องครักษ์เสื้อแพร 898-899
ตอนที่ 898 ลมฝนกระหน่ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใต้เท้าหวัง ลายพระหัตถ์ฝ่าบาทท่านก็ได้อ่านแล้ว เรื่องไม่อาจรอช้า ขอให้ท่านรีบออกเดินทาง!”
เจิ้งกั๋วไท่กล่าวอย่างหนักแน่น แต่หวังทงด้านหน้าเขากลับเงียบไม่ตอบ
เจิ้งกั๋วไท่เพิ่งอายุได้ 20 นับว่าเป็นเด็กหนุ่มไฟแรง เพราะพี่สาวตนเป็นสนมคนโปรดในวังหลัง เขาจึงได้เป็นหนึ่งในชนชั้นสูงแนวหน้าของเมืองหลวง
วาสนาของเขาล้วนอยู่กับพระสนมเอกเจิ้ง เมืองหลวงวุ่นวายกันเช่นนั้นแล้ว เจิ้งกั๋วไท่เองก็รู้ว่าหากพระโอรสองค์โตได้เป็นรัชทายาท พี่สาวเขาจากนี้ไปก็คงไม่มีวันเวลาที่ดีได้อีก ตนเองก็ย่อมไม่อาจเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงชนชั้นสูงได้อีก
ดังนั้นแม้ว่าในวังไม่ได้สั่งการใด แต่เจิ้งกั๋วไท่เองกลับบากหน้าไปหาบรรดาบัณฑิตในเมืองหลวงที่ต่างๆ รวมทั้งขุนนางใหญ่หลายจวน
ตอนนี้มีเรื่องกันถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะกล้าพบเขา ผู้ใดจะสนใจน้องชายพระสนมเช่นเขากัน ถูกปิดประตูใส่หน้าไม่ว่ายังถูกหัวเราะเยาะเอาก็ไม่น้อย
ตอนเจิ้งกั๋วไท่ใจกำลังร้อนดังไฟแผดเผา กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้า ตอนเข้าวังแต่งกายเป็นขันทีเข้าไป ออกจากวันก็แต่งเช่นนี้ พอมาถึงกลางเมืองแห่งหนึ่งก็เข้าร้านค้า ออกมากลับแต่งกายแบบคนงานในขบวนพ่อค้า ออกจากประตูหลังไป
มีคนนำออกนอกเมือง ก่อนจะขึ้นม้าออกไป พวกผู้คุ้มกันก็แต่งกายแบบชาวบ้าน แต่เจิ้งกั๋วไท่กลับเห็นหน้าคนผู้หนึ่งคุ้นหน้า รู้ว่าเป็นคนสำนักบูรพา
พระญาติและขันทีข้างพระวรกายออกนอกเมืองไปด้วยการแต่งกายเช่นนี้ บรรยากาศยามนี้ทำให้เจิ้งกั๋วไท่ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งร้อนใจ
หลายปีนี้เขาอยู่บนกองวาสนา แต่ยามนี้ต้องเร่งเดินทางไม่ได้พัก แม้ว่าลำบาก แต่เจิ้งกั๋วไท่ก็ไม่ปริปากบ่น เขารู้ดีกว่า ตอนนี้เมืองหลวงสถานการณ์ถึงขั้นใดแล้ว หากชักช้าเพียงนิดก็อาจจะเกิดเป็นภัยใหญ่ได้ และครั้งนี้เขายังมีโอกาส ฮ่องเต้ว่านลี่โปรดพระสนมเอกเจิ้ง แต่กับเจิ้งกั๋วไท่กลับมิได้สนพระทัยมากนัก ครั้งนี้กลับให้งานเจิ้งกั๋วไท่มาทำ ทำให้เจิ้งกั๋วไท่ตื้นตันยิ่ง คว้าโอกาสนี้ไว้ วันหน้าย่อมมีอนาคตไกล
มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง เจิ้งกั๋วไท่ไม่สนใจจะชมธรรมชาติที่ต่างจากในแผ่นดินหมิง หากรีบพาเจ้าจินเลี่ยงเข้าพบหวังทงทันที หวังทงกำลังขี่ม้าตรวจกองกำลังในโรงนา
วันนั้นที่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง เจ้าจินเลี่ยงประกาศราชโองการลายพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นส่งให้หวังทง ขณะเดียวกันยังส่งมอบของแสดงหลักฐานถึงฮ่องเต้ว่านลี่ชิ้นหนึ่งเพื่อแสดงว่าลายพระหัตถ์นี้ไม่ใช่ของปลอม
แต่ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงกลับไม่แสดงท่าทีอันใด มองลายพระหัตถ์แล้วก็นิ่งไป เรื่องเร่งด่วนตอนนี้เช่นนี้ ชั่วยามเดียวก็ไม่อาจช้าได้ หวังทงกลับนิ่งเงียบ เจิ้งกั๋วไท่ลอบสังเกตอย่างละเอียด ในใจอยู่ๆ ก็ร้อนใจขึ้นทันที
“ใต้เท้าเจิ้ง ฝ่าบาทยังปลอดภัยอยู่ใช่หรือไม่?”
พอหวังทงถามเช่นนี้ เจิ้งกั๋วไท่อึ้งไป เมืองหลวงแม้วุ่นวายเช่นนั้น แต่ความปลอดภัยฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง ก็แค่เป็นเรื่องอำนาจเท่านั้น
สีหน้าหวังทงดำคล้ำ ถือราชโองการในมือกล่าวว่า
“เรื่องเช่นนี้หากทำไป ข้าเองก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีใต้หล้าทันที ชีวิตนี้เกรงว่าคงต้องร้อนอยู่บนกองไฟเป็นแน่”
เจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่กล่าวอันใดไม่ออก หวังทงทำเช่นนี้เกรงว่าก็คงต้องถูกก่นด่าจากทั่วหล้า และวันหน้าจะมีอันใดไปด้วยเรื่องวันนี้หรือไม่ก็ยากจะบอกได้
ไม่กล่าวเรื่องอื่น เอาแค่เหตุใดหวังซีเจวี๋ยเปลี่ยนใจ ก็เพราะเหตุนี้ สิ่งที่สั่งสมมาต้องพังทลายไป บัณฑิตใต้หล้าก็จะโจมตี นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
หวังทงเหมือนลังเล ในใจเริ่มขัดแย้งกัน เจิ้งกั๋วไท่ยิ่งร้อนใจ ไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น คุกเข่าลงร่ำไห้ทันทีว่า
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังหากยังลังเล ฝ่าบาทถูกในวังและนอกวังบีบอีกที อำนาจใต้เท้าหวังเองก็เกรงว่าไม่มั่นคงเช่นกัน น่าสงสารพระสนมเอกๆ น่าสงสารโอรสที่ยังเล็ก ใต้เท้าหวัง…”
เขาเริ่มร่ำไห้ยังกล่าวไม่จบก็มองเห็นหวังทงตบโต๊ะดัง ได้ยินเสียงดังปัง ทำเจิ้งกั๋วไท่ตกใจตัวสั่น วาจาอื่นๆ ล้วนกลืนลงท้องไปทันที
“ช่างมัน ข้าได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ไม่มีฝ่าบาท ก็ไม่มีข้าในวันนี้ อำนาจส่วนตัวสูญเสียไปจะเท่าไรกัน เสี่ยวเลี่ยงกับใต้เท้าเจิ้งพักก่อน ข้าจะรีบไปเตรียมตัว”
เจิ้งกั๋วไท่ตัวเริ่มหายสั่น กำลังจะขอบคุณ กลับได้ยินหวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“กลัวก็แต่ว่าครั้งนี้เสร็จงาน ก็คงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว!”
วาจาหวังทงดูไม่เคร่งเครียด แต่เจิ้งกั๋วไท่ข้างๆ กลับหาวาจามาปลอบใจไม่ได้ แม้เขาอายุน้อย แต่วงการขุนนางก็เข้าใจอยู่มาก เกรงว่าคงเป็นดังที่หวังทงว่ามา
เมืองกุยฮว่าเฉิงม้ามาก เตรียมตัวไม่ยาก ตอนบ่ายหวังทงก็จัดแจงให้ครอบครัวอยู่ที่นี่ นำผู้คุ้มกันออกจากเมืองกุยฮว่าเฉิง ครั้งนี้หวังทงนำผู้คุ้มกันไปร้อยกว่า และยังแต่งกายเป็นขบวนพ่อค้า คนหนึ่งม้าสามตัว ระหว่างทางวิ่งไม่หยุด เร่งความเร็วกลับเมืองหลวง
เจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่เป็นพวกที่สุขสบายมานาน ตลอดทางไม่ได้พัก ลำบากพวกเขามาก แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาเองก็ไม่อาจสนใจเรื่องลำบากอันใดแล้ว
ทว่าที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือ ขากลับเร็วยิ่งกว่าขามามาก เพราะตลอดทางพอถึงเวลาม้าต้องพักและเติมกำลัง ก็จะได้พักทันที ไม่ต้องใช้เวลาจัดการนานนัก และที่เขตเมืองต้าถง มณฑลซานซี แม้ว่าพวกหวังทงแต่งกายแบบพวกคนธรรมดา แต่ตลอดทางก็ไม่มีผู้ใดมาขวางทางตรวจสอบหรือสอบถามอันใด มีหลายคนเห็นๆ ว่าไม่ใช่ทหารหวังทง แต่ก็ทนการเดินทางเช่นนี้ไหว
*************
ประชุมใหญ่หน้าพระที่นั่งทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน ในวันนี้เมืองหลวงขุนนางระดับ 6 ขึ้นไปก็จะมาเข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินในชุดขุนนางเต็มยศถวายบังคมตามธรรมเนียม จากนั้นก็ประชุมขุนนาง ในการประชุมใหญ่นี้จะไม่หารือเรื่องอันใด เป็นการดำเนินไปตามพิธีการทั่วไป แต่ตั้งแต่วันที่ 5 ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เสด็จออกมามาถึงกลางเดือนเจ็ด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ออกมาให้ขุนนางได้เห็น
เรื่องแต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท เรื่องนี้เกือบจะเป็นเหมือนตะปูที่ตอกฝาโลงไว้แล้ว อย่างไรก็แน่นอนแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้มีราชโองการชัดเจนก็ตาม
กระแสวิจารณ์ครั้งนี้เกิดช่วงปลายเดือนหกมาถึงเดือนเจ็ด อย่างไรก็รู้สึกแปลก เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์แม้ยังคงเดิม แต่กลับเหมือนมีสัญญาณบางอย่างไม่สอดรับ
เช่นบอกว่าทุกคนเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทนัก แต่เหมือนกลับไปเอาพระทัยไทเฮาฉือเซิ่งมากกว่า เช่นเสนอให้หวงอี้เฟินไปรับตำแหน่งที่เทียนจิน เช่นว่าให้อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนกุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง เรื่องพวกนี้ขอเพียง แต่งตั้งรัชทายาทสำเร็จ ฟื้นคืนอำนาจไทเฮากับขุนนางใหญ่อีกครั้ง ก็ล้วนเป็นไปตามที่ต้องการทั้งหมดได้ ไยต้องร้อนใจในเวลานี้ด้วย นอกจากหลี่เหวินเฉวียนกับหวงอี้เฟิน ยังมีคนเสนอคนของไทเฮาหรือพวกอู่ชิงโหวอีก ความวุ่นวายเช่นนี้ หากปล่อยให้พวกอู่ชิงโหวได้ประโยชน์ไป ทุกคนจะวุ่นวายกันทำไม ไยต้องเหมือนออกหน้าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น แต่ตัวเองไม่ได้อันใดไปด้วยเล่า
แต่ความดึงดันทั้งมวลก็ถูกไทเฮาฉือเซิ่งเตือนสติ พระนางไม่เร่งร้อนพระทัยให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัย เพียงแค่ต้องการดูการทำหน้าที่ของขุนนางนอกวัง ว่าจะร่วมผลักดันอู่ชิงโหวกับหวงอี้เฟินหรือไม่ ตำหนักฉือหนิงกงรอคอยเงียบๆ ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ อย่างไรจูฉางลั่วก็เข้าสู่ตำหนักฉือหนิงกงแล้ว อำนาจหลักอยู่ที่นี่แล้ว
คนนอกวังไม่อาจทำอันใดได้ ได้แต่เปลี่ยนทิศ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกลายเป็นเรื่องเล็ก หากตอนนี้คนส่วนใหญ่มุ่งไปสนับสนุนให้อู่ชิงโหวกับหวงอี้เฟินและคนอื่นๆ ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ทรงระเบิดอารมณ์อีก แต่เริ่มมีเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับพวกขุนนาง และยังทำได้ไร้เดียงสายิ่ง แม้ว่าไม่ออกประชุมขุนนาง แต่ฎีกาก็มีไปกลับ ไม่ต่างอันใดกับการประชุม หรือว่าทุกคนจะกลัวทรงเล่นแบบนี้กัน
ดึงดันไปมาราวหนึ่งเดือน การได้คุมกองกำลังเมืองหลวงกับการไปเป็นขุนนางท้องที่เทียนจิน เป็นตำแหน่งที่ไม่อาจละเลย ไม่เพียงแต่ไทเฮากับอู่ชิงโหวต้องการ ทุกฝ่ายก็จ้องตาเป็นมัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะแย่งชิง ราวหนึ่งเดือนกว่า ก็ยังไม่ได้ความชัดเจน
หลายคนไม่อยากให้ยืดเยื้อต่อไป ยิ่งแย่งกันก็มีตัวเข้ามาแย่งยิ่งมาก และฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนเริ่มงง มาถึงตอนนี้ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกับตำแหน่งขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รับสั่งสักเรื่อง
นานวันเข้าที่ร้อนแรงก็เริ่มแผ่วลง เมืองหลวงเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่เจ้าหน้าที่ขุนนางสำนักตรวจสอบ สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนและหัวหน้าหกกรมกอง ขุนนางแต่ละหน่วย พวกระดับล่าง และพวกกลุ่มขุนนางบัณฑิตชิงหลิว กลับไม่เคยหยุดยื่นฎีกา
ราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่ยืนมองเฉย เสนาบดีหลายคนในหกกรมกองกลับแสดงท่าทีตนเองชัดเจน ต้นเดือนเจ็ด เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนลาป่วย ขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด
เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนเป็นคนหนึ่งในหกกรมกองที่ไม่ยุ่งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท และยังกล่าวกับคนสนิทส่วนตัวว่า หากทำเพื่อตนเอง แม้เพียงเล็กน้อยก็ย่อมทำลายธรรมเนียม วาจานี้แพร่ออกไป จางเสวียเหยียนก็เริ่มถูกโจมตีทันที และยังมีบทความวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่าจางเสวียเหยียนสูญเสียคุณธรรม ขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ปลดคนผู้นี้ออกจากตำแหน่ง ยังมีพวกเลือดร้อนยิ่งกว่า ไปยังหน้าประตูจวนจางเสวียเหยียนด่าทอเสียงดัง และยังเขียนบทความไว้บนกำแพง อักษรดำล้วนเป็นวาจาด่าทอ
ไม่เพียงเท่านี้ จางเสวียเหยียนสั่งงานในกรมทหารก็เหมือนไม่อาจทำได้ หลายคำสั่งสั่งการไปล้วนถูกหน่วยเสนาธิการทหารตีกลับมา ทุกคนปฏิเสธคำสั่งออกนอกหน้า ลับหลังยังแอบส่องสุมนินทา
จางเสวียเหยียนเป็นคนซื่อ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสามารถ ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการสมรู้ร่วมคิดเท่าไร อายุก็มากแล้ว พอถูกคนพวกนี้ทำให้โมโห ก็ไม่อยากอยู่ราชสำนักต่อ
ฮ่องเต้ว่านลี่รั้งไว้หลายครั้งก็ไม่เป็นผล ได้แต่อนุญาต หวังหลินพวกหยางเหว่ยได้เป็นเสนาบดีกรมทหารคนใหม่ ปี้เชียงได้เป็นเสนาบดีกรมอากรแทน นี่เหมือนเป็นสัญญาณบอกขุนนางทั้งหลายในราชสำนักว่า หากยืนข้างฮ่องเต้หรือคิดจะวางตัวอยู่รอบนอก ก็ย่อมต้องไม่อาจได้อยู่ต่อไปได้
ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เอาแต่เก็บตัวเงียบ ในที่สุดก็ออกมารับปากว่า วันที่ 15 เดือนเจ็ดจะออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งและในวันนั้นจะประกาศเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท
ตอนที่ 899 ตั้งรัชทายาท
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในวังไม่ใช่ที่ๆ ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้ ภาพขุนนางหลายพันคนเข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งในวังมากมายเช่นนี้น่าจะเป็นดังภาพวาด ‘ขุนนางเข้าเฝ้า’ สมัยหมิงของจิตรกรใดสักคน
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนแท่นพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ขันทีกับฝ่ายในร่วมกันจัดแถวยืนอยู่ด้านหน้ากลางพื้นที่ว่างหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินตามลำดับตำแหน่งและหน่วยงานของตนเอง ขุนนางแต่ละหน่วยก็จัดแถวตามลำดับอยู่บนพื้นที่ว่างด้านหน้าเช่นกัน
มีขุนนางกับขันทีคอยขานพิธี มีขุนนางจัดพิธีการ ยังมีคณะดนตรีตีกลอง ทั่วลานเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
ที่จริงแล้วการออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งกลางลานเช่นนี้มีเพียงวันที่ 1 กับ 15 ของแต่ละเดือนเท่านั้น ยามปกติก็มีแต่ฮ่องเต้กับขุนนางผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าในตำหนักข้างพระที่นั่งหรือไม่ก็หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเท่านั้น
ออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งล้วนเป็นเพียงพิธีการ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ขุนนางได้เห็นฮ่องเต้ พิธีเป็นทางการเคร่งขรึมเช่นนี้จะทำให้รู้สึกถึงความภักดีและเป็นเกียรติยศ ได้เข้าร่วมพิธีพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาตลอดเช้า ตอนบ่ายก็มักจะไม่อาจหารือใดได้อีก ขุนนางส่วนใหญ่ก็มักเห็นว่าเป็นโอกาสพักผ่อนตอนบ่าย
ทว่าวันที่ 15 เดือนเจ็ด การออกว่าราชการท้องพระโรงใหญ่กลับไม่เหมือนกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์มาถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ฮ่องเต้ว่านลี่จะบูชาบรรพชนในวันนี้ และวันนี้ก็เป็นวันเทศกาลเมิ่งหลันเผินหรือวันสารทของชาวบ้าน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะเชิญพระสงฆ์มาถวายพรเสด็จแม่พระองค์แสดงความกตัญญู
ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ก็ไม่มีธรรมเนียมนี้แล้ว แสดงให้เห็นอันใดนั้นทุกคนก็ย่อมรู้แก่ใจ วันที่ 15 เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 ฮ่องเต้ว่านลี่จัดการประชุมใหญ่ท้องพระโรงต่างจากปีที่ผ่านมา
การประชุมใหญ่หน้าพระที่นั่งวันที่ 1 และ 15 เป็นพิธีการโดยแท้ ขุนนางระดับหกขึ้นไปในเมืองหลวงล้วนมากันหมด คนมากมายเช่นนี้ คิดจะหารือเรื่องแผ่นดินย่อมไม่อาจทำได้
ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ได้มีราชโองการว่า ออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งวันที่ 15 เดือนเจ็ดจะทรงประกาศแต่งตั้งรัชทายาท นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย
แม้ขุนนางที่ไม่ได้ประโยชน์ใดในเรื่องนี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ พวกที่ก่อหวอดรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ตนก็ยิ่งยินดีแทบคลั่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้การไม่ออกว่าราชการเป็นแสดงการต่อต้านเงียบ การต่อต้านนี้ในที่สุดก็จะสิ้นสุดลงแล้ว พระองค์ต้องให้คำตอบแก่ทุกคนเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทให้เสร็จสิ้น สถานการณ์ก็จะเริ่มเปลี่ยนไป
แม้แต่แต่งตั้งรัชทายาทก็ไม่อาจทำตามพระทัยได้ เช่นนี้วันหน้าเสียงในการตัดสินเรื่องแผ่นดินก็ย่อมอ่อนกำลังลงไปมาก เรื่องนี้คนลงมือหลักก็คือขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมหัวกัน แต่ที่ทำให้การตัดสินใจแบบแทบหักเลี้ยวกลับมาหมดก็คือตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาฉือเซิ่ง วันหน้าสองฝ่ายก็จะเป็นอำนาจหลักใหม่ กุมอำนาจราชสำนักไว้ในมือได้
และฮ่องเต้ว่านลี่จากนี้ก็ต้องขึ้นกับพวกเขา และจะอ่อนอำนาจลงเรื่อยๆ เจ้าหวังทงกับคนของพระองค์ที่ค้ำคอทุกคนอยู่ ที่มีอำนาจวาสนามาก ก็จะค่อยๆ อ่อนกำลังลงและถูกทุกคนจับกินลงท้องในที่สุด
ตั้งแต่เหตุการวิกฤตป้อมถู่มู่มาถึงวันนี้ ราชสำนักล้วนบัณฑิตเป็นใหญ่ บางเวลามีขันทีเรืองอำนาจบ้าง การมีขุนนางบู๊มาคุมอำนาจเช่นนี้ช่างไม่ปกติเสียจริง ทว่ายังดี สถานการณ์ที่ไม่ปกติมาหลายปี กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จะกลับคืนสู่ความปกติแล้ว
การแต่งตั้งรัชทายาทครานี้ยังหมายถึงอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือต้องการบอกกับฮ่องเต้ปัจจุบันและฮ่องเต้องค์ต่อไปว่า แท้จริงแล้วผู้ใดคือผู้คุมอำนาจใต้หล้านี้
ย่อมเป็นบัณฑิต เป็นขุนนางบุ๋นที่สอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ฮ่องเต้อาจสังหารได้คนสองคน แต่ก็ไม่อาจทิ้งขุนนางบุ๋นได้ ใต้หล้านี้เป็นกระแสหลักเช่นนี้ ล้วนต้องดูท่าทีขุนนางบุ๋นเป็นหลัก
เช้าวันที่ 15 เดือนเจ็ด เหมือนกับปกติ ขุนนางระดับยิ่งต่ำก็ยิ่งมากันเช้า ไปยืนรอในตำแหน่งตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แน่นอนว่าเสนาบดีหกกรมกอง เจ้ากรมสำนักตรวจสอบและขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนมาทีหลัง ท่ามกลางหมู่ขุนนางล้วนเปิดทางให้เดิน
เซินสือหังสีหน้านิ่งเรียบมองไปเบื้องหน้า ยังคงฉายบารมีแห่งมหาอำมาตย์ ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว สวีกั๋วก้มหน้า หวังซีเจวี๋ยเห็นชัดว่าลุกลี้ลุกลน มองซ้ายทีขวาทีตลอดเวลา
แม้ว่าเป็นขุนนางเมืองหลวง แม้ว่าเป็นระดับสี่ห้า ก็ได้พบราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่กับเสนาบดีหกกรมกองและเจ้ากรมตรวจสอบในการประชุมนี้เท่านั้น
ท่าทางรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยทำให้ขุนนางหลายคนอดหัวเราะไม่ได้ หวังซีเจวี๋ยผู้นี้มีความสามารถมาก เพียงแต่อุปนิสัยเลิกลั่ก อายุ 40 กว่ายังมักมีท่าทางเหมือนเด็ก 10 กว่าขวบ
ทว่าเซินสือหังกับสวีกั๋วแม้ว่าท่าทางเหมือนปกติ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสลดบางอย่าง กอปรกับท่าทางหวังซีเจวี๋ย ก็แสดงให้เห็นอะไรได้บ้างแล้ว
เทียบกับพวกคณะเสนาบดีใหญ่ที่ดูสลดแล้ว บรรดาเสนาบดีด้านหลังกลับดูแล้วอาจใช้คำว่าได้ใจฮึกเหิมมาบรรยายภาพได้ หยางเหว่ยเดินตามคณะเสนาบดีใหญ่เข้ามา จากนั้นก็เป็นเสนาบดีอื่นกับขุนนางกรมตรวจสอบตามหลังหยางเหว่ยมา ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะเขา แสดงให้เห็นว่าเขาโดดเด่นกว่าผู้ใด
ขุนนางสองข้างทางวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ศิษย์หยางเหว่ยเป็นคนสร้างกระแส ผลสำเร็จได้ดังที่เขาวาดหวังไว้ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับไทเฮาฉือเซิ่ง จากนี้ก็ย่อมทำอะไรก็ได้ หยางเหว่ยก็จะเป็นดังจางจวีเจิ้งในตอนนั้น เขาจะมีอำนาจในราชสำนัก
“ได้ยินมาไหมว่า หลังการประชุมนี้ ทุกคนจะร่วมกันยื่นฎีกา?”
“ฟ้องมหาอำมาตย์เซิน…”
“ผุยๆ จากนี้จะผลักหยางเหว่ยให้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ ว่ากันว่าจะให้เป็นมหาอำมาตย์ ตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองก็ยังคงครองอยู่ เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้!”
“ได้ขึ้นถึงตำแหน่งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า ใต้เท้าหยางทำมาถึงขั้นนี้ก็ย่อมรับประกันได้ว่าจะเสวยวาสนาไปอีกสามรุ่น สร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ต้องกังวลในชีวิตนี้แล้ว ฮ่องเต้องค์ต่อไปย่อมไม่ลืมคุณใหญ่เช่นนี้…”
“พวกเจ้าดูอู๋จั้วไหลนั่นสิ ท่าทางได้ใจเหลือเกิน ว่ากันว่าตำแหน่งเขากำหนดไว้แล้ว ไปเป็นผู้ตรวจการนอกเมืองหลวงก่อนจากนั้นก็จะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ!!”
“เรื่องนี้ไม่อาจอิจฉาได้ เจ้าไม่ดูว่าอาจารย์เขาคือใคร!”
เสียงขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ยามนี้ขันทีขานพิธียังไม่มา ทุกคนก็ย่อมสบายๆ วาจาเต็มไปด้วยความอิจฉาและชื่นชมกับพวกหยางเหว่ย พวกหยางเหว่ยโดยเฉพาะอู๋จั้วไหลนั้นแสดงออกอย่างได้ใจที่สุด พวกที่ว่องไวก็ปรี่เข้าไปประจบแล้ว
พวกที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินอู๋จั้วไหลกล่าวว่า
“เหยาฟู่ผดุงธรรมกล้ากราบทูล ออกหน้าก่อน ตอนนี้ยังอยู่ในคุก ได้รับความทรมาน ทุกคนต้องร่วมกันยื่นฎีกา ช่วยเขาออกมาให้ได้!!”
เสียงคนรอบๆ ต่างเห็นด้วย ขุนนางที่ยืนอยู่ด้านนอกที่สุดล้วนเป็นพวกที่ไม่มีความสำคัญมีตำแหน่งระดับล่าง พวกเขามองอย่างอิจฉามายังพวกวงในใกล้กับอู๋จั้วไหลและหยางเหว่ย พวกที่กำลังประจบสอพลออยู่ ในใจก็คิดเสียดสี หรือไม่ก็แอบด่า จากนั้นก็รู้สึกเบื่อมองไปยังทหารที่ยืนอยู่รอบนอก
ทหารเป็นพวกองครักษ์เสื้อแพร ยืนแถวเป็นระเบียบ ทำหน้าที่ยืนเพื่อเสริมพระเกียรติยศและความน่าเกรงขามของราชวงศ์ เทียบกับสมัยก่อนในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 นั้น ทุกคนรู้ว่าทหารพวกนี้ไม่เหมือนเดิม ตำแหน่งไม่เหมือนเดิม เครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนเดิม สมัยก่อนห่างจากฮ่องเต้ยิ่งไกล ชุดก็ยิ่งเก่า หรือถึงกับเก่าขาดเป็นรู
ตอนนั้นฮ่องเต้หลงชิ่งเคยทรงพบเรื่องนี้ คิดจะตำหนิขุนนางที่เกี่ยวข้อง ต่อมาก็แล้ว ๆ ไป แต่หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 มา เครื่องแต่งกายทหารก็ยิ่งใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอยู่ห่างหรืออยู่ใกล้ฮ่องเต้ ก็ล้วนเหมือนกัน ในวังค่อยๆ มีเงินมีทอง องครักษ์เสื้อแพรก็มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เกราะพวกนี้ว่ากันว่าผลิตใหม่จากโรงช่างหลวงที่เทียนจิน ชุดหนึ่งก็ต้องร้อยกว่าตำลึงเงิน ในวังจ่ายทีเดียวแสนกว่าตำลึง สิ้นเปลืองสิ้นดี
ไม่เพียงพวกเขา เพราะองครักษ์เสื้อแพรนอกวังก็ไม่ต่างกัน สวมชุดเครื่องแบบใหม่ เดินยืดอกไปตามท้องถนนด้วยความภาคภูมิ ราษฎรนับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาจึงจะเป็นผู้ผดุงคุณธรรม พวกขุนนางบุ๋นนับวันก็ยิ่งไม่มีคนสนใจ ทว่าพวกเขาคงไม่อาจเชิดหน้าต่อไปได้นานแล้ว จากวันนี้ไป ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวคุมอำนาจก็ย่อมค่อยๆ กู้สถานการณ์คืนมา ให้พวกฝ่ายในพวกนี้ได้กลับไปมีชีวิตที่ย่ำแย่ดังเดิม
“เงียบ~~~~”
ไม่รู้ว่าตอนไหน สองข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินบนแท่น ทุกที่ที่มีขุนนางยืน ก็มีขันทียืนอยู่ด้วย บนแทนเคาะไม้ดัง บรรดาขันทีก็ตะโกนพร้อมกัน
ขันทีตะโกนดังล้วนเลือกมาโดนเฉพาะ ฝึกกันมาหลายครั้ง สิบกว่าคนตะโกนพร้อมกัน ไม่นานก็ทำให้เสียงรอบๆ ที่ดังอยู่เงียบลง ขุนนางน้อยใหญ่ยามนี้หยุดสนทนากันหมด เริ่มจัดแต่งชุดขุนนางตนให้เรียบร้อย ยืนให้เรียบร้อย เตรียมรอฮ่องเต้เสด็จ
“บรรเลง~~”
มีคนตะโกนดังอีก ดนตรีก็เริ่มบรรเลง ฮ่องเต้ว่านลี่ในชุดเต็มยศปรากฏพระองค์บนแท่นด้านหน้า มีขันทีตะโกนพิธีเริ่มตะโกนขึ้นว่า
“คำนับ~~~~”
ขุนนางทุกคนเริ่มหมอบลงกับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งตรง ขันทีพิธีการตะโกนขึ้นว่า
“ลุก~~~~”
ทุกคนลุกขึ้น ขุนนางระดับสามขึ้นไปห่างจากที่ประทับใกล้มาก สามารถมองเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ว่ามีรอยยิ้มเยียบเย็น ในใจทุกคนก็ไม่คิดสนใจ พวกคนหนุ่มก็เช่นนี้ ตอนพวกเขาต่อต้านก็ได้แต่ยิ้มเยียบเย็น หรือไม่ก็ทำเป็นว่าไม่สนใจ ทว่าภาพรวมเป็นที่แน่นอนแล้ว ยิ้มเยียบเย็นก็ยิ้มเยียบเย็นไปก็แล้วกัน!
คุกเข่าลง พิธีก็เริ่มต้น ขุนนางกรมพิธีการก็ตะโกนขึ้นว่า
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”
พิธีถวายบังคมสามไหว้เก้าโขกศีรษะก็เริ่มต้นขึ้น ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี บรรดาขุนนางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับ ทูลสรรเสริญ พิธีพวกนี้ขุนนางบุ๋นอายุ 50 ขึ้นล้วนทำกันยากลำบาก ทว่าพวกหยางเหว่ยตอนคำนับตามพิธี กลับจิตใจไม่เหมือนคนอื่น แม้ว่าพวกเขาคุกเข่า แต่ในใจกลับเหมือนไปนั่งอยู่บนแท่นด้านบนเอง
“เสร็จพิธี~~”
เสียงขุนนางขานพิธีจบลง ก็ถอยกลับไปเข้าแถว ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์เบาๆ ขุนนางเงียบกริบ ทุกคนรอคอยพระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่
“เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ขุนนางทุกท่านหารือกันมาสองเดือนกว่า เรื่องราชกิจอื่นไม่สนใจกันแล้ว วันนี้เราจะมีราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว เพื่อให้ทุกท่านได้สบายใจ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ สีพระพักตร์ยิ้มเยียบเย็น ตรัสว่า
“โอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน ได้ดังใจเรา เราตัดสินใจแต่งตั้งเป็นรัชทายาท!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น