ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 886-887

 ตอนที่ 886 จักรพรรดิเจียง

 

องครักษ์รอบพระราชวังเห็นคนเหล่านี้ก็เผยสีหน้าเคารพ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกเซียนที่เป็นข้ารับใช้ของราชวงศ์แคว้นเจียง ในสายตาเหล่าองครักษ์อีกฝ่ายเป็นผู้มีพลังยิ่งใหญ่ ตำแหน่งขุนนางที่ได้รับพระราชทานก็สำคัญอย่างที่สุดด้วย


แม้ราชวงศ์แคว้นเจียงเป็นตระกูลผู้ฝึกฝนแห่งหนึ่งเช่นกัน แต่ตลอดมาจักรพรรดิที่นั่งบนบัลลังก์ล้วนเป็นศิษย์มนุษย์ธรรมดาผู้ไร้พลังเวท ส่วนผู้ที่ควบคุมราชวงศ์อยู่อย่างแท้จริงก็คือพวกผู้ฝึกฝนระดับสูงในตระกูลซึ่งส่วนใหญ่ล้วนซ่อนตัวอยู่หลังม่าน ไม่โผล่หน้าออกมาง่ายๆ


ส่วนเหล่าข้ารับใช้ของราชวงศ์ก็เป็นคนที่ตระกูลตั้งใจส่งมาปกป้องอำนาจราชวงศ์


นี่เป็นประเพณีนิยมในแคว้นของมนุษย์ธรรมดาทั้งหมดบนแผ่นดินจงเทียน ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่มีคำกล่าวบอกต่อกันมาว่า เมื่อผู้ฝึกฝนนั่งบนบัลลังก์ โชคชะตาของแคว้นแห่งนั้นจะค่อยๆ ตกต่ำลง


แต่ไหนแต่ไรความเป็นไปของโชคชะตาล้วนยากแท้หยั่งถึง แม้เป็นนิกายใหญ่ทั้งหลายในตำนานผู้ควบคุมแผ่นดินจงเทียนก็ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นพิเศษตลอดมา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงตระกูลผู้ฝึกฝนธรรมดาเลย


ในเวลาเดียวกันนี้ นอกเมืองหนานหลูลำแสงเส้นหนึ่งก็วาดผ่านท้องฟ้าร่อนลงในป่าทึบห่างจากเมืองไปราวหนึ่งลี้กว่า จากนั้นกะพริบไม่กี่ครั้งก็หายวับไป


หลังจากนั้นเงาคนสองร่างก็พุ่งออกมาจากป่าทึบอย่างว่องไวและมุ่งเร็วรี่ไปทางเมืองหนานหลู


เวลาผ่านไปไม่นานเงาคนทั้งสองก็ร่อนลงบนกำแพงเมืองของเมืองหนานหลูจุดหนึ่งที่ไม่มีคนเฝ้าอย่างเงียบเชียบแล้วชะเง้อมองไปด้านใน พวกเขาคือหลิ่วหมิงกับเซียเอ๋อร์นั่นเอง


“ที่นี่คือเมืองหนานหลู เอ๋? ดึกป่านนี้แล้ว ฝั่งนั้นทำไมยังเอะอะเช่นนั้น?” เซียเอ๋อร์มองไปด้านในสองสามหน ทันใดนั้นก็มองไปทางพระราชวังที่จุดโคมไฟสว่างไสวอย่างตกตะลึง


“ด้านนั้นน่าจะเป็นที่ตั้งพระราชวังของเมืองหนานหลู” สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น


แผนที่ซึ่งเขาซื้อมาจากตลาดถงหยางระบุลักษณะของเมืองหนานหลูไว้อย่างละเอียด แต่ตอนนี้เวลาเที่ยงคืน ด้านนั้นกลับจุดโคมไฟสว่างไสว ประหลาดอยู่บ้างจริงๆ


เขากวาดจิตสัมผัสเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พบว่าในวังมีทหารสวมเกราะยืนเรียงราย แล้วเหมือนจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอีกด้วย เห็นชัดว่าไม่ปกติจริงๆ…


หลิ่วหมิงกดฝ่ามือบนอากาศครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยท่องมนตร์แผ่วเบา วงกระเพื่อมสีดำแผ่ขยายออกมาจากในดวงตาของเขาอีกครั้ง ชั่วครู่ให้หลังก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นว่า


“ปีศาจพันมายาผู้นั้นน่าจะหลบอยู่ในพระราชวัง ดูท่าครั้งนี้เขาคิดจะอาศัยความโกลาหลในเมืองมนุษย์แห่งนี้หลบซ่อนการไล่ล่าสังหารของพวกเรา”


“นายท่าน ข้าจำได้ว่ากฎนิกายของนิกายยอดบริสุทธิ์บอกไว้ว่าผู้ฝึกฝนไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโลกปุถุชนมากเกินไป พวกเราเข้าไปเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ?” เซียเอ๋อร์เอ่ยอย่างกังวลอยู่บ้าง


“ไม่เป็นไร ข้าจับตำแหน่งของปีศาจพันมายาได้คร่าวๆ แล้ว ขอเพียงจับตัวเขาออกมาได้ คิดว่าราชวงศ์แคว้นเจียงก็คงไม่ยอมให้ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้หรอก” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นปราณดำบนร่างพลันส่องสว่างพาเซียเอ๋อร์เหาะไปทางพระราชวัง


ณ ตำหนักหกเหลี่ยมด้านในพระราชวัง บุรุษวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์ผ้าไหมสีเหลืองสว่างซึ่งเป็นร่างแปลงของปีศาจพันมายาผู้นั้นกำลังเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นุ่มตัวหนึ่ง สีหน้าเซื่องซึม บนใบหน้ามีสีเขียวคล้ำเล็กน้อยดูไม่ปกติ


ผู้ฝึกฝนชุดยาวสีแดงที่เป็นข้ารับใช้แห่งแคว้นเจียงหลายคนนั้นยืนอยู่ข้างเก้าอี้นุ่ม ปลายนิ้วมือบนมือข้างหนึ่งของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เคราขาวตรงกลางผู้นั้นทอแสงสีขาว วนไปมาบนร่างของปีศาจพันมายา หลังจากครู่หนึ่งเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น


“เจียงหลี เห็นหน้าตาของคนผู้นั้นที่ทำร้ายเจ้าชัดหรือไม่?”


“เรียน…เรียนผู้อาวุโสใหญ่ ข้าตกใจตื่นขึ้นจากฝัน ทั้งยามนั้นในห้องมืดสนิทไปหมด ข้าจึงมองเห็นเพียงเงาสีดำขมุกขมัวร่างหนึ่งเคลื่อนไหวเร็วอย่างที่สุด เขายิงแสงสีดำสายหนึ่งลงบนร่างข้า หลังจากนั้นข้าก็ไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว” เจียงหลีที่เป็นร่างแปลงของปีศาจพันมายาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางอ่อนระโหยอย่างยิ่ง


ผู้ฝึกฝนหลายคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินพลันสบตากันทีหนึ่ง ดวงตาเผยแววตาสงสัยแต่กลับไม่เอ่ยออกมา


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เก็บแสงสีขาวที่มือไป หลังจากนั้นปราณสีน้ำเงินเข้มสายแล้วสายเล่าก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะของเจียงหลี สีเขียวคล้ำบนใบหน้าถดถอยลงตาม ดูแล้วสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่มองประเมินเจียงหลีจากหัวจรดเท้าครั้งหนึ่ง จากนั้นล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากตัว เทโอสถเม็ดหนึ่งให้เขากินเข้าไป


“แค่พิษกร่อนศพธรรมดาเท่านั้น ข้าขับพิษออกไปแล้ว พักผ่อนสักครู่ก็จะหายดีอย่างรวดเร็ว” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เอ่ยเช่นนี้ออกมานิ่งๆ


“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่ยิ่งนัก!” เจียงหลีเอ่ยเหมือนยังตกอยู่ในความกลัว


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่โบกมือด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจแล้วไม่สนใจจักรพรรดิมนุษย์ผู้นี้อีก หลังจากเขาส่งสายตาให้ผู้ฝึกฝนที่เหลือแล้ว พวกเขาก็เดินออกไปนอกห้องอย่างพร้อมเพรียง


“พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้?”


หลังพวกเขาออกจากห้องมา ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ก็สะบัดแขนเสื้อ ปล่อยเขตแดนกั้นเสียงอันหนึ่งครอบพวกเขาไว้ด้านในแล้วเอ่ยปากถาม


“มือสังหารคนนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนคนหนึ่ง ไม่ว่าพลังระดับใด อีกฝ่ายก็น่าจะไม่ได้คิดเอาชีวิตเจียงหลีจริงๆ มิเช่นนั้นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอย่างเขาคงตายไปไม่รู้กี่พันกี่ร้อยครั้งแล้ว” บุรุษหนุ่มเส้นผมสีเหลืองทองคนหนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงไม่เกรงใจจักรพรรดิแคว้นเจียงสักนิด


นี่ก็ไม่แปลก ตลอดมากลุ่มผู้ฝึกฝนล้วนมีท่าทีดูแคลนมนุษย์ธรรมดาที่อายุขัยสั้นและพละกำลังอ่อนแอทั้งสิ้น แม้เจียงหลีเป็นประมุขแห่งแคว้นหนึ่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


“เรื่องนี้เห็นชัดเจนยิ่ง ถ้าเช่นนั้นการกระทำนี้ของฝ่ายนั้นมีเป้าหมายอะไร? หรือต้องการเตือนพวกเราตระกูลเจียง? เพราะเรื่องปริมาณหยกมังกรหวน หลายปีนี้พวกเราตระกูลเจียงล่วงเกินกลุ่มอำนาจไปไม่น้อยจริงๆ…” คนพูดคือสตรีสาวเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งชุดข้ารับใช้ตัวใหญ่ไม่อาจบดบังเรือนร่างอรชรของนางไว้ได้


“ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ดีเลวอย่างไรเจียงหลีก็ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิของแคว้นเจียง ในเมื่อตระกูลวางตัวให้พวกเราเป็นผู้ฝึกฝนที่รับใช้ราชวงศ์ก็จะปล่อยให้เขาเกิดเรื่องไม่ได้ หลายวันนี้พวกเราหลายคนคงต้องลำบากเฝ้าที่นี่ไว้สักหน่อย หลังจากนี้ต้องแน่ใจว่ามีคนปกป้องอยู่ข้างกายเขาทุกวัน หลายปีนี้พวกเราละเลยมากเกินไปอยู่บ้างจริงๆ” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่โบกมือ แล้วเอ่ยเสียงเข้มขัดคำพูดของสตรีเยาว์วัย


ได้ยินคำพูดนี้ของผู้เฒ่า สตรีเยาว์วัยก็หน้าบึ้งมีสีหน้าคล้ายไม่พอใจ


ชายหนุ่มผมทองมองนาง สตรีสาวจึงเปลี่ยนสีหน้าในทันที สุดท้ายก็จำยอมพยักหน้า


ชายฉกรรจ์หน้าดำรูปร่างประหนึ่งหอคอยเหล็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยปากพูดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงฟังอยู่นิ่งๆ


ด้านในห้องปีศาจพันมายายังคงนอนอยู่บนเก้าอี้นุ่ม สีหน้าไร้เรี่ยวแรง สายตาเหลือบไปด้านนอกตำหนักเป็นระยะ ลึกลงไปในดวงตาฉายประกายประหลาดไม่หยุด


จากนั้นเขาก็หลับตาสองข้างลงคล้ายกำลังสัมผัสอะไรบางอย่าง


“ไล่ตามมาจริงๆ น่าชัง! หากไม่ใช่เพราะจั่วกงเฉวียนเจ้าคนหัวหดคนนั้นทำให้ทะเลจิตวิญญาณของข้าเสียหาย ข้าไยต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่!” ปีศาจพันมายาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเคียดแค้น


ในเวลานี้เองแรงกดดันจิตวิญญาณมโหฬารอย่างที่สุดสายหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างเหิมเกริม พริบตาเดียวล้อมพระราชวังทั้งหมดไว้ด้านใน


แรงกดดันจิตวิญาณเย็นเยียบดุดันทิ่มแทงกระดูก ไม่ว่าผู้ใดล้วนสัมผัสได้ว่าผู้มาเยือนไม่ได้มีเจตนาดี


ด้านนอกตำหนักหกเหลี่ยม เหล่าผู้ฝึกฝนรู้สึกว่าทั่วร่างหนักอึ้ง ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สิบนิ้วที่สองมือแปรเปลี่ยนไม่หยุด เมื่อแสงรัศมีสีแดงรอบร่างสว่างขึ้นวูบหนึ่งจึงหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ ส่วนสามคนที่เหลือร่างกายไม่อาจขยับได้สักนิด


สตรีเยาว์วัยที่พลังต่ำที่สุดผู้นั้นยิ่งแทบจะคุกเข่าลงไป


ขณะที่พวกเขาหน้าซีดเผือดมองหน้ากันอยู่นั่นเอง เงาสีดำร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ลอยอยู่บนท้องฟ้านอกตำหนักหกเหลี่ยม


เวลานี้ทหารสวมชุดเกราะที่อยู่รอบตำหนักต่างนอนล้มระเกะระกะอยู่บนพื้น ตกอยู่ในสภาวะกึ่งหมดสติ พวกเขาเป็นเพียงทหารมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ร่างกายไม่ระเบิดตายเพราะแรงกดดันจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ทันที สาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะผู้ที่มาเยือนจงใจออมมือไว้


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด ในฐานะผู้ฝึกฝนระดับผลึกเขาเข้าใจถึงความน่ากลัวของผู้มาเยือนมากกว่าใคร ทว่าในหมู่คนที่นี่ พลังของเขาสูงที่สุดต่อให้อยากหลบก็หลบไปไม่ได้


เขาได้แต่กัดฟัน มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาแล้วเหาะขึ้นมาหยุดห่างจากเงาคนสีดำหลายจั้ง ก่อนจะค้อมกายคำนับเอ่ยว่า


“ผู้เยาว์เจียงชิงข้ารับใช้แห่งราชวงศ์แคว้นเจียง ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสให้เกียรติมาเยือนจึงไม่ทันได้มาต้อนรับแต่แรก โปรดอย่าได้ถือโทษ!”


คนผู้นี้พลังบรรลุระดับผลึกขั้นกลางแล้ว ในตระกูลก็นับเป็นคนที่มีตัวตนคนหนึ่ง ถึงจะมองพลังที่แน่ชัดของหลิ่วหมิงไม่ออก ทว่าเขาเห็นโลกมามากผิดจากสามคนที่เหลือ ดังนั้นหลังสัมผัสแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ทำให้คนหายใจไม่ออกสายนั้นแล้ว เขาจึงรู้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้


สามคนที่เหลือประหนึ่งตื่นจากฝัน รีบค้อมกายคำนับตามผู้เฒ่าทันที


รอบร่างเงาคนสีดำมีหมอกสีดำจางๆ ห้อมล้อมอยู่แลดูลึกลับยิ่งนัก เพราะหมอกดำพวกเขาจึงมองหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ชัด ทว่าพวกเขาสี่คนล้วนสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาที่กวาดมองมา


ทั้งสี่คนรู้สึกว่าร่างกายเย็นวูบ พวกเขาเงียบสนิทราวกับจักจั่นยามเหมันต์อย่างฉับพลันทันใด


“ข้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์” แน่นอนว่าผู้มาเยือนก็คือหลิ่วหมิง สายตาเขากวาดมองบนร่างทั้งสี่คนแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“ที่แท้เป็นผู้อาวุโสจากนิกายยอดบริสุทธิ์นี่เอง พวกเราเสียมารยาทแล้ว ไม่ทราบผู้อาวุโสมาเยือนพระราชวังแคว้นเจียงของพวกเรามีธุระสำคัญประการใด?” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ได้ยินหลิ่วหมิงแจ้งว่าตนเป็นผู้ฝึกฝนของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เอ่ยขึ้นอย่างโล่งอกทันที


นิกายยอดบริสุทธิ์ในฐานะหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์ นิกายมีข้อห้ามชัดเจน ศิษย์ในสำนักย่อมไม่ใช่พวกชอบเข่นฆ่า


“ข้าตามจับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนหนึ่งอยู่จึงไล่ตามรอยมาจนถึงที่แห่งนี้” สายตาของหลิ่วหมิงจับอยู่ที่ตำหนักหกเหลี่ยมเบื้องหลังทั้งสี่คนแล้วเอ่ยเรียบๆ


เขาสัมผัสได้ว่าปีศาจพันมายากำลังหลบซ่อนอยู่ในตำหนักหลังนี้


“ผู้ฝึกฝนฝ่ายอธรรมหรือ?” ทั้งสี่คนได้ยินคำนี้ก็ล้วนตกตะลึงจนอดไม่ได้มองหน้ากัน


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เห็นทิศทางที่หลิ่วหมิงมองไป สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เขารีบกวาดจิตสัมผัสไปด้านในตำหนักเบื้องหลัง ชั่วครู่ให้หลังจึงถอนหายใจโล่งอก


ในตำหนักนอกจากเจียงหลีจักรพรรดิผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนี้ก็มีเพียงนางกำนัลไม่กี่คน ไม่มีผู้อื่นแอบซ่อนตัวอยู่อีก


“ผู้อาวุโส ที่แห่งนี้คือห้องบรรทมของจักรพรรดิแคว้นเจียงของพวกเรา ตอนนี้ด้านในมีเพียงนางกำนัลไม่กี่คน คิดว่าคงไม่มีผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่ผู้อาวุโสต้องการตามหา” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เผยสีหน้าลำบากใจออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็ไม่ได้หลีกทางให้


สามคนที่เหลือมองผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ครั้งหนึ่ง สีหน้าล้วนซีดอยู่บ้างแต่ไม่ได้พูดอันใดออกมาเช่นกัน


“จักรพรรดิหรือ? ฮ่ะๆ เป็นเช่นนี้เอง นี่น่าสนใจไม่น้อย พวกเจ้าหลบไปเถิด คนที่ข้าตามหาก็คือจักรพรรดิแคว้นเจียงองค์นี้ หากคาดไม่ผิดเขาก็คือผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนนั้นที่ข้าต้องการตามหา” หลิ่วหมิงฟังคำพูดของเขาแล้วดวงตาฉับพลันทอประกาย หัวเราะหยันออกมาสองสามครั้ง


“อะไรนะ? นี่เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่ข้าตรวจร่างกายของเจียงหลีด้วยตนเอง บนร่างเขาไม่มีพลังเวทแม้แต่นิด เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น จริงสิ วันนี้พระราชวังแคว้นเจียงของพวกเรามีมือสังหารคนหนึ่งลอบเข้ามาทำร้ายองค์จักรพรรดิ หรือผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่ผู้อาวุโสต้องการตามหาจะเป็นมือสังหารผู้นั้น?” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ตกตะลึงกับคำพูดของเขาจึงลนลานตอบกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

 


ตอนที่ 887 จนมุม

 

“มือสังหารหรือ? เฟ่ยอี๋ผู้นี้เล่นละครเก่งทีเดียว!”


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นแววตาก็เย็นชาขึ้นแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ดังว่าเดิมว่า


“คนที่ข้าไล่ล่าสังหารมีนามว่าเฟ่ยอี๋ เขาคือผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่ผู้คนเรียกขานกันว่าปีศาจพันมายา นามนี้คิดว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินกระมัง? คนผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชามายา พลังของพวกเจ้าไม่เพียงพอย่อมมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา”


“ปีศาจพันมายาหรือ!”


ข้ารับใช้แห่งราชวงศ์แคว้นเจียงทั้งสี่อดไม่ได้สูดลมหายใจดังเฮือก พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้มาก่อน


“ผู้อาวุโสใหญ่ สิ่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้เอ่ยไม่ใช่จะไร้เหตุผล เรื่องที่เจียงหลีผู้นั้นพบการลอบสังหารในวันนี้มีจุดที่น่าสงสัยเต็มไปหมด หรือว่า…เขาจะเป็นผู้อื่นแปลงกายมาจริงๆ?” ชายฉกรรจ์หน้าดำที่ไม่เอ่ยวาจามาตลอดผู้นั้นฉับพลันเดินมาถึงข้างกายผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเบา


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ได้ฟังก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง!


ไยเขาจะไม่เคยคิดถึงจุดนี้ แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนที่คุ้มครองจักรพรรดิแคว้นเจียง ในใจเขาย่อมไม่อยากจะสงสัยตัวตนของศิษย์ในตระกูลเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของคนนอก


“สิ่งที่ผู้อาวุโสเอ่ยมีเหตุผลอยู่บ้างก็จริง ทว่าอาศัยเพียงคำพูดไม่กี่คำ จะบอกว่าเจียงหลีเป็นร่างแปลงของผู้ฝึกฝนชั่วร้าย ผู้เยาว์ก็ลำบากใจยิ่งนัก หากผู้อาวุโสในตระกูลกล่าวโทษขึ้นมา ผู้เยาว์ย่อมแบกรับไม่ไหว”


 ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เอ่ยปากช้าๆ จงใจเอ่ยคำว่า ‘ผู้อาวุโสในตระกูล’ ให้ดังสักหน่อย


สตรีสาวรวมถึงชายหนุ่มผมทองต่างมองผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่อย่างค่อนข้างประหลาดใจ แล้วก้มศีรษะลงต่ำพร้อมกันโดยไม่ได้นัด พวกเขาล้วนไม่กล้ามองสีหน้าของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาแผ่จิตสัมผัสออกไป พบว่าด้านในตำหนักหกเหลี่ยมแห่งนี้ ร่างกายของจักรพรรดิแคว้นเจียงกำลังสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าการกระทำเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งไม่มีจุดใดผิดแผก สัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นพลังเวทแม้แต่น้อยจริงๆ


หากเขาไม่ได้จับเป้าหมายอยู่ที่คนผู้นี้ด้วยวิชาอนธการค้นวิญญาณตั้งแต่แรก เขาก็แทบจะคิดว่าตนเองเข้าใจผิดเลย


วิชามายาของปีศาจพันมายาผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่งนักอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางทำชั่วมากมายแล้วยังคงลอยนวลได้มาจนถึงวันนี้!


“ฮ่ะๆ ข้ากล่าวถึงขั้นนี้แล้ว หากผู้อาวุโสในตระกูลของท่านจะถามหาความผิดก็ไปหาข้าที่นิกายยอดบริสุทธิ์ได้เลย” หลิ่วหมิงฟังแล้วเสียงก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย


เพิ่งเอ่ยจบ แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งก็ปะทุออกมาจากร่างเขากระแทกลงบนร่างพวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ทั้งสี่คน


พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ร่างกายถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดปลิวออกไปอย่างไม่มีกำลังต่อต้านสักนิด ทั้งสี่ต่างกระอักเลือดดังอ๊อกออกมาคำหนึ่ง สายตาที่มองมาทางหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่พลังสูงที่สุด แต่บนใบหน้ากลับตะลึงที่สุด


ตระกูลเจียงในฐานะราชวงศ์แห่งแคว้น อีกทั้งยังเป็นตระกูลผู้ฝึกฝน ทรัพยากรที่ได้รับจึงมากมายกว่าผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไปอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ในตระกูลมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่น้อย ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็มีอยู่หลายคน ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจียงยิ่งเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแก่แท้ขั้นปลายคนหนึ่ง


เมื่อเป็นเช่นนี้สายตาที่เคยเห็นโลกของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ย่อมไม่ด้อย เขาจึงสัมผัสได้ว่าพลังที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ตรงหน้าแสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายคนของตระกูลเจียงอยู่มาก


“พลังของผู้อาวุโสสูงส่งแข็งแกร่ง พวกเราคงไร้กำลังขัดขวาง แต่หากข้าจำไม่ผิด สี่ยอดนิกายใหญ่ของพวกท่านเคยร่วมกันตั้งกฎไว้เมื่อนานมาแล้วว่าหากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษ ผู้ฝึกฝนสูงกว่าระดับผลึกไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโลกมนุษย์ปุถุชนได้ หากภายหลังพิสูจน์แล้วว่าเจียงหลีเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ถึงเวลาขอให้ผู้อาวุโสมอบคำอธิบายให้แก่ตระกูลเจียงของพวกเราด้วย” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน แม้หวาดกลัวอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ


หลิ่วหมิงทำเหมือนไม่ได้ยินคำขู่ของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่คนนี้ ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็พาเงาเลือนรางสายหนึ่งพุ่งเข้าประตูใหญ่ของตำหนักหกเหลี่ยมไป


เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!


เพียงชั่วลมหายใจเดียว เงาคนก็ชนทะลุประตูใหญ่แล้วเหาะตรงเข้าไป


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงหายไปจากตรงหน้า หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย สามคนที่เหลือก็ล้วนมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยวาจาอันใด


พริบตาที่หลิ่วหมิงบุกเข้ามาในตำหนัก เงาดำเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ร่างหนึ่งก็หนีออกจากตำหนักไปทางด้านหลังแล้วพุ่งเร็วรี่มุ่งไปไกลอย่างเงียบเชียบโดยไม่เกิดคลื่นสั่นสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น


“เหอะ ตอนนี้คิดหนีก็สายไปแล้ว!”


หลิ่วหมิงกระแทกกำแพงอีกด้านหนึ่งของตำหนักทะลุดัง “เปรี้ยง” แล้วไล่ตามไปโดยไม่หยุดสักนิดเช่นเดียวกัน


การเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ย่อมสัมผัสความผิดปกติได้ทันที ทุกคนหน้าถอดสีเหาะเข้ามาในตำหนัก


ในห้องบรรทมยังมีร่างของเจียงหลีอยู่เสียที่ไหน ตรงทางเดินไม่ไกลมีนางกำนัลสองคนสลบอยู่บนพื้นไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ถาดผลไม้และของว่างในมือกระจายเกลื่อนพื้น


ส่วนอีกด้านหนึ่งปรากฏรูขนาดใหญ่เด่นชัดบนกำแพง สายลมเย็นพัดทะลุรูใหญ่เข้ามาในตำหนัก ม่านในห้องบรรทมปลิวไสวทำให้ห้องโถงแลดูวังเวงยิ่งนัก


“หรือว่าคนของนิกายยอดบริสุทธิ์คนนั้นจะพูดความจริง เจียงหลีเขา…” สตรีสาวพึมพำออกมา


ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สีหน้าเขียวคล้ำไปหมด


เงาดำเบื้องหน้าเหาะอยู่บนท้องฟ้าไม่สูงนักห่างไปสิบกว่าลี้ เขาเพิ่งหนีออกนอกเมืองหนานหลูได้เพียงสองสามร้อยจั้ง พื้นดินเบื้องล่างก็ปรากฏแสงสีเหลืองแสบตาขึ้นวูบหนึ่ง พร้อมกับที่ผิวดินระเบิดขึ้นมา เศษหินเศษดินนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ศีรษะเงาดำประหนึ่งลูกธนู


ในเวลาเดียวกันเงาร่างของเซียเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางเศษดิน นางแปลงกลับเป็นร่างต้นของแมงป่องกระดูก หางโค้งพร่าเลือนวูบหนึ่ง เส้นสีดำมากมายดุจเม็ดฝนก็พุ่งเร็วรี่ออกมาพร้อมเสียงแหวกอากาศกรีดแหลม


เสียงตวาดโกรธเกรี้ยวของปีศาจพันมายาฉับพลันดังออกมาจากในเงาดำ ก่อนหน้านี้ตอนต่อสู้ชุลมุนกัน เขาเคยสัมผัสความร้ายกาจจากพิษร้ายของหางแมงป่องกระดูกมาแล้วจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิด ร่างกายเชื่องช้าลงในทันใด ปราณดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากบนร่างเขากลายเป็นธงกระดูกสีดำสนิทใหญ่หนึ่งฉื่อกว่าผืนหนึ่ง


ธงกระดูกโต้ลมขยายใหญ่ เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นขนาดหนึ่งจั้งกว่า บนนั้นปักภาพโครงกระดูกดุร้ายร่างหนึ่งไว้ ไอปีศาจน่าขนลุก ทอแสงสีดำระยิบระยับ เหมือนจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณสายปีศาจระดับต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง


ปีศาจพันมายาเพิ่งเรียกธงกระดูกออกมา ก้อนหินก็แหวกอากาศมาถึง


“ปึกๆ” เสียงประหนึ่งเม็ดฝนกระทบใบตองดังขึ้นระลอกหนึ่ง!


เมื่อก้อนหินโจมตีลงบนธงกระดูก บนผืนธงเพียงส่องแสงสีดำเรืองๆ วูบหนึ่งก็ดีดทั้งหมดปลิวออกไป


จากนั้นเส้นสีดำถี่ยิบก็โจมตีลงบนธงกระดูกประหนึ่งสายฟ้าแลบ ทำให้อาวุธชิ้นนี้สั่นไหวเบาๆ หลายครั้ง แต่มันก็ทนรับไว้ได้โดยที่ไม่เป็นไร


อย่างไรเซียเอ๋อร์ก็เป็นเพียงอสูรเลี้ยงระดับผลึกขั้นปลาย แม้จะกลายพันธุ์มาหลายครั้ง แต่เทียบกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ยังห่างชั้นอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้หางโค้งของมันก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านพละกำลัง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธจิตวิญญาณที่มีจุดเด่นในการป้องกันย่อมเห็นประโยชน์ไม่ชัดนัก


เพียงแต่การขัดขวางชั่วครู่นี้ของเซียเอ๋อร์ทำให้หลิ่วหมิงไล่ตามมาทัน


เสียงมังกรคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น!


มังกรหมอกสีดำยาวหลายจั้งตัวหนึ่งโถมพรวดเข้ามาจากด้านหลัง รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


“สมควรตาย!”


ปีศาจพันมายาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด สองมือยิงเคล็ดวิชาออกมาต่อเนื่องหลายสาย


ทันใดนั้นธงกระดูกก็ส่องแสงสีดำเจิดจ้า หมุนวนเร็วจี๋อยู่กับที่ ภาพโครงกระดูกด้านบนทอแสงรัศมีประหลาด สองตายิงลำแสงสีเขียวสองสายออกมาทันที


เสียงคำรามดุร้ายดัง “โฮก” !


ภาพโครงกระดูกกลายเป็นของจริงพุ่งออกมาจากผืนธง แสงสีเขียวโชนฉาย ทันใดนั้นมันก็ขยายจนมีขนาดเท่าบ้านแล้วยันมังกรหมอกสีดำไว้กลางท้องฟ้า


ชั่วขณะหนึ่งเสียงมังกรคำรามดุร้ายดังก้องนภา แสงสีดำกับสีเขียวส่องแสงเรืองรองเป็นผืนใหญ่ เสียงระเบิดทุ้มหนักดังขึ้นไม่ขาด!


ในเวลาเดียวกันนี้เคล็ดวิชาในมือปีศาจพันมายาก็เปลี่ยนไปอีกหน บนธงกระดูกมีพายุหมุนสีดำสูงสิบจั้งลูกหนึ่งบินออกมาแล้วแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ พัดก้อนหินก้อนดินที่พุ่งเร็วรี่มาถึงรอบด้านปลิวออกไปแล้วปั่นจนกลายเป็นฝุ่นผงเต็มท้องฟ้า


แมงป่องกระดูกก็ถูกพายุหมุนสีดำลูกนี้พัดปลิวขึ้นมาเช่นกัน เศษหินนับไม่ถ้วนพากันโจมตีลงบนเปลือกของมันจนส่งเสียงดังเกรียวกราวอยู่พักหนึ่ง หลังจากดิ้นพลิกตัวกลางอากาศอยู่หลายครั้ง มันถึงดีดตัวเองออกมาไกลได้ แต่สภาพก็สะบักสะบอมยิ่งนัก


เมื่อพายุหมุนหายไป ปีศาจพันมายาที่ถือธงกระดูกอยู่ในมือก็ปรากฏตัวออกมา เวลานี้เขากลายร่างเป็นบุรุษใบหน้ายาวแปลกหน้าคนหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่มีเจตนาจะไล่สังหารแมงป่องกระดูกสักนิด ตรงกันข้ามเขาขยับวูบหนึ่งก็แหวกอากาศหนีไปอีกครั้ง


ทว่าในเวลานี้เอง เสียง “บึ๊ม” ก็ดังสนั่นขึ้น!


เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าหมัดหนึ่งพุ่งมาถึงจากด้านหลังแล้วโจมตีรุนแรงเข้าที่ศีรษะ


เงาหมัดนี้มาเร็วยิ่งนัก ไม่ให้เวลาปีศาจพันมายาหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย


เขาได้แต่ตะโกนลั่นแล้วยกธงกระดูกในมือพาดขวาง ชั่วพริบตาปราณสีดำผืนใหญ่ก็ทะลุออกมาจากด้านในขวางอยู่เบื้องหน้า


เสียงแผ่วเบาดังขึ้นหนึ่งครั้ง ปราณดำก็ถูกเงาหมัดโจมตีกระจาย เงาหมัดชะงักไปเพียงเล็กน้อยก็โจมตีหนักหน่วงลงบนธงกระดูก


ปีศาจพันมายารู้สึกว่าพลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาจากธงกระดูก พริบตาเดียวสองมือพลันสั่นระริก สีหน้าก็ซีดเผือดลงเล็กน้อย คนทั้งร่างถูกซัดปลิวออกไปด้านหลังไกลสิบจั้ง


เวลานี้หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่แมงป่องกระดูกปลิวออกไป แล้วเชื่อมจิตสื่อสารกับมัน


“นายท่าน ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่เพียงไม่ระวังเท่านั้น” เสียงกังวานใสของเซียเอ๋อร์แฝงความโกรธอยู่จางๆ เหมือนอับอายอย่างยิ่งกับสภาพทุลักทุเลของตนเองเมื่อครู่


ยังดีที่พลังป้องกันของนางเดิมทีก็ไม่ต่ำต้อย ผนวกกับระยะนี้ได้กินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์หลายเม็ดที่หลิ่วหมิงมอบให้ลงไปส่งผลดีกับเปลือกทั้งร่างไม่น้อย มันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงวางใจ เคลื่อนสายตาไปมองปีศาจพันมายาเบื้องหน้าที่ลำบากยิ่งนักกว่าจะตั้งหลักได้อีกครั้งอย่างเย็นชา


“สหายหลิ่ว ระหว่างเจ้ากับข้าหาได้มีความแค้นลึกล้ำอันใดไม่ เพียงแค่ยืนอยู่คนละฝั่งเท่านั้น คิดว่าสหายมาไล่ล่าสังหารข้าคงเพื่อจะรับรางวัลจากนิกายล่ะสิ ข้ามีของมากเพียงพอชดเชยให้เจ้า ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไปสักครั้ง เป็นอย่างไร?” ปีศาจพันมายาสีหน้าซีดเผือดผิดปกติ สายตาที่มองมาทางหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่บนใบหน้ากลับเค้นรอยยิ้มจางๆ เอ่ยออกมา


พลังของหลิ่วหมิงเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ การประมือกันครั้งหนึ่งทำให้เขามีความรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ เวลานี้เขาจึงได้แต่หวังว่าจะใช้ผลประโยชน์ล่อลวงอีกฝ่ายเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอง


หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ก็หัวเราะหยัน เขาคร้านจะฟังเขาเอ่ยวาจาไร้สาระจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณดำบนร่างพวยพุ่ง กำลังจะตบหนึ่งฝ่ามือออกไป


“สหายไม่อยากรู้วิธีควบคุมค่ายกลโปรดสัตว์หรือ? ค่ายกลโบราณชุดนี้พลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด แม้สหายมีแผ่นค่ายกลกับธงค่ายกลแล้ว แต่หากไม่มีวิธีควบคุมที่ใช้คู่กัน ไม่มีทางสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้เด็ดขาด ขอเพียงปล่อยข้าไปสักครั้ง ข้ายินดีจะบอกวิธีควบคุมฉบับสมบูรณ์แก่เจ้า” ปีศาจพันมายาหน้าถอดสีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน


หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ ในใจก็หวั่นไหวเล็กน้อย วิชาบนฝ่ามือเชื่องช้าลง พร้อมกันนั้นบนใบหน้าก็เผยความลังเลออกมาเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)