องครักษ์เสื้อแพร 892-894
ตอนที่ 892 เหตุใด เหตุใด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่จะเคลื่อนกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองหลวง เดิมจางเฉิงที่เงียบไปก็ส่ายหน้า ทูลจริงจังว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยแม้เป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง แต่เคลื่อนกำลังก็ต้องมีราชโองการ ฝ่าบาทมีราชโองการเรียกกองกำลังหู่เวย หากกองกำลังหู่เวยเคลื่อนไหว ทหารเมืองจี้โจวเคลื่อนกำลัง ถึงกับทหารที่ซานตงและเหอหนานเคลื่อนกำลังด้วย มาล้อมกองกำลังหู่เวย อ้างว่าราชโองการปลอม อ้างว่าเป็นพวกกระหม่อมออกราชโองการ รอจนกองกำลังหู่เวยถูกล้อมไว้ ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไร!”
ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งอึ้งไปนาน ก่อนจะคว้าแท่นหมึกคิดเขวี้ยงลงกับพื้น แต่พอมองไปยังสามขันทีที่คุกเข่าตรงหน้า ก็วางกลับคืนที่เดิม ส่ายพระพักตร์นิ่งไปก่อนตรัสว่า
“พวกเจ้าเป็นบ่าวของเรา หรือว่าของพวกเขากัน เหตุใดไม่ว่าเราคิดอันใด พวกเจ้าก็เอาแต่บอกว่าไม่ได้”
กล่าวถึงตรงนี้สุรเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ก็เหมือนหมดหวัง โจวอี้โขกศีรษะกล่าวว่า
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมย่อมเป็นข้าในพระองค์ ล้วนจงรักภักดี เมื่อครู่กระหม่อมกล่าวไป เจ้าจินเลี่ยงกล่าวไป จางกงกงกล่าวไป ก็คิดเพื่อฝ่าบาททั้งสิ้น ในราชสำนักวิจารณ์เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ที่ทำที่พูดกันก็เป็นเรื่องตากกฎมนเทียรบาลมา ฝ่าบาทไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนกำลัง และในยามคับขันเช่นนี้ จะต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง หากเปิดโอกาสให้คนที่คิดก่อการได้ลงมือ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทและพวกกระหม่อมย่อมหมดทางรอดแล้ว!”
โจวอี้กล่าวหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่ขยี้หน้าผาก จากนั้นก็กลับลงนั่งที่เดิม เงียบไปครู่หนึ่งก็ตรัสอย่างไม่สบพระทัยนักว่า
“ลุกขึ้นได้แล้ว!”
ทั้งสามจึงได้ลุกขึ้น พอยืนขึ้นก็ย่อมสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เคร่งเครียด พากันคิดหนัก สบตากันไปมาเงียบต่อ
เจ้าจินเลี่ยงเมื่อครู่อยู่ๆ โพล่งออกมา ถูกจางเฉิงตำหนิปากมาก ยังคงใจเต้นโครมครามไม่หยุด แอบลอบมองทางจางเฉิง คิดไม่ถึงว่าจางเฉิงจะยกมือลูบศีรษะ ท่าทางพอใจ ทำให้เจ้าจินเลี่ยงวางใจลงไปมาก
“เราลืมตัวไปแล้ว…”
เงียบไปนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังและกลองในวังดัง ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตรัสขึ้น ครั้งนี้ไม่ได้ร้อนพระทัยเหมือนเมื่อครู่ แต่น้ำเสียงก็ไม่ดีนัก สามคนพากันคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งก้มพระพักตร์นิ่ง พระดำรัสค่อยๆ เนิบนาบตรัสว่า
“พระสนมเอกมีโอรสเป็นเรื่องมงคล ทว่าหากให้เราแต่งตั้งรัชทายาทตอนนี้ ดูล่องลอยมาก ฉางลั่วกับฉางสวิน คนหนึ่งไม่ถึงสามขวบ อีกคนไม่ถึงเดือน จะเห็นอันใดได้ ตามความคิดเดิมเรานั้น รอให้พวกเขาโตก่อนค่อยว่ากันก็ได้…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมแรกเริ่มคิดให้โอรสพระสนมเอกเจิ้งเป็นรัชทายาทนั้น หลายการกระทำล้วนเห็นชัดเจนว่าใช่ ทว่าเมื่อทรงตรัสเช่นนี้ ตอนนี้พวกจางเฉิงก็ย่อมไม่แสดงอาการค้าน
“…น่าสนุกจริง บรรพชนหลายรัชสมัยมา ขอเพียงเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งรัชทายาท ทุกคนในราชสำนักก็จะออกมาดิ้นรนกัน ครั้งนี้เรายังไม่ได้เอ่ย พวกเขาก็ดาหน้ากันออกมาก่อน เอาเถอะ ปล่อยให้พวกเขาโวยวายกันไป เราไม่สนใจก็แล้วกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงไร้รอยยิ้ม จางเฉิงติดตามรับใช้มานาน ย่อมรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเพราะฮ่องเต้ว่านลี่ถูกบีบจนทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แสร้งทำเป็นปล่อยวาง
เพียงแต่สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าทำเป็นไม่ได้ยินแล้วจะแล้วๆ กันไปได้ จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง คำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท สถานการณ์ตอนนี้หากไม่ได้ข้อสรุป เกรงว่าพวกขุนนางคงไม่ยอมรามือ”
“ไม่ยอมรามือๆ คนพวกนี้นอกจากผลประโยชน์แล้ว ยังเห็นแก่แผ่นดินอีกหรือไม่ ตามใจพวกเขาๆ เราไม่ออกว่าราชการ ให้พวกเจ้าออกจัดการงานแผ่นดินกันเองก็เหมือนกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่คำรามเบาๆ สถานการณ์ถึงตอนนี้ จางเฉิงนิ่งไป ส่งสายตาให้โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง ทูลว่า
“ดึกมากแล้ว เสี่ยวเลี่ยงไปนอนก่อน โจวอี้เจ้าสั่งให้ห้องเครื่องทำพระยาหารว่างมาถวายด้วย”
แม้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงไม่มีอำนาจสั่งการได้ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนรู้ว่า ต้องการให้โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงออกไปก่อน
พอประตูปิดลง สีหน้าจางเฉิงก็เผยยิ้มฝืดเฝื่อน คำนับก้าวเข้าไปใกล้ ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาท กระแสถูกกวนขึ้นมาแล้ว คิดจะไม่ทรงสนพระทัยก็ไม่ได้แล้ว แต่งตั้งรัชทายาทครั้งนี้ต้องตัดสินพระทัยแล้ว หากยังยื้อต่อไป เกรงว่าใต้หล้าจะลุกฮือ เปิดโอกาสให้คนอ้างเหตุสอบถาม ถึงตอนนั้นก็จะไม่ดีแล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นมองจางเฉิง จางเฉิงทูลหนักแน่นว่า
“ไทเฮาฉือเซิ่งพระวรกายระยะนี้ไม่ดีนัก แต่อย่างไรไทเฮาก็เป็นห่วงแผ่นดิน หากไปถึงพระกรรณทำให้ไทเฮากังวล เกรงว่าคงจะเสด็จมาถามไถ่ ถึงตอนนั้น…”
ที่ว่า ‘พระวรกายไม่ดี’ ‘เป็นห่วงแผ่นดิน’ เป็นแค่คำอ้าง ทุกคนรู้ดีกว่าคืออะไร ครั้งก่อนฮ่องเต้ว่านลี่สามารถค้านกระแสรับสั่งไทเฮาฉือเซิ่งกลับไปได้ ยึดอำนาจมาครองเองได้ แต่ไทเฮาฉือเซิ่งพระชนมายุก็แค่ 40 กว่าชันษา ตระกูลหลี่กับอำนาจในปกครองของตระกูลหลี่ยังมากอยู่ จะให้ไทเฮาฉือเซิ่งตัดขาดการเมืองสิ้นเชิง ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมไม่ยินยอม
พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดำคล้ำแล้ว หากดำสนิทไปเลย จางเฉิงกล่าวอีกว่า
“ฝ่าบาท พระสนมกงเป็นนางกำนัลจากตำหนักไทเฮา พระสนมกงไร้ที่พึ่ง มีแต่ไทเฮา หากโอรสองค์โตได้เป็นรัชทายาท พระสนมกงย่อมขึ้นตามน้ำไปด้วย ถึงตอนนั้น พระดำรัสไทเฮาก็ย่อมมีน้ำหนักขึ้นมาก”
“เสด็จแม่ยังคิดเข้ามายุ่งเกี่ยว?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถามกลับ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าจอกชามาดื่มพรวดเดียวหมด กัดฟันคำรามว่า
“จางปั้นปั้น มีบางเรื่องเราก็คิดได้ แต่เกรงว่าไม่ครอบคลุม เจ้าว่ามา สถานการณ์นี้สุดท้ายแล้ว สุดท้ายจะไปถึงระดับใดกัน ขุนนางกล่าวตักเตือนไร้ความผิด เจ้าว่ามา เราไม่เอาโทษเจ้า!”
จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทูลกล่าวว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ กระหม่อมก็ขอทูลตามตรง กองกำลังไม่อาจทรงเคลื่อนกำลังมาได้ กองกำลังสังกัดวังหลวงเราก็มีแต่เติ้งจิ้นกับหูฉีในกองกำลังมังกรรักษาพระองค์เท่านั้นที่เคลื่อนมาได้ กองกำลังหู่เวยมาไกลไม่อาจดับไฟใกล้ได้ หากถึงที่สุด ไทเฮาก็จะออกมาสอบถาม ก็จะอาศัยการบอกกล่าวบรรพชน ให้ฝ่าบาทจำนนรับ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ พยักหน้า ลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงกล่าวอีกว่า
“หากว่า…หากว่า ไทเฮาคิดให้อ๋องลู่เมืองเว่ยฮุย…ฝ่าบาท ตอนนั้นเกรงว่าคงจะ…”
“ที่นี่กำลังกล่าวอ้างลำดับอาวุโส แต่พอถึงอ๋องลู่ก็ไม่อ้างอีกหรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นเสียงยิ้มเยียบเย็น จางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ไม่มีอันใดจะต้องปิดบังอีก กล่าวต่อว่า
“ครั้งนี้อ้างลำดับ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ย่อมต้องแย่งกันสร้างความชอบในการแต่งตั้งรัชทายาท เกรงว่าก็คงต้องการลองประลองกำลังกับฝ่าบาท ตั้งแต่จางจวีเจิ้งจากไป อำนาจในมือฝ่าบาทก็ยิ่งมาก พวกขุนนางล้วนรู้สึกว่าฝ่าบาทควรจะแค่เป็นผู้รับฟัง ไม่ควรยุ่งกับอำนาจปกครอง ดังนั้นจึงหาเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฝ่าบาทยอมอ่อนลง แม้ครั้งนี้ไม่ก่อเรื่อง ครั้งหน้าก็คงหาเหตุมาก่อเรื่องอีก ขอเพียงมีโอกาสก็เลือกจะทำแน่นอน”
พูดจบก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน ถึงตอนนี้ พระพักตร์ก็มีแต่รอยยิ้มเฝื่อน ลงนั่งส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“เดิมคิดว่าครองอำนาจได้คนเดียวแล้ว กุมอำนาจใหญ่ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ แม้แต่ตำแหน่งก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ฮ่องเต้เอ๋ยฮ่องเต้ ถึงกับไร้สามารถเช่นนี้ได้ จางปั้นปั้น แต่งตั้งไปละกัน ไว้รอเวลาปลดเอาก็ได้ แต่ครั้งนี้เราไม่ยินยอมจะทำจริงๆ ครั้งนี้ออกมาก่อการจนเราต้องรับ ครั้งหน้าเล่า ครั้งนี้ถอยให้ ก็จะทำให้พวกเขาได้คืบจะเอาศอก เราไม่ยอม!”
จางเฉิงคำนับก้มหน้าลงต่ำ ได้แต่ทูลว่า
“ฝ่าบาทอย่าได้ร้อนพระทัยไป จะเสียสุขภาพ เรื่องพวกนี้ยังอีกยาวไกล ฝ่าบาทนิ่งลงก่อน พวกกระหม่อมก็จะนิ่งลง ไม่แน่ว่าอาจจะคิดวิธีออก”
ทว่านี่เป็นเพียงคำปลอบใจ ยามนี้ด้านนอกมีคนรายงานว่า
“ฝ่าบาท ห้องเครื่องส่งพระกระยาหารว่างมาแล้วพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว โบกพระหัตถ์ให้จางเฉิงตรัสว่า
“ออกไปได้แล้ว ดึกมากแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยหารือต่อ คนพวกนี้ก็แค่พวกปากดี ยังถ่วงเวลาพวกเขาไปได้อีก”
…..
พระสนมเอกเจิ้งตั้งแต่ประสูติโอรส ก็มักจะอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกงของฮ่องเต้ นี่ถือว่าตำหนักเท่าฮองเฮาแล้ว ในวังนี้ ฮองเฮาตัวจริงแซ่หวัง ธิดาองค์แรกจากพระสนมหลี่ ต่อมาโอรสองค์โตจากพระสนมกง แต่ก็ไม่เท่าไร พระสนมเอกเจิ้งจึงจะถือเป็นตำแหน่งฮองเฮา
ในวังหลังไม่มีรักแท้ ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งกลับเป็นดังสามีภรรยาแท้จริง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับมาอย่างเหนื่อยล้า หลังสรงน้ำก็ไปนั่งข้างเตียง พระสนมเอกเจิ้งก็เข้ามานวด ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแหบพร่าตรัสว่า
“เรารับปากเจ้าแล้วทำไม่ได้ หลายปีนี้คงไม่อาจทำได้”
พระสนมเอกเจิ้งหยุดมือไปครู่หนึ่งก็ยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า
“หม่อมฉันสองแม่ลูกไม่เป็นไร ฝ่าบาทรักษาพระวรกายด้วย อย่าได้ร้อนพระทัยเพราะกระแสภายนอก คนพวกนั้นก็แค่ร้อนใจด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว”
“สนมรัก เราไม่เข้าใจว่า ทุกอย่างอยู่ในอำนาจเราแล้ว เราครองราชย์มาถึงตอนนี้ แต่ไรไม่เคยรู้สึกว่าเป็นฮ่องเต้ได้เหมือนสองสามเดือนมานี้ เหตุใดอยู่ๆ จึงเกิดความวุ่นวายใหญ่เช่นนี้ได้?”
“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงร้อนพระทัย หลายเรื่องก็จะผ่านไปเอง…”
“ทำไมกัน?”
*****************
ปลายเดือนสี่ในเมืองหลวง กรมฎีกามีฎีกาทะลักมาจากทั่วสารทิศ องครักษ์เสื้อแพรเริ่มวุ่นวายเช่นกัน หลายหน่วยงานแม้ว่ามีธรรมเนียมดำเนินการงานของตนเอง แต่ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ จำเป็นต้องมีผู้สั่งการ ขันทีสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงยุ่งอยู่กับในวัง ไม่อาจมาควบคุมสั่งงานได้ช่วงนี้ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่เวลาที่หวังทงไม่อยู่ งานทั้งหมดจะไปอยู่ที่หยางซือเฉิน ให้เขาสั่งการ
ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดมาสอบตาม หยางซือเฉินเพียงแค่นยิ้มตอบ
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะตัดสินใจได้อย่างไร รอให้จางกงกงมาสั่งการดีกว่า!”
เดือนห้าเมืองหลวงวุ่นวายหนัก
ตอนที่ 893 ทำอันใดไม่ได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
กองลาดตระเวน หน่วยวินัยทหาร สำนักรักษาความสงบ หน่วยฝึกทหารขององครักษ์เสื้อแพร นับรวมถึงสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้ กับกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ละหน่วยงานล้วนมีธรรมเนียมปฏิบัติงานในหน้าที่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองตำแหน่งที่คุมด้านบนแยกกันทำงานในหน้าที่ตน จากนั้นค่อยเอางานมารวมกัน สื่อสารระหว่างกัน ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจะเป็นคนตัดสินสุดท้ายและรายงานเบื้องบน
ตอนผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อยังอยู่ ลูกน้องก็จะรวบรวมข่าวมารายงาน แต่ละคนทำงานประสานกัน
เช่น กองลาดตระเวนทหารได้ยินข่าวจากท้องถนน สำนักรักษาความสงบสืบความลับใดมาได้ ก็จะไปรายงานนายกองพันตน ล้วนรวบรวมส่งขึ้นมา กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นเจ้าหน้าที่ชำนาญการก็จะวิเคราะห์ จากนั้นสั่งการส่งกองลาดตระเวนกับหน่วยวินัยทหารไปปฏิบัติหน้าที่แก้ไข
บางเรื่องที่อ่อนไหวหรือเป็นเรื่องใหญ่ก็จะรอให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งให้หน่วยงานอื่นไปจัดการ เช่นนี้ก็จะไม่เสียงานเสียการ สามารถจัดการปฏิกิริยาเคลื่อนไหวในเมืองหลวงได้ทันที
แม้ว่าไม่แสดงท่าที แต่ข่าวก็จะเข้าหูคนที่ควรรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว
ทว่ารองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีแล้ว เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ กับหวังทงจงใจ จึงไม่มีคนมาแทนตำแหน่ง
ที่จริงแล้วตอนนี้คนสั่งการงานก็คือหยางซือเฉิน หยางซือเฉินมีตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหริน ไม่มีสถานะใดในสำนักองครักษ์เสื้อแพร เขานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะทำงานแทนหวังทง ร่วมจัดการกับหัวหน้าในสำนักรักษาความสงบและเจ้าหน้าที่กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร
แม้ว่าคนสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่วนหนึ่งจะไม่ยอมรับ แต่กองลาดตระเวน หน่วยวินัยทหารและหน่วยฝึกทหารกับสำนักรักษาความสงบที่ได้ชื่อว่า ‘สำนักบูรพาเล็ก’ ยังยอมรับ ก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทำงานตามไป
แน่นอนว่าตามหลักการทำงานแล้ว หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงคุมสำนักองครักษ์เสื้อแพรแทน แต่หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็เป็นหัวหน้าฝ่ายใน ใต้หล้างานมากมายต้องรอการตัดสินใจจากหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ดังนั้นเรื่องสำนักองครักษ์เสื้อแพรจึงไม่ค่อยมีเวลามาดูแล ดังนั้นคนที่ดูแลตัวจริงก็คือหยางซือเฉิน
หยางซือเฉินแสร้งไม่รับรู้ องครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มวุ่นวายทันที จะไปขอให้จางเฉิงกงกงมาดูแล แต่จางกงกงไม่มีส่งขันทีมาประจำที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร คิดเข้าวังไปพบก็ไม่ง่าย
ตอนนี้ข่าวที่ทหารสืบมาได้ ส่งขึ้นไปตามลำดับ รอรวบรวมส่งไปวิเคราะห์ ไปจัดการแก้ไข แต่ตอนนี้ข่าวทั้งหมดถูกเก็บไว้ที่หยางซือเฉิน ไม่มีหยางซือเฉินสั่งการ ที่อื่นก็ไม่กล้ายื่นมือมาข้องเกี่ยว ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ หาเรื่องน้อยลงก็มีเรื่องน้อยลง
สำนักรักษาความสงบได้ข่าวามากมายที่สุด แต่สำนักรักษาความสงบกลับเป็นหน่วยงานหวังทงโดยตรง หลี่เหวินหย่วนคุมที่นี่ราวกับถังเหล็ก ที่นี่จัดการการข่าวได้มีประสิทธิภาพที่สุด แต่หลังจากหลี่ว์วั่นไฉมาพบหลี่เหวินหย่วนแล้ว สำนักรักษาความสงบก็ไร้ประสิทธิภาพไปเสียอย่างนั้น
องครักษ์เสื้อแพรวุ่นวายกันไปหมด ทำให้ในวังได้รับข่าวสารไม่มาก ฮ่องเต้ว่านลี่กับขันทีใหญ่ในวังก็เหมือนหูตาไม่ไวแล้ว
แม้สำนักบูรพาที่มีหน้าที่รวบรวมข่าว แต่สำนักบูรพาขนาดเล็ก หลายเรื่องต้องอาศัยองครักษ์เสื้อแพรทำ พอองครักษ์เสื้อแพรเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากัน
องครักษ์เสื้อแพรปล่อยปละ เมืองหลวงแต่เดิมมีคนแจ้งเตือนให้จับตาก็เริ่มไม่มีคนดูแล หลายเรื่องเริ่มส่อเค้าวุ่นวายออกมา จากนั้นก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
เช่นว่า ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมตัว หารือร่วมยื่นฎีกา จะใช้กลวิธีใด เริ่มแรกบางทีองครักษ์เสื้อแพรคงไม่สนใจ แต่กระแสเมืองหลวงเกิดขึ้น ก็ย่อมเริ่มสนใจ ส่งคนไปจับตา หากเป็นเรื่องใหญ่ ก็จะเข้าไปแจ้งเตือน ถึงกับจับกุมไปเลยก็มี
แต่ตอนนี้ไม่สนใจ พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว พวกบัณฑิตก็พากันร่วมวงหารือขยายใหญ่ จากนั้นก็หาแนวร่วมยิ่งมาก รวมเป็นก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งก้อนโต
ปลายเดือนสี่ ต้นเดือนห้า ใต้หล้าฎีกากระหน่ำเข้าสู่เมืองหลวง ที่กล่าวว่าธรรมเนียมลำดับอาวุโส โอรสองค์โตย่อมเป็นรัชทายาท มีคนโยงไปว่าพระสนมเอกเจิ้งคิดสร้างฐานอำนาจวังหลัง สตรีเข้าข้องเกี่ยวการเมือง เป็นดังสนมต๋าจี (พระสนมในสมัยราชวงศ์โจวที่ทำราชวงศ์โจวล่มสลาย)…ยังมีคนยกตัวอย่างสมัยโบราณเพราะการแต่งตั้งรัชทายาทไม่ตามลำดับอาวุโสทำให้เกิดความวุ่นวายในราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการตั้งโอรสอายุน้อยกว่า แผ่นดินหมิงนี้เท่ากับกำลังจะล้มสลายแล้ว
ใต้หล้าคนมีความรู้มากมาย คนที่สามารถยื่นฎีกาก็มากยิ่งกว่ามาก วาจาในฎีกาก็ยากจะอ่านได้ บ้างกล่าวกันจนเกินเลยขอบเขตไปมาก ยากจะรับฟังได้
เริ่มแรก เป็นพวกเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยกระพือสุมไฟ ทำจนเป็นเรื่อง แต่พอคนเริ่มมาร่วมมากขึ้นเรื่อย มีพวกเข้ามาแสวงหาชื่อเสียงยิ่งมากขึ้น ตามหลักที่ว่าไม่ลงโทษมหาชน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักยังล้วนยื่นฎีกา ยื่นฎีกาตนเองจะไปโดนอันใดได้ได้
ส่วนใหญ่พวกไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้ายื่นฎีกาก็จะร่วมกันลงชื่อ ถึงตอนนั้นก็ให้คนที่สามารถยื่นฎีกาได้นำความเห็นและรายชื่อทุกคนส่งไป เป็นเรื่องทำให้มีหน้ามีตายิ่งนัก
สถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งขยายวงกว้าง ค่อยๆ ไร้การควบคุม สำหรับหยางเหว่ยแล้ว ย่อมไม่สนใจ เพราะอย่างไรก็สามารถขยายอำนาจตนออกไป แต่สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว กลับยิ่งทำให้วุ่นวาย เพราะพลังคัดค้านเรื่องนี้ยิ่งแพร่ขยายมากขึ้น ก็ยิ่งสกัดอิทธิพลอำนาจพระองค์ให้ลดลง
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีเริ่มยื่นฎีกาในที่ประชุมราชสำนัก ตามมาด้วยใต้หล้าวุ่นวาย กระแสโจมตีมากมาย จากนั้นพอประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงให้เห็นว่าไม่ทรงอยากเอ่ยเรื่องนี้อีก
คิดไม่ถึงว่าวันรุ่งขึ้น เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้ากลับออกหน้าหนักแน่นทูลให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็ว เขาไม่ได้แสดงท่าทีอ้างคุณธรรมใหญ่แบบเมื่อวานที่เสิ่นหลีทำ แต่กล่าวว่าตอนนี้นอกวังวิพากษ์วิจารณ์ราวไฟลามทุ่ง เอาไม่อยู่แล้ว หากยังปล่อยปละต่อไป เกรงว่าไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดิน ถึงกับทำให้แผ่นดินสั่นคลอนได้ และการแต่งตั้งรัชทายามเร็วก็จะทำให้แผ่นดินมั่นคง เป็นการสืบทอดแผ่นดินอันเป็นเรื่องใหญ่ ขอให้ทรงตัดสินพระทัยโดยเร็ว
หลังฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เห็นเสนาบดีคนอื่นคิดจะออกมาทูล พระองค์ก็หันไปโบกพระหัตถ์ด้านหลัง ขันทีด้านหลังมุมห้องก็รีบรับพระบัญชาตะโกนปิดการประชุมทันที
ในเมื่อสู้พวกเจ้าไม่ได้ งั้นข้าไปสู้ก็แล้วกัน ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ง่ายดายเช่นนี้ หันพระวรกายจากไปทันที ปล่อยให้พวกขุนนางอึ้งสนิทกับที่
ขันทีปรนนิบัติในตำหนักกลับส่งข่าวออกไปว่าหลังฝ่าบาทเลิกประชุม เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีหันไปกล่าวเสียงแข็งกับมหาอำมาตย์เซินสือหังและรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย และมหาบัณฑิตสวีกั๋วในคณะเสนาบดีใหญ่ว่า
“คุณธรรมใหญ่ใต้หล้าเช่นนี้ ส่วนกลางอำนาจใหญ่ทั้งสามท่านกลับทำตัวไม่สนใจ ในสมองยังมีตำราปราชญ์บัณฑิตอีกหรือไม่กัน?”
วาจานี้แพร่ไปนอกวัง บัณฑิตเมืองหลวงกับขุนนางต่างๆ ก็พากันชมเชย ทุกคนล้วนแสดงท่าที พวกคณะเสนาบดีใหญ่ไม่แสดงท่าที แท้จริงแล้ววางตัวในจุดยืนใดกัน
มีคนคิดไปว่า หากอาศัยจังหวะนี้ล้มคณะเสนาบดีใหญ่ ดันพวกหยางเหว่ยเข้าไป ก็ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งใหญ่ จึงพากันลงมือเขียนบทความ เป็นเรื่องง่ายยิ่ง ภายในหนึ่งวัน ก็มีคนยื่นฎีกาโจมตี เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับสวีกั๋วสามคนว่าเป็นขุนนางชั่ว
กระแสเริ่มเบี่ยงเบนไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเป็นการคาดเดาไว้แล้วของพวกหยางเหว่ย ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดจะยับยั้ง อย่างไรก็ไม่มีผลเสียกับตนเอง เหตุใดต้องยับยั้งด้วยเล่า?
หนึ่งเดียวที่วางตัวอยู่วงนอกก็คือเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียน จางเสวียเหยียนมีลูกศิษย์มาก มีอำนาจไม่น้อย เขาแต่ไม่เคยอยากเข้าร่วมกับเรื่องพวกนี้ คนอื่นจึงมองข้ามเขาไปหมด
หลังจากฮ่องเต้ว่านลี่เสร็จประชุมขุนนางวันนั้น ก็ไม่ได้เข้าประชุมอีกถึง 6 วัน แสดงให้เห็นท่าทีไม่ดีนักต่อสถานการณ์ตอนนี้ พวกเจ้าหาตัวพระองค์ไม่เจอ ไม่อาจเข้าเฝ้า พวกเจ้าจะกล่าวอันใดได้
แม้ว่าไม่ออกว่าราชการ แต่พอตกค่ำจางเฉิงที่เป็นคนสนิทก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ แต่กลับกล่าวอันใดไม่ได้มากนัก โจวอี้กับจางเฉิงและขันทีคนสนิทอีกสองสามคนก็ค่อยวิ่งประสานงานกับหน่วยงานอื่นอย่างแข็งขัน คอยแอบไปหาข่าวกับหกกรมกองสำนักตรวจสอบ และหน่วยงานต่างๆ เพื่อถามจุดยืนพวกเขา ดูว่าจะสามารถได้รับการสนับสนุนจากทางนี้ได้บ้างหรือไม่
การสนับสนุนนี้ไม่ได้เพื่อแต่งตั้งโอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน เป็นรัชทายาท โอรสทั้งสองพระองค์อายุยังน้อย เรื่องนี้ยังต้องวางแผนระยะยาว แค่อย่ามีเรื่องกันตอนนี้ได้หรือไม่
ฮ่องเต้ว่านลี่ผิดหวังมาก พวกหยางเหว่ยกัดไม่ปล่อย พวกเซินสือหังแม้ว่าไม่ขัดพระบัญชา แต่ก็แสดงท่าทีชัดเจนว่า ตอนนี้ประชาร้อนเป็นไฟ พวกคณะเสนาบดีใหญ่ไม่กล้าทำสิ่งที่ขัดกับใจมหาชน จะได้ไม่นำภัยมาสู่ตัว แม้สำนักส่วนพระองค์จะทำตามรับสั่ง คณะเสนาบดีใหญ่มีราชโองการ แต่ถึงตอนนั้นถูกตีกลับ เกรงว่าคงยุ่งยาก
ที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง พอฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับคำตอบเช่นนี้ก็หมดหวัง วันนั้นหวังทงได้ทูลว่า ‘เรื่องครอบครัวฝ่าบาท ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเอง คนอื่นไม่เกี่ยว’ ตอนนั้นทรงฟังแล้ว รู้สึกมั่นใจมาก และก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่พอทรงทำจริง กลับพบว่าต้องหดมือกลับแทบไม่ทัน
นี่ไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้ทรงกริ้วหนักก็คือ วันที่ 10 เดือนห้า รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางหงมาขอเข้าเฝ้า เรื่องที่ว่ามาก็คือเรื่องขอให้แต่งตั้งตามลำดับอาวุโส ขอให้โอรสองค์โตของฝ่าบาทเป็นรัชทายาท
จางหงเป็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ มีกำลังจากขันทีคุมกำลังนอกเมืองหลวง อำนาจมีมาก และตัวเขากับพระสนมกงและจูฉางลั่วก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกันจริงๆ ดังนั้นวาจาที่กราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่ได้เพื่อตนเอง
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนั้นคิดจัดการจางหง จางหงกลับเอาแต่โขกศีรษะยืนยันความคิดตนเอง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังจะเรียกคืนอำนาจจางหง แต่กลับถูกจางเฉิงรั้งไว้ ขอให้แค่สั่งให้จางหงกลับไปเก็บตัวคิดใคร่ครวญให้ดีก็พอ
พอจางหงออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่พอพระทัยจางเฉิง ตรัสถามว่าเมื่อครู่ยับยั้งไว้ทำไมกัน จางเฉิงอธิบายง่ายมาก จางหงทำเช่นนี้ก็เพราะเรียนตำรามากไปจนสมองพัง แต่ก็เพราะใจเป็นธรรม หากเป็นคนอื่น ขันทีอื่นอำนาจไม่พอบังคับกองกำลังในวัง พอมีอำนาจพอ ก็ไม่แน่ว่าวางใจได้ ในมือจางหง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีกองกำลังฝ่ายในคิดกบฏ
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่รับฟัง ควรรู้ว่ากองกำลังเมืองหลวงนั้นเป็นอำนาจสามฝ่าย ได้แก่ ชนชั้นสูง ขุนนางบุ๋นและขันที
ชนชั้นสูงถูกยึดมานานแล้ว เจ้ากรมทหารฝ่ายซ้ายกับหยางเหว่ยเป็นพวกเดียวกัน
นางกำนัลในตำหนักเฉียนชิงกง ตอนกลางวันเห็นพระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสร้องไห้ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งข่าวออกไป…
ตอนที่ 894 ย่าหลานแท้ๆ ความสัมพันธ์ครอบครัวกับอำนาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชสำนักมีธรรมเนียมราชสำนัก ฝ่ายในมีธรรมเนียมฝ่ายใน เช่นกัน วังหลังก็มีธรรมเนียมวังหลัง
สนมในวังหลัง หากมีหญิงใดได้รับแต่งตั้งเป็นพระสนมชั้นเฟย ก็เทียบเท่ากับตำแหน่งเสนาบดีนอกวัง สถานะเรียกได้ว่าสูงส่งยิ่ง
ทว่าในหมู่เสนาบดี หากเจ้าอยู่กรมปกครอง กรมทหาร กรมอากร ก็ย่อมมีคนคิดมาเป็นพวก ส่วนกรมโยธาที่มีเงินเข้าออกมากก็ไม่เลว แต่กับกรมพิธีการกับกรมอาญาแล้วนั้น เป็นงานที่ต้องมีคุณธรรมและไม่เรียกรับสินบน ต้องมือสะอาด เสนาบดีกรมพิธีการหากไม่ได้เป็นราชบัณฑิตใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ทุกคนก็แค่เคารพกันต่อหน้าเท่านั้น ส่วนเสนาบดีกรมอาญา ผู้ใดอยากจะสนใจข้องเกี่ยวด้วย
เช่นกัน วังหลังมีพระสนมมากมาย ก็มีพวกที่มีอิทธิพลไม่มากนัก ฮองเฮาไม่ต้องพูดถึง พระสนมเอกเจิ้งก็ไม่ต้องพูดถึง พระสนมที่เหลือนั้น ก็มีแต่พระสนมหลี่ที่ค่อยข้างได้รับการโปรดปราน ธิดาองค์แรกฮ่องเต้ว่านลี่มาจากพระสนมหลี่ ตอนนี้พระสนมเอกเจิ้งแม้ว่าเป็นที่ทรงโปรดพิเศษ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังทรงแวะเวียนไปยังตำหนักพระสนมหลี่อยู่บ้าง
นอกวังแย่งชิงกันดุเดือด แย่งอันใดกัน แย่งกันล้มไม่ให้โอรสพระสนมเอกเจิ้งได้เป็นรัชทายาทอย่างไรเล่า โอรสพระสนมกงเป็นโอรสองค์โต จึงควรได้เป็นรัชทายาท
ตามหลักที่ว่ามารดาขึ้นตำแหน่งตามบุตร จูฉางสวินมีคุณสมบัติพอจะเป็นรัชทายาท พระสนมกงในวังหลังก็เรียกได้ว่าสูงส่งไม่น้อย
ที่จริงแล้ว พระสนมในวังหลังทั้งหมดนั้น ตำแหน่งพระสนมกงต่ำที่สุด แม้ว่าทรงได้ประทับตำหนักตามระเบียบปฏิบัติ แต่ขันทีและนางกำนัลที่จัดสรรให้มารับใช้นั้นล้วนเป็นระดับล่างอย่างที่สุด
แน่นอนที่ว่าล่างที่สุด ย่อมไม่รวมของใช้และอาหารการกิน อย่างไรก็เป็นโอรสองค์โต หากไม่ระวังปรนนิบัติให้ดี ฝ่าบาทอาจจะลงโทษได้เช่นกัน
จากหญิงธรรมดามาถึงตอนนี้ แต่ไรมาฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เคยเสด็จมา ถึงกับแม้แต่จูฉางสวินก็ทรงพบแค่ครั้งเดียว และยังเป็นการเรียกให้แม่นมนำมาเข้าเฝ้าแทนด้วย
ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ เห็นได้ถึงเรื่องราวมากมาย ดังนั้นพระสนมกงแม้ว่าเป็นชั้นพระสนมระดับเฟย แต่ในวังพวกขันทีและนางกำนัลมีอิทธิพลก็แค่เกรงใจต่อหน้าเท่านั้น ในใจย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา
พระสนมกงเองก็ไม่สนพระทัย พระนางแต่เล็กเป็นนางกำนัลในวัง เพราะมีคืนพิเศษกับฮ่องเต้จึงได้ขึ้นเป็นพระสนมชั้นเฟยในตอนนี้ จากคนปรนนิบัติมาเป็นคนถูกปรนนิบัติ อาหารการกินของใช้อย่างดี พระสนมกงพอใจมากแล้ว และมีโอรสอยู่เป็นเพื่อนทุกวัน ก็ยิ่งทำให้พระนางมีที่พึ่งและมีหลักในชีวิต
นอกวังวุ่นวายกันอย่างมาก ทำให้ขันทีและนางกำนัลปรนนิบัติพระสนมกงเริ่มคิด หากทรงได้ก้าวขึ้นไป พวกเขาก็คงได้ก้าวขึ้นตาม หากพวกเขาปรนนิบัตินายจนได้เป็นรัชทายาท พวกเขาก็ย่อมเป็นคนเก่าแก่ตำหนักบูรพา เช่นนั้นสถานะก็ย่อมไม่เหมือนเดิม จะได้ก้าวสยายปีกถึงตะวัน
มีคนแอบกล่าวกับพระสนมกง พระสนมกงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ทุกวันก็เอาแต่เล่นกับลูก จูฉางสวินอ้วนจ้ำม่ำ พูดจากคล่องแคล่ว น่ารักน่าชังอย่างมาก
พระสนมกงท่าทีเช่นนี้ทำให้นางกำนัลและขันทีรับใช้เริ่มแอบบ่นไม่พอใจ พระสนมกงหากทรงคิดถึงพระโอรสจริง ก็ควรจะออกมาแย่งชิงในเรื่องนี้บ้าง รอให้ทรงแต่งตั้งเป็นรัชทายาท จึงจะดีต่อพระโอรสแท้จริง แต่วาจานี้ผู้ใดกล้ากราบทูลกัน
ทว่าพระสนมกงท่าทีเช่นนี้ ทำให้พวกอยู่มานานในวังพอใจพยักหน้า พระสนมกงไม่มีความคิดเป็นใหญ่ แม้ความคิดนี้จะถูกต้อง เรื่องรัชทายาทหากพระนางคิดลงมือ จูฉางสวินอาจยังมีชีวิตรอด แต่พระนางเองนั้นกลับต้องแหลกสลายแทน ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
วันที่ 13 เดือนห้า แม้ว่าคนฝ่ายพระสนมกงที่การข่าวไม่ไวก็ยังรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ออกว่าราชการมาสิบกว่าวันแล้ว และพระสนมกงยังรู้ว่า หลายวันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไปตำหนักพระสนมหลี่บรรทม สาเหตุนี้คนในวังล้วนรู้ดี พระสนมเอกเจิ้งร่ำไห้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่
พระสนมเอกเจิ้งเป็นคนฉลาด แม้ว่าจะไม่พอใจฮ่องเต้ว่านลี่ แต่แต่ไรมาก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการพรั่งพรูต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ ทว่าหญิงพอมีลูกแล้วกลับไม่เหมือนเดิม นอกวังวุ่นวายเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงฎีกาที่กล่าวถึงพระสนมเจิ้งโดยตรง สถานการณ์ตอนนี้มาถึงขึ้นต้องขึ้นไม่อาจลงได้แล้ว
หากไม่มีเรื่องเกิดขึ้น แม้ว่าจูฉางสวินได้เป็นรัชทายาทหรือไม่ ก็คงได้เป็นอ๋องมีวาสนาไปทั้งชีวิต แต่พอเกิดเรื่องเช่นนี้ ไม่อาจเป็นรัชทายาท วันหน้าจะทำเช่นไร เกรงว่าคงยุ่งยากมาก
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง พระสนมเอกเจิ้งเองก็คงได้ยินมาแล้วว่าอ๋องลู่ที่เมืองเว่ยฮุย เหอหนานนั้นเป็นอย่างไรในตอนนี้ ว่ากันว่าอ๋องลู่ถูกขังแต่ในจวน วันๆ ร่ำสุราจนเมาเละเทะ พระพลานามัยไม่ไหวแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งส่งหมอหลวงไปดูอาการ แต่ไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งไปอีกอย่าง ว่ากันว่ารักษาไม่ตั้งใจนัก
โอรสพระสนมเอกเจิ้งกับอ๋องลู่สถานการณ์คล้ายกัน จะว่าไปจูฉางสวินกับจูฉางลั่วยังไม่ใช่พระมารดาเดียวกันอีก นี่ก็ยิ่งทำให้แตกต่างกันจนน่าจะแย่กว่า
คิดถึงเหตุการณ์ยามนี้แล้ว จะไม่ให้พระสนมเอกเจิ้งไม่หวาดกลัวได้อย่างไรกัน มีแต่ทางแก้ทางเดียวก็คือให้จูฉางสวินเป็นรัชทายาท แต่ในสถานการณ์ตอนนี้จะได้อย่างไรกัน
สตรีนางหนึ่งมาร้องไห้คร่ำครวญตรงหน้าทุกคน ตนเองยังรู้สึกละอายใจ สถานการณ์เช่นนี้ช่างน่าลำบากใจมากยิ่งนัก มิน่าฮ่องเต้ว่านลี่จึงต้องหลบ
พระสนมกงที่รู้เรื่องพวกนี้กลับดีใจที่แม้ตนเองไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ยังดีที่มีลูกชายไว้เป็นที่พึ่ง เรียบง่ายก็เรียกว่าวาสนาเช่นกัน
เล่นกับจูฉางลั่วตลอดช่วงเช้า กว่าจะกล่อมให้หลับได้ก็นาน พระสนมกงนั่งอยู่ข้างเตียง ทำงานเย็บปักไปดูและลูกน้อยที่หลับสนิทไป
ขณะกำลังเงียบอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขันทีคนหนึ่งรีบวิ่งมา พระสนมกงขมวดคิ้วขึ้นทันที คนในวังที่ไม่ค่อยเห็นพระองค์ในสายตา แต่เช่นนี้เหมือนจะเกินไปสักหน่อย ทำเด็กน้อยตื่นจะทำอย่างไร พระสนมกงกำลังจะตำหนิ ขันทีก็เข้ามาใกล้กล่าวเบาๆ ว่า
“พระสนม นางกำนัลจิ่นซิ่วตำหนักฉือหนิงกงมา บอกว่ามีกระแสรับสั่งไทเฮาฉือเซิ่งให้มาเยี่ยมพระสนมเป็นพิเศษ”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าขันทีก็ลิงโลดอย่างไม่อาจระงับ ที่นี่ที่เคยถูกละเลยกำลังจะพลิกสถานการณ์แล้ว แม้แต่ตำหนักฉือหนิงกงยังส่งคนมาเยี่ยม นางกำนัลจิ่นซิ่วเป็นคนโปรดใกล้ชิดอันดับหนึ่งของไทเฮาฉือเซิ่งเชียวนะ!
พอได้ยินเช่นนี้ พระสนมกงก็สะดุ้ง สีหน้ากลับไม่ได้ยินดี หากตกใจหวาดกลัวหลายส่วน
*****************
พระสนมกงนั่งอยู่ มองไปยังนางกำนัลตำหนักตนนำทางจิ่นซิ่วเข้ามาอย่างนอบน้อม พอจิ่นซิ่วเข้ามา พระสนมกงก็อดไม่ได้ต้องยืนขึ้น กล่าวว่า
“พี่จิ่นซิ่ว…”
“พระสนมกงทำหม่อมฉันอายุสั้นแล้ว ไม่อาจรับได้จริงๆ จิ่นซิ่วถวายบังคมพระสนมกง”
กล่าวจบ จิ่นซิ่วก็ยิ้มแย้มคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับ พระสนมกงตอนนั้นเป็นนางกำนัลต่ำต้อยที่สุดในตำหนักฉือหนิงกง ตอนนั้นจิ่นซิ่วเป็นคนสนิทข้างพระวรกายไทเฮาแล้ว เป็นหัวหน้านางกำนัลตำหนักฉือหนิงกง สถานะย่อมไม่ธรรมดา ตอนนี้อยู่ๆ ตนมาเป็นนาย อีกคนเป็นนางกำนัล สถานะกลับกัน แต่จะว่าไปแล้ว เหมือนว่าสถานะแท้จริงของพระสนมกงตอนนี้ยังไม่อาจสู้จิ่นซิ่วได้
“…แม่ได้ดีเพราะลูก ถึงตอนนั้นพระสนมกงก็เป็นพระสนมเอก ก็เป็นฮองเฮา พอรัชทายาทได้ครองราชย์ พระสนมกงก็จะเป็นไทเฮาแล้ว!”
ในห้องมีแค่พระสนมกงกับจิ่นซิ่ว และจูฉางลั่วก็นอนหลับสนิท น้ำเสียงจิ่นซิ่วเบามาก ทว่ากลับกล่าวอย่างจริงจัง สีพระพักตร์พระสนมกงกลับไม่แปรเปลี่ยน ถอนหายใจตรัสว่า
“จิ่นซิ่ว ทางข้าไม่ได้คิดอันใด ขอเพียงลูกเจริญเติบโตอย่างราบรื่นปลอดภัยก็พอ”
เมื่อครู่กล่าวาไปมากเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าพระสนมกงไม่รู้สึกสนใจสักนิด ปฏิกิริยาเรียบเฉยเช่นนี้ ทำเอาจิ่นซิ่วขมวดคิ้วแน่น มองตามสายตาพระสนมกงไป เห็นจูฉางลั่วกำลังนอนหลับสนิทบนเตียงหลังน้อย จิ่นซิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“พระสนมกงรักพระโอรส ไม่อยากให้ต้องจากไปไกลจากสายพระเนตร พระกระยาหารไม่ว่าสิ่งใดก็ย่อมทรงลองเสวยก่อนจะให้พระโอรสเสวย ก็คงเกรงว่าจะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิดกระมัง?”
จิ่นซิ่วกล่าวจบ พระสนมกงก็พระวรกายสั่นน้อยๆ จิ่นซิ่วเข้าไปใกล้ แสร้งทำจริงจังกล่าวว่า
“พระสนมเพคะ ในวังนี้เรื่องใดก็เกิดขึ้นได้ ตอนนี้ข้างนอกวุ่นวายกันเพียงนั้น พระโอรสกำลังเป็นที่กล่าวถึง และพระนางในตำหนักเฉียนชิงกงนั้นก็ด้วย หากว่า…”
กล่าวไม่ทันจบพระสนมกงก็สีหน้าแปรเปลี่ยน ยกมือคว้าชายแขนเสื้อจิ่นซิ่ว กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“เราแม่ลูกไม่คิดแย่งชิงวาสนาใด แต่ไรมาไม่เคยออกไปให้ใครเห็น จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ได้อย่างไร…”
จิ่นซิ่วสองมือกุมพระหัตถ์พระสนมกง ดูราวกับเป็นห่วงเป็นใยด้วยความจริงใจว่า
“พระสนมเพคะ ท่านอยู่ในวังมานาน เรื่องพวกนี้ในวังหรือว่าท่านไม่รู้กัน เพื่อตำแหน่งนั้น เรื่องใดก็ทำได้ทั้งนั้น ท่านนั้นเองก็ไม่ได้จิตใจเมตตาอันใด”
“พี่จิ่นซิ่ว ทำไงดี ข้าเป็นตายไม่เป็นไร แต่พระโอรสเล่า ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องได้เด็ดขาด ท่านช่วยพระโอรสด้วยๆ”
“พระสนมทำอะไรกัน ท่านไม่ใช่ทำให้ข้าอายุสั้นหรอกหรือนี่ ข้าน้อยสมควรตาย ทว่าก็มีวิธี ไทเฮาทรงรักใคร่เอ็นดูองค์ชาย รุ่นปู่ย่าก็มักจะเอ็นดูรุ่นหลาน หากองค์ชายอยู่ในความดูแลของตำหนักฉือหนิงกง ย่อมไร้ปัญหา”
*****************
“ฝ่าบาท พระโอรสตำหนักสนมกงถูกคนตำหนักฉือหนิงกงรับไปแล้ว บอกว่าไทเฮาต้องการพบพระนัดดา!”
จางเฉิงได้ข่าวก็ไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร รีบวิ่งกลับมายังห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังถือถ้วยพระสุธารสชานั่งเหม่ออยู่นั้นก็ถึงกับอึ้งไป ถ้วยพระสุธารสชาร่วงลงพื้นแตกกระจาย
ไทเฮาเลี้ยงดูพระโอรส แต่บรรพกาลมาก็มีตัวอย่างมากมาย ไม่ใช่น้อยเลย ปัญหาก็คือไทเฮาเลี้ยงดูมา ถึงสุดท้ายโตเป็นรัชทายาท เดิมคิดว่าสามารถดึงต่อไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่าตำหนักฉือหนิงกงจะแสดงท่าทีเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สนใจถ้วยพระสุธารสชา หากตรัสอย่างร้อนใจว่า
“พาไปเมื่อไร เรื่องแต่งตั้งพร้อมกันสององค์ได้แจ้งไปถึงเซินสือหังหรือยัง?”
“กระหม่อมเองก็เพิ่งรู้ข่าว เมื่อครู่นางกำนัลจิ่นซิ่วแห่งตำหนักฉือหนิงกงมาพาไป ตอนนี้ไปอยู่ตำหนักฉือหนิงกงแล้ว กระหม่อมไปถึงประตูวังก็ไม่คิดออกไปแล้ว ได้แต่รีบวิ่งกลับมากราบทูลฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งนิ่งไปนาน ก่อนจะถอนใจตรัสขึ้น
“รับไปก็รับไป ไม่ได้บอกให้แต่งตั้ง อะไรก็ไม่แน่นอน”
ตรัสจบก็เงียบไปนาน ก่อนฮ่องเต้ว่านลี่จะตรัสถามขึ้นอีกว่า
“นอกวังรู้ข่าวแล้ว?”
จางเฉิงพยักหน้าเสริมขึ้นเบาๆ ว่า
“พระสนมเอก เกรงว่าก็คงรู้แล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น