทพธิดาหงเฉินที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้หลบเลี่ยงนาง เพราะรู้ว่าทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน เขาใช้มือสองข้างประคองไหล่ของเยว่เหยา พร้อมาถามว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่ขอถามเจ้าอย่างจริงจังสักครั้ง ถ้าพี่ใหญ่กับอาจารย์ของเจ้าเกิดขัดแย้งอะไรกัน เจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?”
เทพธิดาหงเฉินตะลึงงัน หันหน้าช้าๆ ไปมองทั้งสองคน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เยว่เหยาก็ยิ่งตกใจไม่เบา ดวงตางามสดใสเบิกโพลงทันที ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้ออกมาล่ะ? ท่านอยากทรยศแดนเซียนไปพึ่งพาแดนมารเพื่อฮูหยินคนนั้นใช่มั้ย?” สองไหล่สั่นเทิ้ม ใช้มือปัดของเขาที่อยู่บนบ่าตัวเองออก แล้วส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ตอบตกลงหรอก!”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าสาม เจ้าอย่านอกเรื่องไปไกล ไม่เกี่ยวกับพี่สะใภ้ของเจ้า ข้าแค่อยากถามเจ้าสักคำ ถ้าพี่ใหญ่พาเจ้าออกไปจากที่นี่ เจ้าจะยอมไปหรือเปล่า?”
“ไปที่ไหน?” เยว่เหยาถาม
“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะไปที่ไหน พี่ใหญ่จะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน”
“พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? ถ้ามีข้าอยู่ ท่านอาจารย์ก็ไม่ทำอะไรท่านหรอก”
เหมียวอี้เริ่มร้อนใจนิดหน่อย ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าสาม อย่าบอกนะว่าเจ้าดูไม่ออก? อาจารย์เจ้าใช้เจ้าเพื่อบีบจุดอ่อนข้ามาตลอด ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าก็ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไปกับข้าเถอะ!”
เยว่เหยามองเทพธิดาหงเฉินอย่างกังวลมาก อยู่ดีๆ เหมียวอี้ก็จะให้นางทรยศอาจารย์ตัวเอง ทำให้นางทำอะไรไม่ถูกเลย
“เจ้าทิ้งศิษย์พี่หญิงของเจ้าไม่ลงใช่มั้ย?” เหมียวอี้หันไปมองเทพธิดาหงเฉิน” หงเฉิน ถึงอย่างไรเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่สมปรารถนาอยู่แล้ว ไม่สู้ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าสามหน่อย”
“ข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” เทพธิดาหงเฉินเดินลากกระโปรงยาวเข้ามาเบาๆ ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ฝั่งหนึ่งก็อาจารย์ ฝั่งหนึ่งก็พี่ชาย อาจารย์ดูแลนางอย่างดีมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าจะให้นางตัดสินใจเลือกได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ก็คงจะเลอะเลือนตามเจ้าไปไม่ได้เหมือนกัน”
เยว่เหยาพยักหน้า “พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ดูแลข้าอย่างดี ข้าทรยศนางไม่ได้หรอก พี่ใหญ่ ท่านไม่พอใจที่ท่านอาจารย์ถอดท่านออกจากตำแหน่งประมุขปราสาทเหรอ? พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องห่วงนะ รอให้อาจารย์หายโกรธก่อน ข้าจะไปขอร้องให้ ให้ท่านกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ถ้ามีท่านอยู่ อาจารย์ก็ไม่กลั่นแกล้งท่านหรอก”
พอเหมียวอี้ได้ฟังคำตอบของนาง ก็รู้ว่านางไม่สามารถตัดสินใจเลือกระหว่างเขากับมู่ฝานจวินได้ รู้ว่าพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาที่แน่วแน่กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งพลันรู้สึกห่อเหี่ยวใจ ใช้สองมือปิดหน้า ค่อยๆ นั่งยองๆ ลงบนพื้น แล้วก้มหน้าเงียบงันอยู่นานมาก
เทพธิดาหงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าบนตัวของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความจนใจ
เยว่เหยาเริ่มกลัวแล้ว นางนั่งย่อเข่าบนพื้น ใช้มือประคองแผ่นหลัง พลางถามอย่างกังวลว่า “พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”
เหมียวอี้ถอยหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ใช้สองมือถูหน้าตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสดใสพลางลุกขึ้นยืน ยื่นมือใบลูบใบหน้าเยว่เหยาที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อย พี่ใหญ่ไม่ฝืนใจเจ้าหรอก ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกมีความสุขก็ดีแล้ว”
โดนเขาลูบใบหน้าแบบนี้ เยว่เหยาก็หน้าแดงนิดหน่อย เชิดปากพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านบอกแล้วว่าจะแต่งงานกับข้าและศิษย์พี่หญิง ถ้าท่านแต่งงานกับพวกเราสองคนแล้ว พวกเราก็จะตามท่านไปได้อย่างสง่าผ่าเผย!”
เทพธิดาหงเฉินพูดไม่ออก เอามือลูบหน้าผากนางเบาๆ อย่างจนใจ
เหมียวอี้เองก็พูดไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้เอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงหัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว พี่ใหญ่แต่งงานกับพี่สะใภ้เจ้าแล้วนะ เออใช่ ทำไมข้าได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าเจ้าทำตัวไม่เป็นมิตรกับนางตลอดเลย มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เยว่เหยาทำสีหน้าเย็นชาทันที “นางไม่ใช่พี่สะใภ้ข้า ข้าไม่ยอมรับ”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นงานสมรสที่อาจารย์เจ้าประทานให้เองเลยนะ ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปต่อว่าอาจารย์เจ้าสิ”
“พี่ใหญ่ ท่านเล่นลูกไม้กับข้าใช่มั้ย?”
“ไม่เถียงกับเจ้าแล้ว!” เหมียวอี้ปัดมือที่นางชี้เข้ามา แล้วหันตัวไปบอกเทพธิดาหงเฉิน “หาห้องเงียบๆ สักห้อง เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
เทพธิดาหงเฉินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าทันที ดึงกระโปรงเดินนำไปข้างหน้า เหมียวอี้เดินตามไปทันที
เยว่เหยาเดินตามอยู่หลังสุด “พี่ใหญ่ ท่าจะทำอะไร?”
“ศิษย์พี่เจ้าสวยขนาดนี้ ข้าก็ต้องไปคุยเกี้ยวพาราสีศิษย์พี่เจ้าสักหน่อยสิ!” เหมียวอี้พูดหยอก
หงเฉินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพาเหมียวอี้ไปยังห้องสมาธิฝึกตนที่ใช้เป็นประจำ พอปิดประตูหิน เยว่เหยาที่ถูกกั้นให้อยู่ข้างนอกก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด
หลังจากในห้องสมาธิเหลือแค่พวกเขาสองคน หงเฉินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เรื่องอะไร ทำไมต้องคุยกันส่วนตัว?”
“ข้าประสบปัญหาแล้ว เจ้าจะช่วยข้าสักหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้กลับถ่ายทอดเสียง…
พอประตูหินเปิดออก ตอนที่ทั้งสองเดินออกมาอีกครั้ง แววตาของหงเฉินก็จริงจังเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เยว่เหยาเข้ามากอดแขนนางทันที อยากรู้อยากเห็นแทบแย่แล้ว “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านคุยอะไรกันเหรอ?”
“พี่ชายเจ้าชอบข้า!” หงเฉินยิ้ม
เยว่เหยาไม่เชื่อ จึงมองไปทางเหมียวอี้ “จริงหรือเปล่า?”
“ศิษย์พี่เจ้าปฏิเสธข้า!” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน
เยว่เหยาพูดค่อนขอด “โกหก!” จากนั้นก็ถามอีกว่า “จริงหรือโกหกคะ?”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เทพธิดาหงเฉินก็ปรากฏตัวอยู่ในป่าลึกนอกแดนโพ้นสวรรค์ บังเอิญเจอกับพวกอวิ๋นเป้าและพวกทะเลดาวนักษัตรที่กำลังรอเหมียวอี้พอดี
ถึงแม้ทุกคนจะรอเหมียวอี้ แต่กลับรู้จักแยกแยะชัดเจน ต่างคนต่างยืนคนละฝั่ง ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไม่ได้ดีสักเท่าไร
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หงเฉินตะคอก
อวิ๋นเป้าหัวเราะร่า ไม่ตอบคำถามนาง แต่หันซ้ายหันขวาแล้วพูดหยอกล้อ “อย่าว่าไปเชียว เวลามู่ฝานจวินรับลูกศิษย์ แต่ละคนนี่เป็นยอดหญิงงามในโลกมนุษย์ เห็นแล้วน้ำลายไหล”
บรรดาท่านทูตของแดนมารหัวเราะลั่น ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรก็มีคนขำเบาๆ เช่นกัน สายตาจ้องอยู่บนตัวหงเฉินอย่างกำเริบเสิบสาน
หงเฉินขมวดคิ้วเดินมาอยู่ตรงหลางระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม แล้วเตือนว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของพวกเจ้า รีบออกไปซะ ถ้ายั่วให้อาจารย์โมโห พวกเจ้าได้รับบทเรียนกลับไปแน่”
เหมือนจะไม่อยากคลุกคลีอยู่กับคนสกปรกพวกนี้นาน พอเตือนเสร็จก็หันหน้าเดินออกไปเลย ทำให้ผู้ชายกลุ่มนี้แอบหัวเราะ
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชิงที่อยู่ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรกลับอาศัยต้นไม้ใหญ่พรางตัว แอบลงจากเขาฝั่งนี้อย่างเงียบๆ หนีออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงไม่นานก็มาถึงหุบเขาอีกแห่ง จากนั้นเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ
ที่ด้านหลังภูเขาหินลูกหนึ่ง เงาร่างของเทพธิดาหงเฉินวนออกมา นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงโบกมือนำแผนหยกแผ่นหนึ่งขว้างออกมา
ฝูชิงรับมาไว้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หลังจากอ่านเนื้อหาในนั้นแล้ว ก็ทำท่าครุ่นคิด…
เหมียวอี้มาที่แดนโพ้นสวรรค์เป็นครั้งแรก ย่อมบอกเยว่เหยาว่าอยากจะออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย ด้วยฐานะของเยว่เหยาไม่สะดวกจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อน แต่ถ้าไม่ไปด้วยก็กลัวว่าเหมียวอี้จะบุกไปยังสถานที่ที่ไม่ควรล่วงล้ำ จึงให้หลันรั่วหญิงรับใช้ของตัวเองไปเป็นเพื่อน
ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์อันงดงามของแดนโพ้นสวรรค์เลย เป็นสวรรค์บนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง พื้นที่ของหนึ่งภูเขาซ่อนธรรมชาติเอาไว้สี่ฤดู มีน้ำตกลำธารใส ภูเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะ ในหุบเขาละลานตาไปด้วยมวลหมู่ดอกไม้ เหล่าวิหคร้องขับขาน ศาลาที่อยู่โดยรอบปรากฏให้เห็นรางๆ
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม!” เหมียวอี้กล่าวชมมาตลอดทาง พอเดินมาถึงริมหน้าผาของซอกเขาแห่งหนึ่ง เขาทอดสายตามองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ข้างกายมีต้นสนเขียวชอุ่มหลายต้น พุ่มใบของมันกำลังปะทะลมสู้หมอก ด้านล่างของหน้าผามีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ล้วนเป็นน้ำที่ละลายจากหิมะบนภูเขา มีไอหมอกกระเพื่อมขึ้นมา
หลันรั่วกำลังแนะนำสถานที่ เหมียวอี้เพิ่งจะยื่นหน้ามองลงไปด้านล่างหน้าผา แต่จู่ๆ ก็มีเงาสีดำพุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง สับฝ่ามือไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง
หลันรั่วกับเหมียวอี้ตกใจมาก รีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่มาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทั้งยังพุ่งเป้าไปที่เหมียวอี้ เหมียวอี้หนีไม่ทัน โบกมือโจมตีกลับภายใต้ความตื่นตะหนก
บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน หน้าผาพังทลาย “อั้ก” เหมียวอี้กระอักเลือกสดออกมาคำหนึ่ง โดนฝ่ามือสับจนตกลงไปพร้อมกับหน้าผาถล่ม คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้ากระโดดตามลงไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น