อยากกินไหมล่ะ 885-887
บทที่ 885 การแสดงความมีน้ำใจจากผู้อาวุโส
“ฉันรู้แล้วล่ะน่าก็เลยตั้งใจมาตอนที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านยังไงเล่า” ซุนหมิงบ่นพึมพำเบาๆ
“อะไรนะ?” หยวนโจวถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกน่า นายจำวันเกิดฉันได้ไหม?” ซุนหมิงเปลี่ยนเรื่องคุย
“เมื่อไม่นานมานี้ไง” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย อย่างที่ฉันเคยบอกนายไป วันเกิดตามปฏิทินจีนของฉันไงเล่า” ซุนหมิงกล่าวด้วยความมั่นใจ
“นายพยายามจะทำอะไรกันแน่?” หยวนโจวตรงเข้าประเด็น ถึงแม้ว่าเขาจำวันเกิดจริงๆของซุนหมิงไม่ได้ แต่เขาก็พอจะทราบว่าระหว่างปฏิทินจีนกับปฏิทินเกรกอเรียนคงไม่แตกต่างกันมากสักเท่าไหร่นักหรอกก็แค่ยืดระยะห่างออกไปด้วยการนำเอาหลายๆเดือนมาคั่นกลางเอาไว้เท่านั้นแหละ
“ฮ่าฮ่า เจ้าเข็มทิศ นายเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉันเลยนะ” ซุนหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางลูบพุงป่องๆไปด้วย
“คายออกมาซะดีๆ” หยวนโจวเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะต้องทำอาหารให้ซุนหมิงกิน
ในความคิดของหยวนโจว ซุนหมิงก็แค่หาข้ออ้างที่จะกินอาหารฟรีๆเสียมากกว่า
“คำขอของฉันง่ายดายมากเลยล่ะ แค่ตอบตกลงมาก่อนก็พอ” ซุนหมิงกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ นับเป็นเรื่องหายากที่จะได้เห็นเขาแสดงท่าทีกลิ้งกลอกเช่นนี้
“บอกสิ่งที่นายต้องการมาก่อนสิ” หยวนโจวเกิดความระแวงขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อเห็นท่าทีของซุนหมิง
ซุนหมิงนับได้ว่าเป็นพี่ชายคนหนึ่งและหยวนโจวก็รู้จักเขาดีทีเดียว เขาแน่ใจว่าซุนหมิงพยายามที่จะขอร้องเขาในเรื่องที่ใหญ่มากเป็นแน่ๆ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ ฉันแค่อยากไปดูห้องชั้นบนของนายก็เท่านั้นเองน่ะ” ซุนหมิงกล่าวขึ้น
“ไม่ได้” หยวนโจวปฏิเสธพลางไขว้แขนเอาไว้ที่หน้าอก
“นั่นเป็นคำขอเดียวของฉันจริงๆนะ ฉันแค่อยากไปดูเท่านั้นเอง ฉันสัญญาเลยว่าจะไม่ไปแตะต้องอะไรเป็นอันขาด ตอนนี้ฉันจะมีแค่ตาแต่ไม่มีมือ” ซุนหมิงให้สัญญา
“ไม่ได้” หยวนโจวปฏิเสธอีกครั้ง แถมยังไม่สนใจที่จะถามหาเหตุผลอีกต่างหาก
“คิดเสียว่าเป็นของขวัญวันเกิดฉันก็ได้นะ เจ้าเข็มทิศ ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับเพื่อนมากที่สุด” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมา
คราวนี้หยวนโจวไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก เขาส่ายหน้าแล้วไม่สนใจซุนหมิงอีก
ตอนนี้หยวนโจวกำลังมองซุนหมิงด้วยสายตาแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนี่กันแน่? ทำไมถึงได้อยากเข้ามาดูห้องนอนของผู้ชายอีกคนกันนะ?
เขาคงไม่ได้เปลี่ยนรสนิยมทางเพศหลังจากถูกแม่เทพธิดาปฏิเสธเอาหรอกใช่ไหม? หยวนโจวถึงกับตัวสั่นเมื่อเขานึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้
“เฮ้ ทำไมนายมองฉันแบบนั้นเล่า?” ซุนหมิงตะโกนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาแลเห็นสายตาแปลกๆของหยวนโจวเข้า
“นายคิดว่าไงล่ะ?” หยวนโจวกล่าวอย่างเย็นชา
“ฉันแค่อยากดูเฉยๆก็เท่านั้นเอง มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?” ซุนหมิงบ่น “นายมันไอ้คนขี้ระแวง”
“ได้สิ ถ้าหากนายเปลี่ยนเพศมาเมื่อไหร่ ฉันจะอนุญาตทันทีเลยเชียวล่ะ” หยวนโจวกล่าวประณามอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าแม้แต่จะคิดแบบนั้นเชียวนะ หัวใจทั้งดวงของฉันเป็นของแม่เทพธิดาไปหมดแล้ว” ซุนหมิงกล่าวพลางก้าวถอยหลัง
หยวนโจวมองซุนหมิงด้วยสายตาดูถูกดูแคลนแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แค่ก แค่ก ว่ายังไงล่ะ? นายตกลงหรือเปล่า?” ซุนหมิงถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจังสุดขีด
“ถ้าหากนายมาด้วยสาเหตุนี้ล่ะก็จงกลับไปเสียเถอะ” หยวนโจวปฏิเสธอีกครั้งพลางกล่าววาจาที่เฉียบขาดยิ่งกว่าเมื่อก่อนหน้านี้
หยวนโจวไม่มีความคิดที่จะปล่อยให้ผู้ชายเข้าไปดูห้อง ถ้าหากเป็นสาวงามล่ะก็เขาจะคิดดูอีกที แต่เนื่องจากเป็นซุนหมิง เขาจึงไม่ตกลง แม้ว่าซุนหมิงจะเป็นพี่ชายคนหนึ่งก็เถอะ
“นายแน่ใจนะ?” ซุนหมิงถามเป็นครั้งสุดท้าย
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าอย่างแน่วแน่
ซุนหมิง “จริงดิ?”
หยวนโจว “อืม”
ซุนหมิง “แน่ใจ๊?”
หยวนโจว “เออ”
ซุนหมิง “นายจะไม่เสียใจแน่นะ?”
หยวนโจว “ไสหัวไปซะ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะบอกเหตุผลที่แท้จริงก็ได้” ซุนหมิงถอนหายใจ เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้วเนื่องหยวนโจวปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดถึงขนาดนี้
“ว่ามา” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“นายก็รู้นี่ว่าหลังจากฉันเปิดร้านเมื่อไม่นานมานี้ ฉันก็ต้องทำงานหนักจนไม่ได้ออกไปไหนเลย ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะไปพนันขันต่ออีกเลยเสียด้วยซ้ำไป” ซุนหมิงชมตัวเองขึ้นมาก่อน
“พูดต่อสิ” หยวนโจวจ้องมองซุนหมิงพร้อมสีหน้าที่บอกเป็นนับให้ซุนหมิงพูดต่อ
“ฉันกำลังพูดเรื่องจริงอยู่นะ ฉันรู้จักแม่เทพธิดาระหว่างงานคืนสู่เหย้าและในที่สุดฉันก็สังเกตเห็นว่าเธอจะเดินผ่านถนนหน้าร้านของฉันเป็นบางครั้งบางคราว ฮ่าฮ่า” ซุนหมิงกล่าวพลางฉีกยิ้ม
ทันทีที่หยวนโจวได้ยินเช่นนั้น เขาก็ได้รู้ว่าพักนี้ซุนหมิงทำงานหนักอย่างน่าเหลือเชื่อ
หยวนโจวรู้ว่าซุนหมิงเป็นคนที่ออกจะไม่ค่อยมีความอดทนในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ เมื่อตอนที่พวกเขากำลังเรียนอยู่ในครัวด้วยกัน ซุนหมิงก็ถอนตัวหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน และหลังจากเขาได้ลองมาหลายอาชีพแล้ว ในที่สุดเขาก็ลงเอยด้วยการเปิดร้านเสื้อผ้า แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ขี้เกียจเปิดร้านเอามากๆและมักจะปิดร้านเพราะมีธุระอยู่เรื่อย ผลก็คือยอดขายของร้านก็เลยไม่กระเตื้องสักเท่าไหร่นัก
เขามักจะเสียเวลาไปกับการชวนใครสักคนไปกินอาหารหรือพนันขันต่อ เขามาจากครอบครัวชนชั้นกลางและแน่นอนว่าบิดามารดาของเขาก็มักจะจ้องจับผิดพฤติกรรมของเขาอยู่เสมอ แต่เขากลับไม่เคยใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เขาจะเลิกขี้เกียจก็ต่อเมื่อเขาตกหลุมรักใครสักคนเท่านั้นแหละ
เขาหมั่นเปิดร้านบ่อยๆเพื่อจะได้เห็นแม่เทพธิดาของเขาได้มากขึ้นและการที่เขาขยันก็เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งแม่เทพธิดาของเขาอาจจะมาเยือนที่ร้านก็ได้
“แล้วไงล่ะ?” หยวนโจวถามอย่างใจเย็น
“พักนี้พ่อกับแม่เห็นว่าฉันทำงานหนัก แล้วพวกท่านก็เจอนายอยู่ในข่าวทั้งยังพบว่าทุกวันนี้นายดังขนาดไหนด้วยล่ะ” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมา
“หืม?” หยวนโจวรู้สึกสับสน เรื่องนี้เกี่ยวข้องยังไงกับเขาล่ะเนี่ย?
“พ่อกับแม่คิดว่าการที่ฉันกลายเป็นคนขยันทำงานก็ต้องขอขอบคุณอิทธิพลในด้านบวกของนายน่ะสิ” ซุนหมิงพูดต่อด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างจนปัญญาเมื่อยามที่กล่าวถึงเรื่องนั้นออกมา
“พวกเขาฉลาดมากทีเดียว” หยวนโจวพยักหน้าแล้วพูดต่อไปว่า “แล้วไงล่ะ?”
“แน่นอนว่าฉันเองก็อายเกินกว่าที่จะบอกพวกท่านเรื่องแม่เทพธิดาของฉัน ฉันยังไม่ได้เป็นแฟนกับเธอเลย ฉะนั้นฉันก็เลยต้องเออออไปกับพวกท่านก่อนจนนำมาสู่เจ้าสิ่งนี้แหละ” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมา
“เจ้าสิ่งนี้ที่ว่ามันคืออะไรน่ะ?” หยวนโจวถามขึ้น
“ฉันขอดูห้องนอนของนายหน่อยสิ” ซุนหมิงกล่าว
“แม่ฉันอยากขอบใจนายก็เลยบอกให้ฉันมาดูว่านายขาดเหลืออะไร เธอจะได้ซื้อให้แล้วให้ฉันเอามาให้นายยังไงเล่า” ซุนหมิงกล่าวตามตรงเนื่องจากไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
อันที่จริงแล้ว ซุนหมิงกำลังเล่าเรื่องฉบับย่อให้หยวนโจวฟัง แต่ฉบับเต็มนั้นคือเขาโดนบิดามารดาสวดอยู่เป็นนานแถมยังบอกให้เขาเรียนรู้จากหยวนโจวอีกต่างหาก
พวกท่านยังบอกอีกว่าถึงแม้ว่าเขาจะเสียบิดามารดาไปแล้ว แต่หยวนโจวก็ยังสามารถเป็นคนที่ยอดเยี่ยมได้ถึงขนาดนั้น พวกเขาบอกให้ซุนหมิงคบค้าสมาคมกับหยวนโจวให้มากๆและการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแทนหยวนโจวที่ไม่มีบิดามารดาคอยเฝ้าดูเขาอยู่ และสุดท้ายพวกท่านก็บอกให้ซุนหมิงไปเยี่ยมเพื่อดูว่าพวกท่านจะสามารถซื้ออะไรให้เขาได้บ้าง
แน่นอนว่าก่อนที่ซุนหมิงจะมา พวกท่านก็บอกรายการของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันยาวเหยียดที่คนๆหนึ่งน่าจะต้องใช้ในการดำรงชีวิตมาด้วยแถมยังบังคับให้เขาจดลงไปอีกต่างหาก รายการยาวมากเสียจนเมื่อได้ยินซุนหมิงก็ยังรู้สึกปวดหัวเลย
ทำไมซุนหมิงถึงได้ไม่กล้าบอกเรื่องจริงกับหยวนโจวน่ะเหรอ? เขาเกรงว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้หยวนโจวรู้สึกอึดอัดใจเอาน่ะสิ ถึงอย่างไรเขาก็ทราบว่าหยวนโจวเป็นคนที่อ่อนไหวมากทีเดียวเมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจกับเรื่องนั้นมากเหลือเกินเช่นกัน ทั้งๆที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่บิดามารดาของเขากลับยังอบรมเข้าราวกับเขาเป็นเด็กๆไปได้
หยวนโจวถึงกับเงียบไปเมื่อได้ยินว่าซุนหมิงมาที่นี่แทนบิดามารดาของเขา ซุนหมิงหาได้รีบร้อนแถมยังอยู่ตรงนั้นเพื่อรอฟังคำตอบของหยวนโจวอีกต่างหาก
“เอาล่ะ ขึ้นชั้นบนทางประตูหลังก็แล้วกัน” หยวนโจวกล่าวพลางพยักหน้า
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ซุนหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นายคงไม่คิดว่าฉันเป็นเกย์หรอกใช่ไหม?” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมา
อันที่จริง ซุนหมิงก็น่าจะระแวงอยู่หรอก ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ หยวนโจวก็คงไม่ตกลงเรื่องนี้หรอก แต่หลังจากเผชิญทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนี้มา เขาก็เปิดใจมากขึ้นและตอนนี้เขาก็เต็มใจที่จะยอมรับการแสดงความมีน้ำใจดังกล่าวเอาไว้
“ฉันก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะ แล้วอย่านั่งบนเตียงฉันล่ะ” หยวนโจวกล่าวพลางมองไปทางซุนหมิงโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“เงียบไปเลย ฉันบอกนายไปแล้วนี่ว่ามันเป็นคำขอของแม่ฉันน่ะ” ซุนหมิงกล่าวขึ้น
“อืม ฝากขอบคุณท่านด้วยแล้วกัน” หยวนโจวกล่าวหลังจากปิดประตู
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงพวกท่านก็คิดว่านายดีกว่าลูกในไส้ของตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ” ซุนหมิงยักไหล่แล้วคร่ำครวญออกมา
“อืม ก็นั่นมันเป็นเรื่องจริงนี่หว่า” หยวนโจวพยักหน้า
“ว้าว นายยอมรับคำชมง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอเนี่ย? ฉันเปลี่ยนไปก็เพราะแม่เทพธิดาของฉันต่างหากโว้ย” ซุนหมิงกล่าว
“ฉันหมายถึงคำพูดพวกนั้นของพ่อแม่นายต่างหากเล่า” หยวนโจวยักไหล่
“แต่ก็อีกนั่นแหละนะ นายน่าจะรีบไปร้านตัวเองได้แล้วนะ ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าที่นายดูแลอยู่เป็นที่ยอมรับขึ้นมาหรือสามารถขยายกิจการจนใหญ่โตขึ้นมาได้ แม่เทพธิดาของนายก็คงจะมาเยือนร้านของนายอย่างแน่นอนเลยเชียวล่ะ พวกผู้หญิงชอบเสื้อผ้าสวยๆและนุ่มสบายกันทั้งนั้นแหละ” หยวนโจวให้คำแนะนำพลางขอบคุณบิดามารดาของซุนหมิงไปด้วย
หยวนโจวพยายามที่จะทำให้ซุนหมิงฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อืม สวยแล้วก็นุ่มสบายสินะ จริงด้วย” ซุนหมิงกล่าวพลางลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ดีล่ะ” หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรมากนักตอนที่เขาเห็นว่าซุนหมิงเจอเป้าหมายที่ต้องไขว่คว้ามาให้ได้แล้ว เขาก็พาซุนหมิงเดินไปทางประตูหลังต่อไป
บทที่ 886 นวมอันแสนล้ำค่า
“นี่คือตรอกหลังร้านงั้นรึ? ถึงแม้จะเป็นท้ายตรอก แต่ค่อนข้างสะอาดมากเชียวล่ะ” ซุนหมิงตั้งข้อสังเกต ปกติแล้วท้ายตรอกของร้านอาหารจะต้องสกปรกมากๆ แต่ร้านหยวนโจวนับเป็นข้อยกเว้น
“พวกเราก็แค่อยู่ห่างจากที่นั่นเท่านั้นเอง” หยวนโจวชี้ไปทางตึกสูงที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก
สิ่งนี้ช่างให้ความรู้สึกของการแบ่งแยกระหว่างความร่ำรวยและความยากจน อีกด้านหนึ่งของผนังเป็นอาคารสำนักงานอันแสนโอ่อ่ามากมายนับไม่ถ้วนในขณะที่ด้านนี้ อาคารที่สูงที่สุดคืออาคารสองชั้น เมื่อเทียบกันแล้ว พื้นที่ตรงนี้ช่างดูยากแค้นนัก
แน่นอนว่าความยากจนเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวก่อนที่ร้านหยวนโจวจะเปิด
“อืม จริงๆก็ไม่ไกลนะเนี่ย เอ๊ะ นี่เจ้าซุปไม่ใช่หรือไงกัน? นี่คือที่ที่แกมาอยู่ตอนกลางวันงั้นรึ?” ซุนหมิงทักทายอย่างกระตือรือร้นทันทีที่เขาเห็นเจ้าซุป
“โฮ่ง” เจ้าซุปเห่าราวกับกำลังทักทายเขา
“ฮ่าฮ่า เจ้าซุปเป็นเด็กดีจัง คราวหน้าฉันจะเอาไส้กรอกแฮมมาให้แกนะ” ซุนหมิงกล่าวอย่างมีความสุข
หยวนโจวจ้องมองเจ้าซุปกับซุนหมิงก่อนที่จะแอบด่าในใจว่า “เจ้าหมอนี่ไม่เคยทักทายฉันเลยแต่กลับไปทักทายซุนหมิงแทนเสียได้ ดูทีว่าเลี้ยงมันไปก็คงเปล่าประโยชน์แล้ว”
“ไปกันเถอะ” หยวนโจวกล่าวพลางหยุดมองแล้วเดินเข้าไปข้างใน
“โฮ่โฮ่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มาอยู่ในครัวของนาย” ซุนหมิงกล่าวพลางกวาดตามองไปรอบๆ แน่นอนว่าเขาย่อมเก็บไม้เก็บมือไม่ไปแตะต้องอะไรทั้งสิ้น
“แหงล่ะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ทางนี้” หยวนโจวกล่าวพลางชี้ไปที่ขั้นบันได ครัวยังคงสว่างไสวมากเนื่องจากเมื่อก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ปิดไฟเลย
“ถ้าหากนายโชว์สถานที่แห่งให้สาวๆดูล่ะก็พวกเธอคงจะรู้สึกตื่นเต้นกันมากแน่ๆ น่าเสียดายที่นายได้แต่โชว์ให้คนหยาบกระด้างอย่างฉันดูแค่คนเดียว” ซุนหมิงรำพึง
“หุบปากไปเลย” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“แต่ก็อีกนั่นแหละ ห้องนอนของนายก็คงจะเหมือนกับเจ้าของแหละนะ คือไม่มีอะไรเลย” ซุนหมิงกล่าวขณะที่กำลังปีนบันได
มันเป็นการปีนในชั่วระยะเวลาสั้นๆแล้วทั้งสองคนใช้เวลาเพียงไม่นานมาถึงชั้นบน ถึงแม้ว่าซุนหมิงจะคุยไม่หยุด แต่เขาก็ปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมและไม่ได้แตะต้องอะไรทั้งสิ้น เขายังคงอยู่ทางด้านหลังหยวนโจวตลอดเวลา
“นี่คือห้องของฉัน ไม่ได้ขาดเหลืออะไร” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจังหลังจากเปิดประตูห้องนอนของตนเองแล้ว
“ฉันฝ่าฝืนคำสั่งแม่ไม่ได้ ฉันจะต้องดูด้วยตัวเอง” ซุนหมิงยักไหล่แล้วลูบท้องป่องๆของตนเอง
“อีกอย่างนะ ฉันนึกว่าทุกวันนี้นายขี่จัดรยานเสียอีก?” จู่ๆหยวนโจวก็นึกขึ้นมาได้ว่าซุนหมิงเคยหัดขี่จักรยานเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ในตอนนั้นเอง จู่ๆซุนหมิงก็ยืนกรานหัวชนฝาที่จะเริ่มขี่จักรยานเพื่อจีบแม่เทพธิดา เขาถึงขนาดคิดจะขายร้านทิ้งแล้ววางเดิมพันทั้งหมดไว้กับการขี่จักรยาน แต่ถึงซุนหมิงจะไม่บอก หยวนโจวก็พอจะทราบอยู่แล้วแหละว่าต้องเกิดการโต้เถียงกันครั้งใหญ่ในบ้านของซุนหมิงเพราะเรื่องนี้เป็นแน่แท้
แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เถียงกันเลยสักนิด
“แค่ก แค่ก” ซุนหมิงแสร้งทำเป็นไอเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม
“นายคงต้องยอมแพ้อีกครั้งเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ถ้านายยังคิดว่าตัวเองเป็นน้องชายอยู่ล่ะก็อย่าได้ถามขึ้นมาเชียว พวกเราไม่ควรเอาแต่มองเรื่องที่ผ่านไปแล้วนะ” ซุนหมิงกล่าวพลางเร่งเร้าให้หยวนโจวเข้าไป
หยวนโจวเข้าใจขึ้นมาในทันที มีอยู่หลายครั้งที่ความดื้อรั้นดันทุรังไม่ก่อให้เกิดอะไร ซุนหมิงขาดความอดทนมากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก
“เข้ามาสิ” พอหยวนโจวเปิดประตูแล้ว ซุนหมิงก็รีบกวาดตามองข้างในทันที
ห้องของหยวนโจวช่างแตกต่างไปจากห้องของเขา ภายในเป็นเตียงเดี่ยว แถมยังเป็นเตียงที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยเอามากๆอีกต่างหากด้วย ข้างเตียงเป็นตู้ที่มีหนังสืออยู่แถวหนึ่ง โดยมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เปิดอ้าถึงด้านใน นอกจากนี้ยังมีคอมพิวเตอร์ใหม่เอี่ยมวางอยู่บนนั้นพร้อมเก้าอี้อีกตัวอยู่ข้างตู้ ดูไปแล้วเหมือนเป็นทั้งที่ทำงานและห้องอ่านหนังสือเลยก็ว่าได้
ฝั่งตรงข้ามของเตียงนอนเป็นตู้เสื้อผ้าสีเนื้อไม้ที่ปิดสนิท ข้างตู้เสื้อผ้าเป็นชั้นวางตัวยาวที่มีหนังสืออีกแถววางอยู่ โดยมีของอย่างอื่นวางอยู่บนชั้นด้วย ทั้งยังมีกล่องวางเอาไว้ตรงกลางชั้นอย่างค่อนข้างสะดุดตาจนดูเหมือนว่าจะมีของมีค่าอยู่ข้างในอย่างไรอย่างนั้นแหละ
หน้าต่างประจันกับประตูที่เปิดออกตรงๆโดยมีสายลมเยือกเย็นพัดเข้ามาในห้อง อากาศภายในห้องจึงสดชื่นทว่าไม่หนาวเหน็บ แถมม่านสีน้ำเงินเข้มยังให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบายอีกต่างหาก
ทั่วทั้งห้องดูธรรมดาทว่าเป็นระเบียบเรียบร้อย แถมยังสะอาดมากกว่าหน้าร้านที่เปิดอยู่เสียด้วยซ้ำไป นี่ก็คือห้องของหยวนโจว
“ไม่เลวนี่ พ่อหนุ่ม นายเก็บกวาดห้องเสียเรียบร้อยเลยเชียวนะ” ซุนหมิงกล่าวขณะที่เดินเข้าไป “จะว่าไปแล้วถ้าหากห้องนอนเรียบร้อยและไม่มีกลิ่นใดๆเลยก็มีความเป็นไปได้สองอย่างเท่านั้นแหละนะ”
หยวนโจวยังคงเอาแต่นิ่งเงียบราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ซุนหมิงรู้สึกแปลกๆเหมือนเคย ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะตั้งคำถามอีกเมื่อตอนที่เขากล่าวเช่นนั้นออกมา
“นายไม่สงสัยเหรอว่าฉันกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?” ซุนหมิงถามขึ้น
“ไม่นี่แล้วฉันก็ไม่อยากรู้ด้วยล่ะ” หยวนโจวปฏิเสธจนซุนหมิงแทบสำลักคำพูดตัวเอง
หลังจากถูกปฏิเสธ ซุนหมิงก็เริ่มคาดคะเนขนาดห้องเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย ในที่สุดบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นน่าอึดอัดจนบังคับให้ซุนหมิงต้องหวนกลับไปที่ธุระในมือ
“รู้สึกว่าห้องนายจะไม่หนาวหรือขาดเหลืออะไรเลย นายน่าจะบอกฉันมาตรงๆเลยนะว่าอยากได้อะไร” ซุนหมิงถามพลางขมวดคิ้วหลังจากเดินสำรวจไปรอบห้อง
“ไม่เป็นไรหรอก ฝากขอบคุณแม่นายแทนฉันด้วยนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นหลังจากหยุดคิดไปสักครู่
“ถ้านายไม่บอกอะไรฉันเลย แม่ฉันจะคิดว่าฉันกำลังโกหกแล้วแกล้งทำทีว่ามาที่นี่เท่านั้นน่ะสิ” ซุนหมิงคร่ำครวญออกมา
“ฉันไม่อยากได้อะไรจริงๆนะ” หยวนโจวตอบหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว แต่เขาไม่อยากได้อะไรจริงๆนี่นา
“นี่คืออะไรงั้นรึ?” ซุนหมิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลังจากสายตาของเขาจับจ้องไปที่กล่องใบนั้นอีกครั้ง
ถึงอย่างไรกล่องใบนี้ก็สะดุดตามากเกินไปในห้องเล็กๆห้องนี้
“กล่องใส่นวมชกมวยน่ะ” หยวนโจวปัดมือของซุนหมิงที่กำลังจะเอื้อมไปหากล่องก่อนที่จะอธิบาย
“นวมชกมวยงั้นรึ? นายชกมวยด้วยเหรอ?” ซุนหมิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เปล่า” หยวนโจวตอบ
“งั้นนายจะซื้อนวมแพงขนาดนั้นมาทำไมกันเล่า? เอามาสะสมงั้นรึ? นวมคู่นี้เป็นของนักมวยดังคนไหนงั้นเหรอ?” ซุนหมิงถามขึ้น
“ฉันไม่ได้ซื้อมาหรอก” หยวนโจวกล่าว
“ไม่มีลายเซ็นอยู่บนนั้นเสียด้วยสิ ฉันล่ะสงสัยจริงเชียวว่าจะเป็นของนักมวยคนไหนกัน ไม่ใช่ของถูกๆเลยนะ คู่นึงก็ปาเข้าไปหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐแล้ว” ซุนหมิงกล่าวหลังจากเห็นสัญลักษณ์บนกล่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้มากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
“ใช่ แพงมากเชียวล่ะแล้วก็เป็นของนักมวยที่ยอดเยี่ยมมากด้วย” หยวนโจวพยักหน้า
ขณะที่เขาพูดนั้น หยวนโจวก็นึกถึงนักมวยที่มักจะมาที่ร้านพร้อมรอยฟกช้ำดำเขียวอย่างรุนแรง ในแต่ละครั้งที่เขามา เขาก็จะเล่าผลการต่อสู้ให้หยวนโจวฟังอยู่เสมอ
ต่อมานักมวยผู้นั้นไม่ได้มาอีก แต่หยวนโจวก็ยังจำได้ว่านักมวยผู้นั้นซื้อนวมคู่นี้ในวันก่อนที่จะเขาจะมาที่ร้าน
นวมคู่นี้เป็นสิ่งที่เขาใช้ลงแข่งในคืนนั้น แน่นอนว่าเมื่อตอนที่เขามาถึงก็จะมีรอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่วเช่นเคย หยวนโจวจึงนำเอาผ้าขนหนูให้เขาเช็ดทำความสะอาดเหมือนเคย ในวันนั้น นักมวยผู้นั้นอารมณ์ดีมากเสียจนรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าฟกช้ำดำเขียวของเขา
“เช็ดเสียสิครับ อย่ามาทำเลือดหยดใส่ชามผมเชียวนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“เฮ้ เฮ้ เถ้าแก่หยวน ผมชนะด้วยล่ะ” นักมวยผู้นั้นกล่าวพลางยิ้มออกมาขณะที่เขาหยิบผ้าขนหนูขึ้นมา
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“ดูนวมคู่นี้สิ ไม่น่าดูเอาเสียเลย” นักมวยอวดโอ่พลางโบกนวมไปมาตรงหน้าหยวนโจว
“ไม่เลวนี่ครับ ยังใหม่อยู่เลย” หยวนโจวพยักหน้า
“แหงอยู่แล้ว ก็ผมเพิ่งจะซื้อมาหลังจากเก็บเงินตั้งสองเดือนแน่ะ มันยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ ผมฝากคนอื่นซื้อมาจากต่างประเทศเชียวนะ คุณหาที่นี่ไม่ได้หรอก” นักมวยผู้นั้นกล่าวขึ้น
“เฮ้ นวมดูดีมากเลย” หลิงหงกล่าวพลางชะโงกคอมามอง
“แหงล่ะ ก็มันแพงมากเลยนี่นา” นักมวยผู้นั้นพยักหน้า
“เถ้าแก่หยวน ผมขอเอาผ้าขนหนูเช็ดมันหน่อยได้ไหม” นักมวยผู้นั้นถามขึ้นด้วยความลังเลใจ เขาไม่ได้เอามันไปเช็ดเลือดเลย
“ได้สิครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ขอบคุณครับ” นักมวยขอบคุณแล้วเริ่มเช็ดนวมของตนเองด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
ตั้งแต่นั้นมาแต่ละครั้งที่นักมวยผู้นั้นมา เขาก็จะเช็ดนวมของเขาก่อนที่จะสนใจบาดแผลของตนเองเสียอีก สำหรับเขาแล้ว นวมคู่นี้มีความสำคัญมากทีเดียว
มันเป็นเครื่องมือดำรงชีพของเขาเลยก็ว่าได้ ตอนนี้หยวนโจวจึงเก็บรักษานวมเอาไว้รอให้นักมวยผู้นั้นมารับคืนไป
โชคดีที่หยวนโจวหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีดูแลรักษานวมชกมวยในอินเตอร์เน็ต อีกทั้งเขายังถามผู้อื่นมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีใครมาเปิดกล่องก็จะเห็นนวมใหม่กริบเชียวล่ะ
บทที่ 887 กลับบ้านแล้วไปกินข้าวซะ
“เจ้าเข็มทิศ นายเหม่ออะไรอยู่น่ะ?” ซุนหมิงถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” หยวนโจวตอบพลางได้สติจากความคิดของตนเอง
“ฉันไม่เห็นเครื่องทำความร้อนเลย ฉันน่าจะซื้อให้นายสักเครื่องดีไหม?” ซุนหมิงเสนอขึ้นมา
“อีกไม่นานก็จะถึงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนแล้ว” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“งั้นฉันจะซื้อทั้งเครื่องทำความร้อนและทำความเย็นมันเสียเลย” ซุนหมิงเสนอขึ้นมาโดยไม่ลังเล
“นายคิดว่าที่นี่หนาวงั้นรึ?” หยวนโจวตั้งคำถาม
“ก็ไม่เชิงหรอก แล้วอีกอย่างมันก็ดูแปลกๆ แต่พอเจออากาศร้อนๆในช่วงฤดูร้อน นายก็จะได้ใช้เครื่องปรับอากาศได้ยังไงล่ะ” ซุนหมิงกล่าวหลังจากส่ายหน้า
“อย่าห่วงไปเลย ยังไม่เจออากาศร้อนๆในช่วงฤดูร้อนหรอกน่า แถมร้านของฉันยังอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวและเย็นสบายในช่วงฤดูร้อนด้วย” หยวนโจวเน้นย้ำ “ยังไงซะ ฉันก็ไม่มีพื้นที่ให้วางเครื่องปรับอากาศไว้ในห้องได้แล้วล่ะ”
“ไม่ได้นะ ฉันยังต้องกลับไปรายงานพ่อกับแม่อีกนะ” ซุนหมิงกล่าว “แค่เลือกอะไรสักอย่างมาให้ฉันก็พอ”
“ฉันจะบอกนายตอนที่คิดออกก็แล้วกันนะ” หยวนโจวตอบอย่างชาญฉลาด
“นายแน่ใจนะ?” ซุนหมิงมองหยวนโจวด้วยความสงสัย
ในความคิดของเขา หยวนโจวไม่เคยร้องขออะไรจากใครเลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสงสัยในคำพูดของหยวนโจว
“อืม ฉันไม่ได้โกหกนะ” หยวนโจวพยักหน้า
“จริงสินะ นายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นนี่นา” ซุนหมิงกล่าวด้วยความลังเล
ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่ใช่คนที่จะร้องขออะไรจากใคร แต่เขาก็เป็นคนรักษาคำพูดและไม่เคยโกหก
“โอเค งั้นลงไปข้างล่างกันดีกว่า” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ได้เลย ยังไงก็ไม่มีคนงามหรือความลับอะไรที่จะเปิดเผยออกมาอยู่แล้วนี่ แถมยังไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะมาเอ้อระเหยอีกต่างหาก” ซุนหมิงกล่าวพลางยิ้ม
“งั้นก็รีบออกไปเถอะ” หยวนโจวบ่น
“อืม อืม ออกไปเดี๋ยวนี้แหละน่า” ซุนหมิงกล่าวขณะที่เขาเริ่มมุ่งหน้าลงชั้นล่าง
เมื่อเดินผ่านประตูห้องถัดไป ซุนหมิงก็เห็นลูกบิดและบานประตู ทั้งสองอย่างช่างสะอาดเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องที่ยังคงมีคนเข้าไปอยู่บ่อยๆ
ซุนหมิงรู้ว่านี่คงจะเป็นห้องบิดามารดาของหยวนโจวเป็นแน่ แม้ว่าเขาจะไม่เคยขึ้นมาชั้นบนเลยก็ตามที แต่เขาก็ล่วงรู้ได้จากการคาดเดา แน่นอนว่าเขายังคงหุบปากเอาไว้และไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ไปกันเถอะ” หยวนโจวปิดประตูแล้วเริ่มลงบันได
“โอเค ฉันขี้เกียจกลับไปที่ร้านแล้ว ฉันยังต้องกลับไปเปิดร้านตัวเองอีกนะ” ซุนหมิงกล่าวขึ้นเมื่อพวกเขามาถึงประตูหลัง
“นายคงจะรีบไปหาแม่เทพธิดาของนายล่ะสิ” หยวนโจวพูดออกมาตรงๆ
“นับว่ายังดีที่นายรู้ ไว้เจอกันใหม่นะ คราวหน้าฉันจะมากินอาหารนะและแน่นอนนายต้องเป็นคนเลี้ยงด้วย” ซุนหมิงกล่าวขึ้นขณะที่เดินห่างออกไปพลางโบกมือให้ด้วย
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันด้วย แล้วเจอกันนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
ซุนหมิงหาได้ใส่ใจคำปฏิเสธของหยวนโจว หลังจากโบกมือให้แล้ว เขาก็เดินออกจากตรอกไป หยวนโจวอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมองไม่เห็นซุนหมิงแล้วก่อนที่จะกลับเข้าร้านไป
เมื่อยืนอยู่ในครัวที่เปิดไฟสว่างจ้าแล้วมองไปที่ตู้ทุกใบโดยรอบ จู่ๆหยวนโจวก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ฉันคิดว่าต้องการตู้อีกใบนะ”
“ตู้ที่เอาไว้เก็บข้าวของพวกนี้” หยวนโจวกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมหมายถึงข้าวของอย่างนวมชกมวยและบัตรเชิญต่างๆ เพราะรู้สึกว่าการนำเอาของพวกนั้นไปวางบนชั้นไม่ใคร่จะเหมาะสมสักเท่าไหร่นัก
“พรุ่งนี้ฉันจะไปเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ ตู้ใบใหม่จะต้องวางอยู่ใต้หน้าต่าง ยังไงก็ยังเหลือพื้นที่ตรงนั้นอยู่แหละน่า” หยวนโจววางแผน
“ดูเวลาสิ ฉันควรจะไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารค่ำได้แล้ว” หยวนโจวกล่าวหลังจากตรวจสอบเวลาแล้วเริ่มยุ่งง่วนกับตัวเองอีกครั้ง
เมื่อถึงยามค่ำคืน โจวเจียก็มาถึงตามปกติและรออยู่ที่ประตูหลังจนกว่าร้านจะเปิด ส่วนบรรดาลูกค้าคนอื่นๆ พวกเขาต่างเข้าแถมกันตามลำดับ
พวกคนเร่ขายของต่างกำลังเร่ขายของไม่หยุดหย่อนพลอยให้ถนนทั้งสายคึกคักไปด้วย เนื่องจากทั้งผู้คนและกิจการของร้านค้าต่างๆอยู่ในเขตที่พัฒนาแล้วเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่ร้าน พวกเธอล้วนแล้วแต่เป็นหญิงสาวโดยแต่ละคนบรรจงแต่งหน้าอย่างประณีตและแต่งกายตามสมัยนิยม พวกเธอทุกคนต่างถือไม้เซลฟี่เอาไว้ด้วย
“มา มา นั่นก็คือร้านหยวนโจวหรืออีกชื่อหนึ่งว่าร้านสุดยอดเชฟ” หญิงสาวผู้ร่าเริงกล่าวขึ้นขณะที่เธอเริ่มถ่ายภาพด้วยไม้เซลฟี่ของตัวเอง
แน่นอนว่าพื้นหลังภาพถ่ายของเธอก็คือผู้คนในแถวและร้านที่ไม่มีป้ายชื่อร้าน
“นี่คือร้านของช่างแกะสลักน้ำแข็งชื่อดัง ดูสิๆมีคนตั้งเยอะตั้งแยะอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ ไปเซลฟี่กันเถอะ”
“เธอรู้จักเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีคนนั้นที่กำลังโด่งดังมากๆในอินเตอร์เน็ตไหมล่ะ? ที่นี่ไงล่ะ ร้านของคนดังในอินเตอร์เน็ต นี่ก็คือร้านของเขาล่ะ”
“มา มา มาเซลฟี่กันเถอะ”
“นี่คือร้านที่ไอดอลของฉันเคยมาถ่ายทำรายการเชียวนะ มาเซลฟี่กันเถอะ”
“เฮ้ ฉันเข้าไปถ่ายภาพเหมือนกันนะ ตอนที่โพสต์รูปลงไปก็จะได้ติดแท็กฉันไปด้วยยังไงล่ะ”
เนื่องจากมีคนจากคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวอยู่บริเวณนี้ คนพวกนี้จึงต้องปฏิบัติตัวให้เหมาะสม คนพวกนี้เป็นคนที่จะมาถ่ายภาพหลังจากหยวนโจวได้รับความนิยมในอินเตอร์เน็ตด้วยเหตุผลหลากหลายประการเมื่อเร็วๆนี้
จำนวนของคนพวกนี้ค่อนข้างเยอะทีเดียว โชคดีที่มีผู้คนจากคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวมาคอยควบคุมดูแล ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะรู้สึกตื่นเต้น แต่พวกเธอก็ยังปฏิบัติตามกฎจึงไม่ก่อให้เกิดการรบกวนขึ้นแต่อย่างใด
“ฟู่ โชคดีจัง ฉันคิดว่าน่าจะยังได้หมายเลขอยู่นะ” ในขณะที่พวกเธอมัวแต่ถ่ายภาพอยู่นั้น หลิงหงก็วิ่งเข้ามาต่อแถว
อีกไม่ถึง 20 นาทีก็จะได้เวลาอาหารค่ำแล้ว
เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
แอ๊ด! หยวนโจวเปิดประตูออกมาเพื่อบ่งบอกว่าร้านจวนจะเปิดแล้ว
“มาเข้าคิวตรงนี้แล้วรับหมายเลขของคุณไปด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ” เสียงของโจวเจียดังขึ้น
การมาเข้าคิวรับหมายเลขหาใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่นานนักบรรดาลูกค้าก็ได้รับหมายเลขของตนเอง ส่วนผู้ที่มาทีหลังก็จะไม่ได้หมายเลขไป พวกเขาจึงพากันไปรออยู่ใต้เต็นท์ หลิงหงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“หลิงหง? นายมาที่นี่ทำไมน่ะ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นมา
“มาหาอะไรกินน่ะสิ” หลิงหงกล่าวพลางเสยผมด้วยความมั่นใจและไร้กังวล
“ฉันนึกว่านายจะกินอาหารค่ำที่บ้านเสียอีก?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“นี่เป็นอาหารก่อนมื้อค่ำต่างหากเล่า” หลิงหงตอบ
“นายดูท่าทางแปลกๆนะ ฉันว่านายกำลังวางแผนทำเรื่องไม่ดีอยู่แน่ๆเลย” เจียงฉางซี่ตรงเข้าประเด็น
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันออกจะเป็นคนดี” หลิงหงกล่าวพลางเผยรอยยิ้มกว้างและเจิดจ้าบนใบหน้าเพื่ออวดฟันขาวของตนเอง
“ฉันไม่เชื่อนายหรอก” เจียงฉางซี่กล่าว
“ฉันพูดเรื่องจริงนะ” หลิงหงพยักหน้าหงึกหงัก
การแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพระหว่างหยวนโจวกับเฉาจื่อซูสิ้นสุดลงในวันนี้ แต่มีคนไม่มากนักที่ล่วงรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงอย่างไรหยวนโจวก็หาใช่คนที่จะทำเรื่องเกินกว่าเหตุสำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพ
เขามักจะระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองก็เป็นแค่คนตัวเปล่า
ดังนั้นวันนี้บรรดาลูกค้าจึงยังคงสงบเสงี่ยม ทั้งยังไม่มีใครถามอะไรเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวิชาเลย
หลิงหงเป็นลูกค้ากลุ่มสุดท้ายที่ได้หมายเลข หลังจากรอมาชั่วโมงหนึ่งก็ถึงคราวที่พวกเธอจะได้กินบ้างแล้ว และเมื่อพวกเธอเข้าไปข้างใน พวกเธอก็พบว่าวันนี้มีคนมาไม่ครบด้วย
“ฉันรู้สึกเหมือนวันนี้มีอะไรขาดหายไปนะ” หลิงหงกล่าวพลางกวาดตามองไปรอบๆหลังจากนั่งลงแล้ว
“ใช่แล้ว วันนี้คุณเฉิงไม่มานี่นา” โจวเจียกล่าวขึ้นมา
“โอ้ ไม่แปลกใจเลยที่ฉันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปจากพื้นหลังน่ะ” หลิงหงมักจะทุ่มเถียงกับคุณเฉิงอยู่บ่อยๆ
“วันนี้กินอะไรดีคะ พี่หง?” โจวเจียถามขึ้น
“ขอไข่ต้มชาสมุนไพรก็แล้วกัน” หลิงหงกล่าว
“เอาอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?” โจวเจียถามขึ้นมา
ถึงอย่างไรปกติหลิงหงก็กินเยอะมากอยู่แล้ว แน่นอนว่าไข่ต้มชาสมุนไพรที่เดียวไม่เพียงพอสำหรับเขาหรอก
“ไม่เป็นไร ขอแค่ไข่ต้มชาสมุนไพรก็พอ แต่ช่วยบอกเจ้าเข็มทิศให้เติมน้ำชาลงในไข่ต้มชาสมุนไพรหน่อยนะ” หลิงหงกล่าวอย่างจริงจัง
“ได้ค่ะ” โจวเจียตอบตกลงหลังจากจ้องมองหลิงหง
“โอนเงินเรียบร้อยแล้วนะ” หลิงหงกล่าวพลางโชว์โทรศัพท์ให้ดู
โจวเจียพยักหน้าแล้วยื่นออเดอร์ให้หยวนโจว เมื่อหยวนโจวเห็นออเดอร์แล้ว เขาก็พูดขึ้นมาว่า “หลิงหง นายอยากให้เพิ่มน้ำชาเยอะเป็นพิเศษเหรอ?”
“เพราะวันนี้ฉันต้องกินข้าวที่บ้านน่ะสิ” หลิงหงกล่าวขึ้นมาอย่างน่าสงสัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น