หมอดูยอดอัจฉริยะ 892-895
ตอนที่ 892 เพื่อนเก่า
“ยินดีต้อนรับคุณเหลย เชิญ เชิญ ได้ข่าวว่าคุณเหลยเป็นผู้มีความกระตือรือร้นในเรื่องสาธารณประโยชน์และชอบช่วยเหลือผู้อื่น วันนี้รบกวนด้วยนะครับ”
คนแก่อายุหกสิบกว่าเข้ามาต้อนรับทันทีที่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ลงจากรถ การแต่งกายของเขาค่อนข้างเรียบง่าย กิริยาท่าทางที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความเป็นผู้ดี เห็นได้ชัดเลยว่ามีเบื้องหลังที่แน่นหนา และคนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองเพื่อโอ้อวดกำลังที่ตนมี
“สวัสดีครับท่านเซอร์เฮ่อ ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้มีความกระตือรือร้นในเรื่องสาธารณะประโยชน์ ผมคิดว่าเป็นท่านต่างหากครับ!”
เหลยหู่ยื่นมือทักทายฝ่ายตรงข้ามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในสมาคมหงเหมิน มันเพียงพอแล้วที่เขาจะทักทายกับคนระดับนี้ จากนั้นเหลยหู่ขยับตัวออกไป กล่าวว่า
“ท่านเซอร์เฮ่อ ท่านนี้เป็นอาจารย์ของผม ได้ข่าวว่าท่านจัดงานประมูลขึ้น อาจารย์จึงเดินทางมาร่วมงานโดยเฉพาะครับ”
“คุณเหลย คุณ…ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม”
หลังจากเหลยหู่แนะนำเสร็จ ท่านเซอร์เฮ่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปครู่นึง ถึงแม้เหลยหู่จะวางมือจากสมาคม หงเหมินแล้ว แต่ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเหลย ใครกันนะที่กล้ารับเขาเป็นลูกศิษย์
ถึงแม้สำนักเสื้อป่านจะมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร แต่หลายคนยังไม่รู้ว่า สำนักเสื้อป่านเป็นของเยี่ยเทียน ส่วนที่เหลยหู่กราบไหว้เยี่ยเทียนเป็นอาจารย์นั้น นอกจากคนในสำนักเสื้อป่านที่ทราบแล้ว มีเหลยเจิ้นเทียนและอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ฉะนั้น ท่านเซอร์เฮ่อจึงคิดว่าเหลยหู่กำลังล้อเขาเล่นอยู่
“ท่านเซอร์เฮ่อ ผมไม่ได้ล้อเล่นครับ”
เหลยหู่แทบตาลุกเป็นไฟ ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะเป็นคนชั่ว แต่เขาก็เป็นคนที่กตัญญูต่อผู้ใหญ่มาก โบราณว่าเอาไว้ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต การปฏิบัติต่อเยี่ยเทียนของเหลยหู่ ไม่ต่างไปจากพ่อของตัวเองเลย เขาจึงยอมไม่ได้หากมีคนไม่เคารพ
“เหลยหู่ ทำอะไรหน่ะ”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปตบไหล่เหลยหู่ ยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านเซอร์เฮ่อ ผมชื่อเยี่ยเทียน การมาของผมอาจจะกระทันหันไปหน่อย!”
“เยี่ยเทียน คุณ…คุณเป็นศิษย์น้องของอาจารย์จั่วงั้นเหรอ”
ที่จริงท่านเซอร์เฮ่อเคยเจอเยี่ยเทียนครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นผ่านมาแล้วหลายปี บุคลิกของเยี่ยเทียนเองก็เปลี่ยนไปมาก เพราะฉะนั้นท่านเซอร์เฮ่อจึงจำไม่ได้ แต่พอได้ยินชื่อเยี่ยเทียนแล้ว เขาจำชายหนุ่มในตอนนั้นได้ทันที
“ใช่ครับ วันนี้ศิษย์พี่มีธุระ ไม่ได้เดินทางมาด้วย ท่านเซอร์โปรดให้อภัย!
เยี่ยเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดูจากโหงวเฮ้งตรงหน้าแล้ว ท่านเซอร์เฮ่อมีรังสีจาง ๆ บนใบหน้า นี่เป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีบุญ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนดีมีเมตตา ไม่ได้เป็นแค่คนดีแค่ในนาม ด้วยเหตุนี้จึงแสดงความมีมารยาทมากขึ้น
พูดถึง เยี่ยเทียนกับตระกูลเฮ่อมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักเสื้อป่านเคยช่วยคุณทวดของเฮ่อตงดูเรื่องฮวงจุ้ยสุสาน ทำให้เฮ่อตงในสมัยนั้นได้รับฉายาว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง
แต่ทุกสิ่งย่อมมีวันล่มสลาย สุสานแห่งนั้นเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นตอนที่ญี่ปุ่นรุกรานประเทศจีน ทำให้ตระกูลเฮ่อได้รับผลกระทบและล่มสลายไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเยี่ยเทียนเปิดฮวงจุ้ยของสุสานตอนที่ตั้งค่ายกลรวมวิญญาณ และใช้คาถารอดพ้นปัดเป่าให้พลังอัปมงคลหายไป ลูกหลานตระกูลเฮ่อก็คงต้องพบเจอกับภัยอีกมากมาย
แต่รากฐานของตระกูลเฮ่อที่สร้างโดยเฮ่อตงนั้นแข็งแรงมาก ราชาพนันแห่งมาเก๊าที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ก็มาจากตระกูลเฮ่อ แม้แต่ประธานบริหารคนที่หนึ่งหลังจากมาเก๊ากลับสู่จีน ก็มาจากตระกูลนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนผู้รักษาความยุติธรรมแซ่เฮ่อท่านนั้น เป็นหลานชายของเฮ่อตง หลังจากที่เขาได้รับมรดกก้อนใหญ่มาแล้ว เขาไม่เดินเส้นทางธุรกิจทางทะเล แค่เงินปันผลจากบริษัทต่างๆ ก็ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีของฮ่องกงแล้ว
เขาเป็นคนใช้ชีวิตแบบถ่อมตัว ยิ่งอายุมากยิ่งชอบในงานการกุศล ในช่วงยุค 1980 เขาได้รับตำแหน่ง “ท่านเซอร์” ซึ่งแต่งตั้งโดยพระราชินีแห่งอังกฤษ เขาจึงเป็นที่นับถือของคนฮ่องกงมาก
ด้วยเหตุนี้งานประมูลเพื่อการกุศลที่เขาจัดขึ้น ผู้ทีเดินทางมาร่วมมงาน ล้วนแต่เป็นมหาเศรษฐีของเกาะฮ่องกง หลายคนถึงขั้นรู้สึกว่าการที่ถูกเชิญมาร่วมงาน เป็นเกียรติที่สูงมาก เพราะคนที่ชื่อเชาเหรินท่านนั้นเป็นแขกประจำของเขา
“คุณเยี่ยให้เกียรติเดินทางมา ถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของผมเลยครับ เชิญ เชิญด้านในก่อนครับ”
หลังจากมั่นใจว่าเป็นเยี่ยเทียนแล้ว ท่าทีของท่านเซอร์เปลี่ยนไปทันที คนที่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมีตั้งแต่ประชาชนทั่วไป มหาเศรษฐีจนถึงข้าราชการ ส่วนชื่อเสียงของเยี่ยเทียนจะดังมากในสังคมชั้นสูง แม้แต่ หลี่เชาเหรินก็ยังคงยกย่อง ตอนนี้ท่านเซอร์เดินนำเยี่ยเทียนไปยังด้านในคฤหาสน์
“คนนั้นคือใครกัน หนุ่มขนาดนี้ ถึงกับให้ท่านเซอร์เดินไปด้วย”
“ไม่รู้สิ ไม่เหมือนคนฮ่องกง”
“พวกกบในกะลาเสียจริง คนนั้นชื่อเยี่ยเทียน มีชื่อเสียงตั้งหลายปีมาแล้ว”
การปฏิบัติของท่านเซอร์เฮ่อดึงดูดสายตาของแขกเป็นอย่างมาก หลายคนเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนสั่งสอนสำนักเจ็ดดาวเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่เยี่ยเทียนเองก็ไม่ปรากฏตัวที่ฮ่องกงแล้วหลายปี เศรษฐีใหม่ๆหลายคนจึงไม่รู้จักเขา
หลังจากเดินมาถึงห้องโถง คนที่ยืนพูดคุยกันอยู่ตรงกลางห้องโถงพวกนั้น เดินเข้ามาหาทันที หวาเซิ่งหัวเราะตั้งแต่ระยะห่างยังเหลืออีกสี่ห้าเมตร กล่าวว่า
“คุณเยี่ย นี่คุณมาด้วยเหรอ พบคุณได้ยากมากจริงๆ!”
“ท่านประธานหวาก็พูดเกินไป คนในประเทศเดือดร้อน ทุกคนต่างพากันสนับสนุน แล้วผมจะไม่สนใจได้อย่างไรกัน” เมื่อเห็นว่าหวาเซิ่งทำทีเหมือนสนิทกับตนมาก เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้
“ท่านประธานหวาผู้มีกิจการใหญ่โตนี่สิครับ วันนี้อย่าลืมบริจาคเงินเพื่อการกุศลเยอะๆนะครับ”
“คุณเยี่ยกำลังล้อเลียนผมหรือเปล่า กิจการแค่นั้นเอง จะเทียบกับคุณได้อย่างไรกัน”
รอยยิ้มของหวาเซิ่งขมขื่นเล็กน้อย พอเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ออกไป เดิมทีเขาแค่อยากมาร่วมสนุกเท่านั้น แต่ดูแล้วคงเลือดซิบไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงเป็นการไม่ไว้หน้าปรมาจารย์เยี่ยเป็นแน่
“ท่านประธานเยี่ย เหล่าเหวินก็มานะครับ ยังมีเพื่อนของท่านอีกคนหนึ่ง
” หวาเซิ่งหันซ้ายขวาและโบกมือให้กับคนทางนู้น ตะโกนว่า “เหล่าเหวิน คุณเยี่ยมา มาตรงนี้กับคุณเฉินสิ!”
“คุณเฉิน เฉินจิ้งหลันเหรอ”
เยี่ยเทียนที่ได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง พอเงยหน้ามองผู้หญิงที่กำลังเดินมาทางนี้ ก็คือเฉินจิ้งหลัน และข้างๆเธอยังมีเถ้าแก่เหวิน เหวินหลวนสงใส่สูทรองเท้าหนังมาด้วย เหวินหลวนสงอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังดูหนุ่มเหมือนสามสิบกว่า ถ้าเยี่ยเทียนตรวจเช็คการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตไม่เป็น คงคิดว่าหมอนี่เป็นผู้ฝึกวิชาเหมือนกัน
“คุณเยี่ย ไม่ได้เจอตั้งสองปี เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ!”
รอยยิ้มของเหวินหลวนสงดูเกร็งกว่าหวาเซิงที่อยู่ข้างๆเสียอีก เขารู้ว่าเยี่ยเทียนเคยดูแลเธอมาก่อน พอคิดถึงการกระทำของตัวหลายปีที่ผ่าน ในใจรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาทันที
เหวินหลวนสงกับหวาเซิ่งสนิทกันกว่า และยังรู้สิ่งที่เยี่ยเทียนทำเอาไว้ ได้ข่าวว่าเหตุการณ์ต่างประเทศหลายเหตุการณ์ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนไม่มากก็น้อย อย่างเช่นคนญี่ปุ่นหายสาบสูญเป็นกลุ่ม กับแก๊งรัสเซีย ดูเหมือนว่าจะมีเงาของเยี่ยเทียนเกี่ยวพันอยู่ทุกเรื่อง
“ท่านประธานเหวิน ท่านก็ยังแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะครับ”
เยี่ยเทียนแซวเล่นกับเหวินหลวนสงไม่กี่คำเสร็จ เขาหันไปหาเฉินจิ้งหลัน ยิ้มและกล่าวว่า
“พี่จิ้งหลัน พี่ยิ่งอยู่ยิ่งสวยนะครับ หนังที่พี่เพิ่งแสดงเร็วๆนี้ผมดูหมดแล้ว แสดงได้ดีมากเลยครับ”
ช่วงเวลาที่ภรรยาตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนใช้ชีวิตแบบคนธรรมดามากที่สุด บางทีเขาก็พาชิงหย่าไปดูหนังในโรงภาพยนต์ ประกอบกับลักษณะงานของอวี๋ชิงหย่าแล้ว ทำให้เขารู้เรื่องของเฉินจิ้งหลันอยู่ไม่น้อย
เฉินจิ้งหลันในวันนี้ ไม่ใช่ดาราเล็กๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่เธอแสดงเป็นตัวหลักในหนังฮอลลีวูดแล้วหลายเรื่อง ตอนนี้เธอได้เข้าไปอยู่ในตลาดยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนไม่คิดเหมือนกันว่า งานประมูลการกุศลครั้งนี้จะเชิญเธอมาร่วมได้
พอคิดถึงเรื่องเก่าๆ เยี่ยเทียนถอนหายใจ พริบตาเดียวผ่านไปแล้วสิบปี
เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เด็กผู้ชายบ้านๆเดินทางเข้ากรุงเพื่อไปเรียนหนังสือ ได้ถอดรูปแปลงร่าง อำนาจและความมั่งคั่งเป็นเพียงเมฆล่องลอยสำหรับเขา ส่วนเด็กผู้หญิงที่เข้าเรียนสถาบันภาพยนต์ในวันนั้น ได้กลายเป็นดาราภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และทุกๆวันจะเห็นเธอแทบทุกรายการบันเทิง
“เยี่ยเทียน ไม่ได้ข่าวคราวเธอนานมาก สบายดีไหม”
ความรู้สึกของเฉินจิ้งหลันซับซ้อนมากเมื่อเห็นหน้าเยี่ยเทียน เข้าวงการบันเทิงมานาน เคยมีแฟนมาแล้ว แต่ในใจส่วนลึกยังคงมีภาพผู้ชายที่ยิ้มเขินแล้วดูดีมากอยู่คนหนึ่งตลอดเวลา แต่เฉินจิ้งหลันเข้าใจว่า มันเป็นเพียงดอกไม้ในกระจกเงาเท่านั้น ระหว่างเขาสองคนไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้
“ก็สบายดีครับพี่จิ้งหลัน ถ้ามีภาพยนต์ใหม่ฉายอีก เอาตั๋วให้ผมด้วยนะ ไม่แน่นะ ถ้าลูกผมโตขึ้น เขาอาจจะเป็นแฟนคลับพี่ก็ได้!”
เยี่ยเทียนรู้สึกดีต่อเฉินจิ้งหลัน ผู้หญิงที่มีความมั่นใจมากคนนี้ มิฉะนั้นตอนนั้นเขาคงไม่ยื่นมือเข้าช่วยเธอ แต่ความรู้สึกดีก็คงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้ นอกจากอวี๋ชิงหย่าที่ลิขิตไว้แล้ว เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวความสัมพันธ์ใดอีก
“หา เธอมีลูกชายแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วจริง!”
เฉินจิ้งหลันเกิดความรู้สึกพูดไม่ออก เมื่อได้ยินแบบนั้น เธอมีชื่อเสียงโด่งดังทะลุฟ้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ เธอรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ น่าเบื่อซะจนมีความคิดอยากจะออกจากวงการ
เยี่ยเทียนสัมผัสความรู้สึกของเฉินจิ้งหลันได้ เขายิ้มและกล่าวว่า
“พี่จิ้งหลัน ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง พี่ควรจะใช้ชีวิตอยู่ในหน้าจอเนี่ยแหละ สู้ๆครับ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนมีพลังพิเศษ และเหมือนนสายลมเย็น ที่พัดหมอกในใจของเฉินจิ้งหลันออกไป เฉินจิ้งหลันยิ้มและกล่าวว่า
“เธอพูดถูก เยี่ยเทียน ครั้งหน้าถ้าภาพยนต์ของฉันฉายเมื่อไหร่ เธอต้องมาด้วยนะ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและตอบว่า
“พี่ไม่บอก ผมก็จะไปครับ พี่จิ้งหลัน ตรงนั้นมีคนรู้จัก เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยกับเขาก่อนนะครับ”
จิ้งหลันมองดูเยี่ยเทียนและคนข้างๆเดินจากไป เธอรู้ดีว่าโอกาสพูดคุยกับเยี่ยเทียนต่อจากนี้ จะน้อยลงกว่าเดิม เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แลดูล่องลอยราวกับไม่ใช่มนุษย์ที่อยู่บนโลกอย่างนั้น
“ซีกั๋ว มาได้ยังไงเนี่ย” เยี่ยเทียนไม่ได้ตั้งใจหลบเฉินจิ้งหลัน แต่เขาเห็นคนรู้จักจริงๆ และเขาคนนั้นก็คือหลิ่วซีกั๋วลูกเขยของจั่วเจียจวิ้น
“อาเล็ก อามาถึงฮ่องกงตั้งแต่ไหร่”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนที่นี่ หลิ่วซีกั๋วตกใจไม่เบา เมื่อวานเป็นวันรวมตัวของสำนักเสื้อป่าน เพราฉะนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนมาที่ฮ่องกง
ตอนที่ 893 ขอยา
“เซี่ยวเทียน มาได้อย่างไร? ช่วงนี้ติงติงมีอาการแพ้ท้องเยอะอยู่นะ”
เมื่อหันมาเห็นโจวเซี่ยวเทียน หลิ่วซีกั๋วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ลูกสาวกำลังตั้งครรภ์แต่ลูกเขยคนนี้กลับไม่ค่อยอยู่เป็นเพื่อนเธอเลย คนเป็นพ่อตาย่อมไม่ค่อยชอบใจนัก
“ซีกั๋ว
ผมเรียกเซี่ยวเทียนมาเอง” เยี่ยเทียนโบกมือ เอ่ยต่อว่า
“วันนี้ผมจับชีพจรตรวจติงติง ชีพจรแข็งแรงดี คุณไม่ต้องกังวล”
“อ่อ อาเล็ก!”
เยี่ยเทียนเอ่ยปากแล้ว หลิ่วซีกั๋วไม่กล้าสืบสาวราวเรื่องต่อ ถึงเขาจะไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักเสื้อป่าน แต่ก็รู้ว่าเยี่ยเทียนในสายตาของพ่อตานั้นไม่ธรรมดา หากจั่วเจียจวิ้นรู้ว่าเขาไม่เกรงใจเยี่ยเทียนผลที่ตามมาคงจะร้ายแรง
“ใช่แล้ว ซีกั๋ว ทำไมคุณถึงมาร่วมงานประมูลการกุศลครั้งนี้?”
คุยเล่นกันเล็กน้อยแล้วเยี่ยเทียนหันไปถามหลิ่วซีกั๋ว หลายปีมานี้จั่วเจียจวิ้นถอยออกมาจากวงการธุรกิจ แต่ด้วยอิทธิพลของจั่วเจียจวิ้นที่ยังอยู่จึงยังมีสิทธ์จะไปออกงานประมูลการกุศล
ได้ฟังดังนั้นหลิ่วซีกั๋วชี้ไปทางมุมห้องโถงที่มีคนชราหลายคนนั่งอยู่ แล้วบอกว่า
“อาเล็ก คุณเจิ้งเชิญพวกเรามา ในพื้นที่มีเหตุแผ่นดินไหว พวกเรากลุ่มพ่อค้าอัญมณีก็ต้องออกแรงช่วยเหลือ
“อ๋อ? เป็นเขานี่เอง?”
เห็นคนชราคนนั้นแล้วเยี่ยเทียนเห็นด้วย คนๆนี้ก็เป็นทรัพยากรบุคคลที่หายากคนหนึ่ง จากแรกเริ่มทำธุรกิจลักลอบขนส่งผิดกฎหมายจนร่ำรวย จากนั้นเริ่มทำธุรกิจการขนส่งทางเรือ ธุรกิจการพนัน และธุรกิจอัญมณี ทุกๆงานที่เขาทำต่างรุ่งเรืองจนฐานะเกือบเทียบเท่าถังเหวินหย่วนในเกาะฮ่องกง
พอนึกถึงถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนมองเห็นชายชราเดินออกมาจากห้องรับแขกพร้อมกับหลี่เชาเหริน ทั้งสองรู้สึกว่ามีสายตาของเยี่ยเทียนที่จับจ้องพวกเขาอยู่จึงหันกลับมามอง
“เยี่ยเทียน ถ้าบอกว่าเธอจะมาด้วยแต่แรก ฉันก็จะมากับเธอด้วยแล้ว”
ถังเหวินหย่วนเห็นเยี่ยเทียนก็รีบเดินเข้ามา ท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนอายุแปดสิบกว่าปี จนแม้แต่ หลี่เชาเหรินเห็นแล้วยังอิจฉาตาร้อน
“เหล่าถัง อีกไม่กี่วันผมก็จะไปแล้ว ถึงเวลานั้นคุณค่อยกลับไป”
เยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนทักทายกัน หันมามองหลี่เชาเหรินแล้วพูดว่า
“คุณหลี่ก็มาด้วย งานการกุศลแบบนี้ยังไงก็ต้องการการสนับสนุนจากเถ้าแก่ใหญ่ฝั่งฮ่องกง!”
ด้วยอายุของเยี่ยเทียนคำพูดแบบนี้ดูจะใหญ่เกินตัว แต่เมื่อเป็นเขาพูดออกมากลับไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะสม ราวกับว่าคำพูดแบบนี้พูดเป็นปกติ สีหน้าของหลี่เชาเหรินก็ไม่ได้ดูไม่พอใจ
หลี่เชาเหรินขยับแว่นกันแดดที่ใส่มาหลายสิบปีของเขาแล้วตอบว่า
“คุณเยี่ย เงินของผมนั้นได้มาจากสังคม แน่นอนว่าจะต้องคืนให้สังคมบ้าง…”
“งั้นก็ดี ทำบุญสร้างกุศลไว้มากๆ จะได้รับผลดีตอบแทน”
เยี่ยเทียนหัวเราะ เขากักเก็บซ่อนพลังในร่างกายไว้แล้ว แต่รังสีของความไม่ธรรมดายังแผ่ออกมา ทำให้คนอื่นๆรู้สึกว่าเยี่ยเทียนเป็นคนจากที่สูงที่กำลังก้มลงมองเบื้องล่าง
“คุณเยี่ยพูดถูกแล้ว”
หลี่เชาเหรินยิ้มรับ สีหน้าบังเกิดความลังเลไม่แน่ใจก่อนจะถามต่อว่า
“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าจะขอคุยเป็นการส่วนตัวด้วยหน่อยได้ไหม?”
“เอ๋? มีเรื่องอะไร”
เยี่ยเทียนนิ่งค้าง เขาไม่มีธุรกิจในฮ่องกงยิ่งไม่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มพ่อค้าพวกนี้มาก่อน ทำไมถึงต้องแสดงท่าทางเคารพนบนอบต่อเขามากขนาดนี้?
หลี่เชาเหรินยังไม่ทันเอ่ยปาก ถังเหวินหย่วนที่อยู่ข้างๆพูดแทรกขึ้นมา
“เยี่ยเทียน คือ…คือว่าฉันผิดเองที่พูดมากไป”
“เอ๋? เหล่าถัง คุณก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่รู้หรือว่าห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เขาคิดว่าถังเหวินหย่วนเอาเรื่องที่เขาตั้งค่ายกลในบ้านพูดออกไป จึงรู้สึกไม่ชอบใจ
แม้ค่ายกลนั้นจะชักนำพลังธรรมชาติมาจากมหาสมุทร แต่ยังได้รับพลังโชคลาภของเกาะฮ่องกงไปด้วย ถ้าเรื่องนี้ถูกพวกเศรษฐีในฮ่องกงรู้เข้า จะต้องเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เกรงว่าถึงตอนนั้นชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นต้องพังพินาศ
“เยี่ยเทียน ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”
ถังเหวินหยวนถูกเยี่ยเทียนต่อว่าจนเสียหน้า แต่ด้วยทั้งสถานะทางสังคมและการฝึกวิชาของเยี่ยเทียนสูงกว่าเขาทั้งสิ้น หากถูกอบรมนิดหน่อยถังเหวินหย่วนก็ไม่กล้าโต้เถียง
“เอาเถอะ เซี่ยวเทียน เหลยหู่ พวกแกรอฉันอยู่ข้างนอก ตรงนั้นมีคนหนุ่มคนสาวเยอะแยะ พวกแกไปรอแถวนั้นก่อนก็ได้!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วกลับหลังหันเดินเข้าห้องไป แล้วจู่ๆก็ชะงักฝีเท้า กวาดตามองไปรอบห้องโถงใหญ่
ตอนนี้เองที่ประตูใหญ่เปิดออก มีคนห้าหกคนเดินเข้ามา ผู้ที่เดินนำกลุ่มเข้ามาเป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคน หน้าตาบุคลิกของทั้งคู่ดูไม่ธรรมดา ผู้ที่เดินตามหลังพวกเขาเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยดูคล้ายคลึงกับคู่สามีภรรยาด้านหน้า น่าจะเป็นลูกๆของพวกเขา
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเยี่ยเทียนกลับไม่ใช่คู่สามีภรรยาและหญิงสาว แต่เป็นชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างสาวน้อย อายุของเขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเยี่ยเทียน ที่หน้าตาท่าทางไม่เหมือนคนอื่นๆ แต่ดูทึ่มๆเล็กน้อย
“คนนั้นเป็นใคร?”
เยี่ยเทียนพยักเพยิดไปทางนั้นแล้วถามถังเหวินหย่วน
“ไม่รู้จัก คนพวกนั้นดูหน้าไม่คุ้นเลย”
ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า แล้วมองหน้าเยี่ยเทียนด้วยสายตาแปลกประหลาด ในความคิดของเขาเยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจเรื่องใดและไม่เคยกระตือรือร้นไปทำความรู้จักใครก่อน
หันมามองหลี่เชาเหรินแล้วถังเหวินหย่วนถามต่อว่า
“คุณหลี่ คุณรู้จักคนพวกนั้นไหม?”
หลี่เชาเหรินหันไปมองแล้วตอบด้วยความไม่แน่ใจ
“สองคนข้างหน้าเหมือนจะเคยเจอ น่าจะเป็นพี่คนโตของตระกูลฉินนะ ส่วนด้านหลังผมไม่รู้จัก”
“อัญมณีตระกูลฉิน? ถ้าอย่างนั้นฉันพอจะเคยได้ยิน”
ถังเหวินหย่วนพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“เจ้าของกิจการอัญมณีในฮ่องกง พวกเขาถือว่าได้ผลประกอบการไม่เลวเลย ส่วนเด็กสองคนนั้นน่าจะเป็นทายาทของตระกูลฉิน?”
พอรู้ว่าเป็นเจ้าของกิจการตระกูลฉิน ถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้สนใจอะไร ในวงการอัญมณีผู้ที่พอจะเข้าตา ถังเหวินหย่วนได้น่าจะเป็นกิจการของตระกูลเจิ้ง แต่เขากับผู้เฒ่าเจิ้งคนนั้นไม่ค่อยถูกกันนัก จึงมักไม่เข้าไปร่วมอยู่ในวังวนเดียวกัน
โจวเซี่ยวเทียนที่สังเกตเห็น พอจะเดาได้ว่าเยี่ยเทียนคิดอะไร
“อาจารย์ อาจารย์หมายถึงคนที่อยู่ด้านหลังคนนั้นใช่ไหม?”
“อืม แกรู้จักเหรอ?”
เยี่ยเทียนหันมาถามโจวเซี่ยวเทียน
“ผมไม่รู้จัก แต่เคยพบเขาตามงาน เขาชื่อจวงรุ่ย ทำเกี่ยวกับการค้าวัตถุโบราณ ในปักกิ่งเขาพอจะมีชื่อเสียงทางด้านนี้”
โจวเซี่ยวเทียนเคยช่วยเยี่ยตงผิงค้าขายวัตถุโบราณ ต่อมามักจะติดตามเยี่ยตงผิงไปตามงานประมูลวัตถุโบราณ และรู้จักกับจวงรุ่ยคนนี้ จากนั้นโจวเซี่ยวเทียนได้ส่งกระแสเสียงจิตไปกระซิบบอกว่า
“อาจารย์ ตาของเขาคือโอวหยางกัง เป็นคนมีอิทธิพลมากในปักกิ่ง
“เอ๋? เป็นหลานชายของโอวหยางกังหรอกหรือ? ไม่ผิดแน่ น่าสนใจจริงๆ”
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา พื้นเพของคนๆนี้มีความคล้ายคลึงกับตนเอง โอวหยางกังคนนั้นเขารู้จักดีว่าเมื่อก่อนเป็นขุนพลผู้บุกเบิกชาติจีนคนหนึ่ง และยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อำนาจบารมีของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าซ่งเฮ่าเทียนเลย
แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มจวงรุ่ยคนนี้มีความคล้ายคลึงกับเจียงซาน ในร่างกายของเขามีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งแม้แต่เยี่ยเทียนยังดูไม่ออก พลังที่ซ่อนเร้นของเขานี้สามารถทำให้เจ้าของมีความสามารถพิเศษใดได้บ้าง?
“เยี่ยเทียน ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ถังเหวินหย่วนเห็นเยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปนานจึงถามต่อว่า
“ไม่งั้น….ฉันให้คนไปสืบเรื่องของคนพวกนั้นมาดีไหม?”
“ไม่ต้องหรอก เหล่าถัง ไป….เข้าไปกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า บนโลกอันกว้างใหญ่ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่พิเศษ เจียงซานศิษย์อีกคนของเขากับเจ้าหนุ่มจวงรุ่ยคนนี้ ต่างเป็นคนที่ได้รับพรสวรรค์จากฟ้า
เยี่ยเทียนพิจารณารูปลักษณ์ของเขาแล้ว อนาคตของจวงรุ่ยจะต้องเป็นเศรษฐี ทั้งยังจะได้เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพียงแต่วิถีแห่งความประสบความสำเร็จที่เลือกนั้นอาจจะไม่เหมือนคนอื่น เยี่ยเทียนไม่มีข้อวิจารณ์ใดในเรื่องนี้
เมื่อเยี่ยเทียนละสายตาจากพวกเขาไปแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นถึงหันมามองด้วยความสงสัย แต่ได้เห็นเพียงแค่เงาเบื้องหลังของพวกเขา แล้วก็ถูกหญิงสาวข้างๆดึงตัวเข้าไปในห้องรับแขก
เยี่ยเทียน ถังเหวินหยวนและหลี่เชาเหรินเดินเข้ามาถึงห้องหนังสือของท่านเซอร์เฮ่อ เมื่อเข้าไปแล้วบริกรส่งน้ำชาให้พวกเขาสามแก้ว แล้วปิดประตูลง เยี่ยเทียนถามขึ้นเรียบๆว่า
“มีอะไรก็ว่ามา?”
“คุณเยี่ย เรื่องนี้อย่าได้ตำหนิคุณถังเลย เป็นเพราะผมตื๊อเขาเอง”
ไม่ต้องรอให้ถังเหวินหย่วนเอ่ยปาก หลี่เชาเหรินรีบอธิบายขึ้นมา
“คุณเยี่ย ผมอายุมากแล้ว ช่วงนี้กำลังวังชาถดถอย ได้ยินจากคุณถังว่าคุณปรุงยาวิเศษขึ้นมาได้ชนิดหนึ่ง กินเข้าไปแล้วทำให้อายุยืนไม่แก่โทรม ผมอยากจะขอยานั้นจากคุณ!”
ฮ่องกงอันกว้างขวางใหญ่โต พวกอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้มักมีเวลาพบปะสนทนากันบ่อย เมื่อสังเกตเห็นร่างกายที่สูงวัยทรุดโทรมของถังเหวินหย่วนจู่ๆเกิดดูมีเรี่ยวแรงเพิ่มพูนเหมือนหนุ่มๆ เป็นที่น่าสงสัยแก่ผู้ที่ได้พบเจอยิ่ง
หลี่เชาเหรินสนิทสนมกับถังเหวินหย่วนเป็นอย่างดี จึงอาศัยจังหวะบังคับถามเขา ถังเหวินหย่วนไม่กล้าพูดถึงเรื่องค่ายกลในบ้าน แต่ก็ถูกต้อนจนจนมุม จึงได้อ้างเหตุผลอื่นขึ้นมาหลอกล่อ โดยใช้ยาที่โก่วซินเจียปรุงขึ้นเป็นตัวล่อ
“เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”
เยี่ยเทียนฟังจบถึงรู้ว่าตัวเองโทษถังเหวินหย่วนผิดไป เขายิ้มอย่างขออภัย แล้วตอบว่า
“ยานั้นมีค่ามหาศาล ผมมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่ในเมื่อคุณหลี่เอ่ยปากแล้ว ผมจะนำออกมาเม็ดหนึ่งเพื่อใช้เป็นของประมูลในคืนนี้ คุณจะได้ไปหรือไม่นั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่คุณแล้ว!”
ระหว่างทางที่มาเยี่ยเทียนได้ฟังเหลยหู่เล่าว่าแขกที่มาในงานประมูลการกุศลครั้งนี้ต่างนำเอาสิ่งของออกประมูลคนละหนึ่งชิ้น เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าจะหาหยกสักชิ้นมาสร้างเป็นเครื่องรางแล้วนำออกประมูล แต่เมื่อถูกหลี่เชาเหรินขอยาวิเศษ เขาจึงเปลี่ยนใจ
ยาที่ว่านี้ไม่ค่อยมีประโยชน์กับเยี่ยเทียนนัก แต่สำหรับบุคคลทั่วไปแล้วกลับเป็นเหมือนยาวิเศษจากสวรรค์ กินเข้าไปเม็ดหนึ่งสามารถเพิ่มอายุได้มากถึงห้าปีโดยไม่มีปัญหา
ยาชนิดนี้เยี่ยเทียนไม่นำออกจำหน่ายแน่ เพียงแต่ใช้เป็นสิ่งของประมูลเพื่อให้โอกาสหลี่เชาเหรินได้สร้างกุศลเพื่อแลกกับยาตามความประสงค์
ตอนที่ 894 ประมูล (1)
“คุณหลี่ คุณก็รู้ว่าผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน วันนี้ถ้าคุณอยากได้ยา ก็อย่าไปเที่ยวป่าวประกาศเชียว”
ลาภยศสรรเสริญในโลกมนุษย์ตอนนี้สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นของไร้ค่า ถ้าไม่มีครอบครัวเป็นบ่วงรัดอยู่ เขาคงจะหลบหนีไปอยู่ในโลกแห่งความสงบว่างเปล่านานแล้ว ดังนั้นเขาไม่ต้องการให้พวกพ่อค้าใจโลภเหล่านี้มารบกวน
สำนวนโบราณที่ว่าถ้ามีเงินจะสั่งให้ผีทำงานให้ก็ยังได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เหล่าพ่อค้าคหบดีเห็นด้วย หากเรื่องยาอายุวัฒนะของเยี่ยเทียนถูกแพร่ออกไป เยี่ยเทียนกลัวว่าจะมีคนจำนวนมากมาหาเขาทุกวันเพื่อมอบเงินจำนวนมหาศาลแลกกับยาวิเศษ
“คุณเยี่ย วางใจเถอะครับ ผมไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ”
หลี่เชาเหรินได้ยินดังนั้นก็รีบรับปากอย่างดีใจ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือสามัญชนต่างอยากมีอายุยืนยาว ยิ่งผู้ที่มีทรัพย์มาก ยิ่งรักชีวิต
“เอาล่ะ พวกเราออกไปเถอะ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถ้าไม่ใช่หลายปีมานี้หลี่เชาเหรินหมั่นทำความดีสร้างบุญกุศลแล้วเยี่ยเทียนไม่มีทางยอมมอบยาให้แน่ การให้คนแบบนี้มีชีวิตยืนยาว ถือเป็นการสร้างกุศลทางหนึ่งของเยี่ยเทียน ถ้าเปลี่ยนเป็นให้คนเลวมีชีวิตยืนยาวต่อให้เขายอมใช้เงินมากกว่านี้มาแลก เยี่ยเทียนจะไม่สนใจเลย
“คุณหลี่ออกมาแล้ว”
“เอ๋? คนที่ยืนอยู่ข้างคุณหลี่คนนั้นเป็นใครหรือ?”
“นั่นนะสิ คนหนุ่มคนนั้นทำไมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง?”
เยี่ยเทียนยืนอยู่กับถังเหวินหย่วนและหลี่เชาเหริน แขกคนอื่นๆในห้องโถงต่างหันมาจับจ้อง นี่เป็นกฎของแรงดึงดูด ต่อให้หลี่เชาเหรินเป็นคนต่ำต้อยกว่านี้ก็ไม่มีทางกลบรัศมีของความเชื่อมั่นในตนเองและความร่ำรวยที่แผ่ออกมาได้
“พูดน้อยๆหน่อย คนนั้นคืออาจารย์เยี่ย!”
“เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับอาจารย์จั่ว อย่าไปมีปัญหากับเขาเชียว!”
คนที่ไม่รู้จักเยี่ยเทียนส่วนใหญ่จะเป็นทายาทรุ่นสามของเถ้าแก่แห่งเกาะฮ่องกง คำพูดของพวกเขาถูกผู้อาวุโสของตัวเองตำหนิ เพราะไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ คนที่ทำธุรกิจมักไม่นิยมมีปัญหากับคนในสำนักวิชา
“คนที่ชื่อจวงรุ่ยคนนั้น มีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่?”
เยี่ยเทียนรู้สึกถึงสายตาที่มองเขาอยู่ทางด้านหลัง เขาหันหลังกลับไปยิ้มให้จวงรุ่ยที่นั่งอยู่กับสาวสวยอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วหันกลับมาพูดกับหลี่เชาเหรินว่า
“คุณหลี่ คุณตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปอยู่กับพวกลูกศิษย์ของผม”
“คุณเยี่ย ผมจะไปนั่งตรงนั้น รู้ว่าคุณไม่อยากนั่งรวมกับพวกคนแก่อย่างผมตรงนี้!”
หลี่เชาเหรินหัวเราะ หลังจากเยี่ยเทียนรับปากเขาแล้ว เขาก็ดูอ่อนเยาว์ลง แล้วนั่งลงในห้องหนังสือของท่านเซอร์เฮ่อ พร้อมกับถังเหวินหย่วนและคนอื่นๆ
งานเลี้ยงประมูลการกุศลแบบนี้แม้จะเป็นงานที่จัดเรียบง่าย แต่ยังมีขอบเขตของชนชั้นทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเจ้าของอย่างท่านเซอร์เฮ่อ ที่เป็นบริษัทเก่าแก่มีชื่อเสียงมานาน แม้มีเพียงสี่ห้าคนแต่ก็เป็นจำนวนหนึ่งในสามของคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ และแน่นอนว่าที่นั่งด้านข้างของพวกเขาไม่มีใครกล้าเข้ามานั่งด้วย
อย่างเช่นเจ้าของธุรกิจหวาเซิ่งอย่างเหวินหลวนสงเป็นทายาทรุ่นที่สองที่สามของมหาเศรษฐีแห่งเกาะฮ่องกงมีจำนวนคนมาด้วยมากหน่อย นั่งกินพื้นที่ไปประมาณหนึ่งในสามของทั้งหมด พวกเขาท่าทางวางก้ามมากกว่าคนชราที่มานั่งจิบชาดูการประมูล เสียงหัวเราะดังมาจากทางพวกเขาเป็นระยะ
ในห้องโถงนอกจากคนพวกนี้แล้วยังมีคนหนุ่มสาวที่เป็นทายาทลูกหลานของเหล่าเศรษฐี พวกเขาก็มีขอบเขตของตัวเองเช่นกัน คนที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันก็จับกลุ่มพูดคุย เทียบกับรุ่นพ่อแม่แล้วพวกเขาดูสง่างามกว่าแต่แฝงไปด้วยความหยิ่งทระนง
“ทำไม เซี่ยวเทียน ไม่ไปพูดคุยกับพวกเขาล่ะ?”
เยี่ยเทียนเดินมาถึงมุมห้อง ตบหัวโจวเซี่ยวเทียน ที่กำลังดื่มสุราอยู่เงียบๆ
“ฉันว่าอีกหน่อยแกต้องกลายเป็นทาสเมียแน่ เพิ่งแยกกันได้ครู่เดียวก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว?”
“อาจารย์ ไม่ใช่นะ”
โจวเซี่ยวเทียนหน้าแดงรีบอธิบายต่อว่า
“ผม…ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพวกเขา”
“ก็จริง พวกคนแก่ก็ถือเนื้อถือตัว ส่วนคนหนุ่มสาวก็หยิ่งทระนงตน ไม่มีอะไรให้คุยหรอก”
เยี่ยเทียนหูกระดิก เขาได้ยินเสียงวิจารณ์ที่ลอยมาเข้าหู อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ที่ไม่อยากคบหาสุงสิงกับคนพวกนี้เลย ตัวเขาที่อยู่ในวงการมานานยังขี้เกียจไปเจรจาพาทีด้วย
“อาจารย์ นี่อาจารย์ว่าผมหรือ?”
เหลยหู่ไม่รู้ว่ามุดมาจากรูไหน ขั้นวิชาของเขาเข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้ว เสียงของเยี่ยเทียนไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ยิน
“รับแกเข้าสำนักนี่ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ เหลยหู่ สำนักเสื้อป่านต่อไปต้องให้แกดูแล”
เยี่ยเทียนเห็นว่าเหลยหู่พูดคุยกับคนพวกนั้นอย่างออกรส ยังได้รับการสนับสนุนจากเหวินหลวนสง เหลยหู่ที่เข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้ว พลังอาฆาตที่สะสมในร่างกายเป็นแรมปีสูญสลายหมดสิ้น จนบางครั้งเปล่งพลังเซียนเทียนออกมาเป็นครั้งคราว เป็นที่ดึงดูดคนภายนอกให้เข้าใกล้
เหลยหู่พยักหน้า
“อาจารย์ วางใจเถอะ รอให้พวกเราจากไปก่อน ผมจะทำให้สำนักเสื้อป่านของเราเจริญรุ่งเรือง
“จากไป? อาจารย์ จะไปไหน?”
โจวเซี่ยวเทียน ได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ จากความหมายของเหลยหู่รู้สึกเหมือนว่าการจากไปนั้นจะไม่หวนกลับมาอีกเลย
“รอจนแกเข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้วก็รู้เอง ตอนนี้ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้น”
เยี่ยเทียนโบกมือแล้วไม่อธิบายอะไรต่ออีก โจวเซี่ยวเทียนยังอยู่ในระดับชั้นโฮ่วเทียนขั้นสูง ดวงจิตยังไม่เปลี่ยนเป็นจิตดั้งเดิม พลังวิเศษจากค่ายกลนั้นยังพอให้เขาดูดซับได้อยู่ แต่ถ้าเข้าสู้ระดับเซียนเทียนเมื่อไหร่ เขาจะเข้าใจเองว่าไม่ว่าจะทั้งพลังวิเศษอันหายากหรือพลังอากาศมลพิษที่มีอยู่บนพื้นโลกล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกถึงขั้นเซียนเทียนทนรับไม่ได้
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานประมูลการกุศลที่จัดขึ้นโดยท่านเซอร์เฮ่อ ทุกๆท่านคงทราบดีว่าในประเทศของเราตอนนี้กำลังเกิดวิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติ ประชาชนจำนวนมากกลายเป็นผู้ประสบภัย…..”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังคุยกับศิษย์ทั้งสองอยู่นั้น เสียงของเฉินจิ้งหลันดังขึ้นในห้องโถง แสงไฟสปอร์ตไลท์สาดส่องลงบนตัวเธอ งานประมูลการกุศลได้เริ่มขึ้นแล้ว
“วันนี้ประธานงานประมูลได้แก่คุณหลี่และคุณถังเหวินหย่วน….”
หลังจากแนะนำแขกกิตติมศักดิ์ซึ่งเป็นคหบดีใหญ่หลายคนแล้ว เฉินจิ้งหลันยังหันไปมองที่เยี่ยเทียน เห็น เยี่ยเทียนส่ายหัวเล็กน้อย เธอยิ้มมุมปากแล้วแนะนำคนอื่นๆต่อ
“ยังมีคุณเหวินหลวนสง คุณหวาเซิ่ง เจิ้งเจวี๋ยซื่อ….”
รายชื่อแขกเกือบทุกคนในงานถูกประกาศจนครบ เฉินจิ้งหลันพูดต่อว่า
“คืนนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านสามารถนำของรักของหวงของตัวเองออกมาร่วมประมูลได้คนละหนึ่งชิ้น ส่วนผู้ประมูลซื้อแน่นอนว่าต้องเป็นท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ เงินที่ได้จากการประมูลทั้งหมดจะมอบให้กับผู้ประสบภัย หวังว่าทุกท่านจะประมูลกันอย่างเต็มที่….
และงานประมูลในคืนนี้มีดิฉันและคุณเฮนรี่เป็นผู้ดำเนินรายการ การประมูลจะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ไม่ทราบว่าท่านใดจะเป็นผู้มอบของประมูลชิ้นแรกออกมา?”
ข้างกายของเฉินจิ้งหลันมีชายชาวต่างชาติยืนอยู่ เยี่ยเทียนเห็นดังนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา โลกนี้ช่างกลมเสียจริง คุณเฮนรี่คนนี้เป็นคนเดียวกับที่เยี่ยเทียนเจอในงานประมูลคัมภีร์ไคหยวน เมื่อก่อนพวกเขาทั้งสองเคยติดต่อธุระกันมาก่อน
“งานการกุศลต้องพูดน้อยทำมาก งานการกุศลครั้งนี้เกิดจากความคิดของผม งั้นผมขอเป็นคนเริ่มต้นก็แล้วกัน!”
เสียงของเฉินจิ้งหลันยังไม่ทันขาดคำ ท่านเซอร์เฮ่อ ก็พูดขึ้นมา
“ในยุคปี 80 ผมเคยประมูลแจกันลายเส้นเคลือบสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง วันนี้ผมนำมันออกมาประมูล ราคาเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งหมื่นหยวน ใครอยากเป็นเจ้าของเริ่มประมูลราคากันได้เลย!”
ตามด้วยเสียงของท่านเซอร์เฮ่อ พนักงานบริกรสองคนได้ถือเอาแจกันลายเคลือบคู่หนึ่งออกมาตั้งบนโต๊ะด้านหน้าของเฮนรี่ แจกันลายเส้นเคลือบคู่นี้สูงประมาณ 12.7 เซนติเมตร ฝีมือแกะสลักละเอียดประณีต ด้านบนมีแสงไฟส่องลงมาต้องตัวแจกันให้โดดเด่น ทั้งการย้อมสีและลวดลายเป็นแบบศิลปะตะวันตก
“ท่านเซอร์เฮ่อตั้งราคาไว้ต่ำจริง แจกันคู่นี้ ถ้าเป็นในงานประมูลอื่นมันต้องราคาอย่างน้อยสามล้านเหรียญฮ่องกงขึ้นไป!”
เฮนรี่ประกาศออกมาเป็นภาษาฮ่องกงอย่างคล่องแคล่ว ต่อด้วยการสาธยายคุณค่าของแจกันลายเส้นเคลือบโบราณชิ้นนี้
สรรพคุณที่เฮนรี่บรรยายยังถือว่าไม่เกินตัว แจกันกระเบื้องแตกง่ายรักษายาก การจะหาเป็นคู่โดยสมบูรณ์ยิ่งยากขึ้นไปอีก ถ้าบอกว่าแจกันใบหนึ่งมีค่าสามหมื่นหยวนแล้ว สองใบคู่กันนั้นจะต้องมีมูลค่าสูงกว่าแปดหมื่นหยวน
“ความเมตตาของท่านเซอร์เฮ่อ ช่างน่าประทับใจมาก ผมประมูลสิบล้านเหรียญฮ่องกง!”
ในที่นั้นยังมีคนที่รู้มูลค่าของอยู่บ้าง สิ้นเสียงของเฮนรี่ก็มีคนร้องตะโกนขึ้นมา
“สิบสองล้านเหรียญฮ่องกง!”
การประมูลราคาแบบนี้ มูลค่าของสิ่งของนั้นไม่สำคัญ แต่ไม่มีใครอยากเป็นคนขี้งกในสายตาคนอื่น การเสียเงินเป็นสิบล้านเพื่อซื้อของราคาหมื่นเดียว ท่านเซอร์เฮ่อยอมนำของมีค่าของแท้ออกมา คนอื่นๆก็ต้องไว้หน้าเขาให้ราคาสูง
“สิบห้าล้าน!”
“ฉันให้สิบแปดล้านเหรียญฮ่องกง!”
ปีหลังๆมานี้ราคาวัตถุเครื่องกระเบื้องจากราชวงศ์ชิงนั้นถูกตั้งราคาไว้สูงมาก ในบ้านของมหาเศรษฐีแต่ละคนต้องมีไว้ประดับบารมี ราคาประมูลตอนนี้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“อาจารย์ เราจะเอาไหม?”
เมื่อก่อนเหลยหู่เห็นของดีชิ้นไหนเข้า ถ้าไม่แย่งมาด้วยปืนก็จะชิงมาดื้อๆ งานประมูลชนิดนี้เขาไม่ค่อยได้เข้าร่วม เห็นคนอื่นตะโกนราคาประมูลยิ่งสูงขึ้น ยิ่งรู้สึกนั่งไม่ติด
“แกพูดเป็นเล่นไป ฉันให้แกห้าสิบล้านไปทำอะไร?”
เยี่ยเทียนถลึงตาใส่เหลยหู่อย่างไม่สบอารมณ์
“วันนี้มาเสียเงิน แกก็กล้าๆใช้เงินไปเลย?”
“ครับ อาจารย์ อาจารย์ดูให้ดีนะ!”
ฟังเยี่ยเทียนว่าดังนั้น เหลยหู่หัวเราะชอบใจ เขายกมือซ้ายขึ้นสูง ยังไม่ทันฟังว่าราคาสุดท้ายที่มีคนเสนอไปนั้นเท่าไหร่ เขาตะโกนออกไปเสียงดังฟังชัด
“ฉันให้สิบห้าล้าน!”
“ให้ตายสิ ขายหน้าจริง เมื่อครู่คนอื่นเสนอราคาไปสิบแปดล้าน แกพูดอะไรของแก?”
เสียงของเหลยหู่ยังไม่ทันจบ เยี่ยเทียนเกือบจะตบกะโหลกเขาเข้าให้
“คุณผู้ชายท่านนี้ ก่อนหน้าคุณมีคนเสนอราคาไว้ที่สิบแปดล้านแล้ว คุณไม่สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่านี้ได้!”
เสียงของเฮนรี่ทำให้ทุกคนในห้องหันมาจับจ้องที่พวกเยี่ยเทียนทันที บางคนแอบหันกลับไปยิ้มเยาะ งานประมูลการกุศลแบบนี้ ไม่ได้เป็นงานเล็กๆ ทั่วไป
ตอนที่ 895 ประมูล (2)
“เจ้านั่นมาจากไหนน่ะ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้?”
“นั่นน่ะสิ คนอื่นเขาเสนอราคาตั้งสิบแปดล้านแล้ว เขายังกล้าพูดว่าสิบห้าล้านอีก?”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วห้องโถง แต่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว คนที่อายุมากกว่าสี่สิบต่างรู้จักเหลยหู่ทั้งนั้น ถึงเรื่องที่เหลยหู่ทำจะน่าอับอายแค่ไหน แต่อิทธิพลของสมาคมหงเหมินนั้นคนเหล่านี้มีหรือจะกล้าดูถูก?
ผู้ใหญ่หลายคนรีบห้ามปรามบุตรหลานของตัวเอง ภัยจากปากของตัวเองไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย ถ้าถูกเหลยหู่จับตามองเข้าวันรุ่งขึ้นได้กลายเป็นหมาหัวเน่าถูกถลกหนังนอนอยู่ข้างถนน
“นี่? หุบปากกันให้หมด!”
จากเสียงพึมพำที่ดังขึ้นทั้งห้องโถง ถูกอีกเสียงหนักแน่นที่สั่งอย่างเด็ดขาด ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่ดังขึ้น ภายในชั่วลมหายใจทั้งห้องโถงก็เงียบกริบ สายตาของทุกคนสอดส่ายตามหาต้นเสียงด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจ
“แกนี่ ไม่กลัวว่าพวกคนแก่เขาจะตกใจจนล้มป่วยหรือ?”
เสียงคำรามของเหลยหู่ดังขึ้น เยี่ยเทียนฟาดมือลงบนศีรษะของเขาทันที ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดามีหรือจะรองรับเสียงทรงอำนาจจากพลังปราณเดิมแท้ของเขาได้ ถ้าไม่ได้เยี่ยเทียนห้ามไว้เรื่องราวคงจะบานปลาย
“อาจารย์ ทำให้อาจารย์ขายหน้าเลย”
เหลยหู่หดหัวกลับและกล่าวโทษตัวเอง เขาพลาดไปที่ยังไม่ฟังให้ชัดเจนว่าราคาตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่แล้ว พรุ่งนี้เรื่องนี้คงจะเป็นข่าวตลกโปกฮาไปทั่วทั้งเกาะฮ่องกง
“ขายหน้าอะไรกัน?” เยี่ยเทียนสะบัดมืออย่างไม่สบอารมณ์ “แกไปนั่งที่อื่นไป ก็แค่เรื่องเงินแค่นี้เอง? เงินทำให้ขายหน้าได้ ก็ใช้เงินเรียกหน้ากลับคืนมาได้!”
ได้ยินดังนั้นแล้วเหลยหู่ยอมย้ายไปนั่งอีกด้านแต่โดยดี แล้วตะโกนขึ้นไปบอกพิธีกรบนเวทีว่า
“เริ่มประมูลต่อได้แล้ว!”
เสียงดังของเหลยหู่แฝงด้วยพลังปราณแท้ที่ทำให้คนจิตใจสงบลง ตามด้วยเสียงของเขา ผู้คนในห้องโถงพากันถอนใจยาวอย่างโล่งใจ ส่วนคนหนุ่มที่หัวเราะเยาะเมื่อครู่ ตอนนี้หันมามองเหลยหู่ด้วยแววตาหวาดหวั่น
“อะแฮ่ม เมื่อครู่คุณผู้ชายท่านนี้ได้ล้อเล่นกับทุกท่านเล็กน้อย….”
เฮนรี่ดึงเกมส์กลับมาได้ทัน เหลยหู่ช่วยให้เขาประคับประคองงานไปได้ กล่าวต่อว่า
“ด้านล่างเริ่มประมูลต่อกันได้เลยครับ คุณหวงให้ราคาสิบแปดล้านแล้ว ยังมีใครให้สูงกว่านี้อีกไหมครับ?”
“ใครบอกว่าเขาล้อเล่นกันเล่า?”
เสียงของเฮนรี่ยังไม่ทันจบลง เสียงของเยี่ยเทียนดังขึ้น “สำนักเสื้อป่าน ให้ราคาสิบห้าล้าน งั้นก็ราคาสิบห้าล้าน!”
เยี่ยเทียนพูดจบ ทุกคนหันมาจับจ้องเขาเป็นตาเดียว บอกว่าเหลยหู่ให้ราคาผิด ถ้าอย่างนั้นเยี่ยเทียนไม่ใช่กำลังหาเรื่องอยู่หรือ
“คุณเยี่ยนี่เอง….”
เฮนรี่บนเวทีจำเยี่ยเทียนได้ หลายปีก่อนในงานประมูลตำราโบราณ เป็นงานประมูลที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเฮนรี่เลยก็ว่าได้ เขาจึงจำเยี่ยเทียนได้ขึ้นใจ เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“ผมอยากให้คุณเข้าใจในกฎของเราหน่อยนะครับ ทุกครั้งที่มีการบอกราคา ตัวเลขจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ ห้ามน้อยลงนะครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เหลยหู่บอกว่าสิบห้าล้าน เขาหมายถึงดอลลาร์สหรัฐต่างหาก เฮนรี่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“อะไรนะครับ? สิบห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ?”
“ล้อเล่นใช่ไหม? นั่นเป็นเงินแปดเก้าสิบล้านเหรียญฮ่องกงเชียวนะ”
“นั่นน่ะสิ ใช้เงินมากมายขนาดนั้นไปซื้อแจกันดอกไม้ ไม่คุ้มเลย!”
แขกในงานวิพากษ์วิจารณ์เยี่ยเทียนเป็นการใหญ่ แม้จะเป็นงานประมูลการกุศล ทุกคนต่างให้ราคาสิ่งของแต่ละชิ้นสูงลิ่วอยู่แล้ว แต่สิบห้าล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น กลับแพงเกินไปสำหรับแจกันโบราณคู่หนึ่ง อย่างน้อยก็แพงกว่าสามเท่า
“คุณ….คุณเยี่ย คุณไม่ได้พูดผิดใช่ไหม?”
เฮนรี่เสียงสั่น ถ้าเป็นราคานี้เข้าจริงๆ ต่อให้เป็นงานการกุศลก็เถอะ จะต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นราคาแจกันเครื่องเคลือบโบราณที่แพงที่สุดตั้งแต่มีการประมูลมา
เยี่ยเทียนยืนยันหนักแน่น
“ท่านเซอร์เฮ่อ มีความเมตตากรุณา ผมเป็นตัวแทนสำนักเสื้อป่านออกเงินช่วยเหลืออีกแรง ทั้งหมดสิบห้าล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ผิดแน่!”
เฮนรี่รอจนเยี่ยเทียนยืนยันแล้วก็ตะโกนออกมา
“ดีครับ คุณเยี่ยให้ราคาสิบห้าล้านดอลลาร์ ยังจะมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหมครับ?”
“สิบห้าล้านครั้งที่หนึ่ง สิบห้าล้านครั้งที่สอง สิบห้าล้านครั้งที่สาม!”
“ครับ แล้วแจกันเครื่องเคลือบโบราณลายดอกไม้นี้ตกเป็นของคุณเยี่ยแล้ว ขอบพระคุณคุณเยี่ยมากที่สร้างกุศลบริจาคเงินจำนวนมหาศาล!”
คนที่พูดอยู่นี้คือเฉินจิ้งหลัน เธอมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาสับสน ชายคนนี้ในอดีตกลับกลายเป็นผู้มั่งมีที่สุดในกลุ่มพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเล โดยที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อค้อนทุบลงบนโต๊ะประมูล ผลของการประมูลสิ่งของชิ้นแรกถูกตัดสินแล้ว ไม่ว่าจะทั้งเหตุการณ์ระหว่างประมูลหรือราคาต่างเกินความคาดหมายของทุกคนในที่นั้น พวกเศรษฐีที่คิดอยากจะประมูลของด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้น ต่างเริ่มใคร่ครวญกันใหม่ว่าจะลงเงินประมูลดีไหม
“ของประมูลชิ้นต่อไปเป็นสร้อยคอเพชร ทำจากเพชรแท้แปดสิบเอ็ดเม็ด เมื่อปีก่อนซื้อมาจากบริษัทเครื่องประดับแห่งหนึ่งในอังกฤษด้วยราคาสามแสนปอนด์…..”
“สิ่งของชิ้นนี้ผู้เป็นเจ้าของคือคุณเฉินสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างผมตอนนี้ครับ หวังว่าทุกคนจะให้ราคาที่สูง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบริจาค สร้อยเพชรเส้นนี้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งหมื่นเหรียญฮ่องกงครับ!”
ถ้อยคำของเฮนรี่ทำให้คนที่อยู่ในนั้นต่างตะลึง พวกเขารู้จักเฉินจิ้งหลัน รู้ว่าเธอเป็นนักแสดงระดับนานาชาติ อยู่ๆเธอเกิดดังเป็นพลุแตกขึ้นมา ฐานะทางครอบครับของเธอสู้คนอื่นๆในที่นี่ไม่ได้อยู่แล้ว เธอสามารถนำสร้อยเพชรราคาสามแสนปอนด์ออกประมูลได้ ถือว่าเป็นเงินมูลค่ามากสำหรับเธอแล้ว
“ห้าล้านเหรียญ!”
“ผมให้แปดล้านเหรียญ!”
“สิบล้านเหรียญ!”
ในนั้นมีชายหนุ่มหลายคนที่คอยตามจีบเฉินจิ้งหลัน ทั้งยังเป็นงานประมูลการกุศล ผู้ใหญ่ในบ้านคงจะไม่ตำหนิหากพวกเขาจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายไปบ้าง ผู้เสนอราคาต่างเป็นลูกเศรษฐีทั้งนั้น ภายในครู่เดียวราคาของสร้อยเพชรพุ่งสูงขึ้นไปถึงสิบล้าน
“พี่จิ้งหลันมีความตั้งใจดีจริงๆ”
เยี่ยเทียนเอียงศีรษะเล็กน้อยบอกเหลยหู่ว่า
“ประมูลสร้อยเส้นนั้นมา แล้วเอาไว้ส่งคืนให้เฉินจิ้งหลันวันหลัง!”
“ครับ อาจารย์”
เหลยหู่รับคำ แล้วยกมือซ้ายขึ้น
“สามสิบล้าน…เอ่อ เหรียญฮ่องกง!”
ได้ยินเหลยหู่ที่ประกาศราคาออกมานั้น ทำให้เยี่ยเทียนอดหลุดขำออกมาไม่ได้
“แกนี่ ใจกว้างหน่อยได้ไหม?”
“อาจารย์ อาจารย์ยอมจ่ายเงินได้ง่ายมากเลย”
เหลยหู่หัวเราะ เมื่อก่อนเขาเป็นผู้มีอำนาจ แต่เลี้ยงลูกน้องเอาไว้หลายคน จึงค่อนข้างขัดสนเป็นบางครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดจะโจมตีซ่งเวยหลันหรอก
“สามสิบล้านเรียญฮ่องกง มีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหมครับ?”
เมื่อเหลยหู่โอ้อวดความร่ำรวยออกมา หลายๆคนจึงยอมรามือไป อย่างน้อยงานการกุศลครั้งนี้ไม่ได้มีไว้แข่งความร่ำรวย
หลายคนที่อยู่ในที่นั้นรู้ที่มาที่ไปของเหลยหู่และเยี่ยเทียน ส่วนคนที่ไม่รู้ก็เห็นว่าเยี่ยเทียนเดินเข้ามาในงานพร้อมกับหลี่เชาเหริน เฮนรี่หลังจากตะโกนย้ำสามรอบแล้ว สร้อยเพชรเส้นนี้ได้ตกเป็นของเยี่ยเทียนในที่สุด
“ไม่ต้องสนใจหรอก ใช้เงินห้าสิบล้านนั้นให้หมดก่อนค่อยว่ากัน!”
เยี่ยเทียนมาร่วมงานในวันนี้ หนึ่งเพื่ออาศัยมือของท่านเซอร์เฮ่อ บริจาคเงินให้แก่ผู้ประสบภัย เพราะเยี่ยเทียนรู้ซึ้งถึงระบบราชการภายในท้องถิ่น เงินที่บริจาคไป ยังไม่แน่ว่าจะถึงมือผู้ประสบภัยสักเท่าไหร่?
สองคือเยี่ยเทียนอยากใช้ชื่อของสำนักเสื้อป่านเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ไม่คำนึงถึงจำนวนเงินว่ามากมายเท่าไหร่ เขาประมูลสิ่งของสิบกว่าชิ้นแรกมาหมด ราคาที่จ่ายไปนั้นสูงจนคาดไม่ถึง
“อาจารย์ พวกเราเหลือไว้ให้คนอื่นบ้าง!”
โจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียนรู้สึกไม่เป็นอิสระ เยี่ยเทียนทำแบบนี้เป็นการช่วงชิงโอกาสในการบริจาคเสียหมด โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรมองจากรอบด้าน
“อืม เงินใช้จนเกือบหมดแล้ว ให้คนอื่นบ้างแล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เงินห้าสิบล้านดอลลาร์หากคิดเป็นเงินเหรียญฮ่องกงคงเป็นหลายร้อยล้าน ถือว่าเป็นการบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้ไปเสีย
เยี่ยเทียนจึงถอยออกจากการประมูลในทันทีทันใด แต่เขาก็ยังได้ตั้งสิ่งของขึ้นมาประมูลอีก ราคาของสิ่งของประมูลหลังจากนั้นล้วนได้ราคาสูงกว่าที่ควรเป็นหลายเท่าตัวนัก งานประมูลเพิ่งเริ่มได้ครึ่งชั่วโมง ก็ได้เงินบริจาคไปเจ็ดแปดร้อยล้านเหรียญฮ่องกงแล้ว
“เอ๋? หินก้อนนั้นแปลกมากเลย”
บริษัทของตระกูลเจิ้งนำก้อนหินออกมาประมูล ทำให้เยี่ยเทียนสนใจ เพราะแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นเนื้อหยกในชั้นหินนั้น กลับรู้สึกได้ว่าหินก้อนนั้นแผ่พลังธรรมชาติออกมาบางเบา
ทั้งหินก้อนนั้นยังมีที่มา หินก้อนนั้นเป็นหินที่ผู้ก่อตั้งบริษัทอัญมณีตระกูลเจิ้งเป็นคนพนันได้มา สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งของที่มาค่าทางจิตใจมาก แน่นอนว่าหินก้อนนั้นดูภายนอกเป็นของทั่วไป เมื่อนำออกมาประมูลไม่มีใครให้ราคาเลย
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะตะโกนราคาออกไป จวงรุ่ยผู้ที่นั่งนิ่งอยู่นานก็ลุกขึ้นมา
“ผมขอดูหินก้อนนี้หน่อย”
“มีตาหามีแววไม่ หินแบบนี้ยังจะต้องดูอีก?”
“นั่นน่ะสิ อยากให้คุณเจิ้งเสียหน้าหรือไง บอกราคาไปก็จบแล้ว”
ในงานมีเถ้าแก่เจ้าของกิจการอัญมณีอยู่หลายคน การกระทำของจวงรุ่ยทำให้พวกเขาไม่ชอบใจนัก วันนี้ได้ประมูลสิ่งของไปหลายชิ้นแล้ว แต่การขอให้พิสูจน์ของนั้นนี่เป็นครั้งแรก
“ผมให้ห้าหมื่น”
จวงรุ่ยมองดูก้อนหินแล้วประกาศราคาออกมา
“เฮ้อ เจ้าหนุ่มนี่ได้เปรียบจริง เขาน่าจะมองเห็นความพิเศษของหยกในเนื้อหิน?”
ตอนที่จวงรุ่ยตรวจดูหินนั้น เยี่ยเทียนใช้พลังสืบดูจนรู้ว่าในตัวของจวงรุ่ยมีพลังบางอย่างไหลเวียนเข้าไปในเนื้อหิน และได้รู้ถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวจวงรุ่ยด้วย
“เอาเถอะ ให้เขาได้ไปแล้วกัน”
เยี่ยเทียนยิ้ม แต่ไม่ได้รู้สึกเสียดายมาก นี่เป็นวิถีของชาวยุทธภพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น