ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 882-883
ตอนที่ 882 กับดัก
แม้โอสถนี้จะส่งผลกับร่างกายในยามนี้ของเขาน้อยยิ่งนัก แต่พลังของเขามาถึงคอขวดแล้ว อีกทั้งเขากำลังจะเข้าไปในทางปีศาจร้าย ดังนั้นเวลานี้เพิ่มพลังขึ้นได้แม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเรื่องดี
จากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ หากกินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์อีกสักยี่สิบสามสิบเม็ด น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายขึ้นได้อีกราวหนึ่งส่วน
และด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อยามนี้ของเขา ไม่ต้องพูดถึงเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเพียงครึ่งส่วนก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญแล้ว
ส่วนโอสถที่เหลือมอบให้เซียเอ๋อร์กินสักหลายเม็ดได้ เซียเอ๋อร์เป็นอสูรเลี้ยงจำพวกกระดูก โอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์มีผลกับนางเป็นพิเศษ
หลิ่วหมิงคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้อารมณ์ดีมาก เขาเดินเล่นในตลอดต่อ ซื้อวัตถุดิบอื่นสำหรับการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ แต่ขนาดของตลาดถงหยางค่อนข้างเล็กจึงมีวัตถุดิบหลายอย่างที่รวบรวมได้ไม่ครบ
จากนั้นเขาก็ซื้อแผนที่อย่างละเอียดของพื้นที่ใกล้ๆ ตลาดถงอยางมาฉบับหนึ่ง หลังมองดูก็พบว่าเมืองหนานหลูอยู่ห่างจากตลาดถงหยางไปทางตะวันตกเฉียงใต้สี่ห้าพันกว่าลี้ ระหว่างทางต้องข้ามเทือกเขาขนาดเล็กลูกหนึ่งที่ชื่อว่าเขาอีกา
ดูจากภูมิประเทศ เขาอีกาเป็นเทือกเขาที่ทอดต่อออกมาจากส่วนท้ายของเทือกเขาถงหยาง
ส่วนเมืองหนานหลูเป็นเมืองที่มนุษย์ธรรมดากับผู้ฝึกฝนอยู่ปะปนกันแห่งหนึ่ง และเป็นเมืองหลวงของแคว้นเจียงซึ่งเป็นแคว้นขนาดกลางของมนุษย์ธรรมดา
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปครึ่งวัน
ครึ่งวันให้หลังท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ร้านรวงสารพัดในตลาดเริ่มทยอยใช้หินจันทรา กระแสธารผู้คนในตลาดไม่เพียงไม่ลดน้อยลงตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย
หลิ่วหมิงเดินออกมาจากร้านวัตถุดิบร้านหนึ่ง หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เดินไปทางหอรวมสมบัติ
“ในที่สุดสหายเยี่ยก็มาแล้ว! แม้ถงหยางของพวกเราจะเล็ก แต่คนที่ตามีแววก็ยังเลือกของดีๆ จากที่นี่ได้” นอกประตูหอรวมสมบัติ จั่วกงเฉวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ เมื่อเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามาก็หัวเราะฮ่ะๆ ประสานมือเอ่ยขึ้น
“ข้าพบของหายากจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้นับว่าเป็นของล้ำค่าอันใด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยคล้อยตามด้วยท่าทางสบายๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีกับสหายด้วย พวกเราอย่าได้ชักช้า ตอนนี้ออกเดินทางกันเถอะ” จั่งกงเฉวียนเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งสองคนตั้งท่าเคล็ดวิชาทันทีแล้วกลายเป็นลำแสงสองสายมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็วพร้อมกัน
แม้ตลาดถงหยางจะวางชั้นจำกัดห้ามบินเอาไว้ แต่ไม่มีผลสักนิดกับหลิ่วหมิงและจั่วกงเฉวียน
กระแสธารผู้คนในตลาดฉับพลันอุทานตกตะลึง พวกเขามองลำแสงที่อยู่ไกลๆ ของพวกหลิ่วหมิงแล้วเริ่มถกเถียงกัน
ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็หายลับไปในม่านราตรี
“จากที่นี่มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้คือเมืองหนานหลู แต่ระหว่างทางต้องผ่านเขาอีกา แม้เขาอีกาไม่ใหญ่แต่เป็นถิ่นที่อยู่ของปีศาจอสูรระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ สหายเยี่ยอย่าได้ประมาท” ระหว่างที่บินอยู่บนท้องฟ้า จั่วกงเฉวียนก็เตือนหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอบคุณสหายจั่วยิ่งที่เตือน” ประกายแสงเล็กๆ สว่างขึ้นลึกลงไปในดวงตาหลิ่วหมิง เขาเอ่ยตอบเรียบๆ
ลำแสงของทั้งสองคนรวดเร็วอย่างที่สุด ผ่านไปไม่นานนักก็ออกจากตลาดไปไกล เบื้องล่างค่อยๆ กลายเป็นยอดเขามืดครึ้ม
กลางดึกที่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่สำหรับผู้ฝึกฝนที่บรรลุระดับผลึกขึ้นไป มีผลน้อยจนเมินเฉยได้
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองทะลุผ่านความมืดได้อย่างง่ายดาย สภาพของเทือกเขาเบื้องล่างเข้าสู่สายตาจนหมดสิ้น จากนั้นคิ้วจึงขมวดเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น
หากพูดถึงเพียงขนาด เขาอีกาไม่นับเป็นเทือกเขาใหญ่โตอันใดนัก แต่หินบนภูเขาลูกนี้ทั้งหมดเป็นสีดำเหมือนขนกา และมีกระแสลมเย็นเยียบที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวนักเล็ดลอดออกมาเลือนราง ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใด
ก็เหมือนเช่นที่จั่วกงเฉวียนว่า สถานที่นี้เหมือนจะเต็มไปด้วยพลังปราณชนิดพิเศษบางอย่างซึ่งแตกต่างจากพลังปราณแห่งฟ้าดินทั่วไป ระหว่างหุบเขากับยอดเขาสัมผัสคลื่นปราณปีศาจรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าได้เป็นระยะ
หลิ่วหมิงกำลังคิดจะเพิ่มความเร็วของลำแสงขึ้นอีกนิด ทันใดนั้นพายุปีศาจระลอกหนึ่งก็แหวกอากาศขึ้นมาจากเบื้องล่าง ทำให้กระแสปราณรอบด้านปั่นป่วนรุนแรงขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนี้ด้านล่างก็มีเสียงคำรามดุร้ายแหลมแสบหูดังขึ้น เสียงประหนึ่งเข็มเหล็กทิ่มหู
หลิ่วหมิงตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาเห็นเพียงกลางหมู่ยอดเขาเบื้องล่างมีเงาเลือนรางสีดำขนาดมหึมาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าตรงมาหาเขาราวกับลูกศรคมกริบ
เขาหรี่ตาสองข้างลง พริบตาก็เห็นร่างจริงของเงาสีดำชัด มันคือปีศาจอินทรีใหญ่ยักษ์ยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง บนร่างปราณปีศาจหนาทึบล้อมวนเป็นหมอกสีดำ ดูจากแสงจิตวิญญาณที่ไหลเคลื่อนอยู่บนขนนกสีดำสนิทของมัน มันคือปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน!
“สหายเยี่ยระวัง นี่คืออินทรีมารมืด เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้!” จั่วกงเฉวียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นมา พร้อมกันนั้นร่างกายของเขาก็ขยับหลบออกไปด้านข้างอย่างฉุกละหุก ทันใดนั้นแสงแวววาวสีแดงฉานสายหนึ่งก็บินออกมาจากบนร่าง หลังจากกะพริบวูบหนึ่งก็กลายเป็นดาบยักษ์สีแดงเพลิงยาวหลายจั้งฟันเข้าใส่เงาสีดำ
แม้ปีศาจอินทรีสีดำร่างกายใหญ่โตแต่กลับว่องไวไม่ธรรมดา ปีกสีดำที่แทบจะกลืนไปกับร่างกระพือแผ่วเบา ทันใดนั้นเงาก็เร็วขึ้นเท่าตัว ร่างกายหลบพ้นดาบอัคคียักษ์อย่างเฉียดฉิว
จากนั้นปีศาจอินทรีสีดำตัวนี้พลันอ้าปากกว้าง เข้าไปขย้ำหลิ่วหมิงต่อ
ไม่รู้เหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบเป้าหมายของมันเหมือนจะมีเพียงหลิ่วหมิงคนเดียว!
หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจประหนึ่งสายฟ้าแลบ เขามองจั่วกงเฉวียนเหมือนคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นโบกมือข้างหนึ่ง ปราณดำก้อนหนึ่งพวยพุ่งออกมากลายเป็นไม้เท้าหัวผีที่มีไอปีศาจน่าขนลุกอันหนึ่ง
เสียง “เคร้ง” ดังสนั่น!
ไม้เท้าหัวผีฉับพลันกลายเป็นผีร้ายโหดเหี้ยมสูงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งขวางอยู่หน้าร่างเขา ในเวลาเดียวกันก็ยื่นกรงเล็บยักษ์สีดำข้างหนึ่งออกมาขวางการโจมตีครั้งนี้ของปีศาจอินทรี
ไม้เท้าหัวผีอันนี้ได้มาจากผู้ฝึกฝนสายปีศาจคนหนึ่งที่เขาสังหารก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขาเสแสร้งเป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจ หากใช้วิชาสายวิญญาณอย่างเช่นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เกรงว่าคงถูกคนมองออกง่ายดายยิ่ง
ปีศาจอินทรีสีดำคำรามเกรี้ยวกราด กรงเล็บเหล็กมหึมาสองข้างพลันยื่นออกมา ขยุ้มกรงเล็บผีร้ายสีดำไว้ด้านในแล้วสะบัดออกไปด้านนอก
“ฟู่” ผีร้ายสีดำสูญเสียพลังเวทที่เสริมส่งจึงเปลี่ยนกลับเป็นไม้เท้าหัวผีอันหนึ่งกระเด็นออกไป
พร้อมกันนั้นปีศาจอินทรีก็อ้าปากกว้าง แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งหายวับตรงเข้ามาที่ใบหน้าของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้น เงาร่างเอนวูบหนึ่งก็พลันกลืนหายไปกับอากาศเลือนหายไปจากที่เดิม แสงสีดำที่ปีศาจอินทรีพ่นออกมาจึงยิงใส่ความว่างเปล่า
ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็ปรากฏอยู่หลังร่างปีศาจอินทรีสีดำราวกับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา สองแขนพร่าเลือนเพียงชั่วครู่ สิบนิ้วพลันมีแสงสีดำแหลมคมยาวหนึ่งฉื่อกว่าโผล่ออกมาแล้วตะปบลงไปอย่างรุนแรง
เสียง “ฉึก” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
บนหลังปีศาจอินทรีสีดำถูกตะปบเป็นรอยแผลลึกจนเห็นกระดูกสิบเส้น ขนนกกระจุกใหญ่หลุดร่วงออกมาพร้อมกับเลือดที่สาดกระจาย
ปีศาจอินทรีกรีดร้องเจ็บปวด ปีกทั้งสองข้างกระพืออย่างรุนแรง พายุปีศาจสีดำประหนึ่งดาบวายุนับไม่ถ้วนพุ่งรวดเร็วออกมาจากบนร่างกายของมัน ซัดออกไปมืดฟ้ามัวดิน เปลี่ยนอาณาเขตรอบด้านร้อยจั้งให้กลายเป็นโลกสีดำสนิท
หลิ่วหมิงกำลังจะลงมือหนักหน่วง ทำร้ายปีศาจอินทรีตัวนี้ให้เจ็บสาหัสอีกครั้ง ฉับพลันร่างกายกลับถูกพายุปีศาจซัดจนโงนเงนเล็กน้อย แม้ไม่ถูกทำร้ายบาดเจ็บแต่ก็ยืนไม่อยู่
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตวาดออกมา ร่างกายอาศัยแรงลมสายนี้พุ่งถอยออกไป ขยับวูบเดียวก็บินออกจากขอบเขตของพายุปีศาจ พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็กวักจากไกลๆ ไม้เท้าหัวผีที่ถูกปีศาจอินทรีโจมตีปลิวไปกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือของเขา ยกขวางเอาไว้หน้าร่าง
ในเวลานี้เองจั่วกงเฉวียนก็ตวาดคำหนึ่ง แสงเปลวเพลิงบนดาบยักษ์สีแดงฉานสว่างจ้า มันขยับวูบเดียวก็กลายเป็นคมดาบอัคคีรูปร่างเหมือนกันทุกประการห้าสายพุ่งเข้าใส่ปีศาจอินทรีสีดำ
ปีศาจอินทรีสีดำเผชิญหน้ากับดาบอัคคีที่เข้ามาหาอย่างดุดัน ดวงตาของอินทรีพลันทอประกายสีโลหิต มันกรีดร้องเสียงแหลม พายุปีศาจที่วนเวียนรอบร่างมันฉับพลันกลายเป็นเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มขนาดหลายจั้งก้อนหนึ่ง
เมฆปีศาจถาโถมออกมาท่ามกลางปราณปีศาจสีน้ำเงินเข้มซึ่งแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ ชั่วพริบตามันก็ใหญ่ขึ้นถึงหลายเท่า
หลิ่วหมิงตกตะลึง กลางเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มนี้คล้ายจะมีปราณหยินลึกล้ำสายหนึ่งแผ่ออกมาด้วย มันแตกต่างจากพายุปีศาจดุดันที่วนล้อมอยู่บนร่างปีศาจอินทรีก่อนหน้านี้มาก ถึงกับต้านดาบอัคคีไว้กลางอากาศได้ในครั้งเดียว
ครู่ต่อมาปีศาจอินทรีสีดำก็มองมาหาหลิ่วหมิง ในดวงตาสีดำเข้มคล้ายฉายแววหวั่นเกรงล้ำลึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายมหึมาก็บิดตัวเลี้ยว สองปีกหุบลงพุ่งทะลวงเมฆปีศาจดิ่งหนีลงไปเบื้องล่าง
“สหายเยี่ย อินทรีมารมืดตัวนี้เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในสภาพแวดล้อมพิเศษของเขาอีกาเท่านั้น แก่นปีศาจของมันมีพลังเวทที่แฝงทั้งปราณหยินและไอปีศาจซึ่งเป็นสิ่งที่คุณสมบัติแตกต่างกันสองชนิดในเวลาเดียวกัน หายากอย่างยิ่ง มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนวิชาสายปีศาจที่สุด ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้เด็ดขาด” จั่วกงเฉวียนตะโกนบอกเสียงดัง พร้อมกันนั้นก็จี้ดัชนีออกมา ดาบอัคคีห้าเล่มสลายตัวกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงฉานผืนหนึ่งเข้าโรมรันกับเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มในพริบตา
เมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มเมื่อไม่มีปีศาจอินทรีควบคุมก็พุ่งซ้ายทะลวงขวาประหนึ่งสิ่งมีชีวิต
สิบนิ้วบนสองมือของจั่วกงเฉวียนแปรเปลี่ยนประหนึ่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาจมลงไปในเมฆอัคคี เมฆอัคคีฉับพลันส่องแสงสีแดงสว่างจ้า ในที่สุดก็ทะลวงให้เกิดช่องว่างขนาดหลายจั้งช่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิด
หลิ่วหมิงมองผ่านช่องว่างนี้ลงไปเบื้องล่าง ในดวงตามีวงกระเพื่อมสีดำอ่อนก่อตัวขึ้น จากนั้นบนใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นก็ดี พลังของข้ามาถึงคอขวดพอดี อาศัยพลังจากแก่นปีศาจของอินทรีตัวนี้ ไม่แน่ข้าอาจทะลวงผ่านคอขวดได้” เขาหัวเราะจากนั้นกลายร่างเป็นแสงสีดำสายหนึ่งทะลุผ่านช่องว่างของเมฆปีศาจไล่ตามลงไป
จั่วกงเฉวียนมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงรีบร้อนไล่ตามไป
แม้ปีศาจอินทรีสีดำมีบาดแผลที่หลัง แต่ความเร็วที่มันบินหนีไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด ร่างกายหักเลี้ยวครั้งหนึ่งก็อ้อมยอดเขาชันลูกหนึ่งอย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ จากนั้นหนีไปยังหุบเขาด้านล่างต่อ
ทั้งร่างของหลิ่วหมิงหุ้มอยู่ในปราณสีดำก้อนหนึ่งไล่ตามหลังไปติดๆ
แม้ความเร็วของปีศาจอินทรีจะเร็วอย่างที่สุด แต่เหตุเพราะแผลบนหลัง ดังนั้นอย่างไรก็ยังช้ากว่าหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เหลือไม่ถึงสิบจั้ง
หลิ่วหมิงตวาดออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้นปราณดำรอบร่างพลันกลายเป็นห้าสาย ล้อมเข้าหาปีศาจอินทรีจากซ้ายขวาหลายทิศทาง
ปีศาจอินทรีสีดำคล้ายจะสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่ บนร่างจึงเปล่งแสงสีเข้มประหนึ่งปรอท ความเร็วเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าในพริบตา
เงาดำกะพริบวูบหนึ่ง ปีศาจอินทรีก็บินเข้าไปในหุบเขาแล้ว
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้พลันกระตุ้นพลังเวทในร่างเพิ่มความเร็วกะทันหัน กะพริบวูบเดียวก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา
ตอนนี้เอง เรื่องราวก็พลิกผัน!
ปากทางเข้าหุบเขาฉับพลันมีแสงสีดำส่องสว่าง กำแพงแสงสูงสิบกว่าจั้ง กว้างหลายจั้งผืนหนึ่งลอยขึ้นมากะทันหัน
ลำแสงสีดำยั้งไม่ทันจึงชนบนกำแพงแสงอย่างหนักหน่วง
เสียง “ปึก” หนักๆ ดังขึ้น
ร่างของหลิ่วหมิงที่ถูกปราณดำหุ้มอยู่กระเด็นออกไปทั้งตัว กำแพงแสงสีดำกลับมีเพียงรอยกระเพื่อมจางๆ
วิ้ง…
ทันใดนั้นผืนดินเบื้องหน้าหุบเขาก็มีเสาแสงสีทองสี่ต้นส่องสว่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
อากาศปั่นป่วน ค่ายกลมหึมาลักษณะเหมือนเสากลมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่งก่อตัวขึ้นในพริบตาโดยมีเสาแสงสี่ต้นเป็นโครง ขังร่างหลิ่วหมิงไว้ด้านในอย่างสมบูรณ์
ตอนที่ 883 ค่ายกลโปรดสัตว์
ค่ายกลแสงสีทองส่องสว่างกะพริบแปรเปลี่ยนไม่หยุดแลดูงดงามอย่างที่สุด พื้นดินเบื้องล่างมีแสงสีทองชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าตัวเขาถูกขังอยู่ในกรงแสงสีทองขนาดยักษ์
หลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วกระตุ้นพลังจึงตั้งร่างมั่นคงได้ ทั้งร่างเขาหุ้มอยู่ในปราณดำจนรูปร่างขมุกขมัว แต่เมื่อมองผ่านปราณดำเข้าไปจะเห็นชัดว่าบนใบหน้าเขาคือใบหน้าเรียบเฉย
เวลานี้เองกำแพงแสงสีดำตรงปากทางเข้าหุบเขาพลันกะพริบเล็กน้อย ธงคำสั่งสีดำผืนหนึ่งลอยออกมา เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นแขนซีดเผือดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในความมืดโดยที่ถือธงคำสั่งสีดำไว้ในมือ
“เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดจึงลอบเล่นงานข้าเช่นนี้?” เสียงแข็งกระด้างเล็กน้อยของหลิ่วหมิงดังออกมาจากในค่ายกลสีทอง
“เหอะ…” เสียงแค่นหัวเราะดังออกมาจากในความมืด เงาคนสีขาวร่างหนึ่งลอยออกมาอย่างเชื่องช้า นั่นเป็นร่างของบุรุษผอมสูงผู้มีเครื่องหน้าธรรมดา ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา ดูแล้วอายูราวสามสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง
บุรุษชุดขาวมองหลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าเหมือนหยอกเย้าแต่ไม่เอ่ยวาจา
ทันใดนั้นด้านในค่ายกลสีทองก็มีเสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ค่ายกลส่องแสงกะพริบวูบวาบ
“อย่าเปลืองแรงเสียเปล่าเลย นี่คือค่ายกลเขาพระสุเมรุโปรดสัตว์แห่งสายพุทธ พลังป้องกันแข็งแกร่งกว่าค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุสิบเท่า พลังต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์ไม่อาจทำลายมันได้!” ทันใดนั้นอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ
หลังจากนั้นแสงสีแดงก็กะพริบวูบหนึ่ง ลำแสงสายหนึ่งหยุดอยู่ข้างกายบุรุษชุดขาวที่ปากทางเข้าหุบเขาแล้วเผยร่างของจั่วกงเฉวียนออกมา
บุรุษชุดขาวกับจั่วกงเฉวียนสบตากันครั้งหนึ่งก็หัวเราะดังลั่น
“สหายจั่ว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ถึงกับร่วมมือกับผู้อื่นเล่นงานข้า เจ้าคิดจะจุดเพลิงโทสะให้นิกายมารเงาสวรรค์ของข้าหรือ?” เสียงที่แข็งกระด้างเล็กน้อยของหลิ่วหมิงดังออกมาจากในค่ายกลอีกครั้ง
“นิกายมารเงาสวรรค์? ฮ่าๆ เวลานี้ท่านยังจะเสแสร้งอีกหรือ? หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ สหายหลิ่ว!” จั่วกงเฉวียนหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“เจ้า…” เสียงของหลิ่วหมิงเหมือนตกตะลึงอยู่บ้าง
“ช่วงนี้ชื่อเสียงของท่านดังกระฉ่อน ในเมื่อกำลังมุ่งล่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายอย่างพวกเรา ครั้งนี้พยายามเข้าใกล้สหายจั่วคิดว่าคงต้องการหัวของข้าผู้นี้กระมัง?” บุรุษชุดขาวเอ่ยนิ่งๆ
“…เจ้าก็คือปีศาจพันมายางั้นหรือ? จั่วกงเฉวียนรวมหัวกับเจ้าตั้งแต่แรก! น่าขำ ข้ายังคิดจะใช้เขาตามหาร่องรอยของเจ้า ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นตลบหลังแท้ๆ” เสียงของหลิ่วหมิงฟังดูเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง
“สหายหลิ่วก็รู้ว่าข้ากับสหายฟั่นตั้งกลุ่มล่าอสูรด้วยกันมาก่อน ย่อมมีมิตรไมตรีระหว่างกันไม่เลว หลายปีนี้มีผู้ฝึกฝนฝ่ายธรรมะไม่น้อยเดินทางมายังตลาดถงหยางเพื่อไล่ล่าสหายฟั่น คนเหล่านี้ทำให้ข้าได้ทรัพย์ก้อนโตทีเดียว” จั่วกงเฉวียนหัวเราะหึๆ
ปีศาจพันมายาฟังแล้วบนหน้าก็ปรากฎรอยยิ้มเย็นชา แววตาที่เขามองหลิ่วหมิงประหนึ่งกำลังมองดูคนตาย
“จั่วกงเฉวียน วันนี้เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ เจ้ายอมล่วงเกินนิกายเราเพียงเพื่อผู้ฝึกฝนอิสระฝ่ายอธรรมคนเดียวจริงหรือ หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ในใจเจ้าคงรู้ชัด!” เสียงของหลิ่วหมิงเย็นชาขึ้น
จั่วกงเฉวียนได้ฟัง สีหน้าก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของปีศาจพันมายาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน สายตาเคลื่อนมาจับบนร่างจั่วกงเฉวียนแล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า
“พี่จั่ว อย่าไปฟังวาจายุแยงของคนผู้นี้ ขอเพียงกำจัดเขาเสียที่นี่ เรื่องนี้นอกจากเจ้ากับข้ายังจะมีผู้ใดรู้อีก? นอกจากนี้พี่จั่วอย่าได้ลืมเรื่องที่เคยทำก่อนหน้านี้”
“พี่ฟั่นพูดถูกต้อง ถึงตอนนี้แล้วจะปล่อยเจ้าหนูคนนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด” จั่วกงเฉวียนกัดฟันแล้วเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาอีกหน
“ดียิ่ง ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือเถิด กำจัดเจ้าหนูคนนี้เสีย เอาสมบัติที่ตัวเขามาแบ่งกัน อย่าปล่อยเวลาเนิ่นนานจนเกิดเรื่องไม่คาดฝัน!” ปีศาจพันมายาสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
จั่วกงเฉวียนพยักหน้าแล้วพลิกมือข้างหนึ่ง ในมือมีธงค่ายกลสีทองผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จากนั้นปีศาจพันมายาก็หยิบธงค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการอีกผืนหนึ่งออกมาด้วย ร่างกายของทั้งสองคนพุ่งออกไปสองฝั่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยืนขนานเป็นเส้นเดียวกับค่ายกลแต่อยู่คนละฝั่ง
“เจ้าหนู ค่ายกลโปรดสัตว์สายพุทธชุดนี้ของข้าได้มาจากซากอารยธรรมยุคโบราณแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ยามที่พบไม่มีร่องรอยความเสียหายสักนิด ค่ายกลนี้ไม่เพียงมีความสามารถในการกักขัง ยังสามารถทำให้วิญญาณทุกดวงที่ถูกค่ายกลขังไว้กลับคืนสู่สังสารวัฏก่อนเวลาได้อีกด้วย วันนี้เจ้าได้ตายในมหาค่ายกลนี้ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว” ปีศาจพันมายาหัวเราะหยัน ธงค่ายกลสีทองในมือโบกสะบัดกำลังจะกระตุ้นค่ายกล
ทว่าเสียงพูดของเขาเพิ่งเงียบลง เหตุการณ์ประหลาดพลันบังเกิด!
แสงสีดำสว่างขึ้นใต้เท้าปีศาจพันมายา เส้นสีดำเส้นหนึ่งแหวกอากาศออกมาแทงเข้าใส่เท้าทั้งสองข้างของเขาทันที
ในเวลาเดียวกันนี้เงาคนสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาประหนึ่งภูตพราย ห้านิ้วบนมือใหญ่สีดำสนิทข้างหนึ่งมีแสงสีดำแหลมคมยืดออกมาก่อนจะตะปบพรวดลงมา
“เจ้าได้อย่างไร…”
ปีศาจพันมายาหน้าถอดสีแล้วหลุดปากขึ้นมา
ทว่าเขามีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ทั้งที่นิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศค่าหัวมานานปีย่อมเป็นพวกที่มีไหวพริบและเฉียบขาด เขากระทืบเท้าอย่างแรง ร่างกายขยับวูบพุ่งออกไปด้านข้าง แทบจะเฉียดด้านข้างของแสงสีดำห้าสายไป
แสงสีขาวสว่างขึ้นไม่ไกล ร่างกายของปีศาจพันมายาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เขาสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย บนแผ่นหลังปรากฏรอยเลือดยาวห้าเส้นแต่บาดแผลไม่ลึก ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก ทว่าเนื้อหนังฉีกขาดเลือดไหลรินลงมาเป็นทางยาว ความเจ็บปวดแสบร้อนส่งมาเป็นระลอกๆ ธงค่ายกลสีทองที่เดิมทีอยู่ในมือเขาร่วงลงไปในค่ายกลสีทองเบื้องล่างอย่างไม่ทันระวัง
จั่วกงเฉวียนที่ยืนอยู่อีกด้านข้างของค่ายกล เห็นเหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟแลบเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ตกตะลึง ธงค่ายกลสีทองในมือชะงักไปในทันใด
“เจ้า! เจ้าไม่ได้ถูกขังอยู่ด้านในมหาค่ายกลโปรดสัตว์หรือ?” ปีศาจพันมายามองเงาคนสีดำแล้วตะคอกถามอย่างตกตะลึงและเกรี้ยวกราด
“ฮ่ะๆ เจ้าสองคนคิดว่าคนที่ถูกขังอยู่ด้านในคือข้าจริงหรือ?”
เพิ่งสิ้นเสียง ปราณดำบนร่างเงาคนสีดำก็สลายออกมาช้าๆ เผยเงาร่างของคนที่อยู่ด้านใน เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง เขาสองมือไพล่หลังมองปีศาจพันมายาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ปีศาจพันมายาสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งยกขึ้นจะขยับ ทันใดนั้นใต้เท้าก็ชาหนึบ ร่างกายโซเซวูบหนึ่ง เกือบจะล้มลงไปกับพื้น
“แย่แล้ว! มีพิษ!”
บนน่องของเขามีรูเลือดขนาดเล็กที่แทบมองไม่เห็นรูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลือดพิษสีดำสนิทประหนึ่งหมึกไหลจ๊อกออกมา พร้อมกันนั้นปราณสีดำสายหนึ่งก็แผ่จากตรงบาดแผลไปบนขาอย่างเชื่องช้า
ม่านตาของปีศาจพันมายาหดเล็กลง เมื่อครู่ตอนเขาหลบ ชั่วเวลาฉุกละหุกไม่อาจหลบเส้นสีดำที่โผล่มาจากใต้ดินได้พ้นจึงทำให้น่องถูกทะลวงเป็นรู
สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงก็คือเส้นสีดำนี้ไม่เพียงโจมตีทะลุปราณแกร่งคุ้มร่างของตนได้ แต่ยังมีพิษร้ายที่กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ต้านทานไม่ไหวอยู่บ้างอีกด้วย
ในใจเขาครุ่นคิดรวดเร็วดั่งสายฟ้า สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว บนร่างฉับพลันมีแสงมารสีดำชั้นหนึ่งลอยออกมากลายเป็นเกราะพลังเวทชั้นหนึ่งป้องกันอยู่รอบร่าง ปราณดำบนขาเองก็ถูกแสงมารนี้กดไว้จึงหยุดแผ่ขยายไปชั่วคราว
ครั้งนี้บนพื้นดินข้างตัวหลิ่วหมิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่องแสงสีเหลืองขึ้นวูบหนึ่ง แมงป่องใสแวววาวขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งโผล่ออกมา ตั้งแต่ต้นจรดปลายส่วนหางของมันโค้งขึ้นยามอยู่ใต้แสงจันทราสาดส่องทอแสงสีเขียวประหลาดอ่อนๆ เห็นชัดว่ามันคือแมงป่องกระดูก
“ไป!”
หลิ่วหมิงตวาดเย็นชาคำหนึ่ง ปราณดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำขนาดหลายจั้งข้างหนึ่ง กดทับลงมาหาปีศาจพันมายา
ปีศาจพันมายารู้สึกว่าอากาศรอบด้านอัดแน่นขึ้นในฉับพลัน แรงมหาศาลน่าหวาดกลัวสายหนึ่งกดทับลงมา กระทั่งเกราะแสงรอบร่างเขาก็สั่นไหวไม่หยุด
“จงออกมา!”
ปีศาจพันมายาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แสงสีดำสว่างขึ้นในมือเขาขณะที่เรียกธงคำสั่งสีดำผืนหนึ่งออกมา ด้านบนวาดรูปปีศาจอสูรสีเหลืองตัวหนึ่งไว้เลือนราง เขาโยนมันลงไป ผิวของธงคำสั่งพลันมีปราณดำพวยพุ่งขึ้นมา จากนั้นเงาจิ้งจกสีเหลืองขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากด้านใน
สองตาของเงาจิ้งจกทอประกายสีแดงฉาน ร่างกายมันสั่นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นหางยาวเป็นพิเศษด้านหลังฉับพลันกลายเป็นเงาสีดำพร่ามัวไม่ชัดเส้นหนึ่งกวาดออกไป ทิ้งเงาเลือนรางสายแล้วสายเล่าไว้กลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
ฝ่ามือยักษ์สีดำกับเงาดำที่เกิดจากหางของเงาจิ้งจกปะทะกัน วงกระเพื่อมไร้ร่างแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ หางของเงาจิ้งจกนี้ถึงกับต้านฝ่ามือยักษ์สีดำไว้กลางอากาศจนไม่อาจร่วงลงมาได้ชั่วขณะ
เวลานี้จั่วกงเฉวียนที่ยืนอยู่ไกลออกไปสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด แววตาวูบไหวมองดูหลิ่วหมิงกับปีศาจพันมายาใช้วิชาโต้ตอบกันไปมาต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่ไม่มีเจตนาจะก้าวเข้าไปช่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เขายังคิดไม่ออกว่าหลิ่วหมิงหลุดออกมาจากในมหาค่ายกลโปรดสัตว์ได้อย่างไร อย่างไรพลังของค่ายกลนี้ก็ทำให้คนตะลึงมาแล้วหลายครั้ง ทั้งสองคนใช้ค่ายกลนี้กักขังสังหารผู้ฝึกฝนของนิกายอื่นมาไม่น้อย
แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้า แม้เขากับปีศาจพันมายาจะร่วมมือกัน สังหารหลิ่วหมิงปิดปากก็ยังไม่มั่นใจได้เต็มร้อย นี่ทำให้เขาอดลังเลอยู่บ้างไม่ได้
“สหายจั่ว จากสิ่งที่เจ้าทำก่อนหน้านี้ เจ้ายังคิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไปอีกงั้นหรือ?” ปีศาจพันมายาหาช่องว่างถลึงตาใส่จั่วกงเฉวียนอย่างแรงแล้วคำรามเสียงดัง
จั่วกงเฉวียนได้ยินพลันตะลึง จากนั้นดวงตาจึงทอประกายเหี้ยมเกรียม ในที่สุดก็ตัดสินใจ สองเท้ากระทืบพื้นอย่างรุนแรงโผขึ้นกลางอากาศ สองมือมีถุงมือหมัดสีแดงคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ หมัดสีแดงคู่หนึ่งเหวี่ยงปล่อยเปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานออกมาเต็มผืนฟ้าก่อตัวเป็นหมัดยักษ์สีแดงเพลิงสองข้างโจมตีเข้าใส่หลิ่วหมิง
จุดที่มันพุ่งผ่านไปทิ้งรอยไหม้เกรียมร้อนผ่าวที่เห็นชัดด้วยตาเปล่าสองสายไว้กลางอากาศ
ในเวลานี้เอง เสียง “ฟึบ” ดังสนั่นก็ดังขึ้นจากพื้นดินใกล้ๆ ศิลาใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งเร็วรี่ออกมา ทยอยพุ่งชนหมัดอัคคียักษ์
แมงป่องกระดูกด้านข้างฉับพลันกลายร่างเป็นรูปลักษณ์ของสตรีผู้สวมชุดตาข่ายสีดำ นางใช้พลังควบคุมดินขวางการโจมตีของจั่วกงเฉวียนไว้อย่างไม่ลังเลสักนิด
เสียงดังสนั่นลอยมาอย่างต่อเนื่อง!
ไม่ว่าจะเป็นศิลาก้อนใหญ่เท่าใดเมื่อถูกหมัดอัคคียักษ์ล้วนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านสีแดงสลายไปในทันที พวกมันไม่อาจขวางหมัดยักษ์ที่ร่วงลงมาได้แม้แต่น้อย
เซียเอ๋อร์ตวาดเสียงหวาน สองตาเปล่งแสงเรืองรองสีน้ำตาลทอง ฝ่ามือสีกลีบบัวสองข้างทำท่าเคล็ดวิชาเบื้องหน้าอย่างเร็วไวแล้วประทับบนผืนดินอย่างแรง
ผืนดินทั้งหุบเขาระเบิดตามต่อกัน ศิลายักษ์ขนาดหลายจั้งนับไม่ถ้วนปลิวขึ้นฟ้ารวมตัวกันเป็นกำแพงศิลายักษ์ผืนหนึ่งที่บนผิวเปล่งแสงสีเหลือง จากนั้นขวางหน้าหมัดอัคคียักษ์ไว้
เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่น!
แม้กำแพงศิลานี้จะถูกหมัดอัคคียักษ์โจมตีจนกร่อนแตกสลายไม่หยุด แต่ก็มีศิลายักษ์เติมเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจนมันฝืนยืนหยัดตั้งอยู่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น