องครักษ์เสื้อแพร 885-886
ตอนที่ 885 ด้านหลังตั๊กแตนใช่ว่าเป็นนกกระจอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
คืนดึกดื่นเงียบสงัด ได้ยินเสียงหมาเห่าเป็นระยะ เหยาฟู่หลายวันนี้ล้วนโผล่ออกมาดูนอกประตู รอบๆ ไม่เห็นใครสักคน จึงคิดว่าคืนนี้จะลอบหนีออกไป อยู่ๆ มีคนมาตบบ่า
เหยาฟู่สะดุ้งโหยง ห่อผ้าด้านหลังหล่นลงพื้น แต่คนผู้นี้ก็หัวไวพอ ทำเป็นเอี้ยวตัวหลบ บีบเสียงกล่าวว่า
“นายท่านอะไร ข้าน้อยจางซาน กำลังจะกลับบ้าน”
คืนดึกมืดมิด เห็นแต่เงาดำๆ สองคนกำลังขวางอยู่ด้านหน้า ได้ยินเสียงเขา สองคนก็อึ้งไป ตามมาด้วยหัวเราะดังลั่น ตบบ่ากล่าวว่า
“นายท่านเหยาช่างล้อเล่น พี่น้องเราเห็นท่านเดินออกจากจวนมา อันใดกันไม่ถึงร้อยก้าว ก็เปลี่ยนชื่อเป็นจางซานแล้วหรือ!”
เหยาฟู่ตัวแข็งทื่อทันที ชายตรงหน้าเริ่มจับคลุมหัว แล้วยังใช้เชือกมัดปากไว้ ผลักให้เขาเดินไป ผลักเขาเข้าไปที่ใดสักที่
พอเข้าไป ที่ครอบหัวกับเชือกก็ถูกปลดออก เหยาฟู่ลุกขึ้นมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว ที่นี่เหมือนว่าเป็นห้องในรถม้า ชายสองคนสวมใช้ผ้าดำปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
“รับเงินไปตั้งมากมาย ที่ก็ตั้งเยอะ ยังขอตำแหน่งอีก นายท่านเหยาทำไมไม่คิดให้ดี คิดจะหนีก็หนี”
เหยาฟู่กระแอมไอ ในใจกลับร้อนใจยิ่ง อู๋จั้วไหลรู้วิธีการพวกนี้แต่เมื่อไร ตอนนั้นเหยาฟู่เป็นหนึ่งในขุนนางบัณฑิตชิงหลิว แต่ที่บ้านก็ร่ำรวย ลอบค้าเกลือทำกำไรมาก เขาเห็นอะไรมามาก ต่อมาล้มละลาย เหยาฟู่ก็เลยทำเป็นพวกล้มละลายไม่มีเงินทอง เขาเองเข้าใจพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาก อ่านตำรามาสองสามเล่ม วันๆ ก็เอาแต่คิดจะรังแกคนอื่นเพื่อทำให้ตนเองมีชื่อเสียง หากให้พวกเขาทำอะไรจริง ไมว่าไปปฏิบัติหน้าที่จริงๆ หรือว่าใช้อิทธิพลโกงกกิน ล้วนไร้สามารถ
หากอู๋จั้วไหลมีความสามารถเช่นนี้ ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นเช่นหลี่จื๋อไปแล้ว หากไม่ใช่เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยไม่มีคนให้ใช้งาน ศิษย์คนนี้เกรงว่าแต่ละก้าวกว่าจะไปถึงผู้ตรวจการนอกเมือง จากนั้นกลับมาเป็นขุนนางกรมพิธีการก็เรียกได้ว่าที่สุดแล้ว
ทว่ายามนี้มิใช่ ตอนนี้กลับมีความสามารถเช่นนี้ได้ เหยาฟู่ได้แต่โทษตัวเองที่มองคนอื่นตามความคิดเดิมของตน ได้ยินเสียงอีกฝ่ายไม่พอใจเช่นนี้ เขาได้แต่แกล้งปั้นหน้าส่งเสียงกล่าวเบาๆ ว่า
“นางที่บ้านหลับไปแล้ว ข้าคิดหาความสำราญ เลยยออกไปหาผู้หญิงคนอื่นสักหน่อย เรื่องนี้แพร่ออกไปไม่น่าฟัง จึงได้อ้างชื่อปลอม”
เขาเสแสร้งแต่งเรื่อง อีกฝ่ายย่อตัวลงแค่นยิ้มเยียบเย็น ควักเอาของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ โยนลงตรงหน้าเหยาฟู่ แค่นยิ้มเย็นกล่าวว่า
“หากมองไม่ชัด ก็สามารถจุดโคมไฟได้นะ!”
ห้องในรถย่อมมีโคมไฟ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นโยนของสิ่งหนึ่งลงบนพื้นเป็นห่อผ้าเล็กๆ พอโยนลงพื้นก็เปิดออก พอเห็นของด้านใน เหยาฟู่ก็เหมือนสายฟ้าฟาด ตัวแข็งไปทั้งตัว
เหยาฟู่คว้าของในห่อผ้าขึ้นมามือสั่น น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“ภรรยาข้ากับลูกๆ ข้าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้า…พวกเจ้าหาก…ข้าเป็นผีก็จะ…”
“อย่างเจ้าน่ะรึ เป็นผีก็เป็นแค่บัณฑิตอ่อนแอ ใครจะไปกลัว อย่าได้คิดมาก ปิ่นนี่กับกุญแจห้อยคออายุยืนนี่จำได้ใช่ไหม เอามาให้เจ้าดู ก็เพื่อให้เจ้ารู้ว่า อย่าคิดว่าพวกเราโง่ ยังบอกภรรยาเจ้าว่านำเงินทองไปซานตง ไปจี่หนิงรอเจ้า คิดจะเอาเงินแล้วหนีหรือ!”
ได้ยินวาจาชายฉกรรจ์เยียบเย็นเช่นนี้ สีหน้าเหยาฟู่ก็ยิ่งซีดขาว สุดท้ายได้แต่ยิ้มเฝื่อน กล่าวอย่างหมดแรงว่า
“ทำอย่างไรจึงจะรักษาชีวิตภรรยาและลูกข้าไว้ได้”
“เงินก้อนโตและที่ดินพวกนั้น ตอนนั้นบอกให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำตามนั้น อย่าคิดว่าหาทางเอาตัวรอด จะทำให้ใต้เท้าเราต้องเสียเปรียบเจ้างั้นหรือ”
เหยาฟู่สีหน้าซีดเผือดพยักหน้า กล่าวว่า
“หลังจบเรื่องยื่นฎีกาถูกปลดมา เรื่องนี้จะทำให้ครอบครัวข้าทั้งหมดถูกสังหารปิดปากหรือไม่”
ชายฉกรรจ์สองคนสบตากัน หัวเราะออกมากล่าวว่า
“สังหารพวกเจ้า เจ้าไม่ดูตัวเองเลยว่ามีค่าพอหรือไม่ แต่หากเจ้าไม่ยื่นฎีกา ก็คงต้องคิดถึงภรรยาและลูกชายสองคนของเจ้าให้ดี”
ตอนลงจากรถไม่คลุมหัวไว้เหมือนเดิม ยังมีคนประคองลงมา เหยาฟู่แบกห่อผ้ายืนงงอยู่ข้างรถม้าราวกับไก่ไม้ไม่ไหวติง มองรถม้าออกไปไกล สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจ ค่อยๆ เดินเข้าบ้านไป
ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ทว่าจวนอู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกลับไฟสว่างมาก ในห้องรับแขกมีเสียงคุยหัวเราะดัง สุราและนารีล้วนกำจายกลิ่นไปทั่ว
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงมีชื่อหลายคน คนสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน คนสำนักตรวจสอบกับคนหกกรมกองล้วนมีครบ ล้อมนั่งอยู่รอบโต๊ะใหญ่ บนโต๊ะมีสุราอาหาร งานเลี้ยงสุรามาถึงตอนนี้ทุกคนต่างดื่มกันไปมากพอควร สติล้วนเริ่มเลือนราง มีคนโอบหญิงงามร่ำสุราเย้าแหย่ มีคนส่งเสียงประจบอ้อแอ้กับอู๋จั้วไหล
อู๋จั้วไหลสีหน้าก็กึ่มด้วยฤทธิ์สุรา สีหน้าพึงใจ เสียงดังอ้อแอ้เช่นกันว่า
“เจ้าเหยาฟู่ เจ้าคนตกต่ำ ทั้งวันคิดแต่จะฟื้นกิจการครอบครัว อยากใช้ชีวิตแบบเดิม ตอนนี้ให้ผลประโยชน์ไปมาก ยังไม่ตั้งใจทำงานที่รับไปแต่โดยดี เรื่องยื่นฎีกานี้ ผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ได้สร้างชื่อเสียง เขาจะไม่อยากทำได้อย่างไร”
ทุกคนพากันแทบหมอบราบไปกับโต๊ะ ดูท่าดื่มไปกันมาก มึนงงกล่าวว่า
“เจ้าเหยาฟู่นั่นกลืนเงินไปแล้วไม่ทำงาน!!”
อู๋จั้วไหลแค่นเสียงฮึ ไม่พอใจกล่าวว่า
“หากเขากล้าทำเช่นนี้ วันหน้าวงการขุนนางเมืองหลวงจะมีที่ยืนให้เขาอีกหรือ?”
“ใช่ๆ ท่านอาจารย์พี่อู๋เป็นถึงเสนาบดีใหญ่ เหยาฟู่หากคิดจะมีอนาคตในวงการขุนนาง ก็ต้องยอมฟังคำสั่งแต่โดยดี”
คนข้างๆ กล่าวเห็นด้วย เดิมที่คนนี้กะพูดว่าหากมีเงินมากมายแล้ว ไม่ต้องเป็นขุนนางก็ได้ คิดไปคิดมาก็กลับไม่พูดออกมา ดึงหญิงงามอรชรอ้อนแอ้นเขามาแนบกาย ไม่อยากสนใจอันใดอีกแล้ว
*****************
หลี่ว์วั่นไฉจากเดิมเป็นบัณฑิตจวี่เหริน ได้มาเป็นถึงรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน เรียกได้ว่าเป็นอันดับสอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคนกุมอำนาจหลัก ในศาลซุ่นเทียนไม่รู้ว่ามีคนมากมายไม่ยินยอม
แต่ตอนนั้นมีหวังทงคอยให้ท้าย ผู้ใดจะกล้ากล่าวอันใด รอให้หวังทงประสบเหตุในเมืองหลวงเสียก่อน หลายคนคิดว่าโอกาสมาแล้ว ทว่าพวกเขากลับหมดหวังอีกครา หลี่ว์วั่นไฉได้ก้าวเข้าสู่ทางสายสำนักส่วนพระองค์แล้ว ตอนนี้เขาเท่ากับว่าสามารถรายงานต่อฮ่องเต้ว่านลี่ได้โดยตรง
รองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนนี้ไม่เพียงแต่คนในศาลซุ่นเทียนต้องฟังคำสั่งเขา แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรก็มีสายสัมพันธ์ ใต้เท้าที่มีอำนาจกว้างไกลเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าล่วงเกิน
แต่พอหวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ย่อมส่งผลกระทบต่อหลี่ว์วั่นไฉ เขาเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น ทำงานก็ไม่สุดโต่งมาก ไม่เคยทำอะไรเกินเลย
ทว่าอำนาจที่ควรมีก็ยังคงมีอยู่ เช่นว่าตอนเช้ามาก ตอนบ่ายกลับที่พักทำงาน เจ้าหน้าที่ทางการหากต้องการถามเรื่องใดก็ให้ไปสอบถามได้ ปกติยุ่งมาก ผู้ใดก็ไม่กล้าบ่นอันใด นี่เป็นงานของรองเจ้ากรมหลี่ว์ที่แยกชัดเจน ส่วนงานของสำนักรักษาความสงบไม่ได้ขึ้นกับคนศาลซุ่นเทียนจัดการ
หลี่ว์วั่นไฉแม้กล่าวว่าทำงานที่บ้าน แต่ที่จริงแล้วกลับไปซื้อเรือนแยกออกจากจวนต่างหาก เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความสงบสองสามคนประจำการอยู่ นับว่าเป็นหน่วยงานเล็กๆ ที่ไม่แขวนชื่อหน่วยงาน
ตอนนี้หน้าประตูมีองครักษ์เสื้อแพรสองนายนั่งอยู่ กำลังคุยสัพเพเหระ ประตูปิดสนิท คนที่มักมาที่นี่ก็ย่อมรู้ธรรมเนียม รู้ว่ายามนี้รองเจ้ากรมหลี่ว์กำลังมีแขกสำคัญ และแขกผู้นี้อาจไม่เป็นที่เปิดเผยในที่แจ้ง เรือนเล็กหลังนี้ของรองเจ้ากรมหลี่ว์มิใช่มีแค่ทางเข้าเดียว
ยามนี้ประตูปิด ไม่ใช่เพราะกลัวหนาว แต่เพราะสิ่งที่รายงานนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
“…ข้าน้อยจับตาดูจวนเหยาอยู่ คืนวานจวนเหยามีคนออกมา จากนั้นระหว่างทางมีคนจับตัวได้ ข้าน้อยให้เหล่าหลี่จับตาดูจวนไว้แล้วรีบมารายงาน รีบติดตามออกจากเมืองหลวงไปจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคือเรื่องใดกัน กลับมายังได้รู้เรื่องของจวนเหยาฟู่อีก คืนว่าคนที่ออกไปนั้นก็คือเหยาฟู่…”
หลี่ว์วั่นไฉขยับพัดไม่หยุด เริ่มไม่นิ่ง ถามขึ้น
“ความจริงอันใด?”
ชายที่รายงานในตามีสีเลือดราวกับไม่ได้นอนทั้งคืน สีหน้าอิดโรยมาก เดินเข้าไปใกล้ๆ กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านหลี่ว์ คนของแม่นางซ่ง”
หลี่ว์วั่นไฉเงยหน้าขึ้นทันที แม้ซ่งฉานฉานกับหวังทงเป็นสามีภรรยา แต่ระบบเมืองหลวงเป็นซ่งฉานฉานจัดตั้งขึ้นเอง ไม่ใช่คนของหวังทง บอกว่าเป็นคนแม่นางซ่ง หลี่ว์วั่นไฉก็เสียงเบาไปหลายส่วนถามขึ้น
“เจ้าแน่ใจนะ!!”
“มั่นใจแน่นอน จวนนอกเมืองนั่นเป็นโรงบ้านหอฉินก่วน เมื่อก่อนข้าน้อยเคยไปเอาของ ได้ยินว่าเป็นที่ลับไม่เปิดเผย เดาว่านอกจากข้าน้อย คนอื่นไม่แน่ว่าจะรู้”
หลี่ว์วั่นไฉนั่งอยู่หลังโต๊ะ มือหนึ่งหุบพัด อีกมือกลับดึงเก๊ะออกมา ในเก๊ะมีมีดสั้น และยังมีปืนสั้น นี่เป็นช่างโรงช่างเทียนจินทำ เป็นปืนชั้นดี มือวางอยู่บนนั้น ลังเลครู่หนึ่งก็ปิดเก๊ะ เงียบไปครู่หนึ่งถามขึ้น
“เต๋อขุย ข้าดีกับเจ้าไหม?”
คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จะถามเช่นนี้ คนนั้นอึ้งไป รีบตอบว่า
“หากไม่มีใต้เท้าข้าน้อยคงถูกใส่ร้ายเข้าคุกไปแล้ว มารดาข้าน้อยป่วยตายไป ใต้เท้าดีกับข้าน้อย…”
ส่งไปจับตาดูเหยาฟู่ หากไม่ใช่คนสนิทที่หลี่ว์วั่นไฉไว้ใจก็ย่อมไม่อาจส่งไป หลี่ว์วั่นไฉถามเช่นนี้ก็เข้าใจได้หลายส่วน
หลี่ว์วั่นไฉถูพัดไปมา พิงพนักเก้าอี้กล่าวว่า
“ตามหลักแล้ว ส่วนตัวไม่ควรปะปนเรื่องงาน ทว่าข้ามีที่นากับโรงทอผ้าในเมืองซงเจียงที่ฝากคนทำอยู่ ต้องการคนไปจับตาไว้ เจ้ากับเสี่ยวหลี่ไปช่วยข้าดูแลสักสองสามเดือน เช่นนี้ข้าก็วางใจ ดีไหม?”
เต๋อขุยอึ้งไป รีบคำนับกล่าวว่า
“การค้าใต้เท้าสำคัญ อย่าได้ถูกคนนอกเอาเปรียบไป ข้าน้อยกับเหล่าหลี่จะรีบออกเดินทางทันที”
หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า เต๋อขุยกำลังจะหันหลังออกไป ก็กลับมาพูดอีกว่า
“ขอใต้เท้าจัดหาอาหารให้ด้วย ข้าน้อยกับเหล่าหลี่คืนวานถึงตอนนี้ไม่ได้คุยกับใครทั้งสิ้น”
หลี่ว์วั่นไฉยิ้มพยักหน้า
ตอนที่ 886 ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวแอบเคลื่อนไหวคิดว่าตนเองมีปัญญา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเมืองหลวงมีข่าวลือกันในวงแคบๆ ว่าเซินสือหังเคยวิจารณ์พวกหยางเหว่ยกับหวังซีเจวี๋ย ว่า ‘จางจื่อเหวยยกพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นบัณฑิต ฝ่าบาทรั้งพวกเขาไว้ ก็เพราะพวกเขาเป็นบัณฑิต’ จางซื่อเหวยมีนามรองใช้ในหมู่มิตรว่าจื่อเหวย แม้ว่าขุนนางบุ๋นล้วนเป็นบัณฑิต แต่คำว่าบัณฑิตในที่นี่ คิดแล้วน่าจะหมายถึงว่า ‘บัณฑิตที่ไร้ประโยชน์’
เหยาฟู่เป็นเช่นนี้ ทางนั้นไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย กลับเป็นหลี่ว์วั่นไฉที่กลับมาพักที่บ้านครึ่งวัน จากนั้นก็ให้ฮูหยินตนไปจวนหวังทง
ชนชั้นสูงมากธรรมเนียม หวังทงไม่อยู่ ซ่งฉานฉานดูแลจวน เพื่อป้องกันการนินทา แขกชายไม่อาจไปเยือนได้ ฮูหยินเขาไปเยือนที่จวนเรียกได้ว่าเป็นระดับคนในครอบครัวไปมาหาสู่กัน เป็นสิ่งที่กระทำได้
แน่นอนในเมืองหลวงล้วนรู้ที่มาที่ไปของซ่งฉานฉาน ครอบครัวใหญ่มักไม่อยากจะไปมาหาสู่กับภรรยาคนนี้หวังทง ทว่าฮูหยินหลี่ว์วั่นไฉกลับไม่ถือ ตอนที่อยู่ทงโจวก็เป็นคู่สามีภรรยารักใคร่เหมาะสมกัน ใจคิดแต่สามีตน ไม่คิดอันใดมาก
พอมาเยือน ก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ถามว่ามีอันใดต้องการให้ช่วย ยังบ่นอีกว่า ปีใหม่ทิ้งภรรยาไว้ที่บ้านคนเดียว ตนเองไปเมืองกุยฮว่าเฉิงสบาย
วาจาตามมารยาทคุยกันสักพัก ฮูหยินหลี่ว์วั่นไฉดูเหมือนเอ่ยถึงบางเรื่องอย่างไม่ตั้งใจ ว่าตอนนี้เมืองหลวงไม่สงบสุข เจ้าต้องระวัง ได้ยินสามีข้าบอกว่า ขุนนางสำนักตรวจสอบเขตทักษิณแซ่เหยาผู้หนึ่งถูกจับตาดูอยู่ ยังบอกว่าผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวต้องระวังตัวให้ดี ต้องให้ส่งคนสำนักรักษาความสงบมาดูแลหรือไม่
จวนหวังทงเหมือนกับจวนอื่น สิ่งเดียวที่ไม่ขาดก็คือการป้องกัน ไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ทหารทางการ แม้แต่ทางลับก็ยังมีคนในวงการไม่น้อย ไม่ไปหาเรื่องคนอื่นก็ดีแล้ว จะมีผู้ใดไร้ตามาหาเรื่องถึงที่กัน
แต่ทุกคนก็เป็นคนฉลาด ซ่งฉานฉานรีบขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง และยังหาของที่ส่งมาจากทะเลใต้จากเทียนจินมอบให้ฮูหยินหลี่ว์เป็นการขอบคุณ ตนเองรับไว้ด้วยใจ
วาจาชัดเจนแล้ว หลี่ว์วั่นไฉกล่าวว่าเรื่องเหยาฟู่นั้นเขารู้แล้ว เขาสนับสนุนซ่งฉานฉานทำเช่นนี้ หากมีอันใดต้องการให้ช่วย เขาจะส่งคนมาช่วย
เรื่องลับสุดยอดเช่นนี้ มีคนพบเห็นแล้ว หลี่ว์วั่นไฉทำเช่นนี้ก็เพื่อเตือน ซ่งฉานฉานเองย่อมเข้าใจ อย่างไรก็ต้องหาทางแก้ไขที่พลาดไป
*****************
เดือนสองกำลังจะผ่านไป ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงเรียกได้ว่าเริ่มเดือดพล่าน หลายคนมารวมตัวกันคุยเรื่องความแตกต่างระหว่างลำดับอาวุโสของพี่น้อง
ขุนนางคัดเลือกบทความสอบคนหนึ่งลาป่วย ตอนนี้กู้เซี่ยนเฉิงมาทำตำแหน่งนี้ชั่วคราว ขุนนางกรมปกครองจะเป็นคนเสนอหัวข้อสอบและรายชื่อ เสนาบดีกรมปกครองค่อยตัดสิน กู้เซี่ยนเฉิงตอนนี้ได้ร่วมงานนี้ จึงทำให้เขามีสถานะสูงส่งในหมู่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว
เดิมหลี่ซานไฉเป็นหัว กู้เซี่ยนเฉิงเป็นรอง มีเรื่องสำคัญใดก็จะรวมกำลังขุนนางบัณฑิตชิงหลิวออกโรง ล้วนเป็นหลี่ซานไฉเริ่มแผน กู้เซี่ยนเฉิงประสานงาน
ทว่าตอนนี้สถานะเปลี่ยนไป กู้เซี่ยนเฉิงค่อยๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง มาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ว่ากำลังสนับสนุนหรือเงินทองก็ย่อมไม่ขาดมือ ความเป็นตัวของตัวเองไม่พึ่งพาใครก็เริ่มมากขึ้น
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนแต่ไรมาไม่เป็นที่สนใจของขุนนางกรมปกครอง แต่เพราะตอนนี้ขุนนางสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนท่านนี้เป็นศิษย์ของเสนาบดีกรมปกครอง เช่นนี้ย่อมไม่เหมือนเดิม
ขุนนางสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนอู๋จั้วไหลเชิญกู้เซี่ยนเฉิงไปดื่มสุราที่จวน กู้เซี่ยนเฉิงย่อมไป ตอนนี้ขุนนางหนุ่มเมืองหลวงผู้ใดไปบ้านอู๋ซือเย่แห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนนั่งได้ ก็ย่อมแสดงถึงอนาคตก้าวไกลในวันหน้า ทุกคนไม่ใช่คนโง่ อู๋ซือเย่มีหน้ามีตาอันใด หากมิใช่ว่าเป็นศิษย์ใต้เท้าที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น
เห็นกู้เซี่ยนเฉิงรับคำเชิญ มีคนอุทานในใจ ท่านกู้ครานี้คงได้ขึ้นแท่นแล้ว ดูท่านตำแหน่งชั่วคราวอันนี้อาจได้มาจริงในอีกไม่นาน
…..
“พี่เต้าผู่ เมื่อวานอู๋จั้วไหลพูดเอง หากทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวง ตำแหน่งขุนนางคัดเลือกบทความนี้ก็จะเป็นของข้า พี่เต้าผู่คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
กู้เซี่ยนเฉิงเริ่มยืนได้เองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะยามประสบเหตุก็มักจะมาถามความเห็นจากหลี่ซานไฉ เป็นความเคยชิน หลี่ซานไฉอยู่ตำแหน่งกรมอากรมาได้ปีหนึ่ง การวางตัวก็เริ่มนิ่งกว่าเก่ามาก ได้ยินกู้เซี่ยนเฉิงกล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า
“นี่เพราะต้องการกระทบไปถึงฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงรู้ว่าในราชสำนักควรฟังความเห็นผู้ใด”
กล่าวจบ หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงก็สบตากัน พากันยิ้ม วิพากษ์วิจารณ์เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ทว่าทุกครั้งล้วนไม่ได้ข้อสรุป สุดท้ายเปลืองเนื้อเปลืองเสียมากกว่า
หลังยิ้มสบตากัน กู้เซี่ยนเฉิงก็กล่าวว่า
“ครั้งนี้แม้ว่าความมั่นใจไม่น้อย แต่พระโอรสสององค์นั้น องค์ใหม่ย่อมเป็นที่พอพระทัยฝ่าบาท แต่พระสนมกงกลับมาจากตำหนักฉือหนิงกง อย่างไรก็มีกำลังหนุนอยู่ไม่น้อย”
หลี่ซานไฉพยักหน้ากล่าวว่า
“แต่อดีตมาการสร้างความชอบใหญ่ไม่มีอันใดเกินการส่งเสริมให้ขึ้นครองราชย์ ยามนี้หากเลือกถูกข้าง ก็ย่อมสบายไปทั้งชีวิต ทุกคนย่อมลงแรงกันเต็มที่ ทว่าฝ่าบาทยื้อเวลาแต่งตั้งมานานเช่นนี้ ในพระทัยนั้นคิดว่าทุกคนรู้ดี หากครั้งนี้มีเรื่องแก่งแย่งกัน อย่างไรก็เหมือนที่พูดก่อนหน้า ให้ฝ่าบาททรงปล่อยมือจากการปกครอง”
“พี่เต้าผู่ ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไร?”
กู้เซี่ยนเฉิงแม้ว่าถามเช่นนี้ แต่คิ้วนั้นเลิกขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกว่าคิดเช่นไร หลี่ซานไฉยิ้มกล่าวว่า
“ไม่อยากไปแตะต้องเลยจริงๆ…”
“พี่เต้าผู่ โปรดให้ความกระจ่าง?”
“ข้ามีกิจการ ที่เทียนจินก็มีร้านค้าไม่น้อย หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ หวังทงออกหน้าจัดการ ก็คงรับมือไม่ไหวนะ!”
“พี่เต้าผู่ หวังทงคนชั่วนั่นล้มไปแล้ว ไม่เห็นตอนเขาถูกส่งลงใต้ไปหรือ กลับมาก็ไม่ยอมอยู่เมืองหลวงต่อ พาตัวเองไปอยู่ที่ทุรกันดารหนาวเหน็บ ยังจะไปสนใจเขาอีกทำไมกัน?”
“ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรถูกปลดไหม บรรดาศักดิ์ติ้งเป่ยโหวถูกปลดไหม? กิจการและการงานที่เมืองหลวงกับเทียนจินเปลี่ยนคนดูแลไหม นี่เรียกว่าล้มได้อย่างไร ระวังไว้ก่อนดีกว่าๆ”
ได้ยินหลี่ซานไฉกล่าวเช่นนี้ กู้เซี่ยนเฉิงก็งง ทว่าหลี่ซานไฉปีนี้แม้ว่าเงียบไปมาก แต่ในวงการขุนนางบัณฑิตชิงหลิวก็ยังคงมีอิทธิพลไม่น้อย เพราะครอบครัวเขามีเงินมาก เงินทองสาดออกไปตลอดเวลา ย่อมมีคนคิดจะเข้าหาเอง กู้เซี่ยนเฉิงได้แต่กล่าวหนักแน่นว่า
“อย่างไรก็เป็นพี่เต้าผู่ที่รอบคอบ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่ซานไฉมีชื่อเสียงไปทั่ว เวลาทำงานในที่ทำการน้อย แต่เวลาส่วนใหญ่มักจะไปขลุกที่ร้านน้ำชาและสมาคมต่างๆ คนระดับเขาไปวนเวียนอยู่ตามที่เหล่านี้ย่อมไม่ใช่เพื่อความบันเทิง บางที่มีบัณฑิตมาก เขาก็เข้าไปคุยสนทนา ดูว่ามีอันใดให้ช่วยเหลือหรือไม่ ขยายอิทธิพล บางที่ทำให้ได้รู้ข่าวมาบ้างเหมือนกัน
คิดถึงการเป็นผู้มีชื่อในวงการบัณฑิตชิงหลิว เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมีชื่อ การข่าวก็ย่อมต้องแม่นยำ ไม่เช่นนั้นวิเคราะห์ไม่กระจายถึงผลได้ผลเสีย ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันไปถึงเบื้องหลังที่เป็นผู้ใด ก็ย่อมเสี่ยงล่วงเกินได้ ดีไม่ดีอาจมีความผิดถึงขั้นเอาชีวิตไม่รอด การรวบรวมข่าวนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้
พูดถึงเรื่องนี้ หลี่ซานไฉก็รู้อยู่ว่าตอนนี้อย่าว่าแต่เมืองหลวงหรือเทียนจินเลย ทั้งเขตปกครองเหนือล้วนถูกองครักษ์เสื้อแพรจับตาดูแน่นหนา ขนาดตาข่ายของตาข่ายใหญ่ก็ยิ่งถี่มากขึ้น เล็ดรอดยาก แต่หลี่ซานไฉกลับยังคงรักษาระบบของตนเล็กๆ นี้ไว้ได้ หาข่าวมาให้เขาได้ เรียกได้ว่ามีความสามารถอยู่
ร้านน้ำชาถังเจียโหลวในเขตปัจจิมนับว่าเป็นร้านที่พอใช้ได้ ว่ากันว่าญาติขันทีในวังเปิด ญาติขันทีฝ่ายในย่อมไม่ได้ขาดเงินกำไรของร้านน้ำชาพวกนี้หรอก แต่เปิดก็เพื่อเป็นที่ให้ความสำราญ คบหาคนมีสถานะ
เพราะเจ้าของร้านมีสถานะพิเศษ และไม่หวังกำไร ร้านน้ำชาเรียกได้ว่ามีระดับ คนปกติเข้าไปก็คงอึดอัดเงินในกระเป๋า หากก็มีคนชอบความหรูหรา และเมื่อมาที่นี่ ย่อมไม่ให้ผู้ใดรบกวน ชนชั้นสูงมาหารือกันที่นี่ไม่น้อย
หลี่ซานไฉนั่งรถม้ามาที่นี่ พอลงจากรถ คนต้อนรับหน้าประตูก็คุ้นเคยกันเขา รีบยิ้มปรี่เข้ามาต้อนรับ นำไปเรือนแยกเดี่ยวที่หลี่ซานไฉนั่งประจำ
นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็มีชายร่างอ้วนในชุดยาวเดินเข้ามา หันไปปิดประตูก่อน จากนั้นคำนับหลี่ซานไฉ หลี่ซานไฉมือซ้ายวางก้อนเงินลงบนโต๊ะ ชายร่างอ้วนเป็นเถ้าแก่ร้านค้าที่ค้าขายกับในวัง ไม่มีสถานะขุนนาง แต่การข่าวในเมืองหลวงกลับฉับไวยิ่ง
“นายท่านหลี่ ระยะนี้หลายเรื่องไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดท่านก็คงรู้แล้ว หกกรมกองนอกจากเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียน ที่เหลือก็ล้วนสมคบคิดกันหมด เรื่องลำดับลูกในตระกูลนั้นเป็นประเด็นในตอนนี้”
ชายร่างอ้วนดูแล้วน่าเคยเรียนหนังสือมา หลี่ซานไฉยิ้มฟัง เขารู้ว่านี่แค่เริ่มต้น ชายร่างอ้วนกล่าวประโยคตามมาจริง เอียงตัวมาเล็กน้อย กล่าวว่า
“หลายวันก่อนนายท่านของข้ารับแขกที่เป็นกงกงจากในวังมาซื้อหาสินค้าเข้าวัง ยามดื่มสุราคุยกันนั้น บอกว่าไม่เพียงแต่นอกวังคุยกันเรื่องนี้ แม้แต่ในวังก็มีคนขัดแย้งกัน บอกว่ากงกงด่าว่าอีกฝ่ายเรียนหนังสือกันจนสมองเสื่อมไปหมดแล้ว”
พอได้ยินข่าวเช่นนี้ หลี่ซานไฉที่กำลังผ่อนคลายก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถามขึ้น
“ขันทีใด?”
“ขออภัย นี่ไม่ทราบได้ กงกงท่านนั้นกล่าวเพียงขันทีใหญ่”
ขันทีที่ในวังส่งออกมาจัดซื้อของนั้นย่อมเป็นพวกมีระดับในวัง ขันทีใหญ่ที่ว่าก็คงเป็นสถานะใกล้เคียงกับเขา ข่าวนี้สำคัญกับหลี่ซานไฉมาก กำลังคิดอยู่นั้น ก็ควักทองสองก้อนจากในอกเสื้อออกมาวางลงบนกระเป๋าเงิน ยิ้มกล่าวว่า
“ไว้ดื่มน้ำชา!”
ทองสองก้อนนี้อย่างน้อยก็สามตำลึง รวมเงินในกระเป๋าอีก ก็น่าจะมากโขอยู่ ชายร่างอ้วนยิ้มแย้มรับไป ตามหลักแล้ว หลังจากหลี่ซานไฉออกไปครู่หนึ่ง ชายร่างอ้วนจึงจะลุกจากไป
พอออกจากร้านน้ำชา ชายร่างอ้วนก็มองดูไม่เห็นรถม้าหลี่ซานไฉ เขาก็หันหลังเดินไปอีกทาง เดินไปสองสามก้าวก็มีคนเดินมาประกบเขาไว้ ชายร่างอ้วนตกใจหวาดกลัวทันที คนที่ตามมาประกบเขากล่าวเบาๆ ว่า
“ที่สอนให้พูดนั้นพูดไปหมดแล้วยัง?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น