อยากกินไหมล่ะ 894-895

 บทที่ 894 แก่ตัวแล้วโง่ลง

“เอ้อ ดี ดี ดี!” คุณปู่เจียตอบรับคำทักทาย


หลิงหงทำหน้าที่ในส่วนของเขาแล้วยิ้มออกมา ตอนนี้เขาก็มีคุณปู่คนใหม่แล้ว แล้วคุณปู่คนเก่าของเขาเล่า? แน่นอนว่าเขาเก็บงำความคิดนี้ไว้กับตัวเองโดยไม่กล้าพูดออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าอายเกินไปหากถูกปู่ตัวเองตีเอาหน้าร้าน


“งั้นฉันจะรับไว้ก็แล้วกันนะ ฮ่าฮ่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางหัวเราะอย่างมีความสุข


ถึงอย่างไรคุณปู่เจียก็ไม่มีลูกหลานเป็นของตนเอง ในทำนองเดียวกันก็มีทหารผ่านศึกอยู่หลายคนที่กลับจากสงครามในตอนนั้นแล้วพิการและไม่มีบุตรหลานคอยดูแล คุณปู่เจียจึงรู้สึกโชคดีมากที่หลานชายของสหายร่วมอุดมการณ์เรียกเขาว่าคุณปู่ จู่ๆก็มีหลานชายขึ้นมา เขารู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน


“ผมจริงจังนะครับ ในตอนนั้นถ้าไม่มีคุณ ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้หรอกครับ” คุณปู่หลิงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างจริงจัง


“อืม อืม เลิกพูดเรื่องอดีตซ้ำๆซากๆได้แล้วน่า นายพูดมากอย่างกับตัวเองเป็นวิทยุอย่างนั้นแหละ” คุณปู่เจียกล่าวพลางโบกมือ


เมื่อหลิงหงเห็นว่าคุณปู่เจียดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องราวในอดีตเลยขณะที่คุณปู่หลิงกำลังพูดพร่ำถ้อยคำเดิมอีกครั้ง เขาก็พูดขึ้นมา


“ปู่เจีย มุขไข่ข้นหน้าต้นหอมมันอะไรกันเหรอครับ?” หลิงหงถามขึ้น


แน่นอนว่าหลิงหงย่อมมีเหตุผลที่ขัดจังหวะการสนทนาขึ้นมา ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ค่อนข้างอายุมากแล้ว คงไม่ดีแน่ที่จะให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกและสะเทือนใจมากเกินไปนัก


“เขาไม่ยอมเล่าให้นายฟังหรอก นั่นเป็นเรื่องตลกมากเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวหยอกเย้า


“ครับ ปู่ไม่เคยเล่าให่เราฟังเลย แต่พอเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก็จะพูดถึงไข่ข้นหน้าต้นหอมออกมาน่ะครับ สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือคนที่หยางโจวมีนิสัยชอบพูดว่าหัวหอมข้นหน้าต้นหอมซึ่งเป็นศัพท์สแลงของคำว่า ‘โอ้พระเจ้า! น่าทึ่งสุดๆไปเลย!’ ” หลิงหงกล่าวพลางยักไหล่


“ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นที่มาของไข่ข้นหน้าต้นหอมของปู่นายยังไงล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางพยักหน้า


“แต่ไข่ข้นหน้าต้นหอมต่างจากหัวหอมข้นหน้าต้นหอมนี่ครับ” หลิงหงถามขึ้น


“เลิกสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นได้แล้วน่า ตั้งใจต่อคิวเถอะไม่งั้นพวกเราคงจะได้กินทีหลังแน่ๆ” คุณปู่หลิงรีบขัดจังหวะขึ้นมาทันทีเพื่อเลี่ยงมิให้คุณปู่เจียเล่าเรื่องมุขเกี่ยวกับความสิ้นเปลืองของเขา


“มันก็ไม่ใช่ความลับสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ฉันต้องให้ความกระจ่างในเรื่องนั้นกับหลานชายของนายนะ นายก็แค่ตะกละมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางชี้ไปที่คุณปู่หลิง


“ผู้คุมเจีย เปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะครับ” คุณปู่หลิงกล่าวอย่างอับจนหนทาง


“แต่ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอเรื่องนั้นเชียวนะ” คุณปู่เจียบ่นพึมพำ จากนั้นเขาก็พูดเสียงดังกับหลิงหง “ในตอนนั้นมีทหารคนหนึ่งมาจากหยางโจว เขามักจะเอาเอาแต่พูดซ้ำๆว่า ‘หัวหอมข้นหน้าต้นหอม’ แต่ปู่ของนายถือโอกาสเปลี่ยนหัวหอมเป็นไข่เพราะเขาไม่ชอบหัวหอมน่ะสิ”


“ฮ้า?” หลิงหงจ้องมองคุณปู่ของเขาอย่างพูดไม่ออก


“พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่และกำลังทำสงครามกับต่างชาติ พวกพ่อครัวย่อมไม่ปล่อยให้วัตถุดิบอย่างต้นหอมเน่าเสียไปง่ายๆหรอก ส่วนใหญ่พวกเราจะมีแค่มันฝรั่งหรือกะหล่ำปลีแต่ไม่มีเครื่องเทศ ดังนั้นปู่ของนายจึงเริ่มพูดว่า ‘ไข่ข้นหน้าต้นหอม’ อยู่ทุกวี่ทุกวัน” คุณปู่เจียกล่าวขึ้นมา


“อย่างกับตอนนั้นคุณไม่ใช่หนึ่งในพวกเราที่อยากกินไข่ข้นหน้าต้นหอมห่วยๆด้วยอย่างนั้นแหละ” คุณปู่หลิงบ่นพึมพำ


“แน่นอนว่าฉันก็อยากกินของห่วยๆแบบนั้นด้วย แต่ในตอนนั้นนายเป็นเพียงคนเดียวที่เอาแต่พูดซ้ำๆไง” คุณปู่เจียกล่าว


ชายชราทั้งสองคนกับหลิงหงยังคงสนทนากันต่อไปโดยไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกเขาแต่อย่างใด บรรดาลูกค้าทุกคนรอบตัวพวกเขาต่างกำลังฟังอยู่เงียบๆ


“เวลาอาหารค่ำใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว กรุณาต่อคิวรับหมายเลขของตัวเองด้วยนะคะ” เสียงของโจวเจียดังขึ้น


“ปู่ ปู่เจีย งั้นพวกเราจะยังกินอาหารที่นี่อยู่หรือเปล่าครับ?” หลิงหงถามขึ้นมา


“แน่นอนอยู่แล้ว ให้ปู่ของนายได้ลองชิไข่ข้นหน้าต้นหอมของเถ้าแก่หยวนดูบ้างสิ” คุณปู่เจียกล่าวขึ้น


“แต่ไม่มีอาหารจานนี้ในเมนูของเถ้าแก่หยวนน่ะสิครับ” หลิงหงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้


“ฉันก็คิดว่างั้นแหละ ดูเหมือนว่าวันนี้นายจะอดกินไข่ข้นหน้าต้นหอมเสียแล้วล่ะ หลิงหกน้อย” คุณปู่เจียกล่าวเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าอาหารจานนี้จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ในเมนูของหยวนโจว


“มันไม่ได้เป็นอาหารจานโปรดของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ คุณก็เอาแต่พูดถึงมันอยู่ได้” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา


“ได้ ได้ นายไม่ชอบอาหารจานนี้ นายแค่ชอบพูดถึงมันเฉยๆก็เท่านั้นเอง” คุณปู่เจียกล่าวพลางยิ้มให้


“อันที่จริงแล้วตอนอยู่ที่บ้านปู่ชอบกินไข่ข้นหน้าต้นหอมมากเลยล่ะครับ” หลิงหงโต้แย้งคุณปู่ของตนเอง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหนทั้งๆที่ไม่ได้ดื่มเหล้าย้อมใจเลย


“ดูสิ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่เอาแต่พูดถึงเรื่องนั้นสักหน่อย แม้แต่หลานชายของนายก็ยังรู้เลยว่านายชอบอาหารจานนั้นมากทีเดียว” คุณปู่เจียหยอกเย้าพลางยิ้มให้


“เจ้าเด็กคนนี้ทำเรื่องเข้าท่าเข้าทางเลยดีแต่เสียเวลาไปกับการพูดเรื่องไร้สาระอยู่นั่นแหละ” คุณปู่หลิงบ่น


พวกเขายังคุยกันต่อไปและไม่นานนักพวกเขาก็ได้หมายเลขของตัวเอง คุณปู่เจียเป็นคนพาคุณปู่หลิงไปรับหมายเลข


หยวนโจวหาได้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นนอกร้านแต่อย่างใดไม่ เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำ เขาก็เริ่มเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับออเดอร์ของบรรดาลูกค้า


“เวลาอาหารค่ำจะสิ้นสุดลงตอนสองทุ่ม งั้นฉันก็น่าจะไปถึงตรอกมงคลตอนสองทุ่มครึ่งแหละนะ ฉันจะได้ชมการแสดงที่นั่นก่อนที่จะถามว่ามีการแสดงมายากลด้วยหรือเปล่า” หยวนโจววางแผน


ใช่แล้วล่ะ หยวนโจววางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้นทันทีที่หลังจากเวลาอาหารค่ำ เมื่อทำเช่นนั้นเขาก็จะสามารถรู้ได้ว่าวันนี้จะมีมายากลใดขึ้นแสดงบ้าง


ไม่ว่าผู้ใดจะมองว่าการทำอาหารที่สาบสูญไปแล้วให้สำเร็จในสามวันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นสักเพียงใดก็ตาม แต่หยวนโจวก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด


หลิงหงมาถึงพร้อมกับคุณปู่หลิงค่อนข้างเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้หมายเลข แต่เมื่อได้หมายเลขของตัวเองแล้ว คุณปู่หลิงก็ผลักหลานชายออกไปแล้วเอาหมายเลขไปให้คุณปู่เจียแทน


ดังนั้นท่ามกลางคนกลุ่มแรกที่เข้าไปในร้านก็คือบรรดาลูกค้าขาประจำอย่างอู๋ไห่และชายชราทั้งสองคน หลิงหงจึงถูกผลักไปอยู่ในกลุ่มที่สองแทน


“เขาเป็นปู่ของฉันจริงๆใช่ไหมเนี่ย?” หลิงหงรำพึงออกมา


อีกด้านหนึ่งโจวเจียก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนที่จะเข้าร้านไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา


คุณปู่หลิงไม่เคยมาที่นี่ เมื่อเข้ามาข้างใน เขาก็พบว่าร้านเอามากๆเลยจึงไม่มีความคิดที่เขาจะนั่งลงแต่อย่างใด ชายชราทั้งสองคนที่เข้ามาก่อนพวกเขาย้ายไปนั่งอยู่อีกด้านของร้านและที่นั่งว่างๆสองที่ริมประตูก็ตกเป็นของชายชราทั้งสองคน


คุณปู่เจียกล่าวด้วยความเบิกบานใจว่า “ขอบใจนะเจ้าหนุ่ม”


ชายหนุ่มทั้งสองคนยิ้มให้แล้วไม่ได้พูดอะไร


จากนั้นคุณปู่เจียก็ลากคุณปู่หลิงให้มานั่งด้วยกัน แต่เขาด็ไม่ลืมที่จะทักทายหยวนโจวด้วย “เถ้าแก่หยวน วันนี้ผมพาลูกค้าคนใหม่มาด้วยแหละ นี่คือสหายร่วมอุดมการณ์ของผมเองล่ะ”


“สวัสดีครับ” หยวนโจวหันไปทักทายพวกเขาอย่างจริงจัง


“นี่คือสหายร่วมอุดมการณ์ของผมเอง หลิงหกน้อย นี่เถ้าแก่หยวน ทำอาหารเก่งมากเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวอย่างเบิกบานใจ


คุณปู่หลิงจะไม่รู้จักชื่อของหยวนโจวได้อย่างไรกันเล่า? เขายังจำเรื่องชาดำคีมุนได้อยู่เลยนะ แต่เนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี เขาจึงไม่รู้สึกอยากเอ่ยถึงเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทักทาย


เถ้าแก่หยวนเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เขารอดพ้นจากภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัว


“ปู่เจียกับคุณปู่อีกคน วันนี้อยากกินอะไรดีครับ?” หยวนโจวถามขึ้น


“ดูเมนูซิว่านายอยากกินอะไร ฉันจะเลี้ยงข้าวผัดไข่นายเอง” คุณปู่เจียเลื่อนเมนูไปให้คุณปู่หลิงด้วยความตื่นเต้น


ทันทีที่คุณปู่หลิงเห็นราคาบนเมนู คุณปู่เจียก็หยอกเย้าว่า “วันนี้พวกเราไม่ได้มากินไข่ข้นหน้าต้นหอมหรอกนะ แต่ยังไงพวกเราก็ยังสามารถใส่ไข่ได้นะ”


“ทำไมคุณยังเอาแต่พูดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกเล่า?” คุณปู่หลิงตอบอย่างอับจนหนทาง


“ข้าวผัดไข่สองที่ ไม่เอาเซ็ตอาหารนะครับ” คุณลุงเจียกล่าวขึ้น


“โอเค เชิญนั่งก่อนนะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเข้าครัวไป


ทันทีที่หยวนโจวออกไป คุณปู่หลิงก็จ้องมองไปทางคุณปู่เจียด้วยดวงตาแดงก่ำ


“ผู้คุมเจีย ทำไมคุณถึงกินแต่ข้าวผัดไข่ล่ะครับ? มันไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยนะครับ” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้น เขาสุดหายใจลึกๆแล้วพูดต่อไปว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่เอาเซ็ตอาหารด้วยล่ะครับ?”


“ก็เซ็ตอาหารมันแพงไปน่ะสิ ฉันจ่ายเงินให้ที่นี่ได้แค่เดือนละสองหรือสามพันหยวนเท่านั้นแหละในเมื่อฉันจะมาที่นี่แค่เดือนละสามครั้งเองนะ อย่างไรเสียอาหารที่เพิ่มเข้ามาในเซ็ตอาหารก็มีแค่ซุปสาหร่ายกับแครอทอีกนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง” คุณปู่เจียกล่าวพลางโบกมือ


คุณปู่หลิงไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อีกเมื่อเขาได้ยินคำว่าเดือนละสองหรือสามพันหยวนและเดือนละสามครั้ง เขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ว่ายังไงคุณก็ยังเป็นวีรบุรุษสงคราม คุณจะซื้อเซ็ตอาหารไม่ได้เชียวหรือไง?”


“ประเทศไหนงั้นรึ?”


“แล้วได้เงินบำนาญจากประเทศไหนล่ะครับ?” คุณปู่หลิงถามพลางลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น


“ฉันไม่ได้พิการเสียหน่อย ทำไมต้องให้ประเทศมาเลี้ยงกันด้วยเล่า?” คุณปู่เจียถามขึ้น


คุณปู่หลิงจึงตอบว่า “เงินบำนาญนั่นเป็นสิ่งที่คุณสมควรได้ต่างหากล่ะครับ!”


“นายแก่ตัวแล้วโง่ลงใช่ไหม? ในเมื่อฉันสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้วทำไมฉันต้องไปรับเงินบำนาญกันด้วยเล่า?” คุณปู่เจียกล่าวพลางกลอกตา


บทที่ 895 เรียนรู้มายากล

คุณปู่เจียกับคุณปู่หลิงไม่ได้คุยกันเสียงดังจึงไม่เป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นๆ อันที่จริงแล้วเดิมทีเสียงของคุณปู่เจียดังมากและมักจะพูดเสียงดังโดยไม่รู้ตัว เมื่อตอนที่เขามาที่ร้านหยวนโจวเป็นครั้งแรก เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับบรรยากาศอันเงียบเชียบ แต่โชคดีที่เขาหลังจากเขามาอีกไม่กี่ครั้งก็เริ่มคุ้นเคย


เพราะเสียงเบาๆของพวกเขา คุณปู่หลิงจึงกล้าที่จะถามคำถามสามข้อติดๆกันในที่สาธารณะ


ส่วนหลิงหงที่เพิ่งจะเข้ามาในร้านก็เจตนานั่งให้ห่างจากพวกเขาอยู่เงียบๆในตอนนั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวสวัสดีกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป


และในขณะเดียวกัน จุดประสงค์เดิมของคุณปู่หลิงที่มาร้านหยวนโจวก็ถูกลืมเลือนไปทันทีเพราะคุณปู่เจีย


ดังนั้นเวลาอาหารค่ำจึงผ่านไปด้วยความราบรื่น หลังจากมื้อค่ำ หลิงหงก็เห็นคุณปู่ของเขาเอารถลากของคุณปู่เจียกลับบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน


“เซินหมิน ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอช่วยดูร้านให้ทีนะ” หยวนโจวกล่าวทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายออกไป


“ได้ค่ะ คุณจะออกไปตอนนี้เลยใช่ไหมคะ?” เซินหมินพยักหน้าคามความเคยชินขึ้นมาเป็นครั้งแรก เธอเพียงแค่ถามขึ้นหลังจากรับรู้สิ่งที่หยวนโจวบอกแล้ว


“ผมมีเรื่องต้องทำน่ะ” หยวนโจวพยักหน้าพลางล้างมือในอ่างล้างมือแล้วเดินออกจากครัวไป


“รักษาตัวด้วยค่ะ เถ้าแก่หยวน” เซินหมินกับโจวเจียรับคำสั่ง “อืม เดินทางดีๆนะคะ!”


หยวนโจวพยักหน้าตอบโจวเจีย ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เขาก็หันหน้าไปหาเซินหมินแล้วกล่าวว่า “โอเค ถ้ามีอะไรที่จัดการไม่ได้ก็โทรหาผมนะ”


หลังจากนั้นหยวนโจวก็หันหลังแล้วเดินออกจากร้านด้วยฝีเท้าอันว่องไว


เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของหยวนโจวแล้ว เซินหมินก็รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอได้เห็นหยวนโจวรีบออกไปข้างนอกขนาดนั้น


แต่เมื่อก่อนถึงเขาจะเร่งรีบขนาดไหน หยวนโจวก็มักจะขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนชุดก่อนออกไป ถึงอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกลิ่นน้ำมันและควันหลังจากการทำงานมาตลอดค่ำ


“ดูท่าจะมีเรื่องด่วนแน่ๆ วันนี้เถ้าแก่หยวนถึงได้รีบมากเสียขนาดนั้น” เซินหมินบอกโจวเจีย


โจวเจียพยักหน้า “พวกนักดื่มก็ยังไม่มากันเลย”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันหรือเปล่านะ?” เซินหมินรู้สึกเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย เธอกำลังคิดว่าหากเกิดปัญหาจะสามารถช่วยเขาได้อย่างไร


“ถ้าตัดสินจากสีหน้าเถ้าแก่ของเราแล้ว เขาก็ดูสบายดีนี่นา ก็คงจะไม่เป็นไรหรอกน่า” โจวเจียกล่าวขึ้นมา แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเซินหมินหรือตัวเธอเองดี


“ฉันจะไปเตรียมเหล้าสำหรับเปิดผับก่อนนะ” เซินหมินกล่าวขึ้นหลังจากเธอพยักหน้าแล้ว


“โอเค ฉันจะจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์รอพวกเขาก็แล้วกันนะ” โจวเจียกล่าวอย่างกระตือรือร้น


“โอเค” เซินหมินตอบโดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไปคอยเฝ้าร้าน


ในยามปกติหยวนโจวจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วเธอก็จะไปเปิดร้าน และตอนนี้โจวเจียก็ต้องอยู่ที่นั่นแทนหยวนโจว


เนื่องจากวันนี้หยวนโจวไม่อยู่ โจวเจียจึงต้องอยู่ตรงประตูและรอให้บรรดาลูกค้ามาถึง


ดังนั้นเธอจึงเริ่มทักทายพวกนักดื่มทันทีที่พวกเขามาถึง


“สวัสดีค่ะคุณเหว่ย พี่เฉิน เชิญด้านในค่ะ” เมื่อมองเห็นสองคนที่ใกล้เข้ามา โจวเจียจึงกล่าวทักทายพวกเขา


“อืม” คุณเหว่ยคือบิดาของเว่ยเว่ยพยักหน้าเล็กน้อยให้โจวเจียแล้วเดินผ่านทิวทัศน์ที่เป็นกำแพงงดงามตระการตา


“ทำไมวันนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?” เฉินเหว่ยกวาดตามองไปรอบร้าน


“เถ้าแก่ออกไปข้างนอกค่ะ ฉันก็เลยต้องช่วยเฝ้าร้าน แล้วก็มีเหล้าพร้อมให้บริการอยู่ในผับด้วยนะคะ” โจวเจียรู้ใจเฉินเหว่ยดีมากทีเดียว เมื่อเธอเริ่มพูดก็จะพูดถึงเรื่องที่เฉินเหว่ยอยากรู้มากที่สุด


“ผมไม่เป็นห่วงเรื่องเหล้าหรอก แต่เรื่องที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือสภาพความเป็นอยู่ของชายโสดต่างหาก” เฉินเหว่ยพยักหน้าพลางอมยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย


เฉินเหว่ยย่อมไม่กล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าเถ้าแก่หยวนอยู่แล้ว เขาจะกล้าพูดเล่นเช่นนั้นก็ต่อเมื่อหยวนโจวไม่อยู่ที่นั่น


“พูดอย่างกับมีแฟนอย่างนั้นแหละ” ขณะที่กำลังบ่นอยู่นั้น โจวเจียก็กล่าวขึ้นมาว่า “เข้าใจแล้ว เชิญเลยค่ะ”


“เธอมันยัยตัวแสบ” หลังจากเฉินเหว่ยกล่าวเช่นนั้นแล้วเขาก็เดินเข้าผับไป


คนที่เพิ่งมาถึงหลังจากนั้นคือพวกนักดื่มที่ไม่ค่อยได้มาดื่มบ่อยๆนัก โจวเจียจึงกล่าวทักทายพวกเขาอย่างจริงจังแล้วนำทางพวกเขาเข้าประตูไป


โชคดีที่วันนี้มีพวกนักดื่มไม่เยอะสักเท่าไหร่นักมีแค่ห้าคนเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้ามาในร้านแล้ว โจวเจียจึงค่อยๆดึงประตูม้วนลงแล้วเดินไปที่ลานและมองขึ้นไป เธออยากรู้ว่าเซินหมินอยากให้เธอช่วยอะไรบ้างไหม


แต่เมื่อมองขึ้นไปเธอก็เห็นแค่ใบไผ่สีเขียวที่ส่งเสียงอยู่ในสายลม


“ไม่มีเวลาเหลือพอแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกนะ” โจวเจียตรวจสอบเวลาจากโทรศัพท์ของเธอแล้วตัดสินใจกลับไปก่อน


เธอต้องไปเข้าชั้นเรียนภาคค่ำ เวลาที่อยู่ที่นี่เพิ่งจะกินเวลาอาหารค่ำของเธอไป ถ้าหากเธอขึ้นชั้นบนไปอีก โจวเจียก็คงเข้าชั้นเรียนไม่ทันแน่ๆ


“ปัง” โจวเจียปิดประตูจากด้านนอกแล้วรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์อย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเวลาที่จะซื้ออะไรกินอีกแล้ว


“ฟู่ โชคดีที่มีรถเมล์เลยไม่ต้องรอนาน” โจวเจียตบหน้าอกตัวเองแล้วรู้สึกว่าช่างโชคดีมากเลย


อีกด้านหนึ่ง หยวนโจวลงจากรถตรงหัวมุมถนนเทียนเซียง


ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก มันเป็นเพราะถนนเทียนเซียงเป็นถนนสายวัฒนธรรมโบราณซึ่งค่อนข้างคับแคบ ผู้คนมาหาความสำราญกันอยู่มากมายและมีแม้แต่รถเมล์ผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน ผลก็คือทำให้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและยวดยานพาหนะตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงไม่มีคนขับคนไหนอยากขับเข้ามาด้านในสักเท่าไหร่นักหรอก และแน่นอนว่าหยวนโจวย่อมเลือกที่จะลงรถตรงริมถนนเนื่องจากการเดินเข้าไปข้างในเร็วกว่าขับรถไปเสียอีก


“ตึก ตึก ตึก” หยวนโจวที่สวมเสื้อคลุมทรงตรงแขนสอบแคบสีฟ้าอมเขียวเดินก้าวยาวๆไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคงในถนนที่เต็มไปด้วยอาคารยุคเก่าที่มีหลังคาโค้งขึ้นบน ระหว่างที่กำลังเดินไปข้างหน้าอยู่นั้น ตะเข็บสีเข้มปักลายดอกบัวตามขอบล่างก็ส่องแสงระยิบระยับเล็กน้อยแลดูงดงามยิ่งนัก


ดังนั้นทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองหยวนโจว แต่หยวนโจวกลับทำท่าทางราวกับว่าไม่ทันสังเกตเห็นเพียงแค่เดินมุ่งหน้าต่อไปที่โรงน้ำชาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่ได้รับการยืนยันด้วยตนเองแล้ว


“โรงน้ำชา” หยวนโจวมาถึงร้านน้ำชาที่ถูกเรียกว่าโรงน้ำชา


โรงน้ำชาก็เหมือนๆกับอาคารข้างเคียงที่ยังเป็นอาคารยุคเก่านั่นแหละ มันมีสองชั้นและตรงกลางก็มีไม้กระดานตั้งอยู่สูงๆตรงนั้นซึ่งแสดงชื่อโรงน้ำชาเอาไว้ บริกรสองคนที่แต่งกายในชุดคลุมตัวยาวและสวมหมวกจีนกำลังยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตู ทันทีที่พวกเขาเห็นหยวนโจวมุ่งหน้ามาที่โรงน้ำชา คนที่ตัวสูงกว่าก็เดินเข้ามาหาเขาในทันที


“มากี่ท่านครับ? จะดื่มชาหรือฟังเรื่องเล่าดีครับ?” บริกรคนที่ตัวสูงกว่าเอ่ยปากถามขึ้นอย่างแนบเนียน


“อย่างหลังน่ะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา


บริกรคนที่ตัวสูงกว่าพยักหน้าแล้วนำทางหยวนเข้าไปในโรงน้ำชา


“ฟังทางนี้! มีคนมาฟังเรื่องเล่า ไปเตรียมชาถ้วยใหญ่ๆมาเสิร์ฟด้วย” เมื่อพวกเขาเหยียบย่างเข้าประตูไป บริกรคนที่ตัวสูงกว่าก็ตะโกนขึ้นมา


“ทางนี้เลยครับ” ทันใดนั้นก็มีบริกรอีกคนออกมาพาหยวนโจวไปหาที่นั่ง


คราวนี้การแสดงยังคงดำเนินต่อไปในห้องโถงใหญ่ มันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของการยกถังน้ำเอาไว้บนศีรษะ ชายฉกรรจ์ที่แต่งกายในชุดเรียบๆตัวสั้นแบบจีนและดูเหมือนจะอยู่ในวัยราวๆห้าสิบหรือหกสิบเศษกำลังยกถังน้ำซึ่งกว้างยิ่งกว่าอ่างล้างมือแถมยังลึกเท่าแขนผู้ใหญ่เอาไว้บนศีรษะของเขา


“ยังแสดงอยู่ด้วยแฮะ” หยวนโจวรู้สึกโล่งอก


“ดี! ยอดเยี่ยม! สุดยอดไปเลย!” หยวนโจวเพิ่งจะได้ที่นั่งเอาเมื่อตอนที่ชายบนเวทีหมุนถังน้ำบนศีรษะไปสองครั้ง จากนั้นก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมไปรอบหนึ่ง


“ยอดเยี่ยมจริงๆ” หยวนโจวอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้


การแสดงดังกล่าวไม่เพียงต้องมีความแข็งแรงเท่านั้นแต่ยังต้องมีความแม่นยำและฝึกหนักมานานปี


หยวนโจวชมการแสดงขณะที่บริกรคอยเสิร์ฟน้ำชาให้เขาอยู่ทางด้านข้างเงียบๆ


“วันนี้คุณจะมีการแสดงมายากลไหมครับ?” ระหว่างพักการแสดง หยวนโจวก็เรียกบริกรเอาไว้แล้วถามขึ้นมา


“ช่างประจวบเหมาะอะไรอย่างนั้น! การแสดงต่อไปนี่แหละครับ” บริกรพยักหน้าแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม


“วันนี้เป็นการแสดงอะไรงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวรู้สึกดีใจ แต่ทว่าภายนอกเขายังคงถามอย่างไม่ใส่ใจ


“การแสดงมายากลย้ายที่น่ะครับ น่าสนใจแล้วก็อลังการมากเชียวล่ะ นี่คือรายชื่อการแสดงนะครับ ลองเอาไปดูสิครับ” ระหว่างที่พูดเช่นนั้นออกมา บริกรก็ยื่นแผ่นกระดาษมาให้


“โอเค ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วค้นหารายละเอียดของการแสดงมายากลทันที


การแสดงมายากลมีอยู่สามแบบคือ การย้ายที่ การลบด้วยมือ การยกแล้วก็การซ่อน และการแสดงต่อไปในวันนี้ก็คือกลห่วงจีนอันเป็นมายากลย้ายที่อย่างหนึ่ง


“การย้ายกลห่วงจีนงั้นเหรอ? น่าจะเป็นเทคนิคการใช้มือแหละนะ” หยวนโจวชักจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว


ถึงอย่างไรเขาก็อาจจะต้องตั้งใจเรียนรู้วิธีเตรียมการเพื่อแยกถั่วต่างๆออกจากถั่วสามสี


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)