ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 894-895

ตอนที่ 894 เศษซากของโลกบน

 

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แสงสว่างของค่ายกลสีทองเบื้องล่างกระจายออกไป ครู่ต่อมาร่างกายของหลิ่วหมิงก็หายวับร่อนลงข้างศพของหนูยักษ์สีทอง


ครู่หนึ่งให้หลังบนมือเขาก็ถือแก่นปีศาจสีน้ำตาลทองขนาดเท่าไข่ไก่เม็ดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี


มีแก่นปีศาจของหนูยักษ์ธาตุดินอันล้ำค่าเม็ดนี้ก็แลกแต้มคุณูปการของนิกายได้จำนวนมาก หนึ่งล้านห้าแสนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ในการเข้าสู่ทางปีศาจร้าย จนวันนี้นับว่ารวบรวมได้ครบแล้ว


“ยินดีกับนายท่านด้วย!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เหาะเข้ามา


“วันนี้พวกเจ้าสองตัวควบคุมค่ายกลนี้ได้ไม่เลว ภายหน้าเข้าไปในทางปีศาจร้าย คงจะช่วยข้าได้อีกแรงหนึ่ง!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ ชมเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์สองสามประโยค


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ได้ฟังย่อมยินดียิ่งนัก


ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะพูดอะไรอีกสักหน่อย ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารที่ส่องแสงสีขาวเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมา


“หลิ่วหมิง ไม่ว่าเวลานี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่กลับมานิกายเดี๋ยวนี้ อย่าได้ชักช้า!” เสียงของอินจิ่วหลิงฉับพลันดังออกมาจากในแผ่นค่ายกล


หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


เสียงของอินจิ่วหลิงฟังดูจริงจังอย่างยิ่ง ดูท่านิกายจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่าง


เขาครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่กล้าชักช้า เขาเก็บอุปกรณ์วางมหาค่ายกลโปรดสัตว์รวมถึงแก่นปีศาจของหนูยักษ์ไปในทันใด


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็หมุนตัวอยู่กับที่กลายเป็นแสงสีดำสองสายมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำเรียกเรือหยกจันทราออกมา แสงสีขาวสายหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นมุ่งหน้าไปไกลอย่างเร็วรี่


สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ ภาพคล้ายคลึงกันนี้กำลังเกิดขึ้นไม่หยุดทั่วทั้งแผ่นดินจงเทียน


ในชั่วเวลาหนึ่งนิกายใหญ่ต่างๆ ล้วนออกคำสั่งลับเรียกรวมตัวศิษย์แกนนำระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ที่ฝึกวิชาอยู่ข้างนอกให้ทยอยเดินทางกลับไปยังนิกายของแต่ละคน


หลิ่วหมิงกลับมาถึงนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งเดือนให้หลัง


เขาเร่งเดินทางไปชั้นสองของหอลี้ลับส่งมอบภารกิจล่าราชาหนูมุดดินขนทองด้วยท่าทางเร่งรีบ จากนั้นจึงขี่เมฆมาถึงหน้าวิหารหลักบนยอดเขาลั่วโยวโดยไม่หยุดแวะพัก


“อ้อ! คารวะศิษย์พี่หลิ่ว!” หลังศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคนหนึ่งที่เฝ้าประตูเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคำนับด้วยสีหน้านอบน้อม


เขากำลังจะให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเข้าไปแจ้ง ในวิหารหลักก็มีเสียงอินจิ่วหลิงดังออกมา


“หลิ่วหมิงใช่ไหม รีบเข้ามาเถอะ ไม่ต้องแจ้งแล้ว”


ในวิหารหลัก อินจิ่วหลิงที่สวมชุดสีดำกำลังนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ประธาน ด้านข้างมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อีกคน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแซ่เถียนที่หลิ่วหมิงเคยพบหน้าหลายครั้ง


ทั้งสองคนเหมือนจะหารือเรื่องอะไรกันมานานแล้วก่อนหน้านี้


“ศิษย์คารวะอาจารย์ คารวะอาจารย์เถียน” หลิ่วหมิงสงสัย แต่ก็คำนับเอ่ยทักทั้งสองคนอย่างนอบน้อม


“อืม เจ้าก็นั่งลงเถอะ” อินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิงศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจคนนี้เดินเข้ามา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ พลางกวักมือเรียกเขา


“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง” หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยไม่ปฏิเสธ


“ข้าได้ยินว่าระยะนี้เจ้าวุ่นวายอยู่กับการรับภารกิจของนิกายจากหอความเป็นความตายกับหอลี้ลับเพื่อสะสมแต้มคุณูปการเข้าทางปีศาจร้ายหรือ?” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นเหมือนสนทนาสัพเพเหระ


“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง” หลิ่วหมิงบอกตามจริง


“แม้เรื่องนี้สำคัญ แต่ก็ต้องระวังความปลอดภัยของตัวเจ้าเองด้วย” อินจิ่วหลิงเอ่ยกำชับ


ตอนนี้หลิ่วหมิงเหมือนจะเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สายในไปแล้ว และยังเป็นดวงดาราแห่งความหวังของยอดเขาลั่วโยวอีกด้วย จะให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรไม่ได้เด็ดขาด


“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนักที่เป็นห่วง ศิษย์เข้าใจดี” หลิ่วหมิงได้ยินหัวใจก็อบอุ่นขึ้นมานิดๆ


ยังไม่ต้องสนใจว่าอินจิ่วหลิงมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ นับตั้งแต่เขาเข้ามาในยอดเขาลั่วโยว อีกฝ่ายก็ค่อนข้างเอาใจใส่เขามาตลอด ทั้งยังใช้ทรัพยากรจำนวนมากช่วยให้เขาสร้างแก่นเสมือนสำเร็จอย่างไม่เสียดาย หลิ่วหมิงรู้สึกขอบคุณเขายิ่งนัก


“ศิษย์หลานหลิ่ว ความจริงที่เรียกเจ้ากลับมานิกายครั้งนี้ก็เพราะเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง อีกไม่นานจะถึงเวลาที่เศษซากโลกบนของแผ่นดินจงเทียนจะเปิดออกแล้ว” หลังจากผู้อาวุโสเถียนรอให้หลิ่วหมิงสนทนากับอินจิ่วหลงจบก็พลันเอ่ยแทรกขึ้นมา


“เศษซากของโลกบนหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตะลึงไป ชื่อนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก


“ฮ่ะๆ เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก เรื่องนี้ในนิกายยอดบริสุทธิ์เองก็นับว่าเป็นความลับสุดยอด สิ่งที่เรียกว่าเศษซากของโลกบน ที่จริงก็นับได้ว่าเป็นซากปรักหักพังบางส่วนของโลกที่มีระดับสูงยิ่งกว่าแผ่นดินจงเทียน” อินจิ่วหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ


“โลกที่ระดับสูงกว่าหรือ?”


หลิ่วหมิงตกตะลึงจริงๆ!


แผ่นดินจงเทียนคือดินแดนต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ พลังปราณฟ้าดินเข้มข้นอย่างที่สุด ทรัพยากรการฝึกฝนนานาชนิดก็อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เทียบกับแผ่นดินอวิ๋นชวนที่เป็นบ้านเกิดของเขาแล้ว เรียกได้ว่าที่หนึ่งคือฟ้า อีกที่หนึ่งคือดิน


ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดอยู่เสมอว่าแผ่นดินจงเทียนนับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนของมนุษย์แล้ว เมื่อฟังความนัยจากในคำพูดนี้ของอินจิ่วหลิง หรือว่าจะยังมีโลกที่มีระดับสูงกว่าแผ่นดินจงเทียนอยู่อีก?


อินจิ่วหลิงไม่ตกใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของหลิ่วหมิงสักนิด สนใจแต่พูดของตัวเองต่อไป


“นับตั้งแต่ค้นพบเศษซากของโลกบนในสมัยบรรพกาล ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อวัฏจักรวนเวียนทุกสามหมื่นปี พลังที่กั้นกลางระหว่างเขตแดนของซากปรักหักพังกับแผ่นดินจงเทียนจะถูกพลังงานลึกลับสายหนึ่งลดทอนลง บรรดานิกายกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายบนโลกมนุษย์ต่างฉวยโอกาสหายากที่นานปีจะมีสักครั้งนี้ ใช้สมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละแห่งเปิดทางไปสู่ซากปรักหักพังของโลกบน”


หลิ่วหมิงฟังมาถึงตรงนี้ ขณะที่ตกตะลึง ในใจก็คาดเดาเนื้อหาหลังจากนี้ได้อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เอ่ยปากขัด เพียงฟังต่อไปอย่างนิ่งสงบ


“แม้เศษซากของโลกบนนี้จะเป็นเพียงซากปรักหักพังของโลกแห่งหนึ่ง แต่ด้านในมีสมบัติแห่งฟ้าดินมากมายเพราะพลังปราณฟ้าดินของมันเหนือกว่าโลกมนุษย์ และมีวัตถุจิตวิญญาณล้ำค่าจำนวนไม่น้อยที่สูญหายไปจากโลกมนุษย์นานแล้ว รวมถึงมรดกวิชาและอาวุธเวทที่ผู้แข็งแกร่งในสมัยก่อนของโลกใบนี้ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นด้วยเหตุนี้กลุ่มอำนาจและสำนักนิกายที่มีพลังเพียงพอเปิดทางเชื่อมได้ล้วนจะส่งศิษย์จำนวนหนึ่งเข้าไปค้นหารวบรวมสมบัตินานาชนิดด้านในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับระดับดาราพยากรณ์และระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งในนั้นยิ่งปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด โชควาสนาเช่นนี้เป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายหมื่นปียากจะพานพบ นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียนย่อมเป็นเช่นนี้ดุจเดียวกัน ระยะนี้นิกายเริ่มตระเตรียมดำเนินการแล้ว คนระดับสูงของยอดเขาต่างๆ ก็ตีกลองพร้อมรบคัดเลือกศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งเตรียมส่งเข้าไปในเศษซากของโลกบนแล้ว ฟังมาถึงตรงนี้ คิดว่าเจ้าคงจะเดาสาเหตุที่อาจารย์เรียกได้แล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“เหตุใดจึงให้แต่ศิษย์สายในเข้าไป? หากเป็นการค้นหาสมบัติ ส่งศิษย์ลับไปไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสมากกว่าหรือ?” หลิ่วหมิงหักห้ามความประหลาดใจในใจแล้วอ้าปากเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น


“การเปิดทางเชื่อมไปยังเศษซากของโลกบนต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล และเนื่องจากพลังของเขตแดนจำกัดไว้ จำนวนคนและระดับพลังของผู้ที่จะเข้าไปในทางเชื่อมแต่ละแห่งได้จึงล้วนถูกจำกัด ระดับพลังสูงสุดจำกัดอยู่ที่ระดับแก่นแท้ แม้ยิ่งระดับพลังสูง ความปลอดภัยจะมากขึ้นอยู่บ้าง แต่จำนวนคนที่เข้าไปได้ก็จะยิ่งน้อยลงตาม โอกาสจะค้นหาสมบัติพบก็ยิ่งต่ำลงไปอีก เทียบกันแล้วระดับพลังยิ่งต่ำ จำนวนคนที่เข้าไปยังโลกบนจึงจะมากขึ้น ในทางทฤษฎีโอกาสที่จะค้นหาสมบัติพบย่อมจะเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยด้วย โดยทั่วไปแล้วศิษย์ระดับแก่นแท้คนหนึ่งจะแลกให้ศิษย์ระดับผลึกเข้าไปได้สิบคน จากประสบการณ์ของนิกายเราก่อนหน้านี้ ส่งศิษย์ระดับแก่นแท้คนสองคนเข้าไปพร้อมกับศิษย์ระดับผลึกยี่สิบสามสิบคนเหมาะสมที่สุด” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอธิบายช้าๆ


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ในใจก็ลอบพยักหน้า จัดการเช่นนี้เหมาะสมยิ่งจริงๆ


“แม้การเข้าไปเศษซากของโลกบนจะอันตรายมาก สิ้นชีวิตอยู่ข้างในง่ายดายยิ่ง แต่หลังกลับมาสามารถเก็บสมบัติที่ตนเองต้องการจำนวนหนึ่งไว้ได้ ดังนั้นสิทธิในการเข้าไปจึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง จากที่อาจารย์รู้มา ยอดเขาใหญ่ต่างๆ แนะนำศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมาแล้วไม่น้อย เนื่องจากจำนวนคนมีจำกัดจึงต้องคัดเลือกเพื่อกำหนดรายชื่อคนที่จะเข้าไปด้านใน แต่ทางท่านประมุขถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้วกำหนดให้เจ้าไป” อินจิ่วหลิงเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็มีความภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อย


“ทราบแล้ว ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดรอบหนึ่งก็รู้ว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธภารกิจครั้งนี้ได้แน่นอนจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยตอบด้วยเสียงนอบน้อมในทันที


“ดีมาก อาจารย์รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางทำให้ยอดเขาเราผิดหวัง การเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้ นอกจากสี่ยอดนิกายใหญ่ กลุ่มอำนาจเช่นหุบเขาปีศาจสวรรค์ หอเป๋ยโต่วล้วนจะส่งคนเดินทางไป ตระกูลและนิกายสำนักที่ไม่มีความสามารถจะเปิดทางเชื่อมเองเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านี้ ส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเข้ามาในคณะเดินทางของกลุ่มอำนาจใหญ่ เพื่อค้นหาสมบัติด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ จากบันทึกประวัติศาสตร์ลับของนิกายในอดีต ด้านในเศษซากของโลกบนแห่งนี้จะมีผู้แข็งแกร่งจากกลุ่มอำนาจใหญ่ของแผ่นดินอื่นปรากฏตัวด้วย ในหมู่พวกเขาเหล่านั้นจะมีคนต่างเผ่า เผ่าปีศาจไปจนถึงคนของเผ่ามารมากมาย” หลังจากอินจิ่วหลิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็กำชับด้วยสีหน้าจริงจังอีกหน


“ต่างเผ่า คนของเผ่ามารหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกใจ


“ไม่ผิด อย่างไรเมื่อถึงเวลาแผ่นดินอื่นเช่นแผ่นดินหมานฮวงกับแผ่นดินว่านหมัวล้วนจะเชื่อมต่อกับซากปรักหักพังได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าอันตรายหนักหนา จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ แม้พลังของเจ้าแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ ต้องระวังให้มาก สิ่งเหล่านี้คือตัวช่วยจำนวนหนึ่งที่อาจารย์มอบให้เจ้า เจ้าจงพกติดตัวไว้ เตรียมไว้เผื่อเวลาที่ต้องใช้” อินจิ่วหลิงเอ่ยพลาง ในมือก็ทอแสงสีเงิน ยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งปรากฏออกมาแล้วโยนไปให้หลิ่วหมิง


“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงรับมาอย่างนอบน้อม เขาใช้จิตสัมผัสแผ่เข้าไป ด้านในยันต์เก็บของคือยันต์ใสแววววาวสองแผ่นกับขวดหยกสีขาวใบหนึ่ง


ดวงตาเขาเปล่งประกาย ยังไม่ต้องพูดถึงของด้านในขวดหยก แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากยันต์สองแผ่นนี้เห็นชัดว่าคล้ายคลึงกับยันต์เคลื่อนย้ายที่ปีศาจพันมายาเคยใช้


“นี่คือ ‘ยันต์แหวกมิติ’ สองแผ่น ใช้แหวกมิติระยะใกล้เพื่อหนีให้พ้นอันตรายได้ ส่วนในขวดหยกคือโอสถเก้าลี้ลับหวนคืนปราณระดับธรรมดาห้าเม็ด ฟื้นคืนพลังเวทจำนวนหนึ่งได้ในชั่วลมหายใจ เอาไว้ใช้ระหว่างต่อสู้ได้” อินจิ่วหลิงเอ่ยเรียบๆ


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ดีใจยิ่งนัก


เขามีพลังไว้ใช้รักษาชีวิตไม่มาก แต่มียันต์สองแผ่นนี้กับโอสถหนึ่งขวดนี้เขาย่อมวางใจขึ้นมาก


“ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าเอง ก่อนจะเข้าไปในเศษซากของโลกบน นิกายยังจะมีของมอบให้อีก ระยะนี้เจ้าก็รอคำสั่งอยู่ในถ้ำที่พักให้ดีเถิด” อินจิ่วหลิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


“ศิษย์จะจดจำคำสั่งของอาจารย์ให้มั่น!” หลังจากหลิ่วหมิงคำนับอินจิ่วหลิงรวมถึงผู้อาวุโสเถียนครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเร็วเดินไปทางประตูของวิหาร

 

 

 


ตอนที่ 895 แขกผู้มาเยือน

 

หลังจากร่างของหลิ่วหมิงออกจากวิหารไป ผู้อาวุโสเถียนที่อยู่ข้างกายอินจิ่วหลิงก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ


“การเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้เป็นโอกาสที่หายากอย่างที่สุด น่าเสียดายที่เสี่ยวอู่เข้าไปในทางปีศาจร้ายจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่กลับมา มิเช่นนั้นหากนางกับหลิ่วหมิงร่วมมือกัน ยอดเขาลั่วโยวของพวกเราจะต้องทำให้คนตะลึงแน่นอน”


“เสี่ยวอู่พลาดครั้งนี้ไปน่าเสียดายก็จริง แต่ศิษย์น้องวางใจเถิด มีหลิ่วหมิงอยู่ ครั้งนี้ยอดเขาลั่วโยวของพวกเราไม่มีทางกลับมามือเปล่า!” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ


ข่างลือเกี่ยวกับเศษซากของโลกบนแพร่ไปทั่วนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ว่าศิษย์สายในหรือสายนอกล้วนเริ่มคุยเรื่องนี้กันอย่างออกรส


อย่างไรนี่ก็เป็นโชควาสนาใหญ่หลวงที่สามหมื่นปีจะเวียนมาถึงครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่รู้มีศิษย์ในนิกายเท่าไรปรารถนาแต่ไม่อาจเอื้อม


ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวที่หลิ่วหมิงได้รับเลือกให้เดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้จึงรั่วออกไป เขาเพิ่งกลับมาถึงถ้ำที่พักได้ไม่นานก็มีศิษย์ไม่น้อยเดินทางมาเยี่ยมเยียน นี่ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้รู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่ง


หลังจากเขาเอ่ยวาจาอ้อมค้อมปฏิเสธผู้คนไปหลายรอบ เขาจึงปิดประตูใหญ่ของถ้ำที่พักเสียจนได้นอนหลับสุขอุราหนึ่งคืน ตอนนี้ถึงตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า จัดการวางแผนสำหรับการเดินทางไปยังซากปรักหักพังที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


เขาเดินทางไปชั้นสี่ของหอเก็บคัมภีร์ก่อนเพื่ออ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


เป็นดังเช่นที่อินจิ่วหลิงพูด เศษซากของโลกบนนับว่าเป็นความลับสุดยอดในนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์พบไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้อความสั้นๆ กระจัดกระจายที่คนรุ่นก่อนบันทึกไว้


ที่จริงนี่ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก อย่างไรการเดินทางไปยังซากปรักหักพังครั้งก่อนก็คือเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว ผ่านช่วงเวลามายาวนานเช่นนี้ย่อมทำให้คนส่วนใหญ่ลืมเลือนเรื่องราวไป


แต่จากกองข้อมูลที่กระจัดกระจาย เขาก็ยังพอเข้าใจสภาพด้านในซากปรักหักพังได้อยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นการเดินทางไปยังซากปรักหักพังครั้งนั้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย แม้แต่ศิษย์ระดับแก่นแท้ที่นำคณะเดินทางไปคนหนึ่งก็ยังสิ้นชีพอยู่ข้างใน


นี่ทำให้หลิ่วหมิงพรั่นพรึงยิ่งนัก รู้ชัดถึงความอันตรายของการเดินทางครั้งนี้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม


จากนั้นเขาก็เดินทางไปตลาดของนิกายเพื่อจัดการของที่ได้มาจากผู้ฝึกฝนชั่วร้ายก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็ซื้อหาตัวช่วยอย่างเช่นยันต์หลบหนีระดับสูงจำนวนหนึ่ง


โอสถรักษาอาการบาดเจ็บ แก้พิษและฟื้นพลังปราณก็ย่อมต้องซื้อหาเอาไว้ไม่น้อยด้วย


สรุปก็คือขอเพียงเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ในซากปรักหักพังได้ เขาล้วนตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ


ขณะที่หลิ่วหมิงวุ่นวายเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปเศษซากของโลกบนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในนิกายก็ค่อยๆ กำหนดรายชื่อคนที่เดินทางไปซากปรักหักพังได้ลงตัว


ศิษย์ที่ได้รับเลือกย่อมเป็นศิษย์หัวกะทิผู้โดดเด่นจากยอดเขาต่างๆ ของสายใน พวกเขาล้วนเป็นศิษย์คนสำคัญที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดของแต่ละยอดเขา และพวกเขาต่างก็ทยอยได้รับมอบสมบัติและโอสถนานาชนิดไว้ป้องกันตัว


หลังจากฮือฮาตอนเริ่มแรกอยู่พักหนึ่ง ต่อมาทั้งเทือกเขาหมื่นวิญญาณก็สงบลงอีกครั้ง ทุกคนล้วนรอคอยอย่างนิ่งสงบให้ทางเชื่อมไปเศษซากของโลกบนเปิดออก


วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องลับอย่างเงียบสงบ ทันใดนั้นประตูใหญ่ของถ้ำที่พักก็มีเสียงเคาะดังขึ้น


หลายวันนี้มีคนมากมายมาเยี่ยมเยียน แต่เขาคร้านจะสนใจจึงเมินเฉยเสีย


ทว่าเสียงเคาะประตูครั้งนี้ช่างตื๊อยิ่ง ทุกชั่วเวลาดื่มชาครึ่งถ้วยจะดังขึ้นครั้งหนึ่ง


สักพักหนึ่งในที่สุดเสียงก็เงียบไป แต่มีเสียงดังวิ้งตามมาครั้งหนึ่งพร้อมกับที่ยันต์ถ่ายทอดเสียงสีม่วงอ่อนแผ่นหนึ่งลอยเข้ามา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเดินออกมาจากในห้องลับ เขาคว้ายันต์สีม่วงกลางอากาศมาไว้ในมือจากนั้นส่งจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน


ครู่ต่อมาสีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป เขาสาวก้าวเดินมาถึงประตูถ้ำที่พักแล้วสะบัดมือเปิดประตูใหญ่ออก


ด้านนอกประตูใหญ่ หญิงสาวงดงามเรือนร่างอรชรสวมชุดสีม่วงรัดกุมสองนางยืนเคียงกัน ดวงเนตรงามมองมาทางหลิ่วหมิงด้านในประตูอย่างพร้อมเพรียง พวกนางก็คือโอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองพี่น้องนั่นเอง


“พี่หลิ่ว นับแต่จากกันที่เทือกเขาหยกฝันก็ไม่ได้พบกันเสียนาน” โอวหยางเชี่ยนทัดเส้นผมงามข้างใบหูแล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา


“แม่นางโอวหยางทั้งสอง ข้าเสียมารยาทแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือพลางเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย


“จิ๊ๆ พี่หลิ่วไม่เสียทีถูกเรียกขานว่าศิษย์สายในอันดับหนึ่งแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ วางมาดใหญ่โตเช่นนี้เชียว พวกเราพี่น้องเคาะประตูอยู่ตรงนี้ตั้งหนึ่งเค่อแล้ว หากไม่ใช่เพราะยันต์ถ่ายทอดเสียงของพี่เชี่ยน พี่หลิ่วก็คงไม่ยอมลดเกียรติออกมาพบหน้าพวกเราแล้วกระมัง” โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้างยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย วาจาจิกกัดอยู่บ้าง


“ฉินเอ๋อร์…” โอวหยางเชี่ยนดึงโอวหยางฉินเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียกเบาๆ


“พี่เชี่ยน สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ยามนั้นเขามาเยือนเขาหยกฝัน พวกเราต้อนรับเป็นแขกให้เกียรติอย่างดี ผู้ฝึกฝนหลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ท่านว่าใช่หรือไม่?” โอวหยางฉินไม่สนใจโอวหยางเชี่ยนสักนิด ดวงตาจับจ้องบนร่างหลิ่วหมิงไม่ละสายตา พลางเบ้ปากถามขึ้นมา


“ผู้แซ่หลิ่วต้อนรับไม่สมควรเอง ขอแม่นางโอวหยางทั้งสองอย่าได้ถือโทษ เพียงแต่พักนี้ผู้คนมาเยี่ยมเยียนมากมายนัก ข้าทนรำคาญไม่ไหวจึงต้องปิดประตูใหญ่ของถ้ำที่พักแห่งนี้ไว้ แม่นางทั้งสองเชิญเข้ามาพูดคุยกันเถอะ สถานที่คับแคบอยู่บ้าง ทั้งสองท่านอย่าได้หัวเราะ” หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันกายเชิญสตรีทั้งสองนางเข้ามาในถ้ำที่พัก


“พี่หลิ่วล้อเล่นแล้ว พวกเราเป็นผู้ฝึกฝนจะใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร” โอวหยางเชี่ยนยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาในถ้ำที่พัก ทว่าหลังจากมองสำรวจรอบหนึ่ง ในดวงตาก็มีแววตาตกตะลึงอยู่นิดๆ


ถ้ำที่พักแห่งนี้เป็นที่พักซึ่งเรียบง่ายจนไม่อาจเรียบง่ายไปกว่านี้ได้อีกแล้วจริงๆ แม้เก็บกวาดสะอาดยิ่งนัก แต่เรียกว่ามีเพียงผนังเปล่าสี่ด้านจะเหมาะสมกว่า ห้องโถงใหญ่สำหรับรับแขกตรงหน้า มีเพียงโต๊ะน้ำชากับเก้าอี้ธรรมดาไม่กี่ตัววางอยู่เท่านั้น


ของประดับบนกำแพงแทบไม่มี  มีเพียงหินจันทราไม่กี่ก้อนฝังอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ให้ความสว่างแก่ห้องโถงใหญ่แห่งนี้


แม้เหล่าผู้ฝึกฝนส่วนมากไม่แสวงหาความสุขทางวัตถุ แต่ถ้ำที่พักอันเรียบง่ายเช่นนี้อย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็พบได้น้อยยิ่ง


สองพี่น้องโอวหยางสบตากันครั้งหนึ่ง พวกนางต่างมองเห็นความประหลาดใจเล็กน้อยในดวงตาของอีกฝ่าย จินตนาการยากอย่างยิ่งว่าผู้ที่ถูกเรียกขานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์สายในจะอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้


หลิ่วหมิงกลับไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง หลังจากเขายกชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งมาให้ทั้งสองคน เขาก็นั่งลงบนตำแหน่งเจ้าบ้านของห้องโถงรับแขกแล้วเอ่ยขึ้นว่า


“ทั้งสองท่านเดินทางไกลหมื่นลี้มายังเทือกเขาหมื่นวิญญาณเพื่อพบข้า พูดตามความจริงแล้วเรื่องนี้ทำให้ข้าค่อนข้างประหลาดใจยิ่งนัก”


โอวหยางเชี่ยนเก็บความตกตะลึงในใจไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สองตัวพร้อมกับโอวหยางฉิน จากนั้นหัวเราะแผ่วเบาเอ่ยขึ้นว่า


“ทำไมเล่า? พี่หลิ่วไม่อยากพบหน้าพวกเราพี่น้องหรือ?”


“แม่นางโอวหยางพูดอันใด ก่อนหน้านี้ที่เขาหยกฝัน ทั้งสองท่านช่วยเหลือข้าไว้มากนัก แม้ข้าไม่ใช่วิญญูชนคนดีอันใด แต่ข้าก็รู้ว่าบุญคุณต้องตอบแทน” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ


“ได้ยินพี่หลิ่วพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจ ไม่ปิดบังพี่หลิ่ว ที่จริงพวกเราพี่น้องมาเยือนนิกายยอดบริสุทธิ์ครานี้เพื่อเดินทางไปยังเศษซากของโลกบน ตระกูลโอวหยางของเราไม่มีความสามารถจะเปิดทางเชื่อมสู่โลกบน เพราะนิกายของท่านกับตระกูลของเรามีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด ครั้งนี้ตระกูลจึงจะส่งพวกเราสองพี่น้องเข้าไปยังเศษซากของโลกบนด้วยกันกับศิษย์ของนิกายท่านเพื่อค้นหาโชควาสนา” โอวหยางเชี่ยนหุบยิ้ม นางมองโอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


กระทั่งตระกูลโอวหยางหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่อันยิ่งใหญ่ก็ยังไม่อาจเปิดทางเชื่อมไปสู่เศษซากของโลกบนได้เพียงลำพัง ข้อมูลนี้เผยให้เห็นว่านอกจากสี่ยอดนิกายใหญ่ก็คงมีเพียงกลุ่มอำนาจเช่นหุบเขาปีศาจสวรรค์รวมถึงหอเป๋ยโต่วที่อาศัยกำลังของนิกายเปิดทางเชื่อมได้เพียงลำพังอย่างแท้จริง


ส่วนความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองกลุ่มอำนาจที่โอวหยางเชี่ยนพูดถึง คิดว่าตระกูลโอวหยางคงแอบมอบผลประโยชน์ที่สมน้ำสมเนื้อให้แก่นิกายบริสุทธิ์กระมัง สองสาวถึงได้ครอบครองสิทธิในการเดินทางไปครั้งนี้


ในใจหลิ่วหมิงใคร่ครวญเรื่องราวบางอย่างในใจ แต่บนใบหน้ายังคงรักษาความสงบนิ่งไว้


“พวกเราพี่น้องมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ ประการแรกเพื่อทักทายพี่หลิ่ว อีกเหตุผลหนึ่งคือก่อนออกเดินทาง หัวหน้าตระกูลเขียนจดหมายฉบับหนึ่งฝากข้ามามอบให้พี่หลิ่ว” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยพลางหยิบจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งออกมา


หลิ่วหมิงอึ้งไปเล็กน้อยหลังจากนั้นจึงยื่นมือไปรับจดหมาย เขาดึงกระดาษจดหมายด้านในออกมากวาดอ่านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสายตาก็ทอประกายพักหนึ่ง


“แม่นางโอวหยางทั้งสองได้อ่านเนื้อหาในจดหมายนี้แล้วหรือ?” หลังหลิ่วหมิงอ่านจบก็พลันถามขึ้นมา


“ก่อนออกเดินทางหัวหน้าตระกูลบอกกับพวกเราพี่น้องว่า ตอนพี่หลิ่วหยิบยืมกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สัญญาไว้ว่าจะทำงานชิ้นหนึ่งให้กับตระกูลโอวหยาง ดังนั้นหัวหน้าตระกูลจึงขอให้พี่หลิ่วพยายามปกป้องความปลอดภัยของพวกเราสองคนระหว่างการเดินทางครั้งนี้ นับว่าชดใช้สัญญาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ภายหลังยังจะมีค่าตอบแทนให้อีกต่างหาก” โอวหยางฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


“ในเมื่อทั้งสองท่านทราบเนื้อหาในจดหมายแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็คุยกันง่าย แต่ข้ามีข้อสงสัยเรื่องหนึ่ง หัวหน้าตระกูลโอวหยางทราบเรื่องเศษซากของโลกบนกำลังจะเปิดออกตั้งแต่หลายปีก่อน ยามข้าเดินทางไปเขาหยกฝันจึงจัดการทุกสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้าหรือ?” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้น


“ไม่ปิดบังพี่หลิ่ว เดิมทีหัวหน้าตระกูลอยากขอให้พี่หลิ่วทำงานใหญ่อีกเรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางของพวกเรา แต่เนื่องจากเศษซากของโลกบนเปิดออกกะทันหัน ตระกูลถึงเปลี่ยนการตัดสินใจฉับพลัน” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยอธิบาย


“เป็นเช่นนี้เอง ยามนั้นข้าให้สัญญาไว้ที่เขาหยกฝันแล้วย่อมไม่มีทางกลับคำ การเดินทางไปซากปรักหักพังครั้งนี้ ผู้แซ่หลิ่วจะพยายามสุดกำลัง แต่หากทั้งสองท่านพลัดหลงไป ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับผู้แซ่หลิ่ว ย่อมไม่อาจนับว่าข้าผิดสัญญาได้…” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยสีหน้านิ่งขรึม


“เรื่องนี้แน่นอน”


พี่น้องโอวหยางฟังแล้วพลันเผยสีหน้ายินดี สตรีทั้งสองนางรู้จักนิสัยของของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ในเมื่อเขารับปากแล้วย่อมไม่ทำสิ่งที่ผิดคำพูดแน่นอน


“อีกประการผู้แซ่หลิ่วสัญญาได้แค่จะปกป้องในขอบเขตความสามารถของตน หากพบอันตรายที่กระทั่งข้าเองก็จัดการไม่ได้ สหายทั้งสองท่านก็ยังต้องเตรียมตัวปกป้องตนเองไว้ด้วย” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริมอีกครั้ง


“หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงย่อมได้แต่โทษพวกเราสองพี่น้องวาสนาน้อยแล้ว ไม่กล้ากล่าวโทษพี่หลิ่ว ทว่าเรื่องจะรักษาชีวิตเช่นไร พวกเราพี่น้องก็เชื่อมั่นในตนเองอยู่บ้าง” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง


หลิ่วหมิงได้ฟังบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตกลงตามนี้ ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมีที่พักแล้วหรือยัง ต้องการให้ข้าช่วยจัดการให้สักหน่อยหรือไม่?”


“นิกายของท่านจัดการให้พวกเราพี่น้องพักที่ยอดเขาเลื่อนลอยแล้ว ได้ยินว่าคู่รักฝึกฝนของพี่หลิ่วก็เป็นศิษย์น้องคนหนึ่งแห่งยอดเขาเลื่อนลอยนามว่าเจียหลาน ไม่ทราบยามใดจะแนะนำให้พวกเราพี่น้องรู้จักสักหน่อยเล่า?” ดวงเนตรงามของโอวหยางเชี่ยนทอประกายวิบวับแล้วยิ้มจางๆ เอ่ยขึ้น


หลิ่วหมิงได้ยิน พลันรู้สึกกระอักกระอ่วน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)