องครักษ์เสื้อแพร 887-889

 ตอนที่ 887 อ่านตำราได้ แต่อย่าได้หลงใหลไม่ลืมหูลืมตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

อาศัยคำพูดคนๆ เดียวไม่พอให้หลี่ซานไฉได้ข้อสรุป วาจานี้ไม่อาจเชื่อถือได้หมด ไม่ควรค่าแก่การลงมือนัก ทว่าขันทีใหญ่ในวังทะเลาะกัน เรื่องนี้ปิดบังไม่มิด อย่างไรก็สืบหาข่าวได้ไม่ยาก


พอหลี่ซานไฉกลับถึงที่พัก ก็จัดการส่งคนสนิทไปหาสายในวัง คืนนั้นจึงได้ข่าวที่แม่นยำ จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กับจางหงแห่งสำนักส่วนพระองค์ทะเลาะกัน


เรื่องนี้ส่งผลกระทบในวังไม่น้อย แม้ว่าขันทีร่างอ้วนไม่ได้บอก แต่ไม่กี่วันหลี่ซานไฉก็ได้รู้ แน่นอน ข่าวรู้ช้าเร็วนั้นส่งผลแตกต่างกัน


การทะเลาะกันเช่นนี้ ขันทีในสำนักส่วนพระองค์และขันทีอาลักษณ์ ย่อมส่งข่าวออกมา เรื่องเกิดจากที่ขันทีในสำนักนั้นวิพากษ์วิจารณ์งิ้วนอกวัง ปรากฏว่าคนสำนักส่วนพระองค์ก็เลยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ลำดับลูก ทุกคนในวังย่อมรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด


ครั้งสุดท้ายที่ทะเลาะกันรุนแรง ไม่มีอันใดต้องรักษาน้ำใจกันอีก เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่เรื่องที่จางเฉิงแต่ไรมาไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า แต่กลับชี้หน้าด่าจางหงว่า ‘เรียนหนังสือจนสมองพังไปแล้ว’  เห็นได้ว่าเรื่องนี้รุนแรงมาก


จางเฉิงเป็นหัวหน้าฝ่ายใน แต่จางหงก็เป็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ควบตำแหน่งดูแลเสบียงกองกำลัง ตามหลักตำแหน่งจางเฉิงสูงกว่าจางหง แต่หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ รองหัวหน้าสำนักอีกสอง รวมสามคนนี้ ที่จริงแล้วแค่ลำดับต่าง หากหน้าที่รับผิดชอบนั้นแตกต่างกัน แต่ละคนล้วนมีอำนาจตนเอง หัวหน้าใช่ว่าจะสามารถทำอะไรรองทั้งสองได้ สำนักส่วนพระองค์เป็นหน่วยงานศูนย์กลาง จัดการเรื่องราวในวัง เดิมก็คงไม่ปล่อยให้สามคนเป็นพวกเดียวกัน เพื่อเป็นการทานอำนาจกันตามหลักการปกครอง


จางหงมีชื่อเสียงไม่เลวนักทั้งในวงการในวังและนอกวัง เป็นพวกนิสัยตรงไปตรงมา แม้ว่าเป็นขันที แต่กลับถูกยกให้เป็นดังเช่นบัณฑิตอันดับหนึ่ง  และขันทีในสำนักเช่นเถียนอี้ก็เป็นพวกเรียนตำรามาเช่นกัน ทรงอิทธิพลไม่น้อย


ข่าวนี้จึงเป็นที่สนใจของหลี่ซานไฉ เขาพบว่าตอนนี้ในเมืองหลวงสถานการณ์รุนแรง บางทีไม่ใช่เพราะพวกบัณฑิตพวกนั้นก่อขึ้น บางทีอาจเป็นเหตุอื่น


…..


หวังทงอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีชีวิตที่สบายยิ่ง ทุกวันนอกจากออกำลังกายแล้วก็ขี่ม้าไปนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงไปเดินเล่นตามท้องทุ่งนา


รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีที่นา ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานให้เกือบหนึ่งในสาม ต่อมาร้านสามธาราซื้อไว้อีกมาก ตามหลักแล้วการมาดูทรัพย์สินตนเองก็เป็นสิ่งสมควรอยู่


ข่าวไปถึงมณฑลซานซี จากนั้นก็ไปทั่วเขตปกครองเหนือกับเมืองหลวง  คนไม่พอใจกันมาก ว่าขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่ทำงานทำการ วันๆ กลับเอาแต่ยุ่งกับกิจการส่วนตัว เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง


คำวิจารณ์เช่นนี้หวังทงก็คาดไว้แล้ว ไม่อยากจะสนใจ  ทุกครั้งที่ไปที่นา ก็มักจะเลือกเด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงและหัวไวเป็นผู้คุ้มกันชั่วคราว จากนั้นก็จะไปเลือกชาวนี้จากที่นามาเป็นคนรับใช้


แม้เป็นแค่ผู้คุ้มกันกับคนรับใช้ แต่เป็นคนของติ้งเป่ยโหว สำหรับคนที่สถานะเมื่อปีก่อนดังสัตว์เลี้ยง จะไม่นับเป็นเกียรติสูงสุดได้อย่างไร  เห็นชัดๆ ว่าสถานะสูงขึ้น


ในฐานะผู้คุ้มกันตระกูลหวัง ย่อมเป็นผู้ดูแลที่นาไปโดยปริยาย แม้อยู่ดูแลที่นาได้ไม่นาน แต่เป็นรุ่นบุกเบิก ก่อสร้างรากฐานก่อน ค่อยๆ สร้างขึ้น


ผู้คุ้มกันล้วนผลัดเวรกันเข้ารับการฝึกเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกหัวหน้าก็จะได้ไปฝึกที่ร้านสามธาราตามกำหนด นี่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ เป็นการเตรียมการเพื่อรวมใจคนให้เป็นหนึ่ง


ไปมาที่นา ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ทำให้จิตใจคนนิ่งสงบผ่อนคลาย สุขภาพก็ย่อมดีตาม  ว่างก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนภรรยา ครอบครัวย่อมมีความสุข


กลางเดือนสาม ซาตงหนิงนำทหารกองหนึ่งพร้อมรถใหญ่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง บนรถใหญ่บรรทุกอาวุธและชุดเกราะมา ยังมีเงินทองที่นำมาจากเทียนจิน


ตามที่เขาว่ามานั้น พวกเมี่ยวลั่งที่มาสวามิภักดิ์ไปเป็นลูกน้องซุนต้าไห่ที่เทียนจิน รับหน้าที่ดูแลคลองส่งน้ำกับแม่น้ำทะเล ตรวจสอบการลักลอบนำสินค้าเข้ามา


พวกเขาเคยทำงานผิดกฎหมายบนท้องน้ำมาก่อน ดังนั้นเรื่องสมคบคิดกระทำผิดบนท้องน้ำย่อมรู้กระจ่าง มีพวกเขาจับตามอง  ก็ปล่อยเล็ดรอดไปน้อยมาก


ซุนต้าไห่มีจดหมายมาว่า พวกเมี่ยวลั่งไร้ระเบียบมานาน มีบางกฎเกณฑ์มักฝ่าฝืนกัน อย่างไรก็ต้องสังหารเพื่อกำราบ และก็เป็นเมี่ยวลั่งที่แอบให้จัดการเช่นนี้


ดูท่าแล้วเมี่ยวลั่งนี้คิดแสวงหาที่พึ่งสงบสุขบั้นปลาย จึงสามารถมีความคิดดีเช่นนี้ หากไม่อาจบังคับลูกน้องไว้ได้ ดีไม่ดีสุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็อาจรักษาไว้ไม่ได้


ซาตงหนิงกลับมา สื่อชีที่ทำงานเงียบๆ ก็แอบไปบอกหวังทงว่า ให้ไปซื้อเด็กจากตลาดค้ามนุษย์ในเมืองกุยฮว่าเฉิงมาสักหน่อย พอถามถึงสาเหตุ สื่อชีกล่าวได้ดูไม่เลว บอกว่ารอให้กลับถึงเขตปกครองเหนือกับเหอเป่ย ไปหาโรงบ้านห่างไกลฝึกฝน


การใช้คนย่อมต้องดูที่มาที่ไป แต่พวกที่ซื้อมาจากตลาดการค้าเช่นนี้ แต่เล็กอบรมขึ้นมาเองก็เรียกได้ว่าไว้ใจได้ที่สุด แม้ต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ตาม หวังทงฟังแล้วก็รีบให้สื่อชีไปรับเงินก้อนหนึ่งไปจัดการทันที


ปลายเดือนสาม หวังทงกำลังฝึกยุทธ์อยู่บนในสวน กลับได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก ที่พักเขานั้นแม้ว่าเป็นที่พักของคนรวยในเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ก็มิได้สงบเงียบเท่าไร


ได้ยินเสียงคนด้านนอกตะโกนดังว่า


“ออกนอกเมืองไปทางตะวันตกสามวันครึ่ง มีกองโจรม้าราว 600 รวมพลของเราไปรวมตัวกันนอกเมือง!”


ได้ยินเช่นนี้ครั้งแรก หวังทงรู้สึกสนใจอยากรู้ ส่งคนออกไปสอบถาม ไม่นานก็ได้ข่าวกลับมาว่าที่แท้ขบวนพ่อค้าหนึ่งถูกกองโจรม้าล้อมโจมตี มีคนรีบกลับมารายงาน


คนของขบวนพ่อค้าที่ถูกส่งมารายงานข่าวในเมือง  นี่เป็นธรรมเนียมของเมืองกุยฮว่าเฉิง ในเมืองจะส่งคนไปช่วยเหลือ แต่คนมากมักจะมั่นใจมากขึ้น มักจะส่งคนไปส่งเสียงประกาศตามท้องถนนในเมืองนอกเมืองรวบรวมคน ผู้ใดอยากจะไปช่วยก็นำม้าตนเองกับเสบียงอาหารไปเอง ถึงตอนนั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนตามแรงที่ลงไป


เมืองกุยฮว่าเฉิงนอกจากขบวนพ่อค้า ก็มีพวกที่เป็นเอกเทศไม่สังกัดผู้ใดมาร่วมด้วย คนพวกนี้เดิมก็มิได้เป็นชาวบ้านบริสุทธิ์อันใด  จึงอยากจะไปเสี่ยงชีวิตดู เรื่องพวกนี้มีคนตามไปไม่น้อย คนพวกนี้เทียบกับผู้คุ้มกันแล้วมีข้อได้เปรียบ ก็คือตายแล้วไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเสียค่าทำศพ ประหยัดดี


ฟังคนไปสอบถามข่าวมา หวังทงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มกับหม่าซานเปียว กล่าวว่า


“อย่าไรก็อยู่เฉยๆ จนปวดเมื่อยไปหมดแล้ว คัดคนจากทัพม้าเจ้ามาสัก 50 ข้านำคนข้าไปด้วย พวกเขาไปช่วยคนกัน!”


หม่าซานเปียวกำลังเบื่อจัด พอได้ยินก็คึกคักทันที รีบไปเตรียมตัว อย่างไรก็พวกกองโจรม้า หรือว่าจะสู้ชนะทหารกล้าแห่งกองกำลังหู่เวยได้


มีคนไปบอกให้พ่อค้าด้านนอกรอก่อน ทางนี้กำลังเตรียมตัวไป


พ่อค้าได้ยินว่าติ้งเป่ยโหวจะไปช่วยก็ย่อมยินดีมาก ไม่พูดถึงความกล้าหาญเก่งกล้าของติ้งเป่ยโหว พูดเพียงแค่คนกลุ่มนี้ย่อมไม่คิดแสวงหาผลตอบแทนอย่างแน่นอน


ทว่าช่วยคนนั้นสำคัญ คนที่มาแจ้งข่าววิ่งจนม้าตายไปสอง สองวันผ่านมาแล้ว แม้ทัพม้าไปเองก็ต้องสามวัน ก็รวมแล้วห้าวันได้ ผู้ใดจะรู้ว่าจะต้านไว้อยู่หรือไม่ เวลากระชั้นชิดเร่งด่วน ติ้งเป่ยโหวออกเดินทาง การเตรียมตัวคงต้องเสียเวลาอยู่บ้าง


เสียเวลาก็คงต้องยอม ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินท่านนี้กัน ทว่าที่ทำให้พวกเขาตกใจมากก็คือ หวังทงครึ่งชั่วยามก็เตรียมตัวเสร็จ หนึ่งคนสองม้า อาวุธและเสบียงพร้อม รวมกำลังรอรับคำสั่งนอกเมืองอย่างรวดเร็ว เก่งกล้าก็ส่วนเก่งกล้า แต่การจะพร้อมในเวลารวดเร็วเช่นนี้ คนที่รู้เรื่องการเตรียมการทางทหารล้วนต้องอุทานด้วยความตกใจ


ก็บังเอิญมาก พอหวังทงกำลังจะออกเดินทาง  ถนนทางใต้ก็มีคนมาสี่คน พอเห็นการแต่งกายก็รู้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่รู้จักกับทหารม้าและทหารติดตามหวังทง ตอนสวนทางกันก็ควบช้าทักทายกัน เห็นชัดว่าจำหวังทงได้


รีบลงจากม้าวิ่งเข้าไปบอกกับทหารติดตามที่อยู่รอบนอก ทหารก็นำตัวเข้ามาเบื้องหน้าหวังทง คนผู้นี้เห็นหวังทงก็โขกศีรษะกล่าวว่า


“คารวะท่านโหว ข้าน้อยไม่ได้เป็นองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ไปติดตามฮูหยินสามอยู่ทางนั้น ครั้งนี้นำสารมาส่งท่านโหว”


กล่าวได้กระจ่างชัด หวังทงเข้าใจทันที นี่เป็นคนของซ่งฉานฉาน องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักรักษาความสงบจะมีรายงานมาตามกำหนดเวลา แต่ที่ซ่งฉานฉานส่งมาย่อมแตกต่างกัน


หวังทงพยักหน้า ถานเจียงได้รับข่าวก็รีบติดตามมาอย่างเร่งรีบ เขาต้องเฝ้าระวังในเมือง แต่เพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ต้องส่งคนที่ชำนาญเส้นทางบนทุ่งหญ้ามาติดตามสัก 50 คน แต่จากใจนั้นก็ย่อมต้องเตือนหวังทงอย่าได้ออกไปเสี่ยงภัย หวังทงดึงสารออกอ่าน แล้วก็นิ่งไป


สารหลายหน้า หวังทงอ่านอย่างเร็ว พออ่านจบ สีหน้ายิ้มเยียบเย็น ยัดสารใส่ใต้อานม้า ถานเจียงเห็นแล้วก็เอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วงว่า


“นายท่าน อยู่ที่นี่ชั่วคราว หากออกไปเช่นนี้เกิดเหตุใดขึ้น เกรงว่าจะเสียเวลา”


“ไม่เสียเวลา ทางนั้นเดือนสองเดือนคงยังไม่ได้กลับไปหรอก!”


หวังทงยิ้มกล่าว  โดดขึ้นม้า ถานเจียงไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่เข้าไปกำชับขึ้น


“นายท่าน ตอนนี้สถานะสูงส่ง ทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง ภัยอันตรายทุกหย่อม ขอนายท่านต้องระวังตัวให้มาก”


“กลัวอันใด ข้าไป พวกเขาต้องระวังข้าถึงจะถูก!”


หวังทงยิ้มสัพยอก นำกองกำลังม้าวิ่งออกไปทันที


*****************


พวกพ่อค้ารวบรวมกำลังได้ 200 กว่า รวมพวกทัพม้าหวังทงอีก 400 ก็ย่อมมั่นใจมาก ทว่ากำลังหลักย่อมเป็นคนหวังทง


หวังทงดูมีระเบียบวินัย ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่ออกนอกลู่ ทำตามระเบียบวินัยทหาร เดินทางมาได้ระยะหนึ่งก็เตรียมตั้งกระโจมพัก ก็ไม่ใช่กระโจมอันใด ก็แค่พรมปูกับผ้าห่มนอนกลางแจ้งเท่านั้น


ฟ้ามืดติดไฟหุงอาหาร พวกหม่าซานเปียวอยู่ข้างกายหวังทง หวังทงหยิบสารลับออกมาอ่านอีกรอบ พึมพำกับตนเองว่า


“แผนการยอดเยี่ยมเท่าไร อย่างไรก็มักมีเหตุไม่คาดฝัน จัดการปรับเปลี่ยนไปตามเหตุได้ นางเก่งกว่าที่ข้าคาดไว้อีก”


ทุกคนฟังแล้วงง หวังทงขยี้สารเป็นก้อนกลมโยนเข้ากองไฟ ยิ้มเย็นกล่าวว่า


“ความเป็นชายก็ไม่มีแล้ว ยังเรียนหนังสือกันจนสมองพังไป นี่น่าแปลก”


ตอนที่ 888 ปรับไปตามสถานการณ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

วางแผนล่อลวงผู้คนให้ร่วมก่อการวุ่นวาย ส่งผลต่อการวิเคราะห์ แต่บางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าแต่งเรื่องหลอกแล้ว คนอื่นจะเชื่อ เช่นในวังกงกงหลายท่านทะเลาะเบาะแว้ง


ในเมืองหลวง  ขอเพียงเป็นคนในวงการขุนนาง ข่าวในวังก็ย่อมหามาได้ ในวังขันทีเข้าๆ ออกๆ ผู้ใดจะไม่มีคนรู้จักบ้าง นับประสาอันใดกับยังเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของขันทีใหญ่ในสำนักส่วนพระองค์


หลี่ซานไฉได้ยินแล้วก็รู้ว่าจริง ต้องการตั้งใจให้เขาได้รู้ ก็เพื่อให้เขาได้รู้ก่อน เพื่อให้เขายิ่งใส่ใจเท่านั้น


ชาวบ้านแผ่นดินหมิงหรือแม้กระทั่งวงการขุนนาง ภาพของสำนักส่วนพระองค์ก็คือศูนย์กลางใต้หล้า และตำแหน่งยังใหญ่กว่าคณะเสนาบดีใหญ่อีก เพราะว่าทางนี้เป็นผู้ตัดสินใจที่แท้จริง


คิดถึงงานในสำนักส่วนพระองค์ เวลาร่ำเรียนและประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่อาจด้อยสามารถ เทียบกับขุนนางจิ้นซื่อที่อยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ที่มีความรู้ลึกซึ้งแล้ว เรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน


สำนักขันทีฝ่ายใน 8 สำนัก 24 หน่วยงาน คิดจะโดดเด่นเหนือผู้อื่น คิดจะเป็นหัวหน้าก็ย่อมต้องรู้หนังสือ ไม่ได้ต่างอันใดกับขุนนางภายนอก


ดังนั้นในวังก็มีสำนักศึกษา ขันทีน้อยที่เฉลียวฉลาดได้เข้าเรียน จากนั้นก็ออกมาปฏิบัติงานขันทีอาลักษณ์ จากนั้น ค่อยๆ ปฏิบัติหน้าที่ก้าวขึ้นไปทีละขั้น


ตามธรรมเนียมในวัง อาจารย์ที่สอนในสำนักศึกษานี้ก็เป็นบัณฑิตจากคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่ก็สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน คนพวกนี้เป็นพวกยึดแนวคิดขงจื๊อ ศิษย์ที่สอนออกมาก็ย่อมต้องไปในแนวทางเดียวกัน


เพราะเป็นเช่นนี้ ขันทีระดับกลางถึงสูงแท้ที่จริงแล้วก็คือบัณฑิต ทว่าพวกเขาเป็นขันทีก็เท่านั้น คิดวิเคราะห์เรื่องราวถูกผิด ความคิดย่อมไม่แตกต่างอันใดกับขุนนางบุ๋นนอกวัง


มีคนทำงานมาหลายสิบปี ค่อยๆ ก้าวขึ้นมา เห็นอะไรมามาย มองทะลุปรุโปร่ง ย่อมต้องมีไหวพริบดี แต่ก็มีบ้างที่อ่านตำราและเชื่อในตำรา หลายสิบปีล้วนไม่ยอมเปลี่ยน


จางเฉิงกลับเป็นพวกนี่มองโลกปรุโปร่ง มีแต่จางหงกลับที่ยังคงมาตรฐานไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่ามีลำดับอาวุโสนั้น โอรสองค์โตก็ย่อมต้องเป็นรัชทายาท ความคิดนี้เขาไม่กล้ากล่าวออกมา แต่ในใจนั้นคิดเช่นนี้


ตอนนี้ในเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งทั่วหล้าก็ล้วนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกันดุเดือด ฎีกามาเป็นตั้ง รายงานลับที่ส่งมาก็ล้วนส่งมายังสำนักส่วนพระองค์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอ่ยถึง สำนักส่วนพระองค์เองก็ไม่อาจทำตัวไม่สนใจ อย่างไรก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์


ประเด็นสำคัญก็คือท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เคยกระจ่างชัด แม้ทรงเอนเอียง แต่กลับไม่เคยเปิดเผยกระจ่าง  ถึงกับแอบคุยกันส่วนตัวในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา


ในเมื่อไม่มีท่าทีกระจ่างชัด เช่นนั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ายังมีทางยับยั้งได้ คนข้างนอกคิดเช่นนี้ การวิเคราะห์ในวัง ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนี้


การมีเรื่องทะเลาะกันมาจากที่ใดนั้นทุกคนก็พอเดาได้ ความหมายของจางเฉิงก็คือฝ่าบาทคิดทรงทำเช่นไรก็เช่นนั้น แต่ความหมายของจางหงกลับต้องการให้ทำตามธรรมเนียมบรรพชน แต่ก็ไม่เคยกล่าวกันออกนอกหน้า เช่นกัน ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ข่าวนี้แพร่ออกไป คนสนใจเรื่องนี้ก็จะคิดไปมากมาย


ข้างนอกเหมือนกับกล่าวว่าโอรสองค์โตต้องเป็นรัชทายาท แต่ในวังจางเฉิงเป็นคนส่วนน้อย ส่วนใหญ่ก็เอนเอียงไปทางพระโอรสองค์โตจูฉางลั่ว


ไม่ว่าอย่างไร พระสนมกงก็เป็นคนของไทเฮาฉือเซิ่ง ในวังมีหลายสำนัก ขันทีใหญ่ส่วนมากก็อายุราว 50 ได้ หัวหน้าหน่วยงานก็ราว 40 ล้วนเพราะพระเมตตาไทเฮาฉือเซิ่งส่งเสริมมา หากฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่มีทีท่าชัดเจน เช่นนี้ทุกคนก็ย่อมรู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไร


*****************


ซ่งฉานฉานเป็นหญิงฉลาด ตอนเป็นเจ้าของดูแลหอฉินก่วนอยู่นั้นก็ดูเป็นหญิงงามหน้าตาสะสวยเท่านั้น แต่พอมาเป็นลูกน้องหวังทง ทำให้หอฉินก่วนกลายเป็นองค์กรเก็บข่าวลับแล้ว ความสามารถในการวางแผนการก็พัฒนาขึ้นมาก


ขุนนางใหญ่เมืองหลวงทำงานกันหลากหลายแบบ จางจวีเจิ้งกับจางซื่อเหวยล้วนมาจากตระกูลใหญ่ มีคนให้ใช้ทั้งที่ลับและที่แจ้งมากมาย เรียกใช้งานได้ตามสบาย เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง


แต่พอถึงเซินสือหัง นอกจากหวังซีเจวี๋ยที่เป็นตระกูลใหญ่จากแดนใต้แล้ว ที่เหลือไม่ว่าคณะเสนาบดีใหญ่หรือหกกรมกอง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ล้วนเป็นพวกบัณฑิต  พวกบัณฑิตรับตำแหน่งกันไม่น้อย แต่ที่สามารถพึ่งพาได้มีไม่มาก ต้องเป็นพวกศิษย์หรือญาติมิตรเท่านั้น


ในวงการขุนนางสมคบกันก็ย่อมหาคนมีตำแหน่ง คนเช่นนี้ย่อมถูกจับตา เพราะมีจำนวนไม่มาก ยังก้าวมาจากการสอบแบบปกติ หลายเรื่องจึงมิได้ป้องกันไว้ก่อน การจะส่งสาวใช้คนงานเข้าไปในจวนเพื่อสืบหาข่าวก็ย่อมมิใช่เรื่องยาก


แต่การจะทำให้ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเคลื่อนไหว อาศัยเพียงแค่ลูกศิษย์นั้นไม่พอ พวกกู้เซี่ยนเฉิงและหลี่ซานไฉจึงเป็นพวกที่สำคัญต่อการก่อการมาที่สุด  กู้เซี่ยนเฉิงได้เป็นคนสนิทของเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องออกแรงผลักดันมากนัก แต่หลี่ซานไฉที่มีกำลังมากกว่ากลับใช่ว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวง่ายๆ


ที่ซ่งฉานฉานทำนั้นก็คือพยายามยัดข่าวที่หามาได้ให้กำลังใจหลี่ซานไฉทุกทาง ให้เขาวิเคราะห์สถานการณ์ไปตามที่ซ่งฉานฉานอยากจะให้วิเคราะห์


ความคิดเหมือนไม่มีหลักการมากเท่าไร เรื่องเช่นนี้มีความมั่นใจห้าส่วนก็เรียกได้ว่าขอบคุณฟ้าดินแล้ว แต่ทิศทางพวกมีอำนาจใหญ่เมืองหลวงเป็นเช่นนี้ แม้ซ่งฉานฉานไม่ทำอะไร ที่ต้องเกิดก็ย่อมเกิด ที่ซ่งฉานฉานต้องการทำ ก็แค่ผลักดันให้คลื่นแรงขึ้น เพิ่มเชื้อไฟลงไปเท่านั้น


เป็นเพราะพวกอู๋จั้วไหลไร้สามารถ พวกเขาเลือกคนสำคัญมาทำงานนี้เป็นเหยาฟู่ ข่าวจากเหยาฟู่เล็ดรอดออกไปอย่างรวดเร็ว ที่ซ่งฉานฉานต้องทำก็คือทำให้เรื่องนี้ต้องสำเร็จ เหยาฟู่คิดหอบเงินหลบหนี ซ่งฉานฉานก็ย่อมต้องจับเขายัดกลับไป


*****************


ในทางเปิดเผยก็เริ่มเคลื่อนไหวหนัก ในทางลับก็เริ่มสมคบกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์เมืองหลวงราวกับถังระเบิดลูกหนึ่ง ไม่รู้จะระเบิดขึ้นเมื่อใด


สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ  แต่ก็เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้เป็นประมุขใต้หล้า แต่คนที่ปกครองใต้หล้านั้นคือเหล่าขุนนางบัณฑิต หลายปีนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ เข้ากุมอำนาจไว้ในพระหัตถ์ ทรงมีอำนาจออกเสียงสั่งการมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ายุ่งกับหลายเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ


ฮ่องเต้อำนาจมากขึ้นอีกหน่อย อำนาจขุนนางก็ลดลงอีกหน่อย ฮ่องเต้หาเงินได้มากอีกหน่อย พวกขุนนางก็ย่อมหาเงินได้น้อยลงอีกหน่อย จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมต้องแย่งชิงอำนาจกัน


นับประสาอันใดกับการแต่งตั้งรัชทายาทที่แต่ไรมาก็เป็นเรื่องอ่อนไหว คนเรามีความสามารถสร้างผลงานได้มากเท่าไร ก็มิสู้สนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ อย่าเห็นว่าตอนนี้โอรสองค์โตจูฉางลั่วอายุยังไม่สามขวบ และจูฉางสวินยังไม่ถึงหกเดือน แต่เรื่องนี้ผู้อาวุโสฝ่ายเขาย่อมจดจำ พระมารดาเขาย่อมจดจำ รอให้ขึ้นครองราชย์ได้เสียก่อน ก็จะมีพระราชทานบำเหน็จรางวัลทันที ถึงตอนนั้นอำนาจวาสนาก็ไม่ต้องพูดถึง


เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทจึงต้องเป็นเรื่องที่ออกหน้าโต้แย้งเปิดเผย ลำดับอาวุโสเป็นธรรมเนียมคุณธรรมใหญ่ โอรสองค์โตควรได้เป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ยอมตัดสินพระทัย และยังเห็นความสำคัญพระโอรสพระสนมเอกเจิ้งมากกว่า มีเหตุผลในการโต้แย้ง จะว่าไป ตอนนี้สถานการณ์ก็จำเป็นต้องหาเรื่องลงมือขัดแย้งกับฮ่องเต้ว่านลี่


หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน ไม่แน่ว่าจะมีคนกล้ารวมตัวกันเช่นนี้ แม้ว่ามีโอกาส ทุกคนก็ไม่กล้าร่วมกันก่อการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ในวังที่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็ย่อมไม่เกิด แต่เพราะตอนนี้กำลังวุ่นวายกันเช่นนี้ ย่อมเป็นโอกาสอันดี ย่อมเป็นโอกาสให้ซ่งฉานฉานร่วมก่อการเคลื่อนไหวด้วย ประเด็นสำคัญก็คือ หวังทงไม่ได้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ว่านลี่ ไร้หวังทง ก็เท่ากับไม่มีขุนนางบู๊ฝ่ายในที่ไร้เหตุผล หลายเรื่องก็ไม่ต้องคำนึงถึงมากนัก


เดือนสาม ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 13  สำนักตรวจสอบมณฑลซานซี นายกองตรวจสอบเหยาฟู่เขียนฎีกาได้พอสมควรแล้ว ให้คนช่วยอ่านแล้ว รอเวลาทูลเกล้าเท่านั้น


*****************


“รถใหญ่ 30 กว่าคันขายผ้ากับของเบ็ดเตล็ด เก็บเป็นพรมกับสัตว์เลี้ยงกลับมา ขบวนพ่อค้าเช่นนี้ปล้นขาไปน่าจะได้กำไรมากกว่าขากลับ เหตุใดตอนขากลับล่อกองโจรม้ากลุ่มใหญ่มา?”


ทุ่งหญ้าไม่ใช่ที่ราบเท่านั้น พวกหวังทงสามารถหาที่กำบังลอบสังเกตการณ์ได้  แม้เรื่องราวเกิดได้หกวันแล้วจึงไล่ตามมาถึง แต่อาศัยรถใหญ่กับอาวุธปืน ถึงกับต้านทานไว้ได้


ใช้รถใหญ่ล้อมกำบังไว้ อาศัยปืนไฟยิงต้าน ค่ายรถเช่นนี้ทำเอากองโจรม้าทหารม้าด้านนอกไม่อาจลงมือได้ รถใหญ่ 30 กว่าคัน คนเกือบสองร้อย สำหรับกองโจรม้าเรียกได้ว่าเคี้ยวยาก


ทว่าสนามรบนี้กลับไม่ได้รบดุเดือด พวกกองโจรม้าถึงกับตั้งกระโจมพักง่ายๆ ค่อยๆ โจมตีอย่างช้าๆ นำแพะและวัวมารวมกันไล่ต้อนไปทางค่ายรถ จากนั้นให้คนหลบอยู่ในกองสัตว์พวกนี้ พอถึงช่วงกระชั้นชิดก็ให้โดดออกมาบุกสังหาร


วิธีการรบแบบนี้ ผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าเตรียมรับมือไว้แล้ว มีคนถือทวนยาวหลบอยู่ด้านบนและด้านล่างของรถใหญ่ เข้าใกล้ก็แทง  หากมีคนคิดใช้ธนูยิง ทางนี้ก็ยิงปืนใส่


เสียงปะทะดังประปราย เสียงปืนไฟดังเป็นระยะ แต่กองโจรม้ากลับยังคงจำนวนร้อยกว่า พอค่ายรถมีการเคลื่อนไหว พวกเขาเองก็เคลื่อนไหวทันที


“เรียนใต้เท้าตามตรงไม่ปิดบัง  รถใหญ่และปืนพวกนี้บนทุ่งหญ้านอกด่านตอนนี้ล้วนเป็นของมีค่าอันดับหนึ่ง พวกเขาไม่ต้องการสินค้า หากต้องการรถใหญ่กับปืนเท่านั้นก็พอใจแล้ว”


ได้ยินหวังทงถามอย่างสงสัย คนที่ตามมาก็กล่าวขึ้นเบาๆ หวังทงพยักหน้า หันไปสั่งการด้านหลังว่า


“ไปตระเวนรอบๆ ดูหน่อย ดูว่ามีคนซุ่มอยู่ไหม มีวางแผนกับดักไว้ไหม”


ในเมื่อมาถึงแล้วก็ไม่รีบร้อน หวังทงกลับไปยังกองกำลังที่มาได้ครู่หนึ่ง ม้าที่ส่งออกไปสืบความก็กลับมารายงาน  ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีรังโจร มีเผ่าที่มีคนสองพันกว่าอยู่ที่นั่น และดูจากร่องรอยเส้นทางแล้ว น่าจะเป็นกองโจรม้าที่ออกมาจากเผ่านี้


“น่าจะหลังจากค้าขายแล้ว คนเผ่านี้คิดจะกินรวบ ดังนั้นจึงตามมา”


ทุกคนไม่ใช่คนโง่ เรื่องเช่นนี้ย่อมวิเคราะห์ได้ไม่ยาก ได้ยินทหารม้ากลับมารายงาน หวังทงเงียบไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า


“พักอีกหนึ่งก้านธูป จากนั้นออกไปช่วยคน สังหารโจร”


ถ่ายทอดคำสั่งเบาๆ หลายคนย่อมไม่สนใจจะพัก พากันเลี้ยงม้าด้วยอาหารแข็ง เตรียมอาวุธ หวังทงหันไปกล่าวกับหม่าซานเปียวข้างๆ ว่า


“พอช่วยคนได้แล้ว ก็ค่อยไปกวาดล้างเผ่านั้น สั่งสอนพวกทุ่งหญ้านอกด่านเสียหน่อย!!”


ตอนที่ 889 ช่วยคนเป็นรอง สำแดงบารมีเป็นหลัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

การโจมตีเริ่มจากเสียงเป่านกหวีดทองแดง เสียงนกหวีดดังยาวนาน พวกกองโจรม้าที่รุมล้อมรถใหญ่อยู่ก็เริ่มรู้ตัว กระโจมที่ตั้งพักง่ายๆ ก็เริ่มมีม้ากรูกันออกมาตั้งทัพพร้อมบุก


เสียงนกหวีดดังทางนั้นมีคนถือทวนยาวชี้ขึ้นท้องฟ้า ค่อยๆ เคลื่อนม้ามาด้านหน้า มองไม่เหมือนมารบ หากเหมือนมาสวนสนามฉลองชัย พวกกองโจรม้าตกใจอ้าปากค้างทันที ทหารม้าสองแถวกรูกันออกมาจากด้านหลังคนผู้นั้น ซ้ายขวาตั้งทัพเอียงเป็นรูปสามเหลี่ยมบุกขึ้นมา


เรียกได้ว่าตั้งทัพรบแบบสยายสองปีก ตามหลักแล้วกองกำลังมาช่วยต้องเร่งลงมือ ไม่ให้เสียเวลา แต่กองกำลังที่มาใหม่นี้กลับมาอย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน


ไม่อาจเรียกว่าช้า ได้แต่เรียกว่าสบายอารมณ์ ไม่เหมือนกำลังบุกโจมตี แต่เหมือนกับการแสดงเดินสวนสนามของม้าในงานเทศกาลเสียมากกว่า


พวกกองโจรม้าเริ่มแตกฮือ  คนที่ไล่ต้อนสัตว์ไปยังขบวนรถใหญ่เริ่มถอยกลับ แต่พอมองไปเห็นสองปีกข้างแล้วรวมกันก็แค่ 300 กว่าคน สถานการณ์ก็เริ่มนิ่งลง


มีคนตะโกนออกคำสั่ง พวกกองโจรม้าก็รวมตัวกันกลับมาใหม่ จากนั้นก็บุกมาทางนี้ทันที พวกเขาถึงกับยังเหลือร้อยคนไว้เฝ้าทางรถใหญ่


ม้าของพวกทหารม้าต้องการกำลังพอควร การวิ่งจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาช่วย ม้าย่อมเหนื่อยล้า และตอนนี้เริ่มฤดูใบไม้ผลิแล้ว  ดินบนทุ่งหญ้านอกด่านก็นิ่ม ม้าย่ำไปต้องใช้แรงยกขาหลายส่วน ก็ยิ่งเปลืองกำลัง


กำลังมาช่วยก็ไม่อาจรอช้า มาแล้วย่อมได้พักไม่นานก็ต้องบุกทันที เริ่มแรกเดินหน้ามากันอย่างเนิบนาบ อาจเป็นไปได้มากว่ากำลังรักษากำลังม้าตนไว้เตรียมบุกปะทะ และทางตนเองที่เอาแต่ล้อมโจมตีนี้ ม้าย่อมมีกำลังเพียงพอ


อาศัยจังหวะนี้ บุกใส่กองกำลังชาวฮั่นที่มาช่วยก่อน อาจทำให้พวกหลังรถใหญ่เริ่มหวาดกลัวก็ได้ หวังทงที่ว่านำกำลังรบได้ยอดเยี่ยมก็เป็นแค่พวกชาวฮั่นที่อาศัยปืนกับรถใหญ่เท่านั้น พวกรบบนหลังม้าบนทุ่งหญ้านอกด่านย่อมเป็นชาวมองโกลอันดับหนึ่ง


กองโจรม้าเริ่มหนาแน่นกันบุกเข้ามา ทหารม้าสิบกว่านายบุกขึ้นหน้าเข้าทะลวงก่อน กองกำลังโจรที่มากันหนาแน่นมุ่งไปทางสองปีกข้างเล่นงานชาวฮั่นพวกนั้น  พอไปถึงระยะประชิดย่อมตีแตกพ่ายได้แน่นอน


ทัพที่มาช่วยนั้นยืนกันห่างๆ ตามหลักแล้วต้องวิ่งมาก่อนจะค่อยๆ เทียบเสมอกันแล้วค่อยรวมตัวกันบุก แต่สองทางห่างกันแล้วชิดกัน แต่ก็ยังไม่เร่งความเร็ว


ในเมื่อทัพที่มาช่วยทำตัวเองเช่นนี้ เท่ากับรนหาที่ตาย พวกทุ่งหญ้านอกด่านไม่คิดสงสาร พากันตะโกนส่งเสียงร้องดังเร่งม้าวิ่งเข้าใส่


ตอนระยะบุกราวร้อยก้าว กลับได้ยินเสียงหวีดทองแดงดังขึ้น ครั้งนี้ม้าหยุดพร้อมกัน  ทหารม้าคว้าเอาปืนไฟจากอานม้าขึ้นมา ยังมีบางคนคว้าธนูขึ้นมา


กลางวันแสกๆ  ย่อมมองเห็นแสงไฟจุดชนวนไฟไม่ชัด ปืนไฟคืออะไร กองโจรม้าพวกนี้ย่อมรู้จัก  ในขบวนรถนั่นก็มีหลายสิบกระบอก สังหารคนเขาไปไม่น้อย ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายที่มาช่วยจะมีด้วย และยังมีถึง 200 กว่ากระบอกเช่นนี้ ตอนนี้สองปีกข้างตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยมไม่ได้ยืนห่างกันแบบเดิม เห็นชัดว่าเหมือนเป็นถุงสังหาร


บุกเข้าไป คิดจะหยุดก็ยาก และพอเข้าไปในระยะยิงของปืนไฟ แม้ว่ารั้งม้าให้หยุด แต่ด้านหน้าก็ยังมีธนูอยู่


กองโจรม้าที่บุกมาเป็นแนวหน้าพอเห็นคนผู้นั้นยกทวนยาวลง จากนั้นก็มีเสียงปืนไฟยิง บุกกันมาหนาแน่น ถูกทัพหวังทงยิง ยิงทุกนัดเข้าทุกนัด


เสียงร้องดังเจ็บปวดดังไปทั่ว ม้าคว่ำคะมำคนกระเด็นหงายหลัง ปืนไฟอาจปล่อยให้เล็ดรอดได้บ้าง แต่ธนูนั้นเล็งแม่นเข้าเป้า และพวกเขายังสามารถยิงระลอกสองได้อีก


หลังยิงระลอกแรกไปแล้ว ทั้งแนวหน้าพริบตาก็สงบนิ่ง จากนั้นก็มีคนทนรับไม่ไหว พยายามวิ่งหนีสุดชีวิต เริ่มแออัดแน่นกันอีกรอบ ชุลมุนยิ่ง


การรบพูดแล้วเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายมาก กองโจรม้าบุกขึ้นหน้ามาถูกยิงบาดเจ็บหน้าหงายกันไป ย่อมเริ่มตั้งสติได้


จากนั้นหวังทงก็ทำไปตามธรรมเนียมรบปกติ เก็บปืนไฟเข้าซอง คว้าทวนยาวกับดาบออกมาเริ่มบุกสังหารโจรที่กำลังชุลมุน


ความมีระเบียบสู้กับความวุ่นวาย ทหารเกราะสู้กองกำลังไร้เกราะ ทหารบู๊ที่ฝึกฝนมาอย่างดีสู้กับกองโจรม้าทุ่งหญ้านอกด่านที่มาจากพวกชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ผู้ใดแข็งแกร่ง ผู้ใดอ่อนกว่า ก็ย่อมรู้ผลแพ้ชนะได้กระจ่าง


คนด้านนอกที่ล้อมไว้เริ่มถูกสังหารทิ้งทีละคน เดิมคนที่ได้เปรียบที่จำนวนมากกว่าก็เริ่มร่อยหรอลง กองโจรม้าไม่มีความเด็ดเดี่ยวเท่าทหาร ก็ย่อมทนไม่ไหวเริ่มหนีกระเจิดกระเจิง


ทหารม้าหวังทงมาไกล แม้ว่าได้พักระยะสั้น แต่ก็ไม่คืนแรงกำลังดี แต่เพราะกองโจรม้าแตกพ่ายหนีกระเจิดกระเจิง หมดหวังสิ้นเชิง  ด้านหลังพวกเขายังถูกกองกำลังบนหลังม้าอีก 200 คนปิดทาง แม้กองกำลัง 200 คนนี้ไม่ได้เป็นรูปขบวน แต่ม้าก็มีกำลัง ความเร็วยังคงดีอยู่


พวกที่หนีกระเจิดกระเจิงพอเห็นเส้นทางถูกขวางไว้ ในใจก็เริ่มหวาดกลัวหมดหวัง ทหารม้าที่มาขวางกองนี้แม้ไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนกองกำลังเมื่อครู่ แต่ก็มีความกล้า ครั้งนี้จึงมีแต่บาดเจ็บล้มตายอีกตามเคย


หน้าหลังประสานกำลังปิดทาง พวกกองโจรม้าเริ่มหายไปเกินครึ่ง วิ่งหนีไปได้เป็นส่วนน้อย แม้ว่าวิ่งกระจัดกระจายสี่ทิศ วิ่งวนไปรอบใหญ่ แต่มองจากทิศทางแล้วเหมือนมุ่งไปยังเผ่าใหญ่ทางนั้น


หวังทงคิดรวบกำลังคงจะไปโจมตีต่อ แต่ตอนนี้ลงจากหลังม้าเดินไปยังหน้าขบวนรถใหญ่ คนในขบวนรถรู้แล้วว่าเป็นคนของตนไปตามคนมาช่วยได้ทัน คนด้านในก็ดีใจจนน้ำตาร่วง


มีคนเตือนให้รู้ตัว หัวหน้าขบวนพ่อค้าจึงรีบเข้ามาขอบคุณหวังทง มาถึงตรงหน้า รีบโขกศีรษะร่ำไห้ใหญ่ จิตใจในยามนี้เหมือนว่าในยามคับขันสามารถรอดชีวิตมาได้ราวกับเกิดใหม่


“บุญคุณใหญ่ท่านโหว วันหน้าข้าน้อยขอยอมรับใช้เป็นวัวเป็นม้า…….มีผู้คุ้มกันกับคนงานตายไปราว 16 คนมีหลายคนไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ พวกเขาช่างน่าสงสาร!”


หวังทงปลอบใจ ให้คนประคองออกไป คนข้างในก็เหมือนจะมีสภาพเช่นเดียวกัน ทว่ายังรู้จักหน้าที่ออกมาเก็บกวาดด้านนอก หวังทงกล่าวกับหัวหน้ากลุ่มที่นำพวกมาช่วยว่า


“พวกกองโจรม้าล้อมรถไว้ พวกเราต้านได้หลายวันตายไปแค่  10 กว่าคน รถใหญ่นี่ใช้ได้ไม่เลว!”


หัวหน้าผู้คุ้มกันเดิมมาจากหมู่บ้านอวี้หลิน แต่รองหัวหน้าเป็นทหารเก่าจากกองกำลังหู่เวย ได้ยินเช่นนี้ รองหัวหน้ากล่าวว่า


“รถใหญ่เป็นดังกำแพงเมือง ปืนไฟยิงระยะไกล ดาบทวนไว้ต่อสู้ กองโจรม้าทำไรไม่ได้ ตายน้อยเช่นนี้ก็เพราะกองโจรม้าคิดอยากได้รถใหญ่กับปืน ไม่คิดให้พวกตนทำลายของพวกนี้มากไป”


คำวิจารณ์นี้เป็นจริง ไม่ดูแคลนศัตรู นี่เป็นธรรมเนียมกองกำลังหู่เวย หัวหน้าจากอวี้หลินเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า


“ท่านโหว ข้าน้อยขอกล่าวล่วงเกินสักคำ คิดว่าพวกเขาอาจจะกำลังกองกำลังที่มาช่วยด้วย เพราะนำกำลังมา 600 กว่าเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังใหญ่ไม่น้อย”


การคาดเดานี้ก็มีเหตุผล หวังทงพยักหน้า ทุ่งหญ้านอกด่านเป็นโลกที่พวกเข้มแข็งกลืนกินพวกอ่อนแอกว่า ขบวนพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงออกปล้นเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านไปเป็นทาส สังหารปล้นชิง พวกเผ่าทุ่งหญ้านอกด่านเองก็มองขบวนพ่อค้าทุ่งหญ้านอกด่านเป็นเนื้อก้อนโตเช่นกัน ผู้ใดเข้มแข็งกว่า ผู้นั้นก็เป็นผู้ล่า


หวังทงขี้เกียจจะสนใจเรื่องสาเหตุพวกนี้ เขาจัดการให้ทุกคนพัก จากนั้นก็เดินไปในขบวนรถ มองคนบาดเจ็บ แม้ไม่ถึงชีวิต ทว่าก็ถึงพิการ ศพได้ถูกโยนออกไปนอกค่ายรถแล้ว จะได้ไม่เน่าเกิดโรค ตอนนี้ต้องจัดการก่อนสักหน่อย เผาให้ดีบนทุ่งหญ้านอกด่านก่อนจะนำกระดูกกลับไป


หลายคนคว้าถุงน้ำจากพวกที่มาช่วยไปดื่มหลายอึก เห็นชัดว่าหิวน้ำมาก ถูกล้อมไว้ด้านใน หาน้ำมาดื่มหรือใกล้แหล่งน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


เห็นหวังทงเดินมา มีคนหันไปบอกต่อกัน คนกลุ่มหนึ่งก็รีบคุกเข่าคำนับ หวังทงยืนกล่าววาจาง่ายๆ ว่า


“หากเดาไม่ผิด พวกที่ล้อมโจมตีพวกเจ้าน่าจะเป็นเผ่าที่พวกเจ้าเพิ่งทำการค้ามา เผ่านี้น่าจะอยู่ละแวกนี้”


วาจาหวังทงไม่ได้ทำให้ทุกคนแปลกใจ พวกกองโจรม้าที่ล้อมพวกเขานั้นก็คุ้นหน้ากันอยู่ ทว่าตอนนั้นไม่มีเวลามาสนใจมาก ตอนนี้กลับเริ่มสบถด่าเคี้ยวฟันด้วยความแค้น


“ปล้นชิงขบวนพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงเรา พวกเจ้าอยากล้างแค้นนี้ไหม?”


หวังทงเสียงดังขึ้น ทุกคนอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็รับคำดัง ถูกล้อมมาหลายวัน คิดว่าต้องตายบนทุ่งหญ้านอกด่านเสียแล้ว พวกผู้คุ้มกันต้องสู้สุดชีวิต  พวกคนงานก็คิดว่าไม่มีทางรอดแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าพวกทุ่งหญ้านอกด่านจะโหดร้ายกับพวกเขาเพียงนี้


ได้ยินเสียงตอบดังกังวาน หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า


“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเหนื่อย ทว่าพวกเจ้าไม่อาจพัก ขึ้นม้ามา ตามข้าไปกวาดล้างพวกมัน กวาดเอาทรัพย์สินพวกมัน กวาดเอาคนของพวกมันมาขายที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จึงจะสะใจ!!”


หวังทงพูดจนทุกคนรับคำพร้อมกัน หวังทงกล่าวต่อว่า


“กล้าแย่งของพวกเรา กล้าลงมือกับคนเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเราต้องให้พวกมันบ้านแตกสาแหรกขาด ให้เป็นทาสไปตลอดทุกชั่วอายุคน พวกเราจะให้พวกทุ่งหญ้านอกด่านได้เห็น จุดจบที่ล่วงเกินพวกเรา!!!!”


หวังทงเสียงยิ่งดัง คนที่คุกเข่าพากันยืนขึ้น เลือดในกายเดือดพล่าน ตะโกนดังว่า


“สังหารทิ้ง!!!”


จากนั้นก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดต่อ แม้ว่าเผ่านั้นจะรู้ตัว แต่ก็ไม่อาจหนีได้ไกล  พวกผู้ชายล้มตายไปมาก พวกเขาย่อมไม่มีกำลังต่อต้าน กองโจรม้าที่หนีไป ไม่มีที่ไป  พวกในเผ่าที่ต่อสู้ได้ก็ตายไปมาก หัวหน้ากับผู้อาวุโสในเผ่าก็ปลิดชีวิตตนเอง


สตรีและเด็กที่เหลือก็ย่อมถูกจับตัวเป็นทาส สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินก็ย่อมถูกกวาดเป็นค่าปฏิกรณ์สงครามสู่เมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ว่าศพฝ่ายใด ทุกศพไม่ได้ฝัง หากจงใจเปิดบาดแผลให้กว้าง ศพที่มีกลิ่นคาวเลือดย่อมดึงดูดให้ฝูงสัตว์ป่าและนกอินทรีบินมา สภาพตรงหน้าราวกับนรกก็ไม่ปาน เป็นที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทุ่งหญ้า


*****************


เดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 สำนักตรวจสอบมณฑลซานซี นายกองตรวจสอบเหยาฟู่ยื่นฎีกาถึงการแต่งตั้งรัชทายาท ข่าวแพร่ออกไป ใต้หล้าสั่นสะเทือน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)