องครักษ์เสื้อแพร 882-884
ตอนที่ 882 เมืองหลวงแอบเคลื่อนไหว
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรยากาศงานเลี้ยงส่วนตัวแปลกประหลาด อู๋จั้วไหลกับอีกสามคนมีสีหน้ายิ้มแย้มและโอนอ่อนผ่อนตามกัน แต่แขกอีกคนที่ถูกเรียกว่าพี่เหยากลับสีหน้ากรุ่นโกรธยิ่ง
ได้ยินคำว่า ‘ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา’ เขาส่งเสียงยิ้มเยาะดัง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นเงยหน้าดื่มหมดจอก ยกตะเกียบคีบอาหารเข้าปากหลายคำ สาวใช้ด้านหลังเข้ามาเติมสุราจนเต็ม พี่เหยาในชุดเก่าซอมซ่อหันไปจ้องมองอย่างละเอียด ทำเอาสาวใช้สีหน้าแดงก่ำด้วยความอาย เขาหันกลับมากล่าวว่า
“ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแล้วได้อะไร ปีใหม่นี้ครอบครัวไม่อาจมีเนื้อกินได้หลายมื้อ และไม่อาจมีสาวใช้หน้าตาดีเช่นนี้”
อู๋จั้วไหลค่อยๆ ก้มหน้า ปิดบังสีหน้ากรุ่นโกรธเอาไว้ พอเงยหน้าก็ยิ้ม กล่าวว่า
“ผู้ใดไม่รู้ว่า พี่เหยามีความสามารถสูง บ่าวผู้นี้ปีนี้อายุ 16 เลื่อมใสในผู้มีความสามารถ หากพี่เหยาไม่รังเกียจ ก็ขอมอบให้พี่เหยาไว้ข้างกายยามค่ำคืนเป็นอย่างไร?”
“หืม?”
เหยาฟู่ส่งเสียงตกใจ แต่ก็ลูบคลำสาวใช้อย่างไม่เกรงใจทันที สาวใช้ผู้นั้นตกใจส่งเสียงร้อง รีบหดตัวหนี เหยาฟู่กลับถูมือไปมา กล่าวว่า
“ในเมื่อใต้เท้าอู๋มีน้ำใจ เช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว หอมมากๆ”
ท่าทางใจร้อนเช่นนี้ ทำให้คนรอบโต๊ะที่เหลือพากันสบตาไปมา ก่อนจะไม่พอใจ ทว่าก็ยังคงยิ้ม อู๋จั้วไหลกล่าวว่า
“วีรชนคนกล้าตัวจริง พี่เหยาเช่นนี้ ช่างเหมือนวีรชนสมัยเว่ยจิ้น เปิดเผยตรงไปตรงมาเสียจริง”
เหยาฟู่จ้องมองแต่อาหารจานเนื้อ กินไปสองสามคำจึงได้หยุด พอได้ยินอู๋จั้วไหลกล่าว ก็ได้แต่ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ข้าเป็นนายกองตรวจสอบมณฑลซานซี กิจการครอบครัวไม่รุ่งเรือง อาจารย์ข้าจากไปเร็ว วันหน้าก็คงต้องอยู่ในตำแหน่งนี้ไปจนวันตาย ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าอู๋ซือเย่มีงานการอันใดให้ข้าทำไหม ถึงกับยอมเสียเงินทองมากมายเพียงนี้ ผุยๆ นางเช่นนี้หากอยู่ในสำนักคณิกา คืนหนึ่งคงต้องห้าตำลึง!”
คิดไม่ถึงว่าเหยาฟู่จะกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ อู๋จั้วไหลกระแอมไอ ส่งสายตาให้คนข้างๆ คนข้างๆ รีบยิ้มกล่าวว่า
“เหยาฟู่ เจ้าเริ่มเสียสติอีกแล้ว ข้ากับเจ้ารุ่นเดียวกัน ได้มารวมตัวกันที่นี่คุยกันเท่านั้น เมืองหลวงผู้ใดไม่รู้ว่าพี่อู๋นิยมคบหาสหาย เจ้ากลับพูดไปนั่น”
บ่นไปสองสามคำ อีกคนก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่มีมารร้ายเช่นหวังทง ทุกอย่างก็ผิดปกติไปหมด ใต้หล้านี้ไม่เหมือนใต้หล้าในอดีต พวกเจ้าว่า หากไร้ลำดับความสำคัญตามอาวุโส นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจสั่นคลอน ปราชญ์เมธีล้วนกล่าวไว้เช่นนี้ บรรพชนแผ่นดินหมิงเองก็กำหนดไว้เช่นนี้ แต่พวกเจ้าดูสิ เมืองหลวงพวกโรงงิ้วนั้นเล่นเรื่องอะไรกัน ถึงกับเล่นว่าพี่น้องมีความสามารถและปัญญาสำคัญกว่า ทำลายธรรมเนียมเดิมสิ้น ยังจะมีใครนับถือหลักการปราชญ์อยู่อีก เหลวไหลสิ้นนี้ ช้าเร็วแผ่นดินย่อมไม่เหมือนแผ่นดิน”
อู๋จั้วไหลถอนหายใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“งิ้วพวกนั้นต้องการชี้ไปยังสิ่งใด ทุกคนรู้ดีแก่ใจ แต่ในวังไม่กล่าวกระจ่าง ทุกคนก็ไม่กล้าฉีกหน้า ทว่าข่าวที่ข้าได้มานั้น กล่าวว่าในวังจะปล่อยข่าวออกมาเร็วๆ นี้ บอกว่าจะแต่งตั้งรัชทายาทตามตำแหน่งพระมารดา”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันทำลายกฎหลักการโดยแท้ หากมีคนยื่นฎีกาเพื่อออกหน้าแทนใต้หล้า บางทีในวังอาจไม่ทำเช่นนี้”
“ใช่ๆ หากมีคนกล้าออกหน้า”
ทุกคนประสานเสียง เหยาฟู่กลับเอาแต่คืบกินไม่หยุด สุราก็ดื่มตามไปเรื่อยๆ ได้ยินแล้ว ก็จึงวางตะเกียบกับจอกสุราลงบนโต๊ะ ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“สำนักตรวจสอบตอนนี้มีแต่ข้าที่กล้าเขียน ข้ากล้าถวายฎีกา พวกเจ้าต้องมาหาข้าออกหน้า ไม่ยอมออกหน้าเอง ต้องการหาผู้นำออกหน้ากระมัง!”
เขากล่าวได้ตรงไปตรงมา ทำเอาคนในห้องอึ้งค้างนิ่งสนิท สีหน้ากระอักกระอ่วน มีคนหนึ่งกระแอมไอ กล่าวว่า
“พี่เหยาเข้าใจผิดแล้ว เรื่องคุณธรรมเช่นนี้พวกข้าเองก็ย่อมร่วมด้วย จะมีการปล่อยให้ใครนำหรือตามได้อย่างไร”
“สองหมื่นตำลึง โรงบ้านที่กว่างผิงอีกสามพันหมู่ ลูกชายคนโตอายุ 11 ปีของข้าปีนี้ต้องได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ฎีกานี้ข้าเขียนเอง ข้ายื่นเอง ไม่ทำให้พวกเจ้าที่นี่ทุกคนต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด เงินกับโรงบ้านถึงมือ ข้าจะเขียนทันที แม้ต้องตายก็ไม่กลัว”
ทุกคนในห้องสีหน้าย่ำแย่ อู๋จั้วไหลกลับหัวเราะ ค่อยๆ กล่าวว่า
“สามหมื่นตำลึง โรงบ้านเมืองกว่างผิง แถมโรงน้ำมัน ส่วนตำแหน่งต้องรอกลางปี ก่อนมะรืนนี้เงินกับสัญญาที่ดินจะส่งไปถึงจวนพี่เหยา ส่วนเรื่องฎีกา?”
“วางใจได้ คืนนี้จะพักที่จวนท่านนี้สักคืน สาวใช้ฝากไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นนางที่บ้านข้าคงไม่ยอม”
อู๋จั้วไหลพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้เลยๆ จัดห้องพักสะอาดไว้รอท่านแล้ว”
เขากล่าวไม่ทันจบ เหยาฟู่ก็ลุกขึ้นยืน โอบสาวใช้กล่าวว่า
“ยามค่ำคืนแสนสั้น ข้าขอไปเสวยสุขก่อน ทุกท่านเชิญตามสบาย”
ขณะที่กล่าววาจาก็โอบสาวใช้เดินออกไป พอเขาออกไป ทุกคนในห้องก็สบตากันไปมา ครู่หนึ่งจึงมีคนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“เจ้าคนชั้นต่ำหยาบช้า ไม่รู้ว่าสอบผ่านมาได้อย่างไร เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพวกเราได้ หากไม่ใช่เพื่อการใหญ่ จะมานั่งร่วมกับเขาได้อย่างไร!”
อู๋จั้วไหลยามนี้นิ่งลงไปมาก ยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ครอบครัวเขาตอนนั้นยังดีอยู่ ทว่าในตระกูลมีคนลอบค้าเกลือถูกจับกุม แต่เพราะยอมรับจึงยังดี รวบรวมกำลังชาวบ้านไปตามกลับมาได้ แต่สุดท้ายคนก็ตาย ครอบครัวแตกแยก หากไม่ใช่ว่าหูตาไว้รู้ตัวเร็ว แม้แต่เหยาฟู่ก็คงไม่อาจสลัดความผิดนี้ได้ เพราะเหตุนี้ เขาจึงโกรธแค้นหวังทงมาก จะว่าไป เขาไม่มีเงินและอำนาจ ตำแหน่งนายกองตรวจสอบมณฑลซานซีคนไม่อาจก้าวหน้าไปได้อีก จะไปสนใจอันใด!”
“พี่อู๋สายตาแหลมคม เจ้าเหยาฟู่นี่เป็นพวกไม่เอาไหน ทำแต่เรื่องเสื่อมเสียตัวเอง หากเป็นคนอื่นไหนเลยจะกล้า”
อู๋จั้วไหลเล่นจอกสุราในมือไปมา ยิ้มไม่กล่าวอันใด พอทุกคนกล่าวจบจึงกล่าวว่า
“เรื่องนี้สำคัญ ทุกคนอย่าได้รอช้า ปีนี้เป็นปีสอบภายในของขุนนางเรา ทุกท่านจะขึ้นหรือลง วันหน้าจะมีอนาคตเช่นไร ก็ล้วนอยู่ที่ครานี้แล้ว!”
สอบภายในเป็นระบบในการสอบขุนนางแผ่นดินหมิงทุกๆ หกปี ขุนนางใต้หล้าระดับ 5-6 ล้วนเข้าสอบได้ ทางเมืองหลวงนี้จะมีเสนาบดีกรมปกครองกับเจ้ากรมสำนักตรวจสอบร่วมกันจัดสอบ
ขุนนางแผ่นดินหมิงต่างทุ่มเทกับการสอบนี้ เพราะการสอบนี้สามารถตัดสินการเลื่อนตำแหน่งหรือถึงกับสามารถเป็นสิ่งทำให้ยื้อตำแหน่งไว้ได้ ทุกครั้งตอนสอบ หน้าประตูจวนเสนาบดีกรมปกครองก็จะคึกคักราวกับตลาดสด ขุนนางที่มาขอตำแหน่ง ขุนนางที่มารักษาตำแหน่งมากมาย สำหรับคนพวกนี้แล้ว นี่คือโอกาส
อู๋จั้วไหลเป็นศิษย์เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย วาจาเขากลับแตกต่างจากคนอื่น หลายคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะพากันหุบสีหน้ายิ้มแย้ม รับคำหนักแน่น
*****************
ผ่านไปวันหนึ่ง อู๋จั้วไหลกลับออกมาจากจวนเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ตอนนี้แม้แต่หน้าประตูห้องของจวนเสนาบดีกรมปกครองยังต้องระวังหนัก เกรงว่าหากทำผิดจะไม่ได้เข้าไปด้านใน
อู๋จั้วไหลเป็นศิษย์หยางเหว่ย จึงไม่ต้องยุ่งยากลำบาก ทักทายคนเฝ้าหน้าประตู คนเฝ้าก็ย่อมเกรงใจให้เข้าไป
ยามนี้แม้เป็นบ่ายหลังประชุมขุนนาง ทว่าหยางเหว่ยก็กำลังรับแขก อู๋จั้วไหลรออยู่ในเรือนข้างครู่หนึ่ง ผู้ติดตามหยางเหว่ยจึงมาตามตัวเข้าไป
หยางเหว่ยตอนนี้เป็นเสนาบดีกรมปกครอง หัวหน้าหกกรมกอง อิทธิพลอำนาจมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า พอเห็นอู๋จั้วไหลเดินเข้ามาในห้องหนังสือ จึงได้ออกจากภวังค์ความคิด อู๋จั้วไหลรีบก้าวเข้าไปด้านหน้า คำนับกล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านอาจารย์ เหยาฟู่ยินยอมไปเขียนฎีกาแล้ว ที่อื่นๆ ก็เตรียมการพร้อมแล้ว ขอเพียงเหยาฟู่เริ่มก่อน ทุกคนก็จะร้องประสานรับทันที…”
ได้ยินเช่นนี้ หยางเหว่ยก็พยักหน้า ทว่าเขาฟังออกว่าอู๋จั้วไหลยังกล่าวไม่หมด หรี่ตามองอู๋จั้วไหล เขารีบกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีวาจาไม่ทราบว่าควรกล่าวหรือไม่”
หยางเหว่ยกล่าวเพียง ‘อืม’ อู๋จั้วไหลคำนับกล่าวเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทนับวันจะยิ่งเป็นตัวของตัวเอง หากขุนนางราชสำนักคิดเตรียมการออกหน้าเพื่อคุณธรรม หากฝ่าบาททรงทราบแล้วทรงกริ้วจะทำเช่นไร แม้ใต้หล้ามีขุนนางบัณฑิตคอยรักษาหลักการธรรมเนียมให้ยืนยาว ทว่าองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นพวกไร้เหตุผล ถึงตอนนั้น หากฝ่าบาทต้องการให้หวังทง…”
หยางเหว่ยส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า
“หวังทงไร้เหตุผล แต่ก็จงรักภักดีฝ่าบาท ปีก่อนเรื่องต่างๆ ที่เกิดสำหรับเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นการกำราบตักเตือน หวังทงแอบวางแผนนำกำลังไปตีเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนี้สำนักองครักษ์เสื้อแพรกับกองกำลังเทียนจินก็เหมือนส่งมอบคืนแล้ว เขาไม่เท่าไรแล้ว”
ได้ยินกล่าวเช่นนี้ อู๋จั้วไหลถอนหายใจยาว ทว่ากล่าวหนักแน่นว่า
“ท่านอาจารย์ องครักษ์เสื้อแพรกับกองกำลังเทียนจินและเมืองหลวง ฝ่าบาทเคยสั่งการใช้แล้ว เกรงว่าไม่ใช่ว่าไม่อาจมีครั้งที่สอง…”
หยางเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง โบกมือให้คนในห้องออกไป พอคนออกไป หยางเหว่ยจึงได้กล่าวว่า
“ปีนี้เตรียมจัดให้เจ้าไปนั่งตำแหน่งขุนนางคัดเลือกบทความ เจ้าทำงานได้ดี คิดได้รอบคอบ ข้าผู้เป็นอาจารย์ชื่นชมยิ่ง มีบางเรื่องควรกล่าวให้เจ้าได้รู้”
ขุนนางคัดเลือกบทความของกรมปกครองก็เท่ากับตำแหน่งงานอันดับหนึ่งในกรมปกครอง เป็นเจ้าพนักงานในการสอบที่มีหน้าที่นำเสนอรายชื่อขุนนางแก่เสนาบดีกรมปกครอง มีอำนาจมาก เป็นงานมีค่าน้ำร้อนน้ำชามาก อู๋จั้วไหลพอได้ยินเช่นนี้สีหน้าซาบซึ้งยิ่ง รีบคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์เมตตา ศิษย์แม้ต้องตายก็ขอรับใช้ท่าน!”
หยางเหว่ยพยักหน้า กลับไม่ได้ให้เขาลุกขึ้น กล่าวว่า
“ลำดับพี่น้องเป็นหลักการใหญ่ เรื่องนี้นอกวังรู้กัน ในวังมีรู้เช่นกัน โอรสองค์โตเป็นรัชทายาท เรื่องนี้แม้แต่ไทเฮาก็เห็นชอบ ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็ทรงรักอ๋องลู่มากกว่า เจ้าลุกขึ้นได้ กลับไปทำงานต่อ เหยาฟู่ทางนั้น เงินกับสัญญาที่ดินข้าจะส่งคนไปจัดการให้!”
อู๋จั้วไหลคุกเข่าอยู่ที่พื้นได้ยินหยางเหว่ยกล่าวท่อนแรก ก็สะดุ้ง แต่ครู่หนึ่ง ความหวาดกลัวและความกังวลก็หายไป จิตใจกลับมากหนักแน่นดังเดิม
*****************
วันที่ 20 เดือนหนึ่ง หวังทงกำลังเดินรอบเมืองกุยฮว่าเฉิงกับถานเจียง รอบๆ ล้วนมีทหารแต่งกายแบบคนงานติดตามมา มาถึงที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของหวังทงล้วนอยู่กับโรงช่างและที่นานอกเมือง มาเดินในเมืองนี้นับว่าเป็นครั้งแรก
ตอนที่ 883 ตลาดนัดเมืองกุยฮว่าเฉิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่เล็ก ทว่าที่ควรเดินชมมีไม่มาก ที่จริงแล้วเป็นเมืองชายแดนขยายขนาดเท่านั้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะเรียกรวมพลคนและสินค้าได้ราบรื่น บ้านเดิมหลายหลังถูกรื้อถอนออกไปมาก สร้างเป็นเส้นทางกว้างสายตรง เพื่อสะดวกในยามคับขันที่จะคงประสิทธิภาพรวดเร็วสูงสุด
และที่ใดให้ผู้ใดพักล้วนมีกฎ เช่นในเมืองเป็นที่พักของผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้า ไม่ใช่ให้ทุกครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน แต่ตามการจัดการ ให้แบ่งไปอยู่ตามละแวกประตูเมือง เพื่อให้สามารถขึ้นไปป้องกันประตูเมืองได้ในเวลาคับขัน
ผู้คุ้มกันร้านสามธาราราวพันคน พักอยู่กลางตัวเมือง ใกล้กับขุนนาง จัดการนี้ก็เป็นที่หวังทงจัดการไว้ก่อนหน้า หากขบวนพ่อค้าผู้คุ้มกันคิดก่อความไม่สงบ ผู้คุ้มกันร้านสามธารากับทหารจวนขุนนางก็จะออกไปยับยั้งเหตุได้ทัน
บรรดานายช่างพักใกล้โรงช่าง แม้ว่าหัวหน้าโรงช่างก็ต้องเช่นนี้ คหบดีใหญ่ในเมืองก็พยายามให้แยกตัวจากกัน การจัดการต่างๆ ล้วนเพื่อการทหารและความสงบเรียบร้อย
ในเมืองมีร้านสุราสองร้านเป็นร้านที่ร้านสามธาราตั้งใจมาเปิด ไม่เอ่ยถึงอาหาร เพราะขายสุราแรงเป็นหลัก คหบดีในเมืองคิดจัดเลี้ยง ก็ต้องจัดแบบธรรมเนียมทุ่งหญ้านอกด่าน ย่างแพะย่างเนื้อ หากพวกพิถีพิถันก็จะจัดหาพ่อครัวมาจากเมืองต้าถง
ทว่าตามคำแนะนำของเถ้าแก่ร้านสามธาราในพื้นที่ สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นเช่นนี้อีกไม่นาน เพราะมีพ่อค้าหอหนานจับตาการค้านี้แล้ว ซื้อที่แล้ว หลังตรุษจีนไม่นานก็จะเริ่มก่อสร้าง คิดจะเชิญพ่อครัวมีชื่อมา
หอคณิกาบ่อนพนันในเมืองจัดการเข้มงวดมาก ส่วนนอกเมืองจะมีซ่องหรือบ่อนแอบซ่อนหรือไม่ ทุกคนขี้เกียจจะสนใจ อย่างไรก็ต้องให้ปลดปล่อยบ้าง เข้มงวดไปไม่ดี
ในเมืองมีร้านค้า เล็กตั้งแต่สินค้าเบ็ดเตล็ด ใหญ่จนถึงสินค้าฟุ่มเฟือย การค้ารุ่งเรืองยิ่ง ชาวบ้านในเมืองนอกเมือง ชาวมองโกลกับเผ่าอื่นที่มา ล้วนเข้าๆ ออกๆ
แต่สำหรับหวังทงตั้งแต่ก่อตั้งเทียนจินแล้วกลับไปพำนักเมืองหลวงมานั้น สิ่งเหล่านี้ไม่น่าตื่นเต้นแล้ว ก็แค่เป็นผลจากการวางรากฐานตามประสบการณ์เท่านั้น
เดินเล่นสักพัก ก็รู้สึกผ่อนคลาย ถานเจียงที่มาเป็นเพื่อนมองแล้วก็รู้ เดินในเมืองรอบหนึ่ง ก็นำหวังทงไปตอนเหนือของเมือง
เมื่อก่อนขี่ม้าผ่านมา หวังทงเห็นที่นี่มีแต่ที่ว่างผืนกว้าง เป็นที่ฝึกของผู้คุ้มกัน ครั้งนี้ถานเจียงนำมา กลับได้เห็นว่าที่นี่มีคนเข้าออกมาก คึกคักมาก แทบเหมือนตลาด
“นายท่านทุกสิบวันของเดือน ที่นี่เปิดตลาดนัด พ่อค้าและชาวบ้านในเมืองนอกเมืองต่างมากค้าขายกันที่นี่ ทุกร้านจะจ่ายให้ทางการแค่หญ้าแห้งสิบชั่ง”
ที่อื่นหญ้าแห้งสิบชั่งเรียกว่ายุ่งยาก แต่ทุ่งหญ้านอกด่านนี่กวักมือก็มีมา ราวกับได้มาเปล่าๆ นับว่าเป็นการจัดการที่ดี ดูจากขนาดพื้นที่แล้วน่าจะมีพันกว่าร้านค้า คนนับหมื่นกำลังเลือกหาซื้อของ ทุกเดือนจัดสามครั้ง รายได้เมืองกุยฮว่าเฉิงที่เป็นหญ้าแห้งก็ไม่น้อย สามารถแก้ปัญหาให้ตนเองได้ไม่น้อย สมประโยชน์สองฝ่าย
“เดือนหนึ่งฉลองปีใหม่กัน มาจนวันที่ 20 จึงเปิดตลาด ดังนั้นจึงคึกคักเป็นพิเศษ”
เห็นสีหน้าชื่นชมพึงใจของหวังทง ถานเจียงก็พลอยได้หน้าไปด้วย ยิ้มแนะนำ
หวังทงพยักหน้าเดินไปทางตลาด บรรดาผู้คุ้มกันก็พยายามเปิดทางให้เดิน คนในตลาดมีมาก พอเห็นพวกหวังทงไม่ธรรมดา ก็รู้ตัวรีบหลบทาง
ตลาดค้าสัตว์รอบนอกสุด ม้าวัวแพะหมูขายกันที่นี่ ทว่าฤดูนี้ สัตว์เลี้ยงผอมกะหร่อง ลักษณะไม่ดี เจ้าของไม่ค่อยได้ดูแล ช่างไม่มีอะไรให้ดู
เดินเข้าไปด้านในต่อ เห็นชาวบ้านนอกเมืองมาเปิดร้านแบกะดินขายของ มีคนล่าวัตว์มา มีคนเก็บสมุนไพรมา พวกนี้ล้วนเป็นชาวมองโกลกับชาวเผ่าอื่นมากหน่อย ชาวฮั่นนอกเมืองจะนำผ้าทอที่หญิงในของครัวทำออกมาขาย ยังมีของเล่นเล็กน้อยๆ วางขาย
ร้านค้าในเมืองก็ส่งคนงานมาตะโกนค้าขาย ร้านเปิดชั่วคราวพวกเขาดูดีมาก อย่างไรก็ต้องมีเพิง ด้านในก็มีสินค้ามากมาย
สินค้าพวกนี้หวังทงเห็นก็รู้ ล้วนเป็นผ้าต่วนและผ้าทั่วไปที่สีตก ของใช้ที่มีรอยบิ่นแตกเล็กน้อยที่ยังใช้ได้ เพียงแต่มีตำหนินิดหน่อยเท่านั้น ดีที่ราคาถูก ชาวบ้านชอบซื้อกัน
กลางตลาด ยังมีคนแบกตะกร้าบนหลัง ด้านในมีแผ่นแป้งและเนื้อเค็ม ตะโกนเดินไปมาร้องขาย พวกนี้ล้วนเหมือนกัน ตลาดแผ่นดินหมิงก็เช่นนี้
“ที่นี่ไม่มีขโมยหรือ ที่เทียนจินหากเป็นที่เช่นนี้ย่อมมีขโมยปะปนไม่น้อย!”
หวังทงได้ยินว่าเป็นเป้าเอ้อร์เสี่ยวถาม อีกคนอธิบายว่า
“ก็มี นอกตลาดมีเสาไม้ไว้แขวนคอ จัดไปสองครั้ง ก็ไม่มีคนไร้ตาอีกเลย!”
หวังทงยิ้ม การลงโทษโหดร้ายจริงจังในที่เช่นนี้นั้นได้ผลดี ที่นี่มีของน่าดูไม่น้อย หวังทงเดินไปดูร้านซ่อมธนู ยังมีร้านรับซื้ออาวุธเก่าอีกด้วย ยังรับซ่อมและรับแลก แน่นอนต้องมีค่าใช้จ่าย คนที่มาเยี่ยมชมเป็นชาวมองโกลกับชาวเผ่าอื่นเสียมากกว่า ชางบ้านในพื้นที่ก็พอมี ชีวิตคนทางเหนือไม่เหมือนในกำแพงเมืองหมิง แม้เป็นชาวบ้านหากินสุจริตก็ต้องมีอาวุธป้องกันตัว
แต่ไรมาไม่เคยเห็นร้านสุราก็ได้เห็นที่นี่ร้านหนึ่ง เป็นกระโจมง่ายๆ ที่เปิดประตูกว้าง ด้านในมีไหสุรา มีคนเดินเข้าไปตลอด โยนถุงสุราให้คนงานไป คนงานชั่งสุรากรอกใส่ ไม่ต้องเดินเข้าไป แค่หน้าประตูก็ได้กลิ่นสุราแรงโชยมาแล้ว
คนเข้าไปในร้านมีชาวฮั่นไม่น้อย ล้วนสวมชุดหนังแบบชาวเลี้ยงสัตว์ พวกเขาซื้อสุราได้มาก็อดไม่ได้จิบสักอึก ถอนหายใจยาวอย่างพอใจมาก รอบๆ กระโจมมีพ่อค้าหลายคนที่เห็นโอกาสการค้า พากันมาขายเนื้อแห้ง การค้าไม่เลว
“อูฐรักต้นหลิว มองโกลรักสุรา วาจานี้ไม่ผิด!”
หวังทงยิ้มกล่าว อูฐรักต้นหลิว มองโกลรักสุราเป็นกวีชาวซ่งเขียนไว้ ไช่หนานเคยอ่านเจอ แล้วตอนคุยกับหวังทง ก็เล่าว่าชาวมองโกลชอบดื่มสุรา เหมือนอูฐชอบกินใบหลิว หวังทงตอนอยู่เมืองหลวงก็ได้เห็นกับตา ดังนั้นจึงได้เอ่ยขึ้น
แต่อยู่ๆ หวังทงก็คิดได้เรื่องหนึ่ง ถามขึ้น
“ร้านสุรานี้เป็นของทางการหรือของพ่อค้า?”
ถานเจียงอึ้งไป มองไปยังร้านสุรา ตอบทันทีว่า
“ของพ่อค้า”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ก้าวไปด้านหน้า เดินไปสองสามก้าว กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตอนเหนืออากาศหนาว ไม่ว่าผู้ใดก็ชอบดื่มสุราแรงสักจิบสองจิบ ทว่าการหมักสุราเปลืองธัญพืชมาก ตอนนี้ที่นี่เพิ่งเริ่มต้น หมักสุราขายคงต้องให้ทางการมาขายเอง เช่นนี้จึงจะควบคุมได้…”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงนิ่งไปส่ายหน้ากล่าวอีกว่า
“ทางการไม่ได้สิ การค้ากำไรดีเช่นนี้อย่างไรพวกเขาย่อมทำพัง รอข้ากลับไปบอกเมิ่งตั๋วก่อน จากนี้ ร้านสุราส่วนตัวในเมืองนอกเมืองเป็นร้านต้องห้าม ให้ร้านสามธาราทำร้านเดียว”
ทุกคนย่อมไม่กล้าเห็นแย้ง การหมักสุราบนทุ่งหญ้านอกด่านย่อมทำกำไรมหาศาล กำลังถล่มทลายนี้ย่อมทำให้ตนเองร่ำรวยมหาศาล พวกเมิ่งตั๋วย่อมได้ส่วนแบ่ง นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ทางการย่อมไม่คัดค้าน
นอกจากพ่อค้าชาวฮั่นมาขายของใช้แล้ว ยังมีพวกพ่อค้าซีอวี้มาเปิดร้านขายด้วย บนพื้นปูพรมผืนหนึ่ง บนนั้นวางของใช้หลากหลาย ล้วนเป็นจาน กา ชาม แก้วที่ทำงานเครื่องทองแดงและดีบุก แกะสลักลวดลายงดงาม ล้วนเป็นเอกลักษณ์แบบซีอวี้ น่าสนใจ หวังทงไปหยุดที่ร้านพวกนี้นาน ชมอยู่ครู่หนึ่ง
“นายท่าน สายมากแล้ว กลับจวนไปกินข้าวก่อนไหม?”
ถานเจียงถาม หวังทงมองไปด้านหน้า เหมือนว่าเป็นที่ว่าง น่าจะเดินมาสุดตลาดแล้ว ทว่าเหมือนยังคึกคักมาก ตลาดเดียวไม่น่ามีแหล่งค้าสัตว์สองที่ ที่นั่นทำอะไรกัน มองดูคนเดินผ่านไปมา หลายคนไปอย่างคึกคัก
“อาหารเที่ยงใจร้อนไปไย ไปดูกันก่อน”
หวังทงตอบ กำลังจะเดินไป ถานเจียงกระแอมไอท่าทางกระอักกระอ่วน กล่าวอีกว่า
“นายท่าน ทางนั้นไม่มีอันใดน่าดู…”
“มีอันใดไม่สะดวกให้ข้าได้ดูหรือ?”
หวังทงหันมาถาม ถานเจียงไม่อยากให้ตนดู ดังนั้นจึงอ้างเหตุผลอื่นมารั้งไว้ พอหวังทงจ้อง ถานเจียงรีบก้มคำนับ อึกอักกล่าวว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิง มีที่ใดที่นายท่านไม่อาจดูกัน ทว่าข้างหน้านี้เกรงว่านายท่านเห็นแล้วไม่พึงใจ เป็นที่สกปรกมาก ไม่ใช่ที่สำหรับชนชั้นสูงเช่นนายท่านไป…”
“ตลอดทางมาใช่ว่าเดินชมสนุกหรือ? หรือว่าตลาดนี้ยังเงียบสะอาดไม่พอ พอเจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าต้องไปดูให้ได้ ไม่เช่นนี้ใจที่อยากรู้ยากจะระงับ!”
หวังทงสัพยอก ก้าวไปด้านหน้า ถานเจียงยิ้มเฝื่อนรีบตามไป เข้าไปใกล้กล่าวว่า
“นายท่าน เมืองกุยฮว่าเฉิงกับแผ่นดินหมิงไม่เหมือนกัน มีบางเรื่องบางทีนายท่านอาจไม่ชิน แต่ที่เมืองกุยฮว่าเฉิงกลับเป็นเรื่องปกติ”
หวังทงโบกมือ เห็นชัดว่าเริ่มรำคาญใจ ถานเจียงไม่กล้ากล่าวต่อ ทุกคนได้แต่เดินตามไป
สองข้างทางเดินที่ก้าวไป เดินไปถึงพื้นที่ว่างอีกด้านของตลาด ที่นี่ใช้พื้นที่น้อยกว่า แต่กลับคึกคักกว่ามาก คนแต่งกายภูมิฐานหลายคนเดินไปเดินมา มีกระโจมใหญ่น้อยเต็มไปหมด ยังมีเหมือนเวทีไว้ตอนพิธีสวนสนามฉลองชัย บนเวทีไม้มีคนยืนอยู่
“มาชมๆ ทุกคนล้วนชายฉกรรจ์แข็งแรง เลี้ยงสัตว์ได้ ฝึกไม่กี่ปีก็เพาะปลูกเป็น…”
“…นายท่านเชิญทางนี้ นางนี่ดูสกปรก ตัวเหม็น นำกลับไปอาบน้ำ ไว้คอยปรนนิบัติในบ้าน หรือว่าเป็นสาวใช้ก็ได้…”
“100 ตำลึง เจ้าว่าอะไรนะ ขายแพงงั้นหรือ เบิ่งตาเจ้าดูซิ นี่มันหญิงมองโกลชั้นสูง ไม่ซื้อก็ถอยไป ส่งไปขายที่ซานซี พันตำลึงมีคนเอาแน่นอน!!”
ที่นี่ คนถูกค้าเหมือนกับสัตว์ หวังทงมองไปรอบๆ ก็พบกว่าทหารตนเองเริ่มอ้าปากค้าง ถานเจียงสีหน้าอึดอัด
“ตลาดค้ามนุษย์!”
หวังทงยิ้มกล่าว
ตอนที่ 884 คุยเรื่องตลาดค้ามนุษย์ ลอบหนีกลางดึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
แผ่นดินหมิงก็มีขายคนงาน มีขายลูก แต่ที่นี่ตอนนี้คนไร้ศักดิ์ศรีสิ้น เหมือนกับสัตว์ที่ถูกตั้งราคาขาย
ตลาดเช่นนี้สำหรับทหารผู้คุ้มกันหวังทงแล้ว ช่างสะเทือนใจ ไม่เคยเห็น พวกเขาอยู่แต่ในแผ่นดินหมิง ปกติไม่ฝึกกำลังก็ออกรบ ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอก พอเห็นเช่นนี้ก็สะเทือนใจยิ่ง
ถานเจียงเดาออกว่าทหารพวกนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับยิ้ม ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ทำให้เขาแปลกใจเหนือความคาดหมายมาก
ทว่าถานเจียงติดตามหวังทงมานาน เขาเองรู้ว่า สีหน้าหวังทงยิ้มใช่ว่าจะอารมณ์ดี บางทียิ้มแต่จะสังหารเพราะโมโหก็มี ในใจเขาตอนนี้เริ่มเต้นแรง รีบเข้าไปกล่าวว่า
“ข้าว่าหากผู้คุ้มกันขบวนการค้ายังคงแย่งชิงไม่หยุด พวกบรรดาเผ่าเล็กนอกจากม้าวัวยังจะมีอันใดให้ปล้นอีก…”
หวังทงกล่าวถึงเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านมีชีวิตลำบาก เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ก็เพื่อไว้กินเอง สามารถเอามาขายได้ก็น้อยมาก เมื่อก่อนยังคอยตามเผ่าใหญ่ออกไปปล้นชิงแผ่นดินหมิง แต่ตั้งแต่เมืองกุยฮว่าเฉิงล่มสลาย ผู้ใดกล้าลงมืออีก ได้แต่ทนลำบากบนทุ่งหญ้านอกด่านไป
สถานการณ์นี้จะมีของเหลือที่ไหนกัน ส่วนสัตว์เลี้ยงนั้น มีค่าบนแผ่นดินหมิง ทุ่งหญ้านอกด่านแม้มีค่าเหมือนกัน แต่การจะเสี่ยงภัยไปแย่งชิงนั้นไม่คุ้มค่า เห็นตลาดค้ามนุษย์ตรงหน้า หวังทงคิดได้ทันที
“ถานเจียง ลองเล่าสถานการณ์ที่นี่มาให้ละเอียดหน่อย”
หวังทงเดินไปถามไป ถานเจียงเห็นหวังทงไม่ได้โมโหก็อธิบายขึ้น
เรื่องก็ง่ายมาก เมืองกุยฮว่าเฉิงคนไม่พอ แถบแม่น้ำถู่ม่อชวนอากาศดี เหมาะแก่การเพาะปลูก ตอนนี้ที่นี่เป็นของแผ่นดินหมิง และยังเปิดรับคนย้ายเข้ามาบุกเบิกที่ดิน ทุกคนย่อมรุมแย่งกันมา
แต่พื้นที่มากคนน้อย ชาวฮั่นเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่พอ มณฑลซานซีและส่านซีก็เป็นมณฑลที่ประชากรน้อยในแผ่นดินหมิง คนที่รับสมัครมาก็ย่อมมีจำกัด ชาวนาที่มาจากเหอหนานทางนั้นไกลไปไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้
เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ครอบครองใหม่ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร รีบลงมือเพาะปลูกสองสามปี ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ก็ไม่รู้ใครเป็นคนคิดเริ่มต้นไปปล้นชิงเผ่าอื่นแล้วกวาดต้อนเชลยมาด้วย คนเหล่านี้แม้ว่าเพาะปลูกไม่เป็น แต่หากถูกบีบให้ทำก็คงพอเป็นแรงงานในนาได้
เริ่มต้น สัตว์เลี้ยงกับของมีค่าเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าต่อมาพวกเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านไม่มีอันใดให้แย่งชิงแล้ว เผ่าใหญ่ก็เป็นคู่ค้าที่แตะต้องไม่ได้ คนจึงเป็นสินค้าสำคัญ
พ่อค้าจากซานซีและส่านซีกล้าเสี่ยงภัยมาทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่ใช่พวกจิตใจเมตตาอันใด พวกเขามีผู้คุ้มกันข้างกาย
หลังซื้อทาสมาก็ไม่กังวลว่าคุมไม่อยู่ มีคนถึงกับใช้ทาสเลี้ยงสัตว์ ไม่ถึงปีการค้าทาสที่นี่ถึงกับรุ่งเรืองเป็นที่ต้องการอย่างมาก
“…อู้เหลียงฮาเป็นเผ่าที่ใกล้ชิดเรา ก็ไปจับตัวเอามาจากทั่วทุกแหล่งเช่นกัน ถึงกับขึ้นไปจับมาจากทะเลทรายตอนเหนือ…”
เห็นสีหน้าหวังทงยิ่งยิ้มพอใจมากขึ้น ในใจถานเจียงเริ่มไม่เป็นสงบ ไม่รู้ว่าในใจหวังทงพอใจหรือโมโหกันแน่ ได้แต่กลั้นสีหน้าเก็บความรู้สึกกล่าวต่อว่า
“ทาสพวกนี้ถูกกว่าวัวและม้าอีก มีคนซื้อไม่น้อย ทว่า…ทว่า เรียนใต้เท้าตามตรงไม่ปิดบัง เพราะว่าถูก ดังนั้นจึงใช้งานเหี้ยมโหด ตายไปก็มาก”
หวังทงนำคนเดินไปยังหน้าเวทีไม้ พวกเขามองดูก็รู้ว่าหวังทงมีเงิน เดินมาถึงหน้าเวที บนเวทีก็รีบเร่งร้องตะโกนขายเสียงดังทันที
บนเวทีมีชายต่างเผ่าหน้าตาสลดอยู่สิบกว่าคน ตามที่บอกมานั้น นี่เป็นสินค้าตัวอย่าง ด้านหลังมีทั้งชายและหญิง ล้วนเป็นชายหญิงแข็งแรงกำยำ ตอนพวกเขาตะโกนราคานั้น หวังทงก็เริ่มคำนวณ สองคนก็ราวม้าหนึ่งตัว นี่คนที่กินเปลืองน้อยกว่าม้า ทำงานไม่ต้องพูดถึง
อาจเพราะเห็นพวกหวังทงอยู่ด้านล่าง เหมือนว่าจะซื้อ พ่อค้าคนหนึ่งที่มาจากมณฑลซานซีขึ้นไปบนเวทีจ้องมองอย่างละเอียด ก่อนจะปิดการค้าทันที
จบการค้า นำคนกลับไป ชายฉกรรจ์ถือดาบสิบกว่าคนก็ไล่ต้อนทาสออกมาอีกสองร้อยกว่าจากไป หวังทงขมวดคิ้วจ้องมาองครู่หนึ่งกล่าวว่า
“นี่เป็นทหารชายแดน?”
ชายฉกรรจ์ถืออาวุธล้วนเป็นผู้คุ้มกันพ่อค้ามณฑลซานซี ท่าทางคนพวกนี้ง่ายมากที่จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นทหารชายแดน และยังเป็นเหมือนทหารสังกัดขุนพลส่วนตัวด้วย
“นายท่านตาแหลม คนมาซื้อทาสกลับได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นพ่อค้าที่มีสายสัมพันธ์กับทหารชายแดน หลายวันก่อนพ่อค้าพวกนี้ฝากตระกูลหม่ามาบอกกล่าวก่อน เป็นคนจากหมู่บ้านอวี้หลิน”
หวังทงพยักหน้า กองกำลังชายแดนเทียบกับพ่อค้าในพื้นที่ ก็ยิ่งมีความสามารถในการป้องกันตนเอง ทหารชายแดนมีใจเห็นแก่เงินทองไม่น้อยไปกว่าพ่อค้า พื้นที่รกร้างแม่น้ำถู่ม่อชวน พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจ คนพวกนี้ทำงานเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ยังลงมือได้โหดและไม่เลือกวิธีการ
เรื่องบุกเบิกพื้นที่ชายแดนตอนนี้ พวกเขายิ่งเหมาะมาก หวังทงเดินไปสองสามก้าว ก็กลับคิดอะไรได้ ขมวดคิ้วถามขึ้น
“ตลาดค้าทาสนี้มีค้าขายชาวฮั่นไหม?”
“เรียนนายท่าน ก็มี แต่น้อยมาก ล้วนเป็นพวกติดหนี้มากจึงถูกส่งมาขายที่นี่ ยังมีพวกนักเลงชั่วที่จับมาขายเองก็มี แต่ก็ถูกคนที่นี่ขับไล่ออกไป”
หวังทงพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ค้าขายชาวฮั่นให้ยึดทรัพย์ให้หมด พวกที่ค้าขายชาวฮั่นก็ให้ลงทัณฑ์แล้วส่งไปใช้แรงงานสามปี”
ถานเจียงรีบรับคำ หวังทงมอบหมายเขาแล้ว เขาก็ย่อมไปจัดการต่อกับเมิ่งตั๋ว เห็นสีหน้าหวังทง ถานเจียงเดาไม่ถูก วิเคราะห์ไม่ออก หวังทงดีใจหรือโมโห เดินไปสองสามก้าว ถานเจียงก็กล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน หากคิดว่าตลาดค้ามนุษย์ที่นี่ผิดคุณธรรม ก็ให้ปิดที่นี่ไป เมืองกุยฮว่าเฉิงคงไม่เสียหายด้วยเรื่องนี้”
ได้ยินถานเจียงกล่าวเช่นนี้ หวังทงหันไปมองอย่างแปลกใจ ถามขึ้น
“ทำไมต้องปิด?”
“นายท่านหมายความว่า?”
เห็นสีหน้างงของถานเจียง หวังทงเข้าใจที่เขาคิด อดไม่ได้ยิ้มกล่าวว่า
“ข้านำกำลังมาปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ข้าให้อาวุธและรถใหญ่กับขบวนพ่อค้า ส่งทหารปลดประจำการมา ส่งเสริมให้พวกเขาออกปล้นชิง ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อให้กำลังเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่านสูญสิ้น ตอนนี้ที่ตลาดนี้กับการค้าทาสกำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าตั้งเป้าหมายไว้หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องปิด”
ถานเจียงยามนี้จึงได้วางใจ หวังทงอธิบายต่อว่า
“พื้นที่ลุ่มแม่น้ำไม่ใหญ่มาก เผ่าพวกเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่มาก รอให้บุกเบิกพื้นที่ได้ เผ่าพวกนี้ก็คงจับมาพอควรแล้ว ถึงตอนนั้นตลาดคิดจะเปิดก็คงเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว เจ้าว่าเรื่องผิดคุณธรรม เห็นชัดว่าในใจรู้สึกผิด ไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง ปล่อยให้พวกทุ่งหญ้านอกด่านทำลายตัวเองกันไปเอง ต้องทำลายพวกเผ่าใหญ่ที่คิดรวมตัวให้ได้ และตั้งสังหารเผ่าอื่นต่อ ท่ามกลางความไม่สงบนี้ หลายเผ่าย่อมหนาวตาย สู้มาเป็นทาสที่นี่ ยังอาจมีชีวิตที่ดีกว่า”
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยตอนนั้นก็คิดเช่นนี้ แม้ว่ามีคนกล่าวว่าตลาดค้าทาสราวกับไร้มนุษยธรรม แต่ก็เหมือนกับการสังหารศัตรูบนสนามรบของเรา พวกเขาไร้อนาคตไปหนึ่งก็เท่ากับลดความยุ่งยากไปหนึ่ง”
หวังทงยิ้มพยักหน้า กล่าวว่า
“มีใจเมตตาก็ใช่ว่าไม่ได้ เด็กๆ พวกนอกด่านสามารถส่งให้ครอบครัวชาวฮั่นเลี้ยงดู โตแล้วก็เป็นชาวฮั่น พวกนอกด่านที่เป็นหญิงก็แต่งให้ชาวฮั่นได้ ลูกเกิดมาก็เป็นชาวฮั่น เรื่องพวกนี้ย่อมทำได้ ยังมีอีก เผ่าต่างๆ เช่นพวกอู้เหลียงฮาในเมื่อใกล้ชิดพวกเรา ก็ต้องอำนวยความสะดวกให้พวกเขา บอกขบวนพ่อค้าอย่าได้ทำร้ายพวกเขา แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องระวัง อย่าให้พวกเขาอาศัยความได้เปรียบนี้ขยายอิทธิพลบนทุ่งหญ้านอกด่านได้!!”
“นายท่านคิดได้รอบด้าน ข้าน้อยเข้าใจว่าต้องทำเช่นใดแล้ว!”
เดินต่อไป กลับไม่เห็นความคึกคักแล้ว มีเพียงกระโจมงดงามอีกสองสามแห่ง หน้าประตูมีผู้คุ้มกันเฝ้าอยู่ หวังทงรู้สึกงงเดินไปดู พอเห็นพวกหวังทง ผู้คุ้มกันไม่กล้าขวางไว้ เลิกม่านออก
ในกระโจมถึงกับปูพรมขนสัตว์ เผาเครื่องกำยานไว้ มีคนแต่งกายสูงศักดิ์นั่งล้อมวงอยู่ เห็นหญิงสาวหลายคนกำลังเดินไปมาบนพรม ดูผิวพรรณแล้ว ไม่ใช่ชาวผิวเหลือง เป็นสตรีอายุไม่มาก ล้วนงดงาม สวมอาภรณ์บางพริ้ว น่าดึงดูดใจมาก
หวังทงกวาดตามอง ขมวดคิ้ว หันเดินออกจากกระโจมไป พอออกมาก็กล่าวว่า
“พ่อค้าซีอวี้ขายทาสเช่นนี้ วันหน้าไม่ให้เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิง หากคนในเมืองชอบของพวกนี้ ให้ร้านสามธาราขายเอง ทาสพวกนี้เพื่อความบันเทิงโดยแท้ นำเงินออกจากเมืองกุยฮว่าเฉิงเราไปก้อนโต มีแต่เสียไม่มีได้ ต้องคุมเข้ม ทาสพวกนี้จมูกโด่งตาคมโต อย่างไรก็ไม่อาจรวมเป็นพวกเดียวกันได้ เอามาทำไมกัน!!?”
ถานเจียงรู้ว่าหวังทงรับอนุนางคณิกามาจากแดนใต้สองคน เห็นหวังทงเดินเข้ามาที่นี่ ยังคิดว่าหวังทงจะสนใจ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะออกคำสั่งเช่นนี้ กะทันหันจนเดาไม่ถูก ได้แต่รีบรับคำทันที
*****************
ต้นเดือนสอง ณ เมืองหลวง พวกที่อยู่ทางในต้ของเมืองล้วนรู้ดีว่าครอบครัวของใต้เท้าเหยา นายกองตรวจสอบสำนักตรวจสอบมณฑลซานซีได้ย้ายไปแล้ว ว่ากันว่าไปเยี่ยมญาติ
ภรรยาและลูกถูกไล่ส่งไปแล้ว จากนั้นที่บ้านก็มีหญิงสาวอายุไม่ถึง 20 หน้าตารูปร่างงดงามมาคนหนึ่ง ใต้เท้าเหยาแม้แต่ที่ทำการก็ไม่ยอมไป วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับนางจิ้งจอก เดิมที่ไม่มีเงินจะกินเนื้อสักมื้อ ถึงกับวันๆ สั่งสุราอาหารมาจากร้านอาหารได้ ไม่รู้ว่าไปรวยมาจากไหนกัน เพื่อนบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ ลับหลังก็แอบก่นด่าไม่น้อย แต่เขตทักษิณล้วนเป็นชาวบ้าน ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินขุนนางท่านนี้
วันที่ 6 เดือนสอง ดึกมากแล้ว นายกองเหยาเปิดประตูจวนออกมา แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา ค่อยๆ ย่องออกมา สาวน้อยนั่นถูกเขามอมสุราหลับไปแล้ว
เหยาฟู่สังเกตอย่างดีแล้วว่าหลายวันนี้ รอบๆ จวนเขาไม่มีคนจับตาดู ดูท่าน่าจะวางใจเขาแล้ว
จึงได้เดินออกไปจากซอย ยามนี้ไม่ว่าทหารลาดตระเวนหรือคนใดก็ไม่มี เหยาฟู่ถอนหายใจ เขาเตรียมจะไปพักที่โรงเตี๊ยมข้างประตูเมือง พรุ่งนี้ค่อยออกจากเมือง
มองซ้ายมองขวา กำลังจะก้าวต่อ ก็มีคนมาตบบ่า
“ใต้เท้าเหยา ดึกเช่นนี้จะไปไหนกัน!?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น