องครักษ์เสื้อแพร 890-891

 ตอนที่ 890 ฮ่องเต้แต่อดีตกาลมาก็เป็นผู้โดดเดี่ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่โอรสพระสนมเอกเจิ้งจูฉางสวินประสูติ ใต้หล้าที่พอมีความรู้เรื่องการเมืองก็ล้วนรู้ว่า เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอย่างไรไม่ช้าก็เร็วก็คงมีคนกล่าวถึง


หากฮ่องเต้ว่านลี่โปรดพระสนมกง พระสนมเอกเจิ้งเป็นแค่พระสนมทั่วไป โอรสองค์โตก็ย่อมเป็นรัชทายาท ไม่มีอันใดต้องโต้แย้ง


แต่พระสนมกงเป็นพระสนมชั้นธรรมดา ตอนพระสนมเอกเจิ้งยังไม่ประสูติโอรสก็มีตำแหน่งพระสนมเอกแล้ว ตอนนี้ยังประสูติโอรส ว่ากันว่าตอนนั้นตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งเคยทรงบีบให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งรัชทายาท ฮ่องเต้ว่านลี่แข็งกร้าว ไม่ทรงยินยอม จากการวิเคราะห์หลายทาง ฮ่องเต้ว่านลี่น่าจะทรงรู้ดีบางอย่าง


ตามหลักการ โอรสองค์โตย่อมเป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ต้องการเช่นนั้น  เรื่องนี้ต้องมีเรื่องพิพาทกันอีกหลายครั้งเป็นแน่ ทั้งในวังและนอกวัง ผู้ใดก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่อง


ทว่าสำหรับหลายคนแล้ว มันคือโอกาส ยิ่งเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้หลายครั้ง ก็ยิ่งต้องดูจังหวะลงมือ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับการตั้งรัชทายาทอีกด้วย


หากได้มีส่วนร่วมในโอกาสแต่งตั้งรัชทายาท วันหน้ารัชทายาทได้เป็นฮ่องเต้ พวกที่ส่วนร่วมก็ย่อมได้รับตอบแทนร้อยเท่า ตัวอย่างเช่นนี้ที่ผ่านมาก็มีให้เห็นกันมากมาย


สมัยซ่งเหนือหานฉีไม่รู้ว่าด้อยสามารถกว่าเหวินเหยียนป๋อและฟู่ปี้ตั้งเท่าไร แต่สถานะกับสูงส่งกว่า และวงศ์ตระกูลสืบต่อมาก็ยังคงอำนาจวาสนา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเรื่องส่งเสริมรัชทายาทที่เลือกถูกข้างนั่นเอง พอเสร็จเรื่องจึงได้รับผลตอบแทน


ฮ่องเต้เป็นถึงประมุขแผ่นดิน ทุกคนล้วนต้องเอาอกเอาใจ พระองค์ไม่ต้องทรงเอาใจผู้ใด แต่หากสามารถแสดงท่าทีให้การสนับสนุนในยามที่ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ก็ย่อมเป็นผลประโยชน์มหาศาลในวันหน้า อดีตถอยไปไกลหน่อยก็หลี่ว์ปู้เหว่ยที่ให้การส่งเสริมอ๋องฉิน สุดท้ายก็ได้เป็นเสนาบดีแคว้นฉินในช่วงรัชสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ระยะใกล้ก็ดูอย่างขันทีใหญ่สำนักส่วนพระองค์และมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่แผ่นดินหมิงตั้งมากมายเท่าไร ไม่น้อยที่เป็นที่รับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยเป็นรัชทายาทในตำหนักบูรพาและพวกที่คอยเป็นเพื่อนข้างกายยามศึกษา เฝิงเป่าไม่ใช่หรือ? จางเฉิงไม่ใช่หรือ? จางจวีเจิ้งไม่ใช่หรือ? สวีเจี้ยไม่ใช่หรือ?


นี่เป็นเรื่องที่บินทีเดียวถึงฟ้า เป็นเรื่องประโยชน์มหาศาล ผู้ใดก็ย่อมคิดไขว่คว้าไว้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าการออกมาแสดงความเห็นก่อนก็ย่อมอาจมีความผิดต้องโทษ ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ไม่ค่อยอยากจะทรงสนใจจัดการพวกขุนนางบัณฑิตสักเท่าไร แต่หากต้องลงมือจริงๆ ก็ไม่เคยทรงออมมือ ทุกคนลำบากร่ำเรียนมา สอบตำแหน่งบัณฑิตมาแต่ละขั้นจึงมาสู่วันนี้ได้ หากต้องมาถูกจัดการ ทุกอย่างหมดสิ้น แม้จะกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง แต่หลังจากถูกปลดตำแหน่งไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้าจะมีคนจดจำตนได้อีกหรือไม่


ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทั้งหลายที่ดาหน้าออกมาเพื่อผดุงคุณธรรมก็ล้วนเพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวทั้งสิ้น เพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง หากทำแล้วเสียเปรียบ ยังต้องสูญเสียตำแหน่งที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไป ก็ย่อมไม่คุ้มค่า


ส่วนเรื่องรักษาหลักการคุณธรรมอันใด ประชาลำบากยากแค้น ผดุงคุณธรรมอันใดนั้น พวกบัณฑิตร่ำเรียนมาหลายปี ไม่มีผู้ใดเรียนจนสมองเสื่อม ไม่มีผู้ใดคิดทำเรื่องโง่เง่าพวกนี้


หากมีคนกล้าออกหน้ามาก่อน เช่นนี้ทุกคนค่อยออกมารุมราวฝูงผึ้ง  ก็คงมีโอกาสเสียหายน้อย คนยื่นฎีกามาก ย่อมมีกฎว่าไม่ทำโทษคนหมู่มาก หากต้องการลงโทษ ก็ย่อมเป็นคนที่ออกหน้าคนแรก เรื่องเช่นนี้ทุกคนย่อมรอเฮตามพวกไปเป็นดี


แม้ว่าไม่ได้ประโยชน์อันใดนัก แต่สามารถได้ชื่อว่าออกหน้าผดุงธรรมก็ยังดี  วันหน้าก็จะได้โอ้อวดว่าตนเองเคยร่วมยื่นฎีกาเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท


ภาพรวมขุนนางบุ๋นนั้น หลังจางจวีเจิ้งจากไป จางซื่อเหวยกลับบ้านเกิดไว้ทุกข์ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มาก พระองค์ยิ่งอาศัยขันทีกับขุนนางบู๊ปฏิบัติงานยิ่งมาก พวกขุนนางบัณฑิตถูกละเลย  นานวันเข้า จะให้ขุนนางบัณฑิตทำงานอะไร นานวันเข้า จะร่ำเรียนไปเพื่ออะไร


จะต้องมีการเคลื่อนไหวที่ทำให้ฮ่องเต้ได้ทรงรู้ว่า ทรงต้องอยู่ใต้การควบคุมของขุนนางในราชสำนัก ไม่อาจทำสิ่งที่ทรงคิดทำได้ตามพระทัย เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดของฮ่องเต้ว่านลี่ เช่นนี้ทุกคนก็จะลองกำลังในเรื่องนี้ดู


ประโยชน์ส่วนตน คุณธรรมหลักการ ผลประโยชน์วงการบัณฑิต เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลให้พวกเขาเคลื่อนไหว แต่ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ ปีนี้เดือนหกกำลังจะเริ่มสอบเมืองหลวงอีกแล้ว


เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยแม้ไม่ได้กล่าวชัด แต่ข่าวก็มาจากศิษย์เขาว่า ต้องการดูว่าผู้ดสามารถจัดการแย้งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทสำเร็จ และหากผู้ใดกล้าขัดกระแสหลักหรือกล้าวางตัวอยู่นอกวง เช่นนี้รอตอนสอบค่อยดูกันก็แล้วกัน!


หลังสอบตำแหน่งเคอจวี่ได้ ได้รับเลือกเป็นขุนนาง ขอเพียงไม่โง่เง่านัก ไม่ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน เช่นนี้ก็จะอยู่ในตำแหน่งไปได้มั่นคง หัวหน้างานไม่มีอำนาจจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายเจ้าออก หัวหน้าของหัวหน้าก็ไม่ได้ อยากย้ายก็ต้องมีเหตุผล แม้ว่ามีเหตุผล ก็ต้องดูว่าคนอื่นจะยอมหรือไม่


เช่นกัน  เลื่อนตำแหน่งก็เหมือนกัน ปรับเปลี่ยนตำแหน่งก็เหมือนกัน นอกจากฮ่องเต้รับสั่งด้วยพระองค์เอง แต่ฮ่องเต้วันๆ ก็ภารกิจมาก ไหนเลยจะมีเวลามาจดจำขุนนางระดับต่ำกว่าห้าลงไป?


ในการสอบนี้ ขุนนางระดับห้าลงไปในเมืองหลวง และระดับสี่ลงไปนอกเมืองหลวง รวมทั้งผู้ว่า ก็ล้วนเลื่อนและปรับตำแหน่งกันโดยการตัดสินของกรมปกครองนี้


ที่จริงแล้วก็เท่ากับว่าเสนาบดีกรมปกครองกับขุนนางคัดเลือกบทความตัดสินใจว่าเจ้าควรอยู่หรือไป และนี่เป็นระบบแผ่นดินหมิงที่ตั้งไว้ หาเหตุผลไม่ทำตามย่อมไม่ได้


กล่าวอันใดก็ช่วยไม่ได้ ผลประโยชน์ถึงมือ ตำแหน่งใต้ก้นสิของจริง หากไม่เข้าร่วม ตำแหน่งก็อาจหายไป ผู้ใดจะกล้าเสี่ยงด้วย หากเข้าร่วม คนต้นเรื่องยังไม่ใช่ตนเอง ยังมีผลประโยชน์อีกมากรออยู่ ทำไมจะไม่ร่วมเล่า


*****************


นายกองกรมตรวจสอบตำแหน่งไม่สูง ทว่ากลับเป็นขุนนางบัณฑิตแท้จริง สามารถมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ ย่อมเป็นพวกมีวาทะการเขียนเป็นเอก สามารถเขียนบทความได้ยอดเยี่ยม


ภรรยาและลูกของเหยาฟู่อยู่ในเงื้อมมือผู้อื่น ย่อมไม่กล้ารอช้า วาจาที่กล่าวได้ยกมากล่าวหมด ทำให้ฎีกาโดดเด่นไม่ธรรมดา กรมฎีกากับสำนักส่วนพระองค์อำนวยเปิดทาง ฎีกาไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่


“กล่าวอะไรว่าแผ่นดินไร้ประมุขไม่มั่นคง หากเราเป็นอันใดไป แผ่นดินใช่ว่ากลียุค”


ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบฎีกาออกมาต่อหน้าที่ประชุม ต่อหน้าขุนนางใหญ่หกกรมกอง โบกสะบัดฎีกาไป ยิ้มเย็นเยียบตรัสถามไปว่า


ตอนฎีกายังไม่มาถึงในวัง พวกขุนนางใหญ่หลายคนก็เห็นฎีกาก่อนแล้ว ตอนนี้เห็นปฏิกิริยาฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจอันใด มีคนก้มหน้าลงเล็กน้อย หลายคนกลับมองตรงไปยังฮ่องเต้ว่านลี่


ปีก่อนทำกับหวังทงเช่นนั้น เห็นๆ ว่าได้แสดงถึงอำนาจความเป็นฮ่องเต้ เหตุใดหลังจากครั้งนั้น ในราชสำนักขุนนางใหญ่กลับกล้าแสดงความคิดเห็นตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มคิดกลับไปมา สีหน้าขุนนางใหญ่ล้วนอยู่ในพระเนตร ทำให้ยิ่งทรงกริ้วมากยิ่งขึ้น


ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตรัสอะไรสักอย่างแต่ก็ทรงเงียบ พระหัตถ์ที่จับพนักที่ประทับก็ปล่อยลง แต่สุดท้ายก็ยังทรงประทับยืนขึ้น คว้าฎีกาเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรง ตวาดด่าดังว่า


“พวกบัดซบที่ไร้นายไร้บิดาในสายตา อยากเห็นเราสวรรคตเร็วหรือไง!!”


ฮ่องเต้ว่านลี่หอบหายใจหนัก พระเนตรแดงก่ำ กวาดพระเนตรมองไปยังขุนนางใหญ่ในที่ประชุม มาถึงตอนนี้ เซินสือหังกระแอมไอเบาๆ นำทุกคนคุกเข่าลงทูลว่า


“ขอฝ่าบาทระงับความกริ้ว!”


พวกขันทีฝั่งจางเฉิงพากันคุกเข่ากล่าววาจาพร้อมกัน  การมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เป็นปกติตามธรรมเนียม แต่ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ระงับความกริ้วลงได้แม้แต่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่มองซ้ายมองขวา ทุกคนล้วนก้มหน้านิ่ง  ไม่มีผู้ใดคิดออกมาช่วย


ขณะกำลังทรงกระฟัดกระเฟียดอยู่นั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ประทับนั่งลงที่เดิม โบกพระหัตถ์ตรัสว่า


“พวกเจ้ายื่นฎีกาอีกแล้ว ลุกขึ้นให้หมด นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน เราต้องลงโทษให้หนัก กล่าววาจาเหลวไหล เป็นผู้ใดบงการมา จางเฉิง ให้องครักษ์เสื้อแพรไปจับกุมตัวเข้าคุกสอบให้กระจ่าง!”


ตั้งแต่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิง หน่วยงานองครักษ์เสื้อแพรมีรายงานย่อมไม่ไปรายงานต่อผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เหลือ แต่กลับมารายงานยังหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงกับ โจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งให้จับกุม จางเฉิงกลับไม่ตอบรับพระบัญชา


ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไปก่อนจะทรงกริ้วหนัก ผินพระพักตร์มองไป เห็นสีหน้าจางเฉิงลำบากใจ ส่ายหน้าอย่างแรง ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพักตร์ไปอีกทาง ขุนนางใหญ่ที่เพิ่งลุกขึ้นมีคนคุกเข่าทูลดังว่า


“ฝ่าบาท ขุนนางบัณฑิตไม่มีโทษหลังกราบทูล เหยาฟู่แม้ล่วงเกิน แต่ที่พูดมานั้นก็มีเหตุผลหลายส่วน ฝ่าบาทเห็นแก่แผ่นดิน คิดให้รอบด้าน เพื่อแผ่นดินนี้ เพื่อบรรพชน ฝ่าบาทมีโอรสก็ย่อมแต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่งตั้งให้เรียบร้อย ก็จะทำให้พวกคนชั่วคิดหาโอกาสได้น้อยลง ทำให้แผ่นดินมั่นคง หากไม่เช่นนั้น หากไม่กล้ากราบทูล ทำให้ตำแหน่งไม่ชัดเจน เกรงว่าคงเกิดเหตุวุ่นวายใหญ่ได้!”


เสียงขุนนางใหญ่คุกเข่ากับพื้นทรงกำลัง สีหน้าเด็ดเดี่ยวมาก ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์ดำคล้ำเงียบไปครู่หนึ่งตรัสว่า


“เสิ่นหลี เรื่องครอบครัวเรา เจ้าร้อนใจอันใดกัน หรือว่าเหยาฟู่เป็นเจ้าบงการมา?”


เสิ่นหลีโขกศีรษะ ก่อนจะยืดตัวตรงขึ้นทูลว่า


“ครอบครัวฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์ ครอบครัวฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงแผ่นดิน เป็นเรื่องใต้หล้า กระหม่อมเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ เรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องออกหน้ารับผิดชอบอย่างไม่อาจหลีกพ้น ลำดับอาวุโส เป็นหลักการคุณธรรม โอรสองค์โตตอนนี้พลานามัยแข็งแรงและทรงพระปรีชา เหตุใดไม่แต่งตั้ง เหยาฟู่กล้าทูล ที่พูดมาผิดที่ใด ขอทรงพิจารณาด้วย!”


ฮ่องเต้ว่านลี่กำท้าวแขนที่ประทับแน่น คิดจะประทับยืนขึ้นระเบิดอารมณ์ แต่ทรงรู้สึกพระองค์ได้ว่าไม่มั่นใจ ทรงกวาดพระเนตรมองไปยังทุกคนเบื้องหน้า


เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ย สวีกั๋ว ทั้งสามในคณะเสนาบดีใหญ่ นับรวมเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนที่จะไม่เป็นพวกกับเสิ่นหลี ส่วนหยางเหว่ย (เสนาบดีกรมปกครอง) หวังหลิน(เสนาบดีกรมอากร)  ซูฮว่า(เสนาบดีกรมอาญา) หยางเจ้า(เสนาบดีกรมโยธา) เจ้าจิ่น(เจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายซ้าย) ล้วนเป็นพวกเดียวกัน


แต่พวกเซินสือหังก็ย่อมไม่อยากมีเรื่องโต้แย้งกับพวกหยางเหว่ยด้วยเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงรู้เรื่องขุนนางบุ๋นว่าคิดอย่างไรกับเรื่องลำดับโอรสในการรับตำแหน่งรัชทายาท พระองค์ไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้เร็วเกินไปนัก แต่ทรงคิดไม่ถึงว่า พวกขุนนางบัณฑิตจะเริ่มเปิดฉากก่อน


ขุนนางในราชสำนักบ้างก็ไม่สนใจ ถือเป็นการแสดงจุดยืนแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่มีพรรคพวก ทรงหันไปมองรอบๆ ขันทีฝ่ายในอาจยังพึ่งพาได้ แต่สีหน้าจางเฉิงนอบน้อม จางจิงก้มหน้าลงต่ำ จางหงกับเถียนอี้สีหน้าชื่นชมเห็นด้วย


รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางหงกับขันทีประจำสำนักเถียนอี้สองคนยืนข้างโอรสองค์โต ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ว่า คนมากมายเช่นนี้ต้องการแย้งพระองค์ พระองค์เองก็ไม่มีกำลังใดไปจัดการพวกเขาได้ทั้งหมด ฮ่องเต้ว่านลี่คิดไปร้อยแปด เริ่มไม่มั่นพระทัยเล็กน้อยแล้ว


ตอนที่ 891 อยู่ๆ จะลงดาบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลียืนหยัดคุกเข่า ฮ่องเต้ว่านลี่บนที่ประทับทรงมองซ้ายมองขวา ผู้ใดก็เห็นว่าทรงกริ้วจัดแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมองออกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยังหาทางรับมือไม่ได้


เสิ่นหลีคุกเข่ากล่าวอย่างดุเดือด ข้างๆ มีคนเตรียมจะยื่นฎีกาตาม สุดท้ายฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ทรงจัดการอันใด ได้แต่โบกพระหัตถ์อย่างรำคาญพระทัย


ขันทีตะโกนคำสั่งที่ยืนอยู่มุมห้องรีบตะโกนขึ้นว่า


“เลิกประชุม”


พอเสียงดังจบลง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนขึ้นไม่ตรัสอันใด หันพระพักตร์เสด็จออกไปทันที ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จถึงประตู ก็ทรงได้ยินคนด้านหลังกล่าวว่า


“เสนาเสิ่นผดุงคุณธรรม เป็นแบบอย่างให้รุ่นเรา!”


ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะหันไปด้วยความกริ้วหนัก แต่ทรงคิดดูแล้ว ก็ได้แต่กระทืบเท้าไม่หันกลับไปอีก


*****************


หลังการประชุมที่จบอย่างไม่รื่นรมย์ ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการทันที ให้องครักษ์เสื้อแพรนำตัวเหยาฟู่เข้าคุกสอบ องครักษ์เสื้อแพรลงมือฉับไว มุ่งไปจับกุมเหยาฟู่จากบ้านเข้าคุกทันที


แต่ขั้นตอนนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดแพร่ข่าวออกไป องครักษ์เสื้อแพรยังอยู่ระหว่างเดินทางไป แม้แต่เพื่อนบ้านเหยาฟู่ก็รู้ข่าวว่าจะมีทหารมาจับตัวเหยาฟู่


บัณฑิตเมืองหลวงต่างมาพากันมาออกหน้าประตู ขุนนางระดับล่างมากันมาหน่อย มาถึงก็เห็นคนกำลังวิจารณ์ชื่นชม ประตูหน้าบ้านเหยาฟู่เปิดกว้าง เหยาฟู่ในชุดผ้าฝ้ายธรรมดานั่งอยู่ด้านนอกห้องด้านใน ด้านหลังเป็นโลงศพที่ยังไม่ได้ลงสี สีหน้าเด็ดเดี่ยวทรงคุณธรรม


ทหารองครักษ์เสื้อแพรมาถึง  ตามธรรมเนียมต้องกล่าวโทษชัดเจน  จากนั้นใส่กุญแจมือนำตัวไป แต่เหยาฟู่ยืนขึ้น จัดแต่งเสื้อผ้าให้ดี ลูบหนวดเคราให้เข้าที่ ค่อยๆ เดินออกไปหน้าประตูใหญ่


การกระทำเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกเลื่อมใส เห็นคนมากมายมารุมล้อม ทำเอาองครักษ์เสื้อแพรที่มาจับกุมเริ่มเคร่งเครียด ไม่กล้าลงมือรุนแรง เหยาฟู่เดินไปตามท้องถนน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นก่อนว่า


“ใต้เท้าเหยาตรงไปตรงมา คิดเพื่อใต้หล้า ช่างน่านับถือ!”


คนหนึ่งตะโกนดัง ทุกคนก็พากันตะโกนตาม เหยาฟู่หยุด หันไปคำนับรอบทิศ กล่าวเสียงกังวานว่า


“ร่ำเรียนตำรามา ต้องผดุงหลักการคุณธรรม  กินเบี้ยหวัดแผ่นดิน ก็ต้องซื่อสัตย์ภักดี ข้าแค่ทำหน้าที่ของตน ไม่อาจรับคำสรรเสริญเช่นนี้ได้!”


วาจานี้เป็นการถ่อมตน แต่ที่จริงแล้วกลับยิ่งแสดงถึงความตรงไปตรงมาไม่ยอมอ่อนข้อ เป็นขุนนางไม่ยอมงอ ช่างเป็นดังไห่รุ่ยในสมัยฮ่องเต้ว่านลี่โดยแท้ ทุกคนพากันสรรเสริญดัง มีคนตะโกนขึ้นว่า


“ใต้เท้าเหยาเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเราจะรอช้าอยู่ได้อย่างไร คุณธรรมเช่นนี้จะไปตามไปส่งเสริมได้อย่างไร!!”


วันที่ 17 เดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13  หลังประชุมขุนนาง ในวังส่งองครักษ์เสื้อแพรจับเหยาฟู่เข้าคุก ตอนบ่ายกรมฎีกาก็มีเสียงเอะอะดังหน้าประตู ล้วนเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาร่วมยื่นฎีกา


เมืองหลวงแหล่งรวมบัณฑิตแต่ละแห่ง บรรดาบัณฑิตที่ยังไม่มีตำแหน่งขุนนางก็พากันรวมตัววิพากษ์วิจารณ์ ร่วมเขียนบทความ ขอให้เพื่อนสนิทมิตรสหายมาร่วมอุดมการณ์ พริบตาสถานการณ์ก็เริ่มคึกคัก


ชาวประชามีปฏิกิริยาเช่นไร ย่อมมีรายงานไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในฎีกากล่าวเช่นไร กรมฎีกาก็ย่อมรวบรวมไว้


 …..


“ราษฎรเมืองหลวงไม่มีความเห็นเท่าไร ก่อนหน้านี้งิ้วแสดงไปแล้วได้ผลดี  พวกเขาคิดหรือพูดอย่างไร จะมีผู้ใดสนใจกัน”


ในห้องทรงอักษรฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิง โจวอี้ กับเจ้าจินเลี่ยงล้วนอยู่พร้อมหน้า โจวอี้ก้มหน้าทูลรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ ขมวดพระขนง โจวอี้ทูลต่อว่า


“ฎีกาที่กรมฎีกาล้วนเห็นด้วยกับการแต่งตั้งตามลำดับอาวุโส ขอฝ่าบาทแต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็ว”


ฮ่องเต้ว่านลี่พึมพำขึ้น ไม่รู้ว่าตรัสอันใด เจ้าจินเลี่ยงอยู่ใกล้หน่อยก็ได้ยินชัดเจนว่าด่ามารดา นี่เป็นสิ่งที่ทรงเรียนรู้จากลานฝึกหู่เวย


“ผู้หญิงเรา ลูกชายเรา เรื่องครอบครัวเรา ถึงกับปล่อยให้คนอื่นมาข้องเกี่ยวได้ พวกเขาช่างใจกล้ามาก เรา เรา…”


คำรามได้ไม่กี่คำ ก็กลับไม่ตรัสอันใดอีก ตามหลักกฎปฏิบัติแล้ว ทรงโปรดโอรสองค์ใดก็ย่อมเป็นเรื่องของพระองค์ แต่การแต่งตั้งรัชทายาทนั้น กลับไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์ ต้องให้ขุนนางยอมรับ ให้ในวังยอมรับร่วมกัน จึงจะมีราชโองการแต่งตั้งได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นผล


ฮ่องเต้ว่านลี่สองพระหัตถ์ยึดโต๊ะไว้แน่น  สีพระพักตร์แม้ว่าไม่เปลี่ยนแต่คนสนิทก็ย่อมรู้ว่า ยามนี้ฮ่องเต้กำลังเริ่มร้อนพระทัยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในห้องเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ตรัสว่า


“จางปั้นปั้น องครักษ์เสื้อแพรมีข่าวมาไหม?”


“ทูลฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมข่าวมาว่า พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมหัวกันเขียนฎีกาหรือไม่ก็ติดต่อหารือส่งเสริมกัน เตรียมยื่นฎีกาค้าน ความคิดเห็นพวกเขาเกรงว่าคงเหมือนกับเหยาฟู่…”


กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงทูลว่า


“…หกกรมกอง สำนักตรวจสอบยังมีขุนนางระดับสี่ห้าขึ้นไปเตรียมยื่นฎีกาขอให้เหยาฟู่ บอกว่าผู้กล้าทูลทัดทานเป็นผู้ไร้ความผิด…”


สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งดำคล้ำ น้ำเสียงจางเฉิงเริ่มแผ่วเบาลง ทว่ายังคงทูลต่อว่า


“ฝ่าบาท จากข่าวสำนักองครักษ์เสื้อแพร  ดีไม่ดีในเมืองนอกเมืองล้วนร่วมหัวกันแล้ว วันนี้ฎีกาที่กรมฎีกามีมาจากนอกเมืองไม่น้อย หากไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน เหยาฟู่พอยื่นฎีกาได้แค่สองวัน ที่อื่นจะมายื่นกันเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร บังเอิญหรือไร…”


‘ปัง’ ดังขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตบโต๊ะ จากนั้นทรงเงยพระพักตร์มองไปยังทั้งสามขันทีในห้องทรงอักษร จางเฉิงเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ โจวอี้เป็นหัวหน้าคนสำคัญในสำนักอาชาหลวง เจ้าจินเลี่ยงเป็นหัวหน้าคนสำคัญในสำนักส่วนพระองค์อีกคน แต่แม้ว่าสามคนจะมีสถานะอำนาจสูง แต่พวกเขาก็แค่สามคน


เทียบกับขันที่ใน 24 หน่วยงานแล้ว เรียกว่าน้อยมาก ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็ทรงรู้สึกว่าทรงโดดเดี่ยวมาก พอประสบเรื่องใหญ่ ก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนข้างพระองค์มีน้อยมาก


อยู่ๆ รู้สึกเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็รู้สึกแปลกใจ เหมือนว่าสองสามเดือนก่อนหน้านี้ ตนเองเหมือนว่าไม่มีอันใดทำไม่ได้ ทรงสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มา ฝ่ายในกับเสด็จแม่ และขุนนางนอกวังก็ยอมลงให้พระองค์กันหมดแล้ว ยามสนทนากับหวังทงก็บอกเป็นนัยให้หวังทงยอมจากไปเอง


เห็นๆ ว่าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นแล้ว แต่เหตุใดตอนนี้จึงทรงโดดเดี่ยวอีกครั้งเช่นนี้ได้ ในราชสำนักขุนนางใหญ่ทำตัวเป็นกลางก็เป็นกลาง ค้านก็ค้าน วงการขุนนางกับบัณฑิตต่างมีความเห็นตรงกัน


ใต้หล้าล้วนรู้ว่าพระองค์ทรงโปรดโอรสที่กำเนิดจากพระสนมเอกเจิ้ง คิดตั้งพระสนมเอกเจิ้งเป็นฮองเฮา ตั้งจูฉางสวินเป็นรัชทายาท เหตุใดทุกคนจึงไม่ยินยอม และกล้าออกมาต่อต้านไม่เกรงกลัวเช่นนี้


เวลาไม่ถึงปี ทำไมทุกอย่างเปลี่ยนไปได้มากมายเพียงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ้ว สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกัดฟันตรัสว่า


“เรื่องที่เราคิดจะทำ พวกเขาออกมาโวยวายกัน เราเป็นฮ่องเต้กล่าวอันใดได้หรือไม่ เราจะต้องมีราชโองการ ผู้ใดคิดค้าน ผู้นั้นก็ไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว”


ได้ยินทรงตรัสเฉียบขาดเช่นนี้ จางเฉิงกลับถอนหายใจ กล่าวเบาๆ ว่า


“ฝ่าบาท สำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่แม้ว่าออกราชโองการ ก็คงต้องถูกตีกลับมาจากส่วนกลาง กรมพิธีการกับหน่วยงานอื่นก็ย่อมไม่ทำตาม ฝ่าบาทไม่ให้พวกเขาเป็นขุนนางต่อ กลับทำให้พวกเขายิ่งมีชื่อเสียง ฝ่าบาทดูสถานการณ์ตอนนี้  กำลังออกหน้ามาโต้ดุเดือด ผู้ใดทำตามราชโองการ ก็ย่อมได้กลายเป็นตะปูตำตาของบัณฑิตใต้หล้าทันที แม้ว่าเป็นขุนนางที่ทรงแต่งตั้ง แต่สถานะเขาย่อมดำรงได้ไม่นาน”


“เราจะให้เขาเป็นเสนาบดี ให้เขาเป็นมหาอำมาตย์…”


ฮ่องเต้ว่านลี่เบิกพระเนตรกว้าง พระเนตรแดงก่ำ สุรเสียงแข็งกร้าวตรัสขึ้น จางเฉิงได้แต่ถอนหายใจยาว คุกเข่าทูลว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจทูลว่า เหตุใดต้องผลักดัน เหตุใดต้องยืนหยัด หากไม่ใช่เพราะพวกขุนนางพวกนั้นรู้ว่าดำรงตำแหน่งมานาน มีพรรคพวกมีสหาย รู้กันว่าหากฝ่าบาททรงเลือกแล้ว คนพวกนั้นจงใจออกมาค้าน ตำแหน่งพวกเขาคงไม่อาจยืนนาน ไม่แน่ว่ามีภัยมาถึงตัวถึงขั้นประหาร พวกขุนนางรู้ดี คนข้างนอกจะไม่รู้ได้อย่างไร ผู้ใดยังกล้ากัน!”


“เราต้องเคลื่อนกำลังทหาร เอาดาบค้ำคอพวกเขาไว้ เราไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่กลัว!!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตบโต๊ะดังเปรี้ยง ประทับยืนขึ้นทันที เห็นทรงกริ้วหนักเช่นนี้ โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงพากันคุกเข่าลง


จางเฉิงกลับหมอบนิ่งไม่กล่าวอันใด โจวอี้ลังเลครู่หนึ่งก็ทูลขึ้นเบาๆ ว่า


“ฝ่าบาทเคลื่อนกำลังต้องมีคำสั่งจากกรมทหาร เคลื่อนกองกำลังสังกัดวังหลวง…กระหม่อม กระหม่อมรู้ดีกว่าพูดไปฝ่าบาทอาจลงโทษ หากต้องการเคลื่อนกองกำลังสังกัดวังหลวงไปทำสิ่งใด เกรงว่า เกรงว่าคงต้องมีพวกไม่ยอมทำตาม ถึงตอนนั้น…”


โจวอี้ยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ ก็ได้ยินด้านหลังทำพู่กันตกลงบนพื้น อึ้งไปหลุดเสียงดังออกมาว่า


“กองกำลังสังกัดวังหลวงจะมีกบฏรึ โจวอี้ เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใดกัน นั่นเป็นทหารของเรา พวกเขาจะ…หากเจ้าสั่งการไม่ได้ เราจะเปลี่ยนคน…”


“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงกริ้ว หากมีกบฏ หากมีคนไม่ภักดีปะปนเข้ามา กองกำลังสังกัดวังหลวงย่อมต้องสู้ตาย  แต่เรื่องเช่นนี้ เรื่องจะใช้กำลังกับพวกขุนนาง กองกำลังสังกัดวังหลวงคุมกำลังหากส่วนของทหารใต้หล้า รวมถึงกำลังนอกวังที่เกี่ยวข้องกัน เช่น กองกำลังสังกัดวังหลวงในมือขันทีคุมกำลังนอกเมือง ก็ล้วนมีสายสัมพันธ์นายแตกต่างกันออกไป เรื่องอื่น กระหม่อมไม่กล้าคาดเดา แต่ตำแหน่งรัชทายาทนี้ กระหม่อม…กระหม่อมไม่กล้าทูล”


“มีอันใดไม่กล้าพูด เจ้าพูดมาให้หมด!!”


โจวอี้อ้ำอึ้งยิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่กริ้วหนัก ตวาดดังจนด้านนอกเริ่มส่งเสียงเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดดังออกไปว่า


“ถอยไปให้ไกลๆ เราไม่เรียก พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา!!”


องครักษ์กับขันทีด้านนอกถอยห่างออกไป โจวอี้เงยหน้าลังเลครู่หนึ่ง ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะ จางเฉิงถอนหายใจ ไม่กล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่เดินวนไปมา ยกเท้าถีบโจวอี้ล้มลง หากยังคงลุกขึ้นคุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังจะระเบิดโทสะอีกทีก็กลับได้ยินเจ้าจินเลี่ยงทูลเบาๆ ว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า แม้คนของจางเฉิงกงกงในสำนักอาชาหลวงมากกว่า แต่เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ตำหนักฉือหนิงกงย่อมมีการเคลื่อนไหว ถึงตอนนั้น เกรงว่าฝ่าบาทสั่งการไม่ได้ไม่ว่า เกรงว่าจะมีพวกคิดฉวยโอกาสรอจังหวะลงมืออยู่”


“ปากมาก!!”


จางเฉิงหันไปตำหนิ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดำคล้ำลงไปอีก ครั้งนี้กลับไม่กริ้ว ได้แต่ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า


“เช่นนั้นเรามีราชโองการให้หู่โถวเคลื่อนกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองหลวง!!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)