ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 898-899
ตอนที่ 898 ดินแดนแห่งซากปรักหักพัง
เทียนเกอเจินเหรินกับชายวัยกลางคนชุดเทาด้านหลังเขาขยับตัวทันที ครู่ต่อมาพวกเขาต่างก็ยืนอยู่บนเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นที่เหลือ
เทียนเกอเจินเหรินใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว ปากท่องมนตร์งึมงำฟังยากหลายประโยค จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นยิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้นผู้อาวุโสสูงสุดที่เหลืออีกสามคนก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน เคล็ดวิชาสีน้ำเงินสี่สายร่วงลงสู่ค่ายกลบนพื้นพร้อมกัน
ค่ายกลมหึมาบนพื้นฉับพลันส่งเสียงดังวิ้ง ยันต์บนเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นค่อยๆ ส่องสว่าง แสงรัศมีค่อยๆ ไหลจากเสาศิลาสีน้ำเงินเข้าไปในค่ายกลบนพื้นประหนึ่งน้ำไหล
ชั่วขณะหนึ่งแสงเรืองรองสีเขียวครามผืนใหญ่ก็ทะลักออกมาจากใจกลางค่ายกล ทั้งยังแผ่เต็มผิวค่ายกลอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพียงครู่หนึ่งก็ก่อตัวเป็นวงแสงรูปวงกลมซ้อนกันสี่วงด้านใน
“พวกเจ้ารีบมายืนในวงแสง ศิษย์ระดับผลึกยืนวงละสิบคน จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อพวกเจ้าสองคนยืนคนละวง” เทียนเกอเจินเหรินยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเร่งรีบ
ศิษย์ทั้งหลายได้ยินก็รีบขยับตัว
จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อเหาะเข้าไปในค่ายกลเป็นคนแรก ต่างคนต่างยืนอยู่ในวงแสงวงหนึ่ง
ศิษย์ระดับผลึกที่เหลือรวมกับพี่น้องโอวหยางมียี่สิบคนพอดี จึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเล็กแยกย้ายกันไปยืนในวงแสงสองวงที่เหลือ
หลังจากพี่น้องโอวหยางร่อนลงหลังร่างหลิ่วหมิง หลิ่วหมิงก็คล้ายรับรู้จึงหันกลับไปยิ้มให้เล็กน้อย
วงแสงขอบเขตไม่ใหญ่ ทั้งสามคนแทบจะยืนหน้าหลังแนบชิดกัน
ใบหน้าสวยของโอวหยางเชี่ยนแดงระเรื่อ นางหลุบสายตาลง ส่วนแววตาของโอวหยางฉินก็ดูเหมือนจะขัดเขินอยู่บ้าง
เทียนเกอเจินเหรินเห็นคนทั้งหมดยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็สะบัดมือขวาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยันต์สีแดงอ่อนสี่แผ่นลอยออกมาจากในแขนเสื้อ ร่วงลงบนวงแสงทั้งสี่วง
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ยันต์สีแดงอ่อนพลันส่องแสงสีแดงแสบตาแถบหนึ่งออกมาล้อมวงแสงที่ตรงกันด้านล่างไว้ข้างใน ทันใดนั้นพวกหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ากลายเป็นสีแดง พวกเขาถูกหุ้มไว้ในลูกบอลสีแดงอ่อนลูกหนึ่ง
จากนั้นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายรวมถึงเทียนเกอเจินเหรินก็สะบัดแขนทั้งสองข้าง ทำท่าเคล็ดวิชาประหลาดท่าแล้วท่าเล่าออกมาอย่างเร็วไว เคล็ดวิชาหลายสายทยอยจมลงสู่ค่ายกลเบื้องล่าง
พื้นดินฉับพลันสั่นไหวแผ่วเบา แสงเรืองรองในค่ายกลเริ่มปั่นป่วน
“ฮ่า!” เทียนเกอเจินเหรินเบิกสองตากว้าง ตะโกนเสียงดัง
หลิ่วหมิงร่างกายแข็งเกร็ง รู้สึกได้ว่าท่ามกลางความมืดสลัวเหมือนจะมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการสายหนึ่งกดทับลงบนร่างทำให้เขาไม่อาจกระดิกได้แม้แต่นิด นอกจากนี้จิตสัมผัสก็คล้ายจะถูกขังไว้ในทะเลจิตรับรู้อย่างแน่นหนา
พลังสายนี้ใหญ่โตมโหฬารกว่าพลังของผู้ฝึกฝนคนใดที่เขาเคยเห็น แม้เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างขุยตี้แห่งหนานฮวง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังสายนี้ก็เหมือนจะรู้สึกเล็กกระจ้อยร่อย
“ครืน” ค่ายกลเคลื่อนย้ายบนพื้นดินถูกพลังสายนี้กระตุ้น
เสาแสงสีน้ำเงินหนาเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างสิบกว่าจั้งต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือวิหารบนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างกะทันหัน
เสาแสงพุ่งขึ้นฟ้าแล้วครอบวิหารแถบใหญ่ไว้ข้างใน ประหนึ่งเสายักษ์ค้ำฟ้าพุ่งตรงสู่สวรรค์
ด้านในเสาแสงปรากฏเงาเลือนรางของเตาหลอมสำริดยักษ์ใบหนึ่ง หลังจากด้านในเตาหลอมนำดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงออกมา เงาเตาหลอมยักษ์ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วดั่งห่านป่าผวาบิน
ดวงแสงสี่ดวงลอยตรงขึ้นสู่เบื้องบนท่ามกลางสายตาของศิษย์ทั้งหลายรอบด้านด้วยความเร็วที่เชื่องช้าอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกระยะที่ลอยขึ้นไป ความเร็วยังช้าลงอีกเล็กน้อย
ท้องนภาเหนือยอดเขาหลักเวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชั้นเมฆบนท้องนภาเริ่มหมุนวนเร็วรี่ก่อตัวเป็นวังวนสีดำที่เคลื่อนหมุนอย่างรวดเร็วลูกหนึ่ง เมฆสีขาวแถบแล้วแถบเล่าสี่ด้านแปดทิศต่างถูกดูดเข้าไปปั่นอยู่ด้านใน
เสียงอสนีบาตคำรามดังกึกก้อง!
ด้านในวังวนมีอสนีบาตรูปอสรพิษสีม่วงทะลวงผ่านออกมาเป็นระยะไม่หยุด ครอบยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งลูกไว้ข้างใต้
เพียงครู่เดียวแสงสว่างรอบด้านก็มืดหม่น ราวกับทิวาแปรเปลี่ยนเป็นราตรีในพริบตา
ก้อนแสงสีแดงหม่นสี่ดวงที่ถูกเสาแสงสีขาวล้อมไว้ด้านในเคลื่อนไหวช้าลงทุกที แลดูเหมือนลอยขึ้นไปต่อด้วยความยากลำบาก
บนลานหินเขียวของยอดเขาหลัก ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบพันคนแหงนหน้ามองภาพอันอลังการยากจะจินตนาการเบื้องหน้านี้ แต่ละคนอ้าปากกว้าง ตะลึงจนไม่อาจตะลึงเพิ่มขึ้นได้อีก
ภาพนี้คงอยู่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงก็บรรลุถึงใจกลางวังวนสีดำสนิทและจมลงไปด้านในทีละนิดท่ามกลางอสนีบาตสีม่วงที่ฉายวูบวาบ
เรียกได้ว่าภาพในยามนี้งดงามอย่างประหลาด ดั่งดวงตะวันเจิดจ้าสี่ดวงถูกความมืดกลืนกิน สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของศิษย์สายในทุกคนที่อยู่ที่นั่น
นับจากนี้เป็นเวลานาน ยามที่คนเหล่านี้พูดถึงภาพในวันนี้ พวกเขาล้วนตื่นเต้นอย่างยิ่งคุยฟุ้งกันได้ครึ่งค่อนวัน
สุดท้ายเมื่อดวงแสงสี่ดวงหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างสมบูรณ์ เสาแสงสีขาวที่พุ่งขึ้นฟ้าก็เริ่มหดเล็กลงช้าๆ ก่อนจะสลายหายไปในท้ายที่สุด
ครู่ต่อมาวังวนสีดำสนิทขนาดมหึมากลางท้องนภาก็ค่อยๆ หดเล็กลงแล้วหายไปด้วย
หลังจากนั้นศิษย์ทั้งหลายบนลานกว้างก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังกระหึ่มท้องนภาอยู่เนิ่นนาน
เทียนเกอเจินเหรินสีหน้าซีดเผือดอยู่ในห้องโถงใหญ่ลึกลงไปใต้ดินของยอดเขาหลัก ผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือก็ล้วนมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเช่นเดียวกัน
เวลาที่ดูเหมือนสั้นเพียงชั่วครู่นี้กลับทำให้ทั้งสี่คนราวกับผ่านการตรากตรำมายาวนาน เวลานี้ไม่ว่าพลังจิตหรือพลังเวทล้วนเสียไปไม่น้อย
ค่ายกลบนพื้นด้านล่างว่างเปล่าไม่มีเงาคนอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกสิ่งเบื้องหน้าหมุนติ้ว ทั้งร่างคล้ายถูกถ่วงลงไปยังก้นสมุทรลึกหมื่นจั้ง ทุกแห่งทั่วร่างถูกแรงกดดันท่วมท้นสายหนึ่งกดทับหนักหน่วง หัวใจก็เหมือนถูกมือยักษ์ล่องหนข้างหนึ่งขยี้และกำลังจะระเบิด
เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาแต่ก็เหมือนพันหมื่นปี แรงกดดันบนร่างฉับพลันก็เบาลง เขากลับมาควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงลืมตาสองข้างขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เบื้องหน้าคือโลกมืดสลัวไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ระหว่างฟ้ากับดินมีหมอกสีเทาชั้นหนึ่งปกคลุมทำให้ในใจผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อทอดสายตามองไป สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นผืนดินรกร้างว่างเปล่า ไกลออกไปมองเห็นเงาขุนเขาสูงใหญ่จำนวนหนึ่งอยู่เลือนราง
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เสียงบุรุษแผ่วเบาลอยเข้ามาในหูของหลิ่วหมิง
เขาพลิกกายลุกขึ้นยืนแล้วหันศีรษะมองไปทันที
ด้านหลังร่างเขา จินเทียนชื่อกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสบายๆ ชุดสีทองตัวใหญ่ปลิวสะบัดตามลม ในมือถือยันต์โปร่งใสแผ่นหนึ่งไว้
“ศิษย์พี่จิน ที่นี่คือเศษซากของโลกบนหรือ? ทำไมพวกเขา…”
หลิ่วหมิงผงกศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปรอบด้านจึงพบว่าทุกคนนอนอยู่เกลื่อนพื้น หลับตาแน่นสนิท บนใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่เลือนราง ฉิวหลงจื่อก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ไม่เป็นไร พวกเขาแค่ร่างกายและจิตวิญญาณกระเทือนอย่างรุนแรงเพราะการข้ามเขตแดนระหว่างสองโลกจึงสลบไปชั่วคราวเท่านั้น” จินเทียนชื่อขยับร่างครั้งหนึ่งก็เหาะลงมา เขาอธิบายพร้อมอมยิ้ม
“เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงโล่งอก
นี่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงสหายร่วมสำนัก แต่เพิ่งเข้ามาในต่างโลกที่ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่เช่นนี้ หากเริ่มแรกก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันย่อมไม่ใช่ลางดีอันใด
“ศิษย์น้องหลิ่วฟื้นเป็นปกติได้รวดเร็วเช่นนี้กลับเหนือความคาดหมายของข้า เห็นถึงความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังปราณ” จินเทียนชื่อขยำยันต์โปร่งใสแผ่นนั้นในมือ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ความสามารถเพียงเท่านี้ของข้าไม่ควรค่าเอ่ยถึง แค่เพราะฝึกฝนพลังควบคู่กับการฝึกฝนร่างกายจึงฝึกปรือร่างกายมาได้ค่อนข้างแข็งแกร่งเท่านั้น ศิษย์พี่จินไม่ใช่ตื่นขึ้นมาก่อนข้าตั้งนานหรือ แล้วสิ่งนี้คือ…” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ จากนั้นสายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่งจับจ้องอยู่บนยันต์ในมือจินเทียนชื่อ
แม้สีสันบนยันต์ในมือของจินเทียนชื่อจะเปลี่ยนไปมาก แต่มองปราดเดียวก็ยังคงมองออกว่ามันคือยันต์สีแดงอ่อนแผ่นนั้นที่เทียนเกอเจินเหรินใช้ก่อนหน้านี้
เวลานี้พลังงานในยันต์ถูกใช้หมดเกลี้ยงนานแล้วมันจึงกลายเป็นสีใส แลดูบอบบางยิ่งนักราวกับว่าใช้แรงเพียงนิดเดียวก็ขยี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ ได้
“ของสิ่งนี้มีชื่อว่ายันต์สลายเขตแดน เป็นยันต์สำหรับรวบรวมพลังจิตวิญญาณเพื่อสลายเขตแดนชนิดหนึ่ง” จินเทียนชื่อออกแรงที่มือเพียงเล็กน้อย ยันต์ก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะกลายเป็นฝุ่นผงแวววาวสายหนึ่ง
“ยันต์สลายเขตแดนหรือ? ชื่อนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ศิษย์พี่จินช่างเป็นผู้รอบรู้จริงๆ” หลิ่วหมิงละสายตาไปแล้วเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆ ข้าก็แค่เคยอ่านตำรามามากก็เท่านั้น ยันต์สลายเขตแดนนี่คือยันต์ที่จะใช้เฉพาะยามเปิดมิติระหว่างโลกสองใบที่ระยะทางห่างไกลกันอย่างที่สุด ตัวอย่างเช่นการฝืนเปิดทางเชื่อมระหว่างแผ่นดินจงเทียนกับเศษซากของโลกบนแล้วเคลื่อนย้ายพวกเรามาที่นี่ครั้งนี้ของนิกาย อาศัยเพียงอาวุธเวทรวมถึงพลังของค่ายกลยังไม่พอ” จินเทียนชื่อเอ่ยเรียบๆ
“การฝ่ากำแพงระหว่างโลกของโลกสองใบต้องใช้พลังงานมากอย่างที่สุด ที่จริงแต่ละสำนักแต่ละนิกายบนแผ่นดินจงเทียนเริ่มเตรียมตัวเพื่อการเดินทางมายังเศษซากของโลกบนครั้งนี้มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว นอกจากวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน ยังต้องให้สมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละนิกายดูดซับพลังของเขตแดนที่กระจายออกมาจากเศษซากของโลกบนผสานเข้าไปถึงจะสร้างยันต์สลายเขตแดนนี้ออกมาได้ สำหรับนิกายใหญ่แต่ละแห่ง ยันต์สลายเขตแดนหนึ่งแผ่นเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจำนวนคนที่จะเข้ามาในเศษซากของโลกบน หนึ่งแผ่นเคลื่อนย้ายผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้หนึ่งคนหรือผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้สิบคน นิกายยอดบริสุทธิ์ใช้เวลานับไม่ถ้วนจวบจนวันนี้เพิ่งสร้างยันต์สลายเขตแดนออกมาได้เพียงสี่แผ่นเท่านั้น” จินเทียนชื่อท่าทางปลงอยู่บ้าง
“ดังนั้นนิกายยอดบริสุทธิ์จึงมีจำนวนคนที่เข้ามาเท่ากับยันต์สี่…” ในใจหลิ่วหมิงพลันเข้าใจ
ทั้งสองคนสนทนากันต่อจากนั้นอีกหลายประโยค จนในที่สุดฉิวหลงจื่อก็ลุกขึ้นมายืนบนพื้น
“พี่จินคงไม่ต้องพูดถึง แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิ่วจะได้สติเร็วยิ่งกว่าข้า ทำให้ข้าผู้เป็นศิษย์พี่อับอายแล้วจริงๆ!” ฉิวหลงจื่อเห็นหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยืนกันอยู่สองคน แรกสุดก็ตกตะลึงแต่หลังจากนั้นก็หัวเราะลั่นอย่างไม่นำพา
ผ่านไปไม่นานนัก ศิษย์ที่พลังโดดเด่นกว่าผู้อื่นเช่นหลัวเทียนเฉิง เวินเจิงก็ทยอยฟื้นคืนสติ
เมื่อรอจนทุกคนฟื้นคืนสติหมดก็เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ระหว่างนั้นมีคนไม่น้อยทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เดินไปรอบๆ พากันสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้าน
สายลมแผ่วเบาระลอกแล้วระลอกเล่าโชยพัดผ่านดินแดนรกร้าง ม้วนตลบไหลผ่านข้างกายทุกคนไป
แม้ที่แห่งนี้จะรกร้างวังเวง แต่พลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านกลับเข้มข้นอย่างที่สุด เทียบกับถ้ำที่พักที่ดีที่สุดบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณยังเข้มข้นกว่าเป็นเท่าตัว
ตอนที่ 899 กลุ่มผู้แข็งแกร่งปรากฏตัว
“เอ๋!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็อุทานเสียงเบา ร่างกายขยับวูบเดียวก็ร่อนลงบนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากมือไปทันที
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เขาโจมตีเนินทรายจนเป็นผุยผง ก้อนศิลาสีดำขลับขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก้อนหนึ่งก็กลิ้งร่วงลงมา ด้านในก้อนศิลาคล้ายจะมีเพลิงภูตสีเขียวหยกแผ่ปราณหยินเลือนรางออกมาอยู่
“หยกอนธการ!” มีคนเอ่ยนามของศิลาสีดำขลับก้อนนี้ออกมาในทันที
หยกอนธการเป็นหินแร่จิตวิญญาณธาตุหยินระดับสุดยอดชนิดหนึ่ง มันเป็นวัตถุดิบระดับสูงสำหรับหลอมต้นแบบอาวุธเวทของสายวิญญาณและสายปีศาจ ก้อนใหญ่ขนาดนี้หากนำไปขายที่ตลาดคงขายได้อย่างต่ำหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่ราคาไม่ธรรมดา
ชายหนุ่มชุดขาวฉีกยิ้มแล้วเก็บหยกอนธการขึ้นมาอย่างเร็วไว
“ไม่เสียทีที่เป็นเศษซากของโลกบน…”
คนไม่น้อยมองไปยังคนโชคดีผู้นี้ด้วยสายตาอิจฉา พร้อมกันนั้นในใจก็มีเพลิงร้อนแรงลุกโชน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องเมื่อครู่เตือนสติพวกเขาว่ามีโชควาสนาและสมบัตินับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตผืนนี้ตรงหน้า รอคอยให้พวกเขาไปค้นพบ
หลิ่วหมิงมองสหายร่วมนิกายที่ตื่นเต้นอยู่รอบด้าน แต่ตัวเขากลับมีสีหน้าเรียบเฉย
“ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเราสองคนรับคำสั่งจากเทียนเกอเจินเหรินมาเป็นผู้นำคณะเดินทางในเศษซากของโลกบนครั้งนี้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวต่อจากนี้พวกเราจะเป็นผู้ตัดสินใจ หวังว่าทุกคนจะเชื่อฟัง แน่นอนหากมีคนยืนยันจะเคลื่อนไหวตามลำพัง ข้าก็จะไม่ขัดขวางสักนิด แต่ผู้แซ่จินขอเตือนทุกคนสักประโยค ที่นี่ไม่เหมือนสถานที่อันตรายในแดนลึกลับแห่งใดบนแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงมีสมบัติแห่งฟ้าดินที่สูญหายจากโลกภายนอกมานานซ่อนอยู่มากมาย แต่ยังมีอันตรายนับไม่ถ้วนคงอยู่ตามด้วย” เสียงเย็นชาของจินเทียนชื่อดังขึ้นในหูของทุกคน
ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ด้านล่างได้ฟังย่อมหวาดผวาอยู่ในใจ นึกย้อนไปถึงคำเตือนที่อาจารย์ทุกคนเอ่ยเตือนก่อนออกเดินทาง เปลวเพลิงร้อนแรงในดวงตาจึงค่อยๆ มอดดับ ดวงตากลับคืนเป็นปกติขึ้นเล็กน้อย
จินเทียนชื่อเห็นสีหน้าของทุกคน ในใจก็โล่งอกขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งพลิกเรียกแผนที่ซึ่งนิกายยอดบริสุทธิ์แจกให้ออกมา แล้วเอ่ยว่า
“ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือจำตำแหน่งที่พวกเราอยู่เวลานี้ไว้ ดีที่สุดทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ หนึ่งปีให้หลังหวังว่าทุกคนที่นี่จะยังมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งได้”
หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบแผนที่ออกมาเทียบกับภูมิประเทศรอบด้านแล้วตัดสินอย่างรวดเร็วว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นขอบของทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งหนึ่งที่ระบุไว้บนแผนที่
หลังจากเขาทำเครื่องหมายบนแผนที่แล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดมือ แสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งบินออกจากมือมุดลงไปใต้ดิน
นี่คือยันต์พิเศษชนิดหนึ่งที่เขาซื้อมาจากตลาดชื่อว่ายันต์เชื่อมจิตวิญญาณห้าทิศ
ยันต์นี้คือยันต์สนองตอบชนิดหนึ่ง แบ่งเป็นสองส่วนคือยันต์หยินกับหยาง โดยทั่วไปผู้ฝึกฝนจะใช้ยามค้นหาเส้นทางในแดนลึกลับเขาวงกต เมื่อคนสองคนต่างคนพกไว้กับตัวก็จะสัมผัสตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่ได้จากระยะไกลผ่านยันต์ของแต่ละคน
หลิ่วหมิงย่อมใช้คุณลักษณะของยันต์ชนิดนี้ช่วยตนเองทำเครื่องหมายไว้
หลังจากคนทั้งหลายด้านข้างเห็นการกระทำของหลิ่วหมิงก็พากันใช้วิธีการของแต่ละคนทิ้งเครื่องหมายไว้ที่นี่ด้วย
หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จ สายตาเขาก็กวาดมองแล้วเดินก้าวช้าๆ ไปอยู่ข้างกายสองพี่น้องโอวหยาง เอ่ยเสียงเบากับสตรีทั้งสองนางว่า
“ทั้งสองท่านต่อจากนี้วางแผนไว้อย่างไร จะร่วมทางกับพวกเราต่อหรือไม่? หากคิดจะเคลื่อนไหวตามลำพัง เกรงว่าข้าคงไม่อาจปกป้องความปลอดภัยของทั้งสองท่านตามที่รับปากไว้ได้”
เวลานี้เพิ่งเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เคลื่อนไหวร่วมกันกับผู้คนในนิกายย่อมเหมาะสมกว่า เขายังไม่อวดดีถึงขั้นเตรียมเคลื่อนไหวตามลำพังตั้งแต่เริ่มแรก
“พวกเราพี่น้องไม่มีแผน เคลื่อนไหวด้วยกันกับนิกายท่านก็ดี” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น ส่วนโอวหยางฉินฟังแล้วก็พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
หลิ่วหมิงพยักหน้า ฉับพลันก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง
“ใช่แล้ว แผนที่ซึ่งนิกายยอดบริสุทธิ์แจกให้พวกเราเหล่าศิษย์ พวกเจ้าน่าจะไม่มีกระมัง พื้นที่เศษซากของโลกบนใหญ่ยิ่งนัก ไม่มีแผนที่เกรงว่าจะหลงทางได้ง่าย”
“เรื่องนี้พี่หลิ่วไม่ต้องกังวล พวกเราได้แผนที่ฉบับหนึ่งมาจากมือหัวหน้าตระกูลก่อนหน้านี้แล้ว” โอวหยางเชี่ยนพูดพลางหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมา แลดูคล้ายของที่อยู่ในมือของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงพยักหน้า
ในเมื่อตระกูลโอวหยางส่งสตรีทั้งสองมายังเศษซากของโลกบน ของที่จำเป็นย่อมตระเตรียมไว้แล้ว ไม่แน่อาจจะมากกว่าข้าวของบนตัวเขาอีก
หลงเหยียนเฟยที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นภาพที่หลิ่วหมิงสนทนากับพี่น้องโอวหยางอย่างสนิทสนม คิ้วงามก็ขมวดขึ้น สายตาเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เวลามีน้อย ในเมื่อทุกคนล้วนเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินทางกันได้”
หลังจินเทียนชื่อสั่งคำนี้ ทุกคนก็เลือกทิศทางหนึ่งแล้วเริ่มการเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้อย่างเป็นทางการ
ในเวลาเดียวกันนั้นห่างจากพวกหลิ่วหมิงไปหลายล้านกว่าลี้ ในซากปรักหักพังมากมายของตำหนักขนาดมหึมาที่ผุผังมากแห่งหนึ่ง แสงสีขาวแสบตาสายหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นฉับพลัน ตามด้วยค่ายกลมหึมาขนาดหลายจั้งอันหนึ่งก็ปรากฏออกมาอย่างเลือนราง
ทันใดนั้นกลางอากาศก็ส่งเสียงดังวิ้งสะเทือนแก้วหู ซากปรักหักพังของพระราชวังทั้งแถบคล้ายจะสั่นสะเทือนเพราะสิ่งนี้ แสงสีขาวสั่นไหวพักหนึ่ง เงาคนมากมายก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
หลังจากค่ายกลส่องสว่างวิบวับครั้งสองครั้ง มันก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เงาคนสิบกว่าคนด้านในค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
แสงสีขาวส่องสว่าง ทันใดนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็เหาะขึ้นไปกลางท้องฟ้า
คนผู้นี้สวมชุดยาวที่มีประกายระยิบระยับสีฟ้าเข้ม รูปร่างผึ่งผาย แลดูสง่างามอย่างที่สุด ทว่าใบหน้าซีกซ้ายของเขากลับมีรอยแผลเด่นชัดรอยหนึ่งลากยาวจากหางตาลงมาจรดปลายคาง ทำให้แลดูดุร้ายโหดเหี้ยมขึ้นหลายส่วน ด้านหลังของชุดยาวปักภาพเจ็ดดาวเหนือที่ทอแสงสีขาวออกมา เห็นชัดว่าเขาคือศิษย์ของหอเป๋ยโต่ว
บุรุษชุดฟ้าทอดสายตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้านิ่งสงบคล้ายกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายข้ามโลกแม้แต่น้อย
ส่วนบนพื้นดินด้านล่างมีคนสิบคนนอนอยู่ระเกะระกะ แต่ละคนสองตาล้วนหลับแน่น เห็นชัดว่าตกอยู่ในสภาพหมดสติชั่วคราวเนื่องจากปรับตัวกับการข้ามโลกไม่ทัน
ในสิบคนนี้มีห้าคนที่ดูก็รู้ว่าเป็นศิษย์ของหอเป๋ยโต่ว ส่วนห้าคนที่เหลือสวมชุดตัวใหญ่สีขาวซึ่งแลดูโบราณ
คนเหล่านี้ก็คือคณะเดินทางตามหาสมบัติที่หอเป๋ยโต่วส่งเข้ามาในเศษซากของโลกบน
เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง ร่างกายของบุรุษชุดฟ้าก็ลอยลงมาบนพื้นดิน เขากวาดสายตาผ่านร่างคนทั้งสิบที่นอนอยู่แล้วสะบัดมือข้างหนึ่ง วงแสงสีขาววงหนึ่งแผ่ขยายออกมาจากในมือของเขา ครอบทั้งสิบคนไว้ด้านใน
ผ่านไปไม่นานคนเหล่านี้ที่อยู่ใต้วงแสงก็ทยอยได้สติขึ้นมา
“ศิษย์พี่สวี!”
ศิษย์ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งของหอเป๋ยโต่วฟื้นขึ้นมาก่อน เขามีเส้นผมหยักศกสีม่วงแวววาวทั้งศีรษะ จมูกราชสีห์ปากกว้าง ดวงตาทั้งสองข้างมีประกายแสงสีม่วงไหลเคลื่อนไม่หยุดอยู่เลือนราง เขาก็คือหลี่ว์เหมิงศิษย์ชายแห่งหอเป๋ยโต่วที่เป็นตัวแทนเข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้นั่นเอง เขาคำนับบุรุษชุดฟ้าอย่างนอบน้อม
อิ๋นเซ่อสตรีผู้เคยแสดงความสามารถโดดเด่นในงานประตูสวรรค์ก็เห็นชัดว่าอยู่ที่นี่ด้วย เพียงแต่เวลานี้สีหน้าของนางดูซีดเผือดอยู่บ้าง
แม้พลังของสตรีนางนี้ไม่ต่ำต้อย แต่ร่างกายก็เหมือนจะอ่อนแอกว่าหลี่ว์เหมิงอยู่ ผลกระทบที่ได้รับยามข้ามโลกจึงมากกว่า
ศิษย์สามคนที่เหลือของหอเป๋ยโต่ว สองคนในนั้นคือชายหนุ่มร่างผอมผมแดงที่เสื้อผ้าและหน้าตาแทบจะเหมือนกันสองคน ส่วนคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจดสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีเงินแลดูอายุอย่างมากไม่เกินสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่ง ริมฝีปากแดงฟันขาว อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้างดงามอย่างที่สุด
ในหมู่คนเหล่านี้บุรุษชุดสีฟ้าระดับพลังสูงที่สุด เขาบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นปลายแล้ว และเป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ ห้าคนที่เหลือล้วนนอบน้อมต่อเขาอย่างยิ่ง
หลังจากทุกคนฟื้นคืนสติกันหมดแล้ว บุรุษชุดฟ้าก็สะบัดมือเก็บวงแสงสีขาวไป
เมื่อคนชุดขาวห้าคนนั้นฟื้นคืนสติก็ไปยืนอยู่บนที่ว่างซึ่งค่อนข้างห่างจากคณะเดินทางของหอเป๋ยโต่วทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“ทั้งห้าท่าน สิทธิครึ่งหนึ่งที่พวกเราหอเป๋ยโต่วสัญญาไว้ว่าจะมอบให้วังสวรรค์ของพวกเจ้า ตอนนี้ได้มอบให้แล้ว พวกท่านเชิญตามสบายเถิด” บุรุษชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คนชุดขาวทั้งห้าคนสบตากันทีหนึ่งก็ประสานมือให้บุรุษชุดฟ้าเล็กน้อย หลังจากนั้นหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีขาวห้าสายแหวกท้องฟ้าจากไปไกลโดยไม่พูดสักคำ
“ศิษย์พี่สวี เหตุใดต้องปล่อยคนของวังสวรรค์ห้าคนนี้ไป เมื่อเข้ามาในเศษซากของโลกบนแล้ว คนนอกทั้งหมดล้วนเป็นศัตรู เหตุใดไม่ฉวยโอกาสกำจัดห้าคนนี้เสีย?” คิ้วงามของอิ๋นเซ่อขมวดนิดๆ ราวกับธารน้ำฤดูใบไม้ผลิกระเพื่อม งดงามสะกดผู้คนอย่างไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาเย็นเยียบดั่งคมดาบ
“เซ่อเอ๋อร์ อย่าปล่อยไอสังหารเช่นนี้สิ อย่างไรเสียวังสวรรค์ก็เป็นกลุ่มอำนาจพันธมิตรของพวกเรา การเดินทางมาเศษซากของโลกบนครั้งนี้ ศัตรูคนสำคัญของพวกเราความจริงหาใช่วังสวรรค์ แล้วก็ไม่ใช่นิกายหรือสำนักอื่น แต่เป็นพวกต่างเผ่าจากแผ่นดินอื่นอย่างแผ่นดินว่านเหยา แผ่นดินว่านหมัวต่างหาก” บุรุษชุดฟ้ายิ้มเล็กน้อย
อิ๋นเซ่อได้ยินพลันเบ้ปากเล็กน้อย คล้ายกับไม่ยินยอม
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพวกต่างเผ่าพวกอื่น เทียบกับแผ่นดินจงเทียน แผ่นดินหมานฮวงกับแผ่นดินว่านหมัวอยู่ห่างจากเศษซากของโลกบนใกล้กว่าเล็กน้อย ดังนั้นที่นี่ต้องมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกับผู้ฝึกฝนเผ่ามารจำนวนมากแห่เข้ามาแล้วแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องระวังรอบคอบ หากพบการต่อสู้ต้องทุ่มสุดกำลัง ออมมือไม่ได้เด็ดขาด” ชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ห้าคนที่เหลือรีบพยักหน้าขานรับ
“งานไม่สมควรชักช้า พวกเราขยับตัวกันเถอะ” บุรุษชุดฟ้าพยักหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้าง แสงดาวเจิดจ้าสายหนึ่งม้วนออกมาหุ้มทั้งห้าคนไว้แล้วกลายเป็นแสงดาวสายหนึ่งมุ่งไปยังทิศทางตรงข้ามอย่างเร็วไว
……
ในหุบเขาอันเงียบสงบวังเวงแห่งหนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” “ฟึบ” ดังขึ้นมาพักหนึ่ง ทำลายความเงียบสงบของที่แห่งนี้
เงาคนสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากจากในหุบเขาทยอยร่อนลงใกล้กับยอดเขาแห่งหนึ่ง
บนร่างคนส่วนใหญ่สวมอาภรณ์สีดำ ไอปีศาจวนเวียนบนร่าง ดูจากเครื่องแต่งกายพวกเขาคือผู้ฝึกฝนของนิกายปีศาจลี้ลับ
สองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด คนหนึ่งคือบุรุษหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิต มือถือพัด ร่างกายสวมชุดบัณฑิต แต่งตัวเหมือนคุณชายผู้สง่างามคนหนึ่ง แต่สีหน้าของเขากลับฉายแววโหดเหี้ยมออกมาเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งทั้งร่างซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมต้าฉ่างสีดำ[1] เผยออกมาให้เพียงดวงตาคู่หนึ่งที่มีแววตาเย็นชา จนมองไม่เห็นความรู้สึกแม้แต่น้อย
หลังร่างของทั้งสองคนมีศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสิบกว่าคนยืนอยู่ หลงเซวียนก็อยู่ในนั้นด้วย เส้นผมเหมือนเปลวเพลิงสีเขียวทั้งศีรษะค่อนข้างสะดุดตา
นอกจากคนของนิกายปีศาจลี้ลับ ยังมีผู้ฝึกฝนนิกายอื่นอีกเจ็ดคน ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนที่มาจากสามนิกายที่แตกต่างกัน เวลานี้พวกเขากำลังยืนอยู่ห่างออกไปไกลด้านข้าง
[1] เสื้อคลุมต้าฉ่าง เสื้อผ้าจีนโบราณรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเป็นเสื้อตัวใหญ่ผ่ากลางจากคอเสื้อจนถึงชาย แขนเสื้อกว้างและมีสายคาดเอว มักจะสวมทับไว้ด้านนอก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น