หมอดูยอดอัจฉริยะ 896-899
ตอนที่ 896 ประมูล (3)
“จวงรุ่ย นั่นเป็นหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น ทำไมถึงจะซื้อมันล่ะ?”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างจวงรุ่ยไม่เข้าใจการกระทำของเขา สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมองเขานั้นแฝงแววหยามเหยียดเอาไว้ ทำให้หญิงสาวพลอยรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย
“ไส้ซาลาเปาที่อร่อยไม่อยู่ด้านนอก มันต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน”
จวงรุ่ยดูท่าทางแน่วแน่ ไม่สนใจสายตาของเหล่าคุณชายลูกเศรษฐีที่มองเขา เขากระซิบบอกหญิงสาวเบาๆให้เธอเข้าใจเท่านั้น
“คุณผู้ชายท่านนี้เริ่มต้นราคาที่ห้าหมื่นเหรียญ ยังมีท่านไหนสนใจในหินก้อนนี้อีกไหมครับ?”
ของประมูลที่มูลค่าไม่ค่อยสูงเช่นนี้ เฮนรี่ไม่ค่อยอยากเสียแรงไปกับมันมาก หลังจากถามสามครั้งแล้ว ก็รีบเคาะประมูลทันที คนอื่นคิดว่าถือเป็นโชคของจวงรุ่ย ที่ได้ของไปในราคาถูก
“คุณจวงใช่ไหมครับ?”
ตอนที่เฮนรี่เริ่มการประมูลของชิ้นต่อไป เยี่ยเทียนพูดแทรกขึ้นมา
“ไว้เมื่อไหร่ที่คุณผ่าหินออกแล้ว คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าข้างในเป็นอะไร?”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบจวงรุ่ยชักสีหน้า สั่นหัวตอบว่า
“เอ๋? คุณผู้ชายท่านนี้ โบราณกล่าวไว้ว่าเทพเซียนยังไม่อาจคาดเดาหยกที่อยู่ในหินได้ ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าข้างในนั้นเป็นอะไร? ก็แค่เสี่ยงดวงดูเท่านั้นเอง”
“เฮอะๆ มันก็ไม่แน่หรอก วันนี้โชคเข้าข้างคุณจวงไม่น้อยเลยนะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะ โบกมือพูดกับเฮนรี่ว่า
“ประมูลต่อเถอะ เฮนรี่ ของดีๆแบบนี้ถูกคุณขายราคาอย่างกับผักในตลาด ฮ่าฮ่า!”
ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ทุกคนในห้องโถงนั้นต่างรู้ดี คำพูดของเขาทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หินก้อนนั้น แม้แต่หลิ่วซีกั๋วยังรีบพุ่งเข้ามาหาเยี่ยเทียนแล้วตัดพ้อว่า
“อาเล็ก รู้ว่านั่นเป็นของดีทำไมถึงไม่ให้ฉันประมูลมันมาเล่า?”
อัญมณีพวกหยกเฝยชุ่ยต้องดูที่คุณภาพไม่ได้ดูที่ปริมาณ หินก้อนนี้ถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าภายในมีหยกเฝยชุ่ยเนื้องามอยู่แค่หัวแม่มือ มันก็จะกลายเป็นอัญมณีที่มีค่าเป็นสิบล้าน เทียบกับเงินห้าหมื่นที่ประมูลมันไปแล้วไม่รู้ว่ามากกว่าตั้งกี่เท่า
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพูดว่า
“ซีกั๋ว ผู้ใหญ่ทางบ้านของเขาคนนั้นเคยมีอดีตกับท่านผู้เฒ่าตระกูลซ่ง เป็นคนเก่าคนแก่ในกองทัพ ผมจะไปแย่งของๆเขาได้อย่างไรกัน?”
“เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง?”
ฟังเยี่ยเทียนอธิบายจบหลิ่วซีกั๋วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขารู้ว่าตาของเยี่ยเทียนเป็นใคร บรรพบุรุษของจวงรุ่ยน่าจะเป็นคนชนชั้นเดียวกัน อย่าได้มีเรื่องขัดแย้งกับคนแบบนี้ด้วยหยกเพียงก้อนเดียวเลย
สิ่งของที่แลกมาด้วยเงินห้าหมื่น ไม่ได้เป็นเรื่องฮือฮาในที่นั้น การประมูลดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว แต่เยี่ยเทียนนั่งดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ร่วมวงด้วยแล้ว
“คุณเยี่ยครับ ต่อไปตาคุณแล้ว ขอถามหน่อยว่าสิ่งของที่คุณนำออกมาประมูลคืออะไรครับ?”
งานประมูลดำเนินไปเรื่อยๆจนมาถึงรอบของเยี่ยเทียน แสงไฟสาดส่องใส่ตัวเยี่ยเทียนหลังจากเสียงของเฮนรี่สิ้นสุดลง
“เฮนรี่คนนี้ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา ผู้ดูแลกิจการภายนอกของสำนักเสื้อป่านคือเหลยหู่ ตามหลักแล้วเฮนรี่น่าจะถามเหลยหู่มากกว่า แต่เขากลับถามตัวเองตรงๆ ดูท่าจะเป็นการแก้แค้นเล็กๆที่เมื่อครู่เยี่ยเทียนตำหนิเขาว่าประมูลของราคาถูกเกินไป
“ผมไม่มีข้าวของอะไรมาก เจ้านี่ละกัน”
เยี่ยเทียนหยิบขวดหยกออกมาอันหนึ่ง สีของขวดนั้นเป็นสีเขียวอ่อน เนื้อหยกสวยไม่เลว แต่ฝีมือการแกะสลักหยาบมาก
“ในนี้มียาอยู่เม็ดหนึ่ง ไม่อาจรักษาโรคร้ายแรงได้ แต่กินแล้วไม่ตาย ผมเอาของสิ่งนี้ออกประมูลแล้วกัน”
“คุณเยี่ยครับ ยานี้แตกต่างจากของชิ้นอื่น มีความอันตรายอยู่ คุณนำมันออกประมูลเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ?”
เฮนรี่อาศัยอำนาจในการเป็นผู้ดำเนินการประมูลทำให้เยี่ยเทียนตกที่นั่งลำบาก
“เอ๋? คุณไม่เห็นด้วย?”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วเก็บขวดยานั้นทันที แล้วพูดต่อว่า
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ผมเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้!”
“อย่าครับ เปลี่ยนไม่ได้!”
เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ มีคนๆหนึ่งลุกยืนขึ้นท่ามกลางวงล้อมของแขกเหรื่อ
“คุณทำหน้าที่ประมูลของคุณไปเถอะ แขกจะนำอะไรออกประมูลเป็นสิทธิ์ของเขา คุณจะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจได้อย่างไร?”
คนที่ลุกขึ้นมาประกาศปาวๆนั้นคือหลี่เชาเหริน เขายอมเสียหน้าไปเอ่ยขอยาวิเศษจากเยี่ยเทียน ถ้าถูกเฮนรี่ขัดขวาง หลี่เชาเหรินคงโมโหจนแทบฆ่าคนได้
“คุณลุงหลี่เป็นอะไรไปครับ?”
“นั่นน่ะสิ น้อยนักที่จะเห็นท่านโกรธแบบนี้!”
“น่าจะเป็นเพราะท่านสนิทกับเยี่ยเทียนน่ะสิ ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขาเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมกัน?”
ความเคลื่อนไหวของหลี่เชาเหรินทำให้ทั้งห้องโถงเกิดความนิ่งเงียบ ด้วยสถานะอย่างเขาคำพูดทุกคำสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นได้ ดังนั้นเขาจึงพูดน้อยเป็นนิสัย ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ไม่มีใครเคยเห็นเขาโมโหแบบนี้มาก่อน
“เอ่อ คุณหลี่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เฮนรี่เห็นว่าผู้พูดคือหลี่เชาเหริน ก็ตกใจจนเหงื่อแตก เขาเป็นนักดำเนินการประมูลคนหนึ่งเท่านั้น อิทธิพลของ หลี่เชาเหรินสามารถทำให้เขากระเด็นหลุดออกจากวงการประมูลไปตลอดชีพเลยก็เป็นได้
ตอนนี้เฮนรี่ไม่สนใจเรื่องกลั่นแกล้งเยี่ยเทียน รีบพูดแก้ต่างว่า
“ในเมื่อทุกท่านในที่นี้คิดว่าของสิ่งนี้ใช้ประมูลได้ เช่นนั้นผมขอเริ่มประมูลของชิ้นนี้อย่างเป็นทางการ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นเหรียญ…..”
“เดี๋ยวก่อน!”
เฮนรี่กำลังจะประกาศราคาเริ่มต้นออกไปนั้น ถูกเยี่ยเทียนขัดขึ้น
“เฮนรี่ ยานั่นประมูลพร้อมกับขวด อย่างน้อยต้องสิบล้าน น้อยกว่านี้ไม่ได้!”
“อะไรนะ? สิบล้านเหรียญฮ่องกง?”
เฮนรี่เบิกตาโพลง วันนี้ของทุกชิ้นเริ่มต้นที่ราคาหนึ่งหมื่นเหรียญทั้งนั้น ขวดหยกชิ้นนี้ราคายังจะสูงกว่าแจกันเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์ชิงอีกหรือ?
แต่กฎนั้นถูกตั้งขึ้นโดยมนุษย์ แรกเริ่มเดิมทีราคาประมูลสิ่งของทุกชิ้นเริ้มต้นขั้นต่ำที่หนึ่งหมื่นเหรียญ แต่ดูท่าทางที่หลี่เชาเหรินยังไม่ยอมนั่งลงเสียที เฮนรี่กลืนน้ำลายเอื้อกแล้วเอ่ยต่อว่า
“คุณเยี่ยมีความมั่นใจมากในของประมูล ดังนั้นจะเป็นไปตามความประสงค์ของคุณ ของสิ่งนี้ราคาประมูลเริ่มต้นที่สิบล้านเหรียญ”
เยี่ยเทียนขัดคอเฮนรี่ขึ้นอีกครั้ง แล้วอธิบายว่า
“คุณเฮนรี่ คุณผิดแล้ว ผมไม่ได้หมายถึงเหรียญฮ่องกง แต่เป็นดอลลาร์สหรัฐ!”
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เฮนรี่คนเดียวที่ยิ้มแหย หลี่เชาเหรินที่อยู่ล่างเวทีเข้าใจจุดประสงค์ของเยี่ยเทียนดี ของสิ่งนี้เยี่ยเทียนนำออกมา แต่ตนต้องใช้บางสิ่งแลกมา แน่นอนว่ามูลค่าของยาเม็ดนี้ต่อให้ต้องจ่ายอีกมากเท่าไหร่ หลี่เชาเหรินก็ยอมจ่ายโดยดี
“ดอลลาร์สหรัฐ? คุณเยี่ยคุณแน่ใจ?”
เฮนรี่ตกตะลึง
“แน่นอนอยู่แล้ว เริ่มประมูลเถอะ!”
“ครับ ต่อไปของประมูลชิ้นนี้โดยคุณเยี่ยเป็นเจ้าของ ราคาเริ่มต้นที่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐ”
เฮนรี่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวอีก เอาเป็นว่าถ้าของสิ่งนี้ประมูลไม่ออก เป็นเยี่ยเทียนที่ขายหน้าไม่ใช่เขา ราคาเริ่มต้นที่สูงขนาดนี้ หากหลุดประมูลก็เป็นเรื่องธรรมดา และจะไม่ส่งผลกระทบต่ออาชีพการประมูลของเขา
“สิบห้าล้านดอลลาร์!”
สิ่งที่เฮนรี่คิดไม่ถึงก็คือตอนที่เขาเพิ่งประกาศราคาออกไป ชายชราที่ยังไม่ทันนั่งลงได้ตะโกนราคาออกมาด้วยความใจร้อนนั้นทำให้คนอื่นในห้องโถงต่างสงสัย หลี่เชาเหรินนักธุรกิจผู้ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมรอบคอบ ทำไมถึงแสดงกิริยาแบบนี้?
เฮนรี่ไม่คิดว่าหลี่เชาเหรินจะประกาศราคาเท่านี้ เขางุนงงไปพักใหญ่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“สิบห้าล้านดอลลาร์ครั้งที่หนึ่ง คุณหลี่ให้ราคาสิบห้าล้านดอลลาร์!”
เซวียนปิง ของสิ่งนั้นไม่เลวเลย เธอประมูลสิ!”
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงลอยมากระทบหู อดไม่ได้หันไปตามต้นเสียง ผู้พูดคือจวงรุ่ยคนนั้น กำลังพูดกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ยาอะไรแพงขนาดนั้น?” สาวสวยที่ชื่อเซวียนปิงมองจวงรุ่ยอย่างไม่เข้าใจ แล้วกระซิบว่า
“ของสิ่งนี้แพงมากเลยนะ อีกอย่างถ้าคุณปู่รู้ว่าไปแย่งประมูลของกับหลี่เชาเหรินละก็ คุณปู่ต้องโกรธมากแน่”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร แต่รู้สึกว่าเป็นของดี ตามใจเธอแล้วกัน!”
จวงรุ่ยส่ายหัว ไม่อยากบังคับคู่ควง ตัวเขาเองเพิ่งประมูลหินมาก้อนหนึ่ง ทั้งพื้นฐานครอบครัวและฐานะเทียบกับหลี่เชาเหรินไม่ได้เลย
“คนๆนี้ช่างรู้จักการไขว่คว้าและปล่อยวาง”
เยี่ยเทียนแอบฟังคนทั้งสองคุยกันแล้วยิ้มออกมา หันกลับมาดูการประมูลต่อ ถ้าเยี่ยเทียนเดาไม่ผิด คนหนุ่มคนนั้นมีความสามารถพิเศษรับรู้ถึงพลังพิเศษที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้
“สิบห้าล้านดอลลาร์ ครั้งที่หนึ่ง สิบห้าล้านดอลลาร์ครั้งที่สอง! ยังมีท่านไหนสนใจจะประมูลต่ออีกไหมครับ?”
ฐานะทางสังคมในวงการค้าชาวจีนโพ้นทะเลของหลี่เชาเหรินนั้น เขาหมายตาสิ่งใดไว้แล้ว ใครหรือจะกล้าเข้าไปแก่งแย่ง เฮนรี่ประกาศถึงสองครั้งก็ไม่มีใครตอบ เขายกค้อนขึ้นสูงเตรียมจะทุบลงบนโต๊ะเพื่อสิ้นสุดการประมูล
“ห้าสิบล้านดอลลาร์!” ตอนที่เฮนรี่กำลังจะทุบค้อนลงบนโต๊ะนั้น จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“ใคร ใครบอกว่าห้าสิบล้านดอลลาร์?”
“ใครให้มากขนาดนั้น ตั้งห้าสิบล้านแหนะ”
“กล้าแย่งประมูลกับหลี่เชาเหริน ช่างใจกล้าเสียจริง!”
ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดด้วยเสียงที่ตะโกนขึ้น สายตานับไม่ถ้วนมองมาที่ต้นเสียง แต่เมื่อมองแล้วทุกคนพากันตกตะลึง เพราะคนหนุ่มที่เสนอราคาออกไปนั้นนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเยี่ยเทียนนี่เอง
เจ้าหนุ่มคนนี้หลายๆคนได้ยินเขาเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์ ก็หมายความว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน สิ่งของชิ้นนี้เยี่ยเทียนเป็นผู้นำออกประมูล เขายังให้ลูกศิษย์ของตัวเองเสนอราคาที่สูงกว่าเดิม นี่ไม่ใช่การโก่งราคากันหรอกหรือ?
งานประมูลการกุศลแบบนี้ราคาประมูลต่อให้สูงแค่ไหน เงินนั้นก็ต้องถูกบริจาคออกไป ทั้งราคาเริ่มต้นที่เยี่ยเทียนตั้งนั้นหลี่เชาเหรินจะต้องให้สูงกว่าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนใช้เงินห้าสิบล้านดอลลาร์เพื่อประมูลสิ่งของของตัวเองกลับมาจะไม่เป็นเรื่องแปลกหรือ
“คุณผู้ชายท่านนี้ แน่ใจหรือครับว่าห้าสิบล้านดอลลาร์? นี่ไม่ใช่การล้อเล่นนะครับ!”
เฮนรี่ที่ยืนอยู่บนเวทีตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ถึงปากจะถามโจวเซี่ยวเทียน แต่สายตากลับจ้องมองที่เยี่ยเทียน
ตอนที่ 897 สถิติใหม่
ด้วยสายตาของเฮนรี่ที่มองเยี่ยเทียน เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“มองที่ผมทำไม? เซี่ยวเทียนเป็นศิษย์ของผม เขาอาจจะรู้สึกว่าราคาของชิ้นนี้มันถูกไปมั้ง?”
“ราคาประมูลเริ่มต้นที่สิบล้านดอลลาร์ยังถูกอีกหรือ?”
“คนๆนี้บ้าไปแล้วเหรอ? แล้วทำไมคุณหลี่ยังบ้าตามไปกับเขาด้วย?”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้คนในนั้นวิจารณ์กันยกใหญ่ แค่ขวดหยกขวดเล็กขวดเดียว ต่อให้ในนั้นมียาวิเศษอยู่ราคาคงไม่ต้องถึงสิบล้านดอลลาร์หรอกมั้ง? แต่หลังจากเยี่ยเทียนเอ่ยแบบนั้นแล้ว ของสิ่งนี้ดูจะถูกเกินไปทันที นอกจากคนที่รู้เบื้องหลังอย่างถังเหวินหย๋วนและหลี่เชาเหรินแล้ว คนสูงวัยคนอื่นๆต่างพากันส่ายหัว
“คุณเฮนรี่ ห้าสิบล้านดอลลาร์ ผมไม่ได้ล้อเล่นสักนิด ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมจะเขียนเช็คเงินสดห้าสิบล้านดอลลาร์ให้คุณเดี๋ยวนี้!”
โจวเซี่ยวเทียนออกมาแถลงแล้ว เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนบอกไว้ เขารู้สึกว่าของสิ่งนี้ราคาถูกเกินไป เพราะยาวิเศษหายากเม็ดนั้นได้มาจากเยี่ยเทียน
โจวเซี่ยวเทียนยังฝึกวิชาไม่ถึงระดับเซียนเทียน ทั้งค่ายกลรวมพลังหรือพลังวิเศษจากธรรมชาติ หรือยาวิเศษที่โก่วซินเจียปรุงขึ้นมานั้นต่างมีประโยชน์มหาศาลสำหรับเขา ขายออกไปได้เม็ดหนึ่งก็เท่ากับว่าเขาจะได้น้อยลงไปหนึ่งเม็ดไม่ใช่หรือ?
“ไม่….ไม่ต้องหรอกครับ คุณแค่เสนอราคาก็พอแล้วครับ!”
เฮนรี่รู้ประวัติทางบ้านของเยี่ยเทียน การกระทำของโจวเซี่ยวเทียนต้องได้รับความเห็นชอบจากเยี่ยเทียนก่อน เขาไม่กล้าสงสัยอีก จึงเอ่ยต่อว่า
“คุณผู้ชายท่านนี้เสนอราคาห้าสิบล้านดอลลาร์ ยังมีท่านใดให้มากกว่านี้อีกไหมครับ?”
ในความคิดของเฮนรี่ราคาห้าสิบล้านดอลลาร์เป็นราคาที่เหลวไหลวมากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพอเสียงของตัวเองสิ้นสุดลง หลี่เชาเหรินก็ตะโกนออกมาว่า
“ผมให้สามร้อยล้านดอลลาร์ ทั้งหมดขอมอบให้ผู้ประสบภัย หวังว่าเงินจำนวนนี้จะถึงมือผู้เดือดร้อนจริงอย่างครบถ้วน!”
“สาม…สามร้อยล้าน?”
“พระเจ้า ผมไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? เป็นเงินดอลลาร์นะ!”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจากห้าสิบล้านกลายเป็นสามร้อยล้านไปได้?”
เมื่อหลี่เชาเหรินประกาศออกไป ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นเหมือนมีใครจุดระเบิดขึ้น เสียงฮือฮาตื่นเต้นดังระงมไปทั่วไม่อาจหยุดยั้งได้
ถ้าเป็นเหวินหลวนสงเป็นคนเสนอราคาสามร้อยล้านดอลลาร์บางทีอาจจะไม่น่าตกใจเท่านี้ เพราะเขาเป็นคนชอบหว่านเงินอยู่แล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับหลี่เชาเหรินที่ได้ชื่อว่าทำอะไรด้วยความระมัดระวังรอบคอบ นอกจากเรื่องธุรกิจแล้วน้อยมากที่จะมีปฏิกิริยาในที่สาธารณชน
“สามร้อยล้านดอลลาร์? คุณหลี่ครับ คุณให้ราคาสามร้อยล้านดอลลาร์?”
เฮนรี่มองหลี่เชาเหรินอย่างไม่อยากเชื่อ ถ้าไม่ได้ยินเองกับหู เขาไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาดว่าขวดหยกที่แกะสลักหยาบๆพร้อมกับของที่บรรจุอยู่ภายในนี้จะมีค่ามากถึงสามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าคิดเป็นเงินฮ่องกงก็คือสองพันล้านเหรียญ!
“ไม่ผิดหรอก สามร้อยล้านจริงๆ” หลี่เชาเหรินยิ้มพลางมองดูประธานผู้จัดงานในคืนนี้ “ท่านเซอร์เฮ่อ คุณไม่รังเกียจว่าเงินของผมจะมากเกินไปจนไม่กล้ารับหรอกใช่ไหม?”
เฮนรี่ไม่มีสิทธิ์จะพูดคุยกับหลี่เชาเหรินได้ตรงๆ ทั้งหลี่เชาเหรินเองก็ไม่อยากให้คนอื่นให้ความสนใจกับเงินก้อนนี้และของชิ้นนี้มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่เจ้าของงานประมูลแทน
หลี่เชาเหรินเอ่ยดังนั้นทำให้แขกคนอื่นๆรู้สึกถูกชักนำตามให้คิดว่าเงินที่หลี่เชาเหรินบริจาคนั้นก็เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจริง นอกจากคนปากไม่ดีไม่กี่คนแล้ว คนส่วนใหญ่ถูกหลี่เชาเหรินเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ประเด็นอื่น
“มิได้หรอกครับ คุณหลี่ให้เงินมากมาย ทุกครั้งที่มีการประมูลเพื่อการกุศลคุณหลี่อยู่ในแถวหน้าเสมอ ผมนับถือคุณจริงๆ!”
สำหรับตัวเถ้าแก่เฮ่อแล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขารู้ว่าหลี่เชาเหรินชอบบริจาคเงินไปถึงที่ผู้เดือดร้อน แต่น้อยมากที่จะบริจาคเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้
“ท่านเซอร์เฮ่อ ชมเกินไปแล้ว คุณเยี่ยอุตส่าห์ยอมเสียสละของรักของหวงนำออกประมูล กระผมจะไม่บริจาคได้อย่างไร?”
หลี่เชาเหรินกล่าวเยินยอเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันก็แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของตัวเอง ความจริงแล้วเมื่อครู่ราคาเริ่มต้นที่เยี่ยเทียนตั้งเป็นสิบล้านดอลาร์นั้น เขาคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าเขาไม่เสียเงินมากคงจะไม่ได้ครอบครองยาวิเศษเม็ดนั้นง่ายๆแน่นอน
“ผู้ทำความดีคุณพระคุณเจ้าต้องคุ้มครอง คุณหลี่ได้สร้างกุศลครั้งใหญ่แล้ว”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา ด้วยอายุแล้วสถานะของเขา ถ้าจะพูดแทรกคงดูไม่ดีนัก แต่เมื่อเยี่ยเทียนเอ่ยออกไปแล้ว ทุกคนในงานต่างรู้สึกเห็นด้วย ราวกับว่าเยี่ยเทียนควรจะรู้ที่ต่ำที่สูง
หลี่เชาเหรินเดาไว้ไม่ผิด เยี่ยเทียนไม่รักษากฎให้ตั้งราคาเริ่มต้นที่สิบล้านดอลลาร์ แล้วยังถูกโจวเซี่ยวเทียนโก่งราคาให้สูงขึ้นไปอีก เพราะอยากจะตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้อนาคตหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปตนเองจะถูกคนอื่นที่ประสงค์ในยาวิเศษมารบกวนได้อีก
หลี่เชาเหรินรู้เท่าทันเป็นอย่างดี เขาจึงตั้งราคาให้สูงถึงสามร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อให้เยี่ยเทียนพอใจ จนเกือบให้เป็นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งไปเสียแล้ว
งานประมูลการกุศลที่ตนเองร่วมประมูลด้วยในครั้งนี้จะต้องได้ยินไปถึงหูของผู้เป็นใหญ่เป็นโตในปักกิ่งแน่นอน ตามที่โบราณท่านว่าของยิ่งมีน้อยยิ่งมีราคามาก ราคาที่ซื้อประมูลมานั้นบ่งบอกว่ายาวิเศษเหลือเพียงไม่กี่เม็ดแล้ว สามร้อยล้านดอลลาร์แลกมากับยาหนึ่งเม็ด แต่เขาจ่ายไปตั้งพันล้านน้ำใจครั้งนี้เพียงพอแล้ว
“เฮนรี่ คุณอยู่บนเวทีชมวิวอยู่หรือไง? ประมูลต่อสิ?”
หลังจากพูดคุยกับหลี่เชาเหรินไม่กี่ประโยคแล้ว เยี่ยเทียนหันไปเรียกสติคนที่อยู่บนเวที ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบหยอกเย้าพิธีกรคนนี้เหลือเกิน แต่งานครั้งนี้เฮนรี่ยิ่งเจ้าเล่ห์ยิ่งดี เพราะจะยิ่งได้เงินบริจาคให้ผู้ประสบภัยมากขึ้น
“หะ? คุณเยี่ยพูดถูกแล้ว”
เฮนรี่ยังไม่หายตะลึงกับจำนวนเงินสามร้อยล้านดอลลาร์นั้น ตั้งแต่เขาทำงานประมูลมามียอดประมูลสูงๆที่บันทึกไว้ นี่ก็แค่สามร้อยล้านดอลลาร์เท่านั้น ยังไม่นับรูปภาพของแวนโก๊ะหลายรูปกับงานศิลปะอันล้ำค่าของยุโรป
แต่จำนวนเงินที่ได้รับจากการประมูลครั้งนี้เกินกว่าสี่ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งมีงานประมูลระดับนานาชาติน้อยครั้งมากที่จะได้เงินจำนวนมากขนาดนี้ เฮนรี่คิดไม่ถึงเลยว่า งานประมูลที่คนน้อยขนาดนี้ กลับได้ทำสถิติที่ถูกบันทึกครั้งใหม่ว่ามีเงินประมูลมากที่สุด
“สามร้อยล้านดอลลาร์ คุณหลี่ให้สามร้อยล้านดอลลาร์ ขอถามทุกท่านอีกครั้งครับ ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหมครับ?”
ครั้งนี้เฮนรี่ไม่รีบเคาะประมูล แล้วยังส่งสายตามาให้เยี่ยเทียน เขาเสียใจอยู่บ้างที่มีเยี่ยเทียนอยู่ในงานครั้งนี้ที่ทำให้เชาว์ปัญญาและไหวพริบของเขาเกือบจะกลายเป็นศูนย์ สภาพการณ์หลายอย่างราวกับถูกเยี่ยเทียนควบคุมไว้
เยี่ยเทียนมองเฮนรี่แล้วสั่นหัว เรื่องอะไรที่คิดกังวลมากเกินไปนั้นไม่ดี เงินสามร้อยล้านดอลลาร์สำหรับบรรดาเศรษฐีในที่นี้เป็นเงินมหาศาล นอกจากหลี่เชาเหรินแล้วยังจะมีแต่ถังเหวินหย่วนและเจิ้งเจวี๋ยซื่อเท่านั้นที่จ่ายไหว ผู้เป็นเจ้าของงานอย่างท่านเซอร์เฮ่อ ยังไม่มีพื้นเพได้ขนาดนี้
“สามร้อยล้านดอลลาร์ครั้งที่หนึ่ง สามร้อยล้านดอลลาร์ครั้งที่สอง ขอแสดงความยินกับคุณหลี่ คุณได้รับของประมูลชิ้นนี้ของคุณเยี่ยเทียนไปเลยครับ!”
หลังจากถามไปสองครั้งแล้ว ตอนจบเฮนรี่เคาะประมูลแล้วประกาศมูลค่าการประมูลที่สูงที่สุดตั้งแต่เขาเคยทำอาชีพนี้มา เฮนรี่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น กลับรู้สึกอับอายเสียต่างหาก เพราะการประมูลครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาดำเนินการ
“ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”
หลี่เชาเหรินเขียนเช็คเงินสดแล้วนำไปหย่อนใส่กล่องรับบริจาค เยี่ยเทียนลุกขึ้น เชื่อว่าหากเหตุการณ์ในคืนนี้เผยแพร่ออกไป สำนักเสื้อป่านจะต้องถูกคนทั้งเกาะฮ่องกงวิจารณ์ยกใหญ่ อย่างน้อยสังคมฮ่องกงก็ไม่มีใครกล้าดูถูก สำนักเสื้อป่าน
“คุณเยี่ย ผมขอไปด้วย”
หลังจากได้ขวดหยกมาแล้วหลี่เชาเหรินเดินเข้าไปหาเยี่ยเทียน เขายอมจ่ายสามร้อยล้านดอลลาร์แล้วต้องรู้ให้ได้ด้วยว่ายาที่อยู่ในขวดนี้กินอย่างไร? หากเกิดเหตุสุดวิสัยกินยาไม่ถูกวิธีแล้วทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ หลี่เชาเหรินคงเสียใจน่าดู
“ได้ กำลังอยากจะคุยกับคุณหลี่อยู่พอดี”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เมื่อเดินมาถึงจวงรุ่ย เยี่ยเทียนหยุดลงแล้วเอ่ยถามว่า
“คุณจวงครับ พรุ่งนี้พบกันได้ไหมครับ?”
แม้ความสามารถพิเศษของเขาคนนี้จะไม่เกี่ยวกับการดูดวงทำนายอะไรเลย แต่เยี่ยเทียนยังอยากศึกษาความสามารถพิเศษแบบอื่นเพิ่มเติม เพราะหลังจากนี้ไม่กี่วันเขาต้องไปร่วมงานประชันความสามารถพิเศษที่จัดขึ้นที่ยุโรป
“คุณเยี่ย พรุ่งนี้ผมจะออกจากฮ่องกงไป ไม่มีเวลาแล้วครับ…..”
จวงรุ่ยส่ายหัว เขารู้สึกแปลกใจกับเยี่ยเทียนแต่ด้วยความสามารถพิเศษที่ตัวเองมี จวงรุ่ยรู้สึกหวาดเกรงมัน ยิ่งกว่านั้นแม้แต่แม่แท้ๆของเขายังไม่เคยได้รับรู้
จวงรุ่ยมีความรู้สึกบางอย่าง ว่าถ้าเขายังผูกสานสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้ามต่อไป ความลับของตัวเองจะปิดเอาไว้ไม่มิด เพราะว่าเยี่ยเทียนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเขา แววตาของเยี่ยเทียนฉายแววความหมายรู้ที่มองทะลุเข้าไปในใจของเขาได้
“งั้นก็ได้ วันหลังถ้ามีโอกาสเราจะได้พบกัน!”
เยี่ยเทียนฟังออกว่าจวงรุ่ยที่ไม่อยากผูกมิตรกับเขา ดังนั้นแล้วจึงหัวเราะ
“คุณจวง พอพ้นวันเกิดไปแล้วจะได้ทำงานใหญ่ แต่ต้องระวังคนที่ความคิดไม่ดีกลั่นแกล้ง”
บนโลกนี้มีคนเป็นแสนล้านคน คนที่มีความสามารถพิเศษนั้นมีสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ก็ไม่ได้น้อยเกินไป ในเมื่อจวงรุ่ยไม่ยอมคบหากับตน เยี่ยเทียนก็ไม่อยากบังคับ เขายิ้มให้แล้วเดินไปหาท่านเซอร์เฮ่อบอกว่า
“คุณเฮ่อครับ วันนี้ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณ คุณเยี่ยเทียนมากครับที่บริจาคเงินจำนวนมหาศาล ไว้วันหลังผมจะไปขอบคุณที่บ้านนะครับ!”
ได้ยินเยี่ยเทียนบอกลา ท่านเซอร์เฮ่อรีบลุกขึ้นยืน เขาไม่คิดว่างานประมูลการกุศลที่จัดขึ้นในวันนี้ จะได้เงินบริจาคมากมาย แค่จากเยี่ยเทียนกับหลี่เชาเหรินก็ได้ตั้งสองพันกว่าล้านเหรียญฮ่องกง มากเกินกว่าเงินบริจาคครั้งไหนในฮ่องกง
“ท่านเซอร์เฮ่อเกรงใจเกินไปแล้ว!”
เยี่ยเทียนยิ้มให้ หันไปพยักหน้าให้ถังเหวินหย่วนและเฉินจิ้งหลัน แล้วเดินออกไปจากห้องโถงพร้อมกับหลี่เชาเหริน
ตอนที่ 898 ข่าวคราว
“เซี่ยวเทียน สำนักเสื้อป่านของเราได้มีชื่อก็คราวนี้?”
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้าน พลิกหนังสือพิมพ์ในมือ ส่ายหัวพลางหัวเราะ
“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าปาปารัสซี่ของฮ่องกงนี่เก่งกาจ แต่พวกเขาเก่งแค่ไล่ตามดาราไม่ใช่หรือ? ทำไมยังมาสนใจงานเลี้ยงงานประมูลด้วย?”
รูปพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในมือเยี่ยเทียน เป็นรูปเงาด้านหลังของคนสี่คน แม้จะเป็นเงาจากด้านหลัง แต่เยี่ยเทียนมองออกว่าสี่คนนั้นคือหลี่เชาเหริน เหลยหู่ โจวเซี่ยวเทียน และตัวเขาเองที่เดินออกจากงานเมื่อคืน
ปาปารัสซี่ลึกลับคนนั้นน่าจะแอบตั้งกล้องจ้องมองไปที่ประตูไว้เพื่อแอบถ่ายไว้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยดวงจิตอันว่องไวของเยี่ยเทียนไม่มีทางหลุดรอดไปได้
นักข่าวคนนั้นคงได้ซื้อตัวใครสักคนในงานประมูลเอาไว้ สิ่งที่เกิดเมื่อคืนทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดอย่างละเอียดลงบนหน้าข่าว เงินมหาศาลของหลี่เชาเหรินกับสิ่งของปริศนาจากสำนักเสื้อป่านนั้นกลายเป็นพาดหัวข่าวเด่นไปเลย
“อาจารย์ หลี่เชาเหรินดึงดูดสายตานักข่าวมากกว่าพวกดาราเสียอีก แค่ได้ไปปรากฏตัวในงานไหน นอกงานนั้นจะต้องมีนักข่าวเป็นกองทัพมารอ”
โจวเซี่ยวเทียน อาศัยอยู่ที่นี่มาสักระยะใหญ่แล้ว เข้าใจสังคมในฮ่องกงดี เขาเห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้วหัวเราะ
“เมื่อคืนบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ได้โทรศัพท์หาอาจารย์ลุงรองแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ลงข่าวหรอก นี่ถือเป็นการโฆษณาสำนักเสื้อป่านของเราเลย!”
คนที่รู้ข่าวคราวในฮ่องกงดีหน่อยนั้นจะได้รู้ว่าสำนักเสื้อป่านกับจั่วเจียจวิ้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และแทบไม่มีใครในฮ่องกงเลยที่กล้าเหิมเกริมต่ออาจารย์จั่ว บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ได้เปลี่ยนเนื้อหาข่าวเป็นการบรรยายคุณงามความดีของสำนักเสื้อป่านทีละข้อ ดูยิ่งใหญ่กว่าหลี่เชาเหรินเสียอีก
“ศิษย์พี่รองพูดถูกแล้ว โฆษณานี้ได้ผลดีจริงๆ!”
ตอนที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น เหลยหู่กับจั่วเจียจวิ้นก็เดินเข้ามา
“อาจารย์ เมื้อครู่เห็นหนังสือพิมพ์ลง ก็มีคนส่งใบบริจาคมาหลายใบ อาจารย์ว่าพวกเราควรจะรับไว้ไหมครับ?”
“อ๋อ? มีใครบริจาคบ้างล่ะ? พวกเรามีสิทธิ์จะรับบริจาคหรือ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่าองค์กรการกุศลในฮ่องกงนั้นโปร่งใสทีเดียว เงินทุกเหรียญจะต้องประกาศชื่อผู้บริจาคออกไปเพื่อให้ผู้บริจาคตรวจสอบเงินได้ ถ้าอยากเปิดการบริจาคการกุศลแบบนี้จะต้องถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนเคร่งครัด
“อาจารย์ คุณหลี่บริจาคช่วยตั้งร้อยล้านดอลลาร์แล้ว ยังมีคุณถังที่ให้อีกห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วก็คุณท่านเซอร์เฮ่ออีกหนึ่งล้านดอลลาร์….”
เหลยหู่มองดูใบบริจาคที่เขียนยอดเงินในมือแล้วเอ่ยต่อ
“สำนักเสื้อป่านเริ่มแรกมีบริษัทของคุณท่านถังให้การรับรอง มีความสามารถในการจ่ายหนี้เต็มที่ ดังนั้นสามารถรับการบริจาคได้ครับ อาจารย์ว่าเงินนี้เรารับไว้ได้ไหม?”
“เอาเป็นว่าอย่าดีกว่า….”
เยี่ยเทียนรับเอกสารจากเหลยหู่มาดูแล้วส่ายหัว
“เดี๋ยวแกต่อสายหาคุณหลี่กับคุณเฮ่อด้วย ขอรับแค่เพียงน้ำใจเท่านั้น ส่วนเงินนั้นช่างเถอะ สำนักเสื้อป่านของเรามีกิจการอยู่รอบนอก ไม่ต้องการเงินสนับสนุนแต่อย่างใด จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง!”
ถ้ามีเอกสารการรับบริจาคชัดเจน บัญชีการเงินของสำนักเสื้อป่านจะถูกตรวจสอบจากทางรัฐเมื่อไหร่ก็ได้ ยังต้องไปชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบที่มาของเงินบริจาคอีก เยี่ยเทียนไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เขาขี้เกียจหาเรื่องใส่ตัว
“ช่างเถอะ ฉันโทรไปหาคุณหลี่เองจะดีกว่า!”
เงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ที่หลี่เชาเหรินบริจาคนั้น เยี่ยเทียนรู้ถึงจุดประสงค์ดี เมื่อวานยาวิเศษที่เขากินเข้าไปเห็นผลทันที เชื่อว่าเมื่อคืนเขาคงนอนไม่หลับ เพราะผลของยาที่ชัดเจนมาก ไม่เช่นนั้นไม่น่าส่งใบบริจาคมาถึงตรงหน้านี้
ส่วนท่านเซอร์เฮ่อ อยากจะแสดงความขอบคุณเยี่ยเทียน เพราะงานเลี้ยงเมื่อวานเงินบริจาคทั้งหมดได้มาเกือบสี่พันล้านเหรียญฮ่องกง ทำให้วงการการกุศลต้องสั่นสะเทือน ยิ่งทำให้ชื่อเสียงความใจบุญท่านเซอร์เฮ่อยิ่งโด่งดัง
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดเบอร์โทรส่วนตัวของหลี่เชาเหริน สายดังสองครั้งแล้วมีคนรับ
“ฮัลโหล คุณเยี่ยหรือ?”
เสียงจากปลายสายเป็นเสียงดังกังวานของหลี่เชาเหริน ได้ยินแล้วแทบไม่เชื่อว่ากำลังคุยอยู่กับคนแก่อายุเกือบแปดสิบ
“ผมเอง คุณหลี่ คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ผมขอรับไว้ด้วยใจแล้วกัน ส่วนเงินนั้นไม่ต้องหรอก”
เยี่ยเทียนเอ่ยด้วยความเคารพนบนอบต่อราชาเจ้าแห่งวงการธุรกิจ ในวงการนี้หลี่เชาเหรินได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ตอนนั้นที่หลี่เชาเหรินให้ยืมเครื่องบินส่วนตัว เยี่ยเทียนยังติดค้างน้ำใจเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ยอมนำยาวิเศษออกมาให้ง่ายดายขนาดนี้ การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เยี่ยเทียนถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ วันข้างหน้าเวลาเขาจะต้องรับเคราะห์กรรมอาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้
“ถ้างั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้ว ต่อไปถ้าคุณเยี่ยเทียนต้องการอะไรให้ออกปากได้เลย”
หลี่เชาเหรินรู้เรื่องของเยี่ยเทียน คนที่กระโดดลงมาจากเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนฟ้าโดยไม่ใช้ร่มชูชีพแล้วยังปลอดภัยดีมีความสุขอย่างเยี่ยเทียนไม่ควรใช้เหตุผลธรรมดากับเงินไปตัดสินเขา?
“ใช่แล้ว คุณเยี่ย คือ…ยานั่น น่าจะได้ผลแล้วใช่ไหม?”
หางเสียงของปลายสายดูอ่อนแรงลงราวกับว่าอ้าปากพูดได้ยากมาก
จะโทษหลี่เชาเหรินก็ไม่ได้ เพราะเมื่อวานพอกลับมาถึงบ้านเขาก็กินยาเข้าไปทันที กระเพาะลำไส้ของเขาเริ่มประท้วงอย่างหนัก เขาต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกครึ่งชั่วโมง ของเสียที่ขับออกมาจากร่างกายนั้นหมักเหม็นเน่า ต่อให้กดน้ำชำระล้างแล้วทั้งบ้านยังเหม็นจนน่าคลื่นไส้อาเจียน
แต่พอหลี่เชาเหรินขับถ่ายจนหมดท้องแล้วก็ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือขาดน้ำเลย ตอนเช้าเขาได้นอนหลับไปแค่ชั่วโมงกว่าแต่รู้สึกสดชื้นกระปรี้กระเปร่า ราวกับได้ย้อนกลับไปอายุสี่สิบต้นๆอีกครั้ง นี่ถึงทำให้รู้ว่าของเสียที่ขับออกมาเมื่อคืนนั้นมีแต่สารพิษตกค้างสะสมทั้งนั้น
แต่ความรู้สึกแบบนั้นช่างทุกข์ทรมาน หลี่เชาเหรินกลัวว่าตอนเช้าที่เขาต้องทำงานจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีก ดังนั้นจึงถามเยี่ยเทียนออกไป
“คุณหลี่ ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกังวล ต่อไปอย่าหักโหมให้มากก็พอ”
ฟังจบเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา เขาให้คนในบ้านกินยาเข้าไปทุกคน แน่นอนว่ารู้ถึงฤทธิ์ยาเป็นอย่างดี
“เยี่ยเทียน เธอจะไปสวิส ต้องให้ฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ไปด้วยไหม?”
เยี่ยเทียนวางสายแล้วจั่วเจียจวิ้นจึงถามออกมา
“คนที่เธอได้เจอที่รัสเซียคนนั้นฉันให้คนสืบมาแล้ว ที่ยุโรปมีกลุ่มคนแบบนี้อยู่จริงพวกเขาดูดกินเลือดเพื่อให้มีพละกำลังแข็งแรง จะประมาทพวกเขาไม่ได้นะ”
“ผีดูดเลือด? อาจารย์เคยเจอด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ เหลยหู่ที่อยู่ข้างก็สนใจขึ้นมา
“ทำไม แกรู้จักพวกนี้ด้วย?”
เยี่ยเทียนหันไปมองเหลยหู่ ศิษย์คนนี้เติบโตในต่างประเทศน่าจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้มากหน่อย
“เมื่อก่อนในนิวยอร์คมีตระกูลมาเฟียตระกูลหนึ่งที่ภายในคืนเดียวถูกดูดเลือดจนตายหมด ลือกันว่าเป็นฝีมือของผีดูดเลือด”
เหลยหู่ยิ้มแห้ง
“ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่ คิดแต่ว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ แต่ตอนนี้ เรื่องไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือ อาจารย์ ให้ผมไปยุโรปด้วยคนเถอะ พวกเราสมาคมหงเหมินมีเครือข่ายอยู่ที่นู่นหนาแน่น”
“ไม่ต้อง สำนักเสื้อป่านขาดแกไม่ได้ ศิษย์พี่รองพวกพี่ก็ไม่ต้องไปหรอก ผมพาเซี่ยวเทียน ไปคนเดียวก็พอ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ที่นี่พลังธรรมชาติเบาบางไม่มั่นคง คนที่แข็งแกร่งจริงๆนั้นไม่กล้าอยู่ที่นี่หรอก พวกผีดูดเลือดพวกนั้นคงไม่น่าจะเก่งสักเท่าไหร่ ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ”
ลิขิตสวรรค์ดำเนินไปตามทำนองคลองธรรมที่ควรจะเป็น ความเก่งกาจของคนๆหนึ่งถ้ามากเกินไปฟ้าดินไม่รองรับละก็ ก็จะต้องถูกบีบบังคับให้จากไป
ตามที่เยี่ยเทียนคิด เมื่อเล่าจื๊อขี่วัวออกมาจากหน้าด่าน พระพุทธเจ้าปรินิพพาน หรือแม้แต่พระเยซูสละชีพ ก็เพราะถูกฟ้าดินกำจัดไป ตอนนี้เขาทำได้ถึงจุดนี้แล้ว ถ้าไม่พยายามเก็บงำตบะขั้นสูงเอาไว้ อัสนีบาตรจะฟาดลงมาใส่เขาเมื่อไหร่ก็ได้
คำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ไม่ได้อวดอ้างตัวเองเกินไป แต่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของโลกมนุษย์แล้ว หากเกิดเรื่องอะไรฉับพลันเขาก็รับได้หมด
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นกำลังจะอ้าปากโน้มน้าวนั้น โทรศัพท์บนโต๊ะน้ำชาก็ดังขึ้น หลังจากรับโทรศัพท์แล้วจั่วเจียจวิ้นส่งให้เยี่ยเทียนบอกว่า
“แม่เธอโทรมาน่ะ เขาจะคุยกับเธอ”
รับโทรศัพท์มาแล้วเยี่ยเทียนทำเสียงระรื่น
“แม่ มีอะไรครับ? ผมโทรกลับไปรายงานให้แม่ฟังอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ?”
เนื่องจากเวลาเยี่ยเทียนออกไปข้างนอกไม่พกโทรศัพท์และไม่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่เสียที่ไหน ซ่งเวยหลันกับ อวี๋ชิงหย่ายื่นคำขาดกับเขาว่าทุกวันเขาจะต้องโทรกลับมาที่บ้าน ไม่เช่นนั้นพวกเธอจะไม่ให้เขาพบหน้าลูกชายไปครึ่งเดือน
ความจริงแล้วต่อให้แม่และภรรยาไม่สั่ง เยี่ยเทียนก็ต้องโทรกลับบ้านทุกวันอยู่แล้ว ขอแค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกชายผ่านหูโทรศัพท์มา ก็เป็นความปลาบปลื้มใจของเยี่ยเทียนแล้ว
“นับว่าครั้งนี้แกยังเชื่อฟัง”
ซ่งเวยหลันหัวเราะชอบใจอยู่ปลายสาย แล้วรีบเข้าเรื่องสำคัญ
“ลูก ที่ลูกให้แม่ถามทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษว่ารูปที่ลูกพูดถึงคือตำราทุยเป้ยถูหรือเปล่า? แม่ถามเพื่อนที่เป็นราชวงศ์อังกฤษคนหนึ่งมาให้แล้ว ในห้องเก็บเอกสารของพวกเขานั้นมีอยู่ฉบับหนึ่งจริง น่าจะเป็นตำราทุยเป้ยถูที่ลูกว่า”
ตั้งแต่เธอได้อยู่กับลูกชาย ลูกชายไม่เคยมีเรื่องขอร้องอะไรเธอเลย ดังนั้นสำหรับลูกแล้ว ซ่งเวยหลันต้องให้ความเอาใจใส่ถึงที่สุด ไม่นานมานี้เธอรู้ว่าพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ทำการสังคายนาเอกสารในโกดังทั้งหมด จึงได้โทรศัพท์ติดต่อหาเพื่อนที่เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ขอให้เธอช่วยสอบถามถึงภาพตำราทุยเป้ยถู แล้วก็ได้ข่าวมาจริงๆ
“อ้อ? แม่ครับ ให้ผมได้เห็นรูปเก่าที่ว่าได้ไหม?”
ได้ยินดังนั้น เยี่ยเทียนตาลุกวาว ตอนที่เขาอยู่ในถ้ำซือคง ในดินแดนแห่งเทพกสิกรนั้นได้เห็นว่าในรูปเก่าขาดรุ่ยยังมีพลังบางอย่างที่เข้มข้นอยู่ เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่มีทางชักนำพลังในนั้นออกมาได้ เขาเดาว่าน่าจะเป็นเพราะรูปเก่าขาดเสียหายมากเกินไป
ในที่สุดก็ได้พบร่องรอยของชิ้นส่วนภาพวาดอีกส่วน เยี่ยเทียนไม่มีทางพลาด เพราะภาพทุยเป้ยถูนั้นไม่ได้ใช้เพื่อเสริมการทำนายแต่อย่างใด แต่เป็นของวิเศษล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เดียว เมื่อเยี่ยเทียนพอสัมผัสได้ถึงพลังของมันแล้วถึงกับทำให้เขาใจสั่น
ตอนที่ 899 ลอนดอน
“ถ้าไม่ได้แม่ก็ไม่โทรหาแกแล้ว”
ได้ยินเสียงร้อนรนของลูกชายซ่งเวยหลันรู้สึกดีใจ เสียยิ่งกว่าได้กำไรจากธุรกิจเป็นหมื่นล้านเสียอีก
“เพื่อนของแม่เป็นทายาทราชวงศ์อังกฤษอันดับที่หก ถ้าลูกเสร็จธุระแล้วไปหาเขาที่อังกฤษได้ เขาจะพาลูกไปที่พิพิธภัณฑ์นั่นเอง”
“ของนั่นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษแน่นอนใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนใจเย็นลง ในสมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“แม่ครับ ผมคิดว่า…จะยังไม่ไปหาเพื่อนแม่ ผมจะลองหาวิธีอื่นดูก่อน”
จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเยี่ยเทียนไม่ใช่เพื่อดูชิ้นส่วนตำรานั้น แต่อยากจะได้มันมาไว้ครอบครอง ถ้าเขาได้ไปดูตำราภาพทุยเป้ยถูแล้วจู่ๆภาพนั้นก็หายสาบสูญไป เยี่ยเทียนจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน สู้แอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แล้ว “ขโมย” ของออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ
โบราณว่าไว้การขโมยหนังสือเป็นโจรที่มีอารยะ อีกอย่างของสิ่งนี้ถูกช่วงชิงไปจากประเทศจีนแต่แรก การขโมยของครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
“เยี่ยเทียน ลูกคิดจะทำอะไร?”
แม้จะได้อยู่ร่วมกับบุตรชายไม่นาน แต่เธอรู้จักบุตรชายของเธอดีที่สุด ท่าทางลังเลของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันรู้สึกไม่ชอบมาพากล รีบเตือนไว้ก่อนว่า
“ลูกอย่าได้มีความคิดพิเรนทร์เชียว แม่ไม่อยากให้ลูกไปเกี่ยวข้องกับการขโมยงานศิลปะแบบนั้น”
ในโลกของเหล่าเศรษฐี มีคนจำนวนมมากยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อศิลปะล้ำค่าสักชิ้น จึงทำให้เกิดอาชีพใหม่ขึ้นคือ โจรนักขโมยศิลปะ โจรเหล่านี้มีฝีมือลึกล้ำร้ายกาจลักขโมยชิ้นผลงานศิลปะตามงานจัดแสดงหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
จากงานศิลปะร่วมสมัยที่จัดแสดงให้คนหมู่มากได้ชื่นชมกลับกลายเป็นของสะสมในห้องลับของคนบางคน ชิ้นงานศิลปะหายสาบสูญจำนวนมาก ทำให้คนเหล่านี้ถูกตราหน้าโดยคนทั่วโลก ซ่งเวยหลันเกรงว่าบุตรชายของเธอจะไปจ้างให้คนเหล่านี้ไปขโมยตำราทุยเป้ยถู ถึงเอ่ยเตือนห้ามปราม
“แม่ คิดไปถึงไหนแล้ว? ผมจะไปใช้คนพวกนั้นได้อย่างไร?”
เยี่ยเทียนถูกมารดาท้วงติงจนทำหน้าไม่ถูก ด้วยวิชาของตัวเอง ต่อให้ไปแอบขโมย หากเป็นการแย่งชิงมาก็สามารถนำชิ้นส่วนตำรานั้นออกมาจากพิพิธภัณฑ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็ใช้ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของเจ้าพ่อแห่งลาสเวกัสรูดอล์ฟคนนั้นมาใช้ ทางอังกฤษอาจจะสงสัยแต่ไม่มีทางสืบสาวมาถึงตัวเขาได้แน่
“ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรอยู่แล้ว!”
ซ่งเวยหลันไม่ได้สนใจคำบ่ายเบี่ยงของบุตรชาย ตอบว่า
“แม่บอกกับอลิซาเบธว่า ถ้าของสิ่งนั้นเป็นของจริง แม่จะใช้ภาพวาดผลงานของปิกัสโซมาใช้แลกเปลี่ยน ลูกอย่าคิดทำอะไรแผลงๆเลย”
“จริงเหรอ? เฮ้อ แม่ครับ แม่สุดยอดไปเลยครับ….”
ได้ยินดังนั้นเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา การมีแม่รวยนี่ก็ดีเหมือนกัน ส่วนรูปวาดของปิกัสโซนั้นสำหรับเยี่ยเทียนแล้วยังไม่มีค่าเท่ากับกระดาษชำระเลย แล้วจะมาเทียบกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูได้ยังไง
“เจ้าเด็กบ้าอย่าพูดเหลวไหล ลูกจะไปเมื่อไหร่บอกแม่ก่อนล่วงหน้าด้วย”
ซ่งเวยหลันตอบด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม ขอแค่ให้ลูกมีความสุขจะให้เธอเสียทรัพย์สมบัติมากแค่ไหนก็ยอม
“แม่ครับ ยังจะต้องบอกล่วงหน้าด้วยหรือ? วันนี้ผมจะไปลอนดอนเลย แม่จัดการให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!”
นอกจากพลอยวิเศษที่ใช้ช่วยฝึกวิชาแล้ว บนโลกนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดทำให้เยี่ยเทียนสนใจได้อีกนอกจากตำราทุยเป้ยถู เอาเป็นว่าก่อนถึงงานประลองความสามารถพิเศษที่จะถึงในอีกสามวันข้างหน้า เยี่ยเทียนอยากจะไปลอนดอนเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน
“โตขนาดนี้แล้ว ยังจะทำอะไรวู่วามอยู่เรื่อย!”
ซ่งเวยหลันอบรมลูกชายแต่ก็ตกลงทำตามที่ขอ
“เอาล่ะ แม่จะโทรหาอลิซาเบธเดี๋ยวนี้ ลูกจดที่อยู่ของเธอเอาไว้ด้วย ถ้าของชิ้นนี้เป็นของแท้ แม่จะช่วยลูกแลกเปลี่ยนสิ่งของให้!”
“ครับแม่ ขอบคุณมากครับ มา ขอหอมหน่อย!”
เยี่ยเทียนวางสายขณะที่ซ่งเวยหลันโวยวายอยู่ปลายสาย แล้วหันมาหาโจวเซี่ยวเทียนบอกว่า
“เซี่ยวเทียน แกไปสนามบินกับฉันเดี๋ยวนี้เลย แล้วกลับไปที่เรือนสี่ประสานในปักกิ่ง เอาชิ้นส่วนตำราที่ได้จากดินแดนแห่งเทพกสิกรมาด้วย แล้วบินตามฉันไปที่ลอนดอนทันที เราไปเจอกันที่ลอนดอน!”
หากเทียบกับงานประชุมความสามารถพิเศษที่ใกล้จะถึง เยี่ยเทียนตั้งความหวังที่ชิ้นส่วนตำราภาพนั้นเอาไว้มากกว่า อาจเพราะเป็นเรื่องที่ติดค้างในใจของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมาตลอด ตอนนี้จะได้คำตอบด้วยฝีมือของเขาเอง
เห็นเยี่ยเทียนใจร้อนแบบนี้ จั่วเจียจวิ้นรีบขับรถส่งโจวเซี่ยวเทียนไปสนามบิน พอเครื่องบินของโจวเซี่ยวเทียนออกไปแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของมารดาเยี่ยเทียนก็ขออนุญาตทำการบินได้ และบินตรงไปประเทศอังกฤษทันที
…………
“คุณคือคุณเยี่ยเทียนใช่ไหม!”
เมื่อเยี่ยเทียนไปถึงสนามบินนานาชาติลอนดอนแล้ว มีชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสากลมาต้อนรับ กล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า
“ผมชื่อหูหู่ เป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐในสถานทูตจีนประจำประเทศอังกฤษ คุณเยี่ย รถรออยู่ข้างนอกแล้ว”
“คนพวกนี้ จริงๆเลย….กลัวว่าเราจะไม่กลับไปสวิสหรือยังไง?”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอนอยู่บนเครื่องบินเขาได้รับโทรศัพท์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บอกว่าเมื่อมาถึงแล้วจะมีคนไปรับ ผู้ที่โทรศัพท์มาคือประธานเยวี่ยโทรมาด้วยตนเอง เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าปฏิเสธ “ความหวังดี” ของฝ่ายนั้น
เยี่ยเทียนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีพอ ในสถานทูตในต่างประเทศ นอกจากพวกทูตแล้ว ที่ปรึกษาแห่งรัฐเป็นผู้มีตำแหน่งรองลงมา
ประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจในโลก มีความสำคัญยิ่งใหญ่กว่าสถานทูตของประเทศเล็กๆอยู่แล้ว ที่ปรึกษาแห่งรัฐอย่างหูหู่ถ้าไปอยู่ในประเทศสเปนหรือประเทศบราซิล คงจะได้เป็นเอกอัครราชทูตเลยทีเดียว การต้อนรับด้วยคนระดับนี้ไม่น้อยหน้าเลย
“งานของผมคืออำนวยความสะดวกให้คุณเยี่ยครับ”
ก่อนหน้าสามชั่วโมง หูหู่ได้รับโทรศัพท์สายตรงจากท่านประธานเยวี่ย ที่มอบหมายภารกิจให้เขา ดังนั้นถึงเยี่ยเทียนจะดูหนุ่มมาก หูหู่ก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนนั่งอยู่ในรถของสถานทูตออกจากสนามบินแล้ว หูหู่พูดต่อว่า
“คุณเยี่ยครับ ได้ยินว่าคุณมาลอนดอนเป็นครั้งแรก? ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสี่ของโลก ถ้าคุณต้องการละก็ ผมสามารถพาคุณเที่ยวรอบเมืองได้!”
คำแนะนำที่หูหู่ได้รับมาคือต้องทำให้คนหนุ่มคนนี้ ผู้ซึ่งมาเยือนลอนดอนครั้งแรกพออกพอใจ และต้องส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปสวิสอีกด้วย
แน่นอนว่าเงื่อนไขส่วนแรกหูหู่ต้องอยู่ติดตามเยี่ยเทียนตลอด เพราะความสามารถในการทำลายล้างของเยี่ยเทียนทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายท่านพากันปวดหัวมานักต่อนักแล้ว เรื่องที่เกิดในไซบีเรียจนถึงตอนนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัสเซียยังไม่ทันฟื้นฟูได้ดีเลย
“จุดกำเนิดของผีดูดเลือดเหรอ? เหอะๆ ที่นี่น่าสนใจดี!”
ตั้งแต่ลงมาจากเครื่องบิน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่าในมวลชั้นบรรยากาศราวกับมีลมหายใจของสิ่งสองสิ่งปะปนกันอยู่
รายรอบความงดงามของโบสถ์คริสต์นั้น มีความคล้ายคลึงกับความศรัทธาแห่งศาสนาพุทธ เมื่อดวงจิตของเยี่ยเทียนสืบเสาะเข้าไปในบาร์เหล้าตามตรอกซอกซอย กลับรู้สึกถึงลมหายใจของท่านเคาท์คนนั้นอย่างชัดเจน
“ผีดูดเลือด? คุณเยี่ยล้อเล่นใช่ไหมครับ? บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตพวกนั้นที่ไหนกัน?”
หูหู่ได้ยินก็อึ้งไป แล้วเอ่ยต่อว่า
“แต่ว่าในอังกฤษมีบาร์หลายแห่งที่มีบรรยากาศเกี่ยวกับผีดิบดูดเลือดนะครับ ถ้าคุณสนใจด้านนี้ละก็ คืนนี้ผมจะพาคุณไป!”
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ค่อยสนใจสิ่งมีชีวิตประเภทนี้เท่าไหร่”
เยี่ยเทียนสั่นหัว แล้วมองนาฬิกาข้อมือ บอกว่า
“ผมได้นัดคนไว้ อีกครึ่งชั่วโมงที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ไปถึงทันไหม?”
ผลจากการดำเนินการของซ่งเวยหลันดีมาก ตอนที่เยี่ยเทียนยังอยู่บนเครื่องบิน ก็ได้ติดต่อทำการนัดให้เยี่ยเทียนทั้งเรื่องเวลาและสถานที่เรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงอำนาจของเธอในต่างประเทศ
คนที่เยี่ยเทียนต้องไปพบไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงรัชทายาทของราชวงศ์อังกฤษ ถึงอำนาจของราชวงศ์จะไม่เฟื่องฟูเท่าแต่ก่อน แต่ยังได้รับความเคารพจากประชาชน ในโลกนี้นอกจากประเทศโลกอาหรับแล้ว ราชวงศ์ที่ทรงอำนาจราชวงศ์หนึ่งในโลก ไม่ใช่ว่าใครอยากจะพบก็เข้าพบได้
“ไม่มีปัญหาครับ คุณเยี่ย จะถึงที่นั่นตรงเวลาแน่นอน”
หูหู่พยักหน้า แล้วหมุนพวงมาลัยรถเปลี่ยนทิศทางเลี้ยวเข้าไปอีกถนนหนึ่ง บุกผ่าไฟแดง โดยมีรถตำรวจคันหนึ่งวิ่งตามหลัง
“โอ้โห การมีสัมพันธ์อันดีกับต่างชาตินี้มันยอดไปเลย?”
เห็นว่าหูหู่ไม่สนใจรถตำรวจที่ส่งเสียงตามหลังมา ขับบึ่งไปเบื้องหน้าอย่างเดียว เยี่ยเทียนถึงกับพูดไม่ออก เวลาที่เขาบอกไปน่าจะกระชั้นชิดเกินเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้ยอมผิดกฎจราจร
“คุณเยี่ยครับ ถึงแล้ว หวังว่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลานะครับ”
ก่อนเวลานัดห้านาที รถของหูหู่มาหยุดลงตรงหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ หลังจากยื่นนามบัตรส่งให้เยี่ยเทียนแล้วบอกว่า
“เดี๋ยวจะมีตำรวจมา ผมจะจัดการเอง คุณเยี่ยจัดการธุระเรียบร้อยแล้วโปรดโทรติดต่อผมด้วยครับ”
“ขับรถไม่เลวนี่ ผมว่าคุณน่าจะเป็นทหารมากกว่าเป็นที่ปรึกษานะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะร่าเริงลงจากรถ เขาไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐประจำสถานทูตนั้นมีสถานะอันพิเศษ แต่เดิมเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงหนึ่งในแปดของรัฐบาลแล้วยังมียศทหาร ไม่เช่นนั้นท่านประธานเยวี่ยไม่มีทางติดต่อหาเขาได้โดยตรง
หลังจากกดเบอร์ติดต่ออลิซเบธ เจ้าหน้าที่หญิงแห่งวินด์เซอร์เป็นผู้รับสายแล้ว เยี่ยเทียนก็ถูกเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์คนหนึ่งรับตัวไปที่สำนักงานด้านในพิพิธภัณฑ์ แค่ทางเดินระเบียงที่ทอดยาวผ่านโถงอาคารนั้น ทั้งสองใช้เวลาเดินเต็มๆถึงห้านาที
“ให้ตายเถอะ เป็นพวกขโมยสมบัติชาติอื่นจริงๆ ของที่นี่น่าจะแย่งชิงมาจากประเทศอื่นทั้งนั้นมั้ง?”
มองดูแท่นจัดแสดงสิ่งของนานาชนิดและของล้ำค่ามากมาย เยี่ยเทียนถึงเข้าใจที่มาของประเทศอังกฤษ ตั้งแต่หินสลักจนถึงหน้ากากทองคำของกรีกโบราณ แล้วยังมีสิ่งของวัฒนธรรมของประเทศจีนอีกหลายชิ้น ล้วนแล้วแต่ได้มาจากการปล้นสดมภ์ประเทศอื่นมาทั้งนั้น
“อ้อ เธอคือลูกชายของแมรี่ใช่ไหม พระเจ้า เธอช่างเหมือนกับแมรี่มาก!”
เมื่อเยี่ยเทียนมาถึงห้องสำนักงานของผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แล้ว หญิงวัยสี่สิบกว่าบุคลิกสง่างามคนหนึ่งลุกขึ้นยืน จากคำชื่นชมของเธอทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าแม่ของเขามีชื่อภาษาอังกฤษที่ฟังดูเชยมาก
“คุณน้าวินด์เซอร์ คุณสวยกว่าที่แม่ผมชมคุณไว้ตั้งเยอะ!”
เยี่ยเทียนรู้ดีว่าในต่างประเทศการชมผู้หญิงว่าสวยไม่ใช่การเสียมารยาท เขาจึงเอ่ยชื่นชมเยินยอออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น