อยากกินไหมล่ะ 896-899
บทที่ 896 เป็นไปไม่ได้หรอกน่า
เท่าที่หยวนโจวทราบมา กลห่วงจีนและกลย้ายถั่วล่องหนเป็นตัวแทนทั้งสองอย่างในมายากลย้ายที่ จะว่าไปแล้วกลห่วงจีนก็คือกลเก้าห่วงนั่นเอง ระหว่างการแสดงพวกเขาจะเกี่ยวห่วงไม่สามก็เก้าห่วง แม้ว่าคุณจะเคยเห็นมาต่อหน้าต่อตา แต่คุณก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าวิธีการเล่นกลอยู่ดีนั่นแหละ
หลังจากผู้เชี่ยวชาญที่ยกถังน้ำเอาไว้บนศีรษะแสดงจบ พิธีกรแสนสวยที่แต่งกายในชุดกี่เพ้าก็ขึ้นมาบนเวที
“ต่อไป ขอให้เพลิดเพลินกับการแสดงมายากลย้ายที่ในวันนี้นะคะ” พิธีกรกล่าวเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษออกมาครั้งหนึ่งตามลำดับ
ระหว่างการแนะนำของพิธีกร อาจารย์เติ้งศิลปินพื้นบ้านที่จะแสดงกลย้ายที่ก็ขึ้นมาบนเวที
เมื่อตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขาแล้ว อาจารย์เติ้งน่าจะอยู่ในวัยราวๆสี่สิบปีเศษ เขาดูธรรมดาและสวมใส่ชุดคลุมตัวยาวสีน้ำเงิน ทันทีที่เขาขึ้นไปอยู่บนเวที เขาก็ยื่นห่วงเหล็กทั้งเก้าให้ผู้ชมข้างในดู
“ทุกท่าน มาๆ ลองมาตรวจสอบดูซิว่าห่วงเหล็กมีอะไรผิดปกติหรือไม่” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
มีโรงน้ำชาอยู่มากมายในตรอกมงคล ค่าบริการก็เกือบจะเท่ากับค่าคอนเสิร์ตเลย ถ้าคุณยิ่งอยู่ใกล้เวทีมากเท่าไหร่ตั๋วก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้นด้วย แน่นอนว่าโรงน้ำชาไม่ได้ใหญ่โตมากมายสักเท่าไหร่นักจึงทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดว่าด้านในมีเพียงแค่ 7 แถวเท่านั้นเอง
โรงน้ำชาจะจัดเตรียมน้ำชาพร้อมผลไม้อบแห้งจานเล็กๆมาให้ผู้ชม โดยมีน้ำชาเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ผู้ชมส่วนใหญ่จะชมการแสดงของผู้เชี่ยวชาญบนเวทีจึงถูกเรียกว่าฟังเรื่องเล่า
อีกด้านหนึ่ง การดื่มชาก็เหมือนกับการลิ้มรสชาติน้ำชาอยู่ริมระเบียงจริงๆ กล่าวได้ว่าโรงน้ำชาจะมีน้ำชาดีๆอยู่สองอย่าง แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่ต้องการอยู่แล้ว
มีค่าบริการที่แตกต่างกันออกไปคือราคา 188 หยวน 288 หยวนและ 388 หยวน เนื่องจากหยวนโจวอยากได้แรงบันดาลใจ เขาจึงเลือกจ่ายค่าบริการในราคา 388 หยวนและได้ที่นั่งในแถวแรก
388 หยวนไม่ถูกเอาเสียเลย ถ้าหากเป็นเมื่อสองปีที่แล้วเขาก็คงลังเลที่จะจ่ายเงินออกไป แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกปวดใจมาจนถึงตอนนี้ แต่เขาก็ค่อยๆเข้าใจสิ่งที่มารดาของตนเคยบอกว่า “คนเราไม่ต้องร่ำรวยมากก็จริงแต่ก็ต้องมีเงินมากพอด้วยนะ”
การมีเงินไม่ได้หมายความว่าจะใช้เงินได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อคนในครอบครัวลมป่วยจนต้องไปโรงพยาบาล เขาก็จะสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ และหลังจากเขาทำงานล่วงเวลาหรือทำงานหนักมาตลอดทั้งวันแล้ว เขาก็จะสามารถเลือกขึ้นรถแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีค่าบริการเท่าไหร่แทนที่จะต้องขึ้นรถเมล์อันแสนเบียดเสียด
คนเราไม่ต้องร่ำรวยมากก็จริงแต่ก็ต้องมีเงินมากพอด้วยจึงทำให้เขามีทางเลือกอื่น อันที่จริงแล้วมันเป็นเป้าหมายทั่วๆไปที่คนส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้าถึงให้ได้ เนื่องจากหยวนโจวนั่งอยู่แถวแรก อาจารย์เติ้งจึงยื่นห่วงเหล็กให้เขา
หยวนโจวตั้งใจสังเกตดูมือของอาจารย์เติ้งอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าไม่ได้เรียวบางและดูดีอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลยสักนิด แต่กลับให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างหยาบกร้านและมีข้อนิ้วมือใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มตรวจสอบห่วงเหล็กในมือตัวเอง
ลูกค้าคนอื่นๆที่ได้ห่วงเหล็กก็พากันตรวจสอบทันทีพลางเคาะลงบนนั้นด้วย มิหนำซ้ำยังมีบางคนลองกัดดูอีกต่างหาก
“ไม่มีปัญหาครับ” หยวนโจวตรวจสอบห่วงแล้วส่งกลับคืนให้อาจารย์เติ้ง
อย่างไรเสียห่วงเหล็กก็ไม่มีปัญหา อาจารย์เติ้งจึงรับห่วงเหล็กทั้งเก้ากลับคืนมาแล้วขอเสียงปรบมือสองครั้งก่อนที่เขาจะเริ่มการแสดง และผู้ชมก็พากันแสดงความเคารพต่อเขาแล้วตอบเขาด้วยเสียงปรบมือที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า หลังจากเสียงปรบมือดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็เริ่มการแสดงขึ้น
เขาเกี่ยวห่วงทั้งสองห่วงเข้าด้วยกันก่อนแล้วค่อยเกี่ยวห่วงทั้งสามเข้าด้วยกัน หลังจากเขาดึงพวกมันไปทางด้านขวาแล้ว ห่วงเหล็กทั้งสามก็แยกออกจากกัน ก่อนที่ผู้ชมจะทันได้เอ่ยปากชื่นชมการย้ายที่อันยอดเยี่ยมของเขา ห่วงเหล็กทั้งหกในมือซ้ายของเขาก็เกี่ยวเข้าด้วยกันอีกสามห่วง
ความเร็วในการขยับมือของอาจารย์เติ้งว่องไวมากทั้งยังขยับอย่างไม่เป็นธรรมชาติอีกต่างหาก ไม่ว่าผู้ใดก็คงยากที่จะมองตามได้ทัน
แม้ว่าหยวนโจวจะไม่เคยเรียนรู้เรื่องมายากลมาก่อน แต่เขาก็ขยับมือตัวเองได้ว่องไวมากๆเหมือนกัน นอกเหนือไปจากนี้เขายังใช้สายตาอันเฉียบคมของตัวเองให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรระหว่างนั้นเลย สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คืออาจารย์เติ้งผู้นั้นมักจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมด้วยวิธีการเขย่าห่วงด้วยมือข้างเดียวและในขณะเดียวกันก็ย้ายที่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อยิ่งด้วยมืออีกข้าง
กลห่วงจีนมีอยู่หลายแบบอาทิเช่น ดอกบีโกเนีย ลูกบอลแพร ตะกร้าดอกไม้และหมวกผ้าโปร่งสีดำ ยกเว้นแต่หมวกผ้าโปร่งสีดำเท่านั้นแหละ ส่วนที่เหลืออาจารย์เติ้งก็แสดงไปทีละอย่างต่อหน้าหยวนโจวจนหมดแล้ว ทุกครั้งเขาก็จะได้รับเสียงปรบมือและคำชื่นชมจากผู้ชมอยู่เสมอ
หลังจากอาจารย์เติ้งแสดงจบ หยวนโจวก็เริ่มลงมือทันที เขาลุกขึ้นแล้วเดินตามอาจารย์เติ้งไปหลังเวที
บนประตูเป็นโปสเตอร์อันโดดเด่นสะดุดตาที่อ่านได้ว่าห้ามเข้าเฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่หยวนโจวก็ยังคงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเคาะประตูเพื่อแจ้งให้ทราบถึงความต้องการของเขาต้องการ
“ขอโทษที่มารบกวนอย่างปุบปับนะครับ ผมมีเรื่องด่วนอยากปรึกษาอาจารย์เติ้งหน่อย ขอผมเข้าไปได้ไหมครับ?”
อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนั้นมาก่อนหลังจากเงียบไปสักครู่ก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งตอบเขามาจากในห้องว่า “เข้ามาสิ”
หยวนโจวเข้าห้องและปิดประตูอย่างเบาไม้เบามือแล้วก็เจอเข้ากับอาจารย์เติ้งที่เพิ่งแสดงมายากลบนเวลาทีเมื่อสักครู่นี้นั่งพักอยู่บนเก้าอี้
“มีอะไรงั้นรึ เจ้าหนุ่ม?” อาจารย์เติ้งถามเขาขึ้นมาก่อน
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวอย่างนอบน้อมขึ้นมาก่อน
“คุณรู้ทั้งรู้ว่าอาจจะเป็นการรบกวนผมแต่ก็ยังเข้ามา นั่นย่อมหมายความว่าคุณมีเรื่องอยากคุยกับผมจริงๆ ว่ามาเถอะ เจ้าหนุ่ม” แม้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของอาจารย์เติ้งจะไม่ค่อยมีรอยยิ้มมากมายเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับเมื่อสักครู่นี้ แต่เขาก็ดูค่อนข้างอบอุ่นทีเดียว
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมอยากปรึกษาคุณเรื่องการเล่นกล” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“คุณก็เรียนรู้การเล่นมายากลด้วยรึ?” อาจารย์เติ้งขมวดคิ้วแล้วมองหยวนโจว
“เปล่าหรอกครับ ผมเป็นเชฟ” หยวนโจวส่ายหน้า
“เชฟงั้นรึ?” อาจารย์เติ้งสีหน้าไม่ดีขึ้นเลย
เขามีเหตุผลให้โกรธอยู่แล้วล่ะ เนื่องจากทีแรกหยวนโจวบอกว่าอยากปรึกษาเขาเรื่องการเล่นกล อาจารย์เติ้งย่อมเชื่อว่าหยวนโจวกำลังเรียนรู้การเล่นมายากล แต่หลังจากนั้นหยวนโจวกลับบอกว่าเขาเป็นเชฟทำให้เขามีความรู้สึกว่าหยวนโจวกำลังล้อเล่นกับเขาอยู่
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมอยากคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วที่มีชื่อว่าสามหอมแห่งท้องสมุทร แต่ก่อนที่จะเสิร์ฟมัน ผมต้องแยกถั่วทั้งสามชนิดด้วยสีที่แตกต่างกันได้ในทันทีให้ได้ ผมคิดว่าอาจจะต้องใช้ทักษะบางอย่างก็เลยลองมาปรึกษาเรื่องการเล่นกลกับคุณดูน่ะครับ” หยวนโจวบอกเหตุผลทันทีที่เขาเห็นว่าอาจารย์เติ้งสีหน้าไม่ดีนัก
“อาหารที่สาบสูญไปงั้นรึ? คุณจะฝึกสำเร็จได้ตั้งแต่อายุน้อยๆเพียงเท่านี้ได้เหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาจารย์เติ้งก็ดูเหมือนจะมีสีหน้าดีขึ้น แต่แทนที่จะตอบหยวนโจว เขากลับมองหยวนโจวแล้วถามขึ้นมา
ในสายตาของอาจารย์เติ้ง การคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วทำให้เขารู้สึกประทับใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ยังมีกลโบราณที่หายสาบสูญไปอีกตั้งเยอะตั้งแยะ และงานคืนชีพก็ต้องการคนหนุ่มที่มีแรงผลักดันแบบนี้จริงๆนั่นแหละ
แต่การคืนชีพก็ไม่น่าจะสำเร็จได้ทันทีที่อยากจะทำหรอก ดังนั้นอาจารย์เติ้งจึงถามเขาขึ้นมาด้วยคำถามนั้น
“ในด้านทักษะการทำอาหาร ผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ยังไงผมก็จะเรียนรู้ให้มากๆครับ” หยวนโจวตอบอย่างจริงจัง
“อาจารย์เติ้ง เมื่อสักครู่ผมลืมแนะนำตัวเองไป ผมชื่อหยวนโจวแล้วผมก็มีร้านอาหารเล็กๆอยู่ตรงถนนเถ่าซือครับ ว่างเมื่อไหร่ก็มากินอาหารที่ร้านผมได้ตลอดนะครับ ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณเอง” ก่อนที่อาจารย์เติ้งจะทันได้ตอบเขาไป จู่ๆหยวนโจวก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยจึงได้กล่าวเสริมขึ้นมา
“หยวนโจวจากถนนเถ่าซืองั้นรึ?” อาจารย์เติ้งพิศดูรูปลักษณ์ภายนอกของหยวนโจวอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพยักหน้าราวกับเขายืนยันอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ครับ ว่างเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาที่ร้านอาหารเล็กๆของผมนะครับ ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณเอง” หยวนโจวกล่าวอย่างใจกว้าง
“ถ้างั้นก็น่าจะคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วได้จริงๆแหละนะ” อาจารย์เติ้งไม่สนใจเรื่องอาหารเลยสักนิด แต่เขากลับบ่นพึมพำเรื่องอื่นออกมาแทน
หยวนโจวไม่มีเวลามาพูดอะไรอีกเมื่ออาจารย์เติ้งพูดต่อไปว่า “ผมไม่เคยได้ยินว่าจะมีทักษะอะไรที่จะใช้แยกอาหารอย่างสามหอมแห่งท้องสมุทรได้เลย สิ่งที่ผมเชี่ยวชาญก็แสดงบนเวทีไปเมื่อสักครู่แล้ว”
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วฟังเขาพูดต่อไป
“แต่ผมสามารถบอกคุณได้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงกลย้ายที่ขนานแท้ได้” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
“คุณหมายความว่าไม่มีทางแยกถั่วชนิดต่างๆออกได้ใช่ไหมครับ? หยวนโจวถาม
บทที่ 897 ผมเชื่อในคำแนะนำของคุณนะ
อาจารย์เติ้งไม่ได้ให้คำตอบแก่หยวนโจวในทันที ตรงกันข้ามเขายังคงพูดต่อไป
“ในบรรดากลมากมาย มีอยู่กลหนึ่งที่ชื่อว่าสามเซียนเข้าถ้ำซึ่งแสดงด้วยตะเกียบคู่หนึ่ง ชามสองใบและลูกบอลสามลูก ส่วนหัตถ์ปีศาจที่อาจารย์หวังแสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุดนี้ ภายใต้การฝึกอันแสนดุเดือดทำให้มือของเขาว่องไวมากเสียจนคุณมองตามไม่ทันเชียวล่ะ หลายครั้งที่เขาไม่ได้ใช้กลอะไรเลย เขาเพียงแค่ขยับลูกบอลจากชามหนึ่งไปอีกชามหนึ่งเท่านั้นเอง” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
นี่คือแนวคิดที่ค่อนข้างเรียบง่าย เมื่อคนผู้หนึ่งมีความเร็วเหนือกว่าสิ่งที่กล้องและดวงตาจะสามารถจับได้ก็จะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรและรอให้อาจารย์เติ้งพูดต่อไป
“จากคำอธิบายที่คุณว่ามา คุณต้องการที่จะแยกถั่วทั้งสามชนิดที่มีขนาดเท่าๆกันที่เหลืออยู่ในหม้อให้ได้ในทันที มาดูซิว่าคุณจะเร็วได้ขนาดไหนกัน? ผมจะให้เวลาพิจารณาสองวินาที คุณมีถั่วอยู่ในหม้อเยอะขนาดไหนล่ะ? ผมจะให้เวลาในเรื่องนั้นและถือว่าคุณจะมีเวลาพิจารณาถั่วอย่างละ 30 เม็ด การย้ายถั่ว 90 เม็ดอย่างแม่นยำในสองวินาทีหาใช่สิ่งที่แม้แต่อาจารย์หวังก็จะทำได้ แต่ทว่าหัตถ์ปีศาจสามารถทำได้” อาจารย์เติ้งกล่าวขึ้น
คำอธิบายเช่นนี้ไม่ทำให้หยวนโจวผิดหวังเลย จากคำอธิบายของอาจารย์เติ้งแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแยกกลิ่นรสทั้งสามเลย แม้แต่การแยกถั่วทั้งสามชนิดก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้นอาจารย์เติ้งก็ยังต้องใช้เวลาในการตอบคำถามของเขา ดังนั้นหยวนโจวจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงจังว่า “โอเค ขอบคุณครับ อาจารย์เติ้ง”
เมื่ออาจารย์เติ้งเห็นสีหน้าผิดหวังของหยวนโจว เขาจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “สามหอมแห่งท้องสมุทรคือชื่อของอาหารจานนั้นงั้นรึ? ผมมีไอเดียล่ะ คุณลองพิจารณาดูนะครับ”
“ว่ามาเถอะครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ในเมื่อเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรเป็นอาหารที่เคยมีอยู่ พูดง่ายๆก็คือมันเป็นสิ่งที่เคยมีคนทำมาก่อนจริงๆ พอมานึกๆดูแล้ว ถ้าหากเชฟสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยกลหรือความเร็วของมือจริงๆแล้วล่ะก็เขาคงไม่ใช่เชฟหรอกครับ ตรงกันข้ามเขาน่าจะเป็นสุดยอดนักมายากลมากกว่า”
ทฤษฎีนี้ของอาจารย์เติ้งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว สิ่งนี้ทำให้หยวนโจวตระหนักขึ้นมาได้ อาจารย์หวังจอมหัตถ์ปีศาจน่าจะเป็นผู้ที่มีมือไม้ว่องไวที่สุดแล้วในวัยขนาดนี้ ถึงแม้ว่าในยุคนี้จะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ชนิดหาตัวจับยากอยู่มากมายั้สามารถเข้าถึงความเร็วเช่นนั้นได้ก็ยังนับการกล่าวเกินจริงมากเกินไปอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นหากอาหารจานนั้นมีความต้องการให้เชฟมีคุณสมบัติขั้นต้นเช่นนั้นก็ไม่น่าจะเรียกว่าอาหารแล้ว ตรงกันข้ามน่าจะเป็นการแสดงเสียมากกว่า
“ดังนั้นในเมื่อเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว คุณก็สามารถพิจารณาถึงเรื่องการคืนชีพอาหารอย่างที่เชฟควรจะทำแทนที่จะเข้าถึงอาหารจานนั้นด้วยกลที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของเชฟเลยนะ ยกตัวอย่างเช่นวัตถุดิบและอย่างอื่น” อาจารย์เติ้งกล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารมากสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็เชื่อว่าเป็นวิธีการที่คุณควรจะทำนะครับ”
ในเมื่อเป็นอาหารก็ควรจะได้รับการคืนชีพอย่างที่เชฟควรจะทำสิ สิ่งนี้พุ่งเข้าใส่หยวนโจวราวกับสายฟ้าฟาด ในที่สุดหยวนโจวก็ตระหนักได้ว่าตนเองได้หลงประเด็นเสียแล้ว
“ขอบคุณครับ อาจารย์เติ้ง” หยวนโจวกล่าวพลางคารวะ
“ไม่ต้องหรอก ผมรับการคารวะครั้งนี้ไม่ได้” อาจารย์เติ้งรีบพยุงตัวหยวนโจวขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “จะไม่ดูเหมือนกับว่ากำลังจะมาเป็นลูกศิษย์ของผมหรอกหรือไง คุณไม่ต้องคารวะผมแบบนั้นก็ได้”
ทว่าหยวนโจวก็ยังคงคารวะต่อไป ถึงแม้ว่าอาจารย์เติ้งจะแข็งแรงกว่าหยวนโจวก็ตามที แต่คงไม่ใคร่เหมาะสมนักที่เขาจะออกแรงบังคับให้หยวนโจวลุกขึ้นมากเกินไปนัก หยวนโจวจึงกล่าวขึ้นมาว่า “คำพูดของคุณช่วยแก้ไขเส้นทางในการทำอาหารของผมให้เข้ารูปเข้ารอยแถมคุณยังพูดเหมือนอย่างที่ปรมาจารย์เขาพูดกันเลย อีกอย่างคุณก็ถือเป็นอาจารย์คนหนึ่งของผมแล้ว ผมจึงสมควรแสดงการคารวะครั้งนี้ครับ”
“เรื่องนั้นก็แค่ความคิดง่ายๆของผมเท่านั้นเอง” อาจารย์เติ้งไม่รู้ว่าจะรับมือกับหยวนโจวอย่างไรดีแล้ว เขารู้สึกว่าถึงแม้หยวนโจวจะยังหนุ่ม แต่กลับทำตัวคร่ำครึเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อยามที่กำลังเอ่ยปากขอบคุณใครสักคนก็ย่อมต้องยอมรับทัศนคติของคนที่เอื้อประโยชน์ให้ด้วยสิครับ” หยวนโจวยืนกราน
อาจารย์เติ้งทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับการคารวะของหยวนโจวอย่างไม่มีทางเลือก
“ด้วยความยินดีครับ ผมขอให้คุณจะทำสำเร็จนะ เถ้าแก่หยวน” อาจารย์เติ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่รบกวนอาจารย์เติ้งอีกต่อไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหลังเวทีแถมยังมีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆพักอยู่แถวนั้นด้วย เขาจึงรีบออกไปโดยไม่รอช้าทันที
อาจารย์เติ้งมองหยวนโจวที่ออกไปแล้วพลางบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “เจ้าหนุ่มนี่คร่ำครึเกินไปแล้ว คงจะหาแฟนได้ยากแล้วล่ะ”
ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น อาจารย์เติ้งก็เตรียมการแสดงชุดถัดไปของตนเองไปด้วย อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้คนขับบอกผิดไป ในโรงน้ำชาแห่งนี้จะจัดการแสดงเพียงแค่สามอย่างในแต่ละคืน โดยจะเริ่มขึ้นตอนหกโมงครึ่งและไปสิ้นสุดลงตอนห้าทุ่ม
อาจารย์เติ้งหยิบห่วงเหล็กขึ้นมาแล้วจู่ๆก็เหม่อไป ตากนั้นเขาก็ออกจากหลังเวทีไป ในทีแรกเขาเดินเร็วๆแต่ต่อมาเขาก็เริ่มวิ่ง
เมื่อมาถึงข้างนอก เขาก็เห็นหยวนโจวกำลังจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตัวเอง อาจารย์เติ้งจึงร้องเรียกเขาเอาไว้
“เฮ้ อาจารย์หยวน”
หยวนโจวถึงกับเหม่อไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคย เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ครับ อาจารย์เติ้ง?”
“อาจารย์หยวน ถ้าหากคุณรู้จักคนที่เหมาะสมและสนใจเรียนการเล่นมายากลของเรา ช่วยแนะนำให้ผมทีนะ”
“โอเค ได้เลยครับ” หยวนโจวตอบตกลง
อาจารย์เติ้งยิ้ม “ผมเชื่อมั่นในตัวคนที่คุณแนะนำมานะครับ”
ทันใดนั้นเมื่อรถแท็กซี่มาถึง หยวนโจวก็ออกไปขึ้นรถแท็กซี่ หลังจากบอกที่อยู่แก่คนขับแล้วรถแท็กซี่ก็พุ่งตัวออกไป
หยวนโจวมาถึงประมาณสองทุ่มและหลังจากการแสดงจบลงก็เป็นเวลาประมาณสามทุ่มแล้ว ตอนที่เขามาถึงร้านก็เป็นเวลาสามทุ่มสี่สิบนาทีแล้ว
ผับยังคงอึกทึกครึกโครมอยู่เลย หยวนโจวคิดจะเข้าทางประตูแต่เมื่อเขาเห็นว่าไฟตรงหน้าร้านยังเปิดอยู่ เขาจึงเดินไปที่ถนนสายหลักแทนเพื่อเตรียมเข้าทางประตูหน้า
“โจวเจียยังอยู่อีกงั้นเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกสงสัย
หยวนโจวทราบว่าโจวเจียมีเรียนภาคค่ำทุกวัน เนื่องจากต้องมีคนอยู่ที่ผับ แน่นอนว่าตอนนั้นเซินหมินย่อมต้องอยู่ชั้นบนอยู่แล้ว ถ้าหากไฟหน้าร้านยังเปิดอยู่ก็มีความหมายเพียงอย่างเดียวว่าโจวเจียยังอยู่น่ะสิ
หยวนโจวเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว
ทันทีที่เขามาถึงประตู หยวนโจวก็ตรวจดูและเห็นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบพร้อมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ประตู
“เธอไม่ใช่โจวเจียนี่นา” หยวนโจวลงความเห็น
ตึก ตึก ตึก หยวนโจวก้าวเดินเบาๆแต่เสียงฝีเท้าก็ยังค่อนข้างชัดเจนในร้านอันเงียบเชียบ แล้วหญิงสาวก็หันหน้ามา
“เถ้าแก่หยวน คุณกลับมาแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นก็คือจงลี่ลี่ที่กำลังถือกระเป๋าสตางค์เอาไว้ในมือ
“คุณมารอนานหรือยังครับเนี่ย?” หยวนโจวถามขึ้น
ช่วยดูแลให้กล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้หยวนโจว
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวกล่าวพลางรับกล่องเอาไว้
หยวนโจวทราบว่าจงลี่ลี่จะต้องคอยอยู่นานแล้วเป็นแน่ แขนของเธอเท้าโต๊ะนานเสียจนเกิดรอยแดงจนสามารถมองเห็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ดึกมากแล้วด้วย
แต่ในเมื่อจงลี่ลี่พยายามที่จะกลบเกลื่อนเอาไว้ หยวนโจวจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“ด้วยความยินดีค่ะ นอกจากนี้ท่านประธานยังฝากบอกมาด้วยว่านี่เป็นตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิงเลยอยากให้คุณช่วยระมัดระวังด้วยนะคะ” จงลี่ลี่ถ่ายทอดข้อความที่โจวซื่อเจี๋ยฝากมา
“อืม ผมรู้แล้วครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” จงลี่ลี่พยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
“โอเค กลับบ้านดีๆนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“อืม” จงลี่ลี่เดินออกจากร้านไป
หยวนโจววางกล่องลงแล้วตามไปส่งจงลี่ลี่ออกนอกร้าน เขามองจนกระทั่งจงลี่ลี่เดินห่างออกไปภายใต้แสงจันทร์และขึ้นรถไป
บทที่ 898 ตัวแทน
“ท่านประธานใจดีเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักที่จะให้จงลี่ลี่ต้องมาคอยนานขนาดนั้น” หยวนโจวบ่นพึมพำเมื่อตอนที่กลับเข้าร้านแล้วหยิบกล่องขึ้นมาอีกครั้ง
ตัวกล่องมีสีน้ำตาลอมแดงและจากพื้นผิวเป็นมันวาวของกล่องก็เห็นได้ชัดเลยว่าทำขึ้นมาจากไม้ชั้นยอด
“แถมยังมีกลิ่นหอมอีกต่างหากแน่ะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นขณะที่สังเกตได้ว่ามีกลิ่นกระจายออกมา
บนกล่องเป็นกระดุมทองแดง แกร๊ก! หยวนโจวปลดกระดุมออกแล้วเปิดกล่องขึ้นมา
หยวนโจวค่อยๆเปิดกล่องออกเผยให้เห็นกระดาษสีเหลืองที่อยู่ด้านใน
“เป็นของตั้งแต่สมัยโบราณจริงๆเสียด้วย” หยวนโจวกล่าวพลางวิเคราะห์ถ้อยความในหน้าแรก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตำราโบราณ หยวนโจวไม่ได้หยิบมันขึ้นมาทันที แต่เขากลับปิดกล่องลงอีกครั้งแล้วค่อยๆวางกล่องลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็กลับเข้าครัวไปล้างมือ
เขาวางแผนที่จะดูตำราโบราณหลังจากล้างมือและใส่ถุงมือแล้วเท่านั้น นี่เป็นการปกป้องตำราโบราณอีกรูปแบบหนึ่ง ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่ทราบมูลค่าของตำราโบราณเล่มนี้ก็เถอะ แต่อย่างไรก็เป็นของประธานโจวนี่นา เขาควรจะส่งคืนในสภาพเดิมกับตอนที่ได้รับมาสิ
ซู่! ซู่! ซู่! น้ำไหลโกรกขณะที่หยวนโจวล้างมืออย่างเอาจริงเอาจัง
หยวนโจวล้างมือในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากคนทั่วไปเขาทำกัน เมื่อตอนที่ทำนั้นเขาเอาจริงเอาจังและพิถีพิถันมากเชียวล่ะ แน่นอนว่าอาการย้ำคิดย้ำทำย่อมพิสูจน์ได้จากวิธีการล้างมือของเขา ในขณะที่เขากำลังล้างมืออยู่ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็เริ่มดังขึ้นมา
“ท่านประธานหรือเปล่านะ?” หยวนโจวชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเช็ดมือให้แห้งแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา
แต่ทันทีที่เขารับสายก็ต้องประหลาดใจ “เจียงฉางซี่?”
ชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์ของเขาทำให้หยวนโจวลังเล
ถึงอย่างไรตั้งแต่เจียงฉางซี่มีเบอร์โทรศัพท์ของหยวนโจว เธอก็เอาแต่โทรมาก่อกวนเค้าหลายต่อหลายครั้ง
เธอมักจะสุ่มโทรมายื่นข้อเสนอไปเยือนเตียงของเขา ไปนวดด้วยกัน ขอให้หยวนโจวมาซ่อมประตูให้กลางดึกและอื่นๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเจียงฉางซี่อ้างว่าเมาแล้วให้หยวนโจวไปส่งเธอ หยวนโจวจึงโทรหาคุณหวงที่เป็นคนขับรถให้เธอเป็นประจำ
ในตอนนั้นเจียงฉางซี่บอกให้หยวนโจวพาเธอไปส่งที่บ้านเพราะลืมกระเป๋าสตางค์จึงไม่สามารถจ่ายค่าโดยสารได้ หยวนโจวก็เลยบอกไปว่าเขาไม่รู้ว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหนอีกอย่างเธอสามารถกลับไปก่อนแล้วค่อยมาจ่ายค่าโดยสารให้วันรุ่งขึ้นก็ได้
“เธอคงประสาทหลอนแล้วล่ะถ้าคิดว่าจะสามารถหลอกให้ฉันจ่ายเงินค่าโดยสารให้เธอได้ เขารู้กันไปทั่วแหละว่าเธอทำข้อตกลงจ่ายค่าโดยสารเป็นรายเดือน”
ไม่อาจโทษหยวนโจวที่กระทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายังไม่มีแฟนเสียที อันที่จริงแล้วเขาแน่ใจว่าแม้เขาจะมีจุดมุ่งหมายอื่น แต่ก็คงไม่มีใครสามารถเอาเปรียบเจียงฉางซี่ได้หรอก
ราชินีเจียงก็ยังเป็ราชินีเจียงแม้แต่ตอนเมาก็ตามที
พูดง่ายๆก็คือจากสถิติอันแสนเลวร้ายของเฉียงฉางซี่เมื่อตอนที่โทรหายามค่ำคืนจึงทำให้หยวนโจวเกิดความลังเลที่จะรับสาย เขาต้องจดจ่อกับการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสามหอมแห่งท้องสมุทร การรับมือกับราชินีเจียงจึงเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไป
“ดึกมากแล้ว ฉันก็แค่ทำเป็นไม่เห็นสายที่เธอโทรเข้ามาก็พอแล้ว คงจะพอหน้าเชื่อถือได้บ้างแหละน่า พรุ่งนี้เธอคงไม่มาหาเรื่องฉันหรอกนะ?” หยวนโจวใคร่ครวญดู
เขาไม่รับสายและโทรศัพท์ก็ยังดังต่อไป
“ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันรับสายก็ได้” หยวนโจวรับสายหลังจากเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง
หลังจากรับสายเขาก็ยังคงเงียบต่อไปเพื่อรอให้เจียงฉางซี่เป็นฝ่ายพูด
“เจ้าเข็มทิศ นายกำลังทำอะไรอยู่? อ่านหนังสือกับฝึกทำอาหารอีกแล้วงั้นรึ?” น้ำเสียงของเจียงฉางซี่ดังขึ้นมา
“อืม” หยวนโจวตอบอย่างระแวดระวัง
“นายควรจะผ่อนคลายเป็นบางครั้งบางคราวนะ ดูแลคอกับหลังของตัวเองเวย ในเมื่อวันนึงๆนายต้องยืนตั้งนานหลายชั่วโมงอาจจะทำให้นายปวดขาเอาได้ง่ายๆ นายยังหนุ่มอยู่เลย มามะมาให้พี่สาวนวดให้นาย…” เจียงฉางซี่เริ่มยื่นข้อเสนอให้เขา
หยวนโจวจึงได้ข้อสรุปว่าเจียงฉางซี่โทรมาเพื่อก่อกวนเขาอีกแล้ว ถึงอย่างไรเธอก็ให้คำแนะนำก่อนที่จะเริ่มก่อกวนเขา
ดังนั้นหยวนโจวจึงเอาแต่ฟังอยู่เงียบๆโดยไม่ตอบอะไร
“ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันจะเลิกล้อเล่นกับนายแล้วนะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนาย ฉัน หลิงหงแล้วก็อู๋ไห่วางแผนกันว่าจะทำเว็บไซต์น่ะ” เจียงฉางซี่ไม่นำพาต่อความเงียบของหยวนโจว หลังจากพูดมายาวเหยียดเธอก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“โอ?” หยวนโจวรู้สึกมึนงงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเกินไป
“มันเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับอาหารอร่อยๆน่ะ พวกเรากำลังวางแผนที่จะประชุมงานทางโทรศัพท์กันตอนนี้เลย” เจียงฉางซี่อธิบาย
“โอเค” หยวนโจวทวนคำพูดของเจียงฉางซี่อยู่ในหัวก่อนที่จะตอบตกลง
“ดีล่ะ ฉันจะได้ต่อสายเลย พวกเราจะได้หารือกันได้” เจียงฉางซี่กล่าวขึ้น
“โอเค” หยวนโจวตอบ
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับตัวเขาอย่างไร แต่เขาก็ตอบตกลง ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกับอาหารอร่อยจึงกระตุ้นความสนใจของเขาเข้าแล้ว
“ฉันจะวางสายก่อนแล้วค่อยต่อสายประชุมงานทางโทรศัพท์หานายนะ อย่าลืมรับสายด้วยล่ะ” เจียงฉางซี่กล่าวแล้วตัดสายไป
เจียงฉางซี่ยังคงมีประสิทธิภาพมากเมื่อมีกิจธุระที่ต้องเข้าร่วม แน่นอนว่าการก่อกวนหยวนโจวย่อมไม่ถือว้าป็นกิจธุระหรอก
เนื่องจากหยวนโจวตอบรับคำขอของเจียงฉางซี่แล้วทำให้เขาไม่ได้ดูตำราโบราณอีก เขาจึงถือกล่องขึ้นไปชั้นบนแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หยวนโจวรับสายทันที
“ฮัลโหล? ฮัลโหล? ติดยังอ่ะ?” น้ำเสียงของอู๋ไห่ดังขึ้นทันทีที่เขารับสาย
“อืม” หยวนโจวตอบ
“เจ้าเข็มทิศอยู่ที่นี่ แล้วหลิงไม่เอาส่วนลดอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย?” อู๋ไห่ถามขึ้น
“นายส่งเสียงดังน่าหนวกหูเกินไปแล้ว ดูสิว่าเถ้าแก่หยวนเงียบขนาดไหน” เสียงของหลิงหงดังขึ้นมาบ้าง
“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันได้แล้ว” เจียงฉางซี่ปรามมิให้พวกเขามีโอกาสที่จะเริ่มทุ่มเถียงกันได้
“อืม ตกลง หลังจากคิดๆดูแล้ว ฉันจะรับผิดชอบเรื่องการออกแบบศิลป์ของเว็บไซต์เอง หากมีเงื่อนไขและข้อเรียกร้องอะไรด้านการออกแบบศิลป์ก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” อู๋ไห่ชี้แจงงานในส่วนของตนเองให้ทราบ
“ให้คำอธิบายก่อนแล้วกัน” หลิงหงกล่าว “เจ้าเข็มทิศหายไปแล้ว”
“งั้นฉันจะสรุปก็แล้วกัน” เจียงฉางซี่กล่าว
“อืม” หยวนโจวตอบสั้นๆ
“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มทำเว็บไซต์กันเลย ตอนนี้พวกเรากำลังวางแผนให้เจ้าเข็มทิศเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของเรา ฉันจะรับผิดชอบงานประจำวันและอวี้ฉู่ก็รับผิดชอบข้อมูลแล้วก็มีผู้ที่ไม่ประสงค์จะออกนามรับผิดชอบการตรวจสอบข้อมูลด้วย” เจียงฉางซี่อธิบาย
“แล้ว?” หยวนโจวให้ความสนใจกับคำอธิบาย
“อู๋โจวจะรับผิดชอบการเขียนโค้ดเว็บไซต์เอง นั่นเป็นเรื่องที่เขาอยากทำมาระยะหนึ่งแล้วล่ะ ส่วนหลิงหงจะรับผิดชอบด้านการตลาดและอย่างที่อู๋ไห่บอก เขาจะรับผิดชอบด้านศิลป์” เจียงฉางซี่แสดงความคิดของทุกคนออกมา
“เว็บไซต์เป็นไอเดียของฉันเอง ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?” หลิงหงให้เครดิตตัวเอง
“โฮ่โฮ่” อู๋ไห่แสดงท่าทีดูหมิ่นดูแคลน
“เจ้าคนไร้ยางอายอู๋” หลิงหงด่าเข้าให้
“อย่าทะเลาะกัน” เมื่อเจียงฉางซี่กล่าวขึ้นมา หลิงหงกับอู๋ไห่ก็หยุดมือลงทันที
เจียงฉางซี่น่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดพวกเขาได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
“นายคิดว่าไงล่ะ หยวนโจว?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นหลังจากพวกเขากลืบคืนสู่ความเงียบ
“จะให้ฉันรับผิดชอบเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หยวนโจวถาม
“นายเป็นสุดยอดเชฟ ฉะนั้นนายก็จะต้องเป็นตัวแทนของเราสิ” หลิงหงกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “นั่นจะทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเชียวล่ะ”
หยวนโจวขมวดคิ้ว ทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นงั้นรึ? มีอะไรที่ทำให้เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือด้วยงั้นรึ?
บทที่ 899 ความหวังของเว็บไซต์
จะว่าไปแล้วเจียงฉางซี่ หลิงหงและแม้แต่อู๋ไห่ต่างก็เป็นหัวกะทิในสาขาวิชาชีพของพวกเขา แต่ในร้านหยวนโจว พวกเขากลับรู้สึกผ่อนคลายในแบบของตัวเองแล้วก็เปิดเผยตัวตนภายในออกมา แต่กระนั้นพวกเขาก็มีความเชี่ยวชาญในงานของพวกเขาอย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่นหลิงหง ในร้านหยวนโจวนั้น เขามักจะดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญที่ไม่เคยกินอาหารที่มีส่วนลดและไม่มีอะไรจะทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ความจริงแล้วหลิงหงเป็นถึงประธานที่บริหารจัดการบริษัทลงทะเบียน
พวกเขาทั้งสามคนเริ่มทำเว็บไซต์นักชิมด้วยความพยายามร่วมกัน แต่หยวนโจวก็ยังคงรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินคำอธิบายของหลิงหง
“ถูกต้อง” เจียงฉางซี่ตอบเพื่อแสดงความเห็นด้วยของเธอ “ถ้าหากเถ้าแก่หยวนเป็นตัวแทนของเราก็จะทำให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น”
“ถึงอย่างไรคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวของเราก็ค่อนข้างเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว” หลิงหงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
หยวนโจวเลยตั้งคำถามขึ้นมาว่า “งั้นเว็บไซต์อาหารนี้จัดทำขึ้นเพื่ออะไรกันแน่?”
เมื่อได้ยินหยวนโจวถามขึ้นมาเช่นนั้น เจียงฉางซี่ก็เริ่มอธิบายให้เขาฟัง เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวในร้านหยวนโจวและเพื่อจัดการงานแทนสมาชิกคณะกรรมการ
จากนิสัยของอวี้ฉู่ เขาจะต้องประเมินทุกร้านในเฉิงตูด้วยหน่วย “หยวนโจว” และ “หนึ่งหยวนโจว” ก็คือคะแนนเต็ม เขาลิ้มลองอาหารอร่อยมามากมายและมักจะเข้าชมฟอรั่มนักชิมต่างๆอยู่เสมอ บางทีเขาถึงกับวางแผนที่จะขอความคิดเห็นตามความเป็นจริงของลูกค้าในร้านหยวนโจวเสียด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้เขายังวางแผนที่จะสร้างเว็บไซต์บทวิจารณ์อาหารที่เชื่อถือได้มากที่สุดอีกด้วย ในฐานที่ร้านหยวนโจวเป็นต้นแบบและมี “หนึ่งหยวนโจว” เป็นหน่วยหนึ่ง เว็บไซต์จึงได้รับการตั้งชื่อว่า “เว็บไซต์บทวิจารณ์อาหารของหยวนโจว” และโปรดิวเซอร์ก็ต้องมาจากคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวด้วย
“ฉันเชื่อว่าสักวัน บทวิจารณ์ของหยวนโจวจะมีอิทธิพลเหนือกว่าบทวิจารณ์ของมิชลินและเว็บไซต์ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเชื่อถือและร้านอาหารทุกร้านยึดเป็นสำคัญ” หลิงหงถามขึ้นมาว่า “นายคิดว่าไงล่ะ เถ้าแก่หยวน? นายรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องนั้นไหมเล่า?”
“อืม แน่นอนสิ ฉันต้องรู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้วล่ะ” สิ่งที่หยวนโจวรู้สึกอยู่ในใจก็คือคนพวกนี้น่าจะเสียสติกันไปแล้ว
อย่างที่รู้ๆกันแหละนะ การจัดการและสร้างเว็บไซต์ต้องใช้กำลังคน ทรัพยากรและแหล่งเงินทุนมากทีเดียว เพียงเพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นถึงการมีอยู่ของคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถว พวกเขาถึงกับวางแผนที่จะสร้างเว็บไซต์ดังกล่าวขึ้นโดยไม่นึกถึงเรื่องการหาเงินเลยสักนิด ไม่มีใครจริงๆนอกจากพวกเขาที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่จะว่าไปแล้วยังมีร้านอื่นที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญมากมายเอาไว้เพื่อเริ่มทำเว็บไซต์นอกเหนือไปจากร้านหยวนโจวอีกงั้นรึ?
“ในเมื่อนายตอบตกลงแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็จะได้เริ่มต้นทำกันอย่างเป็นทางการเสียที” เมื่อเห็นหยวนโจวตอบตกลงแล้ว เจียงฉางซี่จึงตัดสินใจเลือกช่วงเวลาที่ทุกคนยังคงมีไฟอยู่
อันที่จริงแล้วไม่มีใครคาดคิดว่าความคิดเพ้อฝันของหลิงหงจะกลายเป็นจริงในอีกหลายปีให้หลัง รวมทั้งร้านหยวนโจวยังพิชิตยุโรปและอเมริกาได้สำเร็จจนกลายมาเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่ง นอกจากนี้เว็บไซต์บทวิจารณ์ของหยวนโจวก็ได้กลายเป็นเว็บไซต์บทวิจารณ์อาหารที่เชื่อถือได้มากที่สุดอีกต่างหาก
แน่นอนว่าเว็บไซต์นี้ย่อมมีหยวนโจวเป็นตัวแทน ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาในตำแหน่งนี้ได้
หลังจากเจียงฉางซี่บอกว่าจะเริ่มต้นทำวันพรุ่งนี้เลย พวกเขาก็ต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วอู๋ไห่ก็กล่าวขึ้นเป็นคนแรก
“ไม่มีปัญหา ฉันจะไปร่างโฮมเพจเว็บไซต์” อู๋ไห่กล่าวขึ้น
“ฉันจะไปวางแผนประชาสัมพันธ์” หลิงหงกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกนะ” หยวนโจวครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ฉันจะให้ช่างภาพไปถ่ายรูปนายแล้วอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์เอง เจียงฉางซี่สรุป
“ช่วยถ่ายจากทางด้านข้างทีนะ” หยวนโจวรีบมองกระจกบนโต๊ะจากทุกทิศทางแล้วกล่าวขึ้นเมื่อได้ยินว่าต้องถ่ายภาพ
“ไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้” เจียงฉางซี่ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
“มันดึกมากแล้วนะ วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถอะ” หลิงหงเสนอขึ้นเป็นคนแรก
“โอเค” หยวนโจวตอบแล้ววางสายไป
โทรศัพท์ถูกวางลงบนโต๊ะแล้วหน้าจอก็ดับไป
“คนพวกนี้ช่างสร้างเรื่องปวดหัวให้ฉันจริงๆ” หยวนโจวถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คาดหวังและประทับใจอยู่นิดหน่อย
“ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้อ่านหนังสือเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวตรวจสอบเวลาแล้วเตรียมลงไปที่ชั้นล่าง
จวนจะได้เวลาปิดผับแล้ว หยวนโจวต้องออกไปโผล่หน้าเสียหน่อย
หยวนโจวเพิ่งจะลงไปชั้นล่างแล้วเปิดประตูเมื่อพวกนักดื่มกำลังเดินออกจากทิวทัศน์ที่เป็นกำแพงงดงามตระการตา
“กลับมาแล้วเหรอ เถ้าแก่หยวน?” เฉินเหว่ยกล่าวทักทายเขาเป็นคนแรก
“อืม แล้วเจอกันนะ” หยวนโจวกล่าวพลางพยักหน้า
“แล้วเจอกัน”
“ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะ”
“คราวหน้ามาดื่มเหล้าอีกนะ”
“ดูแลตัวเองดีๆนะ” หยวนโจวมายืนส่งลูกค้าอยู่ที่ประตู
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” เซินหมินเองก็มายืนส่งพวกเขาอยู่ทางด้านข้างเช่นกัน
วันนี้มีพวกนักดื่มไม่เยอะ ไม่นานพวกเขาก็กลับกันไปจนหมด
“เถ้าแก่หยวน คุณโอเคมั้ยคะ?” ทันทีที่พวกนักดื่มกลับไปแล้ว เซินหมินก็หันหน้ามาถามหยั่งเชิง
“อืม” หยวนโจวกล่าวอย่างแน่ชัด
“อีกอย่างพี่จงมาหาคุณด้วยนะคะ ฉันเลยบอกเธอไปว่าคุณออกไปข้างนอกแต่เธอก็บอกว่าจะรอคุณ ได้เจอเธอไหมคะ?” จู่ๆเซินหมินก็หันมามองที่โต๊ะแล้วกล่าวขึ้นมา
“อืม ผมเจอเธอแล้วล่ะ” หยวนโจวพยักหน้า
“งั้นก็ดีค่ะ พี่จงมาเอาตอนที่คุณเพิ่งจะออกไป” เซินหมินกล่าวขึ้น
“อืม ผมรู้แล้วล่ะ คุณกำลังจะตกรถเมล์แล้วนะ” หยวนโจวเตือนเธอ
“ฮ้า… จริงด้วย งั้นฉันกลับแล้วนะคะ เถ้าแก่หยวน ลาก่อนค่ะ ไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว ทันใดนั้นเซินหมินก็ไม่มีเวลามาละเอียดรอบคอบตามปกติอีก เธอรีบวิ่งออกนอกประตูไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยความรวดเร็ว
หยวนโจวก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วพอเขาเห็นเซินหมินขึ้นรถเมล์ไปอย่างรีบเร่งและรวดเร็ว เขาก็กลับร้านไปอีกครั้ง
“ตอนนี้ฉันก็ขึ้นชั้นบนไปอ่านตำราได้แล้วสินะ” หยวนโจวเตรียมตัวปิดประตู
“เถ้าแก่หยวน” ในตอนนั้นเองจู่ๆก็มีเงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ๆโคมสีแดงแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อะไรนี่ ผีงั้นรึ?” หยวนโจวรู้สึกสะดุ้งตกใจ เขาบังคับฝีเท้าตนเองมิให้ก้าวถอยหลังและแสดงสีหน้าแตกตื่นออกมาก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า
“จ้าวซิน มีอะไรเหรอครับ?” หลังจากเขาทราบแน่ชัดแล้วว่าบุคคลในเงามืดคือผู้ใด หยวนโจวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกโดยไร้ร่องรอยแล้วถามขึ้นมา
“โทษทีนะ เถ้าแก่หยวน” จ้าวซินก้าวออกมาจากเงามืดแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหยวนโจว เขาก้มศีรษะให้หยวนโจว
“โอ้ ไม่เป็นไรครับ” หยวนโจวกล่าวเบาๆ
“นายไม่กลัวเลยหรือไง?” จ้าวซินถามโดยไม่ทราบว่าเป็นห่วงหรือจงใจกันแน่
“กลัวอะไรงั้นหรือครับ?” หยวนโจวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันมาขอโทษสำหรับคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควรเมื่อวันนั้นน่ะ” จ้าวซินส่ายหน้าแล้วก้มศีรษะให้เขาอีกครั้ง
“โอ้” หยวนโจวพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขารับรู้แล้ว
หยวนโจวไม่อยากรู้หรอกว่าเขากลับมาขอโทษหลังจากคุณเฉิงตีเขาหรือเฉาจื่อซูสั่งให้เขาทำเช่นนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเรื่องนั้นมาตั้งแต่ต้น
จ้าวซินก้มศีรษะให้สักพักแล้วค่อยยืนตัวตรงต่อหน้าหยวนโจวเมื่อเขาพบว่าหยวนโจวหาได้มีท่าทีตอบสนองเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็หาได้พูดอะไรอีก
เรื่องนั้นไม่แปลกหรอก ก็พวกเขาไม่คุ้นเคยกันจริงๆนี่นา จ้าวซินไม่อยากพูดอะไรอีกเพราะเขาอิจฉาหยวนโจวและหยวนโจวเองก็ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ
“ดึกมากแล้ว ลาก่อนครับ” หยวนโจวเตรียมตัวที่จะปิดประตูต่อไป
“หัวเชฟเฉาอาจารย์ของฉันฝากข้อความให้ฉันมาบอกนาย” จู่ๆจ้าวซินก็กล่าวขึ้นมา
“หัวหน้าเชฟเฉางั้นรึ?” หยวนโจวรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในสายตาของหยวนโจว เฉาจื่อซูเป็นคนสุภาพมีมารยาทมากเลยทีเดียว ถ้าหากเขาอยากบอกอะไรก็คงจะมาบอกด้วยตัวเองอย่างแน่นอน เขาจะฝากลูกศิษย์มาบอกงั้นรึ?
“อาจารย์ของฉันบอกว่าอาหารที่เตรียมขึ้นสำหรับการคัดเลือกสุดยอดร้านอาหารไม่อาจเผ็ดชาจนเกินไปนัก ผู้ชนะสามคนก่อนหน้านี้ต่างก็ได้ตำแหน่งชนะเลิศมาเพราะแบบนั้นแหละ” จ้าวซินกล่าวขึ้น
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” หยวนโจวพยักหน้า
หลังจากจ้าวซินบอกข้อความและกล่าวขอโทษหยวนโจวไปสองครั้ง ในที่สุดเขาก็กลับไปแล้วหยวนโจวก็ปิดประตูลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น