อยากกินไหมล่ะ 890-893

 บทที่ 890 ผมสามารถทำได้

ทันทีที่ช่างไม้เหลียนกล่าวเช่นนั้น หยวนโจวก็ชักจะสงสัยจึงถามขึ้นมาทันที


“ถั่วสามสีงั้นเหรอครับ? อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?” หยวนโจวถามขึ้น


ช่างไม้เหลียนรู้สึกดีใจนิดหน่อยเมื่อเขาพบว่าหยวนโจวถามเช่นนั้นออกมาและดูเหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินชื่ออาหารจานนั้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวหน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด เขาก็ชักจะไม่ค่อยมั่นใจเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องอธิบายให้เขาฟังง่ายๆว่า “ง่ายมากเลยแหละ แค่ใส่ถั่วลิสง ถั่วเหลืองและถั่วแดงลงไปแล้วผัดให้เข้ากันจากนั้นก็ยกมาเสิร์ฟได้เลย ถั่วทั้งสามชนิดจะต้องมีรสชาติที่แตกต่างกันและต้องแบ่งได้ตามลำดับอีกด้วยนะ”


“ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเริ่มคิดให้รอบคอบอยู่ในใจโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา


เห็นได้ชัดเลยว่าอาหารจานนี้ทำยากมากทีเดียวเนื่องจากสุดยอดช่างไม้ผู้นี้ถึงขนาดกล้าทำตามคำขอที่มีเงื่อนไขเช่นนี้ทั้งๆที่เขารู้ว่าเป็นหยวนโจว ส่วนหยวนโจวก็คาดเดาว่ามันอาจจะเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว แต่น่าแปลกที่เขาไม่ยักเคยได้ยินชื่ออาหารจานนี้มาก่อน


จะว่าไปแล้วหยวนโจวก็เคยเห็นมายากลที่ผสมถั่วเหลืองกับถั่วเขียวแล้วแยกออกจากกันในทันที ถึงแม้ว่าทั้งฝีมือการทำอาหารและมายากลที่อาศัยเทคนิคการใช้มือ แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองสิ่งกลับชัดเจนยิ่งนัก


ยิ่งไปกว่านั้นหยวนโจวก็หาใช่นักมายากล ชั่วประเดี๋ยวนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะปรุงอาหารอย่างไรดี แต่เขาก็ค่อนข้างสนใจมากทีเดียว


“รสชาติทั้งสามแบบของถั่วสามสีน่าจะเป็นรสหวาน เค็มหรือเปรี้ยวสินะ” หยวนโจวนึกขึ้นในใจได้อย่างรวดเร็ว


จากนั้นช่างไม้เหลียงก็รู้สึกพึงพอใจและผ่อนคลาย


แน่นอนว่าภารกิจทั้งหมดไม่น่าจะเสร็จสมบูรณ์ลงได้เพราะอาหารจานนี้สาบสูญไปจากประวัติศาสตร์มานานมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงในอินเตอร์เน็ตเลย แม้แต่ห้องสมุดก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารจานนี้เสียด้วยซ้ำไป


พวกเชฟขั้นสูงไม่รู้จักอาหารจานนี้กันหรอก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการปรุงมันขึ้นมาเลย สาเหตุที่ทำให้ช่างไม้เหลียนรู้จักมันก็เพราะเขาบังเอิญได้อ่านตำราโบราณที่มีชื่อว่าซ่งจาจู๋ที่ตีพิมพ์ขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง อาหารจานนี้ก็ถูกบันทึกเอาไว้ในตำราด้วย มีชื่อเดิมว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรแทนที่จะเป็นถั่วสามสี


อย่าคิดว่าตำราซ่งจาจู๋จะเป็นตำราอย่างรายชื่อของอร่อยในซุ่ยหยวนที่บันทึกอาหารอร่อยชนิดต่างๆเอาไว้เป็นพิเศษเป็นอันขาดเลยเชียวนะ จะว่าไปแล้วจาจู๋ก็หมายถึงปกิณกะและตำราเล่มนี้ก็ถูกเขียนขึ้นมาอย่างสุ่มๆโดยผู้แซ่ซ่งเหมือนกับชิวหยางจาจู๋และจื่อถังจาจู๋นั่นเอง ดังนั้นอาหารจานนี้จึงอธิบายเอาไว้ในตำราง่ายๆเพียงหนึ่งหรือสองคำเท่านั้น


เมื่อช่างไม้เหลียนเล่าให้ฟังแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็รู้สึกสนใจและได้ลองศึกษาดูบ้าง แต่ก็ยังประสบความล้มเหลวในที่สุด ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงมีความมั่นใจมากว่าเขาจะสามารถสร้างความสับสนให้หยวนโจวได้


ใช่แล้วล่ะ ช่างไม้เหลียนไม่ได้อยากทำตู้ให้หยวนโจวเลยแม้แต่น้อย ประการแรกคือเลิกทำเฟอร์นิเจอร์เองมาหลายปีแล้วและประการที่สองก็คือตู้ไม่มีความท้าทายแต่อย่างใด สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ชุดหนึ่งให้บุตรสาวของโจวซื่อเจี๋ยก็เพราะว่าเขาติดหนี้บุญคุณของโจวซื่อเจี๋ย นั่นจึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทำเฟอร์นิเจอร์เองอย่างไรเล่า


แต่หยวนโจวเป็นเชฟชื่อดังและยิ่งไปกว่านั้น โจวซื่อเจี๋ยก็เป็นคนแนะนำร้านของเขาอีกต่างหาก คงจะเป็นเรื่องน่าอายมากทีเดียวที่จะปฏิเสธซึ่งๆหน้า ในตอนนั้นเองที่จะนำไปสู่ชื่อเสียง ถ้าหากเป็นอีกคนหนึ่งเขาไม่เพียงแต่จะปฏิเสธแต่คงจะถูกช่างไม้เหลียนด่าเข้าให้ด้วย


ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงนึกไอเดียดังกล่าวออกมาได้ ในสายตาของช่างไม้เหลียน หยวนโจวไม่น่าจะปรุงอาหารที่จะสร้างความสับสนให้ประธานสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีนได้หรอกน่า จากนั้นเขาก็ย่อมรู้สึกผ่อนคลายลง


“ได้ครับ ผมสามารถทำได้” หยวนโจวครุ่นคิดอยู่ในใจสักครู่แล้วกล่าวอย่างจริงจัง


“คุณไม่ได้ยินที่ผมบอกไปงั้นเหรอ? แล้วคุณรู้ไหมว่ามันคืออาหารแบบไหน?” ช่างไม้เหลียนตกตะลึงไปสักครู่แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจพลางขมวดคิ้ว


“คำอธิบายของคุณค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ผมสามารถเข้าใจได้อย่างครบถ้วนเชียวล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น


“คุณสามารถทำได้งั้นเหรอ?” ช่างไม้เหลียนเผยท่าทีไม่อยากจะเชื่อออกมา


“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า


“ถ้าคุณสามารถทำได้ ผมจะทำตู้ให้คุณฟรีๆเลยก็ได้ ผมจะไม่คิดเงินคุณซักเซนต์เดียวเลยล่ะ” ท่าทีไม่อยากจะเชื่อของช่างไม้เหลียนแสดงออกอย่างชัดเจนจากคำพูดของเขา


“ตามนั้นครับ” หยวนโจวตอบขึ้นมาทันที


“ฉันไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้อาหารจานใหม่ๆแต่ยังจะได้ตู้มาฟรีๆอีกต่างหาก ดีจะตายไป” หยวนโจวกล่าวอยู่ในใจ


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตาเฒ่าคนนี้ไม่หลอกคุณเรื่องตู้หรอก” ช่างไม้เหลียนทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาแล้วเริ่มเงียบไป


“คุณมาที่ร้านของผมตอนบ่ายสามโมงสามวันหลังจากนี้เป็นอย่างไรครับ?” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วยืนยันเวลาออกมาทันที


“ได้เลย” ช่างไม้เหลียนโบกมือและดูเหมือนคร้านที่จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว


“ไว้เจอกันสามวันหลังจากนี้นะครับ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็หันหลังเดินจากไป


“ตาเฒ่าโจวผู้นี้แนะนำคนแบบไหนมาให้ฉันกันล่ะเนี่ย? เจ้าหนุ่มผู้แสนมุ่งมั่น!” ช่างไม้เหลียนบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ


เมื่อเห็นหยวนโจวหันหลังเดินออกไปจากร้านอย่างแนบเนียนแล้ว ทว่าช่างไม้เหลียนก็ยังคงรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ในใจอยู่ดี แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าหยวนโจวไม่น่าจะทำอาหารจานนี้ได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกรำคาญใจอยู่ไม่วาย


“บ้าเอ้ย ฉันต้องด่าเจ้าคนหลอกลวงโจวเพื่อระบายความโกรธเสียหน่อยแล้ว” ช่างไม้เหลียนลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วเตรียมตัวต่อสายทันที


จากนั้นบุรุษที่อยู่หลังประตูแผ่นป้ายชื่อร้านก็ไม่กล้าออกมาอีกเลย เขาเริ่มจ้องมองไปทางคนด้านในที่ทำโต๊ะ เก้าอี้และม้านั่งอย่างระแวดระวัง


“ไม่น่าไปเถียงกับเจ้าหนุ่มผู้นี้เลย แต่ยังไงฉันก็ต้องด่าเจ้าคนหลอกลวงโจวอยู่ดีนั่นแหละ” ในขณะที่ช่างไม้เหลียนกำลังรอสายอยู่นั้น เขาก็ยังคงบ่นพึมพำและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา


ถึงอย่างไรช่างไม้เหลียนก็สนิทกับหยวนโจว ประกอบกับชื่อเสียงละวัยของหยวนโจวแล้ว เขาไม่อาจทำเช่นนั้นอย่างที่ดุด่าชายหนุ่มได้เลย แต่โจวซื่อเจี๋ยกลับต่างออกไป


โจวซื่อเจี๋ยมีชื่อเสียงมากและพวกเขาก็สนิทสนมกันดีด้วย นอกเหนือไปจากนั้นเขายังทุ่มเถียงและทะเลาะกันมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ดังนั้นช่างไม้เหลียนจึงไม่รู้สึกลำบากใจเลยสักนิดที่ต้องด่าเขา


“ช่างไม้เหลียน นายโทรหาฉันมีธุระอะไรงั้นรึ? น้ำเสียงของโจวซื่อเจี๋ยดังขึ้นมาจากโทรศัพท์


“ก็เรื่องที่นายทำไงล่ะ” ช่างไม้เหลียนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา


“อะไรกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสน


“ใครให้นายแนะนำเจ้าหนุ่มยวนโจวนั่นมาทำตู้ที่ร้านของฉันกันเล่า? ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าฉันเลิกทำเฟอร์นิเจอร์ไปแล้ว นอกจากนายจะหูตึงแล้วยังแก่จนสายตาย่ำแย่เชียวรึนี่?” ช่างไม้เหลียนจงใจถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“เขามาขอให้นายทำตู้ให้งั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามด้วยความลังเล


“นายเป็นคนบอกเขางั้นสิ” ช่างไม้เหลียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว


“นายรับคำขอของเขาไว้หรือเปล่าล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามแทนที่จะพูดอะไรอีก


“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย ถ้านายกล้าแนะนำใครมาอีกล่ะก็ฉันจะทำลายเขียงของนายซะเลย” ช่างไม้เหลียนข่มขู่ด้วยความขุ่นเคืองใจ


“เอาน่า ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อตัวนายเองนะ ถ้านายไม่ทำเฟอร์นิเจอร์เสียบ้างเลย ฉันเกรงว่านายจะมือตกเอาได้นะ” โจวซื่อเจี๋ยพูดเบาๆ


“ไม่ใช่เรื่องของนายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า และถ้านายยังทำอีกล่ะก็นะ ฉันสัญญาเลยว่านายจะไม่ได้เขียงของนาย” ช่างไม้เหลียนข่มขู่


“นายพูดเหมือนกับว่านายตอบรับคำขอของเขาแล้วอย่างนั้นแหละ” โจวซื่อเจี๋ยมีความเชี่ยวชาญในการใช้วิธียั่วยุคน ตอนนี้เขาก็ใช้วิธีนี้อีกครั้งหนึ่งแล้ว


“แหงล่ะ ฉันต้องตกลงอยู่แล้ว แต่จะให้ฉันทำตู้ให้มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ช่างไม้เหลียนกล่าวอย่างพึงพอใจ


“นายขอถั่วสามสีอีกแล้วใช่ไหม?” หลังจากนึกอยู่สักครู่ โจวซื่อเจี๋ยก็เข้าใจเจตนาของช่างไม้ผู้นี้ได้ในทันที


ตามความเข้าใจของโจวซื่อเจี๋ยที่มีต่อเขา เขารู้ว่าช่างไม้เหลียนไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรงๆหรอก แต่เขาก็ไม่น่าจะตอบตกลงเอาง่ายๆ แน่นอนการตั้งคำถามยากๆที่แทบจะแก้ไม่ได้เลยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว


แถมคำถามยากๆแบบนี้ก็ยังสมเหตุสมผลอีกต่างหาก หยวนโจวเป็นเชฟและแน่นอนว่าคำถามยากๆที่ช่างไม้เหลียนสามารถคิดออกก็คือถั่วสามสีซึ่งสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์แล้วนั่นเอง


“แม้แต่นายยังทำไม่ได้เลยงั้นเจ้าหนุ่มนั่นก็คงทำไม่ได้เหมือนกันแหละ ฉันรู้ว่านายแนะนำให้เขามาที่ร้านของฉัน แต่ฉันก็ไม่ขอบใจนายหนอกนะ” เมื่อเห็นโจวซื่อเจี๋ยยังคงตื่นตกใจตอนที่เขาค่อยๆเผยเจตนาของตนเองออกมา ตรงข้ามกับช่างไม่เหลียนที่กล่าวอย่างพออกพอใจ


“ฉันไม่สามารถทำได้แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำไม่ได้เหมือนกันนี่นา ตาเฒ่าดูเหมือนยายจะต้องทำตู้เสียแล้วล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น โจวซื่อเจี๋ยก็วางเสียไปทันที


“เจ้าคนหลอกลวงโจวจอมน่ารำคาญเอ้ย!” ช่างไม้เหลียนจ้องมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ด้วยความเกรี้ยวกราด


หลังจากวางสายไปแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็ยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่นิดหน่อย


“ตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาหยวนโจวก็ไม่ประสบกับความพ่ายแพ้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำอาหารได้หลากหลายแบบ แต่คราวนี้ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะสามารถทำถั่วสามสีได้” โจวซื่อเจี๋ยยังค่อนข้างเป็นกังวลอยู่ในใจ


“ขอฉันโทรไปถามเขาสักหน่อยเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยใคร่ครวญดูสักพักและทันใดนั้นก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา เขายกหูโทรศัพท์แล้วเตรียมโทรไปถามหยวนโจวทันที


บทที่ 891 เอาชนะถั่วสามสี

โจวซื่อเจี๋ยเอาใจใส่หยวนโจวราวกับเป็นลูกศิษย์ของเขาเองและหวังว่าหยวนโจวจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางการทำอาหารของตนเองได้ด้วยความสงบนิ่งเพื่อทำให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคตได้ง่ายขึ้น


แต่อีกด้านหนึ่ง โจวซื่อเจี๋ยก็หวังว่าหยวนโจวจะสามารถฝ่าฟันได้อย่างไร้อุปสรรค เขาบังเกิดความขัดแย้งอยู่ในใจอย่างรุนแรง


ดังนั้นเมื่อโจวซื่อเจี๋ยได้ยินว่าช่างไม้กำลังจะทดสอบหยวนโจวด้วยอาหารที่สาบสูญไปหลายร้อยปีจึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ


เมื่อตอนที่โจวซื่อเจี๋ยโทรมานั้น หยวนโจวก็ก็เพิ่งจะมาถึงตรงทางเข้าตลาดขายส่งจินฟาเพื่อเตรียมเรียกรถแท็กซี่กลับร้าน


ในเมื่อเขาตอบรับคำขอของช่างไม้แล้ว เขาย่อมไม่เสียเวลาเดินเตร่อยู่แถวนี้อย่างแน่นอน เขาวางแผนที่จะเริ่มค้นหาข้อมูลถั่วสามสีทันที ขั้นแรกเขาต้องซื้อถั่วลิสง ถั่วแดงและถั่วเหลืองเสียก่อนทั้งยังต้องทำให้แน่ใจได้ว่าถั่วจะมีขนาดเท่าๆกัน


ขณะที่หยวนโจวเงียบไปและกำลังถามเจ้าระบบอยู่นั้น โจวซื่อเจี๋ยก็โทรมา


“ท่านประธานงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามขึ้น


“เป็นอย่างไรบ้างเล่า หยวนน้อย?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง


“ผมสบายดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ” หยวนโจวกล่าว


“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ พักนี้งานเป็นยังไงบ้างล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นมา


“ผมฝึกอยู่ทุกวันเลยครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น


“ดีแล้วล่ะ ทักษะการใช้มีดเป็นพื้นฐานของเชฟเลยนะ” โจวซื่อเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องคุย “ลูกชายคนเล็กของผมเพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศและกำลังจะกลับมา ผมคิดว่าจะพาเขาไปกินอาหารที่ร้านของคุณเพื่อแสดงความงดงามของอาหารจีนให้เขาได้เห็น”


หยวนโจวตอบตกลง อันที่จริงแล้ว โจวซื่อเจี๋ยมีแผนของเขาเองสำหรับเรื่องนี้แล้ว บุตรชายคนเล็กของเขามีอายุราวๆ 20 ปี ครอบครัวส่วนใหญ่จะตามใจบุตรคนเล็ก และในทำนองเดียวกัน โจวซื่อเจี๋ยก็รักบุตรชายคนเล็กมาก ตั้งแต่เล็กๆเด็กคนนี้ได้รับอนุญาตให้ติดตามคุณป้าของเขาไปเรียนต่างประเทศ


ถึงแม้ว่าโจวซื่อเจี๋ยจะไม่เคยบังคับบุตรชายคนเล็กให้สืบทอดฝีมือการทำอาหารของเขาเลย แต่เขาก็ยังหวังให้บุตรชายคนเล็กจะมีความเคารพนับถือในอาหารจีน เขารู้สึกว่าในเมื่อหยวนโจวมีอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของเขาก็น่าจะสามารถสั่งสอนเรื่องความเคารพนับถือในเรื่องดังกล่าวให้บุตรชายของเขาได้


โจวซื่อเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง “คุณกำลังมองหาช่างไม้อยู่งั้นรึ?”


“ครับ ผมกำลังอยากได้ตู้เอาไว้เก็บของบางอย่างน่ะครับ” หยวนโจวไม่แปลกใจเลยที่โจวซื่อเจี๋ยจะรู้เรื่องนี้เข้า ทุกวันนี้แค่โทรหรือส่งข้อความไปก็ใช้ได้แล้ว


“เดิมทีถั่วสามสีที่ตาเฒ่าผู้นั้นร้องขอมามีอีกชื่อหนึ่งว่าสามหอมแห่งห้องสมุทรซึ่งถูกค้นพบจากตำราโบราณที่เขียนเอาไว้ในซ่งจาจู๋ตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์หมิง” โจวซื่อเจี๋ยไม่ถามอะไรแล้วเริ่มคุยเรื่องประวัติความเป็นมาของถั่วสามสี


“ในการค้นหาข้อมูลทักษะงานช่างไม้ ช่างไม้ผู้นั้นมักจะค้นหาจากตำราโบราณและค้นพบว่ามีอาหารจานนี้อยู่ ในตำราโบราณเพียงแค่ให้คำอธิบายง่ายๆกับอาหารจานนี้เท่านั้น” โจวซื่อเจี๋ยพูดต่อไปว่า “บางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะเป็น ‘ส่วนที่ดีที่สุดที่ทำให้ถั่วทั้งสามชนิดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมราวกับท้องสมุทร’ ผมก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอกนะ”


“ขอบคุณครับท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวขึ้นพลางเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า ‘ราวกับท้องสมุทร’


“ไม่เป็นไรๆ ผมเคยลองทำอาหารจานนี้มาก่อนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ผมเลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำนักว่าอาหารจานนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า แต่การคืนชีพมันขึ้นมาต้องเป็นเรื่องยากสุดๆอย่างแน่นอนเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้น


“ผมจะทำให้ดีที่สุดนะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง


“ผมรู้ว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าคุณสามารถทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ตู้สักใบ ถ้ามาถึงขั้นนั้นผมจะจัดการให้คุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางยิ้ม


“ผมคิดว่าคุณเป็นเชฟเสียอีก? คุณรู้วิธีทำเฟอร์นิเจอร์ด้วยเหรอครับเนี่ย?” หยวนโจวถามด้วยความประหลาดใจ


“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมหมายความว่าผมจะไปเยี่ยมตาเฒ่าพร้อมกับมีดของผมเพื่อขอร้องให้เขาทำตู้ให้น่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา


“โอ้ โอ้ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวพลางปฏิเสธข้อเสนออย่างไม่มีทางเลือก


“โอเค ถ้าหากคุณสามารถทำอาหารจานนี้ได้อย่าลืมโทรหาผมเชียวนะ” โจวซื่อเจี๋ยย้ำเตือน


“ได้ครับ” หยวนโจวตอบตกลง


“เอาล่ะ ผมจะให้ลี่ลี่ส่งตำราซ่งจาจู๋บางส่วนไปให้คุณนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“ขอบคุณมากครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง


หยวนโจวย่อมสัมผัสได้ว่าโจวซื่อเจี๋ยเต็มใจให้เขายืมตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิงโดยไม่ลังเล


“อืม อืม ไม่ต้องเอ่ยถึงมันหรอกน่า ถ้าคุณสามารถคืนชีพอาหารจานนี้ได้ก็จะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในวงการทำอาหารของเราเชียวล่ะ ตำราโบราณจะไปเทียบอะไรได้กับสิ่งนั้นกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างกล้าหาญ


“ผมจะต้องทำสำเร็จแน่ๆครับ” หยวนโจวให้คำมั่นสัญญา


“โอเค งั้นผมจะรอดูสีหน้าตกตะลึงของตาเฒ่าผู้นั้นนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มกว้าง


“อืม” หยวนโจวพยักหน้า


“โอเค ผมจะไม่พูดมากแล้ว เชิญค้นหาข้อมูลของคุณต่อไปเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“โอเคครับ ลาก่อนครับ ท่านประธาน” หยวนโจวเตรียมที่จะตัดสาย


“อีกอย่างนะ ตอนที่พลิกดูตำราโบราณก็ช่วยเบาไม้เบามือหน่อยก็แล้วกันนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา


“รับทราบครับ ไม่ต้องห่วงเลย” หยวนโจวรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็อดกลั่นไว้แล้วให้สัญญา


เดิมทีเขานึกว่าโจวซื่อเจี๋ยจะไม่สนใจแม้แต่ตำราโบราณสมัยปลายราชวงศ์หมิง แต่มาตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะยังรักตำราโบราณเหล่านั้นอย่างสุดซึ้งอีกต่างหาก


แต่เนื่องจากนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ หยวนโจวจึงยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้น


หลังจากวางสายไป หยวนโจวก็ขึ้นรถแท็กซี่


เนื่องจากมีเวลาไม่พอ ทันทีที่เขาขึ้นรถแท็กซี่จึงหลับตาแล้วเริ่มตั้งคำถามกับเจ้าระบบ


เมื่อคนขับเห็นหยวนโจวหลับตาอยู่เงียบๆ เขาจึงได้แต่เงียบและขับรถตรงไปยังจุดหมายปลายทาง


นี่คือวิธีการที่คนขับแท็กซี่ของเมืองเฉิงตูจะปฏิบัติกัน พวกเขาทั้งสามารถคุยฟุ้งกับลูกค้าของตนเองและให้ความสงบแก่ลูกค้าตลอดการเดินทาง


ทันทีที่หยวนโจวหลับตาลง เขาก็ถามขึ้นในใจว่า “เจ้าระบบ ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารอยากถามแกหน่อย”


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ว่ามาสิ”


“จึ๊ จึ๊ ดูแกสิเย็นชาชะมัดเลย” หยวนโจวว่าเข้าให้


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เชิญกล่าวมาได้เลยเจ้านาย สหายน้อย”


“แค่ก แค่ก ฉันว่านะแกเย็นชาต่อไปเถอะ” หยวนโจวตอบ เขาต้องอดกลั้นมิให้ส่งเสียงไอเสียงดังออกมา


“เจ้าระบบ แกมีข้อมูลเกี่ยวกับถั่วสามสีบ้างไหม?” หยวนโจวถามตรงๆเพื่อเลี่ยงมิให้เจ้าระบบกล่าวอะไรที่สร้างความตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง


“ถั่วสามสีมีอีกชื่อหนึ่งว่าสามหอมแห่งท้องสมุทรเป็นอาหารที่เขียนเอาไว้ในตำราโบราณซ่งจาจู๋ในสมัยปลายราชวงศ์หมิง” หยวนโจวกล่าวเสริม


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”


“ยอดไปเลย ขอฉันดูหน่อยได้ไหม?” หยวนโจวถามขึ้นมา


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไม่ได้”


“ทำไมเล่า?” หยวนโจวถาม


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “อาหารจานนี้ถือว่าเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดของรางวัลจึงไม่สามารถแบ่งปันกันได้”


“เฮ้ งั้นจะมีแกอยู่ไปเพื่ออะไรกันเล่า เจ้าระบบ?” หยวนโจวตอบ


เจ้าระบบตอบว่า “ฉันเชื่อมั่นว่าคุณจะสามารถคืนชีพอาหารจานนี้ได้ด้วยตัวเองนะ”


“เจ้าระบบจอมพิลึก เอาล่ะ กลับไปพักเหอะ” หยวนโจวไม่รู้สึกอยากคุยกับเจ้าระบบอีกต่อไปโดยเฉพาะตอนที่เจ้าระบบมาเรียกเขาว่าสหายน้อยนั่นแหละ


“ในเมื่อเจ้าระบบไม่อนุญาตให้ฉันดูข้อมูล ฉันก็คงต้องอาศัยตำราโบราณเสียแล้ว แต่ประธานโจวบอกว่ามันแค่ให้คำอธิบานสั้นๆมาเท่านั้นเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงจะมีข้อมูลอ้างอิงน้อยมากๆเลยล่ะ” หยวนโจววิเคราะห์


“คุณครับ ผมจะสามารถชมการแสดงมายากลได้จากที่ไหนเหรอครับ?” จู่ๆหยวนโจวก็ลืมตาแล้วถามขึ้น


“โอ้? คุณอยากชมการแสดงมายากลงั้นรึ?” คนขับที่รู้สึกตกตะลึงกับคำถามเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง


“ครับ ผมจะสามารถชมได้จากที่ไหนครับ?” หยวนโจวถามขึ้นมา


“ผมรู้แต่ว่าคุณสามารถชมการแสดงเปลี่ยนหน้าได้ในเฉิงตู แต่ผมไม่ทราบเรื่องการแสดงมายากลเลยครับ” คนขับกล่าวพลางส่ายหน้า


“การเปลี่ยนหน้างั้นเหรอครับ?” หยวนโจวพูดอู้อี้


“ครับ การเปลี่ยนหน้ากาก จัดแสดงขึ้นในโรงน้ำชาที่ตรอกมงคลเมื่อวันก่อน เป็นการแสดงที่น่าสนใจมากเชียวล่ะครับ” คนขับรำพึงด้วยความชื่นชม


“ยังจัดแสดงอยู่ไหมครับ?” หยวนโจวถามขึ้นมา


“ไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับ กว่าจะเริ่มแสดงก็หนึ่งทุ่มนู่นแน่ะครับ แต่ก็การแสดงก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละวันด้วย ฉะนั้นคุณอาจจะได้ชมการแสดงมายากลก็ได้นะครับ” คนขับกล่าวขึ้น


“การแสดงใช้เวลานานขนาดไหนเหรอครับ?” หยวนโจวถาม


“ประมาณเก้านาทีเห็นจะได้นะ” คนขับตอบ


“ดูเหมือนว่าฉันต้องไปถามนักมายากลเรื่องการเล่นกลถั่วเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวครุ่นคิด เขาจำได้ว่าเคยชมการเล่นกลถั่วอันน่าทึ่งจากในโทรทัศน์มาก่อน


“ถึงแล้วล่ะ เจ้าหนุ่ม” คนขับกล่าวขณะจอดรถ


“ขอบคุณครับ” หยวนโจวจ่ายเงินค่าโดยสาร


“เจ้าหนุ่ม คุณดูคุ้นๆนะ” คนขับกล่าวขึ้นมาระหว่างที่หยวนโจวกำลังจ่ายเงิน


“ผมดูเหมือนหยวนโจวเชฟคนดังผู้แสนหล่อเหลา เฉลียวฉลาดและนำสมัยเลยใช่ไหมล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย


“ใช่ๆ คุณเหมือนเขาล่ะ” คนขับพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ผมไม่คิดว่าเขาหล่อขนาดนั้นหรือเปล่าแล้วก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาฉลาดหรือไม่ แต่ผมรู้ว่าเขาต้องมีภูมิหลังแน่ๆ แม้แต่บุคคลอันดับหนึ่งของเสฉวนก็ยังเป็นลูกค้าขาประจำของเขาเลย เป็นไปได้ไหมว่าหยวนโจวคนนั้นอาจจะมีภูมิหลังที่ไม่ค่อยดีน่ะ?”


หยวนโจวถามขึ้นตามสัญชาตญาณว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนั้นเลยนะ?”


บุคคลอันดับหนึ่งงั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?


“คุณต้องไม่รู้อยู่แล้วล่ะ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง” คนขับแท็กซี่มีสีหน้าราวกับจะพูดว่า ‘ให้ฉันสอนคุณเองนะ’ “ลองคิดดูสิ เบื้องหลังถนนเถ่าซืออันเป็นย่านการค้า ในพื้นที่แบบนั้น อาคารเก่าๆล้วนถูกทุบทิ้งเพื่อจุดประสงค์ด้านการพัฒนา แต่มีเพียงแค่ถนนเถ่าซือเท่านั้นแหละที่ไม่ถูกแตะต้องเลย เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะมีภูมิหลังที่ไม่ค่อยดีนักอยู่น่ะ?”


หยวนโจวลองใคร่ครวญดูก็เห็นว่ามีเหตุผลทีเดียว เขาไม่อาจโต้แย้งได้เลย


“ดังนั้นนี่ก็คือโลกที่ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากเส้นสาย” คนขับสรุปแล้วรำพึงต่อไปว่าเขาเองก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์แท้ๆแต่กลับขาดโอกาสไปเสียได้


ในที่สุดเมื่อตอนที่มีเสียงแตรดังขึ้นหลังรถแท็กซี่ คนขับก็รู้แล้วว่าเขากำลังขวางทางอยู่ หลังจากรับเงินไปแล้ว คนขับก็กล่าวอะไรอีกนิดหน่อยพลางยิ้มก่อนที่จะออกรถไป


บทที่ 892 รู้จักกันโดยบังเอิญ

หลังจากกลับเข้าไปในร้าน หยวนโจวก็ขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำ ตอนที่เขาลงมาชั้นล่างอีกครั้งก็ได้เวลาที่เขาต้องไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารค่ำแล้ว


แน่นอนว่าหยวนโจวยังคงจดจ่ออยู่กับการเตรียมอาหารค่ำของเขาแม้ว่าเรื่องถั่วสามสีจะยังคงกัดกินใจของเขาอยู่ก็ตามที


ในขณะที่หยวนโจวกำลังเตรียมวัตถุดิบอยู่นั้น ลูกค้าก็เริ่มเข้าแถวกันอยู่ข้างนอกแล้ว


วันนี้แถวค่อนข้างแตกต่างออกไป โดยปกติแถวจะอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงดัง แต่วันนี้บางส่วนของแถวค่อนข้างเงียบไป นั่นก็คือท้ายแถวนั่นเอง


นั่นเป็นเพราะเมื่อสักครู่ หลิงหงเพิ่งเข้าแถวพร้อมชายชราผมสีดอกเลาที่ยังคงก้าวเดินอย่างหนักแน่นและมั่นคงแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตามที


ชายชรามีท่าทางน่าเกรงขามและสีหน้าของเขาก็เข้มงวดมากทีเดียว แม้แต่หลิงหงที่มักจะชอบหยอกเย้าก็ถึงกับยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ


และเนื่องจากแรงกดดันเงียบๆที่ชายชราก่อขึ้นและหลิงหงที่มีท่าทีผิดปกติ ผู้คนจึงเริ่มลดเสียงตอนที่คุยกันให้เบาลง


“ที่นี่ใช่ไหม?” ชายชราถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ใช่แล้วล่ะ” หลิงหงพยักหน้า


“ถ้าที่นี่ไม่มีชาดำคีมุนล่ะก็ฉันจะสั่งสอนแก” ชายชรากล่าว


“อืม ผมรู้แล้วน่า” หลิงหงตอบอย่างอับจนหนทาง


พวกเขาค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตา และแม้แต่อู๋ไห่ที่อยู่หัวแถวก็ยังเห็นพวกเขาเลย เขาหันมาเดาะลิ้นใส่หลิงหงโดยไม่พูดอะไร


จากสีหน้าของอู๋ไห่ คำพูดที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือ “หลิงหง ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันที่นายอ่อนแอกับเขาด้วย”


“ดูเหมือนฉันจะเลือกมากินไข่ต้มชาสมุนไพรผิดเวลานะ” หลิงหงนวดศีรษะด้วยสีหน้ารำคาญใจ เดิมทีเขาวางแผนที่จะมาหลอกเจ้าเข็มทิศเสียหน่อย แต่คาดไม่ถึงเลยว่าคนที่ถูกหลอกจะเป็นตัวเขาเสียเอง


“ร้านนี้สวะมากเกินไป มันเป็นถึงชาดำคีมุนเชียวนะ! เสียดายของจริงๆ!” ชายชรากล่าวด้วยความโมโหพลางเหลือบมองหลิงหง


“ผมก็แค่มากินเท่านั้นเอง ใช่ว่าผมจะเป็นคนทำเสียหน่อย” หลิงหงปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว


ชายชราเบิกตากว้าง “แกกินไม่ได้หรอก! กว่าแกจะโตขึ้นมาได้เลือกกินขนาดไหน? แกอยากใส่ชาดำคีมุนลงในไข่ต้มชาสมุนไพรของแกงั้นเรอะ? ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยนะว่าแกลิ้มรสของแพงขนาดนั้น?”


ชายชราผู้นี้ก็คือคุณปู่ของหลิงหงนั่นเอง หลิงหงจึงต้องแสดงท่าทีนอบน้อมเฉพาะต่อหน้าคุณปู่ของเขา


เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าหลิงหงก็คือสาเหตุที่ทำให้คุณปู่ของเขามาที่นี่


เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ครอบครัวหลิงจะนัดรวมตัวกันเป็นครั้งคราวโดยทั้งครอบครัวจะมารวมตัวกันทานอาหาร


ปฏิบัติการในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากชายชราผู้นี้ เนื่องจากเขาเริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงเริ่มชอบความรู้สึกที่ถูกคนในครอบครัวห้อมล้อมเอาไว้เพื่อสำราญใจไปกับการแสดงความรักในครอบครัว


แล้วเมื่อคืนนี้หลิงหงก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้ เขายืนกรานว่าจะมากินไข่ต้มชาสมุนไพร แถมยังรู้ด้วยว่าอาหารจานนี้เตรียมขึ้นด้วยชาดำคีมุนและหลังจากกินอาหาร กลิ่นหอมรุนแรงของชาก็ยังอวลอยู่ในปากของเขา


ที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นหอมของชาเข้มมากพอ หลิงหงจึงร้องขอให้เติมชาลงในจานของเขาด้วย


ด้วยเหตุนั้น คุณปู่ของเขาที่เป็นคนรักชามากจึงสามารถได้กลิ่นของมัน


ผลก็คือคุณปู่ของเขาได้กลิ่นหอมเข้าจนเกือบจะตีหลิงหงตายทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเขากำลังยุ่งๆล่ะก็เขาคงมาถึงร้านหยวนโจวแต่เช้าแล้วล่ะ


เขารอจนถึงเวลาอาหารค่ำก่อนที่จะมาในที่สุด แน่นอนว่าชายชราย่อมต้องอารมณ์บูดอยู่แล้ว


ถึงอย่างไรเมื่อคืนนี้หลิงหงก็กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่าเขาได้กินไข่ต้มชาสมุนไพรมาแล้ว แต่ไข่ต้มชาสมุนไพรก็ยังหลงเหลือกลิ่นหอมของชาดำคีมุนเอาไว้ในโพรงปากของเขาด้วย ถ้าหากหลิงหงไม่ใช่หลานชายของเขาแล้วล่ะก็คงได้ถูกตีตายไปแล้วล่ะ


“คอยอีกนิดสิ” ชายชรากล่าวตาขุ่นขวางพลางจ้องมองไปที่หลิงหง


ในคราวนี้มีลูกค้าอีกไม่กี่คนมาเข้าแถวต่อท้ายหลิงหงกับคุณปู่ของเขา


คุณปู่ของหลิงหงมีสีหน้าดุร้ายราวกับพยัคฆ์อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หลิงหงยืนตัวตรงด้วยท่าทีนอบน้อมราวกับนกยูงรำแพนหาง


นี่คือฉากที่ยากจะพบเห็นได้


“พี่หลิงเป็นอะไรไปเหรอคะ?” โจวเจียที่เพิ่งจะมาถึงทั้งสงสัยและเป็นห่วง ดังนั้นเธอจึงถามอู๋ไห่ขึ้นมา


“ฉันคิดว่าเขาต้องถูกปู่ตัวเองตีแหงๆ” อู๋ไห่กล่าวพลางลูบหนวดเคราของตนเอง “ดูเหมือนตาเฒ่าจะไม่ค่อยแข็งแรงนะเพราะหลิงหงยังไม่เป็นอะไรเลยสักนิด”


“ฮ้า? แต่หลิงหงยังหนุ่มอยู่เลย คุณปู่ของเขายังจะสู้กับเขาอีกเหรอคะ?” โจวเจียถามด้วยความประหลาดใจ


“ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้นี่นา” อู๋ไห่กล่าวขึ้นพลางกวาดตามองไปรอบๆ


บังเอิญว่าลูกค้ารายอื่นๆดันได้ยินการสนทนาครั้งนี้เข้าพอดี และเนื่องจากอู๋ไห่เจตนาพูดเสียงดัง เพียงไม่นานนักบรรดาลูกค้าทุกคนจึงรู้ว่าวันนี้หลิงหงถูกคุณปู่ของตัวเองตีเข้าให้


ส่วนสาเหตุที่เขาถูกตีนั้น ทุกคนล้วนมีทฤษฎีของพวกเขาเอง บางคนอ้างว่าเป็นเพราะหลิงหงเจ้าชู้มากเกินไป ในขณะที่บางคนอ้างว่าหลิงหงใช้เงินเป็นเบี้ย สั้นๆก็คือมีการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต้นฉบับที่หลิงหงถูกตีกว่า 10 แบบโดยที่อู๋ไห่ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว


คุณปู่คนขับรถลากเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน เขาก็คือลูกค้าที่ต่อท้ายหลิงหงนั่นเอง


เขาเป็นคนโอบอ้อมอารีทีเดียว ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินและรู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็พูดขึ้นมาบ้าง


“สหายเก่า มาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย?” เขาถามคุณปู่ของหลิงหง


หลิงหงทราบดีถึงความสามารถในการสนทนากับคนแปลกหน้าของคุณปู่คนขับรถลาก ดังนั้นเขาจึงหลีกทางให้พวกเขามีโอกาสได้คุยกัน


“คุณคุยกับผมอยู่เหรอครับ?” ชายชราถามด้วยสีหน้าหดหู่


เมื่อคุณปู่หลิงหันหน้ามาเห็นคุณปู่คนขับรถลาก เขาก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบนใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยริ้วรอย เห็นได้ชัดว่านี่คือใบหน้าที่ปราศจากการดูแลเช่นเดียวกับใบหน้าของเขา


อีกด้านหนึ่ง ผมของคุณปู่คนขับรถลากก็ไม่ได้หงอกขาวเท่ากับคุณปู่หลิงทั้งยังมีริ้วรอยยับย่นตรงหัวตา สิ่งเหล่านี้เป็นริ้วรอยที่เกิดจากการยิ้มที่มากเกินไปอย่างเห็นได้ชัดเจน


คุณปู่คนขับรถลากรูปร่างผอมบางทว่ากลับดูกระฉับกระเฉง เขาหาได้แต่งกายโก้หรูอะไรเนื่องจากมีถุงมือสีดำส่วนหนึ่งยื่นออกมาจากกระเป๋า ส่วนเท้าเป็นรองเท้ากีฬาคู่หนึ่งที่ทำให้เดินไปเดินได้สะดวก


ผมเผ้าของเขาตัดเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยเหตุผลบางประการ เขาจึงให้ความรู้สึกอันเป็นมิตร


แน่นอนว่าคุณปู่หลิงย่อมรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆคนเช่นนี้ก็มาคุยกับเขา ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นมิตรมากๆก็ตามที แต่เขาก็แน่ใจว่าไม่รู้จักคนผู้นี้


“ดูเหมือนว่านายจะอารมณ์บูดนะ เขาทำให้นายโมโหงั้นรึ?” คุณปู่คนขับรถลากถามขึ้นพลางชี้ไปทางหลิงหง


“ฮึ จะอะไรเสียอีกเล่า? ไอ้เด็กบ้านี่มันใช้เงินเป็นเบี้ยเลยน่ะสิ” คุณปู่หลิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว


“งั้นเหรอ?” คุณปู่คนขับรถลากถามพลางมองหลิงหงด้วยความสงสัย


เนื่องจากคุณปู่คนขับรถลากเป็นลูกค้าขาประจำของที่นี่ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักหลิงหงอยู่แล้วล่ะ ในความรู้สึกของเขา หลิงหงไม่ใช่คนที่จะทำตัวไร้ยางอายสักเท่าไหร่นัก เขาเพียงแค่คึกคะนองไปตามประสาคนหนุ่มก็เท่านั้นเอง


“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้เด็กบ้านี่กินไข่ต้มชาสมุนไพรที่ปรุงด้วยชาดำคีมุนเชียวนะ ช่างเหลวไหลอะไรขนาดนั้น?” คุณปู่หลิงหันมาเริ่มพูดฉอดๆขณะที่เขาเริ่มด่าพลางชี้ไปทางหลิงหง


ทันทีที่เขาได้ยินเช่นนั้น คุณลุงคนขับรถลากก็ถึงกับตื่นตะลึง เขาเงยหน้ามองตรงไปที่คุณปู่หลิงก่อนที่จะคาดเดาอะไรบางอย่างในตัวเขาราวกับว่ากำลังเป็นผู้รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์บางอย่างเข้าให้แล้ว


เขายังคงทำเช่นนั้นต่อไปอยู่เป็นนานโดยไม่ได้พูดอะไร


“อะไรกันเล่า?” คุณปู่หลิงที่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อถูกจ้องมองถามขึ้น


“นี่คือปู่ของนายงั้นรึ?” คุณปู่คนขับรถลากถามหลิงหงแทนที่จะตอบ


บทที่ 893 ไข่ข้นหน้าต้นหอม

ถึงแม้ว่าถ้อยคำของคุณปู่คนขับรถลากจะมาถึงโดยกะทันหัน แต่หลิงหงก็ยังตอบอยู่ดี ถึงอย่างไรเขาก็ค่อนข้างสนิทสนมกับคุณปู่คนขับรถลากและคนที่จ้องมองอยู่ทางด้านข้างจึงต้องวางตัวให้เหมาะสม


“ใช่ครับ” หลิงหงพยักหน้า


“ปู่ของนายแซ่หลิงเหมือนกันใช่ไหม?” คุณปู่คนขับรถลากถามขึ้น


“ใช่ครับ” หลิงหงรู้สึกอยากจะหัวเราะเหลือเกิน อย่างไรเสียแซ่ของปู่เขาก็ต้องเป็นหลิงอยู่แล้วล่ะน่า


เมื่อคนขับรถลากเห็นหลิงหงพยักหน้า เขาก็เหม่อลอยไปชั่วครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง


คุณปู่หลิงดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเช่นเดียวกัน แต่เขาเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา


“เจ้าหกน้อยใช่ไหม? นายก็คือหลิงหกน้อยสินะ?” คุณปู่คนขับรถลากถามพลางจ้องมองไปที่คุณปู่หลิง


“คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงกัน?” คุณปู่หลิงถามขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว เขาเป็นบุตรคนที่หกในครอบครัวจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าหลิงหกน้อยต่อท้ายเมื่อตอนที่เขายังเด็ก


“ฮ่าฮ่า เป็นนายจริงๆด้วย! หลิงหกน้อย โอ้ หลิงหกน้อย นายดูหนักแน่นกว่าตอนที่ยังหนุ่มเสียอีกนะ ไม่แปลกเลยที่ฉันจะจำนายไม่ได้น่ะ พวกเราไม่เจอกันมาหลายสิบปีเลยนะ” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางหัวเราะลั่น


คุณปู่คนขับรถลากดูเหมือนจะรู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าของเขาดูเหมือนจะแผ่ออกมาได้เลย ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ตบไหล่ของคุณปู่หลิงไปด้วย


เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! คุณปู่คนขับรถลากออกแรงตบค่อนข้างมากจนเกิดเสียงดังสนั่น


หลิงหงชักจะเป็นห่วงขึ้นมาเสียแล้วเมื่อเขาเห็นคุณปู่คนขับรถลากกำลังตบคุณปู่ของตนเสียแรงขนาดนั้นจนชุดสูทของคุณปู่เริ่มยับ


ถึงอย่างไรคุณปู่ของเขาก็ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของตนเองเอามากๆและไม่เคยสวมชุดที่มีรอยยับมากๆมาก่อนเลย แต่คุณปู่หลิงดูเหมือนจะกำลังเหม่อลอยและไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด


“ผู้คุมเจียงั้นรึ? คุณก็คือผู้คุมเจียงั้นรึ?” เขาถามพลางจับจ้องไปที่คุณปู่คนขับรถลากสักพักหนึ่ง


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลิงหงได้เห็นคุณปู่ของเขาตื่นเต้นมากขนาดนี้ คุณปู่ของเขารู้สึกตื่นเต้นมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำในขณะที่จับมือของคุณปู่คนขับรถลากเอาไว้เสียแน่นเลย


“ฮ่าฮ่า ถ้านายหมายถึงผู้คุมตัวปลอมแล้วล่ะก็ฉันต่างหากที่เป็นผู้คุมตัวจริง” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวไปพลางหัวเราะไปพลางเนื่องจากรู้สึกตื่นเต้น [1. คำว่าเจียในคำว่าผู้คุมฟังดูเหมือนคำว่าตัวปลอมในภาษาจีน]


“งั้นก็เป็นคุณจริงๆน่ะสิ ผู้คุม ผู้คุม คุณ… ทำไม…” คุณปู่หลิงก้าวเข้ามาแล้วผลักหลิงหงออกไปให้พ้นทางและจับมือคุณปู่คนขับรถลากเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มมองเขาขึ้นๆลงๆ


ทั้งสองคนไม่สนใจคนอื่นๆอีกและลอบประเมินซึ่งกันและกันทั้งอย่างนั้นราวกับพี่น้องที่พรากจากกันไปเสียนาน


ส่วนหลิงหงนั้น เขาก้าวถอยหลังไปเงียบๆแล้วเว้นระยะห่างเพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนทั้งสองคน


“ฉันทำไม? ฉันดูเด็กกว่านายอีกใช่ไหมล่ะ? จากท่าทางของนาย เห็นชัดๆเลยว่านายมักจะเป็นกังวลในหลายๆเรื่อง” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวด้วยความภาคภูมิใจขณะที่มองผมหงอกขาวของคุณปู่หลิง


“แต่ผู้คุม คุณเป็นถึงคนที่พาพวกเราเข้าประจัญบานเมื่อหลายปีก่อน คุณเป็นถึงวีรบุรุษสงคราม ทำไม… ทำไม…” คุณปู่หลิงไม่สามารถพูดจนจบคำได้


คุณปู่คนขับรถลากแต่งกายธรรมดาเกินไปจริงๆ เพียงมองแค่แวบเดียวก็จะสังเกตเห็นว่าถึงแม้เสื้อผ้าของเขาจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ราคาถูกมากทีเดียว แม้แต่สีตรงแขนเสื้อก็ยังซีดจางอีกด้วย สิ่งนี้กลับทำให้มีความรู้สึกว่าคุณปู่คนขับรถลากช่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากยากแค้นเหลือเกิน


“เลิกเหลวไหลได้แล้วน่า ฉันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันก็มากินอาหารที่นี่ด้วยน่ะ? อาหารของเถ้าแก่หยวนแพงก็จริงแต่อร่อยเหาะเชียวล่ะ นักชิมอย่างฉันไม่สามารถหยุดกินอาหารที่นี่ได้เลย” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางโบกมือ


คุณปู่หลิงอยากจะพูดอะไรอีกแต่เมื่อเขาเห็นว่าคุณปู่คนขับรถลากดูเหมือนจะไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยสักนิด เขาก็ยับยั้งตัวเองแล้วพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน “ตลอดหลายปีมานี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ ผู้คุมเจีย?”


“ฉันสบายดี นายควรจะเรียกฉันว่าพี่เจียมากกว่านะ” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางยิ้มกว้าง


“ได้ ได้ ยังไงคุณก็เป็นพี่เจียของผมเสมอมาอยู่แล้วนี่นา” คุณปู่หลิงกล่าวพลางพยักหน้าพร้อมสายตาที่เปลี่ยนเป็นพร่ามัว


“หลิงหกน้อย ดูเหมือนว่านายจะมีความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนกันนะ ดูสิ นายยังมีแขนขาอยู่ครบเลย!”


ผู้คุมเจียมองไปที่แขนขาของคุณปู่หลิงพลางยิ้มกว้างบนใบหน้า ถ้ามีใครมากล่าวถ้อยคำแบบนี้ หลิงหงแน่ใจเลยว่าคุณปู่ของเขาคงจะระเบิดความโกรธไปแล้ว แต่เมื่อคุณปู่คนขับรถลากกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ดวงตาคุณปู่ของเขากลับเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมาแทน


“ผมมีความเป็นอยู่ที่ดีเชียวล่ะครับ แน่นอนว่านั่นต้องขอบคุณที่คุณแบกผมลงจากเขาในตอนนั้นด้วย” คุณปู่หลิงกล่าวพลางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราล้วนอยู่ห่างจากประเทศของเรา หลังจากแบกนายลงมาแล้ว ฉันก็ขึ้นไปอีก หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นับแต่นั้นมาก็หลายปีแล้วสินะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางทอดถอนใจ


“จริงด้วย ตอนนั้นผมได้รับบาดเจ็บสาหัส พอสงครามสิ้นสุดลงผมก็เลยถูกส่งไปรักษาตัวที่ประเทศของเรา นับแต่นั้นก็ผ่านมา 37 แล้ว” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา


“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ ฉันกลัวนายจะถูกฆ่าตายในสงครามมากกว่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางพยักหน้า


คุณปู่หลิงทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ผมกลัวจับจิตเชียวล่ะว่าพี่น้องของเราจะต้องมาสละชีวิตไปน่ะ”


“ฉันไม่ได้ข่าวคนที่เหลือแล้วก็ติดต่อพวกเขาไม่ได้เลย แต่ยังนับว่าโชคดีที่พวกเรายังมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งนะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางยิ้มกว้าง เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่หลายปีมานี้เขาเดินทางไปทุกหนทุกแห่งด้วยรถลากของตนเองก็เพื่อทำตามคำขอของสหายร่วมอุดมการณ์ของเขานั่นเอง


ในตอนนั้นสหายของเขาที่เพิ่งจะถูกสังหารนั้นพวกเขายังเป็นแค่คนอายุน้อยที่เพิ่งจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้นเอง และก่อนที่พวกเขาจะตายก็ได้ขอให้คุณปู่เจียส่งข้อความให้คนที่พวกเขารักด้วย อาทิเช่น “แม่ฮะ ผมอยู่ที่นี่น้ำหนักลดไปตั้งสามชั่งแน่ะ” “เฉียนเฉียน จริงๆแล้วฉันยังรักเธอนะ” และอื่นๆ ในฐานที่เป็นผู้คุม คุณปู่เจียจึงให้สัญญาที่จะถ่ายทอดคำพูดสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้นเขาก็เลยใช้เวลาถึง 20 ปีเดินทางไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำสิ่งที่เขาได้ให้สัญญาไว้กับสหายที่ตายไปแล้วของเขา เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเลยทำให้เขายังมีอีกสองข้อความที่ต้องไปถ่ายทอด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ย่นระย่อและยังคงพยายามมาจนถึงทุกวันนี้


ในฐานที่เป็นทหารผ่านศึกที่รอดชีวิตจากศึกสงคราม เขาจะต้องพยายามทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


“ใช่แล้ว! วันนี้เป็นวันดี ฮ่าฮ่าฮ่า มาดื่มอะไรกันสักหน่อยเถอะ!” คุณปู่หลิงกล่าวด้วยความเบิกบานพลางดึงมือของคุณปู่เจีย


“บ้าจริง ฉันต้องมาที่นี่เพื่อกินอาหาร นายไม่เคยกินอาหารที่นี่มาก่อนใช่ไหมล่ะ? หยวนน้อยผู้นี้ทำอาหารเก่งมากจริงๆนะ แน่นอนว่าแม้แต่ไข่ข้นหน้าต้นหอมของเขาก็ยังแตกต่างไปจากที่นายลองชิมมาก่อนเลยเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวขึ้น


“เอ๊ะ นั่นมันมุขเก่าตั้งแต่สมัยพวกเรายังหนุ่มๆกันเลยนะ ทำไมคุณยังเอามาพูดถึงอีกเล่า” คุณปู่หลิงกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ


“ฮ่าฮ่า ก็ฉันอดไม่ได้นี่นา เพราะมุขนั้นแหละที่ทำให้ฉันรู้จักกับนาย” คุณปู่เจียไม่คิดจะเก็บอาการเลยสักนิด


“มุขตลกอะไรงั้นเหรอครับ?” หลิงหงขัดจังหวะขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ


“ทำไมแกต้องมาขัดด้วยเล่า ไอ้เด็กบ้า?” คุณปู่หลิงกล่าวพลางจ้องมองหลิงหง


“นี่หลานชายของนายงั้นรึ? เขาเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเชียวล่ะ” คุณปู่เจียเอ่ยชมพลางยิ้มให้


“ใช่แล้วล่ะ เขาก็คือไอ้เจ้าหลานชายไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่เป็นเลยของผมนี่แหละ มาทักทายเขาหน่อยสิ” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา


แน่นอนว่าเมื่อตอนที่คุยกับหลิงหง เขาย่อมไม่ได้มีท่าทางสุภาพเลยสักนิดเดียว ทันใดนั้นเขาก็ก็ลากตัวหลิงหงมาทันที


“ผมควรจะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะเนี่ย? จะไม่เล่าเรื่องนั้นให้ผมฟังจริงๆเหรอปู่” หลิงหงกล่าวอย่างอับจนหนทาง


“แน่นอนว่าแกต้องเรียกเขาว่าคุณปู่น่ะสิ หลานชายของฉันก็เป็นหลานชายของผู้คุมเจียเหมือนกันนั่นแหละ” คุณปู่หลิงกล่าวอย่างจริงจัง


“สวัสดีครับปู่เจีย ผมหลิงหงครับ” หลิงหงกล่าวคำทักทายด้วยความนอบน้อม


ถึงอย่างไรหลิงหงก็มีพรสวรรค์ในด้านการอ่านสีหน้าคนมากทีเดียว เขาทำตามคำสั่งแม้ว่าคุณปู่เจียจะเป็นคนขับรถลากที่มักจะมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอๆ


จากท่าทีอันจริงจังของปู่ตนเองทำให้เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จริงจังมากทีเดียว ดังนั้นหลิงหงจึงไม่ได้ทำเป็นเล่นเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)