ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 896-897
ตอนที่ 896 นำขบวน
ดูท่าในใจบุตรีผู้เป็นที่รักแห่งสวรรค์ของตระกูลโอวหยางสองคนนี้จะยังไม่พอใจเรื่องที่หลิ่วหมิงปฏิเสธการแต่งงานเมื่อตอนนั้นอยู่
แต่โอวหยางเชี่ยนในตอนนี้ก็เหมือนจะเพียงหยอกเล่นประโยคเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นนางกับโอวหยางฉินก็ขอตัวจากไปอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งอก
“เจียหลาน…”
หลังสตรีทั้งสองนางจากไป หลิ่วหมิงก็เดินไปยังห้องลับด้านข้าง พร้อมกันนั้นในสมองก็ปรากฏเงาร่างของเจียหลานขึ้นมา
ช่วงนี้ไม่ได้ยินข่าวของสตรีนางนี้เลย ก่อนหน้านี้นางบอกว่าจะเก็บตัวทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย เวลานี้น่าจะยังไม่เลิกเก็บตัวกระมัง
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องลับ
หลังจากเขานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลมเรียบร้อยก็หยิบคัมภีร์หยกของค่ายกลโปรดสัตว์ออกมาแล้วแทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
หลายวันนี้เขาศึกษาการเปลี่ยนสภาพหลายรูปแบบของค่ายกลนี้แล้วเข้าไปจำลองการควบคุมในแดนมายาอยู่ตลอด
สองเดือนให้หลังยันต์ถ่ายทอดเสียงสีเงินแผ่นหนึ่งก็แหวกอากาศมาถึง มันพุ่งผ่านชั้นจำกัดเข้ามาในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงเหมือนชั้นจำกัดไม่มีอยู่
ยันต์ทอแสงสีเงินระยิบระยับอยู่ครู่หนึ่งก็ระเบิดกระจาย เสียงเข้มงวดเสียงหนึ่งดังก้องในพื้นที่ของถ้ำที่พักทันที
“รีบรวมตัวที่วิหารใหญ่ของนิกาย!”
หลิ่วหมิงที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนในทันใด
เสียงนี้คือเสียงของท่านประมุขเทียนเกอเจินเหริน
“นายท่าน เดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้จะพาพวกเราไปได้ไหม?” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ได้ยินเสียงก็รีบร้อนออกมาจากห้องทำสมาธิห้องข้างๆ
สายตาของเซียเอ๋อร์จ้องมองมาที่หลิ่วหมิง ร่างกายขวางประตูห้องลับเอาไว้ ทำท่าราวกับว่าหากไม่พานางไปด้วยก็จะไม่ให้หลิ่วหมิงออกจากประตูไป
นับตั้งแต่หลิ่วหมิงกลับมาก็ให้ทั้งสองตัวฝึกฝนด้วยตนเองอยู่ในห้องลับห้องอื่น
เฟยเอ๋อร์วิ่งตรงมาเบื้องหน้าหลิ่วหมิง มือน้อยสีชมพูทั้งสองข้างดึงชายเสื้อของหลิ่วหมิงไว้ ส่วนใบหน้าทำสีหน้าน่าสงสาร
“วางใจเถอะ! เศษซากของโลกบนโชควาสนาครั้งใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไม่พาพวกเจ้าเดินทางไปได้อย่างไร!” หลิ่วหมิงทั้งฉุนทั้งขำจึงถลึงตาใส่ตัวตลกสองตัวนี้ครั้งหนึ่ง
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ตะโกนร้องอย่างยินดีทันที ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีดำสองสายหายเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง
บนใบหน้าหลิ่วหมิงปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นแวบหนึ่ง หลังจากนั้นมือลูบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเบาๆ ครู่หนึ่ง ใบหน้าจึงฟื้นกลับมามีสีหน้าเย็นชานิ่งสงบ
หนึ่งเค่อให้หลังเมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยมาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ ปราณดำสลายออกเผยให้เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงด้านใน
ทว่าเมื่อเขามองเห็นสภาพรอบด้านชัด เขาก็ตกตะลึงจนร่างหยุดอยู่กลางอากาศ
เวลานี้บนลานกว้างซึ่งทำจากหินเขียวบนยอดเขาเต็มไปด้วยศีรษะคนที่เบียดเสียดกัน มีคนมารวมตัวกันไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนล้อมวิหารไว้จนน้ำไม่อาจลอดผ่าน เรียกได้ว่ามากกว่าวันที่ออกเดินทางไปยังแดนลึกลับประตูสวรรค์เมื่อตอนนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้
ดูจากชุดบนร่าง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์สายในของยอดเขาต่างๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่อย่างครึกครื้นราวกับเร่งเดินทางมาตลาดนัดชมดูเรื่องสนุก
“ดูนั่น หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวมาแล้ว!” ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่กลางท้องฟ้า แล้วตะโกนเสียงดังออกมา
ฝูงชนรอบด้านส่งเสียงฮือฮา ทันใดนั้นสายตาของผู้คนที่นั่นก็พากันมองมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบเดียวก็เหาะไปยังวิหารของยอดเขาหลัก ทิ้งเสียงเอะอะมากมายไว้ด้านหลัง
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องหลิ่วมาถึงแล้วนี่เอง! ไม่พบหน้ากันหลายปี ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ!” เวลานี้เองชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองบนร่างคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านในวิหาร เขาหัวเราะขณะที่เดินเข้ามา
“ศิษย์พี่จินนี่เอง!” หลิ่วหมิงเคลื่อนสายตามองจากนั้นก็เหาะลงมา
ชายหนุ่มชุดทองผู้นี้ก็คือจินเทียนชื่อชายหนุ่มลึกลับที่เขาเคยพบมาหลายครั้ง
เมื่อเขากวาดจิตสัมผัสไป บนใบหน้ายิ่งเผยสีหน้าตกตะลึง
บนร่างจินเทียนชื่อเวลานี้มีปราณมหาศาลแต่เก็บงำไว้ เห็นชัดว่าพลังบรรลุแก่นแท้แล้ว!
หลิ่วหมิงพบเจอผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาแล้วไม่รู้กี่คน จากประสบการณ์ของเขา แม้จินเทียนชื่อจะจงใจเก็บงำพลังปราณไว้ แต่พลังของเขาไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนใดที่เขาเคยพบแน่นอน
ต้องรู้ว่าเมื่อครั้งนั้นที่คนผู้นี้เข้าร่วมการประลองของสายนอก พลังเพิ่งจะระดับของเหลวจิตวิญญาณ แต่ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปี เขากลับกระโดดข้ามขั้นใหญ่สองระดับ ฝึกฝนมาจนถึงก้าวนี้ได้
หลิ่วหมิงคิดว่าตนเองฝึกฝนได้เร็วมากมาตลอด แต่เมื่อเทียบกับจินเทียนชื่อกลับไม่นับเป็นอันใดทั้งสิ้น
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาประสานมือถามหยั่งเชิงทันที
“พี่จินเป็นศิษย์ลับจริงเสียด้วย ยินดีด้วยที่วันนี้พลังฟื้นคืนสมบูรณ์แล้ว การเดินทางครั้งนี้ศิษย์พี่น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สินะ?”
“ฮ่าๆ ข้าเพิ่งฟื้นพลังในอดีตกลับมาได้อย่างสมบูรณ์เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เอง เศษซากของโลกบนเป็นโชควาสนาที่ยากจะพานพบ ข้าจึงขอบรรดาผู้อาวุโสของนิกายมาเป็นหนึ่งในสองผู้นำคณะเดินทางของนิกายเรา” หลังจินเทียนชื่อหัวเราะไม่ได้ตอบปฏิเสธ
“มีศิษย์พี่นำขบวน ศิษย์น้องวางใจยิ่งนัก” หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็รู้สึกยินดี
จะว่าไปแล้วนับตั้งแต่เขารู้ข่าวเศษซากของโลกบน นอกจากออกไปข้างนอกเพื่อเตรียมตัว เขาก็รออยู่ในถ้ำที่พักมาตลอด รายชื่อคนที่นิกายกำหนดท้ายสุดเขาก็ไม่ได้สนใจนัก ไม่นานนี้เพิ่งรู้จากอินจิ่วหลิงว่าครั้งนี้น่าจะมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนเท่านั้น
พลังของจินเทียนชื่อสูงส่งยากหยั่งถึง มีเขาเป็นผู้นำขบวน การเดินทางไปยังซากปรักหักพังครั้งนี้ย่อมปลอดภัยขึ้นไม่น้อยจริงๆ
“เอาล่ะ พวกเราอย่ายืนอยู่ตรงประตูให้คนมองดูเหมือนลิงเลย รีบเข้าไปในวิหารเถอะ คนมากันพอสมควรแล้ว” จินเทียนชื่อยิ้มน้อยๆ แล้วเดินนำเข้าไปในวิหารก่อน
สายตาของหลิ่วหมิงเหลือบมองลานกว้างเบื้องหลังอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ดวงตาฉายแววสงสัยจางๆ ก็ก้าวเท้าตามเข้าไป
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องรู้สึกประหลาดใจ ท่านประมุขยอมให้ศิษย์สายในเหล่านี้เดินทางมาชมก็เพราะโอกาสครั้งนี้เรียกได้ว่านานปีจะมีสักหน นับว่าเป็นวิธีกระตุ้นและให้กำลังใจแบบหนึ่ง” จินเทียนชื่อเหมือนจะมองเห็นสายตาของหลิ่วหมิงจึงหัวเราะแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเข้าใจก็ปรากฏบนใบหน้า
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนา พวกเขาก็ก้าวเข้ามาในวิหารพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันนี้เสียงเอะอะด้านนอกก็ค่อยๆ เงียบหายไป
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองก็เห็นว่าในวิหารเวลานี้มีศิษย์ที่แต่งกายแตกต่างกันราวสิบถึงยี่สิบคนยืนอยู่ บุรุษสตรีล้วนมีทั้งสิ้น เห็นชัดว่าพวกเขาคือคนที่ได้รับเลือกให้เข้าไปในเศษซากของโลกบนครั้งนี้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สายตาของคนเหล่านี้ก็มองมา
จินเทียนชื่อไม่สนใจสายตาของผู้คนสักนิด เขาเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ
หลิ่วหมิงเดินเคียงไหล่อยู่ข้างจินเทียนชื่อ เขากวาดสายตามองเล็กน้อยแล้วตะลึงอยู่บ้าง ที่แห่งนี้มีคนรู้จักคุ้นเคยไม่น้อยเลยทีเดียว
หลัวเทียนเฉิงผู้สวมเสื้อตัวยาวสีเงิน หลงเหยียนเฟยแห่งยอดเขากระบี่สวรรค์ที่สวมชุดกระโปรงสีม่วง กระทั่งเวินเจิงที่เคยต่อสู้ดุเดือดกับเขาครั้งหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย
ส่วนศิษย์สายในคนอื่น ส่วนใหญ่หน้าตาไม่คุ้นหน้านัก แม้มีคนสองคนแลดูคุ้นหน้าอยู่บ้าง แต่เขาก็เรียกชื่อไม่ถูก
พี่น้องโอวหยางก็ยืนอยู่ในวิหารด้วย ทว่าอาจเพราะฐานะที่พิเศษ จึงไม่มีใครคุยด้วย ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงมุมวิหารอย่างค่อนข้างรู้จักสถานการณ์ หลังจากเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็เพียงผงกศีรษะทักทายเขาเล็กน้อย จากนั้นก็รั้งสายตากลับไป
นอกจากสองพี่น้องคู่นี้ก็มีอีกสองสามคนที่ไม่ว่าจากกลิ่นอายหรือการแต่งกายก็มองออกชัดเจนว่าเหมือนจะไม่ใช่คนในนิกาย คิดว่าคงเป็นศิษย์จากตระกูลอื่นที่ส่งมาพึ่งพิงนิกายอายุหมื่นปีอย่างนิกายยอดบริสุทธิ์เช่นเดียวกับตระกูลโอวหยาง
คนเหล่านี้กลับมองหลิ่วหมิงอยู่หลายหนคล้ายค่อนข้างสนใจ
ในที่แห่งนี้นอกจากหลัวเทียนเฉิงที่พลังระดับผลึกขั้นกลาง คนที่เหลือล้วนเป็นระดับผลึกขั้นปลาย มีหลายคนที่บรรลุระดับแก่นเสมือนเช่นเดียวกับหลิ่วหมิง ในหมู่ศิษย์สายในพวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อเดินเข้ามา คนที่นั่นล้วนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป
คนที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับหลิ่วหมิงเช่นหลัวเทียนเฉิงกับเวินเจิง ต่างมีสีหน้าหงุดหงิดอยู่บ้าง
ส่วนศิษย์สายในคนอื่นส่วนใหญ่ล้วนยิ้มแย้มให้หลิ่วหมิงอย่างเป็นมิตร แต่สายตาที่มองไปทางจินเทียนชื่อต่างตกตะลึงไม่น้อยเช่นเดียวกัน
“ข้าคาดไว้อยู่แล้วว่าการเดินทางไปซากปรักหักพังครั้งนี้ ศิษย์น้องหลิ่วผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่มีทางพลาด” เท้าดอกบัวของหลงเหยียนเฟยเคลื่อนเข้ามาแผ่วเบา หลังจากคำนับจินเทียนชื่อเล็กน้อยแล้ว นางก็แย้มยิ้มงดงามให้หลิ่วหมิงพร้อมเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่หลงล้อเล่นแล้ว จะว่าไปวันนี้ศิษย์พี่ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนคนหนึ่ง ช่างน่ายินดีน่าฉลองจริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ
“คิกๆ เทียบกับศิษย์น้องหลิ่วยังด้อยกว่ามาก! ใช่แล้ว นี่เป็นของที่คู่รักฝึกฝนคนนั้นของเจ้าฝากข้ามามอบให้เจ้า” หลงเหยียนเฟยหัวเราะเบาๆ แล้วกลอกลูกตาครั้งหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นนางก็ล้วงของสีฟ้าอ่อนชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างเอว โยนไปให้หลิ่วหมิง
“เจียหลานรึ?” หลิ่วหมิงเกิดความรู้สึกบางอย่างในใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นรับ เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าเป็นยันต์เก็บของที่ค่อนข้างประณีตแผ่นหนึ่ง ด้านบนมียันต์สีฟ้าอ่อนไหลเคลื่อนอยู่เลือนราง
ขณะที่ยันต์แผ่นนี้เข้ามาอยู่ในมือ มันยังอุ่นอยู่เล็กน้อย บนนั้นเหมือนจะยังเหลือความอบอุ่นจากร่างของหลงเหยียนเฟยอยู่ กลิ่นหอมสงบที่ทำให้คนชื่นใจสายหนึ่งลอยกำจายออกมาเลือนราง แต่ไม่ทราบว่ามาจากหลงเหยียนเฟยหรือจากเจียหลาน?
หลงเหยียนเฟยคล้ายจะมองสีหน้าประหลาดเล็กน้อยบนใบหน้าของหลิ่วหมิงออก สองแก้มฉับพลันแดงเรื่อทันทีอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เพียงพริบตาก็หายไป หลิ่วหมิงกำลังก้มศีรษะมองยันต์เก็บของในมือจึงไม่ทันสังเกต
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเร็วไวรอบหนึ่งก็พบว่าสิ่งหนึ่งในนั้นคือธงค่ายกลสีฟ้าอ่อนหลายผืนกับแผ่นค่ายกลแผ่นหนึ่ง เหมือนจะเป็นอุปกรณ์วางค่ายกลของค่ายกลขนาดเล็กบางชนิด นอกเหนือจากนั้นก็มีคัมภีร์หยกสีฟ้าขมุกขมัวเล่มหนึ่ง
แม้ไม่ทราบว่าเจียหลานมอบของสิ่งนี้ให้เขาเพราะมีจุดมุ่งหมายอันใด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสำรวจดูอย่างละเอียด หลังจากหลิ่วหมิงเก็บยันต์เก็บของไปก็ประสานมือให้หลงเหยียนเฟยแล้วเอ่ยว่า
“ขอบคุณศิษย์พี่หลงยิ่งนัก”
“ไม่ต้องเกรงใจ จะว่าไปศิษย์น้องเจียหลานก็รักศิษย์น้องหลิ่วอย่างลึกซึ้งมาตลอดจริงๆ!” หลงเหยียนเฟยโบกมือแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ทั้งสองคนสนทนาสัพเพเหระอีกสองสามประโยค หลงเหยียนเฟยก็คำนับจินเทียนชื่อแล้วหาข้ออ้างผละออกไป
จากนั้นก็มีศิษย์สายในเดินเข้ามาทักทายเขาอีกไม่น้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้ใส่ใจ เขาคุยด้วยบ้างไม่คุยด้วยบ้าง ตอบรับทีละคนด้วยท่าทางสบายๆ
“พี่หลิ่วช่างมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์สายในไม่น้อยจริงๆ! สมคำร่ำลือว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งสายใน!” จินเทียนชื่อที่เดิมทีเดินไปมุมอื่นแล้ว อยู่ดีๆ ก็ส่งกระแสจิตเอ่ยขึ้นอย่างแฝงความนัย
“ศิษย์พี่จิน นั่นเป็นเพียงร่ำลือที่ไม่จริงเท่านั้น พลังเท่านี้ของข้าในสายตาของศิษย์พี่จินไม่ควรค่าเอ่ยถึงสักนิด” หลิ่วหมิงส่ายหน้าพลางหัวเราะเจื่อนๆ พร้อมกันนั้นก็ส่งกระแสจิตตอบ
จินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างต่อ นอกวิหารก็มีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังมาจากนอกวิหาร บุรุษเคราเฟิ้มรูปร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งก็ก้าวยาวข้ามประตูเข้ามา
ตอนที่ 897 ออกเดินทาง
หลิ่วหมิงสัมผัสกลิ่นอายป่าเถื่อนดุดันสายหนึ่งที่โถมเข้าใส่ใบหน้าได้แต่ไกล
“ผู้นี้คือ…” ม่านตาหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที
“อ้อ ศิษย์น้องฉิวมาแล้ว พี่หลิ่วอาจไม่รู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์ลับคนหนึ่งในนิกาย เป็นผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้อีกคนหนึ่งของการเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก้าวเข้าไปทันที
บุรุษเคราเฟิ้มมาถึงก็ดึงความสนใจของศิษย์ที่เหลือไปในทันใด สายตาของทุกคนพากันมองไป พร้อมกับที่บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ยามหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ศิษย์น้องฉิว’ ในใจเขาก็ตกตะลึง เมื่อเห็นหน้าตาของผู้ที่มาชัดแล้ว เขาก็แน่ใจในสิ่งที่คาดเดาทันที
บุรุษเคราเฟิ้มก็คือฉิวหลงจื่อที่เคยดูแลเขาตอนอยู่ในวิหารวิญญาณกระบี่เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
เทียบกับเมื่อตอนนั้นแล้วปราณบนร่างบุรุษเคราเฟิ้มมหาศาลยิ่งกว่าเดิม จิตกระบี่เลือนรางที่แผ่ออกมาก็ยิ่งน่ากลัว ศิษย์สายในที่นั้นส่วนใหญ่ล้วนถูกจิตกระบี่สายนี้ดึงความสนใจ
ฉิวหลงจื่อเหมือนจะค่อนข้างรู้จักมักคุ้นกับจินเทียนชื่อ หลังทั้งสองคนทักทายกันก็สนทนาเสียงดังประหนึ่งด้านข้างไร้ผู้คน
“พี่หลิ่ว”
เวลานี้เองข้างหูหลิ่วหมิงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องโอวหยางเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
“แม่นางโอวหยางทั้งสอง หลายวันนี้คุ้ยเคยกับการพักอยู่ที่นี่หรือยัง?” หลิ่วหมิงหันหน้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ก็พอใช้ได้ แต่คำพูดตามมารยาทคงไม่จำเป็น รออีกเดี๋ยวทางเชื่อมก็จะเปิดออกแล้ว ไม่ทราบพี่หลิ่ววางแผนไว้อย่างไร?” โอวหยางเชี่ยนกำลังจะเอ่ยปากพูด โอวหยางฉินกลับชิงพูดก่อนด้วยวาจาแสบร้อน
“ข้ารู้เกี่ยวกับเศษซากของโลกบนน้อยนัก ถึงเวลาคงได้แต่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ยามเคลื่อนย้าย ทั้งสองท่านดีที่สุดอย่าอยู่ห่างจากข้า หากพบอันตรายข้าจะคิดหาวิธีปกป้องความปลอดภัยของทั้งสองท่านเอง” หลิ่วหมิงคุ้นชินกับวิธีการพูดของสตรีนางนี้แล้วจึงยิ้มน้อยๆ ไม่โกรธ
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” โอวหยางเชี่ยนฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่ออยู่ในศิษย์กลุ่มนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์พลังของพวกนางสองคนแทบจะอยู่ต่ำสุดจึงได้แต่วางแผนไปทีละก้าวเท่านั้น
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อก็เดินเคียงไหล่กันเข้ามา ทั้งสองคนล้วนพลังระดับแก่นแท้ เมื่ออยู่ด้านในวิหารจึงให้ความรู้สึกโดดเด่นออกจากกลุ่ม
โอวหยางเชี่ยนเหมือนจะไม่อยากสานสัมพันธ์กับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์มากเกินไป เมื่อเห็นเช่นนี้จึงดึงโอวหยางฉินถอยไปด้านข้าง
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าจริงๆ ด้วย ไม่เลว! ไม่เลว!” สายตาของฉิวหลงจื่อจับจ้องอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง หลังจากสายตาทอประกายวูบหนึ่งก็เอ่ยว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาติดกันสองคำ
“ศิษย์พี่ฉิว นับแต่จากกันครั้งนั้น ไม่ได้พบกันนานจริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือ คำนับกลับอย่างนอบน้อม
“อะไรกัน ทั้งสองคนรู้จักกันหรือ?” จินเทียนชื่อมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจ แล้วอ้าปากเอ่ยถาม
“ฮ่าๆ! นี่มีสิ่งใดประหลาด ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาพบหน้ากับศิษย์น้องหลิ่วที่วิหารวิญญาณกระบี่ครั้งหนึ่ง ยามนั้นรู้สึกว่าศิษย์น้องไม่ใช่คนธรรมดา ระยะนี้ศิษย์น้องหลิ่วชื่อเสียงโด่งดังจนเล่าลือไปถึงวังเจดีย์ บ่งบอกว่าข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” ฉิวหลงจื่อยังคงทำท่าสบายๆ หัวเราะลั่นราวกับด้านข้างไม่มีคน
หลิ่วหมิง จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อ ทั้งสามคนเป็นผู้ที่สะดุดตาที่สุดในที่แห่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทั้งสามคนมารวมตัวกันแล้ว สายตาของคนในวิหารมากกว่าเก้าส่วนล้วนรวมกันอยู่ที่นี่
หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงมุมวิหาร เขาเห็นภาพหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนสนทนากันอย่างรื่นเริงก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วหันหน้าหนี
สายตาของเวินเจิงทอประกายเล็กน้อย หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงพักหนึ่งก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เองเสียงระฆังดังสนั่นครั้งหนึ่งก็ลอยมาจากนอกวิหาร เสียงดังอื้ออึงทะลวงแก้วหู สะเทือนจนใต้เท้าทุกคนสั่นไหวแผ่วเบา
ทุกคนที่นั่นฉับพลันหยุดสนทนาแล้วพากันเอี้ยวศีรษะมองไปนอกประตูวิหาร
ครู่ต่อมาบุรุษวัยกลางคนผู้สวมกวานหยกบนศีรษะ ร่างกายสวมชุดสีเหลือง บรรยากาศไม่ธรรมดาคนหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขาก็คือเทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
แม้เขาจะเก็บงำกลิ่นอายจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่ยังคงมีความน่าเกรงขามที่บอกไม่ถูกสายหนึ่งท่วมท้นทั้งวิหาร
ด้านหลังเขามีบุรุษวัยกลางคนชุดเทาคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่หานผู้นั้น
“คารวะท่านประมุข ผู้อาวุโสหาน!” ผู้คนที่นั่นพากันประสานมือคำนับพร้อมขานเรียกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมโดยมีจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่ออยู่ด้านหน้า
“ดีมาก คนมาพร้อมแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พร่ำพูดอะไรที่นี่อีก หลังจากนี้อีกสักพัก นิกายจะเปิดทางเชื่อมสู่เศษซากของโลกบนอย่างเป็นทางการเพื่อส่งพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบน แต่ก่อนหน้านั้นมีหลายเรื่องต้องกำชับพวกเจ้าให้ชัดเจน” เทียนเกอเจินเหรินกวาดสายตาวนรอบหนึ่งแล้วเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไป
ศิษย์ที่นั่นล้วนสีหน้าเคร่งขรึม ตั้งใจฟังอย่างนิ่งสงบ
“ทุกสามหมื่นปี พลังที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับซากปรักหักพังจะอ่อนแอลงอย่างมาก ดังนั้นนิกายแต่ละแห่งจึงมีโอกาสยืมพลังจากอาวุธเวทฝืนเปิดทางเชื่อมขึ้น เวลาที่พลังอ่อนแอลงแต่ละครั้งจะกินเวลาเพียงหนึ่งปี ดังนั้นหลังจากพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบนแล้วจะต้องจดจำสถานที่ตั้งต้นยามเคลื่อนย้ายไปถึงให้แม่น ภายในเวลาหนึ่งปีต้องกลับมายังที่เดิม นิกายจะเปิดทางเชื่อมขึ้นอีกครั้งเพื่อรับพวกเจ้ากลับมา หากกลับมาไม่ทัน ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเจ้าคงรู้ชัด” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเรียบๆ
เสียงของเทียนเกอเจินเหรินไม่ดังแต่ชัดเจนอย่างยิ่ง มันดังตรงเข้าไปในหูของทุกคนที่นั่นจนเกิดเสียงดังวิ้ง
เวลานี้คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นรวมถึงหลิ่วหมิงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของเทียนเกอเจินเหรินด้วยกลัวว่าจะพลาดสักคำสักประโยคไป อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเกี่ยวพันกับชีวิตของตน
เทียนเกอเจินเหรินเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า
“อันตรายกับโอกาสมักอยู่เคียงคู่กันเสมอ ในเศษซากของโลกบนไม่เพียงมีสมบัติแห่งฟ้าดินมากมายที่โลกมนุษย์ไม่มี แต่ยังเต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่รู้จักนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้นิกายจึงตัดสินใจมอบของจำเป็นจำนวนหนึ่งแก่พวกเจ้า”
ขณะที่พูด เขาก็พยักหน้าให้ผู้อาวุโสแซ่หานด้านข้าง
ผู้อาวุโสหานเข้าใจเจตนาจึงยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นเบื้องหน้าร่างพลันทอแสงจิตวิญญาณเลือนราง ยันต์เก็บของสิบกว่าแผ่นลอยออกมาทันที
แขนเสื้อของเขาสั่นอีกครั้งหนึ่ง ยันต์เก็บของทั้งหมดก็ทยอยบินออกมา แต่ละแผ่นบินไปยังคนแต่ละคนที่อยู่ที่นั่นอย่างแม่นยำไม่มีพลาด
ส่วนพี่น้องโอวหยางรวมถึงอีกสามคนที่ดูไม่เหมือนคนของนิกายยอดบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้รับยันต์เก็บของ
แม้เวลานี้พวกเขาล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่ย่อมไม่สะดวกเอ่ยปากอะไรมาก
หลิ่วหมิงรับยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งไว้ เมื่อจิตสัมผัสแทรกเข้าไปในยันต์เก็บของ เขาก็พบว่าด้านในมีของวางไว้หลายอย่าง
แผนที่แผ่นหนึ่ง มุกกลมสีน้ำเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งแล้วยังมีขวดหยกสีแดงฉานอีกหนึ่งใบ
“เศษซากของโลกบนกว้างขวางอย่างยิ่ง แผนที่แผ่นนั้นเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนที่ได้เข้าไปในเศษซากของโลกบนครั้งก่อนวาดเอาไว้ คงพอนำทางให้พวกเจ้าได้คร่าวๆ ส่วนมุกสีน้ำเงินนั่นมีชื่อว่า ‘มุกสนองตอบ’ ในบริเวณหมื่นลี้ใช้สัมผัสตำแหน่งของสหายร่วมสำนักได้ ส่วนในขวดหยกคือโอสถสลายภัยระดับพสุธาหนึ่งเม็ด เป็นโอสถวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บระดับสุดยอดชนิดหนึ่ง แม้ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต ขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่และกินโอสถนี้ลงไปทันเวลาก็จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ขณะที่ทุกคนก้มศีรษะสำรวจดู เสียงของเทียนเกอเจินเหรินก็ดังขึ้นอีกครั้ง อธิบายประโยชน์อันยอดเยี่ยมของทั้งสามสิ่งในยันต์เก็บของ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ลอบพยักหน้า ของเหล่านี้ล้วนเป็นของจำเป็นจริงๆ
แผนที่กับมุกสนองตอบย่อมไม่ต้องพูดถึง โอสถสลายภัยโอสถเช่นนี้หลิ่วหมิงเคยเห็นแต่ในบันทึกที่หอเก็บคัมภีร์ จัดว่าเป็นโอสถในตำนาน คิดไม่ถึงว่านิกายกลับมอบให้คนละเม็ด เรียกได้ว่าทุ่มเทอย่างยิ่ง
แต่คิดดูแล้วก็ปกติ ศิษย์ที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์แกนนำของยอดเขาต่างๆ คนใดคนหนึ่งสิ้นชีวิตลงล้วนเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้สำหรับทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์
“ของที่พวกเจ้าได้มาจากเศษซากของโลกบนครั้งนี้ นิกายจะเก็บไว้สองในสามส่วน เพราะอย่างไรทรัพยากรมหาศาลที่ใช้เปิดทางเชื่อมเส้นนี้นิกายก็เป็นคนเสีย ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินที่นิกายต้องการอย่างยิ่งยวดบางอย่าง นิกายจะมอบรางวัลอื่นชดเชยให้ตามสมควร ไม่ให้พวกเจ้าขาดทุน” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเรียบๆ
ได้ยินคำนี้ศิษย์ทั้งหลายด้านล่างพลันส่งเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นพักหนึ่ง
สายตาของหลิ่วหมิงทอประกาย ในดวงตาฉายแววคิดไม่ถึงจางๆ
เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เทียนเกอเจินเหรินตัดสินใจเช่นนี้ กระทั่งตระกูลโอวหยางที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ยังไม่อาจเปิดทางเชื่อมเส้นนี้ได้ตามลำพัง ย่อมจินตนาการได้ถึงความยากลำบากในการเปิดทางเชื่อมเส้นนี้ นิกายจะหักทรัพยากรที่ได้มาสองในสามก็สมเหตุสมผล
ต้องรู้ว่าโอกาสที่จะเดินทางผ่านทางเชื่อมเข้าไปยังโลกบนซึ่งเปิดออกสามหมื่นปีครั้งหนึ่ง ต่อให้เทียนเกอเจินเหรินบอกว่าจะหักสิ่งที่ได้มาแปดหรือเก้าส่วน เกรงว่าก็คงจะมีคนไม่รู้เท่าไรแห่แหนต้องการเข้าไป
ส่วนการจะลอบเก็บของไว้เอง เกรงว่าคงไม่มีใครทำเช่นนั้น แผ่นดินจงเทียนไม่ใช่อวิ๋นชวน นิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่นิกายปีศาจจะเทียบได้ เกรงว่าผู้อาวุโสสูงสุดสักคนใช้วิชาเล็กน้อยก็ทำให้ของที่แอบซ่อนไว้เหล่านี้ไม่อาจหลบเร้นร่องรอยได้แล้ว
“เอาล่ะ สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว การเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้นิกายจัดสรรศิษย์พี่ซึ่งเป็นศิษย์ลับระดับแก่นแท้สองคนเป็นผู้นำคณะเดินทางของพวกเจ้า ตอนอยู่ในเศษซากของโลกบน จงเชื่อฟังทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง หากใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง หลังกลับมาถึงนิกายจะต้องรับโทษอย่างหนัก!” เทียนเกอเจินเหรินพูดถึงตรงนี้ เสียงก็เคร่งขรึมขึ้น แรงกดดันจิตวิญญาณยิ่งใหญ่สายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่าง
“ศิษย์จะจดจำคำสั่งสอนของท่านประมุขให้มั่น!” คนที่นั่นหัวใจหนักอึ้งขึ้นประหนึ่งมีศิลายักษ์ก้อนหนึ่งทับอยู่ในทันที พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตอบรับด้วยเสียงนอบน้อม
เทียนเกอเจินเหรินเห็นภาพนี้ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนร่างจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อ
ฉิวหลงจื่อบุรุษร่างหนาผู้นี้ไม่กล้าละเมิดกฎระเบียบต่อหน้าเทียนเกอเจินเหริน เขาประสานมือคำนับอีกฝ่ายด้วยสีหน้านอบน้อมทันที
จินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างกลับยังคงหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ประสานมือด้วยท่าทางเสแสร้ง
“เอาล่ะ พวกเจ้าตามข้ามาเถิด” เทียนเกอเจินเหรินตวัดตามองจินเทียนชื่ออย่างไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่งแล้วเดินนำเข้าไปในวิหารด้านข้างก่อน ผู้อาวุโสหานไม่พูดพร่ำตามไปด้านหลัง
ฉิวหลงจื่อมองจินเทียนชื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองคนก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
ผู้คนที่นั่นเห็นเช่นนี้ก็พากันเดินตามหลังทั้งสองคนไปติดๆ
หลังจากทะลุวิหารด้านข้างที่ไม่ใหญ่หลังหนึ่ง คณะเดินทางยี่สิบกว่าคนก็ติดตามเทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ด้านหน้ามุ่งไปยังห้องลับห้องหนึ่ง
ในห้องลับมีทางเดินวนลึกลงไปใต้ดิน ขบวนคนเดินลงไปตามบันไดหินอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้ามากมายดังสะท้อน
ทุกครึ่งวงของทางเดินจะฝังหินจันทราที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวก้อนหนึ่งไว้ มันส่องสว่างทั่วทั้งทางเดินจนเกิดเงาคนมากมาย เนื่องจากมองสภาพด้านหน้าไม่ชัด จึงเพิ่มความรู้สึกลึกลับให้สถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง
หลังจากเดินไปเช่นนี้เป็นเวลาชั่วหนึ่งมื้อกินข้าว หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่าง ห้องโถงใต้ดินพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า กวาดตามองครั้งหนึ่งกว้างยาวถึงร้อยกว่าจั้ง สูงถึงสิบกว่าจั้ง
ตรงกลางห้องโถงใหญ่สลักค่ายกลมหึมาที่ซับซ้อนอย่างที่สุดขนาดสิบกว่าจั้งไว้ค่ายกลหนึ่ง ด้านบนสลักยันต์ลี้ลับที่สีสันแตกต่างกันมากมายไว้
รอบด้านของค่ายกลมีเสาศิลามังกรขดสีน้ำเงินสี่ต้นตั้งตระหง่านเห็นเด่นชัด บนเสาศิลาสลักลวดลายค่ายกลซึ่งสอดรับกับค่ายกลบนพื้นไว้นับไม่ถ้วน
เวลานี้บนเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นมีสองต้นในนั้นที่มีผู้เฒ่ากลิ่นอายสุขุมนั่งขัดสมาธิหลับตาเพ่งสมาธิอยู่โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับการมาถึงของศิษย์ทั้งหลายสักนิด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมา สองคนนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่พลังบรรลุระดับดาราพยากรณ์แล้วสองคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น