องครักษ์เสื้อแพร 895-897

 ตอนที่ 895 ไม่ดูแลภรรยาและบุตรให้ดี

โดย

Ink Stone_Fantasy

พระสนมเอกในวังมีเพียงพระสนมเอกเจิ้งคนเดียว จางเฉิงย่อมหมายถึงพระนาง ฮ่องเต้ว่านลี่หลายวันนี้ไม่กล้าอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกงนานนัก เพราะรู้สึกไม่อาจเข้าหน้าพระสนมเอกเจิ้งได้


ตอนนี้ตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งรับจูฉางลั่วมาอุ้มชู เกือบจะเรียกได้ว่าได้กำหนดตำแหน่งรัชทายาทแล้ว การจะไปพบพระสนมเอกเจิ้งอีก เกรงว่าคงมีแต่เรื่องให้รำคาญพระทัยไม่จบไม่สิ้น


ได้ยินจางเฉิง ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ รำคาญพระทัยตรัสว่า


“คืนนี้ไปตำหนักพระสนมหลี่ จางปั้นปั้น เจ้านำเรื่องแต่งตั้งสองโอรสไปบอกแก่พวกเซินสือหัง หากทำได้ ก็ใช้วิธีนี้”


จางเฉิงคำนับรับพระบัญชา กำลังจะออกไป ก็ได้ยินเสียงดังเอะvtมาจากหน้าห้องทรงอักษร เสียงดังหน้าห้องทรงอักษรเรียกได้ว่าไร้ธรรมเนียมสิ้นดี จางเฉิงขมวดคิ้วคิดจะตะโกนถาม เจ้าจินเลี่ยงด้านนอกกลับรายงานดังเข้ามาก่อนว่า


“พระสนมเอกเสด็จ”


ห้องทรงอักษรเดิมอยู่ในเขตตำหนักเฉียนชิงกงที่ประทับฮ่องเต้อยู่แล้ว จางเฉิงพอได้ยินเช่นนี้ก็รีบรายงาน ไม่กล้ามองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ก้มคำนับทูลว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอออกไปจัดการภารกิจก่อนพะยะค่ะ”


นายมาถึงแล้ว เป็นบ่าวก็ย่อมต้องหลบไป หรือว่าจะมารอดูเรื่องในครอบครัวฝ่าบาทกัน ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ฝืดเฝื่อนคิดจะรั้งจางเฉิงไว้ แต่คิดแล้วก็ไม่ได้รั้งไว้


จางเฉิงเพิ่งออกไป ก็เห็นพระสนมเอกเจิ้งอุ้มพระโอรสมา จึงรีบถวายบังคม พระสนมเอกเจิ้งพระเนตรแดงช้ำพยักพระพักตร์ให้ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน พอจางเฉิงปิดประตูลง ก็ลากเจ้าจินเลี่ยงมากำชับว่า


“พวกมีหน้าที่ปรนนิบัติต้องถอยห่างออกไปให้ไกลอีกหน่อย เจ้าก็ด้วย เรื่องด้านในอย่าให้ใครด้านนอกได้ยิน”


มีบางวาจา เจ้าจินเลี่ยงย่อมเข้าใจว่าเรื่องใด รีบถอยห่างออกไปทันที บรรดาขันทีกับนางกำนัลพวกที่ติดตามพระสนมเอกเจิ้งก็รีบถอยห่างออกไป


*************


พระสนมเอกเจิ้งเข้าไปในห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่มองมาแวบหนึ่งก็ก้มพระพักตร์ลง พระสนมเอกเจิ้งเดินไปสองก้าว ก็อุ้มโอรสคุกเข่าลง ไม่กล่าวอันใด ได้แต่แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ


ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นเห็นพระสนมเอกเจิ้งหลั่งน้ำตาเงียบๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดพระทัยตามไปด้วย อดไม่ได้ประทับยืนขึ้นตรัสว่า


“ร้องไห้ทำไมกัน ตอนนี้อะไรก็ยังไม่กำหนด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าจูฉางสวินไม่ได้เป็นรัชทายาท เราก็จะหาที่ดีๆ ให้ฉางสวินเองเมื่อถึงเวลา ที่นาทรัพย์สินมากมาย  อย่างไรก็มีวาสนาไปชั่วชีวิต”


“ฝ่าบาท …..”


พระสนมเอกเจิ้งกล่าวไม่ทันจบ ก็อดไม่ได้ร้องไห้ออกมาอีก เกรงว่าจะกระเทือนถึงโอรสที่อุ้มอยู่ ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สบายพระทัย ประทับยืนขึ้นเดินไปยังหน้าพระสนมเอกเจิ้ง ตรัสว่า


“เจ้ามาคนเดียวก็ได้ พาลูกมาด้วยทำไม อากาศหนาวเช่นนี้ ลูกเป็นหวัดไปจะทำอย่างไร อย่าคุกเข่าเลย ลุกขึ้นๆ “


พระสนมเอกเจิ้งไม่ลุกขึ้น  สะอื้นซับน้ำตา สะอื้นไห้ทูลว่า


“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่วาดหวังให้ฉางสวินได้เป็นรัชทายาท ขอแค่ได้เติบใหญ่แข็งแรงก็พอ แต่ตอนนี้บรรดาขุนนางพากันวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ ข้างนอกก็วุ่นวายหนัก หม่อมฉันแม่ลูกกลายเป็นเป้าโจมตี ตอนนี้…ตอนนี้…เกรงว่าวันหน้าคงไม่ได้จบอย่างสวยงามตามที่หวัง ทุกเรื่องย่อมมีแต่คนจับตามอง ทุกเรื่องย่อมกลายเป็นพวกทำการเหิมเกริม!”


“เหลวไหล! มีเราปกป้องเจ้าแม่ลูก ผู้ใดจะกล้า ยิ่งพูดยิ่งไม่ได้ความแล้ว ฉางสวินตามธรรมเนียมไม่อาจเป็นรัชทายาทได้ เจ้าอย่าได้รู้สึกแค้นใจอันใดไป!”


พระสนมตรัสเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนจะรู้สึกกริ้ว พระดำรัสเย็นชาไม่น้อย พระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสนั่งร้องไห้กับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ก็มองมายังพระสนมเอกเจิ้งที่นั่งร้องไห้ก็พระทัยอ่อน ถอนหายใจเอื้อมพระหัตถ์ไปประคองพระสนมเอกเจิ้งให้ลุกขึ้น ตรัสว่า


“เจ้าอย่าได้คิดมา แม้ว่าแต่งตั้งฉางลั่วเป็นรัชทายาทแล้วจะเป็นอะไรไป? ตอนเราคิดแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา พวกเขาไม่เห็นด้วย ตอนนี้เราก็ยังโปรดเจ้าที่สุดในวังหลังนี้ จะว่าไป ตอนนี้แต่งตั้ง วันหน้าจะเป็นใครยังไม่อาจแน่ชัดได้ วันเวลาอีกยาวไกลนัก…”


ได้ยินเช่นนี้ พระสนมเอกเจิ้งกลับหยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ทูลน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า


“ฝ่าบาท ตอนนี้ไทเฮาฉือเซิ่งรับฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกง กระแสขุนนางนอกวังที่กำลังร้อนแรง ไทเฮามาแสดง ท่าทีราวตัดสินเช่นนี้อีก เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทหากให้ไทเฮาตัดสินพระทัย  เช่นนั้นอำนาจไทเฮาก็จะเพิ่มขึ้น ฝ่าบาทเมื่อก่อนมีจางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์ ไทเฮากับจางจวีเจิ้งประสานกำลังกัน ฝ่าบาทตรัสอันใดยังต้องระมัดระวัง วันๆ ต้องคอยหวาดระแวง หากปล่อยให้ไทเฮาแต่งตั้งรัชทายาทอีก อำนาจมากขึ้นอีก ร่วมมือกับพวกขุนนางราชสำนักอีก เกรงว่าคงต้องเป็นเหมือนสมัยจางจวีเจิ้งอีกคราแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะอยู่เช่นไร ฝ่าบาทเองก็เพิ่งมาครองอำนาจเต็มได้เมื่อปีกว่าที่ผ่านมานี้เอง หรือว่าอยากทรงกลับไปอัดอั้นเช่นวันวานที่ผ่านมากัน?”


สุรเสียงสูงเล็กน้อย วาจาไม่เหมือนกับทรงตรัสเอง พระโอรสในอ้อมกอดพระสนมเอกเจิ้งถูกกระทบกระเทือนจนเริ่มดิ้นไปมา จากนั้นแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น


“เด็กน้อยน่าสงสาร ไร้วาสนา”


พระสนมเอกเจิ้งกล่าวขึ้นพลางร้องไห้ไป โอบกอดปลอบไป ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกวาจาพระสนมเอกเจิ้งกล่าวจนอึ้งไป คิดจะตำหนิ แต่เสียงเด็กน้อยแผดเสียงร้องไห้จ้า ก็ทำให้พระอารมณ์เย็นลง คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มลงไปซับน้ำตาให้จูฉางสวิน ปลอบเด็กน้อยเบาๆ


“ฝ่าบาท หม่อมฉันแม่ลูกกลัวจริงๆ เพคะ กระแสตอนนี้ผลักดันหม่อมฉันแม่ลูกไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ วันหน้าไทเฮาก็อาจจะเห็นเราแม่ลูกเป็นดังหนามยอกในพระเนตร ในวังนี้วันหน้า วันหน้า…”


ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว เอื้อมพระหัตถ์ลูบเกศาพระสนมเอกเจิ้ง ตรัสเบาๆ ว่า


“เราเองก็ไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นยากจบเช่นนี้ได้ เจ้าเองก็อย่าได้คิดมากไป มีเราปกป้องเจ้าแม่ลูก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจทำร้ายพวกเจ้าแม่ลูกได้”


“ฝ่าบาททรงยินยอมกลับไปเป็นแบบเดิมหรือเพคะ แม้แต่ขันทีในวังฝ่าบาทยังไม่อาจจัดการโยกย้ายได้  จะตรัสอันใดก็ต้องแอบตรัสกับหม่อมฉัน กลัวคนอื่นจะแอบฟัง”


เด็กน้อยส่งเสียงร้องไห้เบาลง พระสนมเอกเจิ้งจึงทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รู้ว่าทรงคิดสิ่งใด ต่อหน้าพระสนมเอกเจิ้งรู้สึกผิด แต่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอและไร้หนทาง ทรงพึมพำว่า


“เราเองก็แปลกใจ เห็นว่าทุกเรื่องอยู่ในกำมือเราแล้ว ในวังนอกวังก็เคารพยำเกรงเราอย่างดีแล้ว อยู่ๆ เกิดเหตุเช่นนี้ เราไม่ได้ทำผิดอันใด  ทุกคนก็ยังจงรักภักดี เหตุใด…”


พระสนมเอกเจิ้งจ้องมองพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ ลังเลครู่หนึ่ง เหมือนตัดสินพระทัย แม้ว่าห้องทรงอักษรมีเพียงฮ่องเต้และนางกับลูกสามคน แต่น้ำเสียงพระสนมเอกเจิ้งก็เบาลงอย่างไม่ทันรู้องค์ ทูลว่า


“ฝ่าบาท ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะฝ่าบาทไม่มีผู้ใดวางใจได้ข้างพระวรกายอย่างแท้จริง จะต่อกรกับพวกข้างนอกนั้นได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทรับสั่งให้ติ้งเป่ยโหวกลับเมืองหลวง มีเขาคอยช่วยเหลือ ฝ่าบาทย่อมสามารถ…”


พระสนมเอกเจิ้งยังกล่าวไม่ทันจบ พระหัตถ์ที่ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังประคองใบหน้านางก็กระชากกลับอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกขึ้นทันที โบกพระหัตถ์อย่างร้อนพระทัยตรัสว่า


“หวังทงกำลังรักษาตัวอยู่ตอนเหนือ ให้เขากลับมาทำไมกัน ไม่มีเขา เราก็ย่อมผ่านพ้นคลื่นลมนี้ไปได้อย่างแน่นอน สนมที่รักกลับไปพักก่อน อย่าคิดมาก ทุกอย่างมีเราอยู่!”


พระสนมเอกเจิ้งกัดริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือด กลับไม่กล่าวอันใด คำนับแล้วก็อุ้มโอรสแน่นขึ้นพลางร้องไห้ยิ่งหนัก


***********


ตอนฟ้ามืดลง จางเฉิงนำข่าวจากนอกวังกลับมา เรื่องสองโอรสแต่งตั้งพร้อมกันนั้น เซินสือหังบ่ายเบี่ยงนุ่มนวล ก็ไม่ได้ไม่คิดว่าไม่เหมาะ ส่วนรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยกลับคิดว่าได้ หนึ่ง ไม่ได้ผิดไปจากพระประสงค์ฮ่องเต้ว่านลี่ สอง สามารถจัดการสถานการณ์ตอนนี้ให้จบได้


ตอนนี้บรรดาขุนนางไม่ทำงานทำงาน วันๆ เอาแต่ร่วมหัวกันหารือเรื่องตั้งรัชทายาท ตอนนี้สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว จบเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเวลาแต่งตั้งโยกย้าย คงต้องมีคนโชคร้ายเป็นแน่  ตำแหน่งที่ว่างลงย่อมต้องหาคนไปทดแทน นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้น


สองโอรสได้รับแต่งตั้งพร้อมกัน ก็คือแต่งตั้งโอรสองค์โตจูฉางลั่วกับโอรสองค์รองจูฉางสวินเป็นอ๋องทั้งสององค์ รอให้เติบใหญ่ค่อยว่ากันว่าผู้ใดจะได้เป็นรัชทายาท


ในเรื่องนี้มีลูกไม้อยู่ที่ว่าแม้รัชทายาทกับอ๋องล้วนเป็นพี่น้อง แต่สถานะกลับเป็นดังนายกับขุนนาง หากแต่งตั้งเป็นอ๋อง ก็เท่ากับเด็กสองคนสถานะเท่ากัน วันหน้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก


ข่าวไทเฮานำจูฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกงไปเลี้ยงดูนี้แพร่ไปนอกวังแล้ว มหาอำมาตย์เซินสือหังย่อมรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด เขาย่อมปิดปากเงียบเรื่องนี้ แต่หวังซีเจวี๋ยนิสัยเป็นแบบพวกขุนนางบุ๋นตรงไปตรงมา  เขาคำนึงถึงหลักตำราปราชญ์น้อยกว่าผลประโยชน์แผ่นดิน


แผ่นดินหมิงตอนนี้มีหลายเรื่องต้องทำ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องไม่หยุดด้วยเรื่องใดเรื่องเดียว นี่เป็นความคิดหวังซีเจวี๋ย


ทว่าวันรุ่งขึ้น เช้าวันที่ 14 เดือนห้า หน้าจวนหวังซีเจวี๋ยมีขันทีมาคอยอยู่ กลับรีบรับคำสั่งเข้าวังไปอย่างรีบร้อน หวังซีเจวี๋ยบอกว่าตนเองคิดไม่รอบคอบ ไม่เหมาะสม และไม่ขอสนองพระบัญชา


สำนักบูรพาจับตาดูอยู่ สาเหตุได้รับรายงานมาทันทีว่า หวังซีเจวี๋ยตอนร่างราชโองการ ข่าวถูกคนในจวนแพร่ออกไป ลูกศิษย์ทั้งสองของเขารีบมาเตือน บอกรายละเอียดชัด ว่าตอนนี้ไทเฮาได้รับองค์ชายใหญ่เข้าตำหนักฉือหนิงกงแล้ว ท่าทีชัดเจนแล้ว หากท่านอาจารย์ร่างราชโองการ รอถึงวันหน้า เกรงว่าก็คงได้แหลกสลายเป็นแน่ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ก็ไปในทิศทางนี้ ไยอาจารย์ต้องทำตัวเองให้ต้องเป็นปรปักษ์กับคนหมู่มาก


หวังซีเจวี๋ยเห็นแก่ภาพรวม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้มีสติปัญญาทางการเมือง และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้คิดถึงวาสนาและตำแหน่งตน เขาย่อมต้องถอย


แต่ข่าวที่แพร่ออกไปทำให้เดิมสถานการณ์ที่ดุเดือดอยู่ก็เริ่มระเบิดออกมายิ่งหนัก ขุนนางทุกระดับพากันดาหน้าออกมายื่นฎีกาว่า ‘เห็นใต้หล้าโง่เขลา เห็นใต้หล้าเป็นโรงละคร’  มีคนกล่าวว่า โอรสองค์โตเป็นรัชทายาทเดิมก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามหลักการ ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ เกรงว่าต้องการถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น


มีคนยื่นฎีกาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่อายุ 6 ชันษาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เหตุใดตอนนั้นไม่แต่งตั้งพร้อมกับอ๋องลู่ให้เป็นอ๋อง รอให้เติบโตค่อยตัดสินว่าผู้ใดจะได้เป็นรัชทายาทเหมือนกันเล่า


***************


เทียบกับการปล่อยให้เมืองหลวงวุ่นวายแล้ว รองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉกลับรวบรวมกำลังมือปราบและเจ้าหน้าที่มาสั่งการว่าตอนนี้เมืองหลวงไม่สงบ  จะต้องรักษาความสงบให้ดี อย่าได้เปิดช่องให้หัวขโมยลงมือได้


ตอนที่ 896 สูญเสียสายข่าว แอบเคลื่อนไหว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนบรรดาขุนนางเมืองหลวงร่วมมือกัน ตอนแต่ละฝ่ายร่วมวางแผนกัน คนศาลซุ่นเทียนไม่ไปจับตาดู รองเจ้ากรมตอนนี้เพิ่งจะมาเน้นย้ำให้รักษาความสงบ มือปราบกับเจ้าหน้าที่ก็ได้แต่มองตาค้างอึ้งไป


แต่เช่นนี้ก็ดี คนในวังและในราชสำนักสู้กันไปมา พวกเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนจะไปยุ่งอันใดด้วย รังเกียจอายุยืนของตัวเองหรืออย่างไรกัน?


บางคนที่สนิทกับองครักษ์เสื้อแพร ไปสอบถามดู พบว่าทางองครักษ์เสื้อแพรก็เหมือนสถานการณ์ไม่แตกต่างกัน ท่านหยางที่ช่วยดูแลสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็วางมือ ตอนนี้ในเมืองหลวงวุ่นวาย หากมีใต้เท้าท่านใดทรัพย์สินเสียหาย หรือได้รับความไม่ปลอดภัยใดขึ้นมา ก็ย่อมไม่ดีเป็นแน่ แต่ละหน่วยงานต้องควบคุมความสงบให้ดี สั่งการเหมือนกันกับทางศาลซุ่นเทียน ทว่าการวางตัวเฉยกับทุกฝ่ายก็ไม่เลว


เมืองหลวงพื้นที่กว้าง แต่งานสืบข่าวลับกลับเหมือนมีแค่สำนักบูรพาทำ สำนักบูรพาคนน้อย เมื่อไม่มีองครักษ์เสื้อแพรคอยช่วย ก็ย่อมไม่ครอบคลุมพื้นที่ หลายเรื่องไม่ทันสังเกตเห็น


ที่เรียกว่ากระแสวิพากษ์ก็คือพวกขุนนางราชสำนักและข้างนอกพากันวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือด แต่เรื่องเช่นนี้ก็แค่กระแสคลื่นลมเท่านั้น คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้ ทุกคนแค่ออกมาร่วมสนุกไปด้วยเท่านั้น ยื่นฎีกาไปครั้งหนึ่ง ก็แสดงถึงว่าตนเองได้ร่วมลงมือไปแล้วเท่านั้น ก็คงมีแต่พวกเดียวกับขุนนางใหญ่ที่เป็นคนวางแผนเท่านั้นที่กระตือรือร้นในเรื่องนี้


แต่อาศัยเพียงพรรคพวกเคลื่อนไหว เหมือนว่าสร้างพลังได้ไม่มากพอ จำเป็นต้องให้คนเช่นหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงร่วมลงมือ ต้องคอยเร่งกระตุ้นผู้คนรอบๆ  เช่นนั้นก็ต้องสาดเงินออกไป จึงจะสามารถรักษากระแสร้อนแรงนี้ให้คงอยู่ได้ สร้างกระแสกดดันให้คงอยู่ต่อไปได้


ที่จริงแล้ว กระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้ แม้แต่คนริเริ่มก่อการก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้ คนที่เข้าร่วมมากเกินไปแล้ว และมาถึงตอนนี้ระดับก็เหมือนเกินเลยที่คาดหมายไว้ไปมากแล้ว


ดั้นด้นมาเป็นขุนนางก็เพื่อเงินทอง คนมากมายไม่ได้ประโยชน์อันใดแต่ก็ยินยอมรวมกำลังกันออกหน้ามา ช่างเป็นเรื่องที่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่าคนวางแผนเริ่มต้นพวกนั้นไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดีอันใด อย่างไรก็เป็นพลังมากส่วนหนึ่ง ในวังก็ต้องให้ความสนใจยิ่งมาก ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดี แสดงให้เห็นว่ายังมีบัณฑิตอีกมากที่เชื่อในหลักการจารีตตามคัมภีร์ปราชญ์โบราณ ยังมีคนคิดต่อสู้เพื่อหลักการ


หลี่ซานไฉเร่งหาแนวร่วมในเมืองหลวงทุกแห่ง ซ่งฉานฉานเองก็โปรยเงินออกไปทั่วเมืองหลวง ที่หอคณิกาแต่ไรมาก็เป็นที่ที่พวกบัณฑิตชอบเข้าออกกัน หอฉินก่วนกับกิจการที่เกี่ยวข้องมีสายสัมพันธ์ไม่เลวกับบรรดาบัณฑิตและขุนนางบุ๋น เพราะสานสายสัมพันธ์พวกเขากับพวกพ่อค้า


เรื่องครั้งนี้ตามผู้ใดเจอตัว หลี่ซานไฉก็ย่อมไม่เข้าไปยุ่ง ตามผู้ใดไม่เจอ เขาก็ย่อมช่วยเหลือติดต่อมาให้ได้  สำหรับบัณฑิตส่วนใหญ่แล้ว เขียนฎีกาตามกระแสส่วนใหญ่ หรือเขียนบทความร่วมกับคนส่วนใหญ่ ไม่มีอันใดต้องกังวล ยังมีเงินทองติดไม้ติดมืออีก ไยไม่ร่วมด้วยเล่า?


มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีคุณสมบัติพอจะยื่นฎีกา แต่ก็กลับนำสิ่งที่เขียนไปคุกเข่าหน้าประตูวัง ตอนเช้าขุนนางมากมายเข้าประชุม คนพวกนี้ก็ย่อมส่งเสียงตะโกนเอะอะ ทำนองว่า ‘ควรแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท’  วาจาพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าประชาเริ่มลุกฮือ


รองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่หวังซีเจวี๋ยก็ต้องมาพลอยโชคร้ายไปด้วย เพราะฎีกาที่แม้ไม่ได้เขียนออกไปฉบับนั้น ถึงกับมีคนมาออแน่นหน้าประตูจวนรองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ กำแพงขาวสองข้างทางมีแต่แผ่นประกาศแปะไว้เต็มไปหมด  ยังมีคนใช้พู่กันจุ่มหมึกแดงเขียนอักษรไว้บนนั้น ล้วนกล่าวหาว่าหวังซีเจวี๋ยเป็นพวกไม่เอาไหน ถึงกับไม่มีความหนักแน่นในหลักการเช่นนี้ได้


เพราะเรื่องนี้ เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยังให้คนไปหาหลี่ซานไฉกล่าวว่า ขุนนางใหญ่ราชสำนักก็มีหน้ามีตา ไยต้องทำเกินเลยไปเช่นนี้ด้วย สำหรับเรื่องนี้หลี่ซานไฉได้แต่งงอ้าปากค้าง


พวกที่ไปล้อมหวังซีเจวี๋ย คุกเข่าหน้าประตูวัง  ไม่ค่อยมีใครสังเกตว่าพวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนรอบๆ เมืองหลวง ไม่ค่อยมีคนได้สังเกตว่าพวกเขาไม่น้อยน่าจะไม่รู้หนังสือ


วันที่ 25 เดือนห้า ขุนนางกรมทหารที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงอันใดยื่นฎีกาว่า เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญของแผ่นดิน ไม่อาจไม่จัดการตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง  ขอให้ราชสำนักจัดส่งขุนนางบุ๋นไปดูแลตามธรรมเนียม


ฎีกานี้ทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะขุนนางผู้นี้เรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดหนุนหลัง และก็ไม่ใช่พวกหยางเหว่ย เป็นพวกขุนนางตัวกระจ้อยที่ไม่มีแม้แต่อนาคต


แต่คนผู้นี้ยื่นฎีกากลับโดนใจทุกคน เทียนจินเป็นพื้นที่แห่งเงินทองก้อนโต ทุกคนจ้องน้ำลายสอมานานแล้ว  หากตอนนี้หวังทงยังไปไกลเพียงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกทุกคนสกัดไว้จนขยับไม่ได้ เหมือนว่าเป็นโอกาสที่จะได้ลองหยั่งเชิงดู


ทว่าติ้งเป่ยโหวหวังทงผู้นั้นไม่อาจล่วงเกิน เมื่อก่อนคิดว่าตอนเขาเริ่มไม่เป็นที่โปรดปราน ทุกคนใช่ว่าไม่เคยลองหยั่งเชิงดู แต่ก็ได้รับการตอบโต้รุนแรงที่สุด ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้ค่อยว่ากันต่อก็แล้วกัน!


มีคนยื่นฎีกากล่าวว่าอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนมีความสามารถ ตอนนี้กองกำลังเมืองหลวงเหลวไหลมาก ตอนนั้นที่อู่ชิงโหวคุมอยู่ ไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้ กองกำลังเมืองหลวงไม่อาจปล่อยปละ ควรให้อู่ชิงโหวออกหน้ามาควบคุมอีกครา


ผู้ที่ยื่นฎีกานี้เป็นขุนนางในกรมอาญา  และเช่นกันที่เป็นคนที่ตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวก คนเช่นนี้เกรงว่าคงต้องอยู่แห้งเหี่ยวบนตำแหน่งไปจนตายแล้ว แต่พอเขายื่นฎีกาก็กลับโดนจุดที่พวกหยางเหว่ยต้องการพอดี ไทเฮาฉือเซิ่งนำองค์ชายใหญ่จูฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกงไป แสดงให้เห็นท่าทีแล้ว เป็นการแสดงท่าทีว่าสนับสนุนการกระทำของพวกนอกวัง


หยางเหว่ยก็ย่อมต้องเล่นข้างตระกูลหลี่ ให้อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนคุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง เรื่องนี้เป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจน จางจวีเจิ้งตอนนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดจะกุมอำนาจขุนนางราชสำนักในมือ ในวังต้องให้การสนับสนุน เป็นเรื่องสำคัญมาก  ไทเฮาฉือเซิ่งกับจางจวีเจิ้งตอนนั้นทำเช่นนี้


พอฎีกานี้เปิดเผยออกมา ก็มีหลายคนเริ่มร่วมยื่นฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ได้เห็นย่อมกริ้วหนัก ขุนนางยื่นฎีกาผู้นี้ถูกปลดตำแหน่งขุนนางทันที คนที่ยื่นฎีกาว่าเทียนจินควรได้รับการจัดการเช่นเดียวกับที่อื่นก็ถูกปลดเช่นกัน


สองคนไม่มีอนาคตในวงการขุนนาง ตอนเก็บทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดนำครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปก็มีรถม้าเพียงคันเดียว พวกเขาจากเมืองหลวงไปอย่างน่าอนาถสิ้นหวัง แต่พอรถม้าไปถึงคลองส่งน้ำที่ทงโจว  ก็มีคนสังเกตเห็นว่า พวกเขานั่งเรือหรูหรายิ่งจากไป มีเพียงพ่อค้าร่ำรวยและขุนนางระดับสูงจึงจะนั่งได้เท่านั้น  และนอกจากเรือแล้ว ด้านหลังยังมีเรือสินค้าที่เหมือนบรรทุกของหนักมากจนจมลงไปในระดับลึกพอควร ด้านในเรือย่อมบรรทุกเงินทองและของมีค่าอื่นๆ ไว้มาก


**************


ต้นเดือนหก ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุดในหนึ่งปี ฤดูนี้ขี่ม้าจากเมืองกุยฮว่าเฉิงออกไปราวหนึ่งชั่วยามก็จะสามารถเห็นทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ไร้ขอบเขต ล้วนเขียวขจี


ทาสแรงงานในนาแสนกว่ากำลังลงมือเพาะปลูกบนผืนที่กว้าง ชาวนาเกือบแสน แบ่งไปสิบกว่าโรงบ้าน ตามการแบ่งโรงบ้าน ทุกโรงบ้านย่อมมีแรงงานราวพันคนร่วมฝึก แรงงานมาฝึกการต่อสู้ไม่ต้องทำนาเพาะปลูก แค่ทุกวันมาฝึกตามระเบียบก็พอ


ทุกโรงบ้านมีแรงงานชาวนากับแรงงานทาส พวกลูกหลานพ่อบ้านและหัวหน้าที่อยากเป็นทหารก็สามารถไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปที่นั่นเพื่อรับการฝึกยิงปืน


เมืองกุยฮว่าเฉิงเดิมอาศัยแค่ทหารชราภาพเป็นหลักไปเป็นผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้า ตอนนี้กลุ่มนี้เติบโตขึ้นมา ก็จะเป็นกำลังหลักทางเหนือของแผ่นดินหมิงอีกกองหนึ่ง ทหารชราจากกองกำลังหู่เวยตอนนี้เป็นครูฝึก ฝึกตามแบบกองกำลังหู่เวย ประสิทธิภาพสูงมาก ไม่นานก็เห็นผลดี


กองกำลังหู่เวยเทียนจินกำลังผลัดใบ ทหารปลดประจำการคิดจะตั้งรกรากสร้างครอบครัวก็จะถูกกล่อมให้มายังเมืองกุยฮว่าเฉิง ปลดประจำการที่เทียนจิน พวกเขายังเป็นแค่ชาวบ้าน มีแค่กองกำลังหู่เวยหนุนหลัง ได้รับประโยชน์เรื่องไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากมาเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็จะเหนือผู้อื่น มีที่นา มีบ่าวรับใช้ แม้อากาศเมืองกุยฮว่าเฉิงสู้เทียนจินไม่ได้ แต่พวกมีอายุพอควรแล้วย่อมคิดผลได้ผลเสียได้อย่างง่ายดาย


ทหารชรามากมายจากเมืองจี้โจวปลดประจำการมา ตามหลักการที่ว่าขุนนางในฮ่องเต้องค์ใดก็องค์นั้น ทหารในสังกัดลี่อวิ๋นไหลเป็นขุนพลใหญ่ผู้บัญชาการเมืองจี้โจว หรือเดิมเป็นทหารที่สนิทกับชีจี้กวงหลังปลดระวางก็มิได้ได้รับค่าตอบแทนที่ดีอันใด  แต่จากที่ตกลงกันไว้ หากมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงที่นามาก สัตว์เลี้ยงมาก ทุกคนมากัน ก็ย่อมเป็นที่ต้อนรับเข้าสู่กลุ่มครูฝึก ไม่อยากเป็นครูฝึกก็สามารถไปเป็นหัวหน้าดูแลโรงบ้านได้


หวังทงมาที่นี่ได้ไม่กี่เดือน เมืองกุยฮว่าเฉิงที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างก็มีระเบียบอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเติมเต็มอย่างรวดเร็ว การมาของหวังทงไม่ได้นำสิ่งที่ดีมาเพียงเท่านี้


ตั้งแต่นำกำลังออกช่วยขบวนพ่อค้า จากนั้นนำกำลังทลายเผ่าที่มีจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมลงได้ ก็มีเรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกสองครั้ง แต่สองครั้งหลัง หวังทงไม่ได้ส่งคนออกไปร่วมด้วย แต่ให้ผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าในเมืองรวมตัวกันไปช่วย ช่วยได้ครั้งหนึ่ง อีกครั้งไปไม่ทัน


แต่ผลก็ไม่แตกต่าง พวกทุ่งหญ้านอกด่านคิดปิดบังร่องรอยก็ไม่ง่าย รังกองโจรม้าพวกนี้ถูกผู้คุ้มกันค้นพบ และจัดการแก้แค้นเอาคืน ทำลายสิ้น จับตัวกลับมาเป็นทาส


หลายครั้งเข้า ทาสเมืองกุยฮว่าเฉิงในตลาดก็ราคาฮวบลงสี่ส่วน โรงนาที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งคนมาซื้อ ไปไม่หยุด


เผ่าอันต๋าถูกทำลายราบ ปีหนึ่งมานี้กวาดล้างปล้นชิงสังหารชาวเผ่าเล็กบนทุ่งหญ้าไม่หยุด ยังมีหลายครั้งช่วงหลังที่สังหารทิ้ง ทำให้เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่านเริ่มกระจัดกระจายหมดสิ้น เมื่อก่อนคิดว่าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หลบให้ไกลก็ได้ แต่ตอนนี้พบว่าไม่อาจหลบพ้น


เริ่มแรกมีบางเผ่าคิดจะมุ่งมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง มีเผ่าเล็กสองสามร้อยคน และยังมีแบบหลายพันคน พวกเขาคิดมาเพื่อถามว่ามีเงื่อนไขอันใด พวกเขารับได้ก็จะรับทั้งหมด ขอเพียงไม่ถูกทำลายสิ้นเผ่าก็พอ


เมืองกุยฮว่าเฉิงเงื่อนไขไม่เลวนัก ให้ค้าขายกับเมืองกุยฮว่าเฉิงก่อน ยามเมืองกุยฮว่าเฉิงต้องการคนก็ต้องส่งคนมา และยังต้องส่งคนนำเงินทองและสัตว์เลี้ยงมาพักอยู่รอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นหลักประกันอีกด้วย หากทำตามเงื่อนไขได้ ก็จะได้รับธง ธงนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้รับการคุ้มครองจากเมืองกุยฮว่าเฉิง


หวังทงแม้อยู่เหนือ ทว่าข่าวก็มาจากเมืองหลวงไม่ขาด ข่าวต่างๆ ส่งมาถึงมืออย่างรวดเร็วที่สุด


น้องชายพระสนมเอกเจิ้ง เจิ้งกั๋วไท่แอบนำของขวัญไปมอบให้ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมีชื่อหลายคน หวังให้พวกเขาออกหน้ายับยั้งสถานการณ์ ทว่าเริ่มแรกสองตระกูลมีคนเชิญเขาเข้าไป จากนั้นก็ไล่ออกมา ของขวัญก็ถูกโยนออกมาด้วย จากนั้นตระกูลอื่นก็ไม่ยอมให้เข้าไปอีก ยังเกือบถูกบัณฑิตที่รู้ข่าวพากันมาล้อมโจมตี คนศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ล้วนทำเฉย ได้รับการยกย่องว่ามีคุณธรรม


หวังทงอ่านข่าวแล้วก็หัวเราะดังลั่น


ตอนที่ 897 ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไปบอกเจิ้งกั๋วไท่ เราเองยังจัดการไม่ได้ เขาอยู่ข้างนอกใช้การส่งมอบของขวัญจะจัดการได้อย่างไร เจิ้งกั๋วไท่ตอนนี้อยู่นอกวังทำเราและพระสนมขายหน้ามาก รีบหยุดได้แล้ว ช่างไม่รู้ธรรมเนียม!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่พอพระทัย ตอนนี้ทรงย้ายมาประทับที่อุทยานปัจจิม มีเพียงพระสนมเอกเจิ้งติดตามมา ส่วนที่ห้องทรงอักษรให้เป็นที่สำหรับจัดการงานแผ่นดิน


“สำนักบูรพาวันๆ รู้แต่จับตาดูน้องภรรยาเรา ข้างนอกขุนนางวุ่นวายรวมตัวกันพูดจาเหลวไหล เหตุใดไม่ส่งคนไปดูแล ไม่มีคนจับตา องครักษ์เสื้อแพรทำอะไรกัน!?”


จางเฉิงยิ้มเฝื่อนถวายคำนับทูลตอบว่า


“ตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายเช่นนี้  นอกเมืองหลวงก็มีบัณฑิตมากมายกรูกันออกหน้ามายื่นฎีกา องครักษ์เสื้อแพรแต่ไรมาก็จัดการเรื่องนี้อยู่ เกรงว่ามีคนคิดทำการสิ่งใด แต่เหตุใดตอนนี้พอผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่อยู่ พวกองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นก็ไม่กล้าจัดการ มีหลายเรื่องจัดการไม่ได้”


ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์เคาะโต๊ะ ไม่อยากตรัสเรื่องพวกนี้ต่อ ทรงยกฎีกาบนโต๊ะขึ้นอ่าน อ่านไปได้สองฉบับ ก็วุ่นวายพระทัยโยนทิ้ง ตรัสถามขึ้น


“ข้างนอกไม่มีใครยอมออกหน้าเลยหรือ?”


จางเฉิงสีหน้าฝืดเฝื่อน ถวายคำนับทูลว่า


“ฝ่าบาทก็ทรงรู้ขุนนางข้างนอกชอบทำตัวเช่นไร หากมีผู้ใดกล้าขัดกระแสหลักฎีกา ข่าวก็ย่อมออกไปจากกรมฎีกา คืนนั้นทุกคนก็จะไปรวมตัวตีคนๆ นั้นตายก็ย่อมเป็นได้ จะว่าไป ตอนนี้ท่าทีขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ชัดเจน ผู้ใดกล้าแต่ต้องพิษร้ายกองนี้กัน”


หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เกรงว่าคงตบโต๊ะคำรามดังแล้ว แต่ยามนี้กลับได้แต่ส่ายพระพักตร์ร้อนพระทัยตรัสว่า


“เราพูดอันใดคิดอันใด พวกคนข้างนอกไม่คิดจะสนใจเรา มันช่าง…”


“ฝ่าบาท หลี่กงกงตำหนักฉือหนิงกงนำกระแสรับสั่งไทเฮามาพะยะค่ะ!”


ในตอนนั้นเอง ขันทีข้างนอกก็ตะโกนดังรายงานเข้ามา หลี่กงกงเป็นญาติห่างกๆ กับไทเฮาฉือเซิ่ง  ในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ก็จัดการตอนตนเองเข้าวัง แม้ว่าไม่มีตำแหน่งอันใด แต่ถือเป็นคนสนิทหนึ่งของไทเฮาฉือเซิ่ง


ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง หันไปพยักพระพักตร์กับจางเฉิง


**************


“…ไทเฮาตรัสว่า ฝ่าบาทไม่ได้ออกว่าราชการหนึ่งเดือนแล้ว ไม่สนใจงานแผ่นดินเช่นนี้ บรรพชนเห็นแล้วย่อมเจ็บปวดพระทัย ไม่ควรให้เรื่องเล็กน้อยมาทำให้งานแผ่นดินเสียหาย…”


หลี่กงกงเข้ามาก็คุกเข่าถวายบังคม เพราะนำพระกระแสรับสั่งไทเฮามา ดังนั้นจึงยืนถ่ายทอดรับสั่ง พระกระแสรับสั่งไทเฮาฉือเซิ่งไม่เกรงพระทัยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังแล้วก็สีหน้าบึ้งตึง


“…เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทเกี่ยวพันถึงความมั่นคงแผ่นดิน สืบทอดแผ่นดิน ขอให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ภายนอกวุ่นวาย ใจประชาระส่ำระสาย…”


ฮ่องเต้ว่านลี่พระเนตรกระตุก ทว่ายังคงประทับนั่งตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า


“เรารู้แล้ว ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงห่วงใย”


หลี่กงกงรีบคุกเข่าถวายคำนับ ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกไป พอไปถึงประตู ก็กลับเหมือนคิดอันใดได้ หันมายิ้มคุกเข่าทูลว่า


“ฝ่าบาท ระยะนี้นอกวังมีคนยื่นฎีกาไม่น้อยให้จัดการส่งหวงอี้เฟินไปเทียนจิน ไทเฮารู้สึกว่า หวงอี้เฟินผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์ เหมาะแก่การส่งไปดูแลเทียนจินที่เป็นพื้นที่สำคัญ จะให้ขุนนางยื่นฎีกาต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทพิจารณา”


สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แปรเปลี่ยน สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว ตรัสเบาๆ ว่า


“ทูลเสด็จแม่ เรารู้แล้ว”


หลี่กงกงยิ้มร่าโขกศีรษะ หันกายออกไป พอหลี่กงกงออกไป จางเฉิงก็ปิดประตู หันกลับมามอง


กลับเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงกริ้วหนัก กลับสองพระหัตถ์เท้าคางไว้พลางคิดหนัก พอได้ยินเสียงปิดประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังไม่เงยพระพักตร์ขึ้น ได้แต่คิดหนักนิ่งเงียบก่อนจะตรัสว่า


“จางปั้นปั้น หวงอี้เฟินเป็นคนที่เสด็จแม่เสนอเมื่อปีก่อนใช่ไหม จบเรื่องยังถูกเราหาเหตุปลดไป ให้กลับบ้าน…..”


ตอนที่ข่าวหวังทงยกทัพขึ้นเหนือหายไปจากการข่าวเมืองหลวง ไทเฮาฉือเซิ่งก็เคยทรงออกหน้าให้หวงอี้เฟินไปดูแลเทียนจิน ตอนนั้นสถานการณ์กลับมาอีกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่รับคำ จบเรื่องยังหาเหตุปลดตำแหน่งหวงอี้เฟิน ให้เขากลับไปบ้านเกิด


ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่เพียงรู้สึกได้ระบายอารมณ์ไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าถึงกับยังถูกนำกลับคืนมาได้อีก ในพระทัยก็ย่อมไม่พอพระทัยนัก ตอนนั้นหวงอี้เฟินยังเป็นขุนนางมีอำนาจเต็มในราชสำนัก ตอนนี้หวงอี้เฟินได้ไปอยู่บ้านแล้ว หากคนผู้นี้ถูกนำกลับมาใช้งานจริง และยังเป็นตำแหน่งที่จะได้เมื่อปีก่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ภายนอกรู้ว่าไทเฮาที่เก็บตัวมาปีหนึ่งกำลังจะกลับมาผงาดอีกรอบ


จางเฉิงกลับไม่ตอบฮ่องเต้ว่านลี่ เพียงแค่ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“ฝ่าบาท  หวงอี้เฟินนี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ ระยะนี้ฎีกามากมายกล่าวถึงกองกำลังเมืองหลวงต้องการให้อู่ชิงโหวออกหน้ามาจัดการ ขอให้อู่ชิงโหวเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวง นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่พะยะค่ะ หากให้อู่ชิงโหวคุมกองกำลังเมืองหลวง เกรงว่าราชสำนักก็จะกลับไปสู่ยุคสมัยที่จางจวีเจิ้งเรืองอำนาจอีกครั้ง”


ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้น พระพักตร์มีรอยแย้มสรวล แต่กลับดูย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ สัพยอกตรัสว่า


“คนข้างนอกแย่งกันเป็นจางจวีเจิ้ง ไม่รู้ว่าในวังผู้ใดคิดจะเป็นดังเฝิงเป่า?”


“ฝ่าบาท ในวังหลังนี้ไม่อาจมีคนเช่นเฝิงเป่าอีกแล้วพะยะค่ะ เกรงว่าไทเฮาคงกุมอำนาจผู้เดียว”


จางเฉิงน้ำเสียงสูงขึ้น สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่จางหาย นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็ตรัสถามขึ้น


“ไปถามแต่ละที่มาหมดแล้วหรือยัง?”


จางเฉิงอึ้งไปก้มหน้าทูลรายงานว่า


“กองกำลังเมืองหลวง ในนี้ไม่รวมพวกที่มาจากลานฝึกหู่เวย  นำมาใช้การไม่ได้ ตระกูลเซียงเฉิงป๋อกับตระกูลถัง เฉินซือเป่าแอบบอกว่า คนของเขาสามารถใช้ได้ราว 2-3 ร้อย ที่เหลือคงยาก กองกำลังสังกัดวังหลวง เติ้งจิ้นกับหูฉีสั่งการได้ ทว่าพวกเขาเองก็บอกว่า เกรงว่าไม่อาจออกจากสนามฝึกเหนือได้ คงถูกทหารที่อื่นมาขวางไว้ก่อน”


ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว แต่กลับไม่รู้สึกผ่อนคลายลง เหมือนแค่ระบายความอัดอั้นออกมาเท่านั้น ทั้งองค์ราวกับประทับนั่งแข็งทื่อบนที่ประทับ นานกว่าจะตรัสขึ้นอย่างล่องลอยว่า


“กองกำลังเมืองหลวงทางนั้นอยู่ในความควบคุมมาตลอด เราเองยังคิดว่าอยู่ในมือเราแล้ว ช่างน่าขัน…”


พึมพำสองสามคำ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยกพระหัตถ์ถูไปมาเงียบไปครู่หนึ่งตรัสว่า


“จางปั้นปั้น วันนี้อากาศร้อน เราอยากกินน้ำแข็งผลไม้ ท่านไปจัดการให้ห้องเครื่องทำมาให้เราหน่อย!”


อยู่ ๆ เปลี่ยนบทสนทนา ทำเอาจางเฉิงอึ้งไป ทว่าก็แอบถอนหายใจ คำนับรับพระบัญชา กำลังออกไปจัดการ ตอนไปถึงประตูก็กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลอยู่นาน  อ้าพระโอษฐ์หลายครั้งก็ไม่ตรัส แต่สุดท้ายก็ตรัสถามขึ้น


“หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แล้วให้หวังทงกลับมา จะจัดการได้ไหม?”


จางเฉิงปิดประตูหันกลับมาคำนับ ลังเลครู่หนึ่งจึงได้ทูลว่า


“ฝ่าบาท ควรต้องมีความมั่นใจหกส่วน ตอนนี้มีเรื่องกันเช่นนี้ กระหม่อมเองไม่กล้ากล่าวอันใดมากนัก”


“ทำไมเรื่องที่เราไม่อาจทำได้ แต่เขากลับทำได้ เราไม่ใช่ฮ่องเต้หรือ?”


“…ก็เพราะฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ เป็นประมุขใต้หล้า ดังนั้นหลายเรื่องจึงไม่อาจทำได้เปิดเผย ต้องระมัดระวังให้มาก การเคลื่อนไหวมากไปอาจทำให้แตกหัก หวังทงเป็นขุนนาง เพียงแค่รับคำสั่งปฏิบัติงาน กลับสามารถทำการได้ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดมากนัก  ทว่าวาจานี้ไม่รู้ว่ากระหม่อมควรทูลหรือไม่…”


“พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอันใดต้องอ้ำอึ้งอีกกัน พูดมาได้ไม่ต้องกลัว!”


ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มหงุดหงิดพระทัย จางเฉิงทูลต่อว่า


“กระหม่อมรู้สึกว่า เรื่องครานี้หากต้องการให้เงียบลง ต้องลงมือให้หนักจึงจะได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนกลัวกลายเป็นเป้ามวลชน หวังทงเข้าใจดีว่าเขามักเป็นเป้า เกรงว่า…”


ความหมายนี้ผู้ใดก็เข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไปถามขึ้น


“จางปั้นปั้น หากหวังทงอยู่เมืองหลวงต่อ สถานการณ์ตอนนี้ก็คงไม่เกิดใช่หรือไม่?”


จางเฉิงก้มตัวลงทูลว่า


“ฝ่าบาท หวังทงแต่ไรมาก็ประจำอยู่นอกเมืองหลวง คำถามฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร”


ฮ่องเต้ว่านลี่ ไม่ได้คิดเรื่องนี้อยู่ แต่สีพระพักตร์เหมือนว่ากำลังสับสน ตรัสเบาๆ ว่า


“หวังทงจงรักภักดีจริงหรือ…”


เหมือนว่าถามอยู่ แต่ก็เหมือนถามตนเองมากกว่า จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ทูลเบาๆ ว่า


“หากฝ่าบาทเรียกตัวหวังทงเข้าเมืองหลวง หวังทงปฏิเสธไม่มา ก็ย่อมแสดงว่าคิดการไม่ซื่อ เพื่ออำนาจวาสนาตนจนไม่สนใจเจ้านาย ก็ย่อมไม่จงรักภักดี หากได้รับราชโองการรีบออกเดินทาง ก็ย่อมแสดงถึงการไม่กลัวเกรงกับความยากลำบาก เป็นผู้จงรักภักดีจนไม่เห็นแก่ตนเอง จงรักภักดีหรือไม่จะรู้กันได้ในไม่ช้านี้”


จางเฉิงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งก็พึมพำเบาๆ ว่า


“อย่างไรเราก็ไม่ควรสงสัยเขา ตัดแขนขาตัวเอง ทำให้คนในคนนอกมองเห็นโอกาส ตอนนี้วุ่นวายกันถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เขากลับมาเก็บกวาด เขาก็ยากที่จะไม่คิดแค้นใจ  เราผิดต่อเขาจริง!”


สุรเสียงแผ่วเบายิ่ง  พึมพำกับพระองค์เอง จางเฉิงเห็นก็รีบคุกเข่าทูลหนักแน่นว่า


“ฝ่าบาท สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องตัดสินพระทัยให้เด็ดขาดแล้ว เมืองหลวงมาเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็ต้องไม่น้อยกว่า 16 วัน ตอนนี้เมืองหลวงไม่อาจรอช้าได้อีกแล้ว!”


ทูลจบก็โขกศีรษะดัง ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน จางเฉิงกำลังจะทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่นิ่งอยู่ก็ส่งเสียงขึ้นว่า


“ส่งเจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่สองคนไป เราเขียนสารประทับตราไปด้วย เราตามตัวหวังทงกลับมา ความแค้นนี้ไม่อาจเก็บกดไว้ได้จริงๆ !”


สีหน้าจางเฉิงยินดียิ่ง แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่เห็นสีหน้านี้แล้ว ทูลว่า


“ฝ่าบาท ทรงพระปรีชา กระหม่อมจะรีบไปจัดการ”


เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค้าน จางเฉิงลุกขึ้นจะออกไปจัดการ แต่พอเดินถึงประตูก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ ลังเลครู่หนึ่ง ตรัสเบาๆ ว่า


“จัดการให้เจิ้งกั๋วไท่มาพบเราด้วย เรามีเรื่องกำชับ!!”


*************


เจิ้งกั๋วไท่แต่งตัวเป็นขันทีเข้าวังมาเข้าเฝ้า วันรุ่งขึ้น ก็แต่งตัวเป็นพ่อค้าออกเดินทางไปกับผู้ตุ้มกัน ออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้าจินเลี่ยง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)