หมอดูยอดอัจฉริยะ 886-891
ตอนที่ 886 สงครามมืด
ตอนนี้อวี๋ชิงหย่าไม่จำเป็นต้องมีพยาบาลคอยดูแล แล้วสิ่งที่ตระกูลไม่ขาดแคลนเลยก็คือกลุ่มแม่บ้าน เพราะฉะนั้นกลุ่มจากโรงพยาบาลเลือกอยู่ห้องนอนเด็กคิดถึงแต่ส่วนได้ส่วนเสียของตน รวมถึงอาจารย์หวังด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่คิดเลยว่า ท่านประธานอู๋จะมาบ้านของเยี่ยเทียน
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าท่านทำอะไรก็จะได้รับความสนใจท่วมท้นจากทุกฝ่าย เขาไม่มีทางมาเพื่อแสดงความยินดีกับการเกิดของเด็กคนหนึ่งแน่นอน แล้วท่าทีของเขา เขาทำราวกับเป็นตัวแทนท่านประธานเยวี่ย มันยิ่งทำให้หลายคนคิดไม่ตก
“อ้าว? ท่านประธานอู๋ ท่าน…มาได้ไงคะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องเป็นเพื่อนท่านประธานอู๋ คนในห้องตะลึงกันหมด ต่างลุกขึ้นมาด้วยความลนลาน ด้วยลักษณะงานที่ทำอยู่ถึงแม้เคยได้พบกับบุคคลสำคัญอยู่บ้าง แต่การได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญที่มีระดับขนาดนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก
“ฉันมาเยี่ยมทุกคนนั่นแหละ!”
ที่จริง คนที่ยิ่งมีตำแหน่งสูง ยิ่งทำตัวใกล้ชิดเก่ง ตอนนี้ท่านประธานอู๋ผู้ไม่เคยยิ้มให้กับข้าราชการท้องถิ่น กลับพูดคุยกับพวกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดปกติ
“ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยหน่อยนะ ฉันมาเยี่ยมทุกคนแทนท่านประธานเยวี่ย!”
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ขอขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง!”
ตอนที่เรียงรายจับมือท่านประธาน แต่ละคนกลั้นความตื่นเต้นไม่ไหวซึ่งเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่แสดงออกมา ถึงแม้ว่าเคยเห็นความตื้นตันของกลุ่มคนที่ได้จับมือกับผู้นำในโทรทัศน์มาแล้ว กับความตื้นตันที่ดูไม่จริงใจ แต่พอเจอกับตัวเอง ถึงสัมผัสอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วมากจริงๆ
ตอนที่จับมือกับอาจารย์หวัง ท่านประธานอู๋ยิ้มและพูดว่า
“คุณหวัง คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูติเชียวนะ เก่งมาก!”
“ท่านคะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันค่ะ ท่านชมเกินไป”
ท่าทีของอาจารย์หวังนิ่งมาก เพราะเธอเคยทำงานที่โรงพยาบาลใหญ่ของรัฐ เธอจึงคุ้นเคยกับผู้นำเหล่านี้เป็นอย่างดี
“เยี่ยเทียนเคยทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ ลูกของเยี่ยเทียนเกิดมาอย่างปลอดภัยเพราะพวกคุณทั้งนั้น”
หลังจากจับมือกับทุกคนเสร็จ ท่านประธานอู๋ไอหนึ่งทีและพูดว่า
“น้ำใจของเยี่ยเทียน รับไว้เถอะ ผมเป็นพยานให้ว่านั่นไม่ใช่อั่งเปา ถือว่าเป็นเงินรางวัลให้กับทุกคน!”
“อะไรนะคะ? เยี่ยเทียนเคยทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ?”
การมาเยี่ยมของท่านประธานอู๋ทำให้พวกเธอตกตะลึงอยู่แล้ว พอท่านประธานพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่พวกเธอที่ตะลึง ทุกคนตะลึงตามกัน ท่านประธานอู๋เป็นใคร? เป็นผู้นำที่งานยุ่งทุกวัน จะว่าอย่างนั้นก็ไม่มากเกินไป แต่เขามาที่นี่เพื่อพูดเรื่องอั่งเปา
แล้วสิ่งที่ต้องการสื่อ ยิ่งทำให้สมาชิกรักษาพยาบาลยิ่งงงงวยกันไปใหญ่ พวกเธอหันไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างท่านประธานที่กำลังยิ้มอ่อน ความรู้สึกสับสนต่างๆนานาปรากฏผ่านใบหน้าทั้งหมด
คนเหล่านี้ ใช้ชีวิตในเรือนสี่ประสานมาแล้วกว่าหนึ่งอาทิตย์ ภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียนนั้น คือชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยพูด มีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเซียนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ และยากที่จะเข้าใจตัวตนของเขา
อีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าเยี่ยเทียนเป็นรุ่นเล็กในบ้าน แต่เวลาที่เขาพูดอะไร แม้แต่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ อาจไม่ถึงกับวาจาดุจยอดทองเก้าชั้น แต่มีน้ำหนักมากทีเดียว ราวกับทุกคนใช้ชีวิตโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อาจารย์หวังและคนอื่นก็ไม่สามารถปะติดปะต่อคำพูดของท่านประธานอู๋ที่ว่า
“เยี่ยเทียนทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ” ได้เลย การที่คนคนหนึ่งได้รับคำชมจากผู้นำระดับประเทศดั่งท่านนี้ เกรงว่าตั้งแต่สถาปนาประเทศคงมีจำนวนน้อยจนนับคนได้
“ท่านประธานอู๋ชมเกินไป ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ท่านประธานอู๋เป็นพยานให้แล้ว พวกคุณรับน้ำใจจากผมได้แล้วใช่ไหมครับ?”
หลังจากท่านประธานอู๋พูดออกไปแบบนั้น เยี่ยเทียนได้แต่คิดอยู่ในใจ คนแก่พวกนี้ร้ายนัก ได้ทีเอาใหญ่ วันหลังถ้ามีสิ่งที่ต้องการอีก คงต้องไว้หน้าให้ตัวเองบ้างแล้วล่ะ
“ค่ะ…พวกเราจะรับไว้!”
หมอและพยาบาลเหล่านี้ มึนงงไปหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนฟังไม่ออกว่าเยี่ยเทียนใช้น้ำเสียง เยาะเย้ยตอนที่เอ่ยถึงท่านประธาน
“ดีเลยครับ คุณหวัง งั้นฉันขอตัวก่อน!”
ท่านประธานอู๋พยักหน้าเล็กน้อยกับอาจารย์หวัง จากนั้นเดินออกจากห้องไป บรรยากาศในห้องเงียบสนิทไม่มีเสียงอะไรเลย ทุกคนนิ่งราวกับกำลังทบทวนคำพูดของท่านประธานอยู่
“พี่จ้าว แล้วเงิน…ไม่ต้องคืนแล้วใช่ไหมคะ?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ พยาบาลหลิวพูดขึ้นมา เก็บเช็คใบนี้ใส่กระเป๋าให้ดี ดีกว่านั่งเดาว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร
“อาจารย์ ยังไงดี?”
หัวหน้าจ้าวไม่กล้าตัดสินใจ หันไปหาอาจารย์หวังแทน เพราะอาจารย์หวังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ เวลาเรียกขานเธอจะใช้คำว่าอาจารย์
“ท่านบอกไว้แบบนั้น งั้นก็เก็บไว้เถอะ”
อาจารย์หวังยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
“ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยรับอั่งเปาเลย ไม่คิดว่าเลยว่าซองแรกก็ได้ 8888 หยวน…”
จากนั้นสีหน้าของอาจารย์เข้มขรึมทันใด เธอหันไปบอกทุกคนว่า
“ทำหน้าที่ดูแลแม่และเด็กให้ดี ห้ามไปสืบว่าเยี่ยเทียนเป็นใครเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
ทั้งชีวิตของอาจารย์หวังผ่านการชุมนุมมาแล้วหลายครั้ง เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ก็เหมือนกับ “คุณความดี” ที่เยี่ยเทียนทำไว้ จะต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ห้ามเผยออกมาเด็ดขาด ถ้าไม่เช่นนั้น สาวๆเหล่านี้อาจจะโดนคำสั่งให้ย้ายไปอยู่หน่วยรักษาตามชนบทก็เป็นไปได้
ทุกคนพยักหน้าต่อคำสั่งของอาจารย์หวัง และอีกหลายวันต่อจากนี้ พวกเธอปฏิบัติหน้าที่ด้วยความละเอียดอ่อนมากกว่าเดิม นอกจากจำนวนเงินมากมายใน “อั่งเปา” แล้วสถานะของเยี่ยเทียนได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรข้ามอีกต่อไป แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ทั้งหมด
“ท่านประธานอู๋ หว่านพืชหวังผล แล้ว…”
เมื่อส่งท่านประธานอู๋ออกจากเรือนสี่ประสานแล้ว เยี่ยเทียนยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาเข้าใจดีว่า ถึงแม้เขามีพลังที่ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวหรืออยากเข้าใกล้ พวกเขาไม่มีทางมาเพราะเรื่องนี้แน่ การมาในครั้งนี้จะต้องมีเหตุผลอื่น
“คุณกล้าพูดแบบนี้กับผมเชียวหรือ?”
ท่านประธานอู๋หน้าตึง แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นการยิ้มทันที เขาส่ายหัวและตอบว่า
“ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยด้วย แต่วันนี้ลูกคุณเพิ่งเกิด เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน เดี๋ยวผมให้ฉางเฮ่ามาบอกคุณอีกที!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ด้วยตำแหน่งที่เขามีอยู่ตอนนี้ ทำไมถึงได้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษเวลาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน ถึงแม้ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่เขาเข้าใจดีว่า พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวเยี่ยเทียน มันน่ากลัวกว่าท่านประธานเยวี่ยถึงสามเท่า
เพราะเยี่ยเทียนตั้งใจทำแบบนั้น แต่ท่านประธานอู๋ไม่รู้ เขากลัวตาแก่พวกนี้จะทำตัวได้คืบเอาศอก จึงปล่อยพลังกดดันออกมาเล็กน้อย ด้วยพลังของเยี่ยเทียน ที่จริงเขาสามารถเก็บจิตไม่ให้แผ่พลังออกมาก็ได้
“ท่านประธานอู๋เป็นผู้ใจกว้างเสียจริง ขอบคุณมากครับ!”
เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะถามเลยว่าเป็นเรื่องอะไร โบราณกล่าวไว้ว่าปัญหาล้วนเกิดจากการพูดมาก ความวุ่นวายล้วนเกิดจากความอยากแกร่ง ทุกครั้งที่เอ่ยปากจะเป็นเหตุเป็นผล แต่การไม่พูดนั้นย่อมดีกว่า ในเมื่อตัวเขาไม่ได้ถามต่อ เขาเชื่อว่าคนคนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้
“นายนี่มัน น่าชื่นชมกว่าบรรพบุรุษอีก!”
ท่านประธานถึงกับส่ายหัว เมื่อเห็นเยี่ยเทียนนิ่งสงบ ไร้ความสงสัยตามวัยของเยี่ยเทียน รู้สึกเพียง เยี่ยเทียนแลดูเป็นคนลุ่มลึกดั่งมหาสมุทร แม้เขาจะอยู่ในระบบราชการมาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจอ่านใจของเยี่ยเทียนออก
“ท่านก็ชมผมเกินไป ท่านอายุมากแต่ก็ยังแข็งแกร่งเหมือนกันครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ไปส่งท่านประธานอู๋และผู้ติดตามออกจากเรือนสี่ประสานพร้อมกับซ่งเฮ่าเทียน ซ่งเฮ่าเทียนสัมผัสได้ถึงความอึดอัดในตอนที่ท่านประธานอยู่ในเรือน เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้คิดจะรั้งให้อยู่ทานข้าวด้วย
หลังจากส่งเสร็จเรียบร้อย ซ่งเฮ่าเทียนหันไปพูดกับเยี่ยเทียนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ได้ว่าข่าว งานวิจัยผู้มีความสามารถพิเศษที่ประเทศใดประหนึ่งของยุโรป มีการค้นพบบางอย่าง และกำลังจะจัดงานสัมนาระดับทั่วโลกขึ้น คาดว่าท่านประธานคงหมายถึงเรื่องนี้!”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอครับ? ผมไม่ได้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษซะหน่อย!”
เยี่ยเทียนเบ้ปากไม่สนใจในสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง ในวันที่โลกใบนี้เหลือปราณวิเศษน้อยเพียงนี้ โลกใบนี้ไม่อาจรองรับผู้มีความสามารถแบบเยี่ยเทียนได้อีกแล้ว เขาไม่สนใจองค์กรวิจัยเกี่ยวกับผู้มีความสามารถพิเศษอะไรนั่นหรอก
“แกนี่มันดื้อรั้นจริง แกก็รู้ว่าประเทศเรายังขาดอะไร?”
ซ่งเฮ่าเทียนเขม่นตาใส่ เขาไม่พอใจท่าทีของหลานชายมาก ในฐานะการเป็นคนจีน อย่างน้อยภูมิใจในประเทศหน่อยก็ยังดี
ในวันที่ห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์ การแก่งแย่งชิงระหว่างประเทศที่มีอาวุธนั้น ล้วนแต่ทำสงครามกันผ่านฝีปาก ในวันที่ผู้มีความสามารถพิเศษปรากฏขึ้นมา มันทำให้หลายประเทศเริ่มอยู่ไม่นิ่ง เพราะผู้มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์นั้น เขามีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในบางพื้นที่หรือบางท้องถิ่นได้
หลายประเทศในยุโรปจึงต้องการใช้การสัมมนาในครั้งนี้ก่อสงครามเย็น ขีดเส้นแบ่งยุคแห่งอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ และสิ่งที่ทำให้ประเทศจีนขายหน้าก็คือ ถึงแม้พวกเขามีเยี่ยเทียนและคนระดับเดียวกันอาศัยอยู่ในประเทศ แต่ไม่มีใครกล้าเรียกใช้คนกลุ่มนี้เลย
หลังจากที่ได้ยินผู้เฒ่าพยายามพูดอธิบาย เยี่ยเทียนส่ายหัวอย่างรุนแรง และพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมยุ่งจะตาย ผมมีเวลาไปเข้าร่วมเรื่องนั้นที่ไหนกัน เอาไว้ค่อยคุยกันนะครับ”
สำหรับเยี่ยเทียน ในเวลานี้ลูกชายต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนงานสัมมนาแลกเปลี่ยนผู้มีความสามารถพิเศษนั้น จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว เลวร้ายที่สุด ถ้ามีคนมาทำร้ายประเทศจีน เขาไปจัดการให้ก็สิ้นเรื่อง
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า พูดต่อว่า
“ตาจะบอกอีกเรื่อง เรื่องนี้คงจะจัดขึ้นปีหน้านู้น พอถึงเวลา แกจะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่แกเถอะ”
“ผมว่านะ ท่านประธานอู๋ก็แค่อยากไว้หน้าท่านผู้เฒ่าแหละ มองผมแบบนั้นทำไมกัน?”
สองคนเดินคุยกันจนมาถึงเรือนกลาง ทุกคนที่กำลังพูดคุยกันในตอนแรก ต่างก็เปลี่ยนเป้าสายตามาอยู่ที่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่ซ่งเฮ่าเทียน ส่วนตัวเขาเองแอบย่องเข้าไปดูลูกชายแทน
ตอนที่ 887 ลูกชาย
“โต้วเอ่อตุนเจ้าหน้าน้ำเงิน ลักม้าจักรพรรดิ กวนอูเจ้าหน้าแดง ออกศึกเตียงสา เตียนอุยเจ้าหน้าเหลือง โจโฉเจ้าหน้าขาว เตียวหุยเจ้าหน้าดำ ร้องจาจา…”
ช่วงกลางฤดูร้อนแห่งเรือนสี่ประสาน นอกจากเสียงร้องของจักจั่นบนต้นไม้แล้ว ยังมีเสียงร้องเพลงงิ้วเปลี่ยนหน้าด้วย เดือนสิงหาคมของกรุงปักกิ่งร้อนแห้งดุจซึ้งนึ่ง แต่ใต้ต้นไม้ของเรือนสี่ประสานกลับเย็นสบาย
เยี่ยเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ โยกไปก็โยกมา แสงแดดฤดูร้อนส่องทะลุใบไม้ ผ่านค่ายกลมายังร่างกายเขา ดูแล้วไม่ร้อนมาก กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบาย
ข้างเยี่ยเทียน มีเปลวางอยู่หนึ่งอัน ในเปลมีเด็กชายอ้วนท้วนที่ตื่นนานแล้ว กำลังยื่นมือยื่นขาสุดกำลัง ยังไม่ครบหกเดือนก็เรียนรู้การพลิกตัว มือน้อยคู่นั้นจับเปลเอาไว้ ราวกับอยากจะยืนขึ้น
“ตัวแสบ จะให้พ่ออุ้มอีกแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองดูเจ้าลูกชายที่ยืนไม่ขึ้นทำตาปริบๆ สายตาของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นแววตาแห่งความเอาใจ เขาอดไม่ไหวจึงยื่นมือเข้าไปอุ้มลูกชายออกมาวางไว้ที่หน้าท้อง และให้ลูกชายคลานเล่นอยู่บนตัวอย่างอิสระ
“เกอๆ…เกอๆ!”
เยี่ยชิวยิ้มมีความสุขมาก ต่างจากเด็กคนอื่นที่ติดแม่ ตั้งแต่เกิดมา นอกจากตอนกินนมจะต้องหาอวิ๋ชิงหย่า เวลาอื่นถ้าเยี่ยเทียนอยู่บ้าน ยังไงก็ต้องให้คุณพ่อเป็นคนอุ้มเท่านั้น จนอวี๋ชิงหย่าน้อยอกน้อยใจลูกชาย
ตอนนี้เยี่ยชิวเข้าเดือนที่สี่ เขาโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน กำลังของมือเท้าแข็งแรงมาก จนคนอื่นมักคิดว่าเด็กคนนี้อายุ 8-9เดือนแล้ว
ตระกูลเยี่ยเพิ่งจัดงานฉลองครบร้อยวันไป ครั้งนี้ท่านประธานอู๋ไม่ได้มาร่วมงานด้วย แต่ว่า คนรู้จัก เพื่อนสนิทของเยี่ยเทียน เยี่ยตงผิง รวมถึงซ่งเฮ่าเทียนมาร่วมงานกันทุกคน จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองถึงร้อยกว่าโต๊ะทีเดียว
เดิมทีเยี่ยเทียนไม่อยากเอิกเกริกมากนัก ใครจะไปคิดว่าท่านประธานอู๋ไม่ได้มาร่วมงานด้วยตัวเอง แต่ก็สั่งให้คนส่งภาพเขียนหนังสือของตัวเองมาให้ ภาพนั้นเขียนไว้ว่า
“ยินดีในลูกชาย สืบทอดกันต่อไป”
แขกที่มาร่วมงานต่างพากันอึ้ง โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่ด้วย ทุกคนในงานจึงคิดว่าท่านมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เพราะเห็นแก่หน้าของเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คุณชายแห่งตระกูลเยี่ยท่านนี้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย ของขวัญที่ได้มาในวันนั้นกองจนสูงเป็นภูเขาอยู่ในห้องนอนทั้งหมดสามห้อง
ของขวัญเหล่านี้นอกจากของใช้เด็กทารกแล้ว ยังมีของเล่นแปลกประหลาดอีกมากมาย แม้กระทั่งเพื่อนทางธุรกิจของเยี่ยเทียนตงผิงท่านหนึ่ง ถึงกับให้รถยนต์ยี่ห้อฮัมเมอร์คันหนึ่ง ของขวัญชิ้นนี้ทำให้เยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
แต่หลังจากงานฉลองครบรอบวันนั้นผ่านไป ไม่มีใครกล้าตีสนิทกับตระกูลเยี่ยอีกเลย สาเหตุหนึ่งก็เพราะภาพเขียนหนังสือของท่านประธานอู๋กับตำแหน่งของซ่งเฮ่าเทียน สาเหตุสองผู้รากมากดีแห่งปักกิ่งที่คิดว่ามีสิทธิมาเยี่ยมเยียนนั้น ต่างก็ถูกแจ้งกล่าวเอาไว้แล้ว และรู้แล้วว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปตีสนิทด้วย
“เว่ยเว่ย ในอนาคตลูกจะเก่งจนแซงพ่อหรือเปล่าน้า?”
เยี่ยเทียนมองหน้าลูกชายที่ยังพูดไม่ได้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง สาเหตุที่ลูกชายเข้าใกล้ตนมากเป็นพิเศษนั้น เขารู้ดีเพราะว่าเขาทำการล้างไขกระดูก(ในลัทธิเต๋า)ให้ลูกชายทุกวัน เพื่อรักษาร่างกาย(ระดับ)เซียนเทียนของลูกชายเอาไว้ไม่ให้ได้รับมลพิษใดในภายหลัง
และขณะเดียวกัน ตอนที่เยี่ยเทียนล้างไขกระดูกให้ลูกชาย เขาจะควบคุมปราณแท้ของตัวเองอย่างระมัดระวัง และเปิดเส้นชีพจรทุกเส้นของเจ้าลูกชาย ด้วยร่างของทั้งสองคนเป็นเซียนเทียนทั้งคู่ ทำให้ปราณแท้ที่ติดอยู่ตามเส้นชีพจร เริ่มเคลื่อนไหวตามร่างกายของเยี่ยชิว
นั่นเท่ากับว่า เยี่ยชิวที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่สามารถฝึกพลังวิชาได้แล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังนับว่าอยู่ระดับเซียนเทียนไม่ได้ เพราะลมปราณขุ่นในร่างของเยี่ยชิวจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น รูทวารบางจุดอาจตันและถอยกลับไประดับโฮ่วเทียนได้
แต่ด้วยพื้นฐานที่เยี่ยเทียนปูไว้ให้ เพียงแค่รอให้อายุเยี่ยชิวถึง16-17 ตอนที่ไขกระดูกเริ่มแข็งแรง ปราณแท้ที่สะสมอยู่ในร่างกายก็จะช่วยให้เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้
เยี่ยเทียนรู้จากจิตวิญญาณว่า ทารกที่เกิดในเขตแดนแห่งทวยเทพ สาเหตุที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ก่อนใคร นั่นเพราะพวกเขาได้เริ่มฝึกก่อนมนุษย์หนึ่งระดับ เวลาจะเข้าระดับเซียนเทียนก็ง่ายกว่ามาก
แต่ฝึกจากเซียนเทียนเพื่อไประดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคนั้นหาใช่ความสามารถคนถึงจะช่วยได้ ซึ่งก้าวนี้จะต้องตรัสรู้ในมหามรรค เข้าใจในกฏแห่งสวรรค์ มีคนมากมาย ถึงแม้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทั้งชีวิตของเขา ก็ใช่ว่าจะผ่านด่านจินตันไปได้ง่ายๆ
“เว่ยเว่ย มาให้น้าอุ้มหน่อยซิ!”
เกือบเที่ยงวันแล้ว หลิวหลันหลันที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลายวันที่ผ่านมาเธอมัวแต่เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนทุกวัน พอกลับมาถึง เธอตรงเข้ามาหาเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของเยี่ยเทียนทันที แต่เจ้าตัวเล็กที่กำลังดื่มดำกับลมปราณของพ่อ ไม่ไว้หน้าหลิวหลันหลันเลยแม้แต่น้อย ตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ชุดใหญ่
“หลันหลัน โตจนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กซนอีก ดูสิ เว่ยเว่ยร้องไห้ใหญ่แล้วเนี่ย!”
เยี่ยตงเหมยรีบออกจากห้องครัวทันทีหลังจากได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้าตัวเล็ก พอมาถึงเธอก็เขกหัวลูกสาว และพูดว่า
“เยี่ยเทียน เว่ยเว่ยบอบบางไปหรือเปล่า พอเธออยู่ด้วย เว่ยเว่ยก็ไม่เอาใครเลย แล้วถ้าเธอไปข้างนอกจะทำยังไง?”
ด้วยลมปราณที่อยู่ในตัวของเจ้าตัวเล็กมันบริสุทธิ์มากถึงที่สุด ทุกคนที่อยู่ในเรือนสี่ประสานต่างก็ชอบเจ้าตัวเล็กกันหมด ฉะนั้นคนที่หึงเยี่ยเทียนไม่ได้มีแค่อวี่ชิงหย่า ผู้หญิงทุกคนในเรือน ไม่มีใครแสดงท่าทีพอใจต่อเยี่ยเทียนเลยสักคน
“อาหญิงเล็ก รอเว่ยเว่ยโตหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ”
เยี่ยเทียนยิ้ม ไม่อธิบายเพิ่มเติม พอเห็นแม่กำลังเดินออกมาจากห้องนอน เขารีบอุ้มลูกชายขึ้นและพูดว่า
“อาหญิงเล็กครับ เว่ยเว่ยต้องกินนมแล้ว ผมพาเขาไปหาชิงหย่าก่อนนะครับ!”
โบราณกล่าวไว้ว่าหญิงสามคนอยู่ด้วยกันต้องมีเรื่องเป็นแน่ ถ้าอาหญิงใหญ่ออกมาอีกคน หูของเยี่ยเทียนก็อย่าหวังว่าจะเงียบสงบ ทางที่ดีรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง การหนีคือสุดยอดกลยุทธ์
ลูกชายกินนม ส่วนเยี่ยเทียนนอนหลับข้างภรรยา ตั้งแต่ตั้งท้องจนคลอดลูก เยี่ยเทียนไม่ได้ฝึกวิชาอีกเลย ปราณแท้ทั้งหมดในร่างกายเขาทำการเก็บเอาไว้ในตันเถียน และใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ลูกชายเกิดไปแล้ว เยี่ยเทียนค้นพบว่า ระดับจิตใจของเขา เพิ่มขึ้นมาหลายระดับ สัจธรรม“เกิดแก่เจ็บตาย” ทำให้เขาเริ่มเห็นหลายสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเห็นเลย
“เยี่ยเทียน ลูกชายเราทำไมเหมือนนายเลย เหมือนเด็กไม่กินอาหารมนุษย์”
หลังจากป้อนนมเสร็จ อวี๋ชิงหย่าพลักเยี่ยเทียนที่นอนเอนเธอออก เพราะพอกินนมเสร็จ เจ้าลูกชายมุดเข้าอ้อมอกของพ่อทันที ซึ่งทำร้ายความรู้สึกของผู้เป็นแม่อย่างอวี๋ชิงหย่ามาก
“เหมือนฉันไม่ดีเหรอ วันหลังจะได้หาลูกสะใภ้สวยๆได้ไง”
เยี่ยเทียนรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของภรรยา เขาพูดว่า
“ชิงหย่า ฉันว่าเธอฟื้นฟูเร็วมากเลยนะ เธอดูสิ นี่เพิ่งผ่านไปกี่เดือนเอง รอยแตกลายก็หายไปหมดเลย ไหน ให้ฉันลองจับดูหน่อย!”
ปราณวิเศษของเยี่ยเทียนหล่อเลี้ยงร่างกายของอวี๋ชิงหย่าทุกวัน จึงทำให้ร่างกายของเธอฟื้นฟูเร็วมาก จนเว่ยหรงหรงยังรู้สึกอิจฉา เพราะตอนที่เธอคลอดลูกเสร็จ ตัวเธอบวมเกือบปีกว่า ตอนหลังเธอใช้วิธีอดอาหาร ถึงลดลงมาได้
“อยากตายหรือไง กลางวันแสกๆ”
หลังจากคลอดลูกเสร็จ ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าไวต่อความรู้สึกมาก ตอนที่ถูกเยี่ยเทียนสัมผัสท้องน้อย เธออ่อนระทวยไปทั้งตัวจนอิงเอนไปอยู่ที่ตัวของเยี่ยเทียน
“กลางวันแล้วทำไมล่ะ ไม่มีใครมาด้านหลังนี้หรอก”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อก่อนตอนที่เสี่ยวจินกับเหมาโถวอยู่ด้วย เขาไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ช่วงก่อน เยี่ยเทียนส่งเจ้าสองตัวนั้นไปฮ่องกงแล้ว จึงไม่มีใครสามารถสอดส่องว่าด้านหลังเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นลูกชายกินอิ่มนอนหลับ เยี่ยเทียนเริ่มเคลื่อนมือลงไป ร่างกายเริ่มกดทับ ไม่นาน ก็มีเสียงหายใจแรงดังขึ้นเป็นระยะ
“ดูสิ ทำลูกตื่นเลย!”
ช่วงเวลาอันมีความสุขผ่านไปไม่นาน เสียงหายใจแรงก็เงียบลง อวี๋ชิงหย่าพบว่าลูกชายที่นอนอยู่บนเปลที่ห่างไปไม่มาก กำลังมองเธอกับเยี่ยเทียนอยู่ ทั้งสองคนแอบเขินอาย
“เด็กที่กินนม จะรู้เรื่องอะไรกัน”
เยี่ยเทียนเบ้ปากพูดต่อว่า
“คุณภรรยา ผมคงต้องไปข้างนอกสองสามวัน ดูแลเว่ยเว่ยดีดีนะ”
“ฉันดูแลลูกดีอยู่แล้ว”
อวี๋ชิงหย่าตอบ จากนั้นเธอเหมือนคิดได้บางอย่าง คว้าแขนเยี่ยเทียนและพูดว่า
“นายจะไปไหนอีกแล้ว ไม่ได้ ฉันไม่ให้นายไป”
คนอื่นไปทำงานต่างจังหวัด ไปนานสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือน แถมยังโทรศัพท์ถามไถ่กันได้ แต่เวลาเยี่ยเทียนไปข้างนอก หาคนไม่เจอไม่พอ ไปครั้งหนึ่งไปเป็นปี แล้วเวลากลับมาบ้าน บาดแผลเต็มตัว ฉะนั้นพอได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะออกไปข้างนอก อวี๋ชิงหย่าไม่พอใจทันที
“มันจำเป็น นอกเสียจากว่าเราไปอยู่ในป่าเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องประนีประนอมกันหน่อย!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากยุ่งเรื่องไร้สาระแบบนี้ที่ไหนกัน? เขาแค่ตอบรับตาแก่เจ้าเล่ห์พวกนั้นไว้ว่าจะทำเพื่อประเทศหนึ่งครั้ง แล้วช่วงนี้เยี่ยเทียนรู้สึกจิตใจว้าวุ่น เขาเลยรู้ว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นแน่
“เยี่ยเทียน มีแขกมาที่บ้าน ออกมาหน่อย!”
เป็นเช่นนั้นจริงด้วย ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังอธิบายให้ภรรยาฟัง เสียงของเยี่ยตงผิงดังขึ้น
“งั้นนายรีบกลับมานะ”
อวี๋ชิงหย่าเป็นคนที่รู้อะไรควรไม่ควร เธอช่วยเยี่ยเทียนใส่เสื้อผ้า แต่สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำตา ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ หนึ่งปีกว่าเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุด
“ฉันไม่ได้จะไปเดี๋ยวนี้ซะหน่อย ไม่เป็นไรนะ ไปนานสุดสิบวันหรือครึ่งเดือนเอง”
เยี่ยเทียนกอดภรรยา จากนั้นลุกจากเตียง เมื่อกี้เขาถอดจิตไปครู่หนึ่ง เขารู้แล้วว่าใครมาหา ถ้าเขายังไม่ออกไปต้อนรับอีก พ่อผู้กระวนกระวายจนขมวดคิ้วอาจพุ่งเข้ามาถึงห้องนอนก็เป็นได้
เยี่ยเทียนเดินตามเยี่ยตงผิงมาถึงเรือนกลาง เขามองเจ้าหน้าที่เหล่านั้นด้วยสายตาไม่ชอบใจ ขมวดคิ้วและพูดว่า
“พ่อ ผมบอกแล้วไง อย่าปล่อยคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในบ้าน”
ตอนที่ 888 ขอความช่วยเหลือ
“พ่อรู้ว่าลูกเก่ง พวกคนใหญ่คนโตถึงขั้นมาขอให้ช่วย”
เยี่ยตงผิงมองเยี่ยเทียน ส่ายหัวและพูดว่า
“แต่ลูกต้องเข้าใจว่า พระจันทร์จะกลับมาเต็มดวง เพื่อบ่งบอกว่าจะเกิดความเจริญสืบไป ไม่ใช่ตกต่ำ คนเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ อย่าตึงแน่นเกินไป ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นสิ่งที่ต้องคอยรักษาไว้นะ!”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบ น้อยมากที่เยี่ยตงผิงจะพูดคุยกับลูกชายแบบนี้ แต่ในฐานะที่เป็นพ่อ ทุกฝีก้าวของลูกชายเขารู้เรื่องหมด และรู้ว่าหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนนั้น มันยากที่จะให้เขาเข้าใจ แล้วท่าทางมั่นใจมากเกินไปของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ทำให้เยี่ยตงผิงรู้สึกเป็นห่วงมาก
“พ่อครับ ผมเข้าใจ คราวหลังผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก!”
เมื่อเห็นรอยย่นบนใบหน้าของพ่อ เยี่ยเทียนไม่ได้โต้กลับทันที แต่พยักหน้าตอบรับแทน ที่จริงเขาเข้าใจเหตุผลนี้เป็นอย่างดี
ตอนที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป เยี่ยเทียนไม่เคยทำตัวเย่อหยิ่งและก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน เขาอยู่ตรอกนี้มานาน พบเห็นใครเดินผ่านก็ยิ้มให้ตลอด เรียกขานคุณลุงคุณป้าไม่เคยขาดตกบกพร่อง มารยาทอันดีงามเช่นนี้ ทำให้คนในตรอกต่างก็ชื่นชมเขาทุกคน
แต่เวลาพบปะกับพวกตาแก่กุมอำนาจพวกนั้น เยี่ยเทียนจำเป็นต้องใช้วิธีไม้กระบองฉาบด้วยพุทราหวาน ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเขาคงโดนตาแก่พวกนั้นบดขยี้จนไม่เหลืออะไรแล้ว
คำพูดของพ่อในครั้งนี้ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตัว แม้ว่าในโลกมนุษย์เขาจะเป็นผู้ไร้เทียมทาน แต่หากอยู่ในแดนทวยเทพ เยี่ยเทียนก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ฉะนั้นการถ่อมตัว ไม่ว่าจะอยู่โลกไหน ย่อมเป็นสิ่งที่พึงมี!
“เหล่าฉาง พวกนายรออยู่ด้านนอกเถอะ ในเรือนของผม ยังไม่ปลอดภัยอีกเหรอ”
ตอนเดินเข้ามาด้านใน เยี่ยเทียนหันกลับไปทักฉางเฮ่า และยังมีอีก 7-8 คนยืนเฝ้าประตูอยู่ตรงนั้น เยี่ยเทียนพบว่าคุณอาของเขา เวลาเดินยังต้องเดินอย่างเงียบๆ เยี่ยเทียนไม่ชอบให้เรื่องของตัวเองกระทบไปถึงคนอื่นแบบนี้เลย
“ครับคุณเยี่ย พวกเราจะไปรอด้านหน้าครับ!”
หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น ฉางเฮ่าลังเลไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาทราบดีว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเป็นความจริง ถ้าหากเยี่ยเทียนยังจัดการอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้ งั้นพวกเขาก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วล่ะ
“เสี่ยวเยี่ย ขออภัยที่มารบกวน”
ท่านประธานเยวี่ยที่นั่งอยู่แล้ว พอได้ยินบทสนทนาด้านนอกเขาจึงลุกขึ้นและเดินออกไป กล่าวว่า
“พวกเขาทำตามหน้าที่ เธออย่าใส่ใจเลยนะ บางทีคำสั่งของฉัน พวกเขาก็ไม่ฟังหรอก”
ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเดินตามหลังท่านประธานเยวี่ย เขาไม่เคยพบเยี่ยเทียนมาก่อน พอได้โอกาสจึงมองเยี่ยเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนสาเหตุที่ท่านประธานพาเขามาที่นี่ด้วย เพราะใจของคนคนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่เป็นไรครับท่าน เชิญด้านในครับ!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำของประเทศ เยี่ยเทียนไม่กล้าละเลยต่อหน้าที่ เพราะตั้งแต่โบราณเคยมีคำกล่าวว่า กษัตริย์กริ้ว เลือดไหลเป็นพันลี้ ถึงแม้ตัวเขาจะปลอดพ้นจากพันธนาการทางโลกได้ แต่คนในครอบครับยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
“ท่านนี้คือคุณฮานหรือเปล่าครับ”
เยี่ยเทียนหรี่ตามองเขาและพูดว่า
“คุณฮานกระดูกปูดโปนกระทั่งใบหน้าจรดศีรษะ ดวงตาเรียบยาวดุจแม่น้ำ ปากกว้างลึกดุจมหาสมุทร รูปลักษณ์แห่งดวงตะวัน อิริยาดุจมังกร ภายหลังจะได้ดี!”
เยี่ยเทียนตกตะลึงทีเดียวหลังจากเห็นคนคนนี้ เมื่อก่อนเขาเคยเห็นแค่ในทีวี แต่พอได้เจอตัวจริง เยี่ยเทียนพบว่าเขามีรูปลักษณ์ที่จักรพรรดิพึงมี ถ้าเขาดูไม่ผิด ในภายหลังคนคนนี้อาจรับตำแหน่งต่อจากท่านประธานเยวี่ย
“คุณเยี่ยชมเกินไป”
แม้ว่าฮานเจิ้งปังอายุยังไม่มาก แต่เขาเป็นคนใจเย็นมาก เขาเป็นคนของตระกูลสีแดง (ตระกูลการเมือง)อยู่แล้ว และเคยได้ยินเรื่องของเยี่ยเทียนมาก่อน แม้กระทั่งคลิปวิดีโอในฐานทัพใต้ดินเขาก็เพิ่งรับชมไปไม่นานนี้
แต่เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์มาก่อน ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักเยี่ยเทียน จนท่านประธานพาเขามาด้วยในวันนี้ เขาถึงรู้ว่าเยี่ยเทียนมีความสำคัญแค่ไหน เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ถ้าวันนี้เยี่ยเทียนพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเขา เส้นทางการไต่ขึ้นจูดสูงสุดของเขาจักต้องพบอุปสรรคเป็นแน่
พอคิดถึงตรงนี้ แผ่นหลังของฮานเจิ้งปังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากล่าวว่า
“ได้ยินชื่อเสียงลือนามของคุณเยี่ยมานาน ได้พบวันนี้ ถือว่าเป็นเกียรติของผมมากครับ!”
“คุณฮานก็พูดเกินไป เราอย่าชมกันไป ชมกันมาอีกเลยครับ เชิญ เข้ามาชิมใบชาของผมก่อน”
เมื่อเชิญท่านประธานเยวี่ยนั่งเสร็จ เยี่ยเทียนเข้าไปหยิบใบชาออกจากในห้อง และกล่าวว่า
“ถ้าท่านทั้งสองไม่มา ผมก็ยังไม่กล้าหยิบชานี้ออกมา”
“เสี่ยวเยี่ย ใบชานี้มีอะไรพิเศษหรือ”
เยวี่ยเจิ้งตงกำลังอยู่จุดสูงสุดของชีวิต ยังมีชาชั้นดีอะไรอีกที่เขาไม่เคยเจอ พอเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เขาก็อดที่จะถามไม่ได้ ส่วนจุดประสงค์การมาที่นี่ในวันนี้ ไม่รีบร้อนที่จะพูดออกมา
“เดี๋ยวผมชงให้ท่านดื่มเสร็จ ท่านก็จะรู้เองครับ”
เยี่ยเทียนยิ้ม หยิบกาดินเผาสีแดงที่มีน้ำแร่บริสุทธ์เพิ่งต้มจนเดือดขึ้นมา ราดและชำระแก้วใสสามใบจนสะอาด จากนั้นหนีบใบชาออกมาใส่แก้วทั้งสามอย่างพิถีพิถัน
หลังจากเทน้ำร้อนเสร็จ กลิ่นหอมสดชื่นจากใบชาลอยขึ้นมาแตะจมูกทุกคนในทันใด และสิ่งที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจก็คือ ขอบแก้วใสนั้น มีหมอกสีขาวลอยขึ้นบางๆ เกาะกลุ่มไม่แตกตัว และห่อหุ้มแก้วใสเอาไว้ ราวกับชาอมตะ
“ทั้งสองท่าน ลองชิมดูครับ!”
เยี่ยเทียนยกแก้วของตัวเองขึ้น ปากแตะที่ขอบแก้ว จิบเบาเบา เขาไม่ได้กล่าวเท็จ ชานี้เขาเก็บมาจากเกาะ “เผิงไหลา” ในใบชามีปราณวิเศษสวรรค์ธรณีหล่อเลี้ยง มีส่วนช่วยให้จิตใจสะอาดปลอดโปร่งอายุยืน ช่วยขับไล่สิ่งปนเปื้อนในร่างกาย และช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ถึงแม้ใบชาชนิดนี้ เมื่ออยู่ในเกาะ “เผิงไหล” มันไม่ใช่สิ่งของหายาก ตอนนั้นเยี่ยเทียนเด็ดกลับมาจำนวนไม่น้อย แต่ตอนหนีออกจากเกาะ ใบชาที่เก็บไว้ในกระเป๋าของเหลยหู่หายไปเกือบหมด ส่วนที่เหลืออยู่ เคยโดนน้ำทะเลมาก่อน ทำให้ประโยชน์ของมันเทียบกับตอนนั้นไม่ได้เลย
“นี่มันคืองานศิลปะ ไม่กล้าดื่มเลย!”
หลังจากชงชาเสร็จ ท่านประธานเยวี่ยกับฮานเจิ้งปังแสดงสีหน้าหลงใหลออกมาพร้อมกัน เขาทั้งสองที่ยังไม่ทันลิ้มรส ความสดชื่นนั้นได้ซึมเข้าไปถึงปอดจนทำให้พวกเขารู้สึกร่างกายเบาหวิวขึ้นมาในทันทีทันใด
“ชาดี!”
ท่านประธานจิบเบาเบาตามเยี่ยเทียน ทันใดนั้นสีหน้าของท่านประธานเยวี่ยก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม หลังจากน้ำชาอึกนี้เข้าไปในปากแล้ว เขารู้สึกมีความร้อนกำลังแผ่ออกตามแขนและขา เขารู้สึกสบายมากจนเกือบครางเป็นเสียงออกมา
“นี่มันชาของเซียนเลยนะ!”
ใบหน้าของฮานเจิ้งปังก็ตกตะลึงออกมาด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสตระกูลเขา ก็เคยเป็นผู้นำระดับประเทศมาก่อน ของใช้ในบ้านมีแต่ของดีอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยได้ดื่มชาที่ดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนเกิดใหม่แบบนี้มาก่อน
หลังจากทั้งสองคนดื่มน้ำชาจนหมด ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลิ้มรสสัมผัสร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ตอนนี้พวกเขารู้สึกแค่ว่าร่างกายได้รับการผ่อนคลายเป็นอย่างมากเหมือนแทบจะลอยขึ้นบนฟ้าปานนั้น
เวลาผ่านไป 7-8 นาทีเต็ม ท่านประธานเยวี่ยลืมตาขึ้น ส่ายหัวและพูดว่า
“เยี่ยเทียน ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงดื่มดำในธรรมชาติ ถ้าฉันได้ดื่มชานี้ทุกวัน ฉันก็คงไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวายบนโลกนี้แล้วเหมือนกัน”
“ท่านประธานเยวี่ย ผมว่าท่านกลับไปโลกมนุษย์เถอะครับ”
หลังจากได้ยินท่านประธานพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนพูดทีเล่นทีจริงว่า
“ชานี้ ขนาดพ่อผมยังไม่ได้ดื่มเลย เพราะกลัวว่าพวกท่านได้ดื่มแล้วจะลืมไม่ลง ผมไม่มีที่ให้ไปเก็บแล้วนะครับ”
ที่จริงด้วยพลังวิชาของเยี่ยเทียนตอนนี้ เขาสามารถตั้งค่ายกลไว้ในหุบเขากลางป่าสักแห่งหนึ่ง จากนั้นป้อนปราณวิเศษเข้าไปยังใบชาและผลไม้ แม้ว่าผลผลิตที่ได้อาจไม่เหมือนกับในเกาะ “เผิงไหล” แต่ในสายตาของท่านประธานเยวี่ย ก็ถือว่าเป็นผลผลิตชั้นยอดเลยล่ะ
แต่นิสัยเกียจคร้านของเยี่ยเทียน เขาไม่ยอมไปทำเรื่องนั้นแน่นอน เขาให้คนไปเก็บใบชามาให้ แล้วทำการคั่วเอง ระหว่างที่คั่ว เขาเพิ่มปราณวิเศษเข้าไปด้วย แม้ว่าผลประโยชน์อาจไม่เท่าใบชาแบบนี้ แต่ก็พอดื่มได้
“ฉันไม่ได้จะขอเธอหรอกน่า เธอไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้”
พอได้ยินว่าใบชานี้หมดแล้ว สีหน้าของท่านประธานเยวี่ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขายิ้มและกล่าวว่า
“ที่ฉันมาในวันนี้ อันดับแรก ฉันอยากแนะนำเสี่ยวฮานให้เธอรู้จัก เขาเพิ่งจะได้รับเข้าเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง พวกเธอสองคนรู้จักกันไว้นะ”
เยี่ยเทียนมองไม่ผิดจริงๆ ฮานเจิ้งปังถูกฝึกให้เป็นผู้นำคนต่อไป และดูเหมือนทุกอย่างจะถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาคงไม่สามารถมาหาเยี่ยเทียนได้ เพราะระดับความลับในตัวของเยี่ยเทียน สูงพอกับท่านประธานเยวี่ยเลยทีเดียว นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครสามารถค้นหาข้อมูลของเขาได้
“ยินดีด้วยครับคุณฮาน”
เยี่ยเทียนพยักหน้าให้กับฮานเจิ้งปัง เขาเข้าใจความหมายของท่านประธานเยวี่ยดี การที่แนะนำฮานเจิ้งปังให้กับเขา นั่นแสดงถึงว่า ประเทศให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก และไม่ว่าใครดำรงตำแหน่งอยู่ เขาคนนั้นก็จะไม่ยุ่งกับตนแน่นอน
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านประธานเยวี่ยพูดต่อ
“นอกจากเรื่องนี้แล้ว ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะมาขอความช่วยเหลือ หวังว่าเธอจะยอมช่วย เพราะมันเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีของประเทศ!”
“ท่านประธานเยวี่ย ท่านอย่าโยนปัญหาให้ผมเลยนะครับ ไหล่ของผมนั้นอ่อนแอมาก แบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ไม่ไหวหรอกครับ”
เยี่ยเทียนปัดมือปฏิเสธคำพูดของท่านประธาน เขาพูดต่อว่า
“เรื่องที่ยุโรปใช่ไหมครับ ที่จริงให้พวกเขาทะเลาะกันเองก็ได้นะครับ ถ้ามาถึงเขตประเทศจีนจริงๆ ถึงผมจะไม่ออกหน้า ก็ต้องมีคนไม่ยอมแน่นอน”
เยี่ยเทียนรู้สึกถึงบางอย่าง หลังจากฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ว่าปราณวิเศษดินแทนทวยเทพจะเจือจาง แต่ยังมีผู้ฝึกพลังวิชาระดับเซียนเทียนอาศัยอยู่ ก็เหมือนกับยอดฝีมือที่หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขาชิงเฉิง ที่ซึ่งหนานไหวจิ๋นเคยเล่าให้ฟัง เขาน่าจะยังอยู่ที่นั่นไม่เคยจากไปไหน
ตั้งแต่เข้าสู่ยุคสมัยปัจจุบัน ประเทศจีนต้องประสบความยากลำบากมากมาย แต่พอมาถึงวันนี้ นิกายต่างประเทศบางนิกายไม่สามารถอยู่ประเทศจีนต่อไปได้ หากเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนทำนาย เรื่องนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นเป็นแน่
พอได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน ท่านประธานเผยสีหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ส่ายหัวและกล่าวว่า
“เยี่ยเทียน หิวตายเรื่องเล็ก เสียศักดิ์ศรีนั้นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญ พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้!”
ตอนที่ 889 สยบ
ในยุคปัจจุบัน สงครามระหว่างประเทศ หาใช่การแข่งขันด้านอาวุธอีกต่อไป หากพัฒนาแต่เพียงอาวุธ เพิ่มงบด้านทหาร มีแต่จะทำให้สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้โหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ และผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายกว่าที่ทุกคนคิด
เหมือนกับสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในตอนนั้น วันนี้อดีตสภาพโซเวียตพัฒนาสุดยอดอาวุธออกมาหนึ่งชิ้น พรุ่งนี้สหรัฐอเมริกาพัฒนาเครื่องบินล่องหนออกมา การแข่งขันแบบนี้ มีแต่จะทำให้ประเทศอื่นยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย
และความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด และสหรัฐอเมริกาเองก็ใช้เงินมหาศาลไปกับเรื่องนี้ จนเศรษฐกิจภายในประเทศย่ำแย่
เพราะฉะนั้น ในปัจจุบันประเทศต่างๆมักเลือกวิธีการต่อสู้แบบเล็ก ปีก่อนๆ แต่ละประเทศส่งกองกำลังพิเศษเข้าร่วมการแข่งขันกัน ซึ่งการแข่งขันแบบนี้ จะทำให้เห็นว่า แต่ละประเทศมีกำลังด้านกำลังทหารและอาวุธมากน้อยแค่ไหน
แต่หลังจากเหตุการณ์ที่รัสเซียกับไซบีเรียเกิดขึ้น แต่ละประเทศตระหนักได้ว่า อันที่จริงกองกำลังพิเศษที่พวกเขารู้จัก หาใช่ทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แต่เป็นผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติต่างหาก ทำให้แต่ละประเทศลงมือวิจัยและพัฒนา ผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิม
ในต้นปีนี้ ประเทศแถบยุโรปใช้วิธีที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติแล้วหลายคน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมา กองกำลังพิเศษเทียบไม่ได้ บางคนไม่สามารถใช้เหตุผลทั่วไปในการวัดความสามารถอีกแล้ว
ถึงแม้ประเทศเหล่านั้นจะใช้วิธีบางอย่าง กระตุ้นให้พวกเขาแสดงความสามารถที่ซ่อนเร้นออกมาได้ แต่วิธีแบบนี้ไม่สามารถสร้างผลผลิตออกมาได้มากเท่าที่ควร เพื่อค้นหาผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติเหล่านี้ พวกเขาต้องสูญเสียกองกำลังชั้นเยี่ยมไปนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น สองประเทศในแถบยุโรปที่เป็นผู้สนับสนุนงานสัมมนาแลกเปลี่ยนผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ ได้เชิญประเทศที่พวกเขาคิดว่าภาพรวมของประเทศนั้นยิ่งใหญ่มาร่วมงานด้วย จุดประสงค์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ในยุคที่อำนาจโดยรวมของแต่ละประเทศแตกต่างกันน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาอยากให้ผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์เป็นรากฐานของประเทศตนเองและมีสิทธิออกเสียง
หลังจากอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องนี้เสร็จ ท่านประธานเยวี่ยมองเยี่ยเทียนอย่างไม่ละสายตา และถามเขาว่า
“เยี่ยเทียน เหตุการณ์ที่รัสเซียเมื่อปีก่อน เธอเป็นคนทำใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมแค่ไปเที่ยวที่นั่น!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว และตอบด้วยความฉะฉาน ตอนนั้นเขาแค่อยากกลั่นแกล้งฝรั่งจากลาสเวกัสคนนั้น ก็เลยใช้ใบหน้าของรูดอล์ฟ ถ้าไม่มีหลักฐาน เยี่ยเทียนไม่มีวันยอมรับหรอก
“เธอ ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยนะ ไม่รู้เหรอ อะไรที่เรียกว่ากล้าทำก็กล้ารับ”
ท่านประธานเยวี่ยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ความกดดันที่มองไม่เห็นเริ่มแผ่ออกมาจากตัวเขา แม้แต่ฮานเจิ้งปังที่นั่งอยู่ข้างเขาในตอนแรกยังรู้สึกทำตัวไม่ถูก
ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากท่านประธานเยวี่ยผู้ดำรงตำแหน่งสูงและผู้กุมอำนาจของประเทศแม้ไม่ได้โกรธนั้น ราวกับมีรังสีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องนี้ ถ้าในห้องนี้มีคนที่สี่อยู่ด้วย เขาคนนั้นต้องรู้สึกหายใจแรง และทำตัวไม่ถูกแน่นอน
“มีอำนาจท่วมฟ้าสินะ!”
เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจกับความกดดันที่สัมผัสได้ คนแก่คนนี้ไม่มีพลังวิชาเลย แต่ทำไมเขาถึงมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวด้วย รังสีที่เกิดจากพลังแบบนี้ เกรงว่าฉางเฮ่าที่ฝึกพลังจนถึงระดับโฮ่วเทียน เวลาอยู่ต่อหน้าเขาก็คงไม่กล้าหายใจแรง
แต่เยี่ยเทียนอยู่ระดับไหนแล้ว เขาอยู่ระดับสูงสุดที่ซึ่งมนุษย์ยังพอเข้าใจได้ ถ้าสูงขึ้นอีก ก็คงจะกลายเป็นบุคคลที่ปรากฏตามเทพนิยายกับตำนาน พลังของมนุษย์หาใช่จะล้มเขาได้
เยี่ยเทียนหลุดขำ กล่าวว่า
“ท่านครับ เรื่องที่ไม่เคยทำ ผมคงเอาต้นหอมใหญ่เสียบรูจมูกหมู…แล้วบอกว่าเป็นช้างไม่ได้มั้งครับ”
ยิ้มของเยี่ยเทียนทำให้บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ สลายไปอย่างรวดเร็ว รังสีที่ท่านประธานเยวี่ยแผ่ออกมาหายไปทันทีเช่นกัน ฮานเจิ้งปังที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกโล่งอก
“โอเค ถ้าเธอไม่ได้ทำ ยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับเธอ วันนี้ฉันจับตาเธอไว้แล้ว งานสัมมนาครั้งนี้ เธอไปสักหน่อยเถอะ!”
ท่านประธานเยวี่ยไม่รู้จะทำอย่างไรกับเยี่ยเทียนแล้ว อำนาจบนโลกใบนี้ไม่อยู่ในสายของเขาเลย ส่วนการใช้กำลังหรือข่มขู่คนในครอบครัว เป็นวิธีที่ท่านประธานเยวี่ยไม่แม้แต่จะคิด ถ้าคนที่มีสมองหน่อย จะรู้ว่าการเข้าหาเยี่ยเทียนต้องใช้วิธีตีสนิทไม่ใช่ข่มขู่
“เอาเถอะ ผมเคยตกลงจะช่วยพวกคุณหนึ่งครั้ง ถ้าผมยอมไปครั้งนี้ ต่อไปพวกคุณห้ามมารบกวนผมอีก!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ในเมื่อท่านประธานเยวี่ยมาเชิญด้วยตัวเองขนาดนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ เห็นแก่การดูแลเป็นอย่างดีตลอดหนึ่งปีที่ผ่านจากประเทศ เยี่ยเทียนรู้สึกว่าครั้งนี้เขาจำเป็นต้องไป
“ตกลง เรื่องนี้เดี๋ยวฉันให้เสี่ยวฉางคุยกับเธอ!”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนตอบตกลงแล้ว ท่านประธานเยวี่ยแสดงสีหน้าดีใจออกมา ที่จริงถ้าพูดในระดับประเทศ ความสำคัญของเยี่ยเทียนคือการสยบเท่านั้น ขอแค่เขาแสดงฝีมือเพื่อสยบผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ของต่างประเทศ จุดประสงค์ของท่านประธานเยวี่ยก็เป็นอันว่าสำเร็จแล้ว
“เอาล่ะเยี่ยเทียน งั้นฉันขอตัวกลับก่อน!”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนเก็บการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตไว้หมดแล้ว แต่เวลาอยู่กับเยี่ยเทียน ท่านประธานเยวี่ยก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี อาจเป็นเพราะเขาที่ชินกับการออกคำสั่ง ตอนนี้ น้อยมากที่จะนั่งคุยกับคนอื่นอย่างเท่าเทียม
“ท่านประธานกลับดีดีนะครับ ถ้าไม่มีอะไรทำ ไม่ต้องมาหาผมอีกนะ บ้านผมหลังเล็กนิดเดียว รองรับผู้ใหญ่อย่างท่านไม่ไหวหรอก!”
ตอนที่ส่งท่านประธานเยวี่ยออกไป เยี่ยเทียนพูดงึมงำ ท่านประธานที่ได้ยินถึงกับเดินเซ ถ้าไม่ใช่เพราะฮานเจิ้งปังจับเขาไว้ อาจไม่เห็นเขาอยู่บนหน้าจอทีวีหลายวัน
“ฉัน…ไม่โกรธเธอหรอก!”
ท่านประธานเยวี่ยเขม่นตาใส่เยี่ยเทียน ด้วยตำแหน่งของเขา แม้แต่ข้าราชการท้องที่ยังยากที่จะได้พบ แต่เยี่ยเทียน กล้าขับไล่เขาขนาดนี้ ถ้าคนอื่นรู้เข้า คงอ้าปากตาค้างกันถ้วนหน้าแน่
เสียงของเยี่ยเทียนไม่ดังมาก นอกจากท่านประธานเยวี่ย ก็คงมีแต่ฉางเฮ่าที่ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ฉวนฮวาได้ยินอีกคน แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงก้มหัวและกลั้นหัวเราะ ตอนที่เดินออกจากประตูใหญ่ มือขวาที่ไขว้หลังไว้ชูนิ้วโป้งให้เยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน ท่านนั้นมีธุระให้กับลูกเหรอ”
หลังจากส่งท่านประธานเยวี่ยเสร็จ เยี่ยตงผิงตรงมาหาเยี่ยเทียนทันทีที่เดินกลับเข้าเรือน ถึงแม้ว่าเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องของลูกชายเท่าไหร่ แต่วันนี้คนที่มาคือท่านประธานเยวี่ย หลังจากที่ซ่งเวยหลันที่อยู่ในห้องเดากันไปต่างๆนานา สุดท้ายเยี่ยตงผิงทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงโพล่งออกมา
“พ่อครับ นอกจากคุณตาแล้ว ครั้งหน้าถ้ามีคนแบบนี้มาอีก พ่อบอกว่าผมไม่อยู่นะครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวด้วยท่าทีไม่พอใจเท่าไหร่ แต่พอเห็นท่าทีอยากรู้เรื่องของพ่อ เขาตัดสินใจเล่าให้ฟัง
“ทางการมีปัญหาให้ผมไปช่วยนิดหน่อย เขากลัวผมไม่ยอมไป ก็เลยมาเชิญด้วยตัวเอง”
“แค่นี้เองเหรอ”
เยี่ยตงผิงทำหน้าไม่เชื่อ เขากดเสียงต่ำ พูดว่า
“ไอ้ลูกชาย เขาไม่ได้สั่งให้ลูกไปทำเรื่องลอบฆ่าหรือขโมยข่าวกรองที่ต่างประเทศอะไรแบบนี้ใช่ไหม”
“โถ่พ่อ ผมไม่ใช่เจมส์ บอนด์007 นะ พ่อคิดอะไรเนี่ย”
ตอนคุยกับท่านประธานเยวี่ย เยี่ยเทียนไม่รู้สึกกดดันอะไร แต่พอคุยกับพ่อ เขารู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
“พ่อกับแม่อย่าคิดมากเลย ครั้งนี้ผมไปนานสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือน พ่อกับแม่ช่วยดูแลเว่ยเว่ยกับชิงหย่าแทนผมด้วยนะครับ!”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว หลานชายฉัน ฉันไม่ดูแล แล้วใครดูแล? ไอ้ลูกคนนี้ วิ่งเร็วขนาดนั้นทำไม”
เยี่ยตงผิงตอบรับคำขอเสร็จ กำลังจะถามต่อ กลับพบว่าเจ้าลูกชายวิ่งไปเรือนหลังเรียบร้อยแล้ว เยี่ยตงผิงทำได้เพียงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เพื่อไปรายงานให้หัวหน้าใหญ่ในห้องฟัง
“จะไปจริงเหรอ”
เมื่อกลับมาถึงห้อง อวี๋ชิงหย่าที่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังอุ้มลูกชายอยู่ แต่เจ้าตัวเล็กพอเห็นหน้าเยี่ยเทียน ก็ยื่นมือออกไปและดิ้นไม่หยุด
“เจ้าลูกคนคนนี้ ใครกันแน่ที่อุ้มท้องตั้งสิบเดือน เห็นพ่อแล้วไม่เอาแม่เลยนะ!”
โชคดีที่อวี๋ชิงหย่าเป็นคนใจเย็น ไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใคร แต่ท่าทีของเจ้าลูกชายทำให้เธอโมโหเลือดขึ้นหน้าพอควร เธอป้อนนม เช็ดก้นให้ทุกวัน ยังสู้เยี่ยเทียนผู้ไม่ทำอะไรไม่ได้ มันน่าโมโหจนอยากจะฟาดที่ก้นลูกสักสองสามที
“อิจฉาเหรอ”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงหยุดขำ เขาพูดว่า
“ฉันออกไปไม่กี่วัน ลูกไม่เห็นหน้าเดี๋ยวเขาก็ลืมเอง เธอที่เป็นแม่ ก็ใช้เวลานี้กระชับความสัมพันธ์กับเว่ยเว่ยสิ ถ้าไม่รีบทำ พอถึงเวลาเว่ยเว่ยยังเป็นแบบนี้อีก เธอห้ามโทษฉันแล้วนะ! ”
“จะไปจริงเหรอ ระวังตัวด้วยนะ!”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนบอกแบบนั้น หน้าของอวี๋ชิงหย่าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่แต่งงานกันมา ดูเหมือนว่าเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับเยี่ยเทียนแค่ปีกว่า เธอรู้สึกไม่อยากให้เยี่ยเทียนไป
“สบายใจได้ ฉันจะรีบกลับมานะ!”
เยี่ยเทียนโอวเอวภรรยาเอาไว้ พอกำลังจะพูด คิ้วของเขาก็กระตุก กล่าวว่า
“พวกเขาเป็นคนใจร้อนเสียจริง ไปข้างนอกกันชิงหย่า!”
เยี่ยเทียนไม่ได้วางลูกชายลง อุ้มลูกชายมาถึงเรือนกลางด้วย ฉางเฮ่ามาถึงสักพักใหญ่ พอเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมา เขารีบยื่นซองเอกสารในมือออกไป กล่าวว่า
“คุณเยี่ย เอกสารทั้งหมดอยู่ในนี้แล้วครับ วันและเวลาคือหลังจากนี้สิบวัน คุณจะออกเดินทางวันไหน แจ้งผมได้เลยนะครับ!”
“อยู่ตรงไหน?”
เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะเปิดซองเอกสารที่แปะคำว่า “ความลับ” แต่นำมันมารองให้ลูกชายนั่งแทน ซองนั้นมีความเย็น ช่วงฤดูร้อนแบบนี้มันให้ความเย็นได้ด้วย แน่นอนว่า ถ้าเจ้าตัวเล็กปวดฉี่กะทันหัน ไม่ต้องเปิดถุงนี้ก็ได้
ท่าทีของเยี่ยเทียนฉางเฮ่ามองเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น เขาตอบด้วยความเคารพว่า
“คุณเยี่ย อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ตารางการเดินทางทั้งหมด เราจะจัดการให้คุณครับ!”
“สวิตเซอร์แลนด์เหรอ งั้นออกเดินทางจากปักกิ่งหลังจากนี้อีกแปดวันแล้วกัน!”
พอได้ยินชื่อสถานที่ เยี่ยเทียนนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง
ตอนที่ 890 ศิษย์สำนัก
“ศิษย์พี่รอง เหมาโถวกับเสี่ยวจินสร้างความวุ่นวายให้ไหมครับ”
หลังจากผ่านไปห้าวัน เยี่ยเทียนเดินทางมาถึงคฤหาสน์ในฮ่องกง รวมถึงเจียงซานด้วย สมาชิกของสำนักเสื้อป่านมากันทุกคน จนทำให้ห้องรับแขกที่มีขนาดใหญ่ ดูเล็กลงทีเดียว
เดิมทีเยี่ยเทียนจะไปสวิตเซอร์แลนด์จากปักกิ่ง แต่โจวเซี่ยวเทียนอยากไปเปิดหูเปิดตาที่ยุโรปด้วย เยี่ยเทียนคิดไปคิดมา สุดท้ายยอมตกลงให้ไป ถึงแม้พลังวิชาของลูกศิษย์คนนี้เก่งพอควร แต่ประสบการณ์น้อยมาก พาไปฝึกสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาที่ฮ่องกงก่อน
“อาจารย์ พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลย อาจารย์อย่าเข้าใจฉันกับศิษย์พี่ผิด!”
เหมาโถวกระโดดขึ้นไปบนไหล่เยี่ยเทียน ใช้กรงเล็บข่วนที่หัวของเยี่ยเทียน นี่เป็นนิสัยที่มันทำมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ หรือตอนที่ทำเป็นแกล้งโมโห มันจะใช้วิธีนี้เป็นประจำ
ส่วนสิงห์ขนทองจะใช้วิธีแหงนหน้าขึ้นสูง ไม่มองเยี่ยเทียน แต่ดวงตาคู่นั้นจะหมุนอยู่ตลอดเวลา และเขม่นตาใส่จั่วเจียจวิ้นเป็นพักๆ ท่าทีที่แสดงออกมานั้นคือการเตือนให้อาจารย์ลุงรองอย่าฟ้องความผิดของมัน
จั่วเจียจวิ้นกะพริบตาให้มันทั้งสอง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรหรอก แต่ที่เกาะมีเทพฮว๋าต้าเซียนมาอยู่ด้วย…”
ที่แท้ ตั้งแต่เหมาโถวกับสิงห์ขนทองมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ คนใช้ของคฤหาสน์หลังอื่นในเกาะพบว่า วัตถุดิบอาหารราคาแพงที่พวกเขาจัดเตรียมไว้มักจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างเช่นไข่ปลาคาเวียร์ ที่ราคาไม่ได้แพงธรรมดา คนใช้รายงานให้เจ้านายทราบทันทีที่เกิดเรื่อง จนเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ส่วนกลางปิดหน้าต่างให้ดี การจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง
แต่แล้วเรื่องเหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวดแค่ไหน วัตถุดิบเหล่านั้นก็ยังคงหายไปทุกวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งตับห่านบินไปต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตอนนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์อย่างน้อยสามคน
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเขตคฤหาสน์แบบนี้ คนในเขตต่างรู้สึกหวาดกลัวกันไปหมด บางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจั่วเจียจวิ้น มักจะมาหาเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบ เพราะจั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าเจ้าสัตว์โบราณสองตัวนั้นแหละที่เป็นคนทำ
จั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าเยี่ยเทียนตามใจเหมาโถวมาก ส่วนสิงห์ขนทองมีพลังที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าเขาจะสั่งสอนได้ เขาจึงทำได้เพียงบอกพวกเศรษฐีว่า เทพฮว๋าต้าเซียนมาหา ท่านปกป้องเกาะแห่งนี้ พวกเราห้ามทำให้ท่านไม่พอใจ
พวกเศรษฐีเคารพจั่วเจียจวิ้นเหมือนดั่งเซียนอยู่แล้ว พอได้ฟังเขาพูดแบบนั้น แต่ละคนก็แยกย้ายกลับบ้านไป และนำอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็น วางเอาไว้หน้าประตู ถ้าเทพฮว๋าต้าเซียนมาหาจริง จะทำตัวเป็นคนขี้งกได้อย่างไรกัน
แค่วัตถุดิบอาหาร ไม่ทำให้พวกเขาขนหน้าแข้งร่วงหรอก แล้วเหตุการณ์ปฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ทุกเช้า พวกเศรษฐีที่มักจะไปออกกำลังกาย พวกเขาไม่ไปวิ่ง แต่กลับไปดูอาหารหน้าประตูว่ายังอยู่หรือเปล่า
ถ้าอาหารไม่อยู่แล้ว เจ้านายจะยิ้มดีใจมาก เพราะนั่นแสดงว่าเทพฮว๋าต้าเซียนชื่นชอบในอาหารที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าอาหารยังอยู่ เจ้านายก็จะรู้สึกเศร้าทั้งวัน ในวันที่สองพวกเขาจะจัดอาหารที่ดีกว่าเดิมและวางไว้ข้างนอกอีก
“พวกเจ้าสองคนกลายร่างแล้วหรือ ทำไมถึงรู้จักความหิวด้วย”
เยี่ยเทียนถึงกับจับเหมาโถวลงจากไหล่หลังจากได้ยินสิ่งที่จั่วเจียจวิ้นเล่าให้ฟัง เขาตำหนิว่า
“ดูความอ้วนนี้สิ เหมือนเฟอร์เรตตรงไหน นี่มันแมวอ้วนชัดๆ!”
“อาจารย์ ฉันไม่เกี่ยวนะ ศิษย์พี่สิงห์พาฉันไป”
เหมาโถวทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนสิงห์ขนทองกลับทำหน้าตายไม่กลัวความผิด แต่ตากลับจ้องประตูห้องรับแขกไม่กะพริบ ถ้าสถานการณ์ไม่ปกติ มันจะหนีไปทันที
“เอาล่ะ ออกไปเล่นเถอะ จำไว้นะอย่าพูดอะไรเวลาอยู่ต่อหน้าคน”
วิธีการสอนลูกศิษย์ของเยี่ยเทียนถอดแบบจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวน ก็คือการปล่อยอิสระ เขาจะไม่จำกัดนิสัยธรรมชาติของลูกศิษย์ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อยทั้งสองตัวที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่สามารถใช้ธรรมเนียมปฏิบัติแบบมนุษย์กับพวกมันได้
แล้วปราณวิเศษที่อยู่ในตัวสิงห์ขนทองกับเหมาโถว เข้มข้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก หากให้สัตว์โบราณสำเร็จมหามรรคคงจะยากเกินไป แต่หากมันสามารถเปิดสติปัญญาพิเศษได้ มันฝึกพลังได้เร็วพอๆกับมนุษย์ที่มีพลัง
ความแกร่งของกำลังล้ำหน้ากว่ามนุษย์ และสามารถดูดซึมปราณวิเศษตามอากาศได้โดยตรง พลังของสัตว์สองตัวนี้ ตั้งแต่มาอยู่ริมทะเล ถือว่าคงที่แล้ว สิงห์ขนทองคล้ายว่าจะเพิ่มระดับขึ้นอีก
“เจียงซาน อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
พอไล่ลูกศิษย์ออกไปได้สองคน เยี่ยเทียนหันไปหาหญิงสาวที่นั่งตรงมุมของโซฟา ตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น จนมาถึงวันนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบกับเจียงซาน ตอนที่อวี๋ชิงหย่าตั้งท้อง โจวเซี่ยวเทียนเคยพาเธอกลับปักกิ่ง และประกอบพิธีไหว้ครูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เจียงซานลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดด้วย เธอตอบอย่างมีมารยาทว่า
“อาจารย์คะ ฉันสบายดีค่ะ อาจารย์ลุงกับศิษย์พี่เหลยหู่แล้วก็ศิษย์พี่เซี่ยวเทียน ทุกคนดูแลฉันดีมากเลยค่ะ!”
เมื่อเทียบกับเมื่อสองปีก่อน เจียงซานโตขึ้นมากทีเดียว ตอนนี้น่าจะสูง 1.6 เมตรกว่าแล้ว เด็กสาวในวันนั้นได้กลายเป็นหญิงสาวไปแล้ว คำพูดคำจาอ่อนน้อม เต็มไปด้วยความเป็นกุลสตรี
“หนึ่งปีก่อน ฉันเห็นว่าเธออยู่ระดับพลังแฝงแล้ว ทำไมยังทะลุไม่ถึงระดับพลังสับเปลี่ยนอีกล่ะ” เยี่ยเทียนถอดจิตตรวจสอบเจียงซาน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
ในร่างกายของเจียงซาน มีพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอยู่หนึ่งอย่าง เยี่ยเทียนเคยชี้นำพลังนั้นให้เข้าไปที่ชีพจรของเธอ ด้วยวิธีของศิษย์สำนัก เพื่อหวังว่าพลังนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่พอมาถึงวันนี้ ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่ควร
“ศิษย์น้องเล็ก ถึงแม้ว่าการพัฒนาพลังของเจียงซานจะช้าหน่อย แต่การทำนายกว้า ฉันยังสู้เธอไม่ได้เลย!”
เสียงพูดของเยี่ยเทียนยังไม่ทันหายไป เสียงของโก่วซินเจียก็ดังขึ้นทันที
“จริงเหรอศิษย์พี่ใหญ่ พี่อย่าตามใจเด็กคนนี้จนเกินไปนะครับ!”
เยี่ยเทียนคิ้วกระตุก ถึงแม้ว่าเขาเป็นอาจารย์ของเจียงซาน แต่เขาอยู่ปักกิ่งประจำ ฉะนั้นเจียงซานจึงถูกดูแลโดยศิษย์พี่ทั้งสอง โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่มีครอบครัว เขาจึงดูแลเจียงซานเป็นอย่างดี แทบจะให้เธอได้ทุกอย่าง
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจียงซานทำนายไว้เมื่อเดือนก่อนว่าเธอจะต้องไปข้างนอก ซึ่งเวลาที่ทำนายได้ก็คือวันนี้ เป็นอย่างไร ตรงไหม”
“หืม เจียงซาน เธอใช้ความสามารถพิเศษ หรือใช้กว้าทำนาย”
เยี่ยเทียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลังของเขาที่พัฒนาขึ้นทุกวัน ดูเหมือนว่าความเข้าใจในมหามรรคก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อก่อนเยี่ยเทียนยังพอทำนายเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้เขากลับสัมผัสได้เพียงโชคลาง และไม่สามารถทำนายเรื่องของตัวเองได้เลย
“อาจารย์คะ ฉันใช้วิธีหกเหยาทำนาย”
เจียงซานตอบอย่างฉะฉาน เธอไม่ชอบการนั่งสมาธิ แต่ถ้าทำนายกว้าเธอมีความสนใจมากเป็นพิเศษ ตำราหนังสือที่โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นสะสมไว้ เธอเปิดอ่านแล้วหนึ่งรอบเกือบทุกเล่ม และจำเนื้อหาได้ตั้งแต่อ่านครั้งแรก
“แล้วเธอคิดว่าการเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ของอาจารย์จะเป็นอย่างไร”
เยี่ยเทียนพูดและมองเจียงซาน จากระดับพลังของเยี่ยเทียนในวันนี้ ทำให้เห็นว่าคนที่มีพลังมากยิ่งทำนายยาก เมื่อวานก่อนตอนที่เยี่ยเทียนดูนรลักษณ์ของฮานเจิ้งปัง ปราณแท้ภายในร่างกายพลุ่งพล่านเป็นพัก เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการเปิดเผยความลับของสวรรค์
“ศิษย์น้องเล็ก ให้เธอทำนายโชคลางของน้องได้อย่างไร”
โก่วซินเจียสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่เยี่ยเทียนพูด เพราะเขารู้ว่าเป็นยังไง
“เมื่อวานก่อน เจียงซานทำนายการเดินทางของเธอจนเกือบกระอักเลือด เธออย่าสอนวิชาที่ความสามารถยังไม่ถึงอีก!”
เจียงซานเดินทางไปที่ต่างๆตามแม่เลี้ยงตั้งแต่เด็ก เธอสามารถจำทุกสิ่งได้อย่างแม่นยำ ตอนที่อยู่กับโก่วซินเจีย เธอดูแลคนแก่ที่อยู่โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิตเป็นอย่างดี จนแทบจะมองเธอเป็นหลานสาวแท้ๆไปแล้ว ก็ดูสิ แม้แต่เยี่ยเทียนที่กำลังสอนลูกศิษย์อยู่ เขาก็อยากยุ่งด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเก็บลมปราณหมดแล้ว มหามรรคก็ไม่สามารถมองได้ด้วยเช่นกัน ถ้าไม่อย่างนั้น เจียงซานคงไม่ใช่แค่กระอักเลือดแล้วครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว มองเจียงซาน พูดว่า
“อาจารย์ลุงของเธอพูด ก็ถูก วันหลัง ถ้าไม่ใช่อาจารย์ให้เธอทำนาย เธอห้ามทำนายอาจารย์อีก รวมถึงชะตาของอาจารย์ลุง ศิษย์พี่ด้วย ฟ้าไร้ความรู้สึก ระวังมันจะสะท้อนกลับมาหาเธอ!”
เยี่ยเทียนไม่มีวันลืม ตอนที่เขาเปลี่ยนชะตาชีวิตให้อาจารย์ เจ็ดวันเจ็ดคืน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายครั้ง เขาคงเอาอายุอีกสิบปีนั้นกลับมาไม่ได้ แล้วพลังของเจียงซานยังมีไม่เท่ากับเขาในตอนนั้น จึงต้องระมัดไว้ก่อนจะดีกว่า
เจียงซานมองเยี่ยเทียนและกล่าวด้วยความกลัวเล็กน้อย
“อาจารย์ ฉันรู้การสะท้อนกลับที่ว่า แต่มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น…”
อันที่จริง ตอนที่เจียงซานทำนายจากกว้า พลังลึกลับในร่างของเธอมักจะไปอยู่บนกว้าส่วนหนึ่ง หลังจากรูปแบบกว้าออกมาแล้ว พลังนั่นก็จะทำลายปราณชีวิตไม่ดีบนกว้าออกไป เพราะฉะนั้นผลร้ายที่เธอได้รับไม่รุนแรงเท่าไหร่
“โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ เรื่องมหัศจรรย์มีมากมาย แต่มีคนที่สามารถทำนายล่วงหน้าได้โดยไม่ใช้พลังอย่างงั้นเหรอ”
หลังจากฟังเจียงซานอธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนและคนอื่นงงงวยกันไปหมด เมื่อก่อนเธอไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับโก่วซินเจียและคนอื่นเลย พวกเขาเพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน
“เจียงซาน งั้นต่อไปนี้ต้องระวังแล้วนะ วิชาที่อาจารย์สอน เธอต้องขยันฝึกนะ!”
ความสามารถการทำนายกว้าของเยี่ยเทียน จนถึงวันนี้ก็ยังสู้ศิษย์พี่ทั้งสองคนไม่ได้ ตำแหน่งสำนักเสื้อป่านดูเหมือนไม่ได้มาตรฐานเท่าไหร่ ตอนนี้มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากหนึ่งคน เยี่ยเทียนดีใจมาก
“ค่ะ อาจารย์ สบายใจได้”
เจียงซานเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ตำหนิตน เธอแอบแลบลิ้น และท่าทีของเธอทำให้เธอเหมือนเด็กอายุสิบกว่าขวบ
“เหลยหู่ แล้วช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง แขนขวาของแก เนื้อยังงอกขึ้นมาใหม่ได้ไหม”
หลังจากคุยกับเจียงซานเสร็จ เยี่ยเทียนหันไปหาลูกศิษย์คนที่สองต่อ หลังจากแขนขาดไม่นาน เหลยหู่ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียน แขนขวาที่ขาด มันงอกออกมาแล้วส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นแขนเสื้อด้านซ้ายของเขาไม่ได้ห้อยโตงเตงเหมือนโก่วซินเจีย
ตอนที่ 891 การกุศล
“อาจารย์ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันคงไม่งอกใหม่แล้วล่ะ”
เหลยหู่ส่ายหัวในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด แต่สีหน้าไม่เปลี่ยน หลังจากที่พลังอยู่ระดับเซียนเทียน เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน อย่าว่าแต่มือขาดไปหนึ่งข้าง ขาขาดหนึ่งข้างเขาก็ยอม
โดยเฉพาะช่วงก่อนที่กลับไปซานฟรานซิสโก เหลยหู่รู้สึกดีใจกับท่าทางตกตะลึงของพ่อตอนที่เห็นพลังวิชาของเขา โตจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากพ่อ ความรู้สึกนี้มันดีมาก
“ที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยซะทีเดียว แขนของแกกับศิษย์พี่ใหญ่ที่ขาดไป ถ้าจะให้งอกออกมา ก็ยังพอมีหวัง”
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกบางอย่าง ถ้าเขาฝึกถึงระดับจินตัน สำเร็จมหามรรค เขาจะควบคุมทุกชิ้นส่วนของร่างกายได้ทั้งหมด แล้วถ้าแขนขาด จะให้เนื้องอกใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเยี่ยเทียนเท่านั้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไรเขาไม่กล้ายืนยัน
“ของฉันช่างมันเถอะ สิบกว่าปีมานี้ ฉันชินแล้วล่ะ เหลยหู่นี่สิยังหนุ่ม ถ้ามีความหวัง ก็ต้องลองดูก่อน”
โก่ววินเจียยิ้มและส่ายหัว กล่าวว่า
“เหลยหู่เป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว มาอยู่ที่ฮ่องกงได้หนึ่งปีกว่า แต่ทำทุกอย่างได้ดีมาก หากจะให้เขารับผิดชอบสำนักเสื้อป่านละก็ พวกเราคงเบาใจไปได้เยอะเลยล่ะ…”
ในฐานะเคยเป็นเจ้าตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมิน ตอนที่เหลยหู่เพิ่งมาถึงฮ่องกง เป็นเรื่องฮือฮาสำหรับชาวจีนสมาคมต่างๆ ที่มีหน้ามีตาต่างพากันส่งบัตรเชิญ ส่วนเหลยหู่ก็ทำการก่อตั้งสำนักเสื้อป่านอย่างไม่เกรงใจ!
แน่นอนว่าฮ่องกงไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่น สมาคมที่มีสังคมเป็นกลุ่มจะไม่สามารถก่อตั้งได้ แต่สำนักเสื้อป่านขึ้นทะเบียนเป็นร้านแพทย์แผนจีนที่มีลักษณะการกุศล และมีรากฐานที่มั่นคงได้ก็เพราะชื่อเสียงของเหลยหู่กับเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลจากสำนัก
สาเหตุที่สมาคมหงเหมินในต่างประเทศมีความมั่นคง เพราะนอกจากมีการพัฒนากำลังด้านศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงสมาคมด้วย ในฐานะที่เคยเป็นผู้อาวุโสคนสำคัญแห่งสมาคมหงเหมิน เหลยหู่ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ เขาปูทางเพื่ออนาคตให้กับสำนักเสื้อป่านโดยใช้เวลาแค่หนึ่งปีนิดๆ
ตอนนั้นเยี่ยเทียนทิ้งทองคำไว้ให้หลายตันเพื่อให้เป็นเงินหมุนเวียนของสำนักเสื้อป่าน เหลยหู่ใช้เงินเหล่านี้รับซื้อกิจการที่มีเงินหมุนเวียนดี รับสมัครผู้จัดการมืออาชีพคอยจัดการดูแล
จากนั้นใช้ชื่อของสำนักเสื้อป่าน เปิดโรงเรียนการกุศลสองแห่งที่ฮ่องกง รับเด็กเร่ร่อนและเด็กกำพร้าจากสถานที่ต่างๆ อายุของเด็กเหล่านั้นอยู่ระหว่าง 8-12ปี
วิชาเรียนนอกจากเปิดการเรียนการสอนปกติแล้ว ยังมีวิชาคัมภีร์โจวอี้ แผนผังแปดทิศ วิชาเสื้อป่าน การทำนายเป็นต้น ล้วนแต่จัดสอนโดยโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น หลังเปิดแล้วกว่าครึ่งปี ทำให้เห็นว่ามีนักเรียนที่มีพรสวรรค์อยู่หลายคนเหมือนกัน
หากเป็นไปตามแผนที่เหลยหู่วางเอาไว้ เด็กกำพร้าที่มีพรสวรรค์จะถูกรับเข้าสำนักเสื้อป่านทันที ส่วนที่เหลือก็จะเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของสำนักเสื้อป่าน รอผ่านไป6-7ปี เด็กเหล่านี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า และรับช่วงต่อธุรกิจเหล่านั้นได้เลย ต่อไปสำนักเสื้อป่านก็จะมีกำลังเป็นของตัวเอง มีวงจรเชิงบวกที่สมบูรณ์
วิธีการดำเนินงานของสำนักเสื้อป่าน ได้รับคำชมมากมายจากผู้คนหลายอาชีพของฮ่องกง สมาคมท้องถิ่นเองก็สบายใจมากขึ้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมเหลยหู่ถึงต้องทำการกุศลถึงฮ่องกง แต่ว่าอย่างน้อยสำนักเสื้อป่านก็ไม่มีผลกระทบใดใดกับพวกเขา
ส่วนโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้น นอกจากจะชื่นชมการกระทำของเหลยหู่แล้ว เขาสองคนยังมีความรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเยี่ยเทียนทิ้งทองคำไว้หลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะเหลยหู่มาที่ฮ่องกง พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าจะพัฒนาสำนักให้เจริญได้อย่างไร
“อืม ทำดีมาก ฝึกสักสองสามคน ต่อไปแกก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่และชื่นชมเขา คนคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย แค่ต้องดูว่าจะควบคุมเขาได้หรือไม่ แล้วเหลยหู่ที่สามารถดูแลตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมินได้ ก็ไม่ใช่เพราะเหลยเจิ้นเทียนซะทีเดียว ความสามารถส่วนตัวของเขาก็เก่งเหมือนกัน
“ครับอาจารย์ แต่ว่าตอนที่รับลูกศิษย์ อาจารย์ต้องมาดำเนินพิธีนะครับ!”
ตอนที่เหลยหู่วางมือจากสมาคมหงเหมิน เพิ่งจะ 40 ต้นๆ ตอนนี้เขาสามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง และทำได้ดีมากด้วย เหลยหู่ลังเลไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“อาจารย์ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับอาจารย์หน่อยครับ”
“อืม เรื่องอะไร”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ”
เหลยหู่กล่าว
“พรุ่งนี้จะมีงานประมูลการกุศล จัดขึ้นโดยท่านเซอร์เฮ่อในฮ่องกง สำนักเสื้อป่านของเราได้รับคำเชิญด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าเงินบริจาคควรอยู่ที่เท่าไหร่ครับ”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนมอบหน้าที่ดูแลสำนักเสื้อป่านให้เหลยหู่ตั้งแต่หนึ่งปีก่อน และเคยพูดว่าให้เขาบริหารจัดการเรื่องเงินทองด้วย แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ที่ฮ่องกง ตอนนี้เยี่ยเทียนอยู่ตรงนี้ เหลยหู่จึงต้องขอคำแนะนำจากเยี่ยเทียน
“ฉันเคยบอกแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถามฉันก็ได้”
เยี่ยเทียนยิ้มกล่าวว่า
“เหลือเงินกินข้าวไว้ก็พอ อย่าบริจาคจนหมดล่ะ นอกนั้นจะใช้ยังไงก็จัดการเอาเอง”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันละครับ อาจารย์วางใจได้เลยครับ สำนักเสื้อป่านจะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน”
เหลยหู่ยิ้มตาม ด้วยชื่อเสียงของเขากับเงินทองของเยี่ยเทียน ถ้าไม่สามารถทำให้สำนักรุ่งเรืองได้ เขายอมชนเต้าหู้จนตายดีกว่า
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนอารมณ์ดีพอควร เหลยหู่พูดต่อว่า
“อาจารย์ครับ ไหนๆอาจารย์ก็อยู่ฮ่องกง พรุ่งนี้ไปร่วมงานประมูลการกุศลด้วยกันสิครับ”
ตั้งแต่มาถึงฮ่องกง เหลยหู่เพิ่งรู้ว่าเยี่ยเทียนมีชื่อเสียงมากในแวดวงมหาเศรษฐีแห่งฮ่องกง นอกจากถังเหวินหย่วนแล้ว อย่างเช่นหลี่เชาเหริน เถ้าแก่หวาเซิ่ง หลังจากที่ได้ข่าวว่าสำนักเสื้อป่านเป็นกิจการของเยี่ยเทียน พวกเขาก็สนันบสนุนอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นถ้าเยี่ยเทียนไปร่วมงานประมูล จะเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้กับสำนักเสื้อป่านได้อีก
“ได้สิ พรุ่งนี้อาจารย์จะไปกับแก เซี่ยวเทียนก็ไปด้วยกันสิ”
เยี่ยเทียนตอบรับ ที่จริง ตำแหน่งเจ้าสำนักเสื้อป่านเขายังทำได้ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อย เกรงว่า คงไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้วจริงๆ
หลังจากกำหนดการของวันพรุ่งนี้ถูกจัดไว้หมดแล้ว เยี่ยเทียนส่งเสียงเรียกเหมาโถวกับเสี่ยวจินกลับมา วันนี้เป็นวันที่คนของสำนักเสื้อป่านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนกินข้าวเย็น เยี่ยเทียนอันเชิญภาพอาจารย์หลี่ซั่นหยวน และนำทุกคนเคารพกราบไหว้
งานประมูลการกุศลในวันถัดไปจัดขึ้นช่วงดึก ช่วงกลางวันเยี่ยเทียนนั่งสอนลูกศิษย์ในค่ายกลชุมนุมพลัง
พลังของเยี่ยเทียนห่างจากบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคเพียงเล็กน้อย เขารู้ในกฏแห่งธรรมชาติ ประสบการณ์ที่กล่าวออกมา แม้แต่โก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้น ก็ยังฟังจนเคลิ้มตาม ส่วนโจวเซี่ยวเทียนที่พลังปราณชีวิตดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงเป็นปราณแท้แล้ว เหลือแค่สติที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเป็นจิตดั้งเดิม เมื่อฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าได้ความรู้มากมาย จนสามารถทะลุถึงระดับเซียนเทียนได้ทุกเมื่อ
พอเยี่ยเทียนสอนจบ โก่วซินเจียถึงกับอดชมไม่ได้ว่า
“ศิษย์น้องเล็ก คำสอนของเธอเบิกความสว่างทางสติปัญญามาก!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ชมเกินไป ถ้าจะพูดเรื่องระดับจิตใจ ผมเทียบศิษย์พี่ไม่ได้เลยครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกมือ หันไปหาเหลยหู่กับโจวเซี่ยวเทียนที่ดูเหมือนจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว กล่าวว่า
“ยังมีเวลาอีกเยอะ ศิษย์พี่ใหญ่ เดี๋ยวผมไปร่วมงานประมูลการกุศลอะไรนั่นก่อนนะครับ”
“นี่ เหลยหู่ มันก็อยู่ในเกาะไม่ใช่เหรอ เดินไปก็ได้มั้ง ทำไมต้องขับรถไปด้วย”
รถแล่นออกมาไม่กี่นาที จากนั้นก็เลี้ยวขวาและแล่นต่อไปยังทางขึ้นเขาอีกเส้นหนึ่ง ปลายทางของเส้นทางนี้มีประตูบานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ ข้างในนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย ซึ่งมองเห็นตั้งแต่ระยะไกล
“อาจารย์ คนฮ่องกงให้ความสำคัญเรื่องภาพพจน์มาก ถ้าพวกเราเดินมาที่นี่ ชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านคงด้อยลงแน่ๆ”
เหลยหู่ยิ้ม กล่าวว่า
“ท่านเซอร์เฮ่อไม่ใช่คนทั่วไป เขาเป็นถึงท่านเซอร์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชินีอังกฤษ แม้ความร่ำรวยจะไม่อยู่อันดับหนึ่งในฮ่องกง แต่ชื่อเสียงไม่ด้อยกว่าคุณหลี่เลย บางทีอาจจะมีชื่อเสียงมากกว่าด้วยซ้ำไป…”
ตำแหน่งท่านเซอร์มีต้นกำเนิดมาจากสหราชอาณาจักร ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลเพื่อรักษาความสงบของชุมชน ป้องกันการลงโทษที่ผิดกฎหมาย ฮ่องกงในฐานะที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงยังใช้ระบบเดิมอยู่
หน้าที่หลักของท่านเซอร์ของฮ่องกงคือเยี่ยมชมสถานที่กักขังเช่นเรือนจำ ยอมรับข้อร้องเรียนจากผู้ถูกควบคุมตัว หลีกเลี่ยงบทลงโทษที่นอกเหนือจากศาลกำหนด
รวมถึงการกำกับและยอมรับคำปฏิญาณและคำประกาศของประชาชน เพื่อให้คำปฎิญาณและคำประกาศของพวกเขามีผลทางกฏหมาย ขอบเขตงานส่วนนี้จะเป็นส่วนที่คุ้นเคยกันมากที่สุด จะเห็นได้บ่อยจากทีวีเป็นประจำว่า ทุกครั้งที่ประกาศผลลอตเตอรี่ฮ่องกง ร่วมกับตัวแทนขององค์กรที่ให้การสนับสนุน เช่น สมาคมการแข่งม้าแห่งฮ่องกง พวกเขามีหน้าที่ดูแลผลการจับฉลาก
ก่อนฮ่องกงกลับสู่จีน ตามกฏหมายของฮ่องกง ท่านเซอร์ทำหน้าที่เหมือนกับประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ต้องมีการพิจารณาคดี หรือเป็นลูกขุนเพื่อตัดสินว่านักโทษมีความผิดหรือไม่ แต่ตอนนี้ หน้าที่นี้ถูกแทนที่ด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีสิทธิชี้ขาดตามคุณสมบัติทางกฎหมายไปแล้ว
นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ผ่านมา ชาวฮ่องกงถือว่าท่านเซอร์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในชุมชนจึงบริจาคเงินหรือดำรงตำแหน่งราชการ เพื่อที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านเซอร์
แล้วต้นศตวรรษที่ผ่านมา ท่านเซอร์ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในนามของราชินีแห่งอังกฤษ ซึ่งผู้นั้นจักต้องเป็นคนที่มีผลงานดีเด่นด้านสังคม หรือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่อง ถึงจะได้รับเกียรตินี้
แต่ว่าตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่จีนแล้ว ระบบท่านเซอร์แม้ว่าจะรักษาให้คงอยู่ต่อได้ แต่อำนาจของพวกเขากลับถูกแทนที่ด้วยประธานบริหารของฮ่องกงไปแล้ว ประธานบริหารมีอำนาจให้สิทธิผู้ที่สมควรจะเป็นท่านเซอร์ และเรียกตำแหน่งคืนหากมีเหตุผลที่สมควร
ส่วนท่านเซอร์เฮ่อที่เหลยหู่กล่าวถึง มีเบื้องหลังใหญ่มาก เขาเป็นถึงผู้สืบทอดของเหอตุงผู้ร่ำรวยที่สุดของฮ่องกงในสมัยนั้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันตระกูลเหอจะแยกย้ายไปทำธุรกิจของตัวเองกันหมด แต่ชื่อเสียงของตระกูลนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวจีนผู้ร่ำรวยของฮ่องกงเท่าไหร่
ตอนที่ลงจากรถ เยี่ยเทียนหยิบเช็คที่เขียนจำนวนตัวเลขยาวพรืดออกมา ยื่นให้เหลยหู่ กล่าวว่า
“กฏแห่งฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว ช่วงนี้ในประเทศมีภัยบัติมากมาย เงินห้าสิบล้านดอลล่าร์นี้บริจาคออกไปในนามของสำนักเสื้อป่านเถอะ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น