ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 884-885
ตอนที่ 884 กำจัดศัตรู
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของปีศาจพันมายาซีดเผือดผิดปกติ เท้าโซเซหวิดจะล้มลงในทันใด
แม้ดูเหมือนเขาป้องกันการโจมตีของฝ่ามือยักษ์สีดำกลางท้องฟ้าได้ แต่เพื่อรักษา ‘ธงหยาปี้’ ต้นแบบอาวุธเวทชิ้นนี้ไว้ พลังเวทในร่างจึงทะลักออกจากร่างประหนึ่งน้ำหลากจนรู้สึกว่าทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
การโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไม่เป็นรองผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายสักนิด ทว่าเมื่อจิตสัมผัสของเขากวาดผ่านไปกลับตรวจสอบพลังที่แน่นอนของหลิ่วหมิงไม่ได้แม้แต่น้อย
“นิกายยอดบริสุทธิ์ถึงกับส่งคนร้ายกาจเช่นนี้มาไล่ล่าสังหารข้า…” ในใจปีศาจพันมายาเคียดแค้นนัก แต่เขาทำได้เพียงกัดฟันกระตุ้นพลังเวทในร่าง แสงสีดำบนร่างโถมออกมาอย่างบ้าคลั่ง กรอกเข้าไปในเงาจิ้งจกต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เงาของปีศาจอสูรตัวนี้สะบัดหางอย่างบ้าคลั่ง ต้านฝ่ามือยักษ์สีดำไว้ได้ชั่วครู่อีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ม่านตาพลันหดลงเล็กน้อยทันที!
หลังจากตัวเขากินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ไปสิบกว่าเม็ด พลังมหาศาลในร่างก็เพิ่มพรวดขึ้นจากก่อนหน้านี้หนึ่งเท่ากว่า แม้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นก็ไม่แน่ว่าจะรับการโจมตีเต็มกำลังของเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ปีศาจพันมายาผู้นี้อาศัยธงคำสั่งสีดำที่ไม่สะดุดตาผืนหนึ่งต้านกำลังมหาศาลของเขาไว้ได้ ไม่แปลกที่จะหนีรอดจากการไล่ล่าตามจับของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้หลายครั้ง
แต่มาถึงเวลานี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่คิดจะออมมือ ร่างกายเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ปราณดำทั่วร่างพลุ่งพล่านออกมา เสียงมังกรกู่ร้องพยัคฆ์คำรามสะเทือนแก้วหูแทบดับดังขึ้นพักหนึ่ง มังกรหมอกห้าตัวกับพยัคฆ์สีดำห้าตัวก็บินทะลวงตามออกมา หลังจากแยกเขี้ยวกางกรงเล็บบินวนอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งก็ผสานเข้าไปในฝ่ามือยักษ์สีดำจนหมด
ฝ่ามือยักษ์สีดำฉับพลันเปล่งแสงสีดำสว่างเจิดจ้า ชั่วพริบตาขยายพรวดขึ้นมากกว่าหลายเท่า พร้อมกันนั้นบนหลังมือก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงเข้มคล้ายเกล็ดมังกรปรากฏออกมาแผ่แสงรัศมีประหลาดเจิดจ้าแวววาว
ปีศาจพันมายารู้สึกว่าแรงกดดันเหนือศีรษะเพิ่มพรวดขึ้นหลายเท่าในพริบตา
ส่วนหางของจิ้งจกส่งเสียงแตกร้าวดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นเพียงสองสามลมหายใจทั้งร่างของเงาปีศาจอสูรก็ส่งเสียงดัง “บึ๊ม” แล้วแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นธงคำสั่งสีดำที่สูญเสียพลังจิตวิญญาณจากนั้นถูกโจมตีปลิวออกไปไกล
ฝ่ามือยักษ์สีดำร่วงลงมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง เสียงดังสนั่นราวกับอสนีบาตคำราม
ปีศาจพันหน้าสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ทันใดนั้นเขาก็กัดฟัน แสงสีขาวสว่างขึ้นบนฝ่ามือ ดอกหมู่ตันแกะสลักจากผลึกน้ำแข็งดอกหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากในแขนเสื้อ มันหมุนเร็วรี่รอบหนึ่งแล้วกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้ง หนาสองสามจั้งผืนหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้า พร้อมกันนั้นในมืออีกข้างหนึ่งก็มียันต์สีเทาขมุกขมัวแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาขยี้จนแหลกอย่างไม่ลังเลสักนิด
แสงสีเทาดวงหนึ่งเพิ่งหุ้มร่างกายของปีศาจพันมายาเสร็จ มือยักษ์สีดำก็ตบลงบนกำแพงน้ำแข็งแล้ว
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง!
กำแพงน้ำแข็งต้านมือยักษ์สีดำไว้ได้อย่างหวุดหวิดเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ก็พังทลายกลายเป็นเศษน้ำแข็งเต็มฟ้า
มือยักษ์สีดำโจมตีลงบนร่างปีศาจพันมายาโดยที่พลังไม่ลดทอน ทว่าปราณสีเทาพลุ่งพล่านบนร่างปีศาจพันมายากลับกระจายหายไป จากนั้นเขาก็กลายเป็นเงาพร่ามัวแล้วหายวับไป
เสียงทึบหนักดังขึ้นครั้งหนึ่ง มือยักษ์สีดำโจมตีลงบนพื้นดิน!
เทือกเขารอบด้านสั่นไหวตามเล็กน้อย ในหุบเขามีเศษหินไม่น้อยร่วงกราวเกิดเสียงประหนึ่งอสนีบาตครวญคราง
“คิดหนีหรือ?”
หลิ่วหมิงหัวเราะแผ่วเบาแล้วโบกมือ ฝ่ามือยักษ์สีดำกลายเป็นปราณสีดำพลุ่งพล่านก่อนจะสลายไปอีกครั้ง แล้วผสานเข้าไปในร่างประหนึ่งวาฬดูดน้ำ
พื้นดินที่เดิมทีปีศาจพันมายายืนอยู่ปรากฏรอยประทับฝ่ามือขนาดสิบกว่าจั้ง ลึกหลายฉื่อรอยหนึ่ง
เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจน พริบตาที่ฝ่ามือยักษ์ของเขาร่วงลงมา กลิ่นอายของปีศาจพันมายาพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เนื่องจากหายไปรวดเร็วเกินไป ตอนนี้ตรงที่เดิมจึงยังเหลือเงาเลือนรางสายหนึ่งไว้
“คงจะเป็นยันต์ล้ำค่าธาตุว่างเปล่าจำพวกยันต์เคลื่อนย้าย คนผู้นี้มีลูกเล่นพอตัวทีเดียว มิน่าจึงสังหารยากนัก…”
บนใบหน้าของหลิ่วหมิงไม่ได้เผยสีหน้าเสียดายออกมา เขาโบกมือส่งปราณดำสายหนึ่งไปม้วนธงคำสั่งสีดำผืนนั้นที่อยู่ไม่ไกลมา แม้ธงนี้เสียพลังจิตวิญญาณไปแทบหมดแล้ว แต่ด้านบนยังมีพลังเวทน้อยนิดหลงเหลืออยู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มีของสิ่งนี้อยู่ ขอเพียงปีศาจพันมายายังอยู่ในบริเวณพันลี้ หลิ่วหมิงเชื่อมั่นว่าตนจะจับตัวเขาได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“บึ๊ม” คลื่นพลังเวทรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าดังสนั่น หลิ่วหมิงหันศีรษะไปมอง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ อย่างอดไม่ได้
การเคลื่อนไหวนี้มาจากจั่วกงเฉวียนกับเซียเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกล
เวลานี้ร่างกายของจั่วกงเฉวียนลอยอยู่กลางอากาศ เส้นผมหนวดเคราสยาย สองมือที่หุ้มด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุโบกสะบัด ส่งเปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานแถบแล้วแถบเล่าออกมา จมลงไปในหมัดยักษ์สีแดงเพลิงสองข้างด้านหน้า
กำแพงศิลาสีน้ำตาลทองที่ต้านมันไว้ถูกฝ่ามืออัคคียักษ์ที่ร้อนระอุนี้โจมตีจนเกิดหลุมลึกหลุมหนึ่งและกำลังจะถูกแผดเผาจนทะลุ
เซียเอ๋อร์ที่ถูกแสงสีเหลืองครอบรอบร่างอยู่สีหน้าซีดขาว นางกระตุ้นพลังเวทในร่างบังคับศิลาใกล้ๆ ให้เข้ามารวมกันไม่หยุด พยายามถมลงไปในหลุมลึก
แต่จั่วกงเฉวียนในเวลานี้เห็นปีศาจพันมายาหนีไปเพียงลำพังแล้ว ในใจย่อมตกตะลึง ทันใดนั้นสองแขนก็หุบลง มืออัคคียักษ์พังทลายพร้อมเสียงดังกึกก้อง พร้อมกันนั้นเขาก็กลายเป็นเปลวเพลิงดวงหนึ่งบินเร็วรี่ออกไปไกล
“ประมุขจั่วตอนนี้เพิ่งคิดจะหนี สายเกินไปหน่อยหรือไม่?” เงาดำกะพริบแล้วหายวับไป หลิ่วหมิงข้ามผ่านระยะยี่สิบกว่าจั้งในพริบตาแล้วปรากฏตัวหน้าร่างจั่วกงเฉวียนประหนึ่งภูตพราย
“สหายหลิ่ว นี่…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…ล้วนเป็นเจ้าฟั่น…” เปลวเพลิงสาดซัด จั่วกงเฉวียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าสีหน้าซีดเผือดไปหมดขณะที่ฝืนเค้นรอยยิ้มบางออกมา
แต่เขาเพิ่งเอ่ยคำพูดไปครึ่งหนึ่ง สองมือก็พลันสะบัดไปด้านหน้าเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ หมัดสีแดงฉานที่หุ้มด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุสองหมัดหลุดออกมาจากมือ พาคลื่นความร้อนรุนแรงสองสายโจมตีออกไปพร้อมเสียงดังกึกก้อง เขาหายวับอีกครั้งแล้วพุ่งเร็วรี่หนีไปด้านข้าง
หลิ่วหมิงเพียงยิ้มน้อยๆ เขาบิดเอวครั้งเดียว ร่างกายก็หลบพ้นพร้อมกับมุ่งไปด้านหน้าประหนึ่งภูตพราย ร่างทะลวงผ่านระหว่างกลางหมัดสีแดงสองข้างไปอย่างเฉียดฉิว
เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นขึ้นสองครั้ง!
หมัดสีแดงสองข้างทยอยระเบิดด้านหลังหลิ่วหมิง จั่วกงเฉวียนคนนี้ถึงขั้นระเบิดถุงมือหมัดอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่พลังไม่ต่ำต้อยคู่หนึ่งอย่างไม่เสียดายเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แต่น่าเสียดายที่เขาคิดไม่ถึงว่านอกจากหลิ่วหมิงจะไม่ถอยยังรุกคืบเข้ามาแล้วยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกัน เสียง “ฟุบ” ก็ดังขึ้น ‘หลิ่วหมิง’ อีกคนที่สวมชุดเกราะสีทองพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าจั่วกงเฉวียน ดักเขาไว้กลางอากาศ พร้อมกันนั้นก็พลิกมือคว้าไม้เท้าหัวผี ส่งปราณดำพลุ่งพล่านบนร่างแล่นเข้าไปด้านใน
ร่างกายจั่วกงเฉวียนชะงักอย่างแรง หน้าซีดลงเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายสั่นเทิ่มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวหรือความเกรี้ยวกราด
เสื้อเกราะบนร่าง ‘หลิ่วหมิง’ คนที่อยู่ตรงหน้าเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ใบหน้าเขาฉับพลันกลายเป็นสภาพกึ่งโปร่งใสแลดูน่าหวาดกลัว พร้อมกันนั้นบนผิวก็ปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีทองตัวแล้วตัวเล่า เวลาไม่กี่ลมหายใจทั้งร่างของเขาก็ทอแสงสีทองสว่างไสว
“พลทหารยันต์!” จั่วกงเฉวียนเห็นภาพนี้ก็หลุดปากออกมา
“นับว่าเจ้ารอบรู้อยู่บ้าง น่าเสียดายความสามารถในการประเมินสถานการณ์ย่ำแย่เกินไป หากเจ้าหนีไปตั้งแต่แรก ข้าก็คร้านจะไปไล่ล่าสังหารเจ้า ส่วนตอนนี้…” หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังโฉบครั้งเดียวก็ไล่ตามมาถึงบริเวณใกล้ๆ แล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
สิ้นเสียง ปราณดำบนร่างเขาก็พวยพุ่งออกมารวมตัวกันกลายเป็นมังกรหมอกสีดำยาวหลายจั้งสองตัว พวกมันร้องคำรามพุ่งโถมเข้าใส่จั่วกงเฉวียนพร้อมกันจากทางซ้ายและขวา
จั่วกงเฉวียนจนมุมแล้ว แต่เวลานี้สมองกลับเยือกเย็นลง เขาหมุนตัวไปด้านข้าง ทันใดนั้นแสงเปลวเพลิงบนร่างก็ฉายสว่าง ก่อนจะชักมีดสั้นแวววาวสีแดงฉานเล่มหนึ่งออกมา
เคล็ดวิชาในมือเขาเปลี่ยนไป มีดสั้นสีแดงฉานมีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกไหม้ส่งเสียงดังฟู่ แสงสีแดงแสบตาส่องสว่างแล้วกลายเป็นมังกรเพลิงสีแดงยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง มันอ้าปากพ่นอัคคีร้อนแรงลำหนึ่งออกมาใส่มังกรหมอกสีดำสองตัว
อย่างไรเสียมังกรหมอกสีดำก็ก่อเกิดมาจากพลังเวท ส่วนมังกรเพลิงสีแดงเป็นร่างแปลงของต้นแบบอาวุธเวท ทั้งสองอย่างต่างชั้นกันตั้งแต่เนื้อใน มังกรหมอกสีดำฉับพลันถูกบีบให้ถอยหลังไม่หยุด
ทันใดนั้นร่างกายมังกรเพลิงสีแดงก็ยืดยาว พร้อมกับที่บนร่างมีเปลวเพลิงรุนแรงปะทุออกมา ล้อมมังกรหมอกของหลิ่วหมิงไว้ด้านใน
เวลานี้เองด้านหน้าจั่วกงเฉวียนพลันมีแสงสีทองฉายวาบ ร่างแยกยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองโถมเข้าไป ทว่าไม้เท้าหัวผีในมือไม่ได้กลายเป็นผีร้ายสีดำ แต่แปลงร่างเป็นเงากระบองถี่ยิบจู่โจมเข้าใส่จั่วกงเฉวียน
จั่วกงเฉวียนดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม เขาพลิกมือครั้งหนึ่งเรียกมีดสั้นสีแดงเพลิงที่เหมือนกันทุกประการอีกเล่มหนึ่งออกมา แสงสีแดงฉานสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นมีดสั้นพลันกลายเป็นมังกรเพลิง
ปัง ปัง ปัง!
ไม้เท้าสีดำฟาดลงบนร่างมังกรเพลิง แสงเปลวเพลิงกระเด็นพุ่งไปสี่ทิศ
ร่างกายใหญ่ยักษ์ของมังกรอัคคีสีแดงเพลิงฉวยโอกาสม้วนตัวรัดยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองไว้แน่น แสงอัคคีเจิดจ้าล้อมทั้งสองไว้ด้านใน
จั่วกงเฉวียนเห็นเช่นนี้พลันสีหน้ายินดี ร่างกายพุ่งออกไปด้านหลังกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง แหวกท้องฟ้าเหาะหนีไปอีกครั้ง กระทั่งมีดสั้นสีเพลิงสองเล่มก็ไม่เก็บกลับคืน
ผลสุดท้ายเขาเพิ่งเหาะออกมาได้ไม่ไกล เงาดำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เงาร่างที่มีปราณสีดำจางๆ ล้อมวนปรากฏตัวขวางอยู่เบื้องหน้าประหนึ่งภูตพราย
บนหน้าของจั่วกงเฉวียนไม่มีสีหน้าประหลาดใจ เขากลับตะโกนเสียงดังคำหนึ่ง ขณะที่มือข้างหนึ่งตบถุงหนังสีดำข้างเอวอย่างแรง ปราณดำก้อนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านในพร้อมกับเสียงของวิหคที่กรีดร้องเสียงแหลม ก่อนจะกลายเป็นปีศาจอินทรีสีดำมหึมา
อินทรีมารมืดตัวนั้นที่ถูกหลิ่วหมิงไล่ล่าสังหารแล้วหายไปไร้ร่องรอยก่อนหน้านี้นั่นเอง
แต่เวลานี้สองตาของอินทรีมารมืดขุ่นมัวไปหมดราวกับว่าถูกบางสิ่งปกคลุมไว้ การเคลื่อนไหวก็คล้ายจะแข็งทื่อไปอยู่บ้าง มันปรากฏตัวขึ้นก็กางปีกสองข้างออกทันที บนร่างมีไอปีศาจสีดำผุดออกมาหมุนเร็วรี่เกิดเป็นพายุหมุนสีดำสนิทเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งซึ่งแฝงปราณหยินน่าขนลุก และส่งเสียงบาดหูเหมือนโลหะออกมา
หลิ่วหมิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายกับอยู่ใกล้เกินไปจึงตอบสนองไม่ทันสักนิด พริบตาก็ถูกลมหมุนสีดำล้อมไว้ด้านใน
ส่วนจั่วกงเฉวียนฉวยโอกาสนี้กลายร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่หนีไปด้านข้างอีกครั้ง
แต่ขณะที่ประมุขนิกายเพลิงหยกผู้นี้โฉบไปด้านข้างพายุหมุน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหลังมีสายลมพัดแผ่วเบา จากนั้นท้องน้อยก็เย็นวูบ แขนที่มีเกล็ดสีม่วงเข้มแผ่ทั่วข้างหนึ่งส่งฝ่ามือทะลุออกมาพร้อมกับกำแก่นแท้สีแดงระยิบระยับดวงหนึ่งไว้
จั่วกงเฉวียนสองตาเบิกโพลง พลังปราณทั่วร่างชั่วพริบตาถูกสูบออกไปจนเกลี้ยง แต่เขายังคงเอี้ยวศีรษะกลับไปมองด้านหลังอย่างยากลำบาก
เขาเห็นหลิ่วหมิงกำลังลอยอยู่หลังร่างด้วยสีหน้าเฉยชา มือข้างหนึ่งชักออกจากท้องน้อยของจั่วกงเฉวียนแล้วออกแรงกำ แก่นแท้สีแดงดวงนั้นส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ” จากนั้นป่นเป็นผงในทันใด
“ไม่มีทาง…เจ้าไม่ได้ถูก…”
เลือดผุดออกมาจากท้องน้อยของจั่วกงเฉวียนไม่หยุดประหนึ่งน้ำพุ แก่นแท้แตกสลายย่อมไม่มีทางมีชีวิตรอดแล้ว แต่ปากยังคงเอ่ยถามอย่างยากจะเชื่อ
ตอนที่ 885 เมืองหนานหลู
“เมื่อครู่คนที่ถูกขังอยู่เป็นเพียงเงาร่างหนึ่งของข้าเท่านั้น ด้วยพลังระดับแก่นแท้ของเจ้า หากเป็นยามปกติน่าจะมองออก ส่วนอสูรเลี้ยงอินทรีมารมืดตัวนั้น ข้าย่อมเฝ้าระวังไว้ตลอดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
เพิ่งสิ้นเสียง แขนของเขาก็พร่าเลือนวูบหนึ่งโจมตีออกมาอีกหนึ่งหมัด
เงาหมัดสีดำพุ่งวูบหนึ่ง ศีรษะของจั่วกงเฉวียนก็ถูกสายลมจากหมัดต่อยกระจุย ของสีขาวกับสีแดงกระเซ็นไปรอบด้าน จิตวิญญาณหนีไม่ทันจึงถูกกำจัดทันที
เมื่อจั่วกงเฉวียนตาย ดวงตาของปีศาจอินทรีสีดำก็ฟื้นกลับมากระจ่างใสในทันที มันเห็นหลิ่วหมิงปุ๊บก็กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุดแล้วกระพือปีกสองข้างบินหนีไปไกลทันที
หลิ่วหมิงก็ไม่ได้ไล่ตามไปสังหารอินทรีมารมืดต่อ แต่เก็บแหวนเก็บของกับมีดสั้นสีแดงสองเล่มนั้นที่ตัวจั่วกงเฉวียนมา
จากนั้นเขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงดวงหนึ่งเผาศพของจั่วกงเฉวียนกลายเป็นจุณ
ในเวลาเดียวกันยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่อยู่ไม่ไกลก็ส่องแสงสีทองกลายเป็นยันต์แผ่นหนึ่งใหม่อีกครั้ง แล้วพุ่งรวดเร็วกลับมาหาหลิ่วหมิงพร้อมกับไม้เท้าหัวผีอันนั้นด้วยตนเอง ปราณดำม้วนออกมาครั้งหนึ่งก็หายไปจนหมดไม่เห็นร่องรอย
เงาคนหายวับไป จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวข้างค่ายกลสีทองอ่อน เขายกมือขึ้น ปราณดำสายหนึ่งพลันกลายเป็นรูปลูกธนูพุ่งเข้าชนค่ายกลสีทอง
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ค่ายกลสีทองที่หม่นแสงถึงที่สุดพังทลายลงพร้อมเสียงดังกึกก้องแล้วแตกกระจายกลายเป็นละอองแสงสีทอง แสงของแผ่นค่ายกลตรงใจกลางและธงค่ายกลหม่นลงจากนั้นทยอยร่วงลงเกลื่อนพื้นดิน
หลิ่วหมิงยกมือขึ้นสะบัด ปราณดำสายหนึ่งซัดออกมาพาแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลทั้งหมดลอยมาอยู่ในมือเขา จากนั้นบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมาเล็กน้อย
จากที่ปีศาจพันมายาบอกค่ายกลโปรดสัตว์ชุดนี้ได้มาจากในซากโบราณแห่งหนึ่ง เป็นค่ายกลพันธนาการที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ พลังของมันเมื่อครู่เขาก็ได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว มันเป็นสมบัติที่หายากชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง
“นายท่าน จะทำอย่างไรต่อดี? วันนี้จั่วกงเฉวียนผู้นั้นตายแล้ว ปีศาจพันมายาก็หายไปไร้ร่องรอยอีกครั้ง…” สตรีชุดตาข่ายดำเหาะมาข้างกายหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ปีศาจพันมายาเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลเกินไปนักไม่ได้ ข้ามีวิธีตามหาเขา” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่รีบร้อน เขาพลิกมือกินโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่ง เมื่อฤทธิ์ยากระจายตัว พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ เต็มเปี่ยมขึ้นมา
เซียเอ๋อร์ได้ฟังตอนนี้ถึงวางใจ
เงาร่างของหลิ่วหมิงขยับไหววูบหนึ่งก็ร่อนลงบนศิลายักษ์มหึมาก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วนั่งลงขัดสมาธิ หลังจากสูดลมหายใจโคจรปราณ เขาก็พลิกมือเรียกธงคำสั่งสีดำผืนนั้นที่ปีศาจพันมายาปล่อยทิ้งไว้ออกมาโยนเบาๆ ให้ลอยอยู่เบื้องหน้าร่าง
จากนั้นริมฝีปากเขาก็อ้าหุบท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบา สองมือทำท่ามืออันลี้ลับท่าแล้วท่าเล่าไม่หยุด แสงสีดำสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วไวออกมาจากบนร่างเขาแล้วรวมตัวกันเบื้องหน้าร่าง
เซียเอ๋อร์เห็นภาพนี้ก็ไม่เอ่ยปากรบกวน นางยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน
ผ่านไปไม่นาน กลางอากาศก็เริ่มเกิดวงกระเพื่อมสีดำวงแล้ววงเล่าแผ่ขยายออกไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีหลิ่วหมิงเป็นศูนย์กลาง ทำให้สรรพสิ่งรอบด้านพร่ามัวไม่ชัด
แม้เป็นเวลาเพียงครู่เดียวแต่สีหน้าของหลิ่วหมิงกลับซีดเผือดลงไปไม่น้อย ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นข้างหนึ่งจี้หนึ่งดัชนีออกมา ปราณดำสายแล้วสายเล่าที่วนเวียนอยู่บนธงคำสั่งสีดำเบื้องหน้าฉับพลันลอยออกมาแล้วทยอยผสานเข้าไปในวงกระเพื่อมสีดำรอบร่าง
วงกระเพื่อมสีดำฉับพลันสั่นไหวแผ่วเบา ความเร็วที่กระเพื่อมเร็วขึ้นหลายส่วนในทันใด ก่อนจะรวมตัวกันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงพลันลืมตากว้าง ประกายสีดำในดวงตาปรากฏขึ้นวูบหนึ่งแล้วหายไป
“ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจริงๆ…” เขาหยุดใช้วิชาแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ตอนนี้เขามั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่าทิศทางที่ปีศาจพันมายาผู้นี้หนีไปคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และสิ่งที่อยู่ถัดไปทางทิศนี้ก็คือเมืองหนานหลู
การใช้วิชาเพียงชั่วครู่นี้ทำให้หน้าผากของหลิ่วหมิงมีเหงื่อซึมออกมา เห็นชัดว่าการใช้วิชาลับตามรอยชนิดนี้กินพลังเวทและพลังจิตไม่น้อย ทุกครั้งที่ใช้วิชานี้ล้วนกินพลังปราณของเขาไปอย่างไม่ธรรมดา
“ตอนนี้พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงโบกมือเก็บธงคำสั่งสีดำไป หลังจากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีขาวสายหนึ่งส่องสว่าง เรือหยกจันทราที่ใสแวววาวทั้งลำลอยออกมาเบื้องหน้า
เขากับเซียเอ๋อร์ทะยานร่างกระโดดขึ้นไป หลังจากนั้นเรือหยกพลันฉายแสงสีแดงกลายเป็นลำแสงสีแดงเส้นหนึ่ง แหวกท้องนภาเหาะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
……
เมืองหนานหลูในฐานะเมืองหลวงของแคว้นเจียง ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงของแคว้นเจียง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย
เมืองแห่งนี้พื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ทางเหนือของเมืองอยู่ติดทะเลสาบเข็มขัดหยกอันมีทิวทัศน์งดงาม ส่วนอีกสามด้านคือกำแพงเมืองมหึมาสูงถึงยี่สิบสามสิบจั้ง ทั้งหมดก่อจากอิฐสีดำหนาหนึ่งจั้งกว่า เมื่อมองจากไกลๆ เมืองทั้งเมืองราวกับป้อมปราการโลหะอันแข็งแกร่งหลังหนึ่งที่ทอดตัวอยู่ริมทะเลสาบ
เมืองหนานหลูมีประตูเมืองหลักอยู่สามทิศได้แก่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศใต้ นอกประตูเมืองคือคูเมืองกว้างยี่สิบสามสิบจั้งซึ่งวนล้อมรอบกำแพงเมืองครบรอบหนึ่งแล้วเชื่อมต่อกับทะเลสาบเข็มขัดหยก คูน้ำถูกขุดจนลึกไม่เห็นก้น ในคูน้ำมีกระแสน้ำไหลอยู่รางๆ เห็นชัดว่าข้างใต้นี้ไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้น
ถนนในเมืองเชื่อมต่อไปทั้งสี่ทิศแปดทาง สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่เรียงรายเป็นระเบียบ แม้บ้านเรือนจะหนาแน่นแต่ไม่แลดูเบียดเสียด สภาพแวดล้อมเป็นสะอาดระเบียบยิ่งนัก
ใจกลางเมืองมีถนนหลักสองสายพาดตัดกันเป็นสี่แยกแบ่งเมืองออกเป็นสี่เขตขนาดไม่เท่ากัน เขตตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้ครอบครองพื้นที่ใหญ่ที่สุด เป็นพื้นที่รวมกิจการของมนุษย์ธรรมดากับที่พักอาศัย แล้วยังเป็นสถานที่ซึ่งเศรษฐีและประชาชนธรรมดาอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้สิ่งก่อสร้างจึงแลดูลดหล่นไม่เสมอกันอยู่บ้าง
เขตตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของวังหลวง เชิงชายและหลังคา รั้วสลักกับบันไดหยกด้านในงดงามโอ่อ่า มีการคุ้มกันแน่นหนา เป็นสถานที่ซึ่งแลดูยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของเมืองหนานหลู
นอกจากวังหลวง องค์ชายและชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งของราชวงศ์แคว้นเจียงก็อาศัยอยู่บริเวณนี้
เขตตะวันออกเฉียงเหนือเล็กที่สุดและเป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างพิเศษของเมือง ที่นั่นคือสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนซึ่งธรรมดาแล้วน้อยนักจะตั้งรกรากอยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เมืองหนานหลูจึงเป็นเมืองใหญ่ที่ผู้ฝึกฝนกับมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ปะปนกันซึ่งค่อนข้างหาได้ยากบนแผ่นดินจงเทียน
สาเหตุหลักประการหนึ่งที่กลุ่มผู้ฝึกฝนยินดีอยู่ที่เมืองหนานหลูก็เพราะราชวงศ์แคว้นเจียงเองก็เป็นตระกูลผู้ฝึกฝนที่พลังไม่อ่อนแอ พวกเขาไม่เพียงไม่เสียดายเงินทองมากมายรวบรวมผู้ฝึกฝนอิสระไม่น้อยมาเลี้ยงดูเป็นที่ปรึกษา แล้วยังจงใจเปิดพื้นที่เช่นตลาดไว้ให้ผู้ฝึกตนที่เดินทางไปมาพักผ่อนอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ น้ำในทะเลสาบเข็มขัดหยกซึ่งกินพื้นที่บริเวณหลายร้อยลี้ทางเหนือของเมืองหนานหลูแห่งนี้ยังเป็นแหล่งให้กำเนิด ‘หยกมังกรหวน’ หยกชั้นสูงอันงดงาม หากนำไปทำเครื่องหยกให้มนุษย์ธรรมดาพกจะมีคุณสมบัติยืดอายุขัยให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นวัสดุชั้นยอดในการทำยันต์หยกราคาสูง มันจึงนำความเจริญรุ่งเรืองอันไม่ธรรมดามายังที่แห่งนี้
เวลานี้ประจวบเหมาะเป็นยามดึก จันทร์เสี้ยวสีขาวสว่างดวงหนึ่งลอยล่องผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางหมู่เมฆท่ามกลางดวงดาราเต็มท้องฟ้า
ทั้งเมืองบอกลาความรุ่งเรืองครึกครื้นยามกลางวัน บ้านเรือนนับหมื่นทยอยดับโคมไฟ สรรพเสียงทยอยเงียบสงบ
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งฉวยโอกาสยามราตรีบินเร็วรี่มาจากที่ไกล ข้ามผ่านกำแพงเมืองลอบเข้ามาในเมืองอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นมุ่งตรงไปทางพระราชวังที่เขตตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง
เงาดำรวดเร็วอย่างที่สุด ชั่วพริบตาก็พุ่งออกไปหนึ่งร้อยกว่าจั้ง ทั้งร่างไม่แผ่กลิ่นอายออกมาสักนิด เมื่ออยู่ภายใต้การปกปิดของราตรีไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกฝนธรรมดาก็ไม่อาจค้นพบความผิดปกติอันใดได้สักนิด
พระราชวังของแคว้นเจียงครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของเขตตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหนานหลู หอกับตำหนักที่มีบันไดหยกแกะสลักประณีตหลังแล้วหลังเล่า ทางเดินใหญ่น้อยอันหรูหราสง่างามนับไม่ถ้วนและสวนบุปผากับสระน้ำงดงามซึ่งประดับด้วยดอกไม้กับต้นไม้หายากมากมายหลายสวนทำให้แม้แต่เหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ในพระราชวังมาหลายปีก็ยังมักจะเกิดเรื่องน่าขันอย่างเช่นการจำทางผิดอยู่เสมอ
ทว่ายามเที่ยงคืน ในพระราชวังทุกห้าก้าวสิบก้าวล้วนมีเวรยาม องครักษ์สวมชุดเกราะเดินไปมาตรวจตราเป็นระยะ เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
ท้องฟ้าเหนือมุมหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวัง เงาดำโฉบร่อนลงด้านในกำแพงวัง จากนั้นก็ราวกับเข้ามาในสถานที่ร้างไร้ผู้คน เดินตัดผ่านในพระราชวังอย่างคุ้นเคยจนมาถึงบนตำหนักหกเหลี่ยมแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
แสงสีดำบนเงาคนค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดขาวร่างหนึ่ง เขาก็คือปีศาจพันมายานั่นเอง
เวลานี้เขาเหมือนจะเสียพลังเวทไปหมดเกลี้ยงแล้วยังเร่งเดินทางไกลมา สีหน้าจึงซีดเผือดเล็กน้อย หลังยืนมั่นคงก็ยังหันหลังกลับไปมองอย่างหวาดหวั่น แล้วเอ่ยกับตนเองอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“สมควรตาย! เจ้าหนูจากนิกายยอดบริสุทธิ์คนนั้นเหมือนจะยังไล่ตามมาอยู่ ข้าใช้วิชาลับซ่อนเร้นร่องรอยแล้วชัดๆ เขายังตามรอยตำแหน่งของข้าได้อย่างไร?”
เพิ่งสิ้นเสียง บนหน้าเขาก็พลันแดงก่ำอย่างผิดปกติ กลิ่นอายบนร่างสับสนไปพักหนึ่ง เขารีบล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมา เทโอสถสีขาวแวววาวเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป สีแดงก่ำบนหน้าถึงค่อยๆ ลดลง
หลังจากนั้นปีศาจพันมายาก็ลังเลเล็กน้อยแล้วกัดฟัน บนร่างปรากฏคลื่นแสงไหวกระเพื่อม ชั่วพริบตาเขาก็กลายร่างเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าสง่างาม รูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อยคนหนึ่ง ร่างกายขยับทีเดียวก็ผลุบเข้าไปในตำหนักหกเหลี่ยมหลังที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบ
ในห้องบรรทมอันหรูหราห้องหนึ่งในตำหนัก ปีศาจพันมายาปรากฏตัวขึ้น หลังจากกวักมืออีกครั้ง ชุดผ้าไหมสีเหลืองสว่างตัวหนึ่งก็สวมลงบนร่างของเขา
บนชุดผ้าไหมปักลายมังกรสีทองห้าเล็บขดร่างอยู่ตัวหนึ่ง เห็นชัดว่าเป็นชุดที่จักรพรรดิแคว้นเจียงเท่านั้นถึงจะสวมได้
หลังจากสวมชุดผ้าไหมแล้ว บรรยากาศรอบตัวปีศาจพันมายาพลันเปลี่ยนแปลงไปทันที คลื่นพลังเวทบนร่างคล้ายมลายหายไปหมดสิ้น แปลงกายเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้น่าเกรงขามคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ไม่มีใครคาดคิดว่าปีศาจพันมายาจะซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังของแคว้นเจียง นอกจากนี้ยังเป็นประมุขแห่งแคว้นเจียงอีกด้วย!
ปีศาจพันมายาดวงตาเป็นประกาย เขาพลิกมือตบหนึ่งฝ่ามือลงบนร่างของตนเอง บนใบหน้ามีปราณสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งผุดออกมาทันที
ผ่านไปไม่นาน ในตำหนักหกเหลี่ยมก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น โคมไฟจุดส่องสว่าง นางกำนัลและขันทีมากมายรีบร้อนเดินเร็วไวเข้ามา
“มีมือสังหาร!”
“มีคนจะลอบสังหารจักรพรรดิ! รีบคุ้มครองพระองค์เร็ว!”
องครักษ์นับไม่ถ้วนแห่เข้ามาในกำแพงของตำหนักหกเหลี่ยมหลังนี้ประหนึ่งน้ำหลากแล้วล้อมตำหนักไว้เป็นวง ทั้งพระราชวังราวกับถูกปลุกให้ตื่น ตำหนักแต่ละหลังจุดโคมไฟสว่างตามต่อกัน
ในเวลาเดียวกันนั้นประกายแสงประหลาดก็ฉายแวบขึ้นกลางราตรีมืด ลำแสงสะดุดตาหลายสายร่วงลงนอกตำหนักหกเหลี่ยม หลังแสงรัศมีสลายไปก็เผยให้เห็นเงาคนที่สวมชุดยาวสีแดงหลายคน ในนั้นมีบุรุษ มีสตรี ปราณที่แผ่ออกมาล้ำลึกอัดแน่น พลังสูงกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายอยู่เลือนราง หัวหน้าเป็นผู้เฒ่าเคราขาวโพลนคนหนึ่งที่พลังบรรลุถึงขั้นระดับผลึกขั้นกลาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น