ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 890-891
ตอนที่ 890 ภารกิจใหม่
“หลังจากนี้ไม่ทราบว่าศิษย์หลานหลิ่ววางแผนไว้อย่างไร?” สายตาของผู้อาวุโสเจียงมองหลิ่วหมิงอย่างคาดหวังอยู่บ้างแล้วเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า
“คงเว้นไปก่อนชั่วคราว” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา
หลายปีนี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายติดๆ กันจนชื่อเสียงเลื่องลือ ทำให้ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายมากมายพากันซ่อนตัวไม่ออกมา ยากจะตามหาร่องรอยของพวกเขา
อีกอย่างการล่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายก็อันตรายยิ่งนัก ครั้งนี้เขาก็ถูกผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนรุมซุ่มโจมตี หากไม่ใช่เพราะไหวพริบของเขา เกรงว่าคงสิ้นชื่อในกับดักของปีศาจพันมายาไปแล้ว
ในเมื่อห่างจากหนึ่งล้านห้าแสนแต้มอีกไม่เท่าไร เขาย่อมไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเกินไปนัก วันนี้เขาวางแผนจะเปลี่ยนแผนการสักหน่อยด้วยการไปลองดูป้ายประกาศสายในของหอลี้ลับ
ผู้อาวุโสเจียงสีหน้าแข็งทื่อไปทันที จากนั้นก็หัวเราะเจื่อนๆ ออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่วพักนี้ชื่อเสียงโด่งดังเกินไป นิกายสายอธรรมมากมายอาจจับตาศิษย์หลานอยู่ ระวังสักหน่อยก็สมควร”
คำพูดนี้ของผู้เฒ่าแฝงนัยประจบอยู่บ้าง ศิษย์สายในที่มีพลังระดับนี้อย่างหลิ่วหมิง เขาที่เป็นเพียงผู้อาวุโสระดับผู้ดูแลธรรมดาๆ คนหนึ่งย่อมไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ
“ที่ผ่านมาได้ผู้อาวุโสเจียงดูแลแล้ว” หลังจากหลิ่วหมิงคำนับให้เขาหนึ่งครั้งก็หมุนตัวเดินออกไปจากหอความเป็นความตายอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะไปหอลี้ลับ เขากลับไปถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยวเตรียมตัวจะดูสถานการณ์ของเฟยเอ๋อร์สักหน่อยก่อน
ตอนจากไปครั้งก่อนเฟยเอ๋อร์ยังหลับใหลอยู่ หลายเดือนนี้หลิ่วหมิงจึงค่อนข้างเป็นห่วงอยู่ตลอด
เพิ่งเหยียบเข้าประตูใหญ่ของถ้ำที่พัก เงาสีเขียวก็พุ่งออกมาจากในห้องศิลา เด็กน้อยชุดเขียวคนหนึ่งโถมเข้ามาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน…” มือน้อยขาวนุ่มทั้งสองข้างของเฟยเอ๋อร์กอดแขนของหลิ่วหมิงไว้พร้อมกับที่เสียงอ้อแอ้ตะโกนเรียก
“เฟยเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้วหรือ” หลิ่วหมิงมีสีหน้ายินดี เขาสะบัดมือส่งปราณดำสายหนึ่งยกเฟยเอ๋อร์ลอยขึ้นมา จากนั้นก็เพ่งสมาธิ
เทียบกับก่อนหน้านี้พลังเวทบนร่างเฟยเอ๋อร์ล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลาย ไม่ได้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนดังที่เขาคาดไว้
“ข้าตื่นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่นายท่านกับเซียเอ๋อร์ล้วนไม่อยู่ เฟยเอ๋อร์อยู่ในถ้ำน่าเบื่อยิ่งนัก!” เฟยเอ๋อร์บิดร่างจนหลุดออกมาจากปราณสีดำ แล้วดึงชายเสื้อของหลิ่วหมิงขณะที่ปากบ่นงึมงำ
“ดูท่าคอขวดของระดับแก่นเสมือนจะไม่ได้ทะลวงผ่านง่ายดายเช่นนั้น หลังจากนี้ค่อยตามหาโอกาสใหม่นะ” หลิ่วหมิงลูบศีรษะของเฟยเอ๋อร์ ส่วนในใจลอบถอนหายใจ
“นายท่าน ต่อจากนี้ยังต้องไปทำภารกิจไหมขอรับ?” เด็กน้อยโคลงศีรษะเอ่ยถาม
“ไม่ผิด ข้ายังต้องสะสมแต้มคุณูปการอีกสักหน่อยถึงจะได้” หลิ่วหมิงเอ่ยขณะที่ก้าวเชื่องช้าไปหน้าโต๊ะศิลากลางโถงรับแขกของถ้ำที่พักแล้วนั่งลง
“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกับนายท่านด้วย อยู่ที่นี่คนเดียวน่าเบื่อเกินไปแล้ว” เฟยเอ๋อร์กระโดดโลดเต้นเอ่ยขึ้นข้างกายหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงพยักหน้าพร้อมแย้มยิ้มน้อยๆ ในเมื่อเฟยเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาแล้วเขาย่อมต้องพาไปข้างกาย ตอนล่าปีศาจพันมายาเซียเอ๋อร์ทำประโยชน์ให้เขาไม่น้อย ตอนนี้มีอสูรเลี้ยงสองตัวย่อมสะดวกกว่าเดิม
เขาตบมือข้างหนึ่งบนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ เด็กน้อยพลันกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งบินเข้าไปด้านใน
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องลับ หลังจากนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมตรงกลางก็หยิบอาวุธจิตวิญญาณเก็บของของจั่วกงเฉวียนออกมา
เขาสำรวจแหวนเก็บของของปีศาจพันมายาคร่าวๆ ไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ของจั่วกงเฉวียนเขายังไม่ทันสำรวจอย่างละเอียด
จั่วกงเฉวียนผู้นี้อย่างไรก็เป็นประมุขของนิกายแห่งหนึ่ง ทรัพย์สมบัติย่อมมากมายพอสมควร
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ก็ส่งจิตสัมผัสสายหนึ่งแทรกเข้าไปในกำไลเก็บของของจั่วกงเฉวียน หลังจากกวาดผ่านไปครั้งหนึ่ง บนใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดีทันที
หลังจากเขาสะบัดมือครั้งหนึ่ง บนพื้นของห้องลับก็มีของกองพะเนินปรากฏขึ้นมา
“ดอกฝูหลิง หญ้าบัวขาว เอื้องเงินยวง หินอุกกาบาตเหล็กศิลา ผลึกอำพัน…” ด้านในข้าวของกองพะเนินนั่นส่วนใหญ่เป็นหญ้าจิตวิญญาณและหินแร่จำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นวัตถุจิตวิญญาณอันล้ำค่าอย่างยิ่ง
บนร่างหลิ่วหมิงไม่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณ ครั้งนี้ได้วัตถุจิตวิญญาณล้ำค่ามากมายเช่นนี้มาย่อมสมใจเขายิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนั้นยังมีวัตถุดิบเสริมหลายอย่างสำหรับการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์อีกด้วย เขาจึงไม่ต้องเปลืองเวลาไปตลาดหาซื้อแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็หยิบแหวนหยกเก็บของของปีศาจพันมายาออกมา ลูบทีหนึ่งบนพื้นก็พลันมีของเพิ่มขึ้นมาอีกกองหนึ่ง
โอสถ หินแร่ อาวุธจิตวิญญาณที่ปีศาจพันมายาพกติดตัวล้วนเป็นวัตถุของสายปีศาจ ไม่มีประโยชน์กับหลิ่วหมิงนัก เขาต้องไปตลาดเพื่อขายค่อนครึ่งในนั้นออกไป
หลังจากเขาจำแนกประเภทข้าวของเหล่านี้แล้วก็ถอนหายใจยาว เอนตัวลงบนเตียงแล้วหลับลึก
วันต่อมาหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า
เขาออกจากถ้ำที่พักไปตั้งแต่เช้าโดยไม่ชักช้า เท้าเหยียบเมฆดำก้อนหนึ่งเหาะไปยังหอลี้ลับ
หอลี้ลับนอกยังคงเป็นสถานที่ซึ่งครึกครื้นอย่างยิ่งในนิกาย ศิษย์สายนอกมากมายเบียดเสียดกันอยู่ที่นี่ จับจ้องป้ายประกาศลี้ลับอย่างไม่ละสายตา ทุกครั้งที่บนป้ายมีภารกิจปรากฏขึ้นภารกิจหนึ่งก็จะเกิดเสียงถกเถียงดังอื้ออึงขึ้นพักหนึ่ง บางครั้งมีการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อภารกิจสักภารกิจก็เป็นเรื่องปกติ
หลิ่วหมิงมองภาพตรงหน้าแล้วในใจก็รู้สึกปลงอยู่บ้าง
แต่ชุดศิษย์สายในบนร่างเขาสะดุดตาเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หยุดดูนานแต่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายค่ายกลหนึ่งในห้องโถงด้านข้าง พร้อมกันนั้นบนใบหน้าก็มีปราณดำชั้นหนึ่งลอยออกมาบดบังใบหน้าไว้
หอในเทียบกับหอนอกแล้วเงียบกว่ามาก มีเพียงศิษย์สายในที่แต่งกายแตกต่างกันสิบกว่าคนเดินอยู่เบาบาง แต่ละคนล้วนเงยศีรษะมองภารกิจบนป้ายประกาศ ไม่มีใครเอ่ยปากคุยกัน
หลิ่วหมิงปะปนอยู่ในหมู่คนอย่างเงียบเชียบ ดวงตาจับจ้องภารกิจข้อแล้วข้อเล่าบนป้ายประกาศลี้ลับ
แต้มคุณูปการแสนกว่าแต้มที่เหลือนั่น เขาวางแผนว่าจะสะสมให้ได้เร็วที่สุดเพื่อที่จะเข้าไปในทางปีศาจร้ายให้ได้ไวที่สุด อย่างไรเวลาที่เหลืออยู่ก็มีจำกัด
สายตาของหลิ่วหมิงวนเวียนไปมาอยู่บนภารกิจที่ให้แต้มคุณูปการมาก จะว่าไปแล้วจำนวนครั้งที่เขามาเยือนหอลี้ลับก็ไม่นับว่ามากนัก แต่เขากลับคุ้นกับสภาพของหอลี้ลับพอสมควร
เมื่อพลังเพิ่มขึ้น ภารกิจเช่นการล่าปีศาจอสูรหรือตามหาวัตถุจิตวิญญาณบนป้ายประกาศของหอลี้ลับในก็แทบจะไม่มีอันตรายแต่อย่างใดกับเขาแล้ว เพียงแต่ภารกิจเหล่านี้ให้แต้มคุณูปการน้อยนิดเพียงไม่กี่ร้อยแต้มจนไปถึงหลักพันแต้มเท่านั้น เมื่อรวมการเดินทางไปกลับซึ่งระยะทางไม่นับว่าสั้น ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงถูกเขามองข้ามไปทันที
ภารกิจนอกเหนือจากนั้นที่สุ่มเสี่ยงจะอันตรายมากอย่างการค้นหาสมบัติในสถานที่อันตรายซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก หรือการค้นหาวัตถุดิบจากปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ที่หายากบางชนิด มีค่าตอบแทนที่ค่อนข้างทำให้คนพอใจ
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดไปบนภารกิจอันดับหนึ่งบนป้ายประกาศอย่างอดไม่อยู่ มันคือภารกิจตามหาลูกอ่อนของของราชสีห์ตะพาบเก้าหัวตัวหนึ่ง แต้มคุณูปการที่มอบให้เป็นรางวัลมากถึงเกือบหนึ่งล้านแต้ม ท้ายภารกิจยังมีอักษรตัวเล็กแถวหนึ่งบอกว่าให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็ได้แต้มคุณูปการหนึ่งแสนแต้มเช่นกัน
ภารกิจนี้หลิ่วหมิงเคยเห็นบนป้ายประกาศตอนมาที่นี่ครั้งหนึ่ง คนที่ประกาศคือผู้อาวุโสสูงสุดที่ปิดบังชื่อผู้หนึ่ง
แต่ภารกิจนี้ไม่อาจทำสำเร็จได้แน่นอน
หลิ่วหมิงเคยอ่านพบในตำรา ราชสีห์ตะพาบเก้าหัวเป็นทายาทของเผ่ามังกรยุคโบราณในตำนาน ในตัวมีเลือดมังกรเทพไหลเวียนอยู่ มังกรน้ำหรือมังกรดินที่เป็นปีศาจอสูรระดับสูงทั่วไปไม่อาจเทียบได้
หลังจากราชสีห์ตะพาบเก้าหัวโตเต็มวัย พลังจะทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ นอกจากนี้ปีศาจอสูรชนิดนี้ไม่ปรากฏตัวบนแผ่นดินจงเทียนมาหลายพันปีแล้ว ถึงขนาดที่มีคนคาดเดาว่าราชสีห์ตะพาบเก้าหัวสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว จะตามหาลูกอ่อนของมันย่อมเป็นเรื่องบ้าบอเพ้อฝันที่สุด
หลิ่วหมิงย่อมไม่เสียเวลากับภารกิจเช่นนี้ แต่ที่มาครั้งนี้ เขาก็มาเพื่อภารกิจที่ค่อนข้างอันตรายอยู่บ้างจริงๆ
หลังจากหลิ่วหมิงดูอยู่อีกพักหนึ่งก็หยิบป้ายที่เอวขึ้นมาแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ป้ายประกาศลี้ลับ ทันใดนั้นแสงแวววาวสายหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ลงมาจากตำแหน่งหนึ่งของกำแพงหยกของป้ายประกาศลี้ลับแล้วร่วงลงบนแผ่นป้าย
เขาเหวี่ยงแขนติดกันอีกสองครั้ง แสงแวววาวสองสายก็พุ่งหายวับร่วงลงมาอีก
การเคลื่อนไหวนี้ค่อนข้างสะดุดตา จึงดึงสายตาของคนทั้งหมดในหอลี้ลับมาทันที
หลิ่วหมิงเก็บป้ายไปอย่างสบายๆ แล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาของคนทั้งหมดอย่างไม่สนใจ
“คนผู้นี้คือใคร? ถึงกับรับภารกิจรวดเดียวสามภารกิจ?”
“ดูจากชุดบนร่างเขา เหมือนจะเป็นศิษย์ของยอดเขาลั่วโยว”
“เอ๋ ภารกิจที่คนผู้นั้นรับล้วนเป็นภารกิจที่แต้มคุณูปการสูง!” ไม่นานก็มีคนสังเกตรายการภารกิจที่หายไปจากประกาศลี้ลับของหอลี้ลับใน จากนั้นก็ตกตะลึงในทันที
ภารกิจทั้งสามที่หายไป หนึ่งในนั้นคือการสังหารปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ชนิดหนึ่งเพื่อเก็บแก่นปีศาจสดใหม่ มีรางวัลให้ลูกละหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มคุณูปการ
ศิษย์สายในรอบด้านฮือฮาในทันใด พวกเขาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันราวกับหม้อระเบิด ภารกิจเหล่านี้ที่หลิ่วหมิงรับไปล้วนไม่ใช่ภารกิจที่จะทำสำเร็จได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่จะทำสำเร็จได้อย่างหวุดหวิดก็ต่อเมื่อร่วมมือกันหลายคนแล้วเตรียมการอย่างครบครัน แต่การรับภารกิจหลายภารกิจรวดเดียวเช่นนี้มักจะพะวงหน้าพะวงหลัง ตรงกันข้ามกลับจะได้ไม่คุ้มเสีย
“คนผู้นี้คือใคร? ยอดเขาลั่วโยวมีศิษย์สายในที่มีพลังเช่นนี้ หรือเขาจะเป็นหลิ่วหมิงในคำเล่าลือคนนั้น?” บุรุษผู้สวมหน้ากากผีร้ายคนหนึ่งพึมพำกับตนเองพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอึ้งๆ
วันนี้ชื่อเสียงของหลิ่วหมิงในนิกายยอดบริสุทธิ์เรียกได้ว่าเป็นเช่นดวงตะวันยามเที่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากข่าวที่เขาเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนกระจายออกไป ในชั่วเวลาหนึ่งไม่มีข่าวอื่นเทียบเคียงข่าวของเขาได้
อีกทั้งระยะนี้ยังมีข่าวลือว่าหลายปีนี้ที่หลิ่วหมิงหายตัวไป เขาไปรับภารกิจจากหอความเป็นความตายสายในจำนวนไม่น้อย สังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายระดับแก่นแท้หลายคนติดๆ กัน
เวลานี้หลิ่วหมิงมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสายในอยู่เลือนราง
ความวุ่นวายด้านในหอลี้ลับใน หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้ เวลานี้เขานั่งเรือหยกจันทราตรงออกจากเขาหมื่นวิญญาณไปแล้ว
ภารกิจทั้งสามที่เขารับมา ภารกิจหนึ่งคือการล่าปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ที่ชื่อว่าอสูรเพลิงมายา แล้วเอาแก่นปีศาจของมันมา อีกภารกิจหนึ่งคือการเก็บดอกภูตสวรรค์ห้าดอก และภารกิจสุดท้ายคือการรวบรวมมุกทานตะวันสมุทรระดับสูงหนึ่งร้อยเม็ด
สามภารกิจนี้ล้วนเป็นภารกิจที่ยากมากจึงอยู่บนป้ายประกาศของหอลี้ลับในมานานโดยไม่มีผู้ใดสนใจ
อสูรเพลิงมายาเป็นปีศาจอสูรประหลาดระดับสูงชนิดหนึ่ง มันอาศัยอยู่ในธารลาวาของภูเขาไฟเท่านั้น มันเกิดมาก็มีความสามารถในการควบคุมพลังปราณธาตุไฟ เมื่อโตเต็มวัย พลังจะบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้น พลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด นอกจากนี้เมื่อได้ปราณธาตุอัคคีไม่หมดไม่สิ้นในธารลาวาภูเขาไฟเสริมส่ง พลังของอสูรตัวนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว ด้วยเหตุนี้หากคิดจะสังหารอสูรเพลิงมายาระดับแก่นแท้ขั้นต้นสักตัวจำต้องมีพลังสูงกว่าระดับแก่นแท้ขั้นกลางถึงจะเป็นไปได้
การเก็บดอกภูตสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตึงมือเช่นกัน
ทั้งแผ่นดินจงเทียนดอกภูตสวรรค์งอกอยู่แต่ในเทือกเขาศพมืดซึ่งมีกลิ่นอายความตายหนักหน่วงตลอดทั้งปีไม่เห็นแสงตะวันซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินเท่านั้น เล่าลือกันว่าที่นั่นเป็นสนามรบของอสูรในยุคโบราณ ดังนั้นปราณหยินจึงหนาทึบอย่างที่สุด ภูตผีและปีศาจอสูรนานาชนิดกำเริบเสิบสาน เป็นสถานที่อันตรายอันลื่อชื่อบนแผ่นดินจงเทียน ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เมื่อเข้าไปด้านใน วิชาและพลังจะได้รับผลกระทบจากปราณหยิน หากจิตใจไม่เข้มแข็งนักอาจถึงขั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะ ร่วงหล่นสู่วิถีแห่งภูตผีกลายเป็นผีร้าย
ส่วนมุกทานตะวันสมุทรซึ่งเป็นภารกิจสุดท้าย เป็นมุกชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดในร่างของแมงกะพรุนทานตะวัน แมงกะพรุนทานตะวันมีลักษณะคล้ายดอกทานตะวันยามบาน ตลอดทั้งปีอาศัยอยู่ในหมู่ปะการังก้นทะเลลึกหมื่นจั้งในเขตหนานไห่
พลังของปีศาจอสูรตัวนี้ไม่นับว่าสูงนัก หลังโตเต็มวัยปกติแล้วจะอยู่ในระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลางหรือปลายไปจนถึงระดับผลึกขั้นต้น แต่มันผสานร่างเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้จึงแกะรอยยากอย่างที่สุด และเมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคามต่อชีวิต มันจะอ้าปากพ่นพิษและอสนีบาตออกมา เป็นปีศาจอสูรแมงกะพรุนประหลาดที่จัดการยากอย่างที่สุดชนิดหนึ่ง
เนื่องจากในร่างแมงกะพรุนทานตะวันที่โตเต็มวัยเท่านั้นถึงจะให้กำเนิดมุกทานตะวันสมุทรระดับสูงได้ การรวบรวมให้ได้หนึ่งร้อยเม็ดจึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างที่สุด
ทว่าแม้ภารกิจเหล่านี้จะอันตราย แต่หลิ่วหมิงพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตนเอง และสาเหตุสำคัญที่เขารับก็เพราะภารกิจทั้งสามนี้ล้วนระบุสถานที่ไว้ชัดเจน ไม่ต้องให้เขาใช้เวลาไปตามหาอีก
ตอนที่ 891 ค่ายกลโปรดสัตว์สำแดงเดชครั...
เจ็ดวันให้หลัง ในเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณสองหมื่นกว่ากิโลเมตรแห่งหนึ่ง
อากาศของที่แห่งนี้ร้อนระอุเป็นพิเศษ เทือกเขาทั้งเส้นเป็นสีแดงฉาน นอกจากนี้ไอหมอกยังลอยวนเวียน ทอดมองไกลออกไปเห็นเป็นรูปบิดเบี้ยวเล็กน้อย อีกทั้งทั่วทั้งเทือกเขาแทบจะมองไม่เห็นเงาของพืชพันธุ์อันใดเลย
นอกเหนือจากนี้ยังมองเห็นยอดเขามีควันดำสายแล้วสายเล่าลอยออกมาเป็นระยะพร้อมกับพ่นธารลาวาสีแดงฉานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปากปล่องภูเขาไฟสูงถึงพันจั้งที่ยังคุกรุ่นลูกหนึ่งฉับพลันระเบิดเสียงดังก้อง เงาสีดำร่างหนึ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนักท่ามกลางเศษหินเต็มท้องฟ้า เขาไม่พูดพร่ำบินเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่งเหมือนต้องการหนีไปให้ไกลโพ้น
ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจที่เงาดำเพิ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ในปากปล่องภูเขาไฟพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบ บางสิ่งซึ่งมหึมาและเป็นสีแดงจัดแหวกท้องฟ้าไล่ตามเงาดำไปติดๆ
เงาดำเดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวเลี้ยวขวาอย่างว่องไวกลางอากาศ เขาเปลี่ยนทิศทางไม่หยุดโดยที่ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกชั่วขณะ ส่วนเงาสีแดงด้านหลังก็ไล่ตามมาติดๆ ไม่ว่าเงาดำด้านหน้าจะเปลี่ยนทิศทางอย่างไรก็ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแม้แต่น้อย
ทั้งสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม พริบตาเดียวก็ออกจากเขตภูเขาไฟ เหาะออกมาไกลสิบกว่าลี้
ในเวลานี้เองเงาดำด้านหน้าฉับพลันทิ้งตัวลง ดิ่งอย่างรวดเร็วลงไปในหุบเขาดำมืดแห่งหนึ่งเบื้องล่าง
เงาสีแดงกลับชะลอร่างกาย มันหันหัวมองไปทางปากปล่องภูเขาไฟทีหนึ่ง จากนั้นแสงสีแดงรอบร่างก็สลายออกเผยให้เห็นร่างที่แท้จริง
นี่คือปีศาจอสูรสูงเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างคล้ายอาชา ร่างกายเพรียวลม ส่วนหางมีขนหางนุ่มลื่นสีแดงก่ำสะบัดซ้ายขวาราวกับเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้กองหนึ่ง ส่วนบนหัวของมันมีเขาหน้าตาเหมือนปะการังคู่หนึ่ง มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก
อสูรตัวนี้ก็คืออสูรเพลิงมายา ปลายเขาบนหัวของมันสีดำขลับ นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าอสูรตัวนี้โตเต็มวัยและเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว
อสูรเพลิงมายาน้อยครั้งนักจะออกจากธารลาวา หากวันนี้เงาดำร่างนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสที่มันหลับสนิท ลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบป่วนรังของมันจนวุ่นวาย มันก็คงไม่โกรธเกรี้ยวจนไล่ตามออกมาเช่นนี้
ทว่าเมื่อไล่ตามมาถึงที่นี่แล้ว อสูรตัวนี้ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของอันตรายโดยสัญชาตญาณ
ผลปรากฏว่าพริบตานั้นที่อสูรตัวนี้ชะงัก เงาดำเบื้องหน้าฉับพลันมีแสงเรียวเล็กสีแดงหม่นเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ส่งเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ”
ความเร็วของแสงสีแดงเร็วจนน่าตกตะลึง แล่นผ่านทีเดียวก็มาถึงหน้าร่างอสูรเพลิงมายา
เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
แม้อสูรเพลิงมายาจะตอบสนองโดยเบี่ยงหัวหลบรวดเร็วอย่างที่สุด มันก็ยังคงมีเลือดสายหนึ่งพุ่งปรี๊ดออกมา แสงสีแดงเรียวเล็กมีพลังมากมายจนน่าตะลึง มันแทงทะลุด้านข้างลำคอของอสูรเพลิงมายาจนเกิดเป็นแผลเรียวยาวเส้นหนึ่ง
“โฮก!”
อสูรเพลิงมายาแหงนหน้าคำรามอย่างโกรธจัดด้วยความเจ็บปวด มันอ้าปากพ่นลูกบอลเพลิงสีแดงฉานลูกหนึ่งเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้นบนลำคอของมันก็ทอแสงสีแดงสายแล้วสายเล่า บาดแผลปิดสนิทลงอย่างเร็วไว
ลูกบอลเพลิงตอนเพิ่งถูกพ่นออกมามีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ทว่าหลังพุ่งออกมาสิบจั้ง มันก็ส่งเสียงดัง “บึ๊ม” ครั้งหนึ่งแล้วกลายเป็นขนาดมหึมาใหญ่หนึ่งจั้งกว่า จากนั้นระเบิดออกในพริบตากลายเป็นพายุหมุนอัคคีลูกมหึมาซัดเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างมาดร้าย
พายุหมุนอัคคีสีเหลืองทองเรืองรองผ่านไปที่ใด อากาศล้วนถูกแผดเผาเกิดเป็นลายคลื่นวงแล้ววงเล่าเห็นเด่นชัด จากนั้นซัดเข้าใส่เงาดำอย่างหนักหน่วง
เงาดำร่วงลงไปในหุบเขาเบื้องล่างประหนึ่งหินอุกกาบาตก้อนหนึ่ง เกิดเสียงกระแทกหนักหน่วงดังก้องออกมา
อสูรเพลิงมายาเห็นเช่นนี้ก็เริงร่า มันทิ้งความกังวลสายสุดท้ายในสมองทิ้งไป จากนั้นกรีดร้องอย่างตื่นเต้น กีบเท้าทั้งสี่ขยับ ฉับพลันกลายเป็นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งไล่ตามเข้าไปในหุบเขา หมายจะฉีกเจ้าตัวที่ใจกล้าทำลายรังของมันจนเสียหายแล้วยังทำร้ายมันบาดเจ็บตัวนี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ
พริบตาที่อสูรเพลิงมายาเพิ่งเหยียบเข้ามาในหุบเขา เหตุพลิกผันก็พลันบังเกิดขึ้น
ใต้ดินฉับพลันมีเสาแสงสีทองสี่ต้นพุ่งออกมา ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองค่ายกลหนึ่งล้อมปากทางเข้าหุบเขาทั้งหมดไว้ในทันที
อสูรเพลิงมายาตาลาย ภาพรอบด้านเปลี่ยนไปในฉับพลัน รอบด้านยังมีหุบเขาอยู่ที่ไหน สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นมิติปิดตายสีทองเรืองรองแห่งหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลสายแล้วสายเล่าบีบเข้ามาตรงกลาง
ส่วนในหลุมลึกใจกลางหุบเขามีเงาสีดำร่างหนึ่งกำลังเหาะขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ปราณดำรอบร่างค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนด้านใน
หลิ่วหมิงนั่นเอง
เวลานี้เสื้อผ้าบนร่างเขามีรอยไหม้อย่างเห็นได้ชัด ซ้ายซีกหนึ่ง ขวาซีกหนึ่งห้อยติดอยู่บนร่าง แต่ลมหายใจของเขานิ่งสงบ เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ตรงกันข้ามเขากลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ให้อสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลโปรดสัตว์
“ปีศาจอสูรก็คือปีศาจอสูร ถึงแม้จะเกิดสติปัญญาแล้ว แต่เทียบกับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์พวกนั้นก็ยังจัดการง่ายกว่า” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นในมือพลันส่องแสงสีทอง เขาพลิกมือเรียกธงคำสั่งผืนหนึ่งออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นเงาของสตรีสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินใกล้ๆ ในมือนางถือธงคำสั่งสีทองผืนหนึ่งไว้เช่นกัน
ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองส่ายไหวพลางส่งเสียงดังครืนคราง แสงสีทองที่ค่ายกลฉายออกมาสั่นไหวอย่างรุนแรง เห็นชัดว่าอสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ด้านในกำลังสู้อย่างสัตว์ที่จนตรอก
มหาค่ายกลโปรดสัตว์เวลานี้แสดงความร้ายกาจของมหาค่ายกลสายพุทธแห่งยุคโบราณออกมา แสงสีทองทอประกายวิบวับแต่ยังคงมั่นคงดั่งขุนเขา ไม่มีวี่แววว่าจะถูกทำลายแม้แต่น้อย
“ลงมือ” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงบนธงคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็เอ่ยสั่ง
“เจ้าค่ะ นายท่าน!”
เซียเอ๋อร์ขานรับอย่างเร็วไว บนใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา หลังจากแขนขยับครั้งหนึ่ง พลังเวททั้งร่างก็กรอกเข้าไปในธงคำสั่งช้าๆ
มหาค่ายกลโปรดสัตว์ค่อยๆ เคลื่อนไหว แสงเรืองรองสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งรวดเร็วออกมา ด้านในค่ายกลก็เริ่มมีเสียงสวดภาษาสันสกฤตทุ้มต่ำแผ่วเบาดังขึ้นตามมาด้วย…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ด้านในหุบเขาก็ฟื้นกลับมานิ่งสงบ ในมือหลิ่วหมิงถือแก่นแท้ที่ทอแสงสีแดงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งไว้ บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมาจางๆ
วันนี้ได้ลองวิชาครั้งแรก ปรากฏว่าพลังของมหาค่ายกลโปรดสัตว์เหนือกว่าความคาดหมายของเขา ดูท่ามหาค่ายกลอันนี้จะเป็นไพ่ตายใบหนึ่งยามล่าสังหารปีศาจอสูรได้
ด้านในหุบเขาศพของอสูรเพลิงมายาที่เต็มไปด้วยบาดแผลฟุบอยู่ หัวของมันถูกมีดดาบคมกริบกรีดขาดไปทั่ว เลือดสดๆ กำลังไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บศพของอสูรเพลิงมายากับค่ายกลไป เขากับเซียเอ๋อร์ก็กลายเป็นลำแสงสองสายจากไปไกลพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนกว่าให้หลัง ณ ที่แห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน
ยอดเขาสีดำทอดยาวอยู่ตรงขอบฟ้า บนท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนทำให้คนหายใจไม่ออกลอยล่องอยู่ ท่ามกลางสายลมที่โชยพัดมองเห็นปราณสีดำสนิทสายแล้วสายเล่าแทรกอยู่เลือนราง แล้วยังถึงขั้นได้ยินเสียงวิญญาณแค้นคร่ำครวญอยู่อีกด้วย
ที่แห่งนี้ก็คือเทือกเขาศพมืดอันลือชื่อของแผ่นดินจงเทียน ปราณหยินในอากาศหนาแน่นอย่างยิ่ง นอกจากผู้ฝึกฝนสายวิญญาณกับสายปีศาจ หากผู้อื่นอยู่ที่นี่จะรู้สึกไม่สบายยิ่งนัก อยู่นานเข้า ผลกระทบยิ่งเลวร้ายจนไม่อยากจะคิดถึง
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” ดังขึ้น
แสงสีดำสายหนึ่งเหาะรวดเร็วออกมาจากเขตลึกของเทือกเขาศพมืด แล้วพุ่งหนีออกไปนอกเทือกเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
กลางแสงสีดำมองเห็นได้ว่ามีเงาร่างของบุรุษชุดน้ำเงินผู้หนึ่งกำดอกไม้ที่แลดูงดงามแต่เศร้าสร้อยสีขาวดุจโครงกระดูกหลายดอกไว้ในมือแน่น
บุรุษชุดน้ำเงินก็คือหลิ่วหมิงผู้มาเก็บดอกภูตสวรรค์ที่นี่นั่นเอง
“แกว๊ก แกว๊ก…”
เสียงวิหคกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น ด้านหลังร่างเขามีเมฆดำผืนใหญ่ไล่ตามมาติดๆ กลางเมฆดำพอจะแยกวิหคประหลาดสีเทาดำตัวมหึมาสิบกว่าตัวออกอยู่เลือนราง
วิหคประหลาดเหล่านี้ทั้งร่างล้านเลี่ยนไม่มีขนสักเส้น ปีกกับลำตัวล้วนประกอบขึ้นมาจากโครงกระดูกหนา ตรงก้นมีหางยาวไร้ขนสีขาวเผือดยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งติดอยู่ ทั้งร่างมีปราณหยินสีดำหนาหุ้มอยู่
นี่คืออสูรประหลาดที่มีเฉพาะในเทือกเขาศพมืด ชื่อว่าแร้งปีกศพ
แร้งปีกศพเมื่อกางปีกกระดูกทั้งสองข้างออกจะยาวมากกว่าสิบจั้ง เมื่อแร้งปีกศพสิบกว่าตัวกระพือปีกสองข้างไม่หยุดจึงเกิดเป็นเงามืดมหึมาผืนหนึ่งบดบังท้องฟ้าไปเกือบครึ่งหนึ่ง
แร้งปีกศพฝูงนี้เร็วอย่างที่สุด ปีกสองข้างกางออกแล้วหุบลงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็เคลื่อนไปหลายสิบจั้ง ขณะที่พวกมันกำลังจะไล่ทันแสงสีดำที่เหาะหนีอยู่เบื้องหน้าแล้วนั่นเอง ทันใดนั้นแร้งปีกศพสิบกว่าตัวก็หุบปีกพุ่งดิ่งลงเบื้องล่างอย่างพร้อมเพรียง แล้วทยอยกันพ่นเปลวเพลิงสีเทาดำสายแล้วสายเล่าออกมา กลิ่นศพเหม็นเน่าฉับพลันแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ
นี่ไม่ใช่เพลิงปีศาจธรรมดา แต่เป็นเพลิงศพมืดที่เกิดจากพลังปีศาจของของแร้งปีกศพสอดแทรกกับปราณศพของเทือกเขาศพมืด มีพลังกัดกร่อนน่าตะลึงยิ่งนัก
หลิ่วหมิงที่อยู่ในลำแสงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่ง ร่างกายฉายแสงสีน้ำตาลทองออกมา หลังจากแสงกะพริบวูบหนึ่งก็พลันกลายเป็นโล่สีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งซึ่งด้านบนมียันต์ยึกยือแถวแล้วแถวเล่าอยู่
มันคือโล่พสุธานั่นเอง
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
เพลิงศพมืดร่วงลงบนโล่ ทันใดนั้นเสียงเผาไหม้ก็ดังขึ้น แสงสีน้ำตาลทองบนผิวโล่ไหลเคลื่อน ต้านการจู่โจมของเพลิงศพมืดไว้ได้อย่างหวุดหวิด
พลังของแร้งปีกศพเหล่านี้เกือบทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น เมื่อสิบกว่าตัวร่วมแรงกัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้พบเข้าก็เกรงว่าคงต้องหนีไปให้ไกลโพ้น
ทันใดนั้นแสงสีเหลืองบนโล่สีน้ำตาลทองก็ขยายออกไปด้านนอก ดีดเพลิงศพมืดใกล้ๆ กระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ข้อมือสะบัดทีหนึ่ง แขนทั้งสองข้างก็พร่าเลือนไปวูบหนึ่งพร้อมกัน เงาหมัดสีดำมากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วต่อยเข้าใส่แร้งปีกศพอย่างดุดันพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ
ปัง ปัง!
แร้งปีกศพหลายตัวที่บินอยู่ด้านหน้าสุดถูกเงาหมัดสีดำโจมตีอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องครวญครางดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกแตกเป็นชิ้นๆ ร่างกายมหึมาประหนึ่งว่าวสายขาด ทยอยร่วงตกลงมาจากกลางท้องฟ้า
ร่างกายของแร้งปีกศพโดยพื้นฐานประกอบมาจากโครงกระดูก ร่างกายจึงเบาหวิว ความเร็วที่โบยบินจึงว่องไวอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันเพราะเหตุนี้ร่างกายจึงบอบบางอย่างยิ่งด้วย
แร้งปีกศพที่เหลือส่งเสียงร้องประหลาดดัง แต่ไม่หวาดกลัวเพราะพรรคพวกร่วงตกลงไปแม้แต่น้อย พวกมันยังคงโถมเข้าใส่หลิ่วหมิงตามกันมา กรงเล็บคมกริบที่มีปราณสีดำวนล้อมขยุ้มลงมาอย่างแรง
ปราณดำบนร่างหลิ่วหมิงพวยพุ่ง ร่างกายไม่ถอยแต่กลับรุกคืบเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาเลือนรางสีดำสายหนึ่งทะลวงเข้าไปกลางฝูงแร้งปีกศพ
เสียงกระดูกแตกร้าวดังขึ้นดุจเสียงยามผัดถั่ว แร้งปีกศพตัวหนึ่งแล้วก็อีกตัวหนึ่งสองปีกอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงหล่นร่วงไปจากท้องนภา
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แร้งปีกศพสิบกว่าตัวก็ร่วงลงไปอยู่บนพื้นเกินกว่าครึ่ง ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองสามตัวบินหนีไปยังเขตลึกของเทือกเขาศพมืดอย่างหวาดผวา
“ฟู่…”
หลิ่วหมิงไม่ได้ไล่ตามไป หลังจากเขาเป่าลมหายใจออกยาวๆ ครั้งหนึ่งก็พลิกมือ ดอกไม้สีขาวดุจกระดูกห้าดอกปรากฏอยู่ในมือเขา บนเกสรสีดำมีเส้นสีแดงหลายเส้นอยู่ แลดูประหนึ่งใบหน้ายิ้มที่แปลกพิกล
เขาตรวจสอบดอกไม้ประหลาดในมืออย่างละเอียด เมื่อเห็นว่ามันไม่เสียหายจึงเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเรือเหาะสีขาวลำหนึ่งก็ยกร่างเขาลอยขึ้นแล้วแหวกท้องฟ้ามุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น