ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 892-893

ตอนที่ 892 กวาดประกาศลี้ลับ

 

สามเดือนให้หลัง ลึกเข้าไปในเขตหนานไห่ที่อยู่ติดกับแผ่นดินจงเทียน


ณ ก้นสมุทรลึกหมื่นจั้ง ทอดสายตาไปที่ใดล้วนมองเห็นหมู่ปะการังหน้าตาประหลาด บางส่วนเหมือนโม่ บางส่วนเหมือนเถาวัลย์เกี่ยวกระหวัดกัน สีสันหลากหลายสารพัด


มีปลาหน้าตาสวยงามรูปร่างประหลาดตัวแล้วตัวเล่าว่ายมุดไปมาในหมู่ปะการังเป็นระยะ ทันใดนั้นแสงสว่างรอบหมู่ปะการังก็มืดลง เงาดำแถบหนึ่งที่มีแสงสีเงินทอประกายระยิบระยับอยู่ด้านในร่างหนึ่งก็ว่ายผ่านไปด้านบน


 เขาก็คือหลิ่วหมิงที่มีปีกสีเงินมหึมาคู่หนึ่งติดอยู่กับลำตัวนั่นเอง


ปีกทั้งสองข้างบนแผ่นหลังของเขากระพือเบาๆ ทั้งร่างก็แหวกว่ายผ่านไปด้านหน้าเป็นระยะทางสิบกว่าจั้งแล้ว แลดูว่องไวปราดเปรียวเสียยิ่งกว่าปลาตัวใดที่ก้นสมุทร


ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เคลื่อนไปจับอยู่ที่ร่องลึกก้นสมุทรแห่งหนึ่ง


ด้านในมีแสงสีเงินอ่อนดวงหนึ่งส่องแสงอยู่ เมื่ออยู่ตรงก้นสมุทรอันมืดมนแห่งนี้ค่อนข้างสะดุดตา มันก็คือแมงกะพรุนที่มีหน้าตาเหมือนดอกทานตะวันทั้งร่างเกือบจะโปร่งใสขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งที่กำลังเกาะปะการังนอนอยู่นั่นเอง


เวลานี้ครึ่งค่อนร่างของแมงกะพรุนตัวนี้ซ่อนอยู่ด้านหลังหมู่ปะการังมหึมาผืนหนึ่ง มีเพียงหนวดสีเงินอ่อนไม่กี่เส้นเท่านั้นที่ยื่นออกมา


ใบหน้าของหลิ่วหมิงเผยรอยยิ้ม ปีกเนื้อสะบัดแผ่วเบา ร่างกายก็หยุดอยู่ที่เดิม จากนั้นเขาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น วาดผ่านด้านหน้า เสกหอกน้ำแข็งสีขาวห้าหกเล่มขึ้นมาในพริบตา พวกมันสั่นเบาๆ แล้วทะลวงผ่านน้ำพุ่งเร็วรี่เข้าใส่แมงกะพรุนสีเงิน


แมงกะพรุนสีเงินปฏิกิริยาโต้ตอบค่อนข้างฉับไว เมื่อสัมผัสคลื่นพลังเวทได้ ร่างกายก็หดเป็นก้อนทันที พร้อมกันนั้นบนหนวดก็มีของเหลวสีดำสนิทสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงยกมือขึ้นใช้เคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างพุ่งทะลัก พริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรหมอกสีดำยาวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งโถมออกไปอย่างรวดเร็ว พุ่งผ่านน้ำพิษที่แมงกะพรุนปล่อยออกมาจนมันกระจายไป จากนั้นจึงพุ่งเร็วรี่เข้าใส่เบื้องหน้าต่อไปติดๆ


หลังปราณสีดำพุ่งดุดันผ่านไป นอกจากหมู่ปะการังที่สั่นไหวน้อยๆ เหล่านั้น เบื้องหน้าก็ไม่เหลือเงาแมงกะพรุนอยู่ที่ไหนอีก


แต่มุมปากของหลิ่วหมิงกลับยกยิ้มน้อยๆ ปราณดำในมือวนเป็นวงแล้วล้วงเข้าไปตรงมุมหนึ่งของหมู่ปะการังยักษ์ในทันที


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


น้ำทะเลรอบด้านปั่นป่วนรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่า ทรายก้นสมุทรปะปนอยู่ด้านใน หมอกทรายสีเหลืองฟุ้งกระจาย


ชั่วครู่หลังจากนั้นน้ำทะเลรอบด้านถึงสงบลง ศพของแมงกะพรุนทานตะวันสีเงินอ่อนลอยอยู่ที่ก้นทะเล เลือดสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่าลอยออกมาจากด้านใน กระเพื่อมกระจายออกมาช้าๆ


ในมือหลิ่วหมิงกลับมีมุกที่ทอแสงสีเงินขนาดเท่าแกนลูกท้อเม็ดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดี


ทันใดนั้นหูสองข้างของเขาก็ขยับเล็กน้อย หลังจากเก็บมุกทานตะวันสมุทรไป ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังพลันกระพืออย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ออกไปจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว


เงาร่างของหลิ่วหมิงเพิ่งหายไปได้ไม่นาน เสียงประหลาดหลายสิบสายก็ดังขึ้นพร้อมกันจากที่ไกลๆ เงาร่างขมุกขมัวของบางสิ่งที่เป็นฝูงใหญ่โผล่ออกมาแล้วโถมเข้าใส่จุดที่รอยเลือดกระจายไปถึงอย่างดุร้าย


กลางเงาดำนั่นคืออสูรสมุทรดุร้ายหน้าตาประหลาด จากปราณปีศาจที่แผ่กระจายออกมา พวกมันล้วนเป็นปีศาจอสูรแล้วยังเป็นพวกที่บรรลุถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณอีกด้วย


เหมือนโลหิตจะกระตุ้นสัญชาตญาณดุร้ายในตัวของพวกมัน แต่ละตัวดวงตาจึงทอแสงสีแดงก่ำ โถมเข้าใส่ศพของแมงกะพรุนดอกทานตะวัน อ้าปากกว้างพยายามกัดขย้ำร่างของแมงกะพรุนที่ตายแล้ว


น้ำทะเลเกิดกระแสน้ำปั่นป่วนรุนแรงในทันที อสูรสมุทรมากมายขยับตัวพุ่งชน ทำให้น้ำทะเลบริเวณนั้นโกลาหล ทรายก้นสมุทรถูกพัดขึ้นมาจนทำให้คนตาพร่าสับสน


ทว่าเพียงครู่เดียว แมงกะพรุนมหึมาตัวหนึ่งก็ถูกกัดกินจนหมดสิ้น กระทั่งเศษซากก็ไม่เหลือสักนิด


ด้านหลังหมู่ปะการังยักษ์ผืนหนึ่งไกลออกไป หลิ่วหมิงยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น หลังจากมองดูอสูรสมุทรกินเสร็จแล้วแยกย้ายจากไปอย่างรวดเร็ว ในดวงตาก็ทอประกายประหลาดแวบหนึ่ง


เมื่อเทียบกับปีศาจอสูรบนแผ่นดิน ปีศาจอสูรที่ก้นสมุทรลึกหมื่นจั้งคล้ายจะปัญญาทึบกว่า


หลายวันนี้เขาพบอสูรสมุทรระดับผลึกที่ก้นสมุทรอยู่เพียงไม่กี่ตัว แม้พวกมันจะดุร้ายยิ่งนัก แต่พวกมันรู้จักเพียงต่อสู้และเข่นฆ่า แทนที่จะเรียกว่าปีศาจอสูร ไม่สู้เรียกสัตว์ร้ายจะใกล้เคียงกว่า


“โลกกว้างใหญ่ สิ่งมีชีวิตในแต่ละที่ไม่เหมือนกันจริงๆ” หลิ่วหมิงส่ายหน้า จากนั้นร่างกายพลันขยับทีหนึ่งแล้วหนีออกไปไกล ค้นหาแมงกะพรุนทานตะวันที่โตเต็มวัยต่อ


……


ครึ่งปีให้หลัง ลำแสงสีดำเส้นหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้ามาถึงบนชั้นสองของหอลี้ลับแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ หลังจากกะพริบสองทีมันก็กลายเป็นร่างของบุรุษชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่ง หลิ่วหมิงนั่นเอง


ที่แห่งนี้คือจุดส่งมอบภารกิจของหอลี้ลับใน ในหอมีผู้อาวุโสที่ดูแลสี่ห้าคนนั่งอยู่หลังแท่นศิลาแท่นหนึ่ง


ด้านในหอหลังใหญ่เวลานี้มีศิษย์สายในยืนอยู่ห้าหกคน แลดูครึกครื้นน้อยกว่าห้องโถงชั้นหนึ่งมากนัก


หลิ่วหมิงเดินมาถึงหน้าแท่นศิลาแล้วส่งป้ายประจำตัวของศิษย์สายในไปให้ผู้ดูแลวัยกลางคนที่ว่างอยู่คนหนึ่ง


ผู้ดูแลวัยกลางคนรับไปอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นก็ลูบป้ายหยกแผ่นนั้นในมือเล็กน้อย ลำแสงเจิดจ้าแทรกเข้าไปในป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง


“เจ้าคือหลิ่วหมิง แห่งยอดเขาลั่วโยว…” ผู้ดูแลวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที จากนั้นก็มองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย


ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำว่า ‘หลิ่วหมิง’ ก็พากันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ในมือแล้วหันศีรษะมองมาเช่นกัน


“มีปัญหาหรือ?” หลิ่วหมิงสังเกตเห็นสภาพรอบด้านจึงขมวดคิ้ว


“ไม่มี ไม่มี…” ผู้ดูแลวัยกลางคนรีบร้อนส่ายหน้าแล้วเริ่มจัดการตามกฎ


“ศิษย์พี่หลิ่วรับภารกิจตามหาแก่นปีศาจของอสูรเพลิงมายา เก็บดอกภูตสวรรค์กับรวบรวมมุกทานตะวันสมุทร ทั้งหมดสามภารกิจ…” ผู้ดูแลวัยกลางคนยิ่งอ่าน ใบหน้ายิ่งมีสีหน้าตกตะลึงมากขึ้นทุกที


ภารกิจทั้งสามนี้ล้วนอยู่บนป้ายประกาศของหอลี้ลับใน เป็นภารกิจที่ความเสี่ยงค่อนข้างสูง ประกาศมาเป็นเวลานานมากแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ แต่วันนี้หลิ่วหมิงกลับรับสามภารกิจในเวลาเดียวกัน


เวลานี้เอง หลิ่วหมิงฉับพลันพลิกมือข้างหนึ่ง ของหลายสิ่งปรากฏขึ้นบนแท่นศิลาเบื้องหน้า


แก่นปีศาจสีแดงเพลิงลูกหนึ่ง ดอกไม้ประหลาดที่งดงามแต่แลดูเศร้าสร้อยสีขาวดุจกระดูกห้าดอก สุดท้ายคือยันต์เก็บของสีเหลืองอ่อนแผ่นหนึ่ง


ผู้ดูแลวัยกลางคนสำรวจสิ่งของทั้งสามสิ่งบนแท่นศิลาเพียงครู่เดียว สีหน้าที่มองมาทางหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


“ศิษย์พี่หลิ่วไม่ผิดไปจากคำร่ำลือจริงๆ ! ยอดเยี่ยม ภารกิจทั้งสามนี้ล้วนทำสำเร็จแล้ว ค่าตอบแทนคือแต้มคุณูปการสี่หมื่นสามพันแต้ม” ผู้ดูแลวัยกลางคนมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน จากนั้นพู่กันหยกในมือก็ตวัดจิ้มบนป้ายประจำตัวศิษย์ของหลิ่วหมิงเบาๆ


แสงจิตวิญญาณเคลื่อนบนป้ายประจำตัววูบหนึ่ง แต้มคุณูปการก็เพิ่มมาอีกสี่หมื่นสามพันแต้มทันที


หลังจากหลิ่วหมิงรับป้ายกลับไปห้อยตรงเอวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาก็พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากหอหลังใหญ่ไป


“คนผู้นั้นคือหลิ่วหมิงหรือ? ข่าวลือเหล่านั้นของเขา ข้าเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งเคยเห็นเจ้าตัวด้วยตาตนเองเป็นครั้งแรก!”


ศิษย์สายในอายุน้อยคนหนึ่งด้านข้างสายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเดินออกจากหอไปแล้วถึงรั้งสายตากลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นนิดๆ


คนที่เหลือพากันพยักหน้าบ้างก็พูดคุยเสียงเบา


“คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! ประมาณช่วงนี้ของปีก่อน ศิษย์พี่เยวี่ยจากยอดเขากระบี่สวรรค์ร่วมมือกับศิษย์ยอดเขาอื่นอีกหลายคนหมายจะไปเก็บดอกภูตสวรรค์ที่เทือกเขาศพมืด ผลปรากฏว่าล้มเหลวไม่เป็นท่ากลับมา คนหนึ่งในนั้นยังบาดเจ็บหนักอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าลำพังเขาคนเดียวกลับทำสำเร็จ น่าเหลือเชื่อจริง!” บุรุษชุดเหลืองผู้แลดูเอาการเอางานคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางหมู่คนท่าทางสงบยิ่งนัก สายตาเขามองไปทางประตูหอครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง


คนที่เหลือได้ยินเข้าก็หุบปากทันที เห็นชัดว่าบุรุษชุดเหลืองผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่คนทีเดียว


“เอาล่ะ พวกเราก็ไปเถอะ ไปดูชั้นหนึ่งของหอลี้ลับในกันบ้าง” บุรุษชุดเหลืองสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยจากนั้นเดินเร็วไวออกไป คนที่เหลือได้ยินแล้วก็รีบติดตามไปด้วย


เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากชั้นสองของหอลี้ลับ เขายังไม่ได้ไปจากหอลี้ลับแต่มายังหอลี้ลับในอีกครั้ง


สายตาของเขามองบนกำแพงหยกของป้ายประกาศลี้ลับสองสามครั้งก็หยิบป้ายประจำตัวข้างเอวขึ้นมาอีกหน หลังจากแสงแวววาวสว่างขึ้นสองครั้งก็รับภารกิจที่ค่อนข้างยากไปอีกสองภารกิจ


ทว่าตอนเขาจะออกไป บุรุษชุดเหลืองที่ปรากฏตัวบนชั้นสองก่อนหน้านี้ผู้นั้นกลับเดินเข้ามาหา ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มอบอุ่น ประสานมือคำนับครั้งหนึ่งแต่ไกล


“ท่านคือศิษย์พี่หลิ่วแห่งยอดเขาลั่วโยวใช่ไหม? ข้าคือหยวนเซิ่งแห่งยอดเขาทองคำ ชื่นชมชื่อเสียงของพี่หลิ่วมานาน ได้คารวะสักที!”


ศิษย์คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินก็ฮือฮาขึ้นมา ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง


“อ้อ ศิษย์พี่หยวนนี่เอง มีธุระอะไรหรือ?” หลิ่วหมิงเพียงประสานมือให้จากไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด


“เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าได้ยินว่าพักนี้พี่หลิ่วกำลังรับภารกิจบนประกาศอยู่ตลอด ไม่ทราบพี่หลิ่วสนใจรวมกลุ่มกับพวกเราหรือไม่ ภารกิจมากมายบนประกาศของหอลี้ลับใน หากร่วมมือกันหลายคน มีโอกาสที่จะทำสำเร็จเร็วขึ้นไม่น้อย” บุรุษชุดเหลืองไม่พูดจาเสแสร้งอ้อมค้อมแต่เอ่ยตรงเข้าประเด็น


“เกรงว่าคงจะทำให้พี่หยวนผิดหวังแล้ว ข้าเดินทางลำพังคนเดียวจนเคยชิน ตอนนี้ยังไม่คิดจับกลุ่มกับผู้อื่น” หลิ่วหมิงได้ฟัง ดวงตาพลันเป็นประกายแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า


“ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ หากหลังจากนี้พี่หลิ่วรับภารกิจที่ต้องการคนจำนวนมากก็ติดต่อข้าที่ยอดเขาทองคำได้ทุกเมื่อ” ดวงตาของบุรุษชุดเหลืองฉายแววผิดหวังอยู่บ้าง แต่ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มไว้ขณะเอ่ยตอบ


“เรื่องนี้แน่นอน”


หลิ่วหมิงประสานมืออย่างแบ่งรับแบ่งสู้แล้วก้าวเร็วไวเดินออกจากหอลี้ลับไป


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นแสงสีดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นฟ้า หายไปยังที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว


บุรุษชุดเหลืองมองแสงสีดำที่ค่อยๆ หายลับไปตรงขอบฟ้า ขณะที่ดวงตาทอแสงไหววูบอยู่พักหนึ่ง


สามเดือนให้หลังหลิ่วหมิงก็กลับมายังห้องโถงผู้ดูแลบนชั้นสองของหอลี้ลับอีกครั้ง


เวลานี้บนใบหน้าของเขามีสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย แต่ในดวงตากลับแฝงแววยินดีอยู่จางๆ เห็นชัดว่าทำภารกิจทั้งสองสำเร็จแล้ว


หลิ่วหมิงทำภารกิจบนป้ายประกาศของหอลี้ลับในสำเร็จหลายชิ้นติดต่อกันในเวลาสั้นๆ เช่นนี้จึงทำให้เป็นที่เลื่องลืออย่างมากในนิกายสายในอีกครั้งหนึ่ง


เขาย่อมไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด เป้าหมายของเขาตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือสะสมแต้มคุณูปการให้มากพอ เตรียมพร้อมเข้าสู่ทางปีศาจร้ายเพื่อเข้าสู่ระดับแก่นแท้ให้ได้ไวที่สุด!


ภายในเวลาหนึ่งปีกว่าหลังจากนั้น หลิ่วหมิงเข้าๆ ออกๆ หอลี้ลับไม่หยุด แน่นอนว่าเขาทำภารกิจที่แต้มคุณูปการสูงสำเร็จไปอีกไม่น้อย


ในช่วงเวลานี้เขาตกอยู่ในอันตรายอยู่หลายครั้ง แต่อาศัยไหวพริบที่เหนือกว่าผู้อื่นกับวิชาลับที่ตัวจึงคลี่คลายอันตรายไปได้


ขณะที่หลิ่วหมิงลงแรงทุ่มเท แต้มคุณูปการของเขาก็สะสมเพิ่มขึ้นมาอย่างเร็วไว จนห่างจากเป้าหมายหนึ่งล้านห้าแสนแต้มอีกไม่เท่าไรแล้ว


และพร้อมกับที่เขาเดินทางโลดแล่นบนแผ่นดินจงเทียน นาม ‘หลิ่วหมิง’ ศิษย์ใหม่ฝีมือเยี่ยมแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์นี้ก็เล่าลือกระจายไปบนแผ่นดินจงเทียนมากขึ้นทุกที


ขณะที่หลิ่วหมิงวิ่งวุ่นไปทั่วทุกสารทิศเพื่อเอาแต้มคุณูปการมานี้เอง เหตุการณ์ที่เพียงพอจะสะเทือนทั้งแผ่นดินจงเทียนก็เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ

 

 

 


ตอนที่ 893 เหตุการณ์สะเทือนแผ่นดิน

 

ลึกเข้าไปในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ด้านในมิติของแดนลึกลับที่คล้ายกับแดนอบอ้าวแห่งหนึ่ง


ทะเลทรายอันเวิ้งว้างทอดมองไปแทบจะไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยเม็ดทรายกับศิลายักษ์สีเทาเข้มรูปร่างประหลาดจำนวนหนึ่ง สายลมแรงพัดผ่านทุกแห่งหนเป็นระยะ ส่งเสียงครวญครางเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลออกมา


บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาประหลาดลอยล่องอยู่ มองจากไกลๆ แทบจะเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกับทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกลวงว่าฟ้าดินผสานกลืนเป็นหนึ่งยังไม่แยกออกจากกัน


ที่แห่งนี้ก็คือแดนต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์


ใจกลางทะเลทราย ผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยาการณ์ของนิกายสายในสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่อย่างนิ่งสงบและมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด โดยมีเทียนเกอเจินเหรินผู้เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ด้านหน้า


สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังแท่นบูชาสูงใหญ่สีเทาเข้มแท่นหนึ่งเบื้องหน้า บนแท่นบูชามีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทั้งสี่ด้านล้วนมีบันไดศิลาอันหนึ่งตรงไปบนยอด


รอบด้านแท่นบูชามีเสาศิลามหึมาแปดต้นซึ่งแทบจะต้องใช้สองคนถึงจะโอบได้รอบตั้งอยู่แปดทิศ พวกมันสีเหมือนแท่นบูชาทุกประการ แต่บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณที่ทอแสงสีขาวระยิบระยับแผ่อยู่ทั่ว


บนยอดของแท่นบูชาเวลานี้มีเสาแสงสีขาวน้ำนมขนาดยักษ์เส้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จมลงไปในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาด้านบน


เสาแสงหนาถึงสองสามจั้งกว่าประหนึ่งเสายักษ์ที่คอยค้ำท้องฟ้า เชื่อมต่อผืนดินกับผืนนภาเข้าด้วยกัน


ทันใดนั้นด้านในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาก็มีเสียงครืนครางดังขึ้น หลังจากนั้นหมู่เมฆก็พลันปั่นป่วนรุนแรง จุดที่เสาแสงสัมผัสเกิดพายุหมุนสีเทาขนาดมหึมากว้างใหญ่ลูกหนึ่ง ลึกเข้าไปในพายุหมุนมีแถบสีดำมืดแถบหนึ่งซึ่งดูเหมือนรอยแยกมิติปรากฏขึ้นเลือนราง อสนีบาตรูปอสรพิษสายแล้วสายเล่าพุ่งทะลุผ่านพายุหมุนออกมาแล้วระเบิดแสงอสนีบาตสีม่วงแสบตาเป็นระยะ


ทุกครั้งที่สายฟ้าระเบิดดังกึกก้อง พลังที่แฝงอยู่ด้านในจะทำให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายเบื้องล่างเปลี่ยนสีหน้าอย่างห้ามไม่ได้


“ท่านประมุข ในเมื่อแสงสวรรค์สลายเขตแดนปรากฏขึ้นก่อนเวลา ดูท่าเรื่องนั้นคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” บุรุษชุดเทาคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า เดินมาถึงข้างกายเทียนเกอเจินเหรินแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา


เขาก็คือผู้อาวุโสหานที่ใช้วิชาลับแห่งศาสตร์กระบี่แลกกับทรายธารดาราครึ่งถุงของหลิ่วหมิงนั่นเอง


“อืม งานประตูสวรรค์ครั้งก่อน คนของหอเป๋ยโต่วกับวังสวรรค์ก็เผยเบาะแสออกมาอยู่บ้างแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้” เทียนเกอเจินเหรินจับจ้องแสงอสนีบาตสีม่วงเส้นแล้วเส้นเล่ากลางท้องฟ้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาทั้งสองข้างสะท้อนแสงสีม่วงที่ไหลเคลื่อนเผยแววตากระตือรือร้นออกมาอยู่เลือนราง


“กระจายข่าวนี้ให้ผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละคนทราบ ให้พวกเขาเตรียมเสนอชื่อคนไว้ให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้น…” เทียนเกอเจินเหรินฟื้นกลับมาสีหน้านิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่ง ขณะที่ปากเขาก็ออกคำสั่งเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผู้อาวุโสสูงสุดสิบกว่าคนรอบด้านฟังแล้วก็พากันกลายเป็นลำแสงหายไปจากที่เดิม ต่างคนต่างเคลื่อนไหว


……


บนเทือกเขาเปลี่ยนฟ้าที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ ลึกเข้าไปในหุบเขามหึมาซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีขาวโพลนตลอดทั้งปีที่น้อยครั้งจะมีคนมาถึงแห่งหนึ่ง


เสียงอสนีบาตคำรามดังลั่น!


เสาแสงสีเขียวต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเชื่อมผืนฟ้ากับผืนดินเข้าด้วยกัน ด้านบนจมหายเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทาหนาทึบ ท้องนภาปั่นป่วนไม่หยุด แสงอสนีบาตฉายวูบวาบอยู่เลือนราง


เสาแสงสีเขียวเกิดมาจากใจกลางค่ายกลยักษ์ที่กินพื้นที่สิบกว่าจั้งอันหนึ่งข้างใต้


เบื้องหน้าค่ายกลคนที่สวมชุดบัณฑิตหน้าตาเหมือนผู้คงแก่เรียนสิบกว่าคนยืนอยู่ มีหนุ่มสาว มีวัยกลางคนไปจนถึงผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลน


ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดในกลุ่มสังเกตค่ายกลยักษ์อยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ


“เร็วกว่าที่คาดไว้ไม่น้อย ดูท่าพวกเราก็คงต้องรีบสักหน่อยแล้ว”


……


สุดฝั่งตะวันตกของแผ่นดินจงเทียน ณ เทือกเขาสูงตระหง่านทอดยาวพันลี้สีดำสนิททั้งเทือกเขาแห่งหนึ่ง


บนปรัมพิธีเหนือยอดเขาขนาดยักษ์ที่ถูกปราณดำพลุ่งพล่านห้อมล้อมไว้แห่งหนึ่ง สายลมเย็นเยียบพัดมาเป็นระลอก ทรายสีเทาม้วนตลบ


เวลานี้เสาแสงสีดำมหึมาต้นหนึ่งพุ่งจากปรัมพิธีขึ้นไปยังท้องฟ้า ตรงเข้าไปในชั้นเมฆ


“ดี! ดียิ่ง! ในที่สุดข้าก็มีชีวิตอยู่รอจนมาถึงวันนี้แล้ว!” บนปรัมพิธี เงาร่างสูงใหญ่ที่ทั้งร่างถูกปราณสีดำวนล้อมจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดแม้แต่น้อยร่างหนึ่งหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยขึ้นมา


หลังร่างเขา มีเงาร่างที่ปราณดำวนเวียนรอบร่างอีกหลายร่างยืนอยู่เช่นเดียวกัน


“ใช่แล้ว อู๋กวัง หลงเซวียนเตรียมพร้อมแล้วไหม?” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเขาก็เงียบไปแล้วหันไปถามคนด้านข้าง


“ท่านประมุขโปรดวางใจ หลังจากเก็บตัวช่วงเวลานี้ วิชาวิญญาณมารชิงหยางของหลงเซวียนก็แข็งแกร่งแล้ว ครั้งนี้จะต้องแสดงฝีมือได้อย่างเยี่ยมยอดแน่นอน!” ปราณดำบนใบหน้าของคนผู้นั้นไหลเคลื่อน พร้อมกับที่เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยออกมาเช่นนี้


……


ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ต้องห้ามของกลุ่มอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนเช่น นิกายเทียนกง หุบเขาปีศาจสวรรค์และหอเป๋ยโต่วเป็นต้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาด สถานการณ์คล้ายคลึงกับนิกายยอดบริสุทธิ์


เมื่อผู้นำของกลุ่มอำนาจใหญ่เห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาต่างวางเรื่องอื่นที่อยู่ในมือทันที


หลังจากนั้นแต่ละนิกายก็ส่งคำสั่งลงไป นิกายใหญ่เหล่านี้ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนเคลื่อนไหว


ไม่นานกลุ่มอำนาจขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนก็สังเกตเห็นสภาพประหลาดนี้ โลกแห่งการฝึกฝนของทั้งแผ่นดินจงเทียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้น


…..


เทือกเขาขนาดกลางของแผ่นดินจงเทียนที่กินพื้นที่ไม่ใหญ่บริเวณเพียงพันกว่ากิโลเมตรแห่งหนึ่งมีชื่อว่าเขาจิ่วชวี เพราะมันมียอดเขาหลักเก้ายอดเรียงติดกันประหนึ่งคลื่นเก้าลูกบนผิวทะเล


เวลานี้บนยอดของยอดเขาหลักลูกหนึ่งของเขาจิ่วชวี ค่ายกลสีทองขนาดหลายสิบจั้งค่ายกลหนึ่งครอบยอดเขาเกือบครึ่งลูกไว้


ด้านในค่ายกลขังหนูยักษ์สีทองขนาดสี่ห้าจั้งที่ดูเหมือนวัวตัวยักษ์ตัวหนึ่งไว้ ดวงตาสองข้างของมันปรากฏสีแดงดุจโลหิต สำรวจแต่ละจุดของค่ายกลใหญ่ด้วยสายตาเย็นชา


หากมีผู้ฝึกฝนคนอื่นอยู่ที่นี่จะต้องรู้ได้ทันทีแน่นอนว่าหนูยักษ์สีทองตัวนี้ก็คือราชาหนูมุดดินขนทองระดับแก่นแท้ที่หายากอย่างยิ่ง


ราชาหนูตัวนี้พูดถึงเพียงพลังโจมตี ในหมู่ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ไม่ได้อยู่ค่อนไปทางลำดับแรกๆ แต่นิสัยของมันเจ้าเล่ห์ช่างระแวง นอกจากนี้ยังเคลื่อนไหวเร็วอย่างที่สุด แล้วยังมีพรสวรรค์ในการขุดดิน เมื่ออยู่บนเขตภูเขาและเนินเขามันประหนึ่งปลาได้น้ำ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปีศาจอสูรระดับสูงไม่กี่ชนิดที่ล่ายากที่สุดในเขตนี้


เวลานี้หลิ่วหมิงผู้สวมชุดสีน้ำเงินทั้งร่างกำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้านิ่งไม่ขยับ ปราณดำวนเวียนรอบร่าง สองแขนหนาขึ้นกว่าปกติเท่าหนึ่งในฉับพลัน สีหน้าเคร่งขรึม ส่วนปากก็เอ่ยท่องมนตร์


ข้างใต้ตัวหลิ่วหมิง เซียเอ๋อร์ที่สวมชุดตาข่ายดำกับเฟยเอ๋อร์เด็กน้อยชุดเขียวต่างถือธงคำสั่งที่ส่องแสงสีทองเรืองรองผืนหนึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจเดียวกันอยู่ใกล้ๆ ค่ายกล


ทันใดนั้นหนูยักษ์สีทองที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลก็ฉายแสงสีทองออกมาจากในดวงตา ร่างกายขยับวูบหนึ่งพลันกลายเป็นแสงสีทองแสบตาสายหนึ่ง พุ่งเร็วรี่ไปยังมุมหนึ่งของค่ายกลใหญ่


เสียง “ปัง” ดังสนั่น!


ค่ายกลสีทองส่องแสงสว่างขึ้นมาพักหนึ่ง ร่ายกายของหนูยักษ์ก็ถูกดีดปลิวออกไปไกล กระแทกลงบนพื้นหนักหน่วงแล้วส่งเสียงดัง “ตึง” เหมือนตีกลอง บนพื้นปรากฏแสงสีทองชั้นหนึ่งลอยขึ้นมา


ธงคำสั่งสีทองในมือเซียเอ๋อร์ทอแสงสีทองวิบวับพักหนึ่ง ใบหน้างามของนางเคร่งเครียด ในมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายต่อเนื่องลงบนธงคำสั่ง ตอนนี้ค่ายกลสีทองถึงมั่นคง


“เซียเอ๋อร์ เจ้าต้องจับตาให้ดี หนูยักษ์ตัวนี้เจ้านายเสียเวลาตั้งมากเชียวนะกว่าจะล่อมาถึงที่นี่ได้ ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้เด็ดขาด” เสียงเด็กน้อยของเฟยเอ๋อร์ดังขึ้นมา


“ข้ารู้อยู่แล้ว ต้องให้เจ้าพูดมากรึ!” เซียเอ๋อร์เบ้ปากแล้วเอ่ยตอบเช่นนี้


หลิ่วหมิงทำเหมือนมองไม่เห็นสถานการณ์เบื้องล่าง บนใบหน้าสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด สองแขนส่งเสียงดังกึกๆ ออกมา ขณะที่ปราณดำวนเวียนหนาทึบยิ่งกว่าเดิม


เวลานี้เขากำลังนิ่งรอโอกาสลงมือ พร้อมกันนั้นก็ฝึกอสูรเลี้ยงสองตัวให้ควบคุมค่ายกลโปรดสัตว์อันนี้ด้วย แม้ทั้งสองตัวไม่ชำนาญนัก แต่หากได้ควบคุมสักหลายครั้ง หลังจากนี้ระหว่างการต่อสู้คงจะทำประโยชน์ให้เขาได้ไม่น้อยแน่นอน


ในเวลานี้เอง ธงค่ายกลในมือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ชี้ไปยังค่ายกลใหญ่สีทองพร้อมกัน ยิงลำแสงสีทองหนาเท่าชามข้าวสองสายออกมา ค่ายกลใหญ่สีทองสั่นไหวทันที ขนาดค่ายกลฉับพลันหดเล็กลงไปรอบหนึ่ง แสงสีทองที่ค่ายกลแผ่ออกมาเข้มทึบขึ้นอีกมาก


“จี๊ด จี๊ด!”


ทันใดนั้นหนูยักษ์สีทองด้านในก็ส่งเสียงกรีดร้องร้อนรนพักหนึ่ง บนร่างฉับพลันมีแสงสีน้ำตาลทองลอยออกมา ร่างกายมุดหนีลงไปใต้ดิน


เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ปากก็ท่องมนตร์อย่างรวดเร็ว ธงค่ายกลในมือเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วโบกสะบัดอีกครั้ง แสงสีทองบนพื้นด้านในค่ายกลเข้มขึ้นอีกหลายส่วนทันที


ร่างกายของหนูยักษ์สีทองมุดเข้าไปได้เพียงครึ่งฉื่อก็ถูกแสงสีทองขวางไว้


ราชาหนูตัวนี้เหมือนจะสัมผัสได้ว่าชีวิตถูกคุกคาม ท้องอ้วนกลมฉับพลันบวมพองขึ้นมา มันส่งเสียงร้องไม่หยุด ขนแข็งสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าบนร่างตั้งตรงดุจกระบี่คม


หลังจากนั้นเสียง “ฉึก” ก็ดังสนั่น ขนแข็งสีทองทยอยพุ่งรวดเร็วออกมา โจมตีลงบนเกราะแสงรอบด้าน


เกราะแสงส่งเสียงปึงปังดังกึกก้อง ค่ายกลใหญ่ทั้งค่ายกลล้วนสั่นไหวรุนแรงตามไปด้วย


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกมันกรอกพลังเวทเพิ่มเข้าไปอีกก้อนใหญ่ แสงสีทองที่ส่องออกมาจากกธงค่ายกลในมือจากที่หนาเท่าข้อมือกลายเป็นหนาขึ้นหลายเท่าทันที


เกราะแสงสีทองมั่นคงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางลำแสงระยิบระยับ มีเสียงระฆังและเสียงสวดภาษาสันสกฤตดังลอยมาอยู่เลือนราง จากนั้นพื้นที่ก็หดเล็กลงตามอีกรอบหนึ่ง


ราชาหนูมุดดินขนทองยิ่งร้อนรน เสียงร้องยาวยิ่งแสบแก้วหูขึ้นทุกที พร้อมกันนั้นมันก็พุ่งสะเปะสะปะชนในค่ายกล ขนแข็งๆ บนร่างงอกยาวออกมาไม่หยุด จากนั้นครู่หนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ออกมาอีกครั้ง


แสงสว่างที่มหาค่ายกลโปรดสัตว์ส่องออกมาเวลานี้ยิ่งเจิดจ้า กลบทับเงาร่างของหนูยักษ์สีทองให้จมมิดอยู่ด้านใน


หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่สองชั่วยาม ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองก็หดลงจนมีขนาดเพียงไม่กี่จั้ง แสงสีทองแทบจะรวมกันจนกลายเป็นเนื้อสาร ด้านในค่ายกลใหญ่ราชาหนูมุดดินขนทองตัวนั้นผลาญพลังเวทหมดสิ้นหายใจรวยริน ไม่มีทีท่าดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย สองแขนยื่นมา ทันใดนั้นมังกรสีดำสนิทประหนึ่งหมึกสองตัวก็หลุดออกมาจากแขน ส่งเสียงมังกรคำรามร่วงลงมาจากท้องฟ้า ทะลวงผ่านค่ายกลสีทองเข้าใส่หัวของหนูยักษ์สีทองโดยไม่ถูกขวางกั้นแม้แต่น้อย


ราชาหนูมุดดินขนทองเห็นเช่นนี้ ในดวงตาทั้งสองข้างพลันฉายแววบ้าคลั่ง แสงสีทองบนร่างฉับพลันส่องสว่าง พลังเวททั้งร่างรวมไปอยู่ที่ทะเลจิตวิญญาณตรงท้องอย่างรวดเร็ว


“ตอนนี้ยังคิดจะระเบิดแก่นแท้ของตนเองอีก! เฟยเอ๋อร์ เซียเอ๋อร์คุมค่ายกลไว้!” ม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลง แล้วส่งกระแสจิตให้ทั้งสองตัวด้านล่างอย่างเร็วไว


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แสงสีทองของมหาค่ายกลโปรดสัตว์ฉับพลันบิดเบี้ยวสั่นไหวพักหนึ่ง ราชาหนูมุดดินรู้สึกว่าพลังมหาศาลบีบเข้ามาจากสี่ทิศแปดด้าน แสงสีทองบนร่างเชื่องช้าลงในบัดดล!


จากนั้นเสียง “ปัง” ก็ระเบิดดังกึกก้องลอยมา!


มังกรหมอกสองตัวร่วงลงบนส่วนหัวของหนูยักษ์สีทองอย่างแม่นยำไม่มีพลาด พริบตาเดียวก็โจมตีมันจนกระจุยเป็นชิ้นๆ จิตวิญญาณของราชาหนูมุดดินขนทองไม่ทันหนีออกมาก็ดับสูญไปทันที


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็โล่งอก ริมฝีปากขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตหาเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์สองสามประโยค

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)