หมอดูยอดอัจฉริยะ 882-885
ตอนที่ 882 อั่งเปา
“เยี่ยเทียน เข้ามาได้ยังไง?”
เยี่ยตงจู๋ที่เพิ่งรับทารกมาจากพยาบาลเห็นเข้าก็ตกใจ รีบไล่เขาออกไป
“รีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย ผู้ชายเข้ามาในห้องคลอดไม่เป็นมงคล เร็วๆ!”
“นั่น….นั่นลูกผมนี่นา?”
เห็นทารกหน้าเหี่ยวย่นในอ้อมอกของป้าใหญ่ที่กำลังแหกปากร้องเสียงดัง เยี่ยเทียนแทบไม่ได้ยินที่ป้าใหญ่เตือน เขาไม่สนใจว่าเด็กทารกยังไม่ได้ล้างตัวก็รีบเดินเข้าไปอุ้ม
“เยี่ยเทียน แก…”
“พี่ใหญ่ เดี๋ยวนี้ยุคสมัยไหนแล้ว อย่าพูดเรื่องนี้เลย!”
ซ่งเวยหลันเห็นว่าเยี่ยตงจู๋ยังเอ่ยปากไล่เยี่ยเทียนต่อจึงรีบห้ามไว้ เยี่ยเทียนเก็บอารมณ์เก่งตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ซ่งเวยหลันอยู่กับบุตรชายมายังไม่เคยเห็นเขาแสดงออกด้วยความจริงใจแบบนี้ เธอไม่อยากให้เยี่ยตงจู๋รบกวนลูกชาย
“พวกเธอนี่จริงๆ ไม่เชื่อฟังคำคนแก่!”
ป้าใหญ่ถอนหายใจ แต่ไม่ได้ว่าอะไรต่อ พ่อเด็กกับย่าเด็กเป็นแบบนี้ เธอเป็นเพียงย่าห่างๆจะว่าไปก็ไม่ดี
“นี่ลูกชายของผม?”
ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะฝึกวิชาขั้นสูงแค่ไหน มีสถานะสูงส่งเพียงใด ตอนนี้เขาเหมือนกับพ่อคนอื่นๆทั่วไปที่กำลังอุ้มลูกน้อย ซึมซับสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ความรู้สึกอบอุ่นเต็มล้นอยู่ภายในอก
“ฮ่าๆ เด็กผู้ชาย!”
เยี่ยเทียนคว้าตัวทารกมาอุ้มไว้คลำลงไปใต้ผ้าแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะของเขาทำให้ทารกน้อยหยุดร้องไห้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ดี เกิดเป็นคนต้องยิ้มรับทุกสถานการณ์!”
เยี่ยเทียนดูแล้วลูกของเขาดีทุกอย่าง ต่อให้บนหน้าของเด็กน้อยมีสิ่งสกปรกเปื้อนอยู่ เยี่ยเทียนก็มองว่าหอม
“ดูนายสิ เยี่ยเทียน รีบส่งลูกให้น้าหวังได้แล้ว จะได้ล้างตัวทำความสะอาด!”
อวี๋ชิงหย่ามองดูเยี่ยเทียนอุ้มลูกของพวกเขาไว้อย่างกับแก้วตาดวงใจ เธอยิ้มอย่างปลาบปลื้ม เยี่ยเทียนได้ใช้พลังปราณแท้คุ้มครองร่างกายของเธอไว้ หลังจากคลอดเสร็จนอกจากอ่อนเพลียเล็กน้อยแล้ว เธอไม่มีอันตรายอันใด
“ใช่ ใช่ หมอหวัง ลำบากคุณแล้ว!”
เยี่ยเทียนได้ยินที่ภรรยาเตือนแล้วก็นึกได้ รีบส่งตัวทารกในอ้อมอกให้ศาสตราจารย์หวังผู้ทำคลอดอย่างระมัดระวัง เขาเดินเข้าไปที่เตียงของอวี๋ชิงหย่า จับมือภรรยาไว้ แล้วพูดว่า
“ชิงหย่า ลำบากเธอแล้ว เธอเห็นไหม ลูกของเราเกิดมาแล้ว!”
“นายนิสัยไม่ดี!”
อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนล้อจนเขินอาย ลูกชายเธอคลอดออกมาเองจะไม่รู้ได้อย่างไร ดูท่าสามีที่ฉลาดหลักแหลมและสุขุมเยือกเย็นของเธอก็มีวันเสียจริตได้เหมือนกัน
“เยี่ยเทียน อั่งเปาที่นายเตรียมไว้ล่ะ?” อวิ๋ชิงหย่าแอบกระซิบถามเยี่ยเทียนเบาๆ
เพื่อให้อวี๋ชิงหย่าคลอดอย่างปลอดภัย มีหมอและพยาบาลเข้ามาพักอาศัยในเรือนสี่ประสานมากถึงแปดคน ทุกวันจะคอยผลัดเวรกันดูแลด้วยความเหน็ดเหนื่อย อวี๋ชิงหย่าบอกให้สามีเตรียมอั่งเปาไว้ให้พร้อมแล้ว
“เตรียมไว้แล้ว เตรียมไว้นานแล้ว!”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืนอย่างหน้าระรื่น หยิบซองสีแดงออกมาจากกระเป๋า บนนั้นต่างเขียนชื่อเอาไว้แล้ว ซองแรกแน่นอนว่าต้องให้หมอหวังผู้ชราแล้ว
“หมอหวังครับ นี่เป็นสินน้ำใจเล็กน้อย กรุณาอย่าปฏิเสธเลยนะครับ!”
“เสี่ยวเยี่ย เธอเกรงใจเกินไป เอาเถอะ ฉันรับไว้แล้วกัน เธออยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวอวี๋ พวกเราจะอาบน้ำให้หนูน้อย!”
หมอหวังเกษียณอายุมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ในวงการแพทย์สาขาสูตินารีเวชนั้นท่านมีตำแหน่งสูงมาก ทั้งยังถูกเชิญให้กลับไปทำงานในโรงพยาบาลต่อ ครั้งนี้ได้ทำคลอดให้อวี๋ชิงหย่า หญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่ายังทำคลอดด้วยความชำนาญ
หมอชราเข้าใจความตั้งใจของเยี่ยเทียน อีกอย่างอั่งเปาที่ได้รับนั้นดูจะบางมาก น่าจะเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยจากเยี่ยเทียน จึงรับมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเป็นมืออาชีพในงานชนิดนี้ไม่อยากถูกใครครหาว่าเธอรับเงินซองแดง
“พยาบาลหลิว อันนี้ของคุณ พี่จ้าว นี่ของคุณ….”
เยี่ยเทียนแจกซองแดงให้ทุกคนอย่างครบถ้วน ด้วยว่าการคลอดที่ราบรื่น เหล่าพยาบาลจึงออกไปดูแลทารกกันหมด
“พี่จ้าว มีบ้านหลังใหญ่โต ทำไมขี้งกจัง?”
ออกจากห้องคลอดมาแล้ว พวกพยาบาลที่เพิ่งเข้าทำงานในโรงพยาบาลได้ไม่นานเริ่มกระซิบนินทา เธอใช้มือบางจับซองดู ด้วยประสบการณ์ของเธอ ข้างในอย่างมากคงมีธนบัตรไม่เกินยี่สิบใบ ยังน้อยกว่าอั่งเปาที่เธอเคยได้รับในโรงพยาบาล
“เสี่ยวโจว อย่าเอ็ดไป พวกเราเป็นทหารนะ!”
พี่จ้าวถูกพยาบาลสาวพูดเข้าก็ตกใจ พวกเธออยู่ในโรงพยาบาลค่ายทหาร ทุกคนมียศทหารทั้งนั้น พวกเธอได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เห็นว่าหมอหวังก็รับอั่งเปา อย่าว่าแต่สองร้อยหยวนเลย แค่ร้อยเดียวเธอยังไม่กล้ารับ
พี่จ้าวทำงานมานาน ประสบการณ์ทางสังคมสูงกว่าพยาบาลสาว
เธอไม่รู้ว่าครอบครัวของเยี่ยเทียนมีฐานะแบบไหน แต่การที่สามารถให้พวกเธอที่เป็นคณะจากโรงพยาบาลสูตินารีเวชที่ดีที่สุดในประเทศ อีกทั้งคนระดับศาสตราจารย์หวังมาทำคลอดให้ถึงบ้าน คนหนุ่มแซ่เยี่ยคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
“ขี้งกก็ขี้งกสิ….”
พยาบาลสาวยังบ่นต่อเล็กน้อยแล้วไม่พูดต่อ พี่จ้าวเป็นหัวหน้าแผนกของเธอ การแสดงกิริยาไม่ดีต่อหน้าหัวหน้านั้นไม่คุ้ม
“อั่ง….อั่งเปาไม่ใช้เงิน แต่เป็นเช็คเงินสด!”
เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำที่เตรียมไว้แต่แรกแล้ว พยาบาลอีกคนหนึ่งแอบเปิดอั่งเปาออกดู เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในแล้วอึ้งไป มือที่ถือซองอยู่สั่นไหว
“เสี่ยวหลิว มีเรื่องอะไร? รีบเทน้ำร้อนได้แล้ว ต้องลองให้อุ่นพอดี!”
หมอหวังได้ยินเสียงตื่นตระหนกของพวกพยาบาลแล้วหันมามองพวกเธอด้วยแววตาไม่พอใจ ทำให้พยาบาลพวกนั้นรีบเก็บซองแล้วหันมาล้างตัวทำความสะอาดตัวทารกอย่างขมีขมัน
ล้างตัวเสร็จแล้วหมอหวังยังนวดตัวให้เด็กกับมือ แล้วนำเด็กวางลงในรถเข็น เธอเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดว่า
“พวกเธอก่อนมาที่นี่ได้เซ็นสัญญาเก็บเป็นความลับไว้ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ห้ามพูดออกไป ไม่เช่นนั้นต้องถูกตัดสินในศาลทหาร
“ศาสตราจารย์หวัง พวกเราเข้าใจแล้ว”
ทุกคนตอบรับพร้อมกัน แต่พยาบาลที่เปิดอั่งเปาออกดูคนนั้น ใบหน้ายังมีแววตกใจหลงเหลืออยู่ ถามอ้ำๆอึ้งๆต่อว่า
“ศาสตราจารย์หวังคะ อั่งเปาเรายังต้องรับอยู่ไหม?”
“เอาสิ ทำไมล่ะ ไม่เป็นไร พวกเธอรับไว้ มันไม่ผิดกฎ!”
ศาสตราจารย์หวังไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นหลานชายของซ่งเฮ่าเทียน เมื่อเขาให้อั่งเปามา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเรียกร้องความรับผิดชอบจากพวกเธอ อีกอย่าง….ศาสตรจารย์หวังได้ยินที่พยาบาลหลิวพูดไม่ชัดว่าในอั่งเปานั้นเป็นอะไร ยังคงเชื่อว่าเป็นเพียงเงินไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น
“แต่….แต่ว่า…..”
ได้ยินคำพูดของหมอหวังแล้วพยาบาลหลิวหน้าแดงขึ้นมา
“แต่คุณเยี่ยเทียนให้เป็นเป็นเช็คเงินสด…จำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน!”
“อะไรนะ?”
พยาบาลหลิวเอ่ยออกไปแล้ว คนอื่นๆในห้องได้ยินแล้วตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนูอยู่ในรถเข็นเด็กแล้ว อาจจะลื่นหลุดจากมือของใครบางคนก็เป็นได้
“ของฉันก็หนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดเหมือนกัน”
“ของฉันก็ด้วย….”
“ของฉันสองแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปด!”
เหล่าพยาบาลหยิบซองของตัวเองออกมาเปิดออกดู นอกจากพี่จ้าวกับศาสตราจารย์หวังที่ยังไม่ได้เปิดซองแล้ว คนอื่นๆต่างได้เงินจำนวนเท่ากัน คือหนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปด พี่จ้าวได้มากกว่าคนอื่นหนึ่งแสนหยวน
สายตาของทุกคนหันมองจ้องมองที่ศาสตราจารย์หวัง การเป็นหมอสูติทำคลอดนั้น ศาสตราจารย์หวังต้องได้มากกว่าใคร ซองที่ใส่ยังใหญ่กว่าของคนอื่น ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นทั้งนั้น
“เสี่ยวจ้าว เธอดูเถอะ”
ศาสตรจารย์หวังส่ายหัว เธอเป็นหมอสูติทำคลอดมาทั้งชีวิต ทำคลอดให้เด็กมานับไม่ถ้วย ปฏิเสธอั่งเปาไปก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเห็นใครให้อั่งเปาเป็นเช็คเงินสดมาก่อนเลย
“ศาสตราจารย์หวัง แปดแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปด!”
เปิดซองออกแล้วหัวหน้ากลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง บนเช็คนั้นจำนวนเงินมีแต่เลขแปดเรียงกัน หัวหน้าจ้าวตกใจมาก แค่ทำคลอดเด็กคนเดียวต้องให้ถึงขนาดนี้เชียว จำนวนเงินที่มากมาย เกรงว่าทั่วประเทศจะมีก็แต่บ้านนี้บ้านเดียว?
“เงินนี้ รับไว้ไม่ได้!”
ศาสตราจารย์หวังยื่นมือไปรับเช็คเงินสดกลับมา เธอเป็นหมอสูติมาทั้งชีวิต ลูกอมมงคล ไข่มงคลเคยรับมาไม่น้อย แต่ไม่เคยรับเงิน
ตอนแรกศาสตราจารย์หวังไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของเยี่ยเทียน แต่เงินจำนวนนี้มากเกินไปต่อให้เป็นเงินพิเศษจากรัฐ แต่สำหรับเงินเดือนในยุคนี้ เงินจำนวนนี้เท่ากับเงินเดือนของเธอสิบปีรวมกัน
ทุกคนได้ยินดังนั้นแล้วทั้งกลุ่มได้คืนเช็คเงินสดกลับไปด้วยท่าทีเสียดาย สำหรับพยาบาลสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานนั้น เงินหนึ่งแสนแปดหมื่นกว่าหยวนนี้ถ้าเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยสามารถซื้อบ้านใกล้ๆโรงพยาบาลหลังหนึ่งได้เลย
“เฮ้อ ผมก็ว่า นี่มันอะไรกัน?”
ตอนที่ทุกคนรวบรวมซองแดงยื่นส่งให้ศาสตราจารย์หวังอยู่นั้น ประตูถูกเปิดออก เยี่ยเทียนชะโงกหน้าเข้ามาดูท่าทางมีลับลมคมใน เขากลัวว่าจะรบกวนการทำงานของหมอและพยาบาล กลับไม่คิดว่าพวกเธอกำลังเปิดอั่งเปาที่เขาให้ไปอยู่
“คุณเยี่ย เจ้าหนูอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ฉันได้นวดตัวให้เขาด้วย ตอนนี้เขาหลับปุ๋ยเลย!”
ศาสตราจารย์หวังต้อนรับเยี่ยเทียนให้เข้าไป
“คุณเยี่ย คุณมาพอดีเลย ความตั้งใจของคุณพวกเราเข้าใจ แต่เงินจำนวนนี้ พวกเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ มันผิดกฎ ต่อให้ท่านซ่งออกปาก พวกเราก็ไม่กล้ารับ!”
ถ้าเป็นแค่ไม่กี่ร้อยกี่พัน ศาสตราจารย์หวังยังจะเห็นแก่หน้าหลานชายของท่านซ่ง แต่เงินหลายแสนเธอไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้ารับ หากถูกพูดออกไปชีวิตบั้นปลายเธอจะไม่เป็นสุข!
ตอนที่ 883 เยี่ยขิว
“ถ้าตามอายุ ผมต้องเรียกคุณว่าคุณน้ามั้งครับ?”
หลังจากได้ยินอาจารย์หวังพูดแบบนั้น ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเหลือบมองลูกชายนอนหลับอยู่บนเตียงทารก แต่เขายังพูดต่อไปว่า
“คุณน้าหวัง เงินนี้ไม่เกี่ยวกับคุณตา ผมอยากแสดงความขอบคุณ คุณน้าอย่าสนใจจำนวนเลยนะครับ หลายวันที่ผ่านมา ทุกคนดูแลพวกเราดีมาก ผมว่าเงินจำนวนนี้มันเหมาะสมแล้วนะครับ คิดซะว่าผมเป็นปุถุชนคนหนึ่งก็แล้วกันครับ! ”
ตอนปิดผนึกซองอั่งเปา เยี่ยเทียนใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เดิมทีเขาอยากแจกอั่งเปาให้คนละ 8888 หยวน ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร
เพราะวันก่อนอวี๋ชิงหย่าจะคลอด เธอเดินสะดุดขณะเดินเล่นในสวน อาจารย์หวังที่เดินอยู่ข้างๆพยุงเธอไว้ แล้วอาจารย์ก็ลื่นตกลงบ่อน้ำในสวนจนเสื้อผ้าเปียกโชก
และช่วงนี้ ผู้ดูแลทุกคนปฏิบัติหน้าที่กันสุดความสามารถ อย่างเช่นพี่จ้าว ลูกชายกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอเธอย้ายเข้ามา ทั้งอาทิตย์นั้นเธอรวบรวมความสนใจทั้งหมดไว้ที่อวี๋ชิงหย่าไม่ออกไปไหนเลย
เยี่ยเทียนรู้สึกเกรงใจมาก พอปรึกษากับแม่เสร็จ เขาจึงตัดสินใจแจกอั่งเปาให้กับพวกเธอ และก็เป็นไปตามที่พูด เยี่ยเทียนไม่ได้อยากแสดงความร่ำรวย แต่เขามีความตั้งใจจะขอบคุณคุณหมอและพยาบาลเหล่านี้จริงๆ
“เสี่ยวเยี่ย น้ำใจนี้น้าขอรับไว้นะ แต่เสี่ยวเยี่ยก็รู้ว่าโรงพยาบาลของเราเป็นยังไง มันผิดกฏโรงพยาลหน่ะ!”
อาจารย์หวังเคยปฏิเสธอั่งเปาซองแล้วซองเล่า เธอคุ้นเคยเหตุการร์นี้เป็นอย่างดี แล้วสิ่งที่เธอพูดออกมาก็ไม่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ดีด้วย
“ทำผิดกฏ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแบบนั้น เขาหัวเราะ กล่าวว่า
“คุณน้าหวัง เงินที่ผมให้ ไม่มีใครกล้าพูดว่าทำผิดกฏหรอกครับ พวกคุณรับไปเถอะ ถ้าไม่รับ ผมจะนำเงินส่วนนี้ไปทำเป็นส่วนหนึ่งของโบนัส ถ้าไม่กลัวคนในโรงพยาบาลตาลุกวาว คุณน้าเอาคืนให้ผมก็ได้นะครับ!”
เยี่ยเทียนดูออกว่า คุณน้าตรงหน้าไม่อยากรับเงินจริงๆ แต่หมอและพยาบาลพวกนั้น รู้สึกเสียดายจนเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่แสดงออกมา นี่มันยุคต้นศตวรรษที่ 21แล้ว เงินเดือนที่ได้รับจากโรงพยาบาลก็เท่านั้น ถ้าจะเก็บเงินให้ได้สักแสนจากเงินเดือน ก็ต้องใช้เวลาเกือบ5-6ปี
“เสี่ยวเยี่ย ฉันรู้ว่าเธอเป็นหลานชายของคุณซ่ง แต่…แต่พวกเราเป็นโรงพยาบาลทหาร คุณซ่งคงไม่ให้พวกเรารับเงินนี้หรอกมั้ง?”
คำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่มั่นใจเกินไปจนอาจารย์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนเคยมีตำแหน่งและอำนาจสูง แต่เขาเกษียณไปแล้ว อีกอย่างทหารกับท้องถิ่นแยกออกเป็นสองระบบ การทำงานของระบบก็แตกต่างกัน แม้จะเป็นคุณซ่ง ก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวการทำงานของโรงพยาบาล
“ก็ผมบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวกับคุณตาเลยครับ…”
เยี่ยเทียนมองคุณน้าอาวุโสผู้ดื้อรั้นจนไม่รู้จะพูดยังไง เขาแค่อยากดูลูกชายนานๆ ไม่มีเวลาไร้สาระตรงนี้มากนัก เขาจึงรีบกล่าวไปว่า
“คุณน้าหวัง เอาแบบนี้ก็แล้วกันครับ เช็คพวกนี้คุณน้าเอาไปก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันดีมั้ยครับ!”
“ก็ได้ เธอมาดูลูกใช่มั้ยเสี่ยวเยี่ย? เจ้าตัวน้อยแข็งแรงมาก”
คุณน้าอาวุโสพยักหน้า เธอเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของเยี่ยเทียนดี ถ้าเยี่ยเทียนไม่เอากลับจริง เธอจะให้คนที่ได้รับเช็คทุกคน นำเช็คส่งมอบให้กับองค์กร อย่างน้อยเธอก็รักษาน้ำใจของเยี่ยเทียนเอาไว้ได้
“ต้องขอบคุณคุณน้าทุกคนครับ ผมเข้าไปดูลูกตอนนี้ จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนดีใจที่ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น เขาเดินไปใกล้รถเข็นทารก มองดูลูกชายขมวดคิ้วเหมือนคนแก่ เขาย่ำเท้าด้วยความระมัดระวัง และแทบจะกลั้นหายใจ เพราะกลัวจะทำให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสบายตื่น
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อาจารย์หวังยิ้ม
“แล้วผมอุ้มได้ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ กลัวจะทำให้ลูกตื่น
อาจารย์หวังหัวเราะและตอบว่า
“ได้สิ อุ้มไปหาเสี่ยวอวี๋สิ เด็กที่เพิ่งเกิดเวลาได้อยู่กับแม่เขาจะรู้สึกปลอดภัย”
“ครับ ครับ!”
เยี่ยเทียนขานตอบสองครั้ง เขาปล่อยปราณแท้มาไว้ที่สองมือ จากนั้นก็อุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ท่าทางอ่อนโยนจนเจ้าตัวเล็กแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“เยี่ยเทียน ลูกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”
เยี่ยเทียนเพิ่งอุ้มลูกขึ้นมา ซ่งเวยหลันกับหวังอิ๋งอิ๋งเดินเข้ามาพอดี ซ่งเวยหลันเห็นความเกร็งของเยี่ยเทียน เธอกล่าวว่า
“แกอุ้มได้ใช่ไหม? มาๆ ให้แม่อุ้ม ข้างนอก มีคนมาเยอะเลย ลูกไปดูแลหน่อย! ”
“ใช่ เยี่ยเทียน เรื่องอุ้มเด็ก เธอต้องฝึกอีกเยอะ ”
หวังอิ๋งอิ๋งรีบเอามือช้อนเข้าไปที่ท้ายทอยของเจ้าตัวเล็ก เพราะกลัวเยี่ยเทียนจะอุ้มไม่ดี
“แม่ครับ พี่อิ๋ง แม่กับพี่กำลังยึดสิทธิความเป็นพ่อของผมอยู่นะครับ!”
เยี่ยเทียนกลอกตาแล้วถามว่า
“ใครมาละครับ? ถึงกับต้องให้ผมไปดูแล ตำแหน่งไม่เล็กเลยนะ!”
“คุณตาแก แกไม่ต้องไปดูแลเหรอ? เอาหลานมาให้ฉัน!”
ซ่งเวยหลันยื่นมือออกไป เยี่ยเทียนกลัวจะทำให้ลูกชายเจ็บ จึงทำได้เพียงคลายมือออก แล้วบ่นพึมพำว่า
“ผู้เฒ่าคนนี้หูไวจริง เพิ่งคลอดออกมา ก็มาถึงแล้ว!”
“พูดอะไรแบบนั้น? ไปๆ รีบออกไป! ”
ซ่งเวยหลันเอาข้อศอกแตะลูกชายเบาๆ จากนั้นเธอก็อุ้มหลานชายไปเรือนกลาง เรือนนั้นได้จัดพื้นที่ชั่วคราวเอาไว้ ตอนนี้อวี๋ชิงหย่ากำลังนอนพักอยู่ในห้องด้านข้าง สามารถอุ้มเด็กออกมาให้แขกเชยชมได้
“เยี่ยเทียน นี่คือกุญแจมงคลที่ตาจะให้เจ้าตัวเล็ก”
เยี่ยเทียนกับแม่เพิ่งเข้ามาถึง ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังพูดคุยสนุกสนานกับโก่วซินเจียอยู่ก็หยิบของขวัญออกมา ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะลูกยังเล็กเกินไป ซ่งเฮ่าเทียนคงสวมใส่ที่คอให้เลย
หลังจากถูกยึดสิทธิความเป็นพ่อไปแล้ว เขาก็อารมณ์ไม่ดีเลย จึงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์และพูดว่า “ขอบคุณครับท่านผู้เฒ่า กุญแจมงคลไม่ได้ทำจากทองแดงใช่ไหมครับ?”
“เจ้าลูกคนนี้ พูดอะไรแบบนั้น? พูดกับตาดีดีหน่อย อุ้มเด็กไปให้ชิงหย่า”
ซ่งเวยหลันเบิกตากว้างใส่ลูกชาย และหันไปบอกกับหวังอิ๋งอิ๋งให้อุ้มหลานเข้าไปข้างใน แต่แล้วเสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นเจี้ยวจ้าวเต็มห้องโถง ทุกคนเดินมาล้อมดูเจ้าตัวน้อยอย่างไม่เกรงใจว่าเด็กจะตื่น
“เยี่ยเทียน ตั้งชื่อลูกว่าอะไรเหรอ?”
ซ่งเฮ่าเทียนรู้นิสัยตรงไปตรงมาของหลานชาย เขาปกปิดความรู้สึกต่อหน้าคนอื่นไม่เป็น จึงมองข้ามคำพูดเมื่อครู่และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ปัญจธาตุของเด็กคนนี้ ขาดธาตไฟ ผมกลัวว่าเขาโตขึ้นจะอ่อนแอ ก็เลยตั้งชื่อให้เขาว่า เยี่ยชิว ชื่อเล่นว่าเว่ยเว่ย…” พอพูดถึงชื่อของลูกชาย เยี่ยเทียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
“ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม หวังเพียงเจ้าตัวน้อยจะสืบทอดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!”
เรื่องตั้งชื่อลูก เยี่ยเทียนมีความตั้งใจมาก ไม่ว่าจะชื่อเยี่ยชิวหรือว่าชื่อเล่น เขาทำนายครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะตัดสินใจ
ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม มีความหมายว่า สิ่งบอกเหตุเล็กแต่เห็นถึงอนาคต เมื่อเห็นใบไม้ร่วงก็หยั่งรู้อายุขัยของมันแล้ว เมื่อเห็นน้ำในขวดแข็งตัวก็หยั่งรู้ความหนาวเหน็บของฟ้าดินแล้ว เป็นการอุปมาผู้หยั่งรู้ทิศทางเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากลางสังหรณ์เพียงนิดเดียว เยี่ยเทียนตั้งชื่อนี้ เพราะตั้งความหวังกับลูกชายไว้สูงมาก
ผู้ที่ฝึกวิชาเซียน เป็นทั้งผู้ฝืนชะตาฟ้า และผู้ทำตามวิถีธรรมชาติ เยี่ยเทียนเปลี่ยนชะตาของพ่อแม่ ภรรยาและคนในครอบครัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ แต่เขาทำให้ลูกชายเดินเส้นทางนี้ได้ และถึงแม้ลูกชายจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ แต่เยี่ยเทียนสามารถฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา และบังคับเปลี่ยนสังขารของเขาได้
และเมื่อครู่ เยี่ยเทียนพบว่ากระดูกของลูกชายแข็งแรงมาก ด้วยกำลังทรัพย์ของเขา เขาสามารถซื้อยาแพงชั้นดีให้เยี่ยชิวกินทุกวัน เยี่ยเทียนเชื่อว่า ลูกชายอาจจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้เร็วกว่าตนอีก
“ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม ดี!”
ซ่งเฮ่าเทียนรู้ความหมายของคำว่าสืบทอดที่เยี่ยเทียนพูดถึง แม้เยี่ยเทียนจะไม่พูดออกมาก็ตาม ถ้าต่อจากเยี่ยเทียนแล้วยังมีคนแบบเยี่ยเทียนอีก ตระกูลซ่งก็จะได้รับความรุ่งโรจน์ตามด้วย ซึ่งท่านผู้เฒ่าไม่มีทางไม่เห็นด้วยแน่นอน
“เยี่ยเทียน ได้ข่าวว่าชิงหย่าคลอดแล้ว? ไม่ส่งข่าวกันเลยนะ ถ้ารู้แต่แรก ฉันคงมาหานานแล้ว!”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังพูดคุยกับคุณตาอยู่ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากในสวน เสียงนั้นเป็นของเว่ยหรงหรงเจ้าตัวแสบกับสวีเจิ้นหนานนั่นเอง แน่นอนว่า เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างเว่ยหงจวินก็เดินตามหลังมาด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาต้อนรับ สวีเจิ้นหนานชกเข้าที่อกและพูดว่า
“ร้ายนะ คลอดลูกชายก็ไม่บอกฉันสักคำ ตอนฉันมีลูกสาว ฉันบอกนายเป็นคนแรกเลยนะ!”
สวีเจิ้นหนานกับเว่ยหรงหรงแต่งงานกันแล้วหลายปี ลูกสาวอายุสองขวบแล้ว
หลังจากแต่งงาน สวีเจิ้นหนานไม่ได้ไปทำงาน หลังจากได้รับอนุญาตจากพ่อตาและคนที่บ้าน แต่เขาไปลงทุนของสะสมกับงานศิลปะแทน ถึงแม้สองปีมานี้เขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกับเยี่ยเทียน แต่เขาไปหาเยี่ยตงผิงบ่อยประกอบกับความสัมพันธ์ของเว่ยหรงหรงกับอวี๋ชิงหย่าที่สนิทกัน ทั้งสองบ้านนี้จึงไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อยพอสมควร
“พี่ใหญ่ พี่เข้าใจผมผิดแล้วนะ”
เยี่ยเทียนทำท่าเหมือนเจ็บ และพูดว่า
“เด็กคลอดปุ๊ป ผมก็ส่งข่าวให้ทันทีเลยนะ แล้วอีกอย่าง กำหนดการคลอดคือวันพรุ่งนี้ ผมจะรู้ได้ไงว่าลูกชายจะคลอดวันนี้”
“อืมๆ ฉันให้อภัย”
สวีเจิ้นหนานโบกมือกล่าวต่อ
“เยี่ยเทียน โบราณว่าไว้ หญิงอายุมากกว่าหนึ่ง อุ้มไก่ทอง มากกว่าสอง ทองเต็มโถ รอลูกชายนายโต เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นไง?”
เว่ยหงจวินกำลังจะพูด แต่พอได้ยินสวีเจิ้นหนานพูดแบบนี้ เขาเงียบทันที เขามองเยี่ยเทียนด้วยความคาดหวัง เพราะในเมืองปักกิ่ง ในบรรดาเพื่อนๆ นอกจากจู้เหวยเฟิงที่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีความสามารถพิเศษเหนือคนทั่วไป ก็มีแต่เว่ยหงจวินที่รู้
ถ้าได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับเยี่ยเทียน สถานะพ่อค้าของเว่ยหงจวินจะเปลี่ยนไป และเขาจะได้เข้าไปอยู่ในสังคมชั้นสูงทันที เวลาทำมาค้าขายเขาก็จะได้รับผลตอบแทนที่มากเป็นพิเศษ
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังเถอะครับ มา เดี๋ยวผมพาไปดูลูกชายผม หนักตั้งสี่โลแหน่ะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ตอนที่ 884 แขกพิเศษ
“โอเค ถ้าลูกชายนายชอบลูกสาวฉัน แกอย่าขัดขวางนะ!”
สวีเจิ้นหนานแอบถอนหายใจ แม้ว่าเขาไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเคยทำ แต่เขารู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนกับซ่งเวยหลันร่ำรวยแค่ไหน คนแบบเขาเอื้อมไม่ถึงหรอก ความเป็นไปได้ของการเป็นครอบครัวเดียวกันนั้น แทบจะไม่ต้องคิดเลย
“พี่ใหญ่ ถ้าลูกชายผมชอบลูกสาวพี่ก็ดีสิ เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันไง!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ เขาไม่ใช่คนชอบดูถูกคนจากฐานะการเงิน เยี่ยเทียนหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ก็เพราะ เขาไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตของลูกชายได้ และไม่รู้เลยว่า ในภายภาคหน้าลูกชายจะเป็นอย่างไร
แล้วลูกสาวสองขวบของสวีเจิ้นหนานมีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมากจนเหมือนตุ๊กตา เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าชอบมาก อวี๋ชิงหย่าถึงขั้นรับเธอเป็นลูกบุญธรรม ถ้าชะตาชีวิตของลูกชายไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่แน่ เยี่ยเทียนอาจจะตอบรับเรื่องนี้เลย
“เอาล่ะเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนยุ่งอยู่ อย่าไปรบกวนเยี่ยเทียนมากเลย!”
เว่ยหงจวินพูดขัดขึ้นมาในจังหวะที่เหมาะสม เขาพูดว่า
“เยี่ยเทียน หรงหรงรู้ว่าชิงหย่าใกล้คลอด เธอเตรียมของเด็กไว้ให้ เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากพวกเรา รับไปสิ!”
เว่ยหงจวินพูดพร้อมกับยื่นกล่องใหญ่ให้กับเยี่ยเทียน ด้านในกล่องไม่มีของที่มีมูลค่าสูง แต่ล้วนเป็นเสื้อผ้า รองเท้าและหมวกสำหรับเด็กทารก ซึ่งมีของที่ใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงเยี่ยชิวสองขวบ
“ขอบคุณมากครับลุงเว่ย!”
เยี่ยเทียนกล่าวขอบคุณและรับกล่องนั้นไว้ ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่สนใจสิ่งของมูลค่าสูง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือความมีน้ำใจ ซึ่งเว่ยหงจวินจับจุดนี้ของเยี่ยเทียนได้เป็นอย่างดี
“โอเค งั้นพวกเรากลับก่อนนะเยี่ยเทียน ดูสิ มีแขกมาอีกแล้ว!”
เว่ยหงจวินให้ของขวัญเสร็จ เมื่อเห็นว่ามีผู้คนเดินเข้ามาไม่ขาดสาย เขาจึงขอลากลับก่อน
“ลุงเว่ย ไม่ให้เกียรติผมเลย ผมไม่ให้ไปหรอกครับ กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิครับ ผมจะขอชนแก้วกับลุงสักหน่อย!”
เยี่ยเทียนดึงเอาไว้ หันไปมองสวีเจิ้นหนาน กล่าวว่า
“พี่ใหญ่ หรงหรง เข้าไปหาชิงหย่าสิ ลุงเว่ย ผมขอไปดูแขกก่อน อาจจะอยู่เป็นเพื่อนลุงไม่ได้ ลุงไปหาพ่อผมสิ!”
“อ่า งั้นลุงรบกวนหน่อยนะ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เว่ยหงจวินรู้สึกอบอุ่นใจ เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็เดินเข้าห้องนอนด้านข้างไปพร้อมกับลูกสาว ลูกเขย
“ท่านประธานจู้ ผมเห็นท่านเดินทางบ่อยมาก ทำไมวันนี้อยู่ปักกิ่งละครับ?”
หลังจากส่งเว่ยหงจวินกับคนอื่นเข้าห้องแล้ว เยี่ยเทียนหันไปต้อนรับคนที่เดินเข้ามา เขาคนนั้นคือจู้เหวยเฟิงกับ ชิวเหวินตง มีคนแปลกหน้าเดินตามอีกหนึ่งคน ในมือถือกล่องของขวัญไว้
เยี่ยเทียนทักทายเสร็จ หันไปพูดกับชิวเหวินตงว่า
“พี่ชิว ได้ข่าวว่าสำนักวิชากำลังไปได้ดี เหิงอวี่มาหา บอกว่า ตอนนี้สำนักมีมือดีหลายคนเลย”
ชิวเหวินตงรับกล่องของขวัญจากลูกศิษย์อู่เฉิน กล่าวพร้อมยิ้มว่า
“เป็นเพราะท่านดูแลเราเป็นอย่างดีครับ ได้ข่าวว่าท่านกำเนิดลูกชาย ของขวัญเล็กๆน้อยๆจากผมครับ!”
เหิงอวี่ที่ถูกเยี่ยเทียนพูดถึง คือเฟิงเหิงอวี่แห่งสำนักมวยแปดทิศ ตั้งแต่ถูกเยี่ยเทียนให้คำแนะนำไป เขามาหาเยี่ยเทียนเกือบทุกเทศกาล ว่างๆก็จะพูดคุยกับเยี่ยเทียนเรื่องสำนักวิชา
เดิมทีสำนักวิชาของชิวเหวินตงมีความเกี่ยวพันกับเรื่องสกปรก สถานีตำรวจท้องที่จัดการพวกเขาได้ง่ายมาก พวกเขาจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด
ตั้งแต่รู้จักเยี่ยเทียน เรื่องสกปรกของชิวเหวินตงถูกชำระล้างจนหมดสิ้น โดยเฉพาะครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ชิวเหวินตงไม่เพียงแต่มีหน้าหน้ามีตาในสังคมมากขึ้น แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองก็ให้ความเคารพเขามากขึ้นเช่นกัน
แรกเริ่ม ชิวเหวินรู้สึกแปลกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หลังจากสอบถามจู้เหวยเฟิงแล้ว เขารู้แจ้งทันที ที่ทุกคนปฏิบัติกับเขาดีขึ้นก็เพราะเห็นแก่หน้าของเยี่ยเทียน
เพราะฉะนั้น หลังจากได้รับข้อความจากเยี่ยเทียน ชิวเหวินตงไม่รีรอและนัดจู้เหวยเฟิง ประธานบริษัทเพชรพลอยขนาดใหญ่ ออกจากเตียงของนายหญิงรอง ใช้ความเร็วที่สุดในการเลือกของขวัญมูลค่าสูงไม่กี่ชิ้นและเดินทางมาหาทันที
เยี่ยเทียนรับของขวัญจากชิวเหวินตง และกล่าวว่า
“เหล่าชิว เกรงใจแย่เลย ของขวัญฉันรับไว้เลยนะ วันนี้แขกค่อนข้างเยอะ ไว้ลูกครบเดือนแล้ว เดี๋ยวผมเชิญคุณมาดื่มอีกดีไหม?”
“ได้สิน้องเยี่ย งั้นเดี๋ยวผมลากลับก่อน!”
ชิวเหวินตงเป็นคนฉลาด แม้ว่าจะได้ยินเยี่ยเทียนเชิญคนมาดื่มตั้งแต่หน้าประตู แต่เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของเขากับเยี่ยเทียนดีว่า เขาไม่มีความใกล้ชิดกับเยี่ยเทียนขนาดนั้น แค่เยี่ยเทียนรับของขวัญไว้ แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว
แล้วตอนที่ชิวเหวินตงกลับ เขาไม่ได้บอกจู้เหวยเฟิง เพราะถ้าจู้เหวยเฟิงไม่ถูกเชิญให้เข้าไปเหมือนกัน คงเสียหน้าแย่ เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องยืนรับอารมณ์ตรงนี้
“เยี่ยเทียน หลานชายเกิด ฉันเตรียมหยกไว้ชิ้นนึง น้ำใจเล็กๆน้อยๆ”
หลังจากชิวเหวินตงออกไปแล้ว จู้เหวยเฟิงหยิบกุญแจหยกขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งอัน กล่าวว่า
“ของชิ้นนี้เป็นของรักของเหล่าเจิ้ง กว่าฉันจะเอามาได้ไม่ง่ายเลยบ ฉันรีบจนไม่มีเวลาห่อของขวัญเลย นายหาเชือกสักเส้นผูกเสร็จแล้วใส่ให้ลูกชายแล้วกันนะ!”
เหล่าเจิ้งที่พูดถึง ก็คือท่านประธานแห่งบริษัทเพชรพลอย หยกชิ้นนี้เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลท่านประธานเจิ้ง เป็นหยกมันแพะชั้นดี เดิมทีเหล่าเจิ้งอยากเก็บไว้ให้หลานชายตัวเอง แต่ไม่คิดว่าหลานชายยังไม่ทันเกิด ก็ถูกจู้เหวยเฟิงแย่งไปซะแล้ว
“ขอบคุณมาก ผมรับไว้เลยนะครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและรับหยกชิ้นนั้นไว้ กล่าวว่า
“วันนี้ผมไม่มีเวลาดูแลทุกคน ผมรู้ว่าคุณก็ยุ่ง เรานัดกันวันหลังเป็นการส่วนตัวอีกทีดีไหมครับ?”
เยี่ยเทียนมีปฏิสัมพันธ์กับจู้เหวยเฟิงไม่น้อย เดิมทีพวกเขามีโอกาสกลายเป็นเพื่อนกันได้ แต่เรื่องที่จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิ่งไห่ทำที่ประเทศไทย เยี่ยเทียนไม่ชอบใจมาก แม้ว่าเขาจะแก้แค้นต่งเซิงไห่ให้กับเยี่ยเทียนแล้ว แต่จะให้ขยับความสัมพันธ์เป็นเพื่อนนั้นคงยาก
“ฉันรู้ว่านายยุ่ง นายไปดูแลแขกเถอะ ฉันไปหาป้ารองก่อน!”
จู้เหวยเฟิงเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นคนมีหน้ามีตาในสามช่วงอายุของกลุ่มนี้ในเมืองปักกิ่ง ถ้าเขาเดินตามชิวเหวินตงออกจากเรือนสี่ประสาน เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แล้วช่วงนั้นจู้เหวยเฟิงมาหาเยี่ยเทียนค่อนข้างบ่อย เขาจึงสนิทกับคนในบ้านของเยี่ยเทียน จากนั้นเขาก็พูดคุยกับป้ารองสนุกสนานจนป้ารองหัวเราะไม่หยุด เมื่อเห็นแบบนั้น เยี่ยเทียนทำได้เพียงส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ วันนี้เป็นวันมงคลของลูกชาย การไล่แขกเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
“อ้าว ลุงเฉิน กลับปักกิ่งแล้วทำไมไม่โทรหาผมเลยครับ?”
หน้าประตูมีคนมาเพิ่ม พอเห็นว่าเป็นใคร เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ความสนิทสนมแบบนั้น จู้เหวยเฟิงที่อยู่ด้านข้างมองจนบอกความรู้สึกไม่ถูก
“ลุงเพิ่งกลับมาเมื่อวานเอง วันนี้ก็ได้ข้อความละ บังเอิญจริงๆ!”
ชายผู้นี้ก็คือเฉินสี่ฉวนที่ย้ายไปอยู่ยุโรปถาวร เดิมทีเขาอยากย้ายไปอยู่รัสเซีย แต่พอเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาถูกทางการรัสเซียตรวจสอบด้วยเหมือนกัน แม้จะหลุดพ้นข้อสงสัยแล้วก็ตาม ประเทศนั้นก็ไม่เหมาะแก่การย้ายไปอยู่อีกต่อไป
เขาเขย่าเหล้าสองขวดในมือต่อหน้าเยี่ยเทียน กล่าวว่า
“คนแก่อย่างฉันเลือกของขวัญไม่เป็นหรอก ฉันเอาวอดก้าปี 90 กลับมาสองขวดพอดี เดี๋ยวมาดื่มฉลองกันสักหน่อยเป็นไง!”
ตอนที่อยู่ต่างประเทศ เฉินสี่ฉวนเพิ่งรู้ว่าซ่งเวยหลันมีอำนาจมากแค่ไหน ตอนที่เขาเปิดบริษัทที่ยุโรป ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับค้าขายทองคำของเหมืองทองคำไซบีเรียเป็นหลัก แล้วซ่งเวยหลันมีหุ้นส่วนอยู่ในนั้นด้วย เขานั่งเก็บเงินอยู่ที่บ้านเฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
“เอาสิครับ ต้องดื่มฉลองกันหน่อยแล้วหล่ะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบรับ พูดต่อว่า
“ลุงเฉินครับ อยู่ต่างประเทศชินหรือยังครับ? อยากกลับมาไหม ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วนะครับ”
เยี่ยเทียนยังคงรู้สึกผิดต่อเฉินสี่ฉวน ตอนนั้นเขากลัวว่าติงหงจะมาทำร้าย จึงบอกให้เฉินสี่ฉวนพาคนทั้งบ้านไปต่างประเทศ ซึ่งเขารู้เช่นกันว่าตอนนั้น เฉินสี่ฉวนน่าจะไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะเขาใข้ชีวิตที่ปักกิ่งมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต
แต่ตอนนี้เรื่องของติงหงจบไปแล้ว ตราบใดที่เยี่ยเทียนยังอยู่ ตระกูลอวิ๋นไม่กล้าทำอะไรเฉินสี่ฉวนแน่นอน ส่วนการยื่นขอสัญชาติจีนนั้น เป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย คำสั่งเดียวเท่านั้น
“อื้ม ไม่ต้องเสียเวลาหรอก”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เฉินสี่ฉวนโบกมือกล่าวว่า
“อย่าว่านะ อากาศของที่นั่นดีกว่าปักกิ่งเยอะ ปักกิ่งมีแต่ฝุ่น ดวงอาทิตย์ยังมองไม่เห็นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระต้องทำ ฉันก็ไม่อยากกลับมาที่นี่หรอก!”
“ได้ยินแบบนี้ผมก็ดีใจครับ ลุงเฉินนั่งดื่มน้ำชาก่อน เดี๋ยวผมไปอุ้มลูกชายออกมา!”
เดิมทีเยี่ยเทียนอยากอยู่คุยกับเฉินสีฉวนให้มากกว่านี้ แต่พอได้ยินเสียงก้าวเท้าจากหน้าประตูดังขึ้น เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพาเฉินสี่ฉวนไปนั่งที่ห้องรับแขกของเรือนกลางเสร็จ ถอดจิตออกไปหน้าเรือน
“เซี่ยวเทียน หลังจากกลุ่มนี้เข้ามาแล้ว ห้ามปล่อยใครเข้ามาอีก ลูกยังไม่ครบเดือนเลย”
“ครับอาจารย์!”
โจวเซี่ยวเทียนผู้รับผิดชอบการต้อนรับแขกที่หน้าประตูส่งเสียงกลับมา เขานำทาง7-8คนนั้นเข้ามาในเรือน จากนั้นก็ปิดประตูใหญ่และพาคนเหล่านี้เข้ามาเรือนกลางพร้อมกัน
หนึ่งในนั้น คนที่เดินนำหน้าเป็นคนผมขาว ส่วนคนที่เดินตามหลังเห็นได้ชัดว่ามีฉางเฮ่า ที่อยู่อาศัยตรอกซอยนี้อยู่แล้ว โจวเซี่ยวเทียนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นคนแก่คนนั้นในทีวีอยู่บ่อยๆ
เพิ่งเข้ามาในเรือนกลาง อู๋เหล่าเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามาต้อนรับทันที เขาหยุดเดินและพูดว่า
“เสี่ยวเยี่ย ยินดีด้วยนะ ท่านประธานเยวี่ยมีธุระ ฉันเลยมาเป็นตัวแทนหน่ะ!”
คำพูดของอู๋เหล่า ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเรือนกลางถึงกับอ้าปากตาค้าง ทันใดนั้นในห้องก็เงียบสงัด
ตอนที่ 885 อวยพร
อันที่จริง ตอนที่อู๋เหล่าเพิ่งเข้ามา ไม่มีใครสนใจเขาเลย แม้แต่คุณป้าน้าอาเยี่ยเทียนต่างก็พูดคุยอยู่กับแขก แต่ทันทีที่อู๋เหล่าเอ่ยปากพูด ทุกคนในนั้นถึงกับหันไปทางเดียวกันหมด
ภาพที่เกิดขึ้นยังไม่เท่าไหร่ จู้เหวยเฟิงรับบุหรี่จากเยี่ยตงผิงกำลังจุดไฟอยู่ เปลวไฟเผาโดนผม เฉินสี่ฉวนกำลังจะดื่มน้ำชา มือสั่นจนชาร้อนหกใส่ตัว
เว่ยหงจวินเพิ่งเยี่ยมเด็กเสร็จ กำลังก้าวข้ามคานประตู ถึงกับขาอ่อน ถ้าไม่ใช่เพราะจับประตูไว้ คงล้มไปกับพื้นแล้ว
ทุกคนมีท่าทีเช่นนี้ก็เพราะว่า…ไม่มีใครเคยคิดว่าจะได้เจออู๋เหล่าที่บ้านของเยี่ยเทียน
อู๋เหล่าเป็นใคร เขาเป็นถึงบุคคลสำคัญอันดับสองของประเทศ อันดับของเขาสูงกว่าซ่งเฮ่าเทียนตั้งหลายระดับ แล้ววาระการดำรงตำแหน่งยังเหลืออีกหลายปี ถือเป็นผู้มีตำแหน่งสูงมาก
หากว่ามีบุคคลสำคัญของประเทศเสียชีวิต แล้วอู๋เหล่าทำหน้าที่เป็นตัวแทนท่านประธานเยวี่ย ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
แต่ในวันนี้ เพียงแค่เยี่ยเทียนคลอดลูกชาย บวกลบเวลาแล้วยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง อู๋เหล่าปรากฏอยู่ที่นี่แล้ว เหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ นอกจากจะตกตะลึงกันถ้วนหน้าแล้ว จะไม่ให้ทุกคนคิดไปต่างๆนานาได้อย่างไรกัน
แล้วเมื่อครู่ อู๋เหล่าแทบไม่ได้เอ่ยถึงซ่งเฮ่าเทียนเลย นั่นเท่ากับว่า เขามาที่นี่ก็เพราะเยี่ยเทียน ซึ่งการมาของเขาทำให้เยี่ยตงผิงกับซ่งเวยหลันและญาติสนิททุกคน ต่างก็งงงวยกันไปหมด
“ขอขอบคุณท่านประธานเยวี่ยเป็นอย่างสูง ขอบคุณอู๋เหล่าด้วยครับ!”
ต่อหน้าผู้คน ท่าทีบางอย่างเยี่ยเทียนจำเป็นต้องทำ เช่นการแสดงความขอบคุณยิ่ง เขากล่าวว่า
“คุณตาอยู่ด้านใน เชิญอู๋เหล่าเข้าไปดื่มน้ำชาด้วยกันก่อนครับ!”
“อ้าว ซ่งเหล่าก็อยู่ด้วยงั้นหรือ?”
อู๋เหล่ารู้อยู่แล้วว่าการปรากฏตัวของเขาจะทำให้ผู้คนตกใจ เขายิ้มและกล่าวว่า
“อย่างไรแล้วผมก็ยังไม่สนิทกับคุณเท่าซ่งเหล่าสินะ งั้นผมต้องรบกวนน้ำชาสักแก้วแล้วล่ะ!”
ตั้งแต่กินยาที่เยี่ยเทียนให้ อู๋เหล่ารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จากใจลึกๆ เขาอยากกระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนมากกว่า แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ให้ความสำคัญมาก จึงไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาบ่อยนัก เพราะฉะนั้น ทันทีที่ได้รับคำเชิญ แม้จะยุ่งแค่ไหน อู๋เหล่าก็ไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญแน่นอน
“ท่านประธานอู๋ มาได้ไงครับเนี่ย?”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินบทสนทนาด้านนอก จึงเดินออกมาต้อนรับ
“ซ่งเหล่า ยินดีด้วยครับ นี่มันตระกูลสี่รุ่นเลยนะ!”
อู๋เหล่ารับของจากคนยืนด้านหลัง กล่าวว่า
“นี่เป็นภาพเขียนหนังสือฝีมือของท่านประธานเยวี่ย ที่มอบให้เยี่ยเทียนเป็นของขวัญ ซ่งเหล่า คุณอย่าหาว่าพวกผม ขี้งกนา!”
สิ่งที่อู๋เหล่าพูดออกมา คนในเรือนยิ่งตาค้างไปกันใหญ่ ลูกชายเยี่ยเทียนเพิ่งเกิดได้กี่ชั่วโมงเอง ภาพเขียนหนังสือโดยประธานเยวี่ยก็ส่งมาถึงที่เรือนแล้ว คงไม่ต้องถามต่อ เพราะท่านคงลงมือเขียนทันทีที่ได้ยินข่าว
คนในเรือนยิ่งเกิดคำถามกันใหญ่ ด้วยสถานะของอู๋เหล่ากับท่านประธาน งานศพของเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนแต่แสดงความเสียใจโดยการส่งตัวแทนไป แล้วเยี่ยเทียนทำบุญด้วยอะไร พวกเขาถึงขั้นมอบของขวัญให้ คนหนึ่งเป็นผู้ลงมือเขียน อีกคนหนึ่งเป็นผู้เดินทางมามอบให้
“ไม่หรอกครับ ขอบคุณท่านประธานมากครับ ท่านประธานอู๋ เชิญเข้ามานั่งก่อนครับ!”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนรับภาพหนังสือไปเรียบร้อย ซ่งเฮ่าเทียนจึงเชิญอู๋เหล่าเข้าไปห้องโถงใหญ่
“เยี่ยเทียน ทำไมลูกไม่เข้าไปด้วย?”
เยี่ยตงผิงที่เพิ่งได้สติ หันไปมองลูกชาย กล่าวว่า
“ถึงแม้ท่านประธานอู๋มาเพราะเห็นแก่หน้าของคุณตา แต่ลูกเป็นเจ้าของงาน ลูกควรเข้าไปด้วยนะ!”
คำพูดของเยี่ยตงผิงจี้จุดหลายคนมาก บุคคลระดับพบได้เฉพาะในโทรทัศน์มาปรากฏอยู่ตรงหน้า การมาของเขาต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ เกรงว่านอกจากโก่วซินเจียที่อยู่ในห้องและโจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ในสวนตั้งใจไม่ออกมาแล้ว ทุกคนในงานต่างก็รู้สึกว่าเยี่ยเทียนละเลยอู๋เหล่ามากเกินไป
ในมุมมองของโก่วซินเจียและโจวเซี่ยวเทียน เขาสองคนบรรลุโลกของมนุษย์ไปแล้ว แม้อู๋เหล่าจะมีอำนาจเสียดฟ้า แต่ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับพวกเขา ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่คนละระดับ ความต้องการก็ไม่เหมือนกันแน่นอน
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ อู๋เหล่าไม่ได้มาหาผมหรอก”
เยี่ยเทียนยิ้มและส่ายหัว หันไปมองโจวเซี่ยวเทียนและพูดว่า
“มา กางภาพเขียนตัวหนังสือให้ทุกคนดูกันดีกว่า”
“อืม มาดูกันว่าท่านประธานเยวี่ยเขียนว่าอะไร”
“เยี่ยเทียน รีบเปิดดูสิ!”
คำพูดของเยี่ยเทียน ดึงดูดความสนใจจากอู๋เหล่ามาอยู่ที่เขา สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังภาพเขียนหนังสือที่ม้วนเก็บอยู่ คนที่เล่นของเก่าเหมือนกับเยี่ยตงผิง มองแว๊บเดียวก็มองออกแล้วว่า น้ำหมึกบนภาพยังไม่แห้งสนิท
“ขอแสดงความยินดีกับเยี่ยเทียน จากxxเยวี่ย”
ประโยคธรรมดา มีลายเซ็นและวันเวลาที่เขียนกำกับอยู่ใต้ภาพ ถึงแม้นี่จะเป็นคำอวยพรง่ายๆ แต่ตราประทับสีแดงสดที่อยู่ใต้ชื่อผู้เขียนนั้น สร้างความชื่นชมให้กับทุกคนไม่น้อย
“ลายมือแย่มาก ศิษย์พี่ใหญ่ใช้มือซ้ายเขียนยังสวยกว่านี้!”
เมื่อเห็นลายมือในภาพนั้นแล้ว เยี่ยเทียนอดพึมพำไม่ได้ แม้ลายลักษณ์อักษรนี้มีพลังอำนาจแฝงอยู่ แต่หากใช้มุมมองการเขียนพู่กันในการดู พื้นฐานการเขียนพู่กันแทบจะไม่มี ไม่เข้าตาเยี่ยเทียนเลยก็ว่าได้
“พูดอะไรของแก?”
เยี่ยตงผิงยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงพึมพำของลูกชาย จึงหันไปเขม่นตาใส่และพูดว่า
“เอาภาพมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะเอาไปแขวนประดับ!”
“พ่อ ก็แค่ภาพเขียนหนังสือ พ่อไม่ต้องไปเองก็ได้ครับ”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เห็นฉางเฮ่ายืนอยู่หน้าประตูกลางฉวนฮวาเหมิน จึงกวักมือเรียกและพูดว่า
“เหล่าฉาง ช่วยไปแถวหลิวหลีฉ่าง หากรอบมาใส่ให้ที ไม่มีใครว่างไปเลยอะครับ!”
อันที่จริงเยี่ยเทียนขี้เกียจไปต่างหาก อย่าว่าแต่ใส่กรอบเลย การแขวนภาพเขียนนี้ไว้บนกำแพง สู้ให้โก่วซินเจียใช้มือซ้ายเขียนคำขวัญคู่ยังดีเสียกว่า ถึงจะเป็นเช่นนั้น ต่อหน้าผู้คนเยี่ยเทียนก็ต้องแสดงความใส่ใจออกมาบ้าง เขาจึงเรียกให้ฉางเฮ่าเป็นคนไปหาซื้อ
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยเทียน ฉางเฮ่ารีบเดินมาหาและตอบว่า
“ครับคุณเยี่ย ผมจะหาช่างทำกรอบที่ดีที่สุดให้ครับ!”
หลังจากย้ายมาอยู่ตรอกซอยนี้ กำลังภายในที่ไร้การพัฒนาของฉางเฮ่า มีการพัฒนาเก่งขึ้นพอสมควร เพราะได้รับคำแนะนำจากเยี่ยเทียนเพียงไม่กี่คำ ด้วยเหตุนี้แหละเขาจึงเชื่อฟังคำที่ออกจากปากของเยี่ยเทียนมากกว่าคำสั่งเจ้านายที่เขาต้องปกป้องเสียอีก
“เยี่ยเทียนเคยทำอะไรเหรอ? แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอู๋เหล่าก็กล้าเรียกใช้งาน?”
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ยิ่งงงไปกันใหญ่ พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลที่พบเจอผู้คนหลายระดับ โดยเฉพาะจู้เหวยเฟิง ที่รู้จักเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้เป็นอย่างดี ความสงสัยที่มีอยู่บนใบหน้าของเขาก็ชัดมากที่สุดเช่นกัน
ผู้นำสำคัญทุกท่านจะมีกองกำลังป้องกันเฉพาะทุกคน แล้วคนพวกนี้จะรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้นำเท่านั้น เวลาไปข้างนอกตัวติดแทบไม่เคยห่าง นอกจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแล้ว หากประสบปัญหาด้านความปลอดภัย พวกเขาจะไม่สนใจความรู้สึกใดใดของผู้นำที่ถูกป้องกันจากอันตราย และจะพาผู้นำไปยังที่ที่ปลอดภัยด้วยการบังคับด้วยซ้ำไป
และสมาชิกหน่วยป้องกันที่มีวินัยคนนี้แหละ ที่ปฏิบัติต่อเยี่ยเทียนด้วยความนอบน้อมและเคารพ ทำตามคำสั่งของเยี่ยเทียนได้โดยไม่แม้แต่จะคิด และไม่ได้ทำเพราะซ่งเฮ่าเทียนแน่นอน ทำให้เยี่ยเทียนที่คุ้นชินอยู่แล้ว เวลาอยู่ในสายตาของทุกคน กลับดูลึกลับมากขึ้นอีก
“ลุงเฉิน ท่านประธานจู้ พวกคุณสองคนคุยกันไปก่อน เดี๋ยวผมขอตัวก่อน!”
เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เมื่อเห็นสายตาของทุกคน เขาไม่คิดว่าอู๋เหล่าจะส่งของขวัญด้วยตัวเองอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นจู้เหวยเฟิงหรือคนอื่น ก็คงตกใจไม่แพ้กัน
แต่เรื่องนี้เยี่ยเทียนไม่รู้จะอธิบายให้ทุกคนฟังยังไง หลังจากขอตัว เขาเดินไปห้องที่อู๋เหล่ากับซ่งเฮ่าเทียนอยู่ทันที
คนที่อยู่ด้านนอก มีจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่เหมือนคนทั่วไป ถึงแม้จะตกใจพอควร แต่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์อะไร กลับเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเอามือปิดปากเอาไว้
“พี่จ้าว ผมไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม? คนนั้นคือท่านประธานอู๋จริงเหรอ?”
พยาบาลหลิวที่เปิดซองของเยี่ยเทียนก่อนคนแรก คลายมือออก ปากที่อ้าค้างไว้กว้างจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งฟอง
หมอและพยาบาลเหล่านี้ มีแต่อาจารย์หวังที่มีโอกาสพบเจอผู้นำระดับประเทศ ฉะนั้นจึงไม่ตกใจที่เจออู๋เหล่า แต่คนอื่นกลับตกตะลึงกันถ้วนหน้า เพราะพวกหล่อนเห็นเหตุการณ์และบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจนผ่านประตูที่แง้มเอาไว้
“ใช่ครับท่านประธานอู๋!”
หัวหน้าจ้าวสีหน้าดูตื่นเต้นเล็กน้อย เขามองพยาบาลกับหมอเหล่านั้น พูดกับพวกเขาด้วยสียงแผ่วเบาว่า
“ตอนกลับ รีบนำซองเหล่านี้ส่งมอบขึ้นไปให้องค์กร ถ้าทำผิดกฎ ไม่มีใครช่วยพวกคุณได้นะ!”
หลังจากได้ยินหัวหน้าจ้าวพูดแบบนั้น พยาบาลพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจ เพราะเมื่อครู่พวกเธอตกใจเพราะจำนวนเงินบนเช็ค ตอนนี้ตกใจเพราะท่านประธานอู๋ปรากฏตัว แล้วใครจะกล้ารับเงินนั้นไว้อีกล่ะ?
“หืม? เงินไม่ถึงมือเหรอ?”
เยี่ยเทียนถอดจิตคลุมทั้งเรือนเอาไว้ พอเขาได้ยินบทสนทนาของพยาบาลเหล่านั้น เขาแอบขำ
ท่านประธานเห็นท่าทีของเยี่ยเทียน ถามด้วยความสงสัยออกไปว่า
“เสี่ยวเยี่ย ทำไมหรือ? ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก ไปดูแลภรรยากับลูกชายเถอะ!”
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ ท่านครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนท่านนิดนึงครับ”
เยี่ยเทียนไอหนึ่งที กล่าวว่า
“อาจารย์หวังกับพยาบาลที่ช่วยทำคลอดให้ชิงหย่าเหนื่อยกันมาก ผมเตรียมอั่งเปาไว้ให้พวกเขา แบบนี้ไม่ถือว่าทำผิดกฎใช่ไหมครับ?”
ท่านประธานอู๋เป็นใคร? หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดประโยคนี้เสร็จ เขาเข้าใจความหมายทันที การปรากฏตัวของเขาทำให้ซองแดงของเยี่ยเทียนไปไม่ถึงมือคนพวกนั้น เขายิ้มและกล่าวว่า
“วันมงคลแบบนี้ ให้อั่งเปาไม่ถือว่าผิดกฎ เยี่ยเทียน พาผมไปหาพวกเขาหน่อย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น