พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 881-898
บทที่ 881 ยืนสำนึกผิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ชมทิวทัศน์เหรอ!” พ่อครัวหัวเราะเบาๆ “งั้นก็ค่อยๆ ชมไปนะ”
ยืนคนเดียวรู้สึกเบื่อมาก เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “พ่อครัว ไม่เจอกันนานแล้ว อย่าเพิ่งรีบไป เรามาคุยกันสักหน่อยสิ”
พ่อครัวโบกมือพลางเดินออกไป “ไม่รบกวนหรอก”
เหมียวอี้พูดไม่ออก เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง ยืนอยู่ที่นี่สามวันมันทรมานไปนะ!
ผ่านไปครู่เดียว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็มาแล้ว ทั้งสองยกน้ำชาเดินเข้ามา “นายท่าน!”
เสวี่ยเอ๋อร์ประคองถาด ส่วนเชียนเอ๋อร์ก็ใช่สองมือประคองถ้วยน้ำชายื่นให้ เหมียวอี้รับมาอย่างไม่ใส่ใจ พอดื่มไปอึกหนึ่ง ก็ถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสามว่า “ห้ามเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้คนนอกรู้ เข้าใจมั้ย?”
ทั้งสองเข้าใจความหมายของเขา เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าโดนฮูหยินไล่ออกมายืนสำนึกผิด กลัวจะเสียหน้า ทั้งสองแอบกลั้นขำพลางตอบพร้อมกัน “เข้าใจเจ้าค่ะ”
เมื่อดอกไม้พูดได้คู่นี้มาหา เหมียวอี้รู้สึกหายทรมานทันที ยิ้มพร้อมบอกว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ นึกย้อนไปถึงตอนที่เจอพวกเจ้าครั้งแรก ตอนนั้นพวกเจ้ายังกระดากอาย ผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว พวกเราไม่ได้คุยเล่นกันมานานมากแล้วนะ เรามาคุยเล่นกันสักหน่อยมั้ย”
เขาอยากจะคุยกับทั้งสองเพื่อแก้เซ็ง แต่ใครจะคิดว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะตอบว่า “นายท่าน! ถ้าท่านกระหายน้ำก็ดื่มเยอะๆ เถอะเจ้าค่ะ ก่อนไปฮูหยินกำชับไว้แล้ว บอกว่ายืนสำนึกผิดก็ต้องทำท่าให้เหมือนยืนสำนึกผิด นางอนุญาตให้พวกเรานำน้ำชามาให้แค่วันละครั้งเท่านั้น ไม่ให้อยู่คุยเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าฮูหยินกลับมา พวกเราคงจะแย่แน่เจ้าค่ะ”
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “ไม่ดื่มแล้ว กินลมอิ่มแล้ว!”
ทั้งสองคำนับแล้วถอยหลังออกไปช้าๆ เรียกได้ว่าทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ และปวดใจด้วยเช่นกัน แต่จนใจที่ไร้ทางเลือก ถ้าไม่อยากให้นายท่านโชคร้ายไปมากกว่านี้ ก็ต้องให้ความร่วมมือกับฮูหยินแต่โดยดี
บนตึกริมหน้าผาที่อยู่ไกลๆ หยางชิ่งที่จัดการกิจธุระไปบ้างแล้วกำลังเอามือไขว้หลังเดินนำชิงเหมยและชิงจวี๋ออกมาตากลม ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของที่นี่ นี่คือความเคยชินของหยางชิ่ง ชอบครุ่นคิดเรื่องราวขณะทอดสายตามองทิวเขา
ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ พลันโบกมือชี้ไป “นายท่าน คนที่ยืนอยู่นอกตำหนักเหมือนจะเป็นประมุขปราสาทนะ”
หยางชิ่งกับชิงเหมยมองไปทางตำหนักทันที ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงนั้นคนเดียวจริงๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ทั้งสามมองไปตามทิศทางที่เหมียวอี้มอง แต่ก็ไม่เห็นอะไร หลังจากทั้งสองรออยู่ครึ่งชั่วยาม แล้วไม่เห็นเหมียวอี้ออกไป ชิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน ประมุขปราสาทกำลังดูอะไรเจ้าคะ?”
หยางชิ่งส่ายหน้า “ไม่รู้สิ” ความคิดของเหมียวอี้ เขาไม่กล้าเดาซี้ซั้วจริงๆ
“นายท่าน หลายปีมานี้ประมุขปราสาทไปไหนมาหรือเจ้าคะ?” ชิงจวี๋ถาม
หยางชิ่งส่ายหน้าต่อไป แล้วร่างก็พลันหายไปจากที่เดิม เหาะออกไปเหยียบลงนอกตำหนักแล้ว จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ประมุขปราสาท มาครุ่นคิดอะไรอยู่ตรงนี้ขอรับ?”
เหมียวอี้โบหมือ “กำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง ให้ข้าอยู่คนเดียวเงียบๆ เถอะ”
เดิมทีคิดจะดึงตัวหยางชิ่งให้อยู่คุยกันก่อน แต่พอนึกถึงคำพูดของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หากให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ แล้วหาเรื่องทะเลาะอีก เขาก็เสียหน้าแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงพูดบอกปัดให้หยางชิ่งออกไป
เมื่อได้ยินดังนั้น หยางชิ่งทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ ไม่รบกวนแล้ว ถลันตัวเหาะกลับไปแล้ว
ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ปรากฏตัวอยู่บนกำปพงตำหนัก พอมองเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่ข้างนอก ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง
เหยียนซิวถอนหายใจ แล้วถ่ายทอดเสียงคุย “นายท่านมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าอย่างห้าวหาญเฉียบคมมาตลอด ถึงได้มีความสำเร็จในวันนี้ได้ แต่ช่วยไม่ได้ที่มาเจอดาวข่มอย่างฮูหยิน เหล็กที่ผ่านการหลอมมาร้อยครั้งก็กลายเป็นของอ่อนนุ่มได้เหมือนกัน!”
เขานับว่าเป็นลูกน้องที่ติดตามเหมียวอี้มานานที่สุด ติดตามมาตั้งแต่ตอนเหมียวอี้มีตำแหน่งเล็กๆ ช่วงนี้ได้ติดต่อใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิวอยู่เสมอ ต่อให้ก่อนหน้านี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่ได้บอก แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าทำไมเหมียวอี้มายืนอยู่ตรงนี้
“นายท่านไม่ใช่คนขี้ขลาด ขนาดนภาอู๋เลี่ยงยังกล้ามีเรื่องด้วย ยอมหมอบราบคาบแก้วต่อฮูหยินขนาดนี้ ท่านว่านายท่านทำเรื่องอะไรแล้วรู้สึกผิดมารึเปล่า?” หยางเจาชิงถ่ายทอดเสียง
“นี่คือสิ่งที่พวกเราควรพูดเหรอ? พวกเราได้แค่คิดไปในทางที่นี่เท่านั้น เพราะในใจของนายท่านมีฮูหยิน ถึงได้ยอมศิโรราบขนาดนี้…สรุปว่านี่เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา พวกเราอย่าเดามั่วเลย ไปกันเถอะ เดี๋ยวนายท่านหันมาเห็นแล้วจะลำบากใจ พวกเราแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ” เหยียนซิวบอก ทั้งสองปรากฏตัวเงียบๆ แล้วก็ออกไปเงียบๆ
ยืนอยู่แบบนี้ค่อนข้างเบื่อเซ็ง เหมียวอี้นึกถึงวิธีการผ่านความทรมานสามวันนี้ออกแล้ว นำยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งตบเข้าปากอย่างแนบเนียน เริ่มหลับตาฝึกฝน ถ้าทำแบบนี้ เวลาสามวันก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก
วันต่อมา ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มก่อตัว เหมียวอี้มองไปบนฟ้าอย่างกังวล มารดาเจ้าเถอะ ฝนคงไม่ตกใช่มั้ย ถ้าฝนตกแล้วยังยืนอยู่ตรงนี้ ตนก็จะดูไม่ดีแล้ว
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินมาอีก ยังคงยกน้ำชามาให้ เหมียวอี้กระดกดื่มไปไม่กี่ถ้วย แล้วแอบเตือนทั้งสอง บอกทั้งสองว่าต่อไปไม่ต้องนำน้ำชามาให้แล้ว เขากลัวว่าคนอื่นจะสงสัย
ทั้งสองเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน บัณฑิตกับพ่อครัวก็มาด้วยกัน ในมือถือถาดอาหารและเครื่องดื่มมาด้วย กลิ่นสัตว์ป่าย่างกรอบนอกนุ่มใน ทั้งยังมีผลไม้ป่าที่ล้างและหั่นเรียบร้อยแล้ว สีสันและรสชาติครบครัน ถือประคองอยู่ในมือ กินไปพลางเดินไปพลาง
ทั้งสองต่างคนต่างยืนข้างกายเหมียวอี้ เหมียวอี้เหลือบซ้ายเหลือบขวาแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาเหมือนเดิม
พ่อครัวเคี้ยวอาหารเสียงดัง พลางถามเหมือนแปลกใจว่า “เมื่อวานนายท่านยังชมทิวทัศน์ไม่พออีกเหรอ? วันนี้ออกมาชมทิวทัศน์อีกแล้ว?”
เหมียวอี้หลับตาพลางกล่าวเสียงเรียบ “ประมุขตำหนักผู้นี้กำลังคิดเรื่องบางอย่าง พวกเจ้าสองคนให้ข้าอยู่เงียบๆ ได้มั้ย?”
บัณฑิตตอบว่า “นายท่าน ดูท้องฟ้าสิ คาดว่าฝนคงใกล้จะตกแล้ว ฮูหยินไม่อยู่ ไม่มีใครมารบกวนท่านด้วย”
“ประมุขตำหนักผู้นี้กำลังคิดเรื่องสำคัญ อย่ามารวบกวนความคิดของข้า!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บัณฑิตกับพ่อครัวแทบจะพ่นของที่กินอยู่ในปากออกมา กลั้นขำไม่หยุด พวกเขาติดตามรับใช้เถ้าแก่เนี้ยมาไม่ใช่แค่ปีสองปี วิธีการทำโทษของเถ้าแก่เนี้ย พวกเขาคุ้นเคยดีที่สุดแล้ว เปลี่ยนเรื่องตลกจริงๆ ที่พวกเขามาเสแสร้งแกล้งไม่รู้ต่อหน้าเหมียวอี้
“อ้าว! ฝนตกแล้วจริงๆ!” พ่อครัวพลันยื่นมืออกไปรับน้ำฝน
พอเหมียวอี้ลืมตามอง ก็พบว่าท้องฟ้ามีละอองฝนโปรยลงมาจริงๆ เขามองซ้ายมองขวา พบว่าเจ้าสองคนที่น่ารำคาญเดินออกไปแล้ว
พ่อครัวที่เดินเข้ามาในตำหนักส่ายหน้าทันที “เถ้าแก่เนี้ยไม่เกรงใจสามีตัวเองเลย แต่งงานกับเถ้าแก่เนี้ยแล้ว เจ้าบ้าหนิวเอ้อร์นั่นได้ทรมานไปทั้งชีวิตแน่”
บัณฑิตส่ายหน้าพลางเดาะลิ้น “น่าเสียดายที่ช่างไม้กับช่างหินไปหามเกี้ยว ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วจะมีโอกาสได้เห็นหรือเปล่า”
“เดี๋ยวกลับมาค่อยบอกพวกเขาสองคนก็สิ้นเรื่องแล้ว” พ่อครัวกล่าว
ฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ นักพรตที่เฝ้าประตูตำหนักไม่รู้ว่านายท่านประมุขปราสาทยืนคิดเรื่องอะไรอยู่ตรงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะตากฝนไม่ยอมไปไหน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ถูกเรียกก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนง่ายๆ
ถึงแม้ฝนจะตกหนัก แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไร ก็แค่ฝนที่ตกหนัก มีหรือที่จะเข้าใกล้ร่างกายของเขาได้
ท่ามกลางฝนตก อินทรีเทพตัวหนึ่งบินฝ่าเข้ามา เกาะอยู่บนชั้นตึกของกลุ่มสิ่งปลูกสร้างบนยอดหน้าผาไกลๆ
ชิงจวี๋นำแผ่นหยกออกมา แล้วส่งต่อให้หยางชิ่งอ่าน แต่ชิงเหมยที่อยู่ข้างๆ กลับไปยืนตรงหน้าต่างที่ขมุกขมัว แล้วหันกลับมาบอกว่า “นายท่าน ฝนตกหนักขนาดนี้ ประมุขปราสาทยังอยู่นอกตำหนักอยู่เลย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
หยางชิ่งได้ยินแล้วอึ้งทันที รีบหย่อนเท้าลงจากเตียงแล้วเดินไปตรงหน้าต่าง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปยังยอดเขาสูงสุดที่มีหมู่ขุนเขาล้อมพิทักษ์ เห็นเหมียวอี้ยังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนจริงๆ เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ดวงตาตาฉายแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และไม่นานก็คลายคิ้วที่ขมวดมุ่น อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ แล้วสั่งว่า “ปิดหน้าต่างไว้ เดี๋ยวประมุขปราสาทมาเห็นเข้าจะเก้อเขิน”
ชิงเหมยได้ยินแล้วปิดหน้าต่าง จากนั้นก็หันมาถามว่า “บ่าวไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของนายท่านเจ้าค่ะ”
หยางชิ่งถือแผ่นหยกเดินอ้อมมานั่งหลังโต๊ะยาว แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ฮูหยินไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ประมุขปราสาทเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นานก็หนีไปข้างนอกแล้ว ไปรอบนี้ใช้เวลาหลายร้อยปี ถ้าฮูหยินไม่จัดการประมุขปราสาทสักหน่อย ก็จะดูเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำ เรื่องนี้พวกเจ้าแค่รู้ไว้ก็พอ ถ้าข่าวแพร่ออกไปจะทำลายศักดิ์ศรีหน้าตาของประมุขปราสาท ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ประมุขปราสาทที่จะอับอายจนโมโห ฮูหยินเองก็ไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่ พวกเราดูเอาสนุกก็พอ ไม่ต้องปล่อยข่าวซี้ซั้ว”
ชิงจวี๋ถามอย่างตกตะลึง “นายท่านหมายความว่า ประมุขปราสาทกำลังโดนฮูหยินสั่งให้ยืนสำนึกผิดเหรอ?”
“เจ้าคิดว่าประมุขปราสาทกำลังชมทิวทัศน์จริงเหรอ? มีใครเขายืนอยู่ที่เดิมทั้งวันโดยไม่เบื่อบ้าง? มิหนำซ้ำ ฝนตกหนักขนาดนี้จะมองเห็นอะไรชัด?” หยางชิ่งพูดหยอกล้อ
ชิงจวี๋ถามอีกว่า “ฮูหยินทำแบบนี้เกินไปหน่อยรึเปล่า ถึงอย่างไรประมุขปราสาทก็เป็นเจ้านายของปราสาทนี้ จะทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยาหรือเปล่าเจ้าคะ?”
หยางชิ่งส่ายหน้า “จะทำลายความสัมพันธ์อะไรได้? ประมุขปราสาทกลับมาแล้ว ถ้าฮูหยินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นก็แสดงว่าทั้งสองมีปัญหากันแล้วจริงๆ คนหนึ่งอยากทำโทษ อีกคนยอมโดนทำโทษ ก็แสดงว่าทั้งสองไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างประมุขปราสาท มีหรือที่จะยอมให้คนมาเห็นภาพนี้”
ชิงเหมยที่ไม่ค่อยหัวเราะ ตอนนี้หัวเราะออกมาแล้ว “นายท่านกำลังบอกว่า นึกไม่ถึงว่าคนนิสัยชอบก่อเรื่องอย่างประมุขปราสาทจะเจอกับดาวข่มเข้าแล้ว”
หยางชิ่งถอนหายใจ “นี่เป็นเรื่องดีนะ! ประมุขปราสาทชอบก่อเรื่อง ส่วนฮูหยินก็เป็นคนแก้ปัญหาเก่ง ฮูหยินควบคุมประมุขปราสาทได้ ประมุขปราสาทจะได้ก่อเรื่องน้อยๆ ลงหน่อย เป็นผลดีกับทุกคน ดีกว่าให้ประมุขปราสาทก่อเรื่องจนทุกคนหวาดระแวงเช้ายันค่ำหรอกน่า ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินก็ดูแลข้าดีมาก นางสามารถให้เคล็ดวิชาฝึกตนที่ดีขนาดนั้นกับเวยเวยได้ ข้าหยางชิ่งก็นับว่าติดหนี้น้ำใจฮูหยินอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
ชิงเหมย ชิงจวี๋ก้มหน้าฟังเงียบๆ ที่ฮูหยินให้เคล็ดวิชาฝึกตนกับฉินเวยเวย ชัดเจนว่าเห็นแก่หน้าหยางชิ่ง…
จู่ๆ พายุฝนก็ซาลง แต่พอตกกลางคืน ฝนพรำก็กระหน่ำแรงอีกครั้ง เช้าวันต่อมาฝนถึงหยุด พอตอนเย็นฝนก็เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุด เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เหมียวอี้คิดในใจว่าดีแล้ว ทางที่ดีให้ฝนตกจนกว่าอวิ๋นจือชิวจะกลับมา ให้นางได้รู้ว่าตัวเองทำเกินไปขนาดไหน
ใครจะไปคิดว่าฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ เหมือนเป็นผลกรรมตามสนองใครบางคนที่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ ทนมาจนถึงวันสุดท้ายแล้ว แต่ฝนเจ้ากรรมดันหยุดเสียได้ บนฟ้าไร้เมฆครึ้ม ฟ้าสดใสราวกับโดนชะล้าง พระอาทิตยขึ้นแล้ว เหมียวอี้สูดหายใจลึกหนึ่งที ทำสีหน้าเคียดแค้น!
พอใกล้จะถึงตอนเที่ยง เกี้ยวหลังหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า เหมียวอี้หันกลับไปมอง พบว่านอกจากช่างไม้กับช่างหินที่หามเกี้ยว ยังมีอีกคนหนึ่งตามมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฉินเวยเวย
เหมียวอี้ตกตะลึงอยู่บ้าง ทั้งยังประหลาดใจนิดหน่อย เวลาสั้นๆ เพียงสามร้อยปี ไม่น่าเชื่อว่าฉินเวยเวยจะบรรลุระดับบงกชแดงแล้ว?
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว ฉินเวยเวยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวราวหิมะก็เดินออกมาจากตำหนัก พอเห็นเหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มให้ ดวงตานางก็ฉายแววสับสน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอได้เห็นเขา ก็มักจะนึกถึงภาพที่เขากระอักเลือดใส่หน้านาง ภาพตอนที่อุ้มนางขี่อาชามังกรหนีเอาชีวิตรอดทุกที
นางใจลอยเพียงครู่เดียว จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาคำนับ “ข้าน้อยคำนับประมุขปราสาท”
ทั้งสองคุยกันได้สองสามคำ เชียนเอ๋อร์ก็เหาะออกจากตำหนักมาแล้ว “นายท่าน ฮูหยินเชิญเข้าพบเจ้าค่ะ!”
เหมียวอี้บอกลาฉินเวยเวยแล้วเดินสาวเท้าออกไป ทิ้งฉินเวยเวยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะไว้คนเดียว นางมองตามหลังเขาไป มองจนกระทั่งหายลับ ตัวเองถึงได้หันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วออกไปจากตรงนั้น
พอกลับมาถึงตำหนักหลัง แล้วไม่เห็นเงาของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ทำหน้าบึ้งทันที “ฮูหยินล่ะ?”
“ฮูหยินเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ไปปอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพล มุ่งตรงไปที่ห้องอาบน้ำทันที แต่ปรากฏว่าเสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูขวางไว้ “นายท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ ตอนฮูหยินอาบน้ำจะไม่ให้ใครรบกวน”
“ตลกแล้ว! ข้าเป็นผู้ชายของนาง เป็นสามีที่เคยคำนับฟ้าดินและเข้าห้องหอกับนางแล้ว ตอนนางอาบน้ำก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น ทั้งโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไป ยกเว้นข้า หลีกไป!” เหมียวอี้กล่าวอย่างหงุดหงิด พลางผลักเสวี่ยเอ๋อร์ให้หลีกทาง แล้วบุกเข้าไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
…………………………
บทที่ 882 ฮูหยินระเบิดอารมณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก จะขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว! ปกติเวลาฮูหยินอาบน้ำ ทั้งสองจะเข้าไปปรนนิบัติเสมอ วันนี้จู่ๆ ก็ให้พวกนางเฝ้าด้านนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี หวังว่านายท่านจะไม่โชคร้ายหรอกนะ
ในห้องอาบน้ำเป็นสีทองเรืองรอง ทุกที่ล้วนฝังเลี่ยมไปด้วยทองคำและหยกขาว หรูหราไร้ที่เปรียบ
ปลาหลี่สองตัวที่สูงเท่าคนหนึ่งคนกำลังเงยหน้ากระดกหางราวกับมีชีวิตชีวา กำลังอ้าปากพ่นน้ำใส่อ่างหยกขาวที่ใสแจ๋วจนมองเห็นก้นอ่าง รอบอ่างน้ำฝังเลี่ยมด้วยทองคำ สร้างเป็นรูปเกล็ดปลา เหยียบบนนั้นไม่มีทางลื่นล้ม
ในห้องอบอวลไปด้วยไอน้ำ อุณหภูมิก็สูงกว่าด้านนอกเช่นกัน เหมียวอี้ที่ก้าวยาวบุกเข้ามากวาดตามองรอบหนึ่ง มองไม่ใครอยู่ในอ่างอาบน้ำ สายตาจึงไปหยุดอยู่ข้างๆ
บนเตียงหยกที่สลักรูปหงส์และมังกร อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งอยู่บนบนนั้น ยกแขนสองข้างดึงปิ่นปักผมลงมา ถอดเครื่องประดับศีรษะออก พอเห็นเหมียวอี้ก็หัวเราะคิกคัก “ทำไมท่านสามีถึงมาที่นี่ล่ะคะ? หรืออยากจะมาแอบดูหม่อมฉันอาบน้ำ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วเดินก้าวยาวเข้ามา นั่งลงข้างเตียงหยก แล้วบอกว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย มีส่วนไหนบนร่างกายเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นบ้าง จำเป็นต้องแอบดูด้วยเหรอ? ถ้าจะดูก็ต้องดูอย่างเปิดเผยไปเลย”
ผมนนุ่มดำขลับประลงบ่าและสยายไปด้านหลังราวกับน้ำตก อวิ๋นจือชิววางมงกุฎหงส์ลง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ท่านสามีพูดจามีเหตุผล หม่อมฉันก็ไม่ได้ไล่ท่านออกไปใช่มั้ยล่ะคะ ตราบใดที่ท่านสามีชอบ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ท่านสามีดูเรือนร่างของหม่อมฉันได้อย่างไร? กลัวก็แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ท่านสามีอาจจะเบื่อหน่าย ถึงตอนนั้นเมื่อขอให้ท่านสามีดู เกรงว่าท่านสามีคงจะไม่สนใจ”
เหมียวอี้ทำหน้านิ่ง พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “สามวันที่ผ่านมา สองวันแรกฝนตก เจ้ารู้รึเปล่า?”
อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะทันที นางรู้สถานการณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะนั่งพูดอยู่ตรงนี้ด้วยกันดีๆ ได้อย่างไร จึงรีบเข้าไปนั่งกอดแขนเขาเอาไว้ “อย่าทำหน้าบึ้งสิคะ ล้วนเป็นความผิดหม่อมฉัน หม่อมฉันปวดใจแทบตาย ท่านเองก็จริงๆ เลยนะ ฝนตกแล้วไม่รู้จักหาที่หลบ”
เหมียวอี้ดึงแขนนางออก แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “ข้าจะกล้าเหรอ? เถ้าแก่เนี้ยมีอำนาจบารมีขนาดไหน ต่างอะไรกับหญิงปากร้ายล่ะ? เวลาทะเลาะกันขึ้นมาเจ้าก็ไม่อายเลย แต่ข้ายังอายนะ!”
อวิ๋นจือชิวติดหนึบเหมือนขนมคอเป็ด เข้ามากอดแขนเขาอีก นางยิ้มอย่างสดใสราวดอกไม้ “ท่านสามีอย่าโมโหสิ โปรดระงับโทสะ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของหม่อฉัน หม่อมฉันเป็นหญิงปากร้าย อย่าถือสาผู้หญิงปากร้ายอย่างหม่อมฉันได้มั้ยคะ?”
เหมียวอี้จ้องนาง ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “เจ้าเองก็รู้ตัวเหรอว่าเป็นผู้หญิงปากร้าย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้าครั้งหน้าเป็นแบบนี้อีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อวิ๋นจือชิวเอียงศีรษะไปซบไหล่ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “หม่อมฉันรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าในใจของท่านสามีมีหม่อมฉัน ถึงได้ยอมรับความไม่ยุติธรรมแบบนี้ ท่านสามีเป็นชายชาตรีผู้สง่าผ่าเผยไม่กลัวตาย จะมากลัวหม่อมฉันได้อย่างไร ท่านตั้งใจจะยอมอ่อนข้อให้หม่อมฉันต่างหากล่ะ หม่อมฉันรู้สึกดีมากเลย รับรองว่าต่อให้อยู่ในฝันก็ยังยิ้มได้ มีสามีแบบนี้ นับว่าหม่อมฉันไม่เสียชาติเกิดแล้ว แต่สิ่งนี้ก็ทำให้หม่อมฉันเข้าใจหลักการบางอย่างเช่นกัน หากวันใดท่านสามีไม่ยอมทนรับความอยุติธรรมนี้เพื่อหม่อมฉันแล้ว ก็แสดงว่าในใจท่านสามีไม่มีหม่อมฉันอีกต่อไป ในภายหลังหากมีโอกาส หม่อมฉันจะใช้วิธีการนี้ทดสอบท่านสามีอีก”
เหมียวอี้ถลึงตาสองข้าง “อะไรนะ? เจ้ายังคิดจะมีครั้งต่อไปอีกเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนไหล่สั่น “ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ระหว่างเราสองสามีภรรยาเท่าเทียมกันมาก ต่อไปหากหม่อมฉันทำอะไรผิด ขอเพียงท่านสามีเอ่ยมาคำเดียว รับรองว่าหม่อมฉันไม่เรื่องมากเสนอเงื่อนไขเหมือนท่านสามีแน่นอน อย่าว่าแต่ยืนสำนึกผิดเลย ถ้าท่านสามีให้ไปคุกเข่าหม่อมฉันก็จะไป รับรองว่าจะไม่บ่นสักคำ”
เหมียวอี้พลันยืนขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเครียดว่า “ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นคุกเข่า ข้าไม่ให้เจ้าคุกเข่าหรอก เจ้าเองก็อย่าสั่งให้ข้าคุกเข่าเหมือนกัน ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรอก!” มารดาเจ้าสิ เขาสงสัยว่าการไปยืนตากฝนข้างนอกในครั้งนี้ อาจจะมีคนเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีครั้งหน้าอีกคนจะไม่หัวเราะเยาะแย่หรอกเหรอ
“เป็นผู้ชายแล้วยังไงล่ะ? อย่ามาใช้มุกนี้! ใช้มุกนี้กับข้าไม่ได้ผลหรอก!” อวิ๋นจือชิวหุบยิ้ม ผมงามห้อยลงมาประหลัง เหล่ตามองพร้อมถามว่า “หนิวเอ้อร์! ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว ครั้งหน้าเตรียมตัวจะไปโดยไม่บอกกล่าวอีกใช่มั้ย?”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายกับข้า เจ้ายังมีเหตุผลอยู่มั้ย ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเดินออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” อวิ๋นจือชิวพลันตวาดเสียงแหลม “เจ้าว่าใครไม่มีเหตุผล? หนิวเอ้อร์ ถ้าเจ้ากล้าก็ลองพูดอีกรอบสิ!” นางยกมือเช็ดตรงหว่างคิ้ว เช็ดโคลนซ่อนจิตออก เผยภาพมายาดอกบัวสีทองบานหนึ่งกลีบ ทำท่าเหมือนจะใช้กำลังข่มขู่
เหมียวอี้ที่หยุดฝีเท้าและหันตัวกลับมาตกตะลึงทันที จากนั้นก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ รีบเดินเข้าไปใกล้ แล้วถามอย่างปลื้มใจมาก “เจ้าบรรลุระดับบงกชทองแล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก ยกเท้าเตะหน้าแข็งเขาเพื่อระบายอารมณ์ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้าก็มาขึ้นอารมณ์ใส่ข้าแล้วเหรอ บอกมาเสียดีๆ ระหว่างเจ้ากับพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นมันเป็นยังไงกันแน่?”
เหมียวอี้ที่กำลังลูบขาหัวใจกระตุกวูบ แสร้งถามอย่างงุนงงว่า “พี่น้องฝาแฝดอะไร?”
“หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้กับข้า! ลูกสาวฝาแฝดของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด ลูกสาวของอันหรูอวี้แห่งแดนโพ้นสวรรค์ ชื่อโอวหยางหลางกับโอวหยางหวน เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเจ้าไม่รู้จัก?” อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นตะคอกแล้ว
เหมียวอี้ตอบอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “อ๋อ! เจ้าหมายถึงพวกนางเหรอ รู้จักสิรู้จัก แต่ไม่สนิทหรอก มีเรื่องอะไรเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “ไม่สนิทจริงเหรอ? แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้านอนกับพวกนางมาแล้วนะ? ได้ยินว่าเจ้ายอมรับออกมาเองตอนงานนิทรรศการของวิเศษที่แดนอู๋เลี่ยง ข้าก็สงสัยอยู่ ว่าทำไมตอนนั้นถึงทำท่าจะสู้ตายกับเจ้า สงสัยจะเป็นเพราะท่านบุรุษเหมียวไปนอนกับลูกสาวของเขา” พูดจบก็เดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วใช้นิ้วแหลมจิ้มที่หน้าอกเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์! เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะ! ข้าดูไม่ออกเลย! ยังจะมาเล่นลูกไม้อีก ที่แท้เจ้าก็มีรสนิยมแบบนี้ ฝาแฝดคู่นั้นรสชาติไม่เลวเลยใช่มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้แทบจะเหงื่อท่วมหัว โดนนางจิ้มจนเดินถอยหลัง แต่กลับแสร้งทำสีหน้าโมโห “ไอ้เลวที่ไหนมันพูดจาไร้สาระ เจ้าบอกมาซิ ใครจะมันสร้างข่าวลือ ข้าจจะไปคิดบัญชีกับมัน!”
อวิ๋นจือชิวคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ แล้วพูดเน้นทีละคำว่า “คิดบัญชีเหรอ? ได้! หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน นางบอกข้าเองกับปาก ทั้งยังบอกด้วยว่าพวกผู้ชายเจ้าชู้หลายใจ ให้ข้าจับตาดูเจ้าไว้ให้ดี! ข่าวสารของนางใช้สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดรึไงล่ะ พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีมูลเหตุ!”
“…” เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก มู่ฝานจวินกินยาผิดมาเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะมายุ่งเรื่องในครอบครัวของข้า! จึงถามอย่างสงสัยว่า “พูดจริงรึเปล่า? นางพูดเรื่องด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวดึงหูของเขา ออกแรงบิดพร้อมบอกว่า “นอกจากนางแล้ว ที่แดนเซียนยังมีใครกล้าพูดข่าวเสียหายของคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์อีกล่ะ! ไอ้เวรนี่ เจ้าคิดจะปิดบังข้าไม่จนถึงเมื่อไร!”
“ฮูหยิน เบาหน่อยๆ เจ็บ!” เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาเขย่งเท้าเพราะโดนนางดึงหูยกขึ้นสูงมาก เมื่อโดนจับจุดอ่อนเพราะเป็นฝ่ายทำเรื่องผิดแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าตอบโต้ ทำได้เพียงร้องออกมา “ให้ข้าพูดบ้างไม่ได้เหรอ! นั่นเป็นความผิดพลาดแท้ๆ เลย แม่งเอ๊ย ข้าต่างหากที่เป็นคนที่โชคร้ายที่สุด เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่ตอนที่ข้าไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุครั้งแรก”
พออวิ๋นจือชิวปล่อยมือจากเขา เท้าที่อยู่ใต้กระโปรงก็บินออกมา เตะที่หน้าแข้งเขาอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างดุดันว่า “บอกมา! ทำไมมาเกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยมของข้าได้? เจ้าบ้านี่ พวกเจ้าคงไม่ได้มาแอบทำเรื่องหน้าไม่อายกันในโรงเตี๊ยมหรอกมั้ย?”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นางคงโมโหตายแน่ๆ เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเหมียวอี้นอนกับนางที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ถ้ายังแอบนอนกับคนอื่นในโรงเตี๊ยมของนางอีก จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
เหมียวอี้เอามือลูบหูลูบขาอีกครั้ง เจ็บทั้งข้างบนข้างล่าง ทั้งยังต้องหาโอกาสโบกไม้โบกมืออีก “เปล่านะ เปล่าเลย ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อเจ้าที่โรงเตี๊ยมแน่นอน เจ้าเองก็รู้มูลเหตุก่อนหน้า ครั้งแรกที่ข้าไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุก็เพราะได้รับคำสั่งให้ไปหาเรือมังกรอเวจีที่ทะเลทรายม่านเมฆา…”
เขาไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินรู้เรื่องนี้มากแค่ไหนกันแน่ และไม่รู้ว่านางบอกเมียตัวเองไปมากแค่ไหน ถ้าหากพูดไม่ตรงกัน เขากังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะสู้กับตนอย่างสุดชีวิตแน่นอน ทำได้เพียงเล่าต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่ไปปฏิบัติภารกิจลับที่ทะเลทรายม่านเมฆา ตอนหลังโดนลอบสังหารระหว่างที่ตามหาเรือมังกรอเวจี อันเจิ้งเฟิงจึงส่งโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายมาปกป้องตน อยากจะล่อมือสังหารออกมา แต่พอเจอเรือมังกรอเวจีแล้ว ฝาแฝดคู่นั้นก็โดนพิษราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่ตัวเอง ‘ประสบเคราะห์’ ด้วยสีหน้าขื่นขม
สิ่งที่เล่าออกมาล้วนเป็นความโศกเศร้า พอเล่าจบก็พูดเสริมอีกว่า “ข้าต่างหากล่ะที่เป็นเหยื่อ! หลังจากนั้นมาข้าก็ไม่เคยแตะต้องพวกนางอีกเลยจริงๆ อยากจะหลบยังหลบไม่ทันเลย!”
เหตุการณ์ในระหว่างนั้น อวิ๋นจือชิวรู้แล้ว รวมทั้งเห็นภาพที่เหมียวอี้โดนลอบสังหารในทะเลทรายกับตาตัวเอง ได้เห็นความห้าวหาญดุร้ายของเหมียวอี้กับตาตัวเองมาแล้ว ตอนนั้นเขามีวรยุทธ์บงกชเขียว แต่กำจัดนักพรตบงกชแดงไปได้สองคน
อันที่จริง ตั้งแต่เจอเหมียวอี้ที่วัดเมี่ยวฝ่าครั้งแรก จนกระทั่งเหมียวอี้โดนลอบสังหารโดยนักพรตบงกชแดงสองคนที่ทะเลทรายม่านเมฆา ทั้งยังสู้ตายกับเฟิงเสวียนเพื่อแย่งชิงตน สิ่งเหล่านั้นทำให้นางได้รับรู้ถึงด้านที่กล้าหาญของผู้ชายคนนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวแน่นอน
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากได้ฟังความจริง อวิ๋นจือชิวก็ยังโกรธจนหน้าเขียวอยู่ดี ตอนแรกที่ได้ฟังนางค่อนข้างรับไม่ไหวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายของตนจะโดนผู้หญิงสองคนขืนใจ! เรียกได้ว่าโมโหจนตัวสั่น จู่ๆ ก็ทำตัวเหมือนคนบ้า “นางตัวดีสองคนนั้น ข้าจะฆ่าทิ้งซะ!”
พอหันตัวมาก็เห็นนางผมสยายพุ่งไปข้างนอก เหมียวอี้ตกใจจนหน้าถอดสี ถลันตัวเข้าไปขวางนางไว้ กอดนางแน่น พร้อมพูดขอร้องว่า “ไม่ใช่แล้วมั้ง! เจ้าคงไม่คิดจะทำเรื่องแบบนี้ให้ใหญ่โตขึ้นหรอกใช่มั้ย? เรื่องนี้พวกนางก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ท่านย่าขอรับ ท่านไว้หน้าข้าสักหน่อยดีมั้ย!”
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะดึงมวยผมของเขาเอาไว้ แล้วกดลงไปกับพื้นโดยตรง จากนั้นก็ลงหมัดลงเท้าซ้อมราวกับพายุคลั่ง ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า! ไอ้คนไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไปขืนใจพวกนาง ข้ายังจะนับถือว่าเจ้ากล้าหาญอยู่หรอก โอ้แม่เจ้า! ชายหนุ่มผู้สง่าผ่าเผยโดนผู้หญิงสองคนขืนใจ เจ้าไม่รู้จักขัดขืนเลยเหรอ? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไอ้เวรเอ๊ย ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ! โดนผู้หญิงขืนใจแล้วยังกล้ามาขึ้นเตียงกับข้าอีก เจ้ามันไร้ยางอาย!”
เหมียวอี้โดนซ้อมจนมุดไปอยู่ที่มุมกำแพง หดตัวอยู่ที่มุมกำแพง เอามือกุมศีรษะร้องโอดครวญ “แม่งเอ๊ย! ตอนนั้นข้าวรยุทธ์เท่าไรล่ะ ข้าวรยุทธ์บงกชเขียวนะ พวกนางสองคนวรยุทธ์บงกชม่วง แค่กระดิกนิ้วทีเดียวข้าก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำพวกนางยังมีกันสองคน เจ้าจะให้ข้าขัดขืนอย่างไรล่ะ?”
“แล้วเจ้ายังมีหน้าอยู่มาจนวันนี้ได้ยังไง ทำไมไม่กัดลิ้นตัวเองตายไปซะ?”
“กัดลิ้นตัวเองตายเหรอ? ถุยสิ เจ้าคิดได้เนอะ เจ้ายังมีเหตุผลอยู่รึเปล่า!”
“ข้าไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ!” อวิ๋นจือชิวคำราม แล้วซ้อมเขาอย่างโมโหบ้าคลั่ง
เป็นเพราะเสียงซ้อมคนดังเกินไป เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกจำต้องวิ่งเข้ามาดูความเคลื่อนไหว พอเห็นภาพนี้ ทั้งสองก็ตกตะลึงพรึงเพริด นึกไม่ถึงว่าเวลาฮูหยินระเบิดอารมณ์แล้วจะซ้อมนายท่านแบบนี้! จึงรีบเข้ามาดึงแขนอวิ๋นจือชิวเอาไว้พร้อมกัน “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ! ท่านทำแบบนี้นายท่านอาจจะตายได้นะเจ้าคะ!”
…………………………
883 จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นจือชิวที่โดนดึงแขนเดือดดาลจนหัวเราะออกมา “ผู้ชายของข้า ข้าจะตบจะตีอย่างไรก็ได้ ถ้าข้าไม่อยากใช้งานแล้ว จะให้ตอนทิ้งก็ยังได้ เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ออกไป!” ขณะที่พูดก็ชกกำแพงที่หุ้มด้วยทองคำหนึ่งหมัด
ปั้ง! กำแพงสีทองเหลืองอร่ามเกิดเป็นรอยหมัดลึกทันที ถ้าใช้หมัดนี้ชกคน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง
ตอนทิ้ง? จะไม่ใช่เรื่องของพวกเราได้ยังไง? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราแน่นอน! หญิงรับใช้ทั้งสองตกใจมาก พอเห็นอวิ๋นจือชิวลงมือโหดเหี้ยมกับสามีตัวเองแบบนี้ ก็เป็นการทำลายแนวคิดสามีเป็นช้างเท้าหน้าของทั้งสองมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอวิ๋นจือชิวจะตอนเหมียวอี้ทิ้งได้จริงๆ ทั้งสองตาลีตาลานเข้ามาวิงวอน “ฮูหยิน ตีอีกไม่ได้แล้ว ตีอีกไม่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะ เหมียวอี้ที่โดนซ้อมจนหน้าปูดตาช้ำจะลุกขึ้นมาจากมุมกำแพง แล้วโบกมือบอกทั้งสองว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ฮูหยินกำลังเล่นกับข้า”
เขาไม่มีทางเลือก เขานึกเสียใจทีหลังที่ตัวเองบอกความจริงกับอวิ๋นจือชิว ดูจากปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็แสดงว่านางไม่ได้รู้ความจริงมาก่อนเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่อัดอั้นมาถึงตอนนี้แล้วค่อยลงมือหรอก ถ้าอวิ๋นจือชิวปากไม่มีหูรูดเปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยิน เขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง ย่อมต้องอยากไล่หญิงรับใช้ทั้งสองออกไปเร็วๆ อยู่แล้ว
นายท่านหน้าปูดหน้าช้ำเลือดออกปากออกจมูก ทั้งสองได้แต่พูดไม่ออก โดนตีขนาดนี้แล้ว จะเล่นกันเฉยๆ ได้ยังไง?
แต่เหมียวอี้พูดขนาดนี้แล้ว ทั้งสองยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงค่อยๆ ถอยออกไป
“เล่นกันเหรอ? หน้าไม่อาย ใครเล่นกับเจ้า!” กระโปรงยาวโบกสะบัด ขายาวเตะออกมาแล้ว
ขนาดใส่กระโปรงยาวยังโหดได้ขนาดนี้ มาดอันห้าวหาญของนางมารร้ายหมายเลขหนึ่งแห่งนภาจอมมารถูกเปิดเผยออกมาหมดสิ้น
“เจ้ายังไม่พออีกเหรอ!” เหมียวอี้ร่ำร้อง แล้วรีบเอามือกุมศีรษะนั่งย่อลงที่มุมกำแพง แต่ยังไม่ลืมที่จะเตือนว่า “มองบ้าอะไร! ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ยังไม่ถอยไปอีก!”
เหมียวอี้สะอื้นในใจ วันนี้เสียหน้าหมดแล้ว!
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ถอยไปตรงประตูเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หมัดและเท้าที่ฮูหยินปล่อยใส่ตัวนายท่าน เรียกได้ว่ารุนแรงเหมือนตีกลอง เมื่อโดนเขาตะคอกแบบนั้น พวกนางก็ทำได้เพียงแข็งใจถอยออกไป
ผ่านไปพักใหญ่ อวิ๋นจือชิวที่ผมยุ่งสยาราวกับคนบ้า ลักษณะสง่าภูมิฐานหายไปหมดสิ้นก็ยืนเท้าเอวเฝาอยู่ที่มุมกำแพง กำลังกดดันสามีตัวเอง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้จึงหยุดลงมือ “ไม่ใช่สิ! เจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้หญิง จะโดนขืนใจง่ายๆ ได้อย่างไร ขอแค่สิ่งที่อยู่ต้หว่างขาเจ้ามันไม่ได้เรื่อง อาศัยแค่พวกนางจะขืนใจเจ้าได้อย่างไร? เจ้าเองก็โดนพิษราคะนั่นเหมือนกันใช่มั้ย หรือว่าพวกนางวางยาเจ้า? วางยาก็เป็นไปไม่ได้หรอก ลูกสาวของอันหรูอวี้ไม่น่าจะพกอะไรแบบนั้น! ร่ายอิทธิฤทธิ์บีบบังคับเหรอ?”
รองเท้าปักลายที่อยู่ใต้กระโปรงยื่นออกมา เหยียบบ่าเหมียวอี้ที่กำลังกุมศีรษะ “บอกมาเสียดีๆ ตอนนั้นคนชั่วอย่างเจ้าพายเรือตามน้ำ[1]ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พลันยืนขึ้น เอามือเช็ดลือดที่จมูก แล้วตะคอกอย่างเดือดดาลเหลืออด “ใช่แล้ว ข้าพายเรือตามน้ำเอง! อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าทำเกินไปได้มั้ย! ให้เจ้าด่าก็แล้ว ให้เจ้าตีก็แล้ว เจ้าจะเอายังไงอีก? ถ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าทิ้งเลย ข้าจะไม่โต้ตอบด้วย!”
เมื่อเห็นสภาพเขาหน้าบวมตาปูดแล้วยังพูดจาใส่อารมณ์ได้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยืนเท้าเอวก็ชะงักไป จากนั้นก็เอามือปิดปากกลั้นขำ หัวเราะจนตัวค่อยๆ งอ เอาสองมือกุมทอง หัวเราะจนหายใจไม่ทันจริงๆ
ความโมโหเดือดดาลหายไปในชั่วพริบตาเดียว ไม่ใช่เพราะสภาพอนาถของเหมียวอี้ยั่วให้ขำ แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะเหมียวอี้ยอมรับว่าตอนนั้นพายเรือตามน้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่นางจะหายโกรธได้ สำหรับนางแล้ว สภาพจิตใจของนางก็เทียบได้กับสภาพจิตใจของผู้ชาย เหมือนเวลาที่ผู้ชายรู้ว่าผู้หญิงของตัวเองเคยโดนผู้ชายคนอื่นขืนใจมาก่อน แบบนั้นน่าสะอิดสะเอียนพอสมควร ถ้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้าง ก็เหมือนกับกลืนแมลงวันตัวหนึ่งลงท้องไป
ทว่าในยุคนี้นั้นเป็นแบบนี้ การที่ผู้ชายมีผู้หญิงหลายคน ก็ไม่ใช่เรื่องที่รับได้ยากสำหรับผู้หญิง ค่านิยมในสังคมมนุษย์มีอานุภาพรุนแรงมาก รุนแรงพอที่จะทำให้เหล่าอนุภรรยาเข้าใจได้ หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้โดนขืนใจแบบนั้นจริงๆ แต่เป็นการพายเรือตามน้ำและได้ตักตวงผลประโยชน์ นางก็ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว กอปรกับเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมามีอะไรกับนาง นางเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าซักไซ้หาความต่อแล้ว
“หัวเราะบ้าอะไร! ผู้หญิงปากร้าย!” เหมียวอี้ด่าอย่างโมโห แล้วเดินวนอ้อมนางออกไป
“จะไปไหน?” อวิ๋นจือชิวที่หัวเราะจนเจ็บท้องดึงแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เจ้าคิดว่าจะไปไหนล่ะ? เจ้ารู้จักมั้ยว่าอะไรที่เรียกว่าช้างเท้าหน้า? เจ้ารู้มั้ยว่าอะไรที่เรียกว่าคุณธรรมของสตรี? เจ้าเคยเห็นเมียที่ไหนทำตัวแบบเจ้าบ้างมั้ย?” เหมียวอี้กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาล เอามือเช็ดเลือดที่ปากกับจมูกอีกครั้ง พอมองเห็นเลือดสดบนฝ่ามือ ก็บ่นอย่างโมโหอีกว่า “อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว! ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก พวกเราแยกทางกันก็ได้นะ! ข้าจะไปเขียนหนังสือขอเลิกภรรยา นับแต่นี้ไปก็ทางใครทางมัน!”
ต่อให้คำพูดจะไม่น่าฟังสักแค่ไหน แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เก็บมาใส่ใจ กอดแขนเขาต่อไปไม่ยอมปล่อย ก้มหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านสามี หม่อมฉันผิดไปแล้ว ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉัน เอาอย่างนี้มั้ย ข้าให้เจ้าตีข้าคืน หม่อมฉันจะไม่โต้ตอบเด็ดขาด!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างโมโห
อวิ๋นจือชิวปล่อยเขาทันที ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างสง่าผ่าเผย เชิดใบหน้างามขึ้นมา ทำท่าเหมือนรอให้เขาตบตีได้ตามอำเภอใจ
เหมียวอี้ง้างฝ่ามือขึ้นมา โบกไปทางใบหน้านาง ลมวูบหนึ่งพัดใส่จนผมงามปลิวสยาย ใบหน้าขาวหมดจดน่าหลงใหลปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้ ตอนนี้อวิ๋นจือชิวหลับตาแล้ว แพขนตายาวกำลังสั่นไหวเบาๆ
ฝ่ามือที่โบกเข้ามาหยุดชะงักอยู่ใกล้ใบหน้านาง ห่างไม่ถึงหนึ่งฝามือด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ทำสีหน้าค่อนข้างดุร้าย หลายครั้งที่อยากจะขยับฝ่ามือ แต่สุดท้ายก็ตบไม่ลง
เมื่อเห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร! อวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ ลืมตาข้างหนึ่งมองเขา จากนั้นก็ลืมตาอีกข้าง ดวงตางามทั้งสองข้างก็กลายเป็นเหมือนกับบ่อน้ำ ขณะที่มองเขา นางกัดริมฝีปาก ดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้ม ใช้มืออันอ่อนนุ่มจับมือของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วเอามาคลอเคลียใบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหวานชื่นอ่อนโยน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านสามีรักตัดใจตบหน้าข้าไม่ลงจริงๆ!”
“ถุย! ข้าแค่ไม่อยากถือสาผู้หญิงปากร้ายอย่างเจ้าเฉยๆ หรอก!” เหมียวอี้สะบัดมือออก เอามือเช็ดเลือดที่จมูกอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วหันหน้าเดินออกไป
อวิ๋นจือชิวสะบัดกระโปรง ถลันตัวไปขวางเขา แล้วทำสีหน้าเหมือนสาวน้อยกำลังอ้อนวอน “ท่านสามีอย่าโมโหสิคะ หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว! ท่านสามีรอก่อนนะ หม่อมฉันจะทำโทษตัวเอง จะไปคุกเข่าที่ประตูใหญ่นอกตำหนักสามวันเดี๋ยวนี้เลย!”
นางใช้สองมือยกกระโปรง แล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างแน่วแน่
เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจใยดี แต่ชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล แม่งเอ๊ย ผู้หญิงบ้าคนนี้คงไม่วิ่งออกไปคุกเข่าหน้าประตูตำหนักจริงๆ หรอกใช่มั้ย?
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าห่างไปไกลแล้ว ก็รีบถลันตัวตามออกไปทันที
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ตรงทางเดินนอกห้องอาบน้ำเห็นอวิ๋นจือชิววิ่งออกมาก่อน ขณะกำลังจะไปดูว่านายท่านโดนซ้อมเป็นอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าสักพักก็เห็นนายท่านวิ่งตามออกมาแล้ว
อวิ๋นจือชิววิ่งมาถึงประตูตำหนักนอนแล้ว เหมียวอี้ที่วิ่งตามมาดึงแขนนางเอาไว้ จากนั้นก็ชี้นางซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้ว่าควรจะว่านางอย่างไรดี สุดท้ายก็กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เจ้าคิดจะเอายังไงกันแน่? ไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย?”
“หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว หม่อมฉันจะไปคุกเข่าชดใช้ความผิดที่ประตูใหญ่นอกตำหนักไง ยังไม่พอใจเหรอ? หากท่านสามีรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะหายโกรธ เช่นนั้นก็ตีข้าสักยก แล้วจากนั้นข้าก็จะไปคุกเข่าที่ประตูใหญ่อีก แบบนี้ไม่ได้เหรอ?” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
“อวิ๋นจือชิว เจ้าช่วยหยุดพักสักหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้ยื่นปากเข้าไปตะคอกตรงหูนาง แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่านางในดังเข้ามาใกล้ จึงรีบกันไปมอง กลัวว่าจะมีคนมาเห็นใบหน้าอนาถยับเยินของตน จึงรีบดึงแขนอวิ๋นจือชิวเดินออกไป
อวิ๋นจือชิวโดนดึงให้เดินออกมา ในดวงตางามฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็มองหลังศีรษะที่โดนตีจนยุ่งเหยิงของเหมียวอี้ด้วยแววตาหวานซึ้ง สีหน้าของนางชื่นมื่นมาก คิดว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ยังรักและทะนุถนอมนาง สุดท้ายก็ยอมรับความไม่เป็นธรรมแทนนาง โชคดีที่เมื่อครู่นี้นางไม่ได้โมโหหน้ามืดจนตีเขาตาย!
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่รีบเดินเข้ามาชะงักงัน เห็นนายท่านดึงตัวฮูหยินกลับไปที่ห้องอาบน้ำอีกแล้ว
แล้วสีหน้าของฮูหยินนั่นมันอะไรกัน? ทำไมทำท่าเหมือนจะสำลักความสุขตายล่ะ! ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เรื่องนี้ยากจะเข้าใจ ทำได้เพียงกลับไปเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องอาบน้ำอีกครั้ง
เหมียวอี้เดินกลับมาในห้องอาบน้ำด้วยความเดือดดาล แล้วดึงผู้หญิงข้างหลังออกมาผลัก
อวิ๋นจือชิวล้มลงบนเตียงหยก ขระมองดูสภาพยับเยินของเหมียวอี้ นางก็รู้สึกผิดเหมือนกัน รู้สึกอับอายนิดหน่อย ซ้อมจนผู้ชายของตัวเองมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ ถ้าไม่พิจารณาตัวเองสักหน่อย ก็จะดูไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว เหมือนไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงปกติจะทำได้
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ลงมือซ้อมคนแบบนี้? ตอนอยู่ที่นภาจอมมารนางทำแบบนี้บ่อย แต่ตอนหลังไม่ได้ทำนานแล้ว ครั้งล่าสุดก็คือตอนจบงานนิทรรศการของวิเศษที่แดนอู๋เลี่ยง ครั้งนั้นอวิ๋นเฟยหวงลูกชายของอวิ๋นเป้าแย่งยาแก่นเซียนสามสิบเม็ดของเหมียวอี้ไป นางโมโหมาก จึงจับอวิ๋นเฟยหวงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองมาซ้อมอย่างโหดเหี้ยมยกหนึ่ง แล้วแย่งยาแก่นเซียนกลับมาคืนให้เหมียวอี้ หลังจากนั้นก็คือครั้งนี้ นางซ้อมสามีตัวเองจนสภาพเป็นแบบนี้แล้ว…
“ท่านสามีอยากจะลงโทษหม่อมฉันอย่างไรคะ หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว” อวิ๋นจือชิวมองเขาตาปริบๆ
“ท่านย่า! ท่านบรรพบุรุษ!” เหมียวอี้ประสานมือคำนับนาง “เจ้าอย่าหาเรื่องได้มั้ย? ถือว่าข้าขอร้องได้มั้ย?”
“งั้นเจ้ายังจะซ้อมข้ารึเปล่าล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม
“มิบังอาจ! ข้ายอมรับผิด! ข้าสมควรตาย! ข้าโดนกรรมตามสนอง! ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว ตกลงมั้ย? ข้าขอร้องให้เจ้าปล่อยข้าไป ตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ประสานมือคารวะต่อไป แล้วจู่ๆ ก็พบว่าเท้าข้างหนึ่งที่สวมรองเท้าปักยื่นมาตรงหน้า
พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นอวิ๋นจือชิวใช้สองมือยันข้างหลัง ยกเท้าข้างหนึ่งมาตรงหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหยาดเยิ้ม “ช่วยถอดรองเท้าให้ข้าหน่อยสิคะ!”
เหมียวอี้กำหมัดสองข้าง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะซ้อมคน อารมณ์ค่อนข้างฮึกเหิม “เจ้าคิดจะเอายังไงอีก? ยังไม่จบใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!”
“ช่วยถอดรองเท้าให้หน่อย ข้าจะอาบน้ำ” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เหมียวอี้โบกมือปัดเท้านางออกไป “เจ้าไม่มีมือหรือไง?”
อวิ๋นจือชิวจึงถามว่า “เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย? ถ้าเจ้าไม่ช่วย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าให้อภัยข้าจริงรึเปล่า ถ้าตอนหลังเจ้ากลับมาซ้อมข้า ข้าจะทำอย่างไรล่ะ?”
“…” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนจะเป็นบ้า คว้าข้อเท้านางเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างดึงรองเท้าโยนไปข้างหลัง แล้วดึงถุงเท้ายาวของนางลงมา ก่อนจะโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ยังมีข้างนี้อีก!” เท้างามอีกข้างแตะลงพื้น
เหมียวอี้โน้มตัวเข้ามาจับขาที่อยู่ใต้กระโปรงของนางขึ้นมา เพิ่งจะโยนรองเท้าข้างนั้นออกไป จู่ๆ เท้างามขาวใสดุจหยกข้างหนึ่งก็ประทับลงบนหน้าเขา
“หนิวเอ้อร์ หอมมั้ย?”
เพี้ยะ! เหมียวอี้ตบออกไป “เหม็น!”
เพิ่งจะดึงถุงเท้าของเท้าข้างนั้นออกไป ขาสองข้างที่อยู่ใต้กระโปรงก็ไขว้คอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย เหมียวอี้ที่โดนขากักไว้โน้มตัวมองนางอย่างเย็นเยียบ
“หนิวเอ้อร์ ข้าถามอะไรเจ้าอย่างหนึ่งสิ จากบ้านไปนานขนาดนี้ เจ้าได้แตะต้องผู้หญ่งบ้างรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างสุขุมเยือกกเย็น
หัวใจกระตุกวูบ คำพูดนี้จี้ใจดำท่านขุนนางเหมียวอีกครั้ง นี่คือเรื่องที่เขารู้สึกผิดที่สุด เมื่อนางถามแบบนี้ ตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่าที่โดนซ้อมเมื่อครู่นี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว ความโมโหในใจหายไปในชั่วพริบตาเดียว ที่เพิ่มขึ้นคือความว้าวุ่นหวาดหวั่น
แต่หลังจากมีบทเรียนเมื่อครู่นี้แล้ว ต่อให้โดนตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ พยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเสียงฮึดฮัดแล้วตอบว่า “ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าข้าโดนขังในค่ายกลมารโลหิตสามร้อยกว่าปี จะมีอารมณ์ไปทำเรื่องเหลวไหลแบบนั้นเสียที่ไหน”
อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “เชอะ! พระที่เคยกินเนื้อสัตว์มาบอกว่าตัวเองกินเจเนี่ยนะ ใครจะไปเชื่อล่ะ! อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นแล้วเจ้าจะพูดอะไรก็ได้นะ ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน เมื่อถึงวันนั้นข้าไม่ซ้อมเจ้าง่ายๆ แบบนี้หรอก ข้าจะตอนของเจ้าทิ้งซะ!”
884 บาดเจ็บเล็กน้อยไม่ทำให้ฟันร่วง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดนี้ทำให้ผู้ชายรู้สึกหนาวเป้ากางเกงจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับฮูหยินที่กล้าลงมือจริงแบบนี้
“เจอกับผู้หญิงไร้เหตุผลอย่างเจ้า ข้าพูดไม่ออกแล้ว!” เหมียวอี้ใช้ความโมโหกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจตัวเอง ออกแรงจับขานางแยก แต่จนใจที่วรยุทธ์ไม่สูงเท่าอีกฝ่าย ไม่มีทางจับแยกออกได้เลย จึงสบถอย่างหงุดหงิด “ผู้หญิงปากร้าย! ปล่อยข้า!”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังใช้ขาสองข้างไขว้คอเขาเอาไว้หัวเราะอย่างเบิกบานใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นใบหน้าปูดช้ำที่กำลังดิ้นรนอยู่ตรงหว่างขาของตัวเอง มันดูน่าขำสุดๆ ยิ่งเหมียวอี้พูด สองขาของนางก็ยิ่งขนาบแน่นขึ้น
“ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!” เหมียวอี้คำราม แม่งเอ๊ย อย่ากดดันให้ข้าต้องใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราเลย!
“อ๋อเหรอ! จะไม่เกรงใจยังไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนหายใจไม่ทัน
เหมียวอี้ที่กำลังโน้มตัวพลันยืนขึ้น ทำให้ทั้งตัวของอวิ๋นจือชิวถูกยกออกจากเตียงหยก ทำให้ตัวนางพลิกขึ้นมา
อวิ๋นจือชิวกลับใช้สองมือเลิกกระโปรงตัวเองขึ้น เอากระโปรงคลุมศีรษะเหมียวอี้ ไขว้ขาสองข้างขี่คอเสียเลย จากนั้นใช้สองมือดึงหูเขาผ่านกระโปรง พลางหัวเราะคิกคัก “ท่านสามี ทัศนียภาพใต้กระโปรงหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
ข้างในใส่กางกางในอยู่ จะไปเห็นทัศนียภาพบ้าอะไรล่ะ! ไม่เห็นอะไรนั้น! มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ยังไม่มีอารมณ์จะมาชมทัศนียภาพด้วย เขาอับอายจนโมโห จึงควงฝ่ามือตบก้นนางพักหนึ่ง พร้อมคำรามเสียงอู้อี้อยู่ใต้กระโปรง “ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!”
อวิ๋นจือชิวโดนเขาตบก้นจนหน้าแดงและกะพริบตาแสดงความปรารถนา นางค่อนข้างทนไม่ไหว พลันเหาะขึ้นมา ในที่สุดเหมียวอี้ก็หลุดพ้นจากการโดนขังใต้กระโปรงแล้ว เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวหมุนตัวกลางอากาศแล้วลอยลงช้าๆ ก่อนเท้างามสองข้างจะเหยียบลงบนเตียงหยก
กลับพิภพใหญ่! นี่คือความคิดชั่ววูบที่แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปทันที
“ไม่อยากถามเรื่องเยียนเป่ยหงแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบ ทำให้ร่างของเหมียวอี้หยุดชะงักทันที นางมีวิธีบีบจุดอ่อนของเขาเสมอ
เหมียวอี้ที่กำลังหันหลังให้ใช้สองมือถูหน้าแรงๆ ลืมไปแล้วว่าตัวเองโดนซ้อมจนจมูกเขียวหน้าช้ำ เขาแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างเจ็บปวดครู่หนึ่ง แล้วหันตัวมา ถามอย่างดุดันว่า “เรื่องเยียนเป่ยหงเป็นยังไงกันแน่?”
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าประชดประชันทันที “สงสัยเพื่อนจะสำคัญกว่าเมีย หนิวเอ้อร์ เจ้านี่มันใช้ได้เลยนะ!”
เหมียวอี้ค่อนข้างจนปัญญากับนาง โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ “เจ้าจะบอกหรือไม่บอก? ถ้าไม่บอกข้าจะไปถามที่นภาจอมมารด้วยตัวเอง!”
อวิ๋นจือชิวกระโดลงจากเตียงหยก แล้วกระดกนิ้วเรียกเขา “ไปยืนทำไมตั้งไกล? กลัวข้าซ้อมเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เขากังวลเรื่องนี้จริงๆ แต่ไม่แสดงออกเด็ดขาด เดินก้าวยาวกลับมาแล้วถามว่า “บอกมาสิ! มันเรื่องอะไรกันแน่?”
อวิ๋นจือชิวกางแขนสองข้างแล้ว “ช่วยข้าถอดเสื้อผ้าหน่อย!”
เหมียวอี้เอียงหน้าไปด้านข้าง “ข้าไม่มีอารมณ์มาทำเรื่องแบบนั้นกับเจ้าหรอกนะ!”
“ไปตายซะ!” อวิ๋นจือชิวเตะหน้าแข้งเขาย่างไม่ลังเล แล้วพูดดูถูกว่า “ใครอยากจะทำเรื่องนั้นกับเจ้า ข้าจะไปอาบน้ำต่างหาก!”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ก็ไปเรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มาสิ”
ใบหน้างามของอวิ๋นจือชิวเย็นเยียบลงทันที โมโหอีกแล้ว “ให้เจ้าปรนนิบัติข้าสักครั้งจะเป็นไรไป? เจ้าไม่เต็มใจเหรอ? หนิวเอ้อร์! ในปีนั้นไอ้เวรที่ไหนมันคอยฉวยโอกาสบีบนวดลูบไล้ไปทั่วร่างกายข้า? เมื่อก่อนไอ้บ้าที่ไหนมันชอบเปิดกระโปรงข้า ล้วงกางเกงในข้า? เมื่อก่อนไอ้บ้าที่ไหนมันสู้ตายเพื่อแย่งชิงตัวข้ากลับมา? วันนี้พอได้มาแล้วก็ไม่อยากแตะต้องอีกใช่มั้ย? เล่นจนเบื่อแล้วใช่มั้ยล่ะ? หรือออกไปเจออะไรที่ดีกว่ามา เลยเริ่มรังเกียจข้าแล้ว?”
“ข้าจะปรนนิบัติ! เจ้าคือบรรพบุรุษของข้า! ข้าจะปรนนิบัติให้เอง พอใจรึยัง?” เหมียวอี้ยกมือสองข้างซ้ำๆ เพื่อหยุดนาง รับว่านางโหด ถ้าให้พูดต่อไป ก็ไม่รู้ว่านางจะพูดอะไรออกมาอีก
เขาถอดชุดคลุมยาวตัวนอกของนางออก แล้วโยนไปบนเตียงอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ถอดผ้าคาดเอวของนาง ปลดกระโปรงของนางออก
จากนั้นก็ถอดเสื้อชั้นใน ตอนนี้เหมียวอี้เริ่มหัวใจเต้นรัวแล้ว ภูเขาหิมะยอดสีแดงสองลูกกำลังท้าทายอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งยังมีเรือนรางอ่อนช้อยที่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ประกอบกับใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของอวิ๋นจือชิว ทำให้เหมียวอี้ขยับลูกกระเดือกแล้วจริงๆ เป็นเสียงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ยอมรับไม่ได้ นั่นก็คือในบรรดาผู้หญิงทุกคนที่เขาเคนสัมผัส ไม่มีใครที่มีเรือนร่างเย้ายวนใจเท่าอวิ๋นจือชิวเลย ยิ่งได้สัมผัสผู้หญิงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของล้ำค่าหายากแน่นอน
พอเห็นเขาทำท่าทางแบบนั้น ในดวงตาอวิ๋นจือชิวก็ฉายแววภาคภูมิใจ แต่กลับไม่ให้เขามองเยอะ เอาสองมือปิดหน้าอกแล้วหันตัวเดินไปที่อ่างอาบน้ำ ก้าวช้าๆ ลงในคลื่นน้ำที่ใสแจ๋ว
เหมียวอี้หันตัวเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ไม่ออกมาไม่ได้หรอก กลัวว่าถ้าอยู่ต่อแล้วตัวเองจะอดใจไม่ไหว แต่เป็นแบบนั้นจริงๆ ตัวเองก็จะดูไม่เอาไหนเกินไป เพิ่งจะโดนอีกฝ่ายซ้อมจนสภาพเป็นแบบนี้ จะทำเรื่องไม่เอาไหนแบบนั้นได้อย่างไร
“หยุด! จะไปไหน?” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาตะคอก
เหมียวอี้หันหลังให้พร้อมตอบว่า “รอเจ้าอาบน้ำเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
“อย่าไปไหน เฝ้าอยู่ที่นี่ ช่วงนี้ข้าชอบรู้สึกว่ามีคนแอบดูข้าอาบน้ำ” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างคับแค้นใจ
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถลึงตาทันที ล้อเล่นอะไรกัน มีคนแอบมองเมียตัวเองอาบน้ำ แบบนี้ไม่เกินไปเหรอ? เขาพลันหันตัวมา ถามว่า “มันเป็นใคร?”
“รอข้าอาบน้ำเสร็จก่อนแล้วค่อยบอก” อวิ๋นจือชิวยืนอยู่ใต้ปลาหลี่ที่เงยหน้ากระดกหาง ด้านบนมีน้ำพ่นใส่ศีรษะนางพอดี เริ่มชโลมผมงามจนเปียกลงมาทั้งร่าง ทั้งตัวถูกครอบด้วยระลอกคลื่นน้ำบางๆ หนึ่งชั้น
สองมือที่ปิดหน้าอกคลายออกแล้ว นางยกมือเสยผมงามที่เปียกจนปิดบังใบหน้าไปไว้ข้างหลัง แล้วเงยหน้ารับน้ำ เรือนร่างอ่อนช้อยที่อยู่ใต้เสาน้ำบิดขยับทำท่าทางที่ทำให้คนเห็นประหลาดใจ เอวที่อ่อนนุ่มราวกับงู ประกอบกับคลื่นน้ำที่ไหลแผ่คลุมร่างงาม ให้ความรู้สึกเย้ายวนใจราวกับมนต์มายากระตุ้นอารมณ์ปรารถนา
ในขณะที่รู้สึกผ่อนคลายยามน้ำอาบน้ำ ริมฝีปากสีแดงเรื่อของอวิ๋นจือชิวขยับเล็กน้อยเหมือนพึมพำอะไรบางอย่าง เสียงเล็กๆ ที่กรอกเข้าหูเหมียวอี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเพียงว่าน้ำเลือดในร่างกายไหลเวียนเร็วขึ้น จนทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง
เหมียวอี้กำลังบอกตัวเองในใจ ว่าห้ามทำตัวไม่เอาไหน แต่ดวงตายังจ้องเรือนร่างอ่อนช้อยที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ใต้เสาน้ำนั่น ไม่ยอมออกไปไหน
สุดท้ายก็รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก กระโดดลงไปในอ่างน้ำเช่นกัน ลงไปอยู่ในน้ำกับอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวรีบใช้สองมือปิดหน้าอก หนีบต้นขาขาวหมดจดเย้ายวนใจเอาไว้แน่น พลางจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าระวังตัว “หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวอี้ยื่นมือไปด้านข้าง คว้าผ้าขนหนูในถาดข้างอ่างมาไว้ในมือ แล้วยิ้มแห้งๆ พลางบอกว่า “ฮูหยิน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่ ให้ข้าช่วยปรนนิบัติอาบน้ำให้เจ้าแล้วกัน”
“ไม่ต้อง ข้ามีมือ ไม่ต้องให้เจ้าช่วยปรนนิบัติหรอก!” อวิ๋นจือชิวบิดร่างกาย อยากจะหลบเลี่ยงเขา
ประมุขปราสาทเหมียวจะเกรงใจได้อย่างไร โยนผ้าขนหนูในมือทิ้ง ช้อนอุ้มนางขึ้นมาโดยตรง อุ้มออกมาจากเสาน้ำแล้ว
“อ๊า! คนบ้า!” อวิ๋นจือชิวร้องโวยวายพลางดิ้นรน “หนิวเอ้อร์ เจ้าปล่อยข้านะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ไอ้คนบ้า เจ้าคิดจะรังแกข้า!”
“เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ถ้าไม่รังแกเจ้าแล้วจะไปรังแกใคร!” ท่านขุนนางเหมียวหัวเราะเริงร่าไม่ยอมปล่อย อุ้มไปวางไว้ตรงขอบอ่างโดยตรง แล้วโถมทับหญิงงามล้ำค่าที่ขาวนุ่มเหมือนก้อนแป้งอย่างไม่ปรานี ลงโทษอย่างบ้าคลั่ง…
หลังจากพายุฝนกระหน่ำเสร็จแล้ว เสียงน้ำที่ไหลอยู่ในอ่างยังคงดังไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน
ที่ขอบอ่าง ท่านขุนนางเหมียวที่เปลือยล่อนจ้อนกำลังนอนหลับตาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย อวิ๋นจือชิวที่ร่างเปลือยเปล่านอนหมอบอยู่บนตัวเขา น่องขาเล็กที่ขาวดุจหยกกำลังกระดกแกว่งไปมา ในมือถือสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่ง ริมฝีปากแดงเรื่อกำลังเป่าหมอกประกายดาวใส่หน้าเขา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”
เหมียวอี้ใช้สองมือลูบแผ่นหลังที่เกลี้ยงเกลาของนาง “เจ้าลงมือได้โหดเหี้ยมมาก!”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าปรานีข้าเสียที่ไหนล่ะ ไม่รู้จักถนอมข้าเลยสักนิด”
“แบบนี้เรียกว่าใช้บทลงโทษเล็กน้อย นี่คือผลของการไม่เชื่อฟัง!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างลำพองใจ
“หน้าไม่อาย! อย่าเอาเรื่องน่าไม่อายมาโอ้อวดบารมีหน่อยเลย!” อวิ๋นจือชิวด่า แล้วถามด้วยน้ำเสียงละมุนอีกว่า “ภายนอกมองไม่เห็นแผลแล้ว ยังเจ็บอยู่เหรอ?”
“แผลเล็กแค่นี้ฟันไม่ร่วงหรอก บาดเจ็บหนักกว่านี้ก็เคยมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ไม่เท่าไรหรอก ไม่เจ็บแล้ว!” พอเหมียวอี้พูดถึงตรงนี้ ก็เปลี่ยนคำถาม “เกิดเรื่องอะไรกับเยียนเป่ยหงกันแน่?”
“ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ตายหรอก แค่โดนขังชั่วคราว ไม่มีอันตรายอะไรแน่นอน เพียงแต่ถ้าอยากจะช่วยออกมาก็ยุ่งยากนิดหน่อย หนิวเอ้อร์ มาพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ ทำลายบรรยากาศไปหน่อยรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินว่าไม่มีอันตรายใดๆ เหมียวอี้ก็วางใจแล้ว แต่ยังขมวดคิ้วถามอีกว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามีคนแอบดูเจ้าอาบน้ำ มีเรื่องแบบนี้จริงเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวที่นอนหมอบบนตัวเขาพยักหน้าตอบอย่างจริงจังว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มักจะแอบดูข้าอาบน้ำอยู่ข้างๆ เดี๋ยวเจ้าช่วยไปลงโทษพวกนางสองคนให้หนักๆ เลยนะ”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง เข้าใจในทันทีว่าตัวเองโดนปั่นหัว “อ๊า” เสียงร้องอุทานดังขึ้น จู่ๆ เขาก็อุ้มนาง แล้วทั้งสองก็ล้มลงไปในอ่างน้ำพร้อมกัน
ตอนที่โผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำอีกครั้ง อวิ๋นจือชิวก็กอดเขาไว้แน่น คลอเคลียข้างหูเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ชาตินี้ได้แต่งงานกับเจ้า ต่อให้ตายข้าก็ยินดี!”
ตอนที่เดินออกมาอีกครั้ง ทั้งสองก็ใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวเหมือนกัน ปล่อยผมยาวสยายไปข้างหลังเหมือนกัน จูงมือกันเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ กลับมากลมเกลียวกันเหมือนเดิมแล้ว
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า สามีภรรยาเริ่มทะเลาะกันที่หัวเตียง แล้วคืนดีกันที่ปลายเตียง
เห็นสีของท้องฟ้าใกล้จะค่ำแล้ว นึกไม่ถึงว่าทั้งสองอยู่ในห้องอาบน้ำนานขนาดนั้น อวิ๋นจือชิวมองค้อนเหมียวอี้แวบหนึ่ง
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ อย่างเข้าใจความหมาย
อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบอกว่า “เชียนเอ๋อร์ นายท่านจากบ้านไปนานเพิ่งจะกลับมา คืนนี้จัดอาหารให้เต็มที่ เลี้ยงรับรองนายท่าน เสวี่ยเอ๋อร์ เตรียมเสร็จแล้วก็ไปเชิญประมุขตำหนักฉินมาด้วย ข้าเชิญนางมารับประทานอาหารร่วมกัน”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง
สองสามีภรรยาแต่งหน้าทำผมย่างเรียบง่าย อะไรไม่จำเป็นก็ตัดออก หลังจากม้วนม้วนผมขึ้นอย่างง่ายๆ เสร็จ โต๊ะอาหารก็เตรียมเสร็จแล้ว ฉินเวยเวยมาถึงแล้วเช่นกัน
เมื่อแขกและเจ้าบ้านพบหน้ากัน ทั้งสามก็เหลือบมองเครื่องแต่งกายของกันและกันโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาพบว่าตัวเองสวมชุดสีขาวเหมือนกันหมด
หลังจากเหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ทักทายอย่างร่าเริง “เวยเวยมาแล้วเหรอ”
ส่วนฉินเวยเวยก็คำนับทักทาย “คำนับประมุขปราสาท คำนับพี่สาวค่ะ”
“พี่สาว?” เหมียวอี้ตะลึงงัน หันหน้าไปมองอวิ๋นจือชิว ทำสีหน้าฉงนใจ เหมือนกำลังถามว่า นางใช้คำว่า ‘พี่สาว’ เรียกเจ้าเหรอ?
“น้องสาวมาแล้วเหรอ! บอกแล้วไงว่าเจ้าไม่ต้องทำตามกฎของตำหนักหลัง มาที่นี่ไม่ต้องจำกัดตัวเองขนาดนั้น คิดเสียว่ามาบ้านตัวเอง มาสิ มานั่งตรงนี้!” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนม เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาจูงมือฉินเวยเวย จูงมือนางมานั่งที่โต๊ะ
ทำแบบนี้ค่อนข้างเสียมารยาท ฉินเวยเวยมองประมุขปราสาทเหมียวที่เป็นเจ้าบ้านของที่นี่อย่างกังวล เจ้าบ้านยังไม่ทันนั่ง ถ้านางนั่งก่อนจะไม่เหมาะสม มิหนำซ้ำยังเป็นผู้บังคับบัญชาของนางอีก
885 ทางหนีทีไล่สุดท้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้กลับไม่ถือสา เขาเองก็ถือว่าคบหาเป็นเพื่อนกับฉินเวยเวยมาหลายปี เพียงยิ้มบางๆ แล้วสุดท้ายก็เดินเข้ามานั่ง ชี้ไปยังทั้งสอง แล้วถามต่อว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ยังไงกัน?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รินสุราให้ทั้งสาม ฉินเวยเวยกล่าวขอบคุณ
อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาอยากจะถามอะไร จึงเล่าสถานการณ์ให้ฟัง บอกว่านางกับฉินเวยเวยถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน ตอนที่เหมียวอี้ไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวมักจะเรียกนางมาคุยเล่นในตำหนัก เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ทั้งสองก็กลายเป็นพี่น้องกันแล้ว ตอนที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย อวิ๋นจือชิวก็จะเรียกฉินเวยเวยว่าน้องสาว ส่วนฉินเวยเวยก็จะนับถืออวิ๋นจือชิวเป็นพี่สาว
แน่นอนว่าในช่วงแรกฉินเวยเวยเอ่ยปากลำบากมาก เพราะทั้งสองฝ่ายมีฐานะแต่งต่างกัน แต่ภายใต้การริเริ่มของอวิ๋นจือชิว ทำแบบนี้ไม่กี่ร้อยปีก็ชินแล้ว เวลาไม่มีคนนอกก็จะเรียกอวิ๋นจือชิวว่าพี่สาว ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่อยู่ บางครั้งฉินเวยเวยถึงกับโดนรั้งให้อยู่ค้างคืนกับอวิ๋นจือชิวด้วยซ้ำ การที่ทั้งสองนอนร่วมเตียงและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้เหมียวอี้กลับมาแล้ว นางย่อมไม่สะดวกจะอยู่ค้างคืนด้วยอีก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เหมียวอี้เข้าใจในทันที เขาเหลือบมองอวิ๋นจือชิวหลายครั้ง พอจะเข้าใจวิธีการของนางอยู่บ้าง นางออกจากทะเลทรายม่านเมฆามาอยู่ที่แดนเซียน ประกอบกับที่เหมียวอี้เพิ่งเลื่อนขั้นจากประมุขสองตำหนักเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน แม้แต่พวกเหยียนซิวก็ยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นจือชิวเลย ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินของประมุขปราสาท ยังต่างกับประมุขปราสาทตัวจริง สานสัมพันธ์กับฉินเวยเวยเอาไว้เพื่อผูกมัดให้หยางชิ่งคุมกำลังพลเบื้องล่างให้มั่นคง ก็คือเรื่องที่จำเป็นมาก
ครั้งแรกที่ไปถ้ำคล้อยบูรพา เขาก็โดนคนกลั่นแกล้ง ตอนเลื่อนขั้นเป็นประมุขเขาเจิ้นไห่ก็โดนคนกลั่นแกล้ง พอเลื่อนขั้นเป็นประมุขจวนเมฆธาราก็โดนคนกลั่นแกล้งอีก ตอนเลื่อนขั้นเป็นประมุขสองตำหนักก้ยังมีคนมาท้าทาย พอมาที่นี่…คนส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นกำลังพลเก่าของเฉิงอ้าวฟาง เฉิงอ้าวฟางโดนแย่งอาณาเขตไปหนึ่งปราสาท ในใจนางจะต้องไม่ปลื้มแน่นอน ถ้าไม่มีใครก่อกวนก็แปลกแล้ว
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ใช้พลังความคิดไปมากเท่าไรเพื่อคุมปราสาทดำเนินสุริยันตอนที่เขาไม่อยู่ ยิ่งอาณาเขตใหญ่โต ปัญหาก็ยิ่งเยอะ สามารถอาศัยตำแหน่งฮูหยินนั่งออกคำสั่งอยู่บนบัลลังก์ประมุขปราสาทนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นทางการ จึงพูดอะไรไม่สะดวก ต้องรับแรงกดดันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง จะเห็นได้ช่วงแรกลำบากขนาดไหน
พอนึกถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ตอนที่เขานำเครื่องประดับไปมอบให้ปี้เยว่ฮูหยิน ใครจะไปคิดว่าจะโดนปีศาจโลหิตขังไว้สามร้อยกว่าปี…เขาหันกลับมามองฉินเวยเวย แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เวลาสั้นๆ เพียงสามร้อยปี จู่ๆ ก็บรรลุระดับบงกชแดงแล้วเหรอ เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
“เป็นบุญคุณของฮูหยิน ที่มอบเคล็ดวิชาฝึกตนดีๆ ให้ข้า” ฉินเวยเวยกล่าวอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
“นี่!” อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของฉินเวยเวย พลางยิ้มอย่างสดใสราวกับดอกไม้ “บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนนอกห้ามเรียกฮูหยิน ดื่มสุราทำโทษ!”
ฉินเวยเวยทำตามเพื่อแสดงความเคารพ ทำได้เพียงดื่มรวดเดียวหมดจอก
ตอนแรกนางยังสำรวมอยู่บ้าง ตอนหลังพอเห็นเหมียวอี้ยังคงทำตัวสบายๆ บนใบหน้าก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา พูดคุยกับอวิ๋นจือชิวอย่างเบิกบานใจ ทั้งสองเรียกขานกันว่าพี่น้อง พูดคุยไปหัวเราะไป มองออกเลยว่ายามปกติคบหาจนสนิทสนมกันจริงๆ
ในทางตรงกันข้าม เหมียวอี้ที่รู้จักฉินเวยเวยมาหลายปี แทบจะไม่เคยเห็นฉินเวยเวยพูดคุยอย่างเบิกบานใจแบบนี้เลย ภาพฉินเวยเวยที่อยู่ในภาพความทรงจำของเขามาตลอด ก็คือผู้หญิงสวยที่เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ครั้งแรกที่เจอฉินเวยเวย นางก็ทำสีหน้าเย็นชาแล้ว น้อยครั้งที่จะเห็นใบหน้ายิ้มแย้ม
ครั้งนี้ได้เห็นฉินเวยเวยที่อยู่ภายใต้แสงไฟยิ้มด้วยท่าทางพราวเสน่ห์ ยิ้มเห็นฟันขาวและเผยดวงตาอันสดใส ช่างน่าประทับใจ!
ทั้งสามกินดื่มและคุยเล่นกัน อาหารมื้อนี้สุขสันต์มาก ตอนที่กำลังจะแยกย้าย อวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเชิญอีก “เมื่อก่อนพวกเจ้าสองคนเล่นหมากล้อมด้วยกันบ่อยไม่ใช่เหรอ? หนิวเอ้อร์เพิ่งจะกลับมา น้องสาวเล่นกับเขาให้หายอยากสักหน่อยสิ”
เมื่อพูดถึงเรื่องเล่นหมากล้อม เหมียวอี้ก็เหมือนโดนยั่วให้หิว เพราะไม่ได้แตะต้องมาหลายปีแล้ว เขาถูไม้ถูมือทันที “เวยเวย เรามาประลองกันสักหน่อยมั้ย?”
ฉินเวยเวยหันไปมองสีของท้องฟ้าด้านนอก แล้วตอบอย่างลังเล “ดูจากสีของท้องฟ้า เวลาน่าจะใกล้ค่ำแล้ว พี่สาวอยู่เล่นกับนายท่านดีกว่าค่ะ”
อวิ๋นจือชิวยักไหล่สองข้าง “ข้าก็อยากจะเล่นกับเขานะ แต่ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นน่ะสิ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถามอย่างฉงนใจนิดหน่อย “ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนแรกที่เจ้าเห็นพวกเราเล่นหมากล้อมกัน เจ้ายังบอกว่าวันหลังจะเล่นแข่งกับข้าอยู่เลยนะ”
อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแนมว่า “ตอนนั้นข้าล้อเจ้าเล่น ถ้าข้าเล่นเป็นคงเล่นกับเจ้าไปนานแล้ว เจ้าเห็นข้าเคยเล่นหมากล้อมกับเจ้ามั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ลองคิดไปคิดมา ก็พบว่าไม่เคยเล่นด้วยกันจริงๆ จึงส่ายหน้าทันที “งั้นเจ้าก็ขาดความบันเทิงไปแล้วหนึ่งอย่าง เวยเวย เรามาประลองกันสักหน่อยเถอะ ให้นางคอยดูไป”
ในเมื่อประมุขปราสาทเอ่ยปากแล้ว ฉินเวยเวยก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทีแรกก็อยากปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวเล่นหมากล้อมไม่เป็น นางจึงมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
อวิ๋นจือชิวจูงมือนางไว้อีกครั้ง “ไปกันๆ อยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจ ไม่อย่างนั้นพี่สาวจะโกรธแล้วนะ”
จูงมือเดินไปตลอดทาง ไม่ได้พาไปที่ไหน แต่พาฉินเวยเวยเข้ามาในห้องนอนของนางกับเหมียวอี้ แล้วให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จัดโต๊ะเล่นหมากล้อมให้เรียบร้อย ถึงอย่างไรในห้องก็มีพื้นที่ว่างเยอะ
ฉินเวยเวยค่อนข้างอึดอัดกับสิ่งนี้ เพราะนี่คือสถานที่หลับนอนของสามีภรรยา จึงถามอย่างกังวลว่า “พี่สาว ไปเล่นหมาล้อมข้างนอกกันดีมั้ยคะ?”
เหมียวอี้ที่เดินตามหลังมาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน คิดในใจว่า โถ่ ฮูหยิน นี่มันสถานที่ส่วนตัวของเราสองคนนะ ทำไมเจ้าพาคนอื่นมาในห้องนอนของพวกเราล่ะ
“เกรงใจอะไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยมาเสียหน่อย กลัวข้าจะจับเจ้ากินรึไง เล่นที่นี่แหละ” อวิ๋นจือชิวตัดสินใจเอง กดนางให้นั่งลงไป
ในเมื่ออวิ๋นจือชิวยังไม่ถือสา เหมียวอี้ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว เมื่อเห็นกระดานหมอกล้อมก็ตาลุกวาว หย่อนก้นนั่งลง แล้วกวักมือบอก “เริ่มเลยๆ”
ฉินเวยเวยทำได้เพียงปฏิบัติตาม เริ่มลงหมากแข่งกับเหมียวอี้ทีละตัว
อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนไม่รู้อะไรเลย นั่งดูเอาสนุกอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ขอคำชี้แนะวิธีการลงหมาก
เมื่อเห็นว่านางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะลงหมากยังไง ฉินเวยเวยก็แอบโล่งใจ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะลงหมากต่อไปยังไง
กลับเป็นเหมียวอี้ที่คอยพูดแนะนำอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังรำคาญที่อวิ๋นจือชิวโง่ในด้านนี้มากเกินไป ประกอบกับเวลาที่สมาธิจมดิ่งอยู่กับการ ‘โจมตี’ เจ้าบ้านี่ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน จ้องแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ราวกับว่าถ้าแพ้แล้วจะร่วงหล่นลงสู่เหวลึก! ดังนั้นจึงทนรำคาญไม่ไหว บอกให้อวิ๋นจือชิวหุบปากเสียเลย!
อวิ๋นจือชิวก็เลยไปนั่งอยู่ข้างๆ นั่งเอามือเท้าคางพลางมองดูทั้งสองคนเล่นกัน ทั้งยังให้คนที่เล่นหมากล้อมเป็นอย่างเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปด้วย
แต่เมื่อไรที่เห็นฉินเวยเวยพยายามใช้ความคิดเล่นเพื่อให้เหมียวอี้ชนะ อวิ๋นจือชิวก็จะตาเป็นประกายเสมอ นางย้ายสายตาออกจากกระดานหมอกล้อมอย่างแนบเนียน คอยสังเกตปฏิกิริยาของฉินเวยเวยอย่างเงียบๆ เมื่อไรที่เห็นฉินเวยเวยสื่ออารมณ์ที่แท้จริงออกมาทางสายตา มองเหมียวอี้อย่างอ่อนโยน อวิ๋นจือชิวก็จะแอบมองเหมียวอี้ที่ก้มหน้าเล่นหมากล้อมอย่างดื้อดึง
เมื่อเล่นได้ครึ่งทาง เห็นว่าน้ำชาหมดกาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หาข้ออ้างถือกาน้ำชาออกไป
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกรีบเข้ามารับกาน้ำชาเปล่าไปเติมแล้วจะถือเข้าไป แต่กลับโดนอวิ๋นจือชิวโบกมือห้ามไว้ “พวกเขากำลังเล่นกันสนุกๆ อย่าไปรบกวนเลย พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
เมื่ออยู่ที่ตำหนักหลัง คำพูดของนางมีผลมากกว่าคำพูดของเหมียวอี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีนางก็เป็นใหญ่ที่สุดในตำหนักหลังแห่งนี้อยู่แล้ว ประกอบกับที่นางกล้าซ้อมประมุขปราสาท แม้แต่ประมุขปราสาทยังโดนนางซ้อมจนขดตัวที่มุมผนัง หญิงรับใช้ทั้งสองย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง
ทั้งสองนำผ้าคลุมกันหนาวมาคลุมไหล่ให้อวิ๋นจือชิว แล้วเดินตามนางไปที่นอกประตูตำหนักใหญ่ ทำให้นางในสองคนที่เฝ้าเวรยามจุดตะเกียงทันที
อวิ๋นจือชิวโบกมือให้พวกนางถอยไป แล้วพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินเล่นช้าๆ อยู่ในตำหนักหลัง เดินชมแสงจันทร์สีเงิน เดินมาถึงหน้าศาลาในสวนดอกไม้ รอบข้างเงียบสงัด นางเงยหน้ามองพระจันทร์นานมาก
เมื่อเห็นนางไม่ขยับไปไหนเสียที เชียนเอ๋อร์ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ?”
อวิ๋นจือชิวที่เงยหน้ามองพระจันทร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “นายท่านยังยืนหยัดตั้งมั่นที่พิภพเล็กไม่ได้ คนที่สามารถเล่นงานให้เขาถึงตายได้มีเยอะเกินไป อนาคตไม่แน่นอน จะดีจะร้ายก็ยากจะคาดเดา ในฐานะภรรยาที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร…”
หญิงรับใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงทอดถอนใจแบบนี้
พวกนางยืนนิ่งๆ อยู่นอกศาลานานมาก แล้วก็เดินเล่นที่ตำหนักหลังอีกพักหนึ่ง ถือโอกาสตรวจดูที่พักของเหล่านางในไปด้วย พอดึกมากแล้ว นางถึงได้ถือกาน้ำชากลับมา รินเติมน้ำชาใส่ถ้วยให้ทั้งสองที่กำลังเล่นหมากล้อม แล้วนั่งเท้าคางมองดูอยู่ข้างๆ ต่อไป
จนกระทั่งฉินเวยเวยรู้สึกว่าดึกเกินไปแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ การแข่งหมากล้อมจึงจบลง หลังจากส่งฉินเวยเวยกลับไป อวิ๋นจือชิวก็หัวเราะคิกคักเดินกลับเข้ามา “หนิวเอ้อร์ วันนี้เล่นหมากล้อมเต็มอิ่มมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้มองไปที่กระดานหมากล้อมอย่างอิ่มใจทันที นั่งลงข้างโต๊ะ ยังคงหวนคิดถึงความสนุก หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “เจ้าอย่าพูดเลย เล่นหมากล้อมกับฉินเวยเวยถึงอกถึงใจที่สุดแล้ว”
“เต็มอิ่มก็ดีแล้ว! ผ่านไปหลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ ถ้าวันนี้ให้ท่านสามีฝึกตนอีก ก็จะฟังดูไร้เหตุผลไปหน่อย รีบพักผ่อนเถอะค่ะ!” อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จูงเขาไปข้างเตียง ปรนนิบัติถอดเสื้อผ้าให้เขา นำเสื้อผ้าไปแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อข้างๆ แล้วก็เดินกลับมานั่งยองๆ ข้างเตียง ยกเท้าของเขาไว้บนหัวเข่าตัวเอง ถอดรองเท้าและถุงเท้าให้เขา แล้วยกขาสองข้างของเขาวางไว้บนเตียง
จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง แล้วสวมเสื้อกล้ามชั้นในเดินกลับมา แต่กลับพบว่าเหมียวอี้กำลังเอามือหนุนศีรษะพลางหรี่ตามองดูเรือนร่างวับๆ แวมๆ ของนาง นางก็หน้าแดงทันที ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเขินอาย แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขา “มองอะไรของเจ้า! วันนี้เจ้ารังแกข้าพอแล้ว ห้ามคิดอะไรเหลวไหลอีก ไปนอนไป!”
“ใครว่ารังแกพอแล้วล่ะ!” เหมียวอี้พลันยืนขึ้น โน้มตัวนางกดลงบนเตียง ทำให้มีเสียงร้องอุทานอยู่พักหนึ่ง และไม่นานก็ถอดเสื้อผ้านางออกจนหมด
แต่ครั้งนี้ค่อยๆ ลิ้มรสชาติอย่างพิถีพิถัน แบบนี้ได้รสชาติไปอีกแบบ แล้วค่อยๆ พัฒนากลายเป็นความดุเดือดราวกับพายุฝนคลั่ง…
หลังจากนอนกอดกันเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็พลันหัวเราะคิกคัก “หนิวเอ้อร์ ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ฉินเวยเวยก็เคยนอนบนเตียงนี้เหมือนกันนะ เจ้ามีความคิดอะไรบ้างรึเปล่า?”
อยากจะทดสอบข้าเหรอ! เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิดว่า “ความคิดอะไร?”
อวิ๋นจือชิวรู้จักอ่านสถานการณ์ จึงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ตอนนี้เจ้าคิดจะเตรียมพิภพใหญ่ไว้เป็นทางหนีทีไล่รึเปล่า หลังจากปักหลักที่พิภพใหญ่ได้แล้ว ก็ค่อยให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายเหรอ?”
เหมียวอี้ไถลมือไปตรงหน้าอกของนาง “มีแค่ฮูหยินที่รู้ใจข้า!”
“งั้นหลังจากที่พวกเราไปพิภพใหญ่แล้ว พิภพเล็กก็ต้องมีคนคอยดูแลจัดการให้สิ? เจ้าคิดว่าให้ฉินเวยเวยช่วยคุมให้เจ้าดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้หยุดขยับมือทันที “เจ้าเอาแต่คิดเรื่องพิภพใหญ่ทำไม? ที่นั่นอันตรายกว่าที่นี่อีก ถ้าเจ้าไปด้วยข้าไม่วางใจ!”
อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก เอามือยันร่างกายท่อนบนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด แล้วจ้องเขาพร้อมถามว่า “แล้วถ้าเจ้าไปคนเดียวข้าจะวางใจได้เหรอ? หรือเจ้าจะทิ้งเมียไว้แล้วหนีไปอีก? ข้าจะบอกเอาไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้ากล้าทำแบบนั้นอีก ข้าจะสู้กับเจ้าสุดชีวิตเลย อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นนะ!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว กลับสู่ประเด็นสนทนาก่อนหน้านี้ดีกว่า “ให้ฉินเวยเวยคุมคงไม่เหมาะมั้ง? ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือความสามารถก็ไม่ไหวเลย อย่าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของพวกเจ้าแล้ว…ไม่เหมาะๆ ไม่เหมาะจริงๆ เรื่องนี้ข้าไม่รับปาก!”
อวิ๋นจือชิวนอนหมอบบนหน้าอกเขาเสียเลย จ้องหน้าพร้อมบอกว่า “ใช้เวลาด้วยกันมาหลายปี ข้าพบว่าหยางชิ่งเป็นคนมีความสามารถแบบที่หาได้ยากจริงๆ เจ้ารู้รึเปล่าว่าตอนที่เจ้าเพิ่งไปแล้วข้าติดต่อเจ้าไม่ได้ ที่ปราสาทดำเนินสุริยันมีสถานการณ์เป็นอย่างไร เฉิงอ้าวฟางมีเส้นสายที่ยอดเขาหยกนครหลวงดีมาก ที่นี่มีแต่ลูกน้องเก่าของนาง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะฆ่าคนในอาณาเขตตัวเองตายหมด สรุปก็คือเฉิงอ้าวฟางไม่ได้มาปะทะตรงๆ แค่เล่นสกปรกเฉยๆ อยากจะกดดันให้พวกเราออกไปและทวงอาณาเขตนี้คืน ตอนนั้นข้าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของที่นี่ ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน แล้วข้าก็เป็นฮูหยินของประมุขปราสาท ไม่สามารถระดมกำลังพลของปราสาทดำเนินสุริยันได้อย่างเต็มที่ เป็นหยางชิ่งที่ไปงัดข้อกับเฉิงอ้าวฟาง จัดการจนเฉิงอ้าวฟางทำอะไรไม่ได้ วิธีการขั้นตอนของเขาทำให้ข้าทึ่งมากจริงๆ ถ้ามีเขาคอยช่วยฉินเวยเวย แล้วเหลือผู้ช่วยไว้อีกคน ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไร อาศัยความสามารถอย่างหยางชิ่ง พวกเขาสามารถรับมือได้แน่นอน ขอแค่หยางชิ่งสามารถประคับประคองไว้จนกว่าพวกเราจะมีความสามารถเพียงพอให้กลับมาเผชิญสถานการณ์ที่พิภพเล็ก ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยกลับมาคุมพิภพเล็กก็ได้ ถึงตอนนั้นพิภพเล็กถึงจะนับว่าเป็นทางหนีทีไล่ของเราได้อย่างแท้จริงๆ ดังนั้นพวกเราต้องรักษาอาณาเขตในปัจจุบันนี้ไว้ ถ้าไม่จนใจจริงๆ ก็จะทิ้งไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ต่อไปไม่ได้ พวกเราก็ยังกลับมาอยู่ที่นี่ต่อได้ อย่าไปปักหลักที่ทะเลดาวนักษัตร ข้าไม่ค่อยวางใจปีศาจเฒ่าสี่คนนั้นเท่าไร ต้องควบคุมไว้บ้าง ส่วนเรื่องที่สำคัญรองลงมา ก็คือต้องซื้อใจคนอย่างหยางชิ่งไว้ด้วย ในภายหลังถ้าพาไปพิภพใหญ่ด้วยจะต้องใช้งานเขาได้แน่นอน”
เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดทุกอย่าง! แต่คนเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งควบคุมยาก พวกเรากำลังใช้ประโยชน์หยางชิ่ง หยางชิ่งก็กำลังใช้ประโยชน์พวกเราเหมือนกัน ถ้าอยากจะผูกเขาไว้กับพวกเราโดยสิ้นเชิง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ขอแค่มีโอกาส เขาจะต้องเตรียมแผนไว้สำหรับตัวเองแน่นอน คงไม่เอาชีวิตไปทิ้งเพื่อคนอื่นหรอก ดังนั้นถ้าอยากรับมือกับหยางชิ่ง ก็ต้องทำให้เขามึนงงมืดแปดด้าน ถ้าเขาจับต้นสายปลายเหตุได้ขึ้นมา สมองเจ้านั่นไม่ใช่เล่นๆ ถ้าเจ้าจะให้เขาช่วยฉินเวยเวย ไม่สู้ให้เขารักษาการณ์โดยตรงไปเลยล่ะ เจ้าคิดว่าตัวเองเรียกฉินเวยเวยว่าน้องสาวแล้วจะคุมหยางชิ่งได้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตบหน้าอกเขา แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านสามีวางใจเถอะ ข้ามีวิธีการทำให้หยางชิ่งหมอบราบคาบแก้วอยู่แล้ว!”
886 เห็นแก่ตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วิธีการอะไร?” เหมียวอี้สงสัยใคร่รู้
แต่ช่วยไม่ได้ที่อวิ๋นจือชิวทำท่าทางเหมือนเก็บความลับสุดยอด ไม่ยอมบอกกล่าว พลิกตัวนอนหนุนแขนเขา ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มทั้งสองคน กอดที่หน้าอดของเขา แล้วบอกเพียงว่า “ดึกมากแล้ว นอนเถอะ!”
การได้กอดผู้ชายของตัวเองแล้วนอนหลับอย่างอุ่นใจ คือสิ่งที่นางโปรดปรานที่สุด เมื่อตัวเขาอยู่ในอ้อมกอดตัวเองจริงๆ ถึงจะรู้สึกอุ่นใจ หัวใจที่กังวลมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็ปล่อยวางได้แล้ว ในที่สุดก็ได้ได้พักผ่อนอย่างไร้กังวล ไม่อย่างนั้นก็มักจะโดนฝันร้ายพัวพันเสมอ บางครั้งถึงขนาดเหงื่อกาฬออกทั่วตัวยามที่ฝึกตนด้วยซ้ำ
“อย่าทำแบบนี้สิ! บอกข้ามาว่าเรื่องเยียนเป่ยหงเป็นยังไงกันแน่ ถ้าเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน ในใจข้าก็จะกังวลเรื่องนี้อยู่ตลอด” เหมียวอี้พูดพร้อมผลักหัวนางเบาๆ
“เยียนเป่ยหง…” อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้นมองเขา แล้วถอนหายใจ “หนิวเอ้อร์ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้ความลับบนตัวเยียนเป่ยหงมากแค่ไหนกันแน่?”
เหมียวอี้ตะลึงงันทันที เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ทุกคนล้วนมีความลับ เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะไปเสาะหารากเหง้า แต่บนตัวเขามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงๆ…”
เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เยียนเป่ยหงฝึกตนได้เร็วมาก จากนั้นก็ยากจะผ่านด่านทัณฑ์มารไปได้ ตนจึงช่วยไปคลี่คลายสถานการณ์ เล่าให้นางฟังอย่างคร่าวๆ
“ใช่แล้ว ความลับที่เขาไม่ยอมบอกเจ้า ถูกตาเฒ่าเฉียวจับได้แล้ว เจารู้รึเปล่าว่าเยียนเป่ยหงฝึกเคล็ดวิชาอะไร?”
“เคล็ดวิชาอะไร?”
“เขาฝึกตนโดยไม่อาศัยลูกแก้วพลังปรารถนา ไม่อาศัยพวกยาแก่นเซียน วิชาที่เขาฝึกเป็นวิชามารที่แปลกประหลาดมาก ยึดวรยุทธ์ของนักพรตคนอื่นมาเป็นของตัวเองโดยตรง หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาดูดกลืนวรยุทธ์ของนักพรตคนอื่นมาเป็นของตัวเอง วิธีการฝึกตนแบบนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ!”
“ดูดกลืนวรยุทธ์ของนักพรตคนอื่นเหรอ?” เหมียวอี้ได้ยินแล้วหวาดหวั่นพรั่นพรึง ในวินาทีนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เขานึกย้อนไปถึงตอนการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ภาพที่เยียนเป่ยหงทำอะไรบางอย่างกับศิษย์สำนักศรีเมฆาอย่างลับๆ ล่อๆ รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลัง
“ใช่แล้ว! ตาเฒ่าเฉียวจับกุมตัวเขาทันที บังคับให้เขามอบเคล็ดวิชาฝึกตน แต่เยียนเป่ยหงยอมตายแทนที่จะทำตาม ถึงได้ถูกจับขังที่นภาจอมมาร ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันระดับนั้น เขาคงไม่มีชีวิตรอดหรอก! หลังจากข้าไปขอร้องให้ท่านปู่ปล่อยเขา และได้ทราบเรื่องแล้ว ตาเฒ่าเฉียวก็โน้มน้าวข้าว่าอย่าคิดมากอีก เยียนเป่ยหงมีวิธีการฝึกตนที่น่ากลัวขนาดนี้ ท่านปู่ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน ที่ไม่ฆ่าเขาทิ้งก็เพราะกลัวข้าลำบากใจตอนอยู่ต่อหน้าเจ้า ใครขอร้องก็ไม่มีประโยชน์!”
เหมียวอี้กลับพูดต่ออย่างแน่วแน่ว่า “ข้าจะต้องคิดหาทางช่วยเขาออกมาให้ได้!”
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าลำบากใจทันที “ตอนนี้เจ้าไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับท่านปู่ข้า เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ”
“พี่ใหญ่เยียนเคยช่วยชีวิตข้า ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องช่วยชีวิต ขอเพียงข้ามีปัญหา ขอแค่ข้าเอ่ยปาก พี่ใหญ่เยียนก็ไม่เคยพูดพร่ำทำเพลง ต้องช่วยแน่นอน พุ่งเป้ามาที่จุดนี้อย่างเดียวก็พอ ตอนนี้เขาประสบปัญหาแล้ว ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?” เหมียวอี้พลิกตัว กดนางให้นอนอยู่ใต้ร่าง ง้างริมฝีปากนางออกแล้วจูบชิมรสอย่างลึกซึ้ง หลังจากถอนจูบ เขาก็จ้องมองดวงตางามของนางพร้อมบอกว่า “ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก แค่หาโอกาสเหมาะๆ แล้วเจ้าก็ไปนภาจอมมารเป็นเพื่อนข้าสักรอบ ช่วยข้าขอพบปู่เจ้าสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าข้าจะพบเขาไม่ได้ ข้าจะคุยกับปู่เจ้าต่อหน้า จะต้องได้คุยกันดีๆ แน่นอน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้าก็จะลองพยายามอย่างสุดความสามารถ”
แขนงามสองข้างยืนออกมาจากผ้าห่ม นางคล้องคอเขาเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยแววตาเปี่ยมรัก “ท่านสามีมีคำสั่ง หม่อมฉันจะกล้าฝ่าฝืนได้อย่างไร!” นางเป็นฝ้ายยื่นหน้าขึ้นไปจูบบนริมฝีปากเขา จากนั้นก็โน้มเขาลงมาอยู่ในอ้อมอกของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง “ท่านสามี ข้าอยากคลอดลูกให้ท่านค่ะ…”
บรรยากาศถูกทำลายทันที! เหมียวอี้เหงื่อแตก รีบแยกออกจากตัวนาง แล้วเตือนว่า “เถ้าแก่เนี้ย เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ไม่เหมาะจะมีลูกหรอก”
ไม่เครียดคงไม่ได้ คนในแดนฝึกตนมีพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ในตัว การมีพลังอิทธิฤทธิ์นี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน ไม่สร้างปัญหาความยุ่งยากได้ง่ายๆ เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน หลังจากมีอะไรกันแล้ว จะตั้งท้องหรือไม่ตั้งท้อง อำนาจตัดสินใจก็อยู่ในมือฝ่ายหญิง ถ้าผู้หญิงไม่อยากตั้งท้อง แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์จัดการนิดหน่อยก็ได้แล้ว แต่ถ้าอยากจะตั้งท้อง นั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
พอเห็นเขาทำท่าตกใจ อวิ๋นจือชิวก็หลุดขำ นางหัวเราะจนตัวสั่น นางเองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะจะมีลูก แต่เมื่อครู่นี้นางเพิ่งเกิดอารมณ์ซาบซึ้งใจ แค่พูดออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เท่านั้น หลังจากได้สติกลับมาก็รู้ว่าไม่เหมาะที่จะมีลูกตอนนี้ ถึงแม้นางจะอยากมีลูกกับเหมียวอี้สักคนหนึ่งมากก็ตาม
เมื่อเห็นนางทำเหมือนล้อเล่น เหมียวอี้ที่ไม่ได้เตรียมใจกับเรื่องนี้ก็โล่งอก “เถ้าแก่เนี้ย ข้าถามอะไรเจ้าเรื่องหนึ่งสิ เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เจ้าฝึก เป็นเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์รึเปล่า?”
“เคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์เหรอ? จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้าเพียงฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไม่ครบก็เท่านั้นเอง เพราะข้าออกจากนภาจอมมารมานานมากแล้ว ข้าฝึกแค่หนึ่งในสามของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ท่านปู่ถ่ายทอดให้ ส่วนพวกผู้ใหญ่นตระกูลข้าก็ฝึกสองในสามส่วน อย่างมากไม่เกินสามในสี่ส่วน คนที่ฝึกได้ทั้งหมดมีเพียงท่านปู่ของข้า จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณท่านสามีที่เก่งกาจ ถ้าไม่เพราะท่านสามีหาผลไม้เซียนมาได้เยอะขนาดนั้น ข้าจะไปบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เจ้าเข้าใจความหมายผิดแล้ว ความหมายที่ข้าจะสื่อก็คือ เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ท่านปู่ของเจ้าฝึกไม่สมบูรณ์หรือเปล่า ตอนหลังยังมีระดับที่สูงกว่านี้อีกหรือเปล่า?”
“ระดับที่สูงกว่านี้เหรอ? ไม่เคยได้ยินท่านปู่พูดถึงนะ” อวิ๋นจือชิวถามอย่างระแวง “ทำไมจู่ๆ เจ้าถามเรื่องนี้ล่ะ?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าไม่รู้น่ะสิ ที่รอบนี้ข้าโดนขังอยู่ที่พิภพใหญ่สามร้อยกว่าปี เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ตระกูลอวิ๋นของเจ้าฝึก”
“มันเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นจือชิวเอามือยันเรือนร่างท่อนบนที่เย้ายวนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเบิกตากว้างมองเขา
“พอไปถึงพิภพใหญ่ ถ้าก็เจอคนคนหนึ่งโดนฝูงมารปีศาจไล่สังหาร…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่ตัวเองโชคร้ายเจอจงหลีค่วยแล้วพลอยลำบากไปด้วยให้นางฟัง เล่าว่าตอนหลังถึงได้รู้ว่าจงหลีค่วยโดนไล่สังหารเพราะไปแย่งแผนที่ซ่อนสมบัติมา แผนที่ซ่อนสมบัตินั้นเกี่ยวข้องกับภาคดินที่อยู่ในสามภาคของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน อันได้แก่ภาพฟ้า ภาคคน ภาคดิน
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าระแวงสงสัย หลังจากครุ่นคิดพักใหญ่ สุดท้ายก็เอนกายลงในอ้อมอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ “หนิวเอ้อร์ เกรงว่าเจ้าคงจะพูดถูกแล้ว สามารถกลายเป็นหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่ได้ ก็คงจะไม่ธรรมดาขนาดนั้น ดีไม่ดีสิ่งที่ท่านปู่ของข้าฝึกอาจจะเป็นแค่ภาคคนของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเท่านั้น ท่านปู่อยากจะขึ้นเรือมังกรอเวจีมาตลอด คงจะเป็นเพราะอยากตามหาเคล็ดวิชาต่อจากนั้น นี่อาจจะเป็นความลับที่อยู่ในใจของหกปราชญ์แต่ละคน”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ตกใจ ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ไม่สนใจเลยว่าเรือนร่างงดงามยั่วยวนใจจะเปิดเผยออกมาหมด นางจ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าคงไม่คิดจะนำความลับนี้ไปแลกกับตัวเยียนเป่ยหงหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้มีความคิดแบบนี้จริงๆ พยักหน้ายอมรับ
“ไม่ได้!” อวิ๋นจือชิวยื่นคำขาด “ถ้าเจ้าจะช่วยเยียนเป่ยหง ข้าก็จะไม่คัดค้าน เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่จะให้ทางนภาจอมมารรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ที่พิภพเล็กมีเจ้ากับข้าสองคนเท่านั้นที่รู้ความลับเรื่องนี้ได้ ห้ามให้มีบุคคลที่สามเด็ดขาด!”
เหมียวอี้งงมาก นึกไม่ถึงว่านางจะมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ เขาลุกขึ้นตรงหน้านางแล้วเช่นกัน “เถ้าแก่เนี้ย ทำไมข้ารู้สึกว่าเจากำลังป้องกันฝั่งนภาจอมมารล่ะ? ต่อให้นภาจอมมารจะได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ครบสมบูรณ์ไป แต่ก็น่าจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างทารุณนะ? ข้ารู้สึกว่าที่จริงแล้วปู่ของเจ้ารักเจ้ามาก”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าจะรักหรือไม่รักข้า ตอนท่านอาหญิงสามนำสินเดิมเจ้าสาวมามอบให้ เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่านางพูดว่าอะไร? ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลอวิ๋นนั้นไม่ผิดหรอก แต่ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลอวิ๋นที่แต่งงานออกมาแล้วเช่นกัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะนำทรัพยากรของตระกูลอวิ๋นมามอบให้ข้าอีก บนศีรษะข้าสวมแซ่ของสามีเอาไว้ ใครๆ ก็รู้ว่าข้าคือเหมียวฮูหยิน! หากตระกูลอวิ๋นมีข้าเป็นลูกสาวคนเดียว แบบนั้นอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น แต่ตระกูลอวิ๋นคือหนึ่งวงศ์ตระกูล เมื่อเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ของทั้งตระกูล ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วอย่างข้าไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย เรื่องในตระกูลใหญ่แบบนี้ เจ้าอาจจะไม่เข้าใจชัดเจน แต่ข้ากลับมาจากในตระกูลนั้น เข้าใจถึงความสัมพันธ์อันร้ายกาจที่อยู่ในนั้นดีกว่าเจ้า ตั้งแต่วันที่ข้าแต่งงานกับเจ้า ข้าก็วาสนากับเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานระดับที่สูงกว่านี้ของตระกูลอวิ๋นแล้ว ตระกูลอวิ๋นไม่อาจเปิดเผยเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้ภายนอกรู้ได้ ถ้าสามารถหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานในระดับที่สูงขึ้นพบ ก็ต้องควบคุมไว้ในมือข้าเท่านั้น จะนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับอะไร อำนาจการตัดสินใจก็ควรจะอยู่ในมือข้า หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่าคิดนะว่าข้าเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวบางอย่างจำเป็นต้องมีไว้บ้าง อย่าบอกนะว่าถ้ามีคนจะมานอนกับเมียเจ้า เจ้าก็จะให้? ตระกูลอวิ๋นคือตระกูลพ่อแม่ข้า การที่พวกเขาจะดูแลข้า ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว และการที่ข้าจะดูแลตระกูลพ่อแม่ของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในทำนองคลองธรรมเช่นกัน ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะต้องทุ่มกำลังดูแลตระกูลอวิ๋นแน่นอน ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีอะไรให้ตำหนิ หนิวเอ้อร์ ถ้าเจ้ากล้าทำผิดต่อตระกูลพ่อแม่ข้า ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเจ้าไป แต่การทำแบบนี้ก็มีระดับของมัน ต่อให้พวกเขาดูแลข้า แต่ข้าก็ไม่อาจจะให้ลูกของข้าในอนาคตไปเหยียบอยู่บนหัวของตระกูลอวิ๋นได้ และข้าก็ทนไม่ไหวที่จะให้ลูกของข้าถูกตระกูลอวิ๋นควบคุม! ถ้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานในระดับที่สูงกว่านี้ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ถ้าหาพบจะต้องกุมไว้ในมือข้าเท่านั้น ข้าจะเป็นคนตัดสินใจว่าควรจะใช้อย่างไร คนที่จะดูแลตระกูลอวิ๋นได้มีเพียงข้าเท่านั้น!”
ขณะที่พูดอวิ๋นจือชิวก็ดึงหูเหมียวอี้ “เจ้ายังมีหน้าจะให้ตระกูลอวิ๋นดูแลพวกเราไปตลอดเหรอ? เจ้าไม่ละอายใจเหรอถ้าจะอาศัยบารมีของตระกูลอวิ๋นไปตลอด? ให้ตระกูลอวิ๋นได้พึ่งบารมีเจ้าหน่อยไม่ได้รึไง? เจ้าให้ข้ามีหน้ามีตาสักหน่อยไม่ได้เชียวเหรอ? ทุกคนล้วนได้ผลประโยชน์ ก็แค่เปลี่ยนลำดับความสำคัญก็เท่านั้น ข้าเองก็ทำไปเพื่อเจ้า เข้าใจหรือยัง? ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้ากล้านำความลับเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไปแลกกับเยียนเป่ยหง ข้าจะให้ทางนภาจอมมารฆ่าเยียนเป่ยหงก่อนเลย!”
“เจ้าใช้วิธีการนี้อีกแล้ว!” เหมียวอี้รู้สึกไม่ชอบที่นางเอาแต่บิดหูตัวเอง จึงเอามือดึงออก ก่อนจะนอนลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้ายังมีอะไรจะพูดอีกล่ะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ฝึกเอง ข้าแค่รู้สึกว่าคนตระกูลเดียวกันสู้กันไปสู้กันมาแบบนี้…เจ้าไม่เหนื่อยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวห่มผ้าพลางยกขาขึ้นมานั่งคร่อมบนเอวเขาเสียเลย นางเอาผ้าห่มห่อตัวไว้แน่น แล้วมองลงมาพลางกล่าวว่า “ข้าไม่เหนื่อย ข้าเต็มใจมาก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะปิดตาข้างเดียวเพื่อดูเจ้าทำตัวไร้ความรับผิดชอบต่อไปแล้วกัน ถ้าข้าเข้าข้างตระกูล เจ้าที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางก็ลำบากใจ ให้ข้าออกหน้าจัดการให้จะเหมาะสมที่สุด เจ้าเป็นลูกเขยที่ดีไปเถอะ แค่จำไว้ว่าต้องเชื่อฟังเมียอย่างว่านอนสอนง่ายก็พอแล้ว…เจ้าหมายความว่ายังไง? กลอกตาทำไม? หรือรู้สึกว่าข้าพูดผิดตรงไหน?” มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าห่ม บีบจมูกเหมียวอี้เอาไว้ “แกล้งตายทำไม! ข้าออกจะสวยงามเหมือนดอกไม้ ทั้งยังถอดเสื้อผ้าหมดแล้วด้วย คนมากมายอยากจะมองให้เป็นบุญตาแต่ก็ไม่มีโอกาส ลืมตาขึ้นมามองข้า!”
เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก เริ่มตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า ผู้หญิงคนนี้ก็ปั่นหัวตนแล้ว ตอนหลังมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุนางก็แกล้งเขาไม่หยุด ตอนนี้ขนาดแต่งงานกันแล้ว นางก็ยังไม่แก้นิสัยนี้อีก การอบรมของนภาจอมมารมีปัญหาชัดๆ! ตั้งแต่อวิ๋นเฟยหยางไปจนถึง…เขาเองก็ขี้เกียจจะนับ แต่ละคนดุเหมือนเสือกันทั้งนั้น
ดังนั้นการมาเถียงเรื่องนี้กับนางจึงไม่มีความหมายใดๆ รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “เถ้าแก่เนี้ย ข้าได้ของดีมาจากพิภพใหญ่ เจ้าอยากจะดูหน่อยมั้ย?”
887 ข้ายินดีตายเพื่อเจ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นจือชิวก็ต้องอยากดูอยู่แล้ว แต่ปากก็ยังพูดแสดงความร้ายอาจ “คงไม่ได้พาผู้หญิงมาให้ข้าดูหรอกนะ?”
สุดจะทนกับผู้หญิงคนนี้! เหมียวอี้สงสัยนิดหน่อยว่านางมองเบาะแสอะไรออกจากปฏิกิริยาของตนรึเปล่า ถึงได้จงใจใช้คำพูดทิ่มแทงตนแบบนี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งใจฝ่อ แต่ก็ได้บทเรียนมาแล้ว ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังแสร้งพูดอย่างโมโห “เจ้ายังไม่รู้จักจบใช่มั้ย? ลงไปเลย!” เขาใช้มือผลักนางไปไว้ข้างๆ แล้วเก็บชุดชั้นในขึ้นมาใส่
อวิ๋นจือชิวที่โดนผลักไม่ยอมอ่อนข้อให้ เตะที่ก้นของเหมียวอี้ที่ทำท่าจะนั่งลงข้างเตียง เตะทีเดียวจนเหมียวอี้แทบจะล้มคะมำ เหยียบขากางเกงจนโซเซ ทั้งๆ ที่ใส่กางเกงไปได้ครึ่งเดียว สภาพดูไม่ได้ อวิ๋นจือชิวนอนขำกลิ้งอยู่บนเตียงทันที
แต่จากนั้นก็หยิบเสื้อกล้ามชั้นในขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย แล้วลงจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่บนไม้แขวนมาใส่ให้เหมียวอี้ หยิบร้องเท้าถุงเท้าของเหมียวอี้เข้ามา แล้วนั่งยองๆ ช่วยสวมให้เหมียวอี้ จากนั้นก็ค่อยจัดการใส่ของตัวเอง มีเพียงแค่เวลานี้เท่านั้น ที่สามารถมองเห็นเงาของภรรยาที่มีคุณธรรมจากตัวนางได้
จากนั้นตัวเองกับเหมียวอี้ก็เดินมาข้างโต๊ะที่อยู่ในห้อง กระดานหมากล้อมที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถูกเก็บ อวิ๋นจือชิวย้ายเก้าอี้กลมมาวางข้างหลังเหมียวอี้ หลังจากอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงย้ายเก้าอี้มานั่งลงข้างกายเขา เอามือลูบผมยาวข้างหลังตัวเอง แล้วก็ช่วยเหมียวอี้ลูบผมที่ยุ่งสยายให้เรียบโดยจิตใต้สำนึก เสร็จแล้วถึงได้ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านำของดีอะไรกลับมาด้วย?”
เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้นางอย่างภาคภูมิใจ “ดูสิ!”
พออวิ๋นจือชิวหยิบมาดู ริมฝีปากแดงก็เผยอเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตกตะลึง พบว่าข้างในมีแต่ยาแก่นเซียน ถามว่า “เท่าไรเนี่ย?”
“สิบล้านเม็ด!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
“เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ?” อวิ๋นจือชิวตกใจไม่เบา “เอามาจากไหน”
“ธุรกิจของร้านขายของชำซื่อตรงกำลังไปได้สวย…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ของร้านขายของชำว่าทำรายได้เท่าไรในแต่ละปีให้นางฟัง
อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย เหมือนจะใฝ่ฝันนิดหน่อย ยัดกำไลเก็บสมบัติเข้าไปในมือเขา “ในเมื่อมีทรัพยากรฝึกตนแล้ว ข้าอนุญาตให้เจ้าพักได้สามวัน หลังจากสามวันนี้ไปเจ้าต้องเริ่มฝึกฝนอย่างซื่อสัตย์ เพิ่มวรยุทธ์ให้ถึงระดับบงกชทองก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ากล้าทำซี้ซั้วอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“…” ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่เอาออกมาหรอก เหมียวอี้อยู่คนเดียวมาหลายปีจนชินแล้ว รับไม่ไหวกับการโดนคนอื่นควบคุมทุกอย่างแบบนี้ ยังไม่เข้าสู่สภาวะการมีครอบครัว โดยเฉพาะวิธีการที่ควบคุมแม้แต่อิสระของคนอื่นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับนาง รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ ที่สำคัญคือต่อให้ใช้เหตุผลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราเสียงไม่ดังเท่านาง ถ้าเจ้าเสียงดังกว่านางเมื่อไร นางก็จะหาเรื่องเจ้าโดยไร้เหตุผล สรุปว่าถึงอย่างไรเจ้าก็แพ้ จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าคิดแบบนี้นะ แบ่งให้พวกช่างไม้สิ ข้าเตรียมจะแบ่งให้พวกเขาคนละหนึ่งล้านเม็ด”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าเสียดายที่จะให้พวกเขาหรอกนะ แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องใช้เพื่อบรรลุระดับบงกชทอง รอให้เจ้าบรรลุระดับบงกชทองให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าเจ้าต้องใช้จำนวนมากเพื่อให้ผ่านจุดหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ถึงตอนนั้นก็ไม่พอใช้แล้ว…”
เหมียวอี้จึงตอบว่า “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับเจ้า วรยุทธ์ข้ามีจำกัด มีเรื่องมากมายที่อยากทำแต่ไร้ความสามารถ ข้าเคยฝากฝังพวกเขาสี่คน ว่าให้พวกเขาสี่คนดูแลปกป้องเจ้าดีๆ บอกไว้แล้วว่าวันหลังจะขอบคุณพวกเขาอย่างดี ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ควรจะแสดงความขอบคุณได้แล้วล่ะ มิหนำซ้ำพวกเขาสี่คนก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้า นับว่าเป็นหน่วยพิทักษ์ที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าที่สุด ถ้าวรยุทธ์ของพวกเขาสูงขึ้นอีกหน่อย ข้าจะได้วางใจลงบ้าง”
เมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้ แววตาของอวิ๋นจือชิวก็ดูอาลัยอาวรณ์นิดหน่อย ดวงตางามมีน้ำตาคลอ นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ กัดริมฝีปากตัวเอง หัวใจหวานชื่นราวกับดื่มน้ำผึ้งมา นางกอดแขนเขาเอาไว้ แล้วซบบ่าเขา “ท่านสามีรักข้าอย่างแท้จริง ข้าเข้าใจหัวใจของเจ้าแล้ว แต่ข้าก็อยากแนะนำให้เจ้าบรรลุระดับบงกชทองก่อน ถ้ามีเหลือแล้วค่อยให้พวกเขาก็ยังไม่สาย พวกเขาอยู่กับข้ามาหลายปี ข้าเข้าใจพวกเขาดี พวกเขาไม่ว่าอะไรเพียงเพราะเจ้ายังไม่ทำตามสัญญาหรอก”
“ข้าบรรลุระดับบงกชทอง คงไม่ต้องใช้เยอะขนาดนี้หรอกมั้ง? นี่มันสิบล้านเม็ดเชียวนะ! ไม่ใช่แค่นี้ ที่ตัวข้ายังมีอีกเกือบล้านเม็ดที่ขอเบิกมาจากร้านขายของชำล่วงหน้า ถ้าให้พวกเขาคนละหนึ่งล้านเม็ด ที่เหลืออยู่ก็เพียงพอให้ข้าใช้แล้ว”
“งั้นก็จัดการตามที่ท่านสามีเห็นสมควรแล้วกัน จะให้ก็ให้เถอะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แต่ยังถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “สิ่งเดียวที่ข้ากังวลในตอนนี้ก็คือ ถ้าให้ของพวกนี้กับพวกเขาแล้ว พวกเขาคงไม่เปิดเผยให้ใครรู้หรอกใช่มั้ย?”
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เดี๋ยวข้าบอกพวกเขานิดหน่อย พวกเขาก็จะเข้าใจแล้วว่าต้องทำยังไง เดี๋ยวข้าจะเตรียมพาพวกเขาไปพิภพใหญ่ด้วย ถ้าแม้แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มั่นใจ แล้วข้าจะกล้าพาพวกเขาไปด้วยได้ยังไงล่ะ”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกอีกรอบ ผู้หญิงคนนี้เอาแต่คิดเรื่องจะไปพิภพใหญ่ ครุ่นคิดแม้กระทั่งจะนำกำลังสำคัญไปด้วย แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าข้างกายผู้หญิงคนนี้ไม่มีใครอยู่ปกป้องเลย เขาก็วางใจไม่ได้จริงๆ เพียงแต่พวกช่างไม้วรยุทธ์ต่ำเกินไปหน่อย ถ้าไปพิภพใหญ่แล้วคงช่วยอะไรไม่ได้!
จากนั้นก็แบ่งยาแก่นเซียนออกมาสี่ล้านเม็ด แบ่งใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติสี่วง แล้วผลักไปตรงหน้านาง “เดี๋ยวเจ้าช่วยเอาไปให้พวกเขาแทนข้าหน่อย”
“เจ้าโง่รึเปล่า! ของแบบนี้เจ้าต้องให้ด้วยตัวเองสิ ความหมายที่อยู่ในนั้นคงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะหรอกนะ?” อวิ๋นจือชิวจิ้มหน้าผากเขาหนึ่งที
เหมียวอี้หัวสั่นโคลงเคลง ถอนหายใจแล้วบ่นว่า “อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าเอาแต่ลงไม้ลงมือกับข้าได้มั้ย ข้าไม่ชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้เลย เจ้าสนใจฐานะของข้าบ้างได้มั้ย?”
“เฮอะ! ฐานะของเจ้าเหรอ? นอกจากเก่งเรื่องถอดเสื้อผ้าข้าแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะมีฐานะอะไรเลย!” อวิ๋นจือชิวหัวเราะเย้ย แล้วใส่เท้าเพิ่มอีกที เตะที่น่องของเขาอย่างแรง
ประมุขปราสาทเหมียวพ่ายแพ้ต่อนางโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาเก็บสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าจนใจ จากนั้นก็หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาแกว่งโอ้อวด “เจ้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้แน่นอน”
“อะไรนะ?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจอยู่บ้าง
พอเหมียวอี้โบกมือ ยาเจี๋ยตันสีทองอร่ามเจ็ดเม็ดก็วางปูอยู่บนโต๊ะ
อวิ๋นจือชิวใจเย็นไม่ไหวแล้ว ลุกพรวดขึ้นทันที เบิกตากว้างมองดู เอามือปิดปากพลางถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นยาเจี๋ยตันขั้นห้า?”
เหมียวอี้ไม่พูดอะไร ให้นางไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง หลังจากอวิ๋นจือชิวหยิบขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็ตาลุกวาวพร้อมกล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นยาเจี๋ยตันขั้นห้าจริงๆ ด้วย ต้องสังหารนักพรตระดับบงกชรุ้งในตำนานถึงจะได้มา หนึ่ง สอง สาม…เจ็ดสิบเม็ด โอ้สวรรค์! เจ้าหามาได้อย่างไร?”
“ผีดิบเลือดในค่ายกลมารโลหิต…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ตอนโดนขังอยู่ในค่ายกลให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นจือชิวฟังที่มาที่ไปของมันจนอกสั่นขวัญแขวน แววตาที่มองเหมียวอี้เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งแค้นทั้งเป็นห่วง ไม่แสดงความดีใจกับยาเจี๋ยตันพวกนี้แล้ว เพราะมันคือของที่สามีน้องแลกมาด้วยชีวิต! นางกัดริมฝีปากถามว่า “บัวโลหิตที่เจ้าบอกล่ะ?”
“สิ่งนั้นเอาออกมาดูไม่ได้หรอก ปราณปีศาจโลหิตดุร้ายเกินไป ถ้าเอาออกมาต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้คงเฉาตายหมด แล้วนางในพวกนั้นก็วรยุทธ์ต่ำเกินไป คงจะได้รับผลกระทบกันหมด เดี๋ยวข้าค่อยไปหาสถานที่ลับอย่างถ้ำในเกาะร้างแล้วศึกษามันสักหน่อย” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็นำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้นาง “ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูนิดหน่อยก็พอแล้ว อย่านำออกมา”
อวิ๋นจือชิวรับมาดูในมือ เห็นเพียงในแหวนเก็บสมบัติเต็มไปด้วยปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้น ในนั้นมีบัวขนาดใหญ่ต้นหนึ่งนอนอยู่เงียบๆ บนฝักบัวมีเม็ดบัวที่กะพริบแสงสีเลือดเก้าเม็ด สิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คือ รากบัวขาวหมดจดที่อยู่ตรงก้านราก ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเปล่งแสงสว่างด้วย
ทั้งต้นบัวโลหิตสวยงามมาก เพียงแต่ปราณปีศาจโลหิตทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว ไม่สะดวกจะนำออกมาจริงๆ
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วคืนให้เหมียวอี้ นางนั่งลงอีกครั้ง ถือยาเจี๋ยตันขั้นห้าขยับเล่นในมือพร้อมบอกว่า “ข้าไม่กล้าหยิบยาเจี๋ยตันขั้นห้าออกมาดูตอนอยู่พิภพเล็กเลย ต่อให้หลอมสร้างเป็นเกราะวิเศษแล้ว ถ้านำออกมาต้องสร้างปัญหาแน่นอน ต่อให้มอบให้เยารั่วเซียนหลอมสร้าง ถึงตอนนั้นถ้าเยารั่วเซียนเห็นแล้วก็ไม่มีทางอธิบายที่มาที่ไปได้อยู่ดี”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ยาเจี๋ยตันพวกนี้เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ อย่าลืมเหลือไว้ให้เฮยทั่นบ้างล่ะ ข้าอยากจะเห็นว่าหลังจากเฮยทั่นย่อยยาเจี๋ยตันขั้นห้าแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร มีที่ให้ใช่ปะรโยชน์ตั้งเยอะ ข้าตั้งใจนำเครื่องมือค่ายกลป้องกันมาให้เจ้าด้วยชุดหนึ่ง”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ พอสะบัดมือหนึ่งที เครื่องมือชุดหนึ่งที่มีแปดสิบแปดชิ้นก็ยิงออกมาและลอยอยู่กลางอากาศ เขาเรียกมาชิ้นหนึ่ง เครื่องมือรูปหัวปีศาจลอยเข้ามาตกอยู่ในมือ เหมียวอี้ถอดยาเจี๋ยตันขั้นสามที่แฝงอยู่ในเขี้ยวออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วนำยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในนั้นแทน แล้วเปลี่ยนยาเจี๋ยตันขั้นห้าใส่ไว้ในเครื่องมืออีกสี่ชิ้น
อวิ๋นจือชิวดูอยู่ข้างๆ เขาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ เหมียวอี้ชี้เครื่องมือที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมอธิบายว่า “เครื่องมือนี้ชื่อว่า ‘ค่ายกลแปดทิศ’ ราคาเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งล้านล้านลูก หรือเท่ากับหนึ่งล้านล้านผลึกแดง เป็นของวิเศษระดับสูงที่ใช้ป้องกันตัว เมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นข้าเปลี่ยนใส่ยาเจี๋ยตันไว้ในเครื่องมือแล้ว ยิ่งยาเจี๋ยตันยิ่งมีขั้นสูง พลังป้องกันก็ยิ่งสูง…”
เหมียวอี้เริ่มอธิบายวิธีการควบคุมให้นางฟัง อวิ๋นจือชิวฟังอย่างเอาใจใส่และจดจำไว้ เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็เอ่ยถาม เมื่ออยู่กับเขาก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ
หลังจากเข้าใจทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าผู้ชายคนนี้เต็มใจควักจ่ายไปมากมายเพื่อปกป้องนาง ไม่ว่าจะไปไหนก็จะคิดเรื่องความปลอดภัยของนางก่อน อวิ๋นจือชิวยากที่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ นางพลันดึงแขนเขามากัดแรงๆ หนึ่งที
“โอ๊ย…” ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเค้าลางบอกเหตุ เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก ผลักศีรษะนางทันที “ผู้หญิงบ้า เจ้าทำอะไร ปล่อยนะ!”
เครื่องมือแปดสิบแปดชิ้นขาดพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊งๆ ทันที
หลังจากพยายามดึงผู้หญิงบ้าออกไป เหมียวอี้ถึงได้พบว่าตัวเองโดนกัดจนเลือดออก จึงตะคอกอย่างเดือดดาลทันที “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!”
อวิ๋นจือชิวที่ปากเปื้อนเลือดแลบลิ้นเลียเลือดสดบนริมฝีปาก นางดึงแขนเสื้อเผยแขนขาวดุจหยก แล้วยื่นไปตรงปากเขาอย่างแน่วแน่ “เจ้าก็กัดของข้าสักคำสิ ให้เจ้าชิมว่าเลือดข้ารสชาติเป็นยังไง!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ!” เหมียวอี้ดึงแขนนางมากัดหนึ่งที ผลก็คือพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันเลยแม้แต่น้อย พอกัดไปได้ครึ่งหนึ่งก็สะบัดแขนนางออก แล้วถามอย่างโมโหว่า “เจ้าทำตัวเหมือนคนปกติหน่อยได้มั้ย?”
อวิ๋นจือชิวมองดูรอยฟันบนแขนตัวเอง มีแค่รอยจางๆ เท่านั้น สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็ทำใจกัดให้นางเจ็บไม่ลง รอยยิ้มบนใบหน้านางสดใสกว่าปกติ ดวงตาหยาดเยิ้มราวกับจะมีน้ำไหลออกมา จ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา ขณะที่หัวเราะคิกคัก จู่ๆ นางก็บอกว่า “ข้ายินดีจะตายเพื่อเจ้า!”
“…” เหมียวอี้ชะงักทันที ไฟโกรธที่สุมอยู่ในอกพลันดับวูบ เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อพลางทำเสียงฮึดฮัด “เหมือนหมาบ้า!”
“พอแล้ว! ชายชาตรีอย่างเจ้าจะถือสาผู้หญิงอย่างข้าไปทำไม!” อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคักพลางหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา ยกขึ้นจ่อที่แขนของเขา แล้วเป่าหมอกประกายดาวใส่บาดแผล ทำให้บาดแผลสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จากนั้นก็เก็บยาเจี๋ยตันขั้นห้าและเครื่องมือที่ตกอยู่บนพื้น จูงเหมียวอี้ที่ทำท่าเหมือนยังไม่หายโกรธเข้าไปในห้องอาบน้ำน้ำ แล้วถอดเสื้อผ้าให้เขา หลังจากทั้งสองลงไปแช่ในน้ำแล้ว นางก็หยิบผ้าขนหนูมาปรนนิบัติให้เขาราวกับปรนนิบัติเจ้านาย อ่อนโยนไร้ที่เปรียบ
เหมียวอี้อดใจไม่ไหวกับหญิงงามช่างยั่วคนนี้ มือไม้อยู่ไม่สุข มือไม้ซุกซนอย่างหน้าไม่อาย นางเองก็กัดริมฝีปากแดงไว้แน่น เพียงอดทนไหว ทำตัวว่านอนสอนง่ายแบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้หายโกรธ
888 หนึ่งเดียวไม่มีสอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากออกจากห้องอาบน้ำ เมื่อมองดูสีของท้องฟ้า อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ฟ้าสว่างแล้ว ไม่ต้องนอนแล้วล่ะ แต่งตัวสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะไปทดลองใช้เครื่องมือชุดนั้น”
ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง ก็ถือโอกาสเรียกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาแต่งตัวให้ แต่เรื่องจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้ กลับไม่ได้ยืมมือของพวกนางสองคน อวิ๋นจือชิวดึงเหมียวอี้มานั่งลงตรงหน้ากระโต๊ะเครื่องแป้งด้วยตัวเอง ผมนางยังยาวปร่าบ่าลงมา แต่กลับช่วยจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้อย่างเอาใจใส่ อากัปกิริยาสงบเยือกเย็น บนใบหน้ามีระลอกคลื่นแห่งความสุข
การที่สตรีผู้วางมาดเถ้าแก่เนี้ยมาตลอดสามารถใช้มาดของหญิงผู้ต่ำต้อยมาปรนนิบัติตนได้ เหมียวอี้เสพสุขกับสิ่งนี้มาก ถึงแม้จะปรนนิบัติได้ไม่คล่องมือเท่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ แต่ความพึงพอใจแบบนี้เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากตัวของเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เก็บที่นอนอดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง บนเตียงที่ยับเยินไร้ระเบียบได้พิสูจน์ถึงความบ้าระห่ำของกิจกรรมเมื่อคืนแล้ว ในฐานะคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ก็ย่อมรู้ว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองหน้าแดงเล็กน้อย รีบม้วนผ้าปูออกมา ถ้าไม่ซักให้สะอาดก็คงใช่ต่อไม่ได้
อวิ๋นจือชิวที่เหลือบมองผ่านกระจกแวบหนึ่งหัวเราะคิกคัก “พวกเจ้าสองคนจะเขินอายอะไรกันนักหนา? อย่าบอกนะว่าไม่เคยมีประสบการณ์ ข้าจะอนุญาตให้นายท่านผ่อนคลายสามวัน ในสามวันนี้ถ้านายท่านอยากจะให้พวกเจ้าปรนนบัติ ข้าก็จะไม่ว่าอะไร หนิวเอ้อร์ เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ!”
หญิงรับใช้ทั้งสองหน้าแดงก่ำทันที ก้มหน้าก้มตาจัดเก็บที่นอนของตัวเองต่อไป
เหมียวอี้แสร้งทำสีหน้าจริงจัง แต่สายตากลับชำเลืองมองสองสาวผ่านกระจกหลายครั้ง ในใจรุ่มร้อนทันที สามวันเหรอ! จะปล่อยทิ้งให้เสียเปล่าไม่ได้…
เมื่อช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขาเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีก ครั้งนี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาจัดแต่งทรงผมให้นาง แต่งหน้ทาปากย่อมไม่ต้องพูดถึง หวีเกล้ามวยผมขึ้นอย่างเรียบร้อย วางมงกุฎหงส์ลงบนศีรษะ แล้วปักปิ่นให้ไว้ให้มั่นคง จากนั้นก็สวมชุดคลุมยาวที่ดูมีพลังอำนาจ เผยความน่าเกรงขามของมารดาแห่งใต้หล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังยืนดูอยู่ข้างๆ รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย รู้สึกว่าอาศัยพลังอำนาจแค่นี้ก็ข่มตนได้แล้ว จึงพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ด้วย ไม่เหนื่อยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวมองดูผู้ชายในกระจกพลางยิ้มบางๆ “เครื่องแต่งกายพวกนี้ มู่ฝานจวินประทานให้ข้าทั้งนั้น ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ในฐานะที่ข้าเป็นฮูหยินของประมุขปราสาท จึงออกคำสั่งต่อกำลังพลของปราสาทดำเนินสุริยันได้ไม่สะดวกราบรื่น มีหนังเสือที่มู่ฝานจวินประทานให้แบบนี้ก็ดูเข้าท่าเหมือนกัน ใส่แล้วมีข้อดี แบบนี้ ทำไมข้าจะใส่ไม่ได้ล่ะ?”
“นางจะประทานเสื้อผ้าพวกนี้ให้เจ้าทำไม?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม
“ขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ไปแดนโพ้นสวรรค์ นางก็จะคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวทุกรอบ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็จะชี้สั่งให้ข้าไปหวีผมให้ตลอด คงมีความคิดลำพองใจว่าแม้แต่หลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังต้องปรนนบัตินางกระมัง อาจจะอยากฉวยโอกาสกู้หน้ากลับมาสักนิดสักหน่อย แต่ทุกครั้งหลังจากทำแบบนั้น นางก็จะประทานเครื่องแต่งกายพวกนี้ให้ข้าเสมอ ล้วนเป็นของที่คุณภาพดีที่สุด ไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างขาดความยุติธรรม” อวิ๋นจือชิวตอบ
“เป็นบ้าละมั้ง! ในอนาคตถ้ามีโอกาส ข้าจะจับนางมาหวีผมให้เจ้าบ้าง” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่พอใจ
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วหัวเราะคิกคัก “ดี! ข้าจะรอให้วันนั้นมาถึง!” นางเหลือบตาขึ้นมองผู้ชายที่อยู่ในกระจก “แต่ว่าหนิวเอ้อร์ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้า น้องสาวเจ้าคนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่? ทุกครั้งที่ข้าไปแดนโพ้นสวรรค์ นอกจากจะไม่เรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ยังเอาแต่อารมณ์เสียใส่ข้าโดยไร้เหตุผล ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงโดนข้าตบไปแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยทำอะไรให้นางเคืองใจ มีสิทธิ์อะไรมาทำกับข้าแบบนี้?”
“เอ่อคือ…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออกพูดไม่ออก ในใจพอจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่กลับไม่มีทางพูดออกมาได้ เพียงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เจ้าอย่าไปถือสาคนไม่รู้ประสาอย่างนางเลย เจ้ารองกับเจ้าสามลำบากกับข้ามาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของพวกเขารับเลี้ยงข้าไว้ ข้าคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ เจ้าช่วยทนเอาหน่อยเพื่อเห็นแก่หน้าข้า”
“ทน? ก็เพราะเห็นแก่หน้าเจ้านี่แหละ ข้าถึงทนมาตลอด หนิวเอ้อร์ ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ถ้านางทำเกินไปเมื่อไร ข้าก็ต้องวางมาดน่าเกรงขามของ ‘พี่สะใภ้ใหญ่เสมือนมารดา’ บ้างสักหน่อยเหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวกล่าวเตือน
“เฮ้อ! เดี๋ยวครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้เจอนาง ข้าจะต้องตำหนินางสักหน่อยแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจมาก
หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็เดินลากชายกระโปรงออกไปนอกตำหนักพร้อมกับเหมียวอี้ ตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว
ตอนที่ทั้งสองเดินเคียงคู่กันขึ้นดาดฟ้าสังเกตการณ์ เหมียวอี้ก็แอบมองนางหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวองอาจผึ่งผาย ตัวเองยืนอยู่ข้างกายแล้วทำไมรู้สึกเหมือนขับให้นางเด่นขึ้น เสียงพึมพำในใจเหล่านี้ มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ ถึงอย่างไรก็คงไม่ดีที่จะพูดออกไป ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ เขาจะต้องได้ส้นเท้ากลับมาแน่นอน
ทั้งสองยืนสูงโดดเด่นอยู่บนดาดฟ้าสังเกตการณ์ ก้มมองสิ่งปลูกสร้างตรงแนวเทือกเขารอบๆ ของทั้งปราสาทดำเนินสุริยัน เมื่อเลือกขอบเขตในการวางค่ายกลได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็สะบัดมือยิงลำแสงสีแดงออกมาสิบสาย แบ่งปักไปบริเวณรอบๆ ตำหนักหลัง เจาะทะลวงเข้าไปใต้ดินโดยตรง
ธงอิทธิฤทธิ์สามอันตกอยู่ในมือของอวิ๋นจือชิว เมื่อโบกธงอันหนึ่ง ค่ายกลแปดทิศก็เริ่มทำงาน แท่นดูดาวโคลงเคลงทันที ทั้งตำหนักหลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย มีเสียงดันครั่นครืนอยู่พักหนึ่ง ราวกับมีมังกรขยับพลิกตัวอยู่ใต้ดิน
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ตอนวางค่ายกลด้วยยาเจี๋ยตันขั้นห้า มีการเคลื่อนไหวรุนแรงกว่าใช้ยาเจี๋ยตันขั้นสามเยอะมาก
ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนใต้ตำหนักตระหนกและมองมาพร้อมกันทันที สะเทือนจนคนในตึกรามบ้านช่องตรงแนวเขารอบๆ มองมาเช่นกัน มีบางคนถึงขั้นเหาะขึ้นฟ้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรกันแน่ รวมทั้งพวกหยางชิ่งด้วย
“ถอยไปให้หมด! ใครเข้ามาสอดแนมโดยพลการ ประหาร!” เสียงเตือนที่เย็นเยียบของอวิ๋นจือชิวดังก้องไปทั่วบริเวณ
เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง คนที่เหาะเข้ามาดูแยกย้ายกันไปทันที ทุกคนหดหัวกลับเข้าไปแล้ว
สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เหาะขึ้นฟ้าพร้อมกัน ปรากฏว่าพอเหาะสูงถึงระดับร้อยเมตร ก็โดนพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งผนึกไว้ทันที ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ฝ่าออกไปไม่ได้ อวิ๋นจือชิวถึงขั้นใช้วรยุทธ์ทั้งหมดฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าพลังอันแข็งแกร่งของฝ่ามือจะถูกการไหลเชี่ยวของพลังประหลาดพิศวงกลุ่มนี้ดูดกลืนไป
ทั้งสองเหยียบลงพื้นพร้อมกัน อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจมาก “พอจะมีหนทางจริงๆ ด้วย”
“เจ้าคิดว่าของที่สามีหามาเพื่อปกป้องเจ้าจะเป็นของกระจอกๆ รึไงล่ะ?” เหมียวอี้พูดหยอกล้อ แล้วทำท่าจะจูงมือนาง
ปรากฏว่าโดนอวิ๋นจือชิวโบกมือห้าม แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้านะ เมื่ออยู่กันสองคนเจ้าจะรังแกข้าอย่างไรก็ได้ ต่อไปนี้ยามอยู่ท่ามกลางสายตาประชาชี เจ้าต้องทำตัวเรียบร้อยซื่อสัตย์หน่อย ระมัดระวังฐานะของตัวเอง มีลูกชายมากมายมองอยู่นะ!”
ตอนนี้เขาไม่รู้จักฐานะของตัวเองงั้นเหรอ? เหมียวอี้หันมามองผู้หญิงคนนี้ พบว่าเมื่ออยู่ข้างนอกก็เปลี่ยนเป็นคนละคนจริงๆ ด้วย ภูมิฐานสง่าผ่าเผย ต่างกับผู้หญิงปากร้ายก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก
หลังจากทั้งสองเดินลงจากดาดฟ้าสังเกตการณ์ ก็เดินมาที่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักหลังอีก
บัณฑิตที่นอนหลับตาถือหนังสืออยู่บนเก้าอี้พลันลืมตา แล้วรีบยืนขึ้นกุมหมัดคาระว่า “นายท่าน ฮูหยิน”
อวิ๋นจือชิวนำธงอิทธิฤทธิ์อันหนึ่งมอบให้ แล้วสอนวิธีใช้งานให้บัณฑิต ต่อไปนี้ประตูนี้ก็คือประตูที่มีชีวิต โดยมีบัณฑิตเป็นคนเฝ้า หากไม่ใช่คนที่ได้รับอนุญาต และบัณฑิตไม่เปิดทางเข้าออก คนนอกก็เข้ามาไม่ได้ คนในก็ออกไม่ได้เช่นกัน ค่ายกลแปดทิศเรียกได้ว่าพิทักษ์ทั้งตำหนักหลังได้อย่างเต็มที่แล้ว
“ไปเรียกพวกพ่อครัวมา พวกเจ้าสี่คนมาหาข้าสักเที่ยว” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้าย แล้วเดินกลับไปพร้อมกับเหมียวอี้
ผ่านไปไม่นาน พวกพ่อครัวทั้งสี่ก็มาอยู่ในตำหนักหลังแล้ว อวิ๋นจือชิวนั่งสง่าอยู่ตรงหัวโต๊ะต่อไป แต่เหมียวอี้กลับยืนขึ้น นำแหวนเก็บสมบัติสี่วงมามอบให้ทั้งสี่ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในปีนั้นที่ข้าฝากฝังให้พวกเจ้าปกป้องเถ้าแก่เนี้ย ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าหลังจากเรื่องราวเรียบร้อยจะขอบคุณอย่างดี ก่อนหน้านี้ติดธุระกลับมาไม่ได้ ให้รางวัลขอบคุณพวกนี้ช้าไปหน่อย วันนี้นับว่าทำตามสัญญาแล้ว!”
ของอะไร? พอทั้งสี่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูของในแหวนเก็บสมบัติ ก็พากันตะลึงงันทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นยาแก่นเซียน พอร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองอย่างหยาบๆ เพื่อนับจำนวน ก็เกรงว่าจะมีเกือบล้านเม็ด! ทั้งสี่สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วมองไปที่อวิ๋นจือชิวพร้อมกันโดยจิตใต้สำนึก ช่างไม้เอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ตบรางวัลหนักไปหน่อบรึเปล่า?”
เมื่อไม่มีคนนอก พวกเขาก็กลับมาเรียกขานด้วยสรรพนามเดิม นี่คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวอนุญาต ชัดเจนว่าไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นคนนอก
“บนตัวหนิวเอ้อร์ก็มีอยู่ไม่เยอะเช่นกัน ล้วนเป็นสิ่งที่เขาทุ่มกำลังความคิดและเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อแลกมา ข้าเองก็เคยเกลี้ยล่อมให้เขาเก็บไว้ใช้เอง…ไม่ปิดบังพวกเจ้าหรอกนะ เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุระดับบงชทอง มันมีประโยชน์ให้เขาใช้งานจริงๆ แต่เขาแน่วแน่ที่จะรักษาสัญญา ในเมื่อเป็นน้ำใจของเขา ทั้งยังมอบให้พวกเจ้าสี่คนด้วย ไม่ถือว่าเป็นคนนอก ข้าก็เลยไม่ว่าอะไร พวกเจ้าเก็บไว้เถอะ ระหว่างพวกเราไม่ต้องมาพูดจาเกรงใจกันหรอก ก็อย่างที่ข้าเคยบอก ตราบใดที่พวกเราสองสามีภรรยามีข้าวกิน ก็จะไม่ปฏิบัติกับพวกเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน เก็บไปไว้เถอะ!” อวิ๋นจือชิวกล่าว
ทั้งสี่หัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าทะเล้น พ่อครัวถือแหวนเก็บสมบัติโบกไปมาตรงหน้าเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ งั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
พออวิ๋นจือชิวโบกมือ พวกเขาทั้งสี่ก็เดินออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน เหมียวอี้กางแขนสองข้างบิดขี้เกียจ แล้วบอกว่า “ฮูหยิน ข้าไม่ได้กลับมานานแล้ว จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย จะไปหาพวกเยารั่วเซียนด้วย”
“เป็นอะไรไป? อยู่ข้างๆ ข้าไม่ไหวแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองแวบหนึ่ง
“ข้าว่านะเถ้าแก่เนี้ย เจ้าเลิกวางมาดนี้สักหน่อยได้มั้ย?” น้ำเสียงเหมียวอี้เจือด้วยความไม่พอใจ
“งั้นเจ้าไปต้องไปหาเยารั่วเซียนแล้ว พวกเขากำลังหลอมสร้างของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง กำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญแล้ว ไม่อนุญาตให้ใครรบกวน”
“หลอมสร้างของวิเศษอะไร?”
“ของวิเศษที่จะเอาไปล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร! เพื่อสิ่งนี้ ข้าทุ่มเททรัพยากรไปไม่น้อยเลย”
“อ้อ!” เหมียวอี้ลูบคาง อยากจะสัมผัสสักหน่อยว่าเยารั่วเซียนทำของวิเศษอะไรเพื่อล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “เขียนหนังสือสอบถามกิจวัตรส่งไปให้แต่ละตำหนักเถอะ”
“เรื่องนี้เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!” เหมียวอี้โบกมือแล้วทำท่าจะเดินออกไป ตราบใดที่มีคนที่วางใจได้ทำให้ เขาก็ไม่เคยไปกังวลเรื่องนั้นเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีตำแหน่งผู้การใหญ่อย่างหยางชิ่งโผล่ออกมาหรอก
“เจ้าก็ลองออกไปดูสิ! เจ้าไม่กลับมาที่นี่หลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องพิสูจน์ให้ลูกน้อง้ห็นว่าตัวเองยังมีตัวตนไม่ใช่เหรอ? ไม่อย่างนั้นพวกลูกน้องคงนึกว่าฮูหยินคนนี้วางแผนปล้นอำนาจสามีตัวเอง! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ใช่ว่าเบื้องล่างจะไม่มีข่าวลือนี้ ให้เจ้าเขียนหนังสือสอบถามกิจวัตรสักฉบับ จะทำให้เจ้าเสียเวลาสักเท่าไรเชียว?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะเขียนก็ได้ จบมั้ย?” เหมียวอี้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ หยิบแผ่นหยกออกมาเขียนทีละแผ่น
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นและเดินเข้ามา หยิบแผ่นหยกที่เขาเขียนขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด แต่พออ่านแล้วกลับคิ้วขมวดขึ้นมา
หลังจากเหมียวอี้เขียนเสร็จแล้ว ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของนางดไม่ชอบมาพากล จึงถามว่า “ทำไมล่ะ? หรือว่าที่ข้าเขียนมีปัญหาอะไร”
อวิ๋นจือชิวสั่งให้เสวี่ยเอ๋อร์มานำแผ่นหยกไปส่งให้ตำหนักต่างๆ จากนั้นก็ดึงเหมียวอี้ให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พาไปที่ห้องหนังสือ และให้เชียนเอ๋อร์เตรียมเครื่องเขียนเอาไว้ เหมียวอี้ถ่มอย่างแปลกใจว่า “ทำอะไร?”
“เขียนตัวอักษรให้ข้าดูสักสองสามตัว” อวิ๋นจือชิวกล่าว
การ…เขียนตัวอักษรคือจุดอ่อนของเหมียวอี้จริงๆ เขาไม่เคยได้เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเขียนตัวอักษรเลย เขากล่าวอย่างเขินอายทันที “อยู่ดีๆ จะให้เขียนตัวอักษรทำไม”
“ให้เจ้าเขียนตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัวก็ทำให้เจ้าลำบากแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม
คำพูดของนางทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก เพียงหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างไม่รู้ว่าควรจะลงมือเขียนอย่างไร แล้วถามอย่างตะกุกตะกัก “เจ้าอยากจะให้ข้าเขียนตัวอักษรอะไรล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวดึงพู่กันจากมือเขามาไว้ในมือตัวเอง จากนั้นจุ่มน้ำหมึก แล้วยกแขนเสื้อขึ้นพลางเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ที่งดงามทรงพลังไว้บนกระดาษว่า : หนึ่งไม่มีสอง![1]
จากนั้นก็ให้เหมียวอี้เขียนตาม เขียนแค่อักษรสี่ตัวนี้
เมื่อมองพู่กันที่ถูกยัดกลับเข้ามาในมือ แล้วมองตัวอักษรงดงามตัวใหญ่บนกระดาษ เหมียวอี้ก็รู้สึกเหงื่อแตก จุ่มพู่กันคาน้ำหมึก ชักช้าไม่กล้าลงมือเขียนสักที
“ทำไมให้เขียนตัวอักษรแค่ไม่กี่คำ ยังลำบากยิ่งกว่าฆ่าเจ้าทิ้งเสียอีก? เจ้าจะเขียนหรือไม่เขียน จะกดดันให้ข้าโมโหให้ได้เลยใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวพูดเร่งเร้า
เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่สนใจอะไรแล้ว ต่อให้อับอายขายหน้าก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรตรงนี้ก็ไม่มีคนนอก เขาให้กำลังใจตัวเองเพื่อสร้างความฮึกเหิม
หลังจากเขียนตัวอักษรสี่ตัวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเก้อเขิน
อวิ๋นจือชิวจ้องตัวอักษรบนกระดาษ เบิกตากว้างยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ทำท่าเหมือนตกตะลึง จ้องอยู่นานมาก ยากที่จะละสายตาออกไปได้
เหมียวอี้เองก็หน้าแดงเพราะความอับอายเช่นกัน เขาไม่ได้หน้าแดงแบบนี้มาหลายปีแล้ว เป็นเพราะเมื่อนำตัวอักษรที่ตัวเองเขียนมาเทียบกับตัวอักษรต้นฉบับ ก็บรรยายความแตกต่างออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ ขนาดตัวเองเห็นแล้วยังอาย คงไม่ต้องบอกว่าขี้เหร่ขนาดไหน ถ้าใช้ความพยายามก็พอจะอ่านออกอยู่บ้าง ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านตัวอักษรบนแผ่นหยก ก็ย่อมอ่านออกได้ง่ายกว่าเดิมอยู่แล้ว เมื่อใช้พลังอิทธิฤทธิ์ก็จะควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายตามอำเภอใจ
เชียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเหลือบไปเห็นตัวอักษรที่น่าเวทนาสี่ตัวนั้น ก็ยังต้องเบี่ยงหน้าหันไปมองทางอื่น ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายท่านไม่เคยใช้งานห้องหนังสือเลย มีสาเหตุจริงๆ ด้วย แอบร้องในใจว่า : นายท่านแย่แล้ว!
เหมียวอี้หน้าแดง แต่อวิ๋นจือชิวกลับหน้าเขียว หันกลับมามองเขาอย่างช้าๆ แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคว่า “เขียนได้ไม่เลวนี่ ตัวอักษรของท่านสามีคู่ควรกับสี่คำนี้จริงๆ ด้วย หนึ่งเดียวไม่มีสอง! ถ้าให้ท่านปู่ข้าเห็นล่ะก็ รับรองว่าตีเจ้าตายคามือแน่!”
“อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าพูดเกินไปนักเลย อย่างมากต่อไปนี้ข้าก็จะยกห้องหนังสือให้เจ้าใช้ ข้าแค่ไม่เข้ามาก็สิ้นเรื่องแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายพร้อมทิ้งพู่กัน แล้วหันหน้าเดินออกไป ไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วจริงๆ
อวิ๋นจือชิวกลับดึงมือเขาไว้ พยายามเจียดรอยยิ้มทั้งๆ ที่โมโห “หม่อมฉันพูดผิดเองค่ะ ท่านสามีอย่าโมโหเลยนะ ที่จริงการเขียนตัวอักษรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฝึกเขียนเยอะๆ ก็พอแล้ว มาสิคะ! หม่อมฉันจะอยู่เล่นด้วยเอง!” พูดจบก็ยัดพู่กันกลับเข้าไปในมือเขา แล้วใช้มือตัวเองจับประคองมือเขาให้นำพู่กันไปจุ่มน้ำหมึก จากนั้นก็วาดตัวอักษรสี่ตัวนั้นลงบนกระดาษทีละขีดอย่างใกล้ชิดและเอาใจใส่
เมื่อมีนางคอยประคับประคองช่วยเหลือ ตัวอักษรสี่ตัวที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ก็มีสภาพเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย อวิ๋นจือชิวให้กำลังใจเขาเหมือนปะเหลาะเด็กน้อยทันที “ท่านสามีมีพรสวรรค์จริงๆ ด้วย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ก้าวหน้าได้เยอะขนาดนี้!”
เชียนเอ๋อร์รีบเข้ามายืนฝนหมึกข้างๆ หวังว่านายท่านจะสามารถคงอารมณ์อันสุนทรีนี้ต่อไป
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ นายท่านเหมียวไม่ได้มีอารมณ์อันสุนทรีกับด้านนี้เลย เขียนไปได้แค่สิบกว่าตัวก็ดึงมืออวิ๋นจือชิวออกแล้ว เขาวางพู่กันลง แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “มีฮูหยินอยู่แล้ว ต่อไปให้ฮูหยินช่วยทำเรื่องนี้แทนก็ได้”
อวิ๋นจือชิวดึงเขากลับมาอีกครั้ง ยังคงพูดออดอ้อนเขา “ท่านสามีอยู่เล่นกับข้าอีกสักหน่อยสิ พวกเราเขียนต่ออีกหน่อยดีมั้ย? ไม่เยอะหรอกค่ะ เขียนอีกร้อยตัวเอง!”
ร้อยตัวไม่เยอะตรงไหน? เหมียวอี้หัวเราะบางบอกว่า “เขียนหนังสือมีอะไรน่าสนุก ไปเถอะ! ข้าจะสอนเจ้าเล่นหมากล้อม!”
ตอนยังไม่พูดถึงหมากล้อมก็ยังดีๆ อยู่ คนที่เล่นหมากล้อมด้วยนิสัยแย่ๆ อย่างเขา ยังจะมีหน้ามาสอนคนอื่นอีกเหรอ? อวิ๋นจือชิวทำหน้าเข้มทันที บวกกับนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง ทำให้แสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มต่อไปไม่ไหวแล้ว นางถามอย่างเย็นเยียบว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะเขียนหรือไม่เขียน?”
“ไม่เขียนแล้ว! กะอีแค่ไม่จับพู่กันเขียนหนังสือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะเป็นประมุขปราสาทต่อไปไม่ได้ ตอนนี้ข้ายังใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว
“ถ้าเจ้าจะหดหัวเป็นประมุขปราสาทอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติ ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ตอนที่เจ้าเป็นประมุขถ้ำ คนที่ได้เห็นตัวอักษรของเจ้าแล้วหัวเราะเยาะเจ้าก็มีแค่กำลังคนของหนึ่งถ้ำ ตอนที่เจ้าเป็นประมุขขุนเขา จำนวนคนที่หัวเราะเยาะเจ้าก็มีแค่หนึ่งขุนเขา ประมุขจวน ประมุขตำหนัก ประมุขปราสาท เจ้าเดินขึ้นตำแหน่งสูงไปเรื่อยๆ ยิ่งลูกน้องเจ้ามีเยอะเท่าไร คนที่หัวเราะเยาะเจ้าก็ยิ่งเยอะเท่านั้น สิ่งที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมก็คือบารมีชื่อเสียงของเจ้า หนิวเอ้อร์ ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าคำเดียว เจ้าคิดจะหยุดความก้าวหน้าไว้แค่นี้ใช่มั้ย เจ้าจะหดหัวอยู่ที่ปราสาทดำเนินสุริยันไปทั้งชาติหรือเปล่า ถ้าใช่ ข้าก็จะไม่ว่าอะไรแล้ว แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข[2] ข้าจะหดหัวอยู่กับเจ้าที่นี่ไปทั้งชาติก็แล้วกัน จะไม่พร่ำบ่นอะไรทั้งนั้น!” อวิ๋นจือชิวกดดัน “ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่!”
“พูดเรื่องไร้ประโยชน์แบบนี้ทำไม ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังทำอะไรอยู่!” เหมียวอี้กล่าวอย่างปวดประสาท
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็เขียนให้ข้าดูสิ!” อวิ๋นจือชิวคว้ามือเขาเอาไว้ หนังสือเล่มหนึ่งที่จัดวางไว้บนโต๊ะก็ลอยขึ้นมา นางพลิกเปิดแล้ววางไว้ข้างๆ เขา จากนั้นก็ชี้ที่ตัวอักษรบนนั้นพร้อมบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อไรที่เจ้าว่าง ก็ต้องเจียดเวลาทุกวันเพื่อเขียนอักษรตามข้าหนึ่งร้อยตัว ข้าจะมาตรวจทุกวัน! ไม่ได้ขอให้เจ้าฝึกจนเก่งขนาดนั้นหรอก ขอแค่พอดูได้ก็พอแล้ว แบบนี้ไม่ถือว่าทำให้เจ้าลำบากหรอกใช่มั้ย?”
“ทุกวัน?” เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิดทันที “อวิ๋นจือชิว นี่เจ้าจะหาเรื่องข้าไม่เลิกเลยใช่มั้ย? ถ้าทำแบบนี้ซ้ำทุกปี เจ้ารู้มั้ยว่าเสียเวลาฝึกตนข้าขนาดไหน?”
“เขียนวันละสองร้อยตัวให้ข้าตรวจทุกวัน ถ้าขาดไปแม้แต่ตัวเดียว เจ้าก็คอยดูแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวเกิดมีน้ำโห เพิ่มให้อีกหนึ่งเท่าแล้ว
พอเสวี่ยเอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาเห็นภาพนี้ ก็มายืนอยู่ข้างเชียนเอ๋อร์เงียบๆ ทั้งสองแอบเดาะลิ้นในใจ คนที่กล้าท้าชนกับนายท่านแบบนี้ ในปราสาทดำเนินสุริยันคงมีแค่ฮูหยินคนเดียวแล้ว
“ไม่เขียน! ข้าทนมามากพอแล้ว!” เหมียวอี้คำราม แล้วหันหน้าเดินจากไป
อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้าไป ใช้มือข้างหนึ่งกระชากมวยผมของเหมียวอี้ แล้วดึงเขากลับมา
เหมียวอี้เจ็บจนบิดตัว พลางตวาดอย่างโมโห “เมียปากร้าย! เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือตอบโต้นะ!”
ถ้าอวิ๋นจือชิวกลัวเขาก็แปลกแล้ว นางจับไว้ไม่ยอมปล่อย พลางแสยะยิ้มใส่เขา “เจ้ากล้าตอบโต้อยู่แล้ว! เจ้าก็เก่งแต่รังแกเมียตัวเองนั่นแหละ ถ้ามีความสามารถนัก แล้วทำไมไม่เอาไปใช้กับฝาแฝดคู่นั้นล่ะ? มาวางมาดวีรบุรุษต่อหน้าข้าจะถือว่าเก่งกาจอะไร!”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที เผชิญหน้ากับนางด้วยความเงียบ
ฝาแฝดอะไรกัน? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก นึกอะไรไม่ออกเหมือนมีหมอกลงในสมอง
“หนิวเอ้อร์ จะให้ข้าพูดเรื่องของเจ้ากับฝาแฝดคู่นั้นให้พวกลูกน้องฟังหน่อยมั้ยล่ะ?”
“ตามใจเจ้าเถอะ! เจ้าจะได้เพิ่มสง่าราศีให้ตัวเองไง!” เหมียวอี้ตอบนางอย่างไร้ความมั่นใจ
“เจ้าก็คอยดูแล้วกันว่าข้ากล้ามั้ย ข้าเป็นรองเท้าขาด[3]ที่มาจากทะเลทรายม่านเมฆา ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่มาตั้งนานแล้ว!” อวิ๋นจือชิวปล่อยมือทันที ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขาแล้ว หันตัวแล้วเดินก้าวยาวออกไปข้างนอกเสียเลย
เหมียวอี้ที่กำลังเอามือลูบมวยผมทำท่าเหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า เอ๋อแดกนิดหน่อย จู่ๆ ก็ถลันตัวออกจากห้องหนังสือไป และไม่นานก็ดึงตัวอวิ๋นจือชิวกลับมาได้ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิวพลางตะคอกด่าเสียงดัง “ขนาดความตายข้ายังไม่กลัว จะกลัวอะไรกับอีแค่เขียนตัวอักษรเส็งเคร็งพวกนี้ เขียนก็เขียนโว้ย คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว ไม่ต่อต้านเขาอย่างรุนแรงอีก นางหันไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พร้อมสั่งว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใช้เวลาวันละหนึ่งชั่วยาม หากนายท่านมีเวลาว่าง พวกเจ้าก็ผลัดกันมาเฝ้านายท่านฝึกคัดอักษร ถ้านายท่านคัดไม่ครบสองร้อยตัว ข้าจะลงโทษพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยลงโทษนายท่าน! ถ้ากล้าช่วยเขาโกง ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะได้เสียใจไปทั้งชาติ!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก
“อีกสามวันค่อยเริ่ม เจ้าบอกแล้วว่าสามวันนี้จะให้ข้าพักผ่อน เจ้าอย่ากลับคำพูดสิ!” เหมียวอี้เหมือนรู้สึกยอมไม่ได้
“ข้ากลับคำแล้ว! ข้าพูดจาไม่เป็นคำพูดแล้วจะทำไม ถ้าเจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!” อวิ๋นจือชิวพลันตบวางมีดสั้นลงบนโต๊ะ ชี้ไปที่มีดพร้อมบอกว่า “เจ้าเองก็เคยเห็น ท่านปู่มอบให้ข้าไว้ ตอนที่เฟิงอวิ๋นจะมารับตัวข้าเป็นเจ้าสาว ข้าก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ว่าถ้าสุดท้ายเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะใช้มีดสั้นเล่มนี้ฆ่าตัวตาย ข้าเตรียมตัวตายเพื่อเจ้าแล้ว ข้าจะไม่โต้ตอบหรอก ถ้าเจ้ากล้านักก็ใช้มีดเล่มนี้สังหารข้าเลย!”
เหมียวอี้ยืนเหม่อจ้องมีดสั้นครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกเศร้าสลด สุดท้ายก็หันตัวอย่างช้าๆ จับพู่กันขึ้นมาแต่โดยดี…
…………………………
[1] หนึ่งเดียวไม่มีสอง หมายถึง 举世无双 มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีใครเทียบได้
[2] แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข 嫁鸡随鸡,嫁狗随狗 หมายความว่า สตรีเมื่อแต่งงานแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องรู้จักปรับตัวอยู่กับสามีและครอบครัวสามีให้ได้
[3] รองเท้าขาด 破鞋 เปรียบเปรยถึงผู้ที่เคยผ่านผู้ชายมาแล้ว หญิงสำส่อน
889 บัวโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องหนังสือเงียบเชียบไร้เสียง บนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ติดริมหน้าต่าง อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้างหันข้างอยู่ตรงนั้น วางข้อศอกบนโต๊ะน้ำชา ถือม้วนหนังสือไว้ในมือพลางเปิดอ่านอย่างช้าๆ บางครั้งที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ นางก็จะสังเกตมองเหมียวอี้ที่กำลังมีสมาธิเขียนหนังสืออย่างเงียบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ เป็นระยะ แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามารบกวนแต่อย่างใด
เมื่อเขียนครบสองร้อยตัว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามารับพู่กันจากมือเขา
เหมียวอี้คว้ากระดาษที่ผ่านการคัดอักษรขึ้นมาอย่างลวกๆ แล้วเดินไปตบวางลงข้างๆ โต๊ะน้ำชา จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับอวิ๋นจือชิว แล้วก้มหน้าเงียบๆ ด้วยความเบื่อเซ็ง
ตัวอักษรไม่ขาดไปสักตัว ทั้งยังคัดเพิ่มมาหลายตัวด้วย เพราะเป็นการคัดลอกบทความช่วงหนึ่งจบพอดี อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านสามีมีพรสวรรค์จริงๆ ด้วย เรียกได้ว่าก้าวหน้ารวดเร็วมาก ใช้เวลาสักระยะหนึ่งจะต้องเขียนสวยแน่นอน!”
พอเอียงหน้ามามอง ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังก้มหน้าอย่างเบื่อเซ็ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าโดนนางควบคุมจนเหี่ยวเฉาแล้ว
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวปวดใจนิดหน่อย พอจะเข้าใจอดีตที่ผ่านมาของเหมียวอี้อยู่บ้าง รู้ว่าเขาน่าสงสารมาตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะทำงานหาเลี้ยงชีพ เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเลย เมื่อก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนก็ต้องพยายามเอาชีวิตรอด ไม่มีเวลาใช้สมองคิดเรื่องนี้เลย บางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว นางกลับไปบังคับให้เขาเปลี่ยนแปลง ถือว่าทำให้เขาลำบากจริงๆ
นางขึ้นลุกขึ้น แล้วเอามือลูบกระโปรงนั่งลงบนตักเหมียวอี้โดยตรง นางใช้มือข้างหนึ่งช้อนคอเขา แล้วใช้มืออีกข้างรับน้ำชามาจากเชียนเอ๋อร์ พอตัวเองเป่าเสร็จ ก็จ่อป้อนที่ปากเหมียวอี้ พลางหัวเราะคิกคัก “ท่านสามีลำบากแล้ว ดื่มชาหน่อยสิคะ แล้วค่อยออกไปเดินเล่น เดี๋ยวกลับมาจะให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติอย่างดีเลย”
นางหันหน้ามาบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “คืนนี้ให้นายท่านไปค้างคืนกับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องปรนนิบัตินายท่านดีๆ นะ ถ้าทำให้นายท่านผ่อนคลายไม่ได้ ข้าจะเอาผิดกับพวกเจ้า!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองที่หน้าแดงเรื่อเอ่ยรับเสียงเบา
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เขาเงยหน้ามองบนใส่อวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วกระดกถ้วยชาที่จ่ออยู่ตรงปาก เพี้ยะ! เขาตบก้นอวิ๋นจือชิวแรงๆ หนึ่งฉาด ทำให้นางร้องอุทานตกใจและลุกพรวดทันที สุดท้ายก็เอามือลูบก้นพลางมองบนใส่เขา
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วเม้มปากกลั้นขำ
“นุ่มมือดีจัง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างลำพองใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเอามือไขว้หลังออกไป พอเดินออกมานอกตำหนักก็บิดขี้เกียจ มองเฮยทั่นที่นอนกรนเสียงดังอยู่ใต้ชายคาแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างผ่อนคลาย พอเดินมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักหลัง กลับโดนบัณฑิตขวางไว้ “นายท่าน ฮูหยินอนุญาตให้ออกไปข้างนอกรึยัง?”
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าข้าโดนจำกัดแม้แต่การเข้าออกประตูบ้าน?”
บัณฑิตหันกลับไปมองที่ตำหนักแวบหนึ่ง พอเห็นเชียนเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลพยักหน้า บัณฑิตถึงได้โบกมือ เปิดประตูเข้าออกของค่ายกลแปดทิศ ปล่อยเหมียวอี้ออกไปแล้ว
เหมียวอี้เดินวนไปทั่วปราสาท ไปคุยกับเหยียนซิวและหยางเจาชิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปคุยกับหยางชิ่งที่จวนผู้การใหญ่ สุดท้ายถึงได้ออกไปที่เขตต้องห้าม เขาเจอตงกัวหลี่กับลูกศิษย์ พอทราบว่าเยารั่วเซียนกำลังหลอมของวิเศษและไม่ให้ใครรบกวน ก็หันตัวเดินออกมา ก่อนจะหายตัวไปเพียงลำพังในป่าลึก
เขาออกจากปราสาทดำเนินสุริยัน พอเจอหน้าผาสูงที่อยู่ในป่าภูเขาลึกรกร้าง ก็เหาะลงไปเพียงลำพัง ลงมือขุดถ้ำลึกในหุบเหวด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินลาดตระเวนรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีมีคน ถึงได้กลับมาในถ้ำนั้น
ในถ้ำหินที่มืดมิด แสงสีแดงเลือดพลันเปล่งประกายออกมา บัวโลหิตต้นนั้นถูกเหมียวอี้นำออกมาอีกครั้ง ปราณปีศาจโลหิตพุ่งออกจากฝักบัวในชั่วพริบตาเดียว ขณะเดียวกันส่วนปลายรากก็ส่องแสงสว่างอยู่ในถ้ำ ทำให้ในถ้ำเกิดแสงสีแพรวพราว
หลังจากเหมียวอี้สังเกตอย่างละเอียด ก็พบว่าปราณปีศาจโลหิตไม่ได้มาจากต้นบัวโลหิตทั้งต้น แต่มาจากเม็ดบัวเก้าเม็ดนั้นต่างหาก
เขายื่นมือไปลูบคลำฝักบัวที่งดงามราวกับทับทิมแกะสลัก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลูบไล้ผิวน้ำแข็ง เย็นมือมาก แต่มันกลับมีความทนทานสูง ยากที่เขาจะแหวกให้ขาดได้ ตอนที่มือสัมผัสโดนเม็ดบัว ปราณปีศาจโลหิตที่พุ่งขึ้นมาก็โจมตีเกราะพลังอิทธิฤทธิ์และรุกล้ำเข้าในร่างกายของเขาโดยตรง ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เกิดความตระหนกในใจ หลังจากร่ายวิชาอัคนีดาราต้านทาน ถึงได้ควบคุมสภาพจิตใจให้มั่นคงได้
“ช่างเป็นปราณปีศาจโลหิตที่รุนแรงจริงๆ!” เหมียวอี้อุทานในใจ แล้วก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พลิกฝ่ามือนำกระจกหยินดำออกมา ครุ่นคิดว่าถ้าหากนำปราณปีศาจโลหิตนี้มาหลอมสร้างเป็นของวิเศษได้ จะได้ผลแหมือนกระจกหยินดำหรือเปล่า
อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ปราณหยินที่อยู่ในกระจกหยินดำไม่อาจก่อภัยคุกคามต่อเขาได้อีก แต่ปราณปีศาจโลหิตนี้กลับส่งผลกระทบต่อจิตใจคนโดยตรง เหมือนจะเอาไว้ใช้ต่อสู้กับนักพรตระดับสูง
เมื่อเก็บกระจกหยินดำ เขาก็ใช้มือกอบฝักบัวขึ้นมาเพ่งมองอย่างละเอียดอีกรอบ ลองแกะเม็ดบัวที่อยู่ในฝักบัว ใช้ความพยายามไปเยอะมากกว่าจะแกะเม็ดบัวขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาได้ แต่ละเม็ดเป็นสีแดงใสราวกับหยก กะพริบแสงสีแดงจ้าตา ปราณปีศาจโลหิตที่เกาะกลุ่มวนเวียนเข้มข้นถึงขั้นไม่สลายตัวไป น่าตระหนกตกใจมาก!
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองฝึกวิชาอัคนีดารา คาดว่าคงไม่มีทางทนรับการพุ่งโจมตีของปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นนี้ได้เลย ส่วนเม็ดบัวเก้าเม็ดนี้ก็คงจะเป็นยาเม็ดโลหิต!
สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากเด็ดเม็ดบัวเก้าเม็ดนั้นมาแล้ว บนตัวต้นบัวโลหิตต้นนั้นก็ไม่มีปราณปีศาจโลหิตใดๆ อีก รวมทั้งรากบัวก้อนนั้นด้วย
ขณะมองดูรากบัวสีขาวหมดจดที่เปล่งประกาย เหมียวอี้ก็นึกถึงตอนที่ตัวเองอยู่ที่สำนักลมปราณ นึกถึงตำนานที่หมิงจ้าวบอก ว่ากันว่าปรมาจารย์มารโลหิตเคยได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาต้นหนึ่ง ขอเพียงสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตไม่ดับสลาย สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นก็สามารถทำให้คนตายฟื้นชีพได้ ฟื้นชีพกลับมามีสภาพเหมือนเดิม
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าสมุนไพรจิตวิญญาณต้นที่มารโลหิตบอกมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เขาค่อนข้างสงสัยว่าบัวโลหิตที่อยู่ตรงหน้าใช่สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นหรือไม่ สาเหตุที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย น้ำเต้าโลหิตคือของที่มารโลหิตทิ้งเอาไว้ ส่วนบัวโลหิตต้นนี้ก็คงไม่ได้เติบโตได้ภายในเวลาสั้นเช่นกัน ในใจเขาเรียกได้ว่าแฝงไปด้วยอารมณ์เฝ้าคอย หวังว่าสิ่งที่ตัวเองได้มาจะเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก
ทว่าเมื่อนำบัวโลหิตทั้งต้นมาพลิกดูไปมา ก็ยังมองไม่ออกว่าบัวโลหิตเทพตรงไหน ต่อให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็ยังไม่เจอผลลัพธ์อะไร ทำได้เพียงข่มความสงสัยในใจตัวเองไว้ กะว่าถ้ามีโอกาสค่อยหาคนที่สามารถไขปริศนานี้ได้ เก็บของเอาไว้ก่อนแล้วกัน
ในถ้ำพลันมืดลง จากนั้นแสงสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นอีก เหมียวอี้นำเม็ดบัวโลหิตเม็ดหนึ่งออกมาพลิกดูอีก ปีศาจโลหิตต้องอาศัยสิ่งนี้เพื่อฝึกตน แล้วใช้สิ่งนี้ฝึกตนยังไงกันแน่ล่ะ?
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูให้ลึกซึ้ง เหมียวอี้ก็ตกใจทันที พลังจิตวิญญาณ! ไม่น่าเชื่อว่ายาเม็ดโลหิตนี้จะเกิดจากการก่อตัวของพลังจิตวิญญาณกับปราณปีศาจโลหิต ไม่เพียงแค่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งยังแข็งแรงทนทานไร้ที่เปรียบ! ร่ายอิทธิฤทธิ์บี้อย่างไรก็ไม่แตกได้ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าในนี้มีพลังจิตวิญญาณกับปราณปีศาจโลหิตอยู่มากเท่าไร ถึงได้ทำให้ยาเม็ดโลหิตแข็งแรงทนทานได้ถึงขั้นนี้!
ในชั่วพริบตานี้เขามั่นใจแล้ว ปีศาจโลหิตคงอาศัยดูดซับพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนี้โดยตรงเพื่อฝึกตน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคงทำไม่ได้ ปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ข้างในเพียงพอที่จะทำให้คนตายได้ และปีศาจโลหิตก็ย่อมไม่กลัวปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในนั้นอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะช่วยเสริมพลังด้วย!
เหมียวอี้พลันหัวเราะเบาๆ ยังมีมนุษย์ที่ไม่กลัวปราณปีศาจโลหิตอยู่ คนคนนั้นก็คือเขาเอง!
เหมียวอี้พลิกฝ่ามือนำยาเม็ดโลหิตออกมาอีกเม็ด นั่งขัดสมาธิ ใช้สองมือกำไว้ข้างละเม็ด พอร่ายวิชาอัคนีดารา เปลวเพลิงไร้รูปร่างสองกลุ่มก็ห่อหุ้มยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่อยู่ในมือ ผนึกไม่ให้ปราณปีศาจโลหิตซึมออกมาข้างนอก รีบร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในยาเม็ดโลหิตอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน หมอกสองกลุ่มก็ซึมออกมาจากฝ่ามือที่เขากำอยู่ จากนั้นก็เลื้อยวนอยู่บนข้อมือเขาราวกับมังกรบินสองตัว ทะลวงเข้าไปในแขนเสื้อของเขาโดยตรง ภายใต้อากาศที่อยู่ในนั้นจำนวนมาก ทำให้ในเสื้อผ้าของเขาเริ่มพองตัวขึ้นมาทีละนิด ตรงคอเสื้อที่พองออกมีหมอกลอยวนเวียน แล้วกลายเป็นควันสามสายสูดเข้าจมูกของเขา แม้แต่รูขุมขนบนร่างกายก็ดูดซับพลังจิตวิญญาณกลุ่มนั้นอย่างเต็มอิ่มเช่นกัน
บนใบหน้าเหมียวอี้เผยรอยยิ้ม เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตน่าทึ่งจริงๆ ราวกับใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดไป พอกลั่นกรองออกมาก็ปรากฏรูปร่างเดิมที่เหมือนหมอกทันที ปกติยามใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาเพื่อรวมรวมพลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินมาดูดซับ ก็จะไม่เห็นภาพอะไรแบบนี้ ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้ของประเภทยาแก่นเซียนเลย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย หยุดกลั่นกรองยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่กำอยู่ในมือ เสื้อผ้าที่โป่งพองก็ค่อยๆ แบนลีบลงเช่นกัน เมื่อหมอกกลุ่มสุดท้ายถูกเขาอ้าปากสูบเข้าท้อง เขาก็ลืมตาขึ้นแล้ว
เขากุมยาเม็ดโลหิตสองเม็ดไว้ในมือข้างเดียวกัน ในมืออีกข้างถือระฆังดารา มันกำลังมีเสียงดัง อวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาว่า : ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไปอยู่ไหน? คงไม่ได้ทรยศทิ้งข้าไปอีกใช่มั้ย?
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาทั้งรักทั้งเกลียดผู้หญิงคนนี้ เมื่อมีผู้หญิงคนนี้อยู่ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องในบ้านเลย นางเตรียมการทุกอย่างได้ดีมาก เจ้าสามารถทำตัวเป็นเจ้านายได้เลย ประกอบกับเสน่ห์ดึงดูดทางเพศที่อยู่ในตัวของผู้หญิงคนนี้ รสชาติของเรื่องบนเตียงทำให้เขาถึงอกถึงใจจริงๆ แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจนาง นางก็จะทำให้เจ้าโมโหเดือดดาลมาก
ทำให้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องประนีประนอมกับอวิ๋นจือชิวทุกเรื่อง ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายที่กลัวเมีย เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ แบบนั้นเสียหน้ามากเกินไป แต่พอทะเลาะกันทีไรก็มักจะโดนอวิ๋นจือชิวบีบจุดอ่อนเสมอ เมียที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตหามา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่เสือตัวหนึ่ง มันทรมานเหมือนกันนะ!
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ได้ไปไหนไกล กำลังศึกษาบัวโลหิต จะกลับไปเดี๋ยวนี้
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่พอมองยาเม็ดโลหิตในมือก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอีก ใช้เวลากลั่นกรองอีกเกือบครึ่งวัน ยาเม็ดโลหิตนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นมีมากเพียงพอ
พอเก็บยาเม็ดโลหิตแล้ว เขาก็เหาะออกมาจากเส้นทางคดเคี้ยวในถ้ำ พอลอยขึ้นกลางอากาศ ก็พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เขาจึงรีบกางแขนเหาะกลับไป
เมื่อเหยียบลงตรงประตูตำหนักหลัง บัณฑิตก็รีบปล่อยเขาเข้าไปโดยที่เขาไม่ต้องบอกอะไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่ลืมที่จะเตือนว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินตามหาท่านไปทั่ว”
ในลานนอกตำหนัก อวิ๋นจือชิวที่วางมาดมารดาแห่งใต้หล้ากำลังลากกระโปรงยาวเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น ค่อนข้างกังวลว่าตัวเองกดดันเหมียวอี้โหดไปหรือเปล่า กลัวว่าจะกดดันจนเหมียวอี้หาข้ออ้างหนีไปอีก
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมา นางก็โล่งใจเหมือนยกก้อนหินออกจากอก รีบก้าวเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มนางใน นางยังโค้งกายคำนับเขาอย่างเรียบร้อยอีกด้วย “นายท่านกลับมาแล้วหรือคะ!”
กลุ่มนางในคำนับตามทันที “คำนับนายท่านเจ้าค่ะ!”
เหมียวอี้ตอบ ‘อืม’ คำเดียว วางมาดเต็มที่เช่นกัน เดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อโดยไม่เหล่ตามองแม้แต่น้อย
อวิ๋นจือชิวรีบเดินตามทันที พร้อมทั้งกำชับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่าให้จัดโต๊ะอาหารได้แล้ว
890 เวยเวยร่วมเดินทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่ห้องรับประทานอาหารในตำหนักด้านข้าง อวิ๋นจือชิวไม่ได้ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำงานหนัก นางเป็นฝ่ายจัดวางอุปกรณ์พวกชามกับตะเกียบให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “ข้าว่านะ ตรงนี้ไม่มีคนนอก ฮูหยินไม่ต้องแสดงละครหรอก?”
“แสดงละคร?” อวิ๋นจือชิวงุนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ยังคงเติมน้ำแกงใส่ชามวางตรงหน้าเขาต่อไป พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ข้าปรนนิบัติเจ้าด้วยเจตนาดี แต่กลายเป็นแสดงละครในสายตาเจ้าเสียแล้ว เจ้ามีมโนธรรมสักหน่อยได้มั้ย? ขอเพียงเจ้าไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ข้าก็ปรนนบัติเจ้าด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว”
“จริงหรือล้อเล่น? เอ่อคือ…” เหมียวอี้ชี้ไปบนไหล่ของตัวเอง “นวดไหล่ให้ข้าก่อนสิ!”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รีบเข้ามาทำแทนทันที แต่เหมียวอี้โบกมือห้ามทั้งสอง “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำหรอก พวกเจ้านั่งกินก็พอ ข้าอยากให้นางปรนนิบัติข้า!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาอย่างสวยหยาดเยิ้ม รู้ว่าในใจของเจ้าบ้านี่ยังไม่หายโกรธ แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินไปข้างหลังเขาจริงๆ นางกดมืออันงดงามอ่อนนุ่มลงบนหัวไหล่เขา แล้วเริ่มบีบนวดด้วยน้ำหนักแรงที่พอเหมาะพอดี ยังถามอีกว่า “น้ำหนักมือเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็พอได้!” เหมียวอี้พิงเก้าอี้พร้อมทำสีหน้าผ่อนคลาย แล้วก็ชี้ไปยังเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังมองตัวเองอยู่ “พวกเจ้านั่งลงสิ นั่งลงเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนนอก นั่งลงกินก่อนเลย”
สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเชียนเอ๋อร์ก็ลองพูดเตือนว่า “นายท่านเจ้าคะ อาหารทั้งโต๊ะนี้ ฮูหยินเป็นคนลงมือทำให้ท่านด้วยตัวเอง วัตถุดิบต่างๆ ฮูหยินก็เลือกสรรเองอย่างเอาใจใส่ ถ้าปล่อยให้เย็นจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”
เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกวาดสายตามองอาหารชั้นดีที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนี้ลงมือทำอาหารให้เขากิน ในใจรู้สึกซาบซึ้งนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวที่กำลังนวดไหล่ให้เขากล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “พอแล้ว! พวกเจ้ากินก่อนได้เลย เจ้าบ้านี่ยังไม่หายโกรธ กำลังจงใจทรมานข้า ถ้าไม่ให้เขาระบายอารมณ์สักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าต่อไปในใจจะแค้นเคืองข้าอย่างไร อาจจะด่าจนข้าตายด้วยซ้ำ เฮ้อ! ใครใช้ให้ข้าวาสนาดีได้มาแต่งงานกับเขาล่ะ สวรรค์ลิขิตให้ข้าต้องโดนเขาทรมานไปทั้งชาติ หนิวเอ้อร์ เจ้าว่าใช่รึเปล่า?”
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ สองที “ไม่ได้ทรมานเจ้า…พวกนางสองคนก็พูดมีเหตุผล ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย ไปกินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยนวดให้ข้าก็ยังไม่สาย”
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวถึงได้หยุดมือ แต่ไม่ได้รีบเข้ามานั่ง นางถกแขนเสื้อขึ้น แล้วจับตะเกียบคีบอาหารแต่ละอย่างวางใส่จานให้ตรงหน้าเหมียวอี้ “นายท่านลองชิมดูนะเจ้าคะ ดูว่าอาหารจานไหนถูกปาก ถ้าถูกปากก็บอกกันสักหน่อย ถ้ามีโอกาสข้าจะแสดงละครแบบนี้ให้ดูอีก”
เมื่อคีบอาหารเสร็จแล้วก็นั่งลงข้างกายเขา แล้วหันมองเขาชิมอาหารทีละอย่าง ทุกเขาครั้งเขากิน นางก็จะลองถามว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากเหมียวอี้ชิมแล้ว ก็เลือกอาหารที่ตัวเองชอบที่สุด แล้วพูดเสริมอย่างรู้สึกเกรงใจอีกว่า “เจ้าก็กินด้วยสิ! ขอแค่เป็นอาหารที่ฮูหยินทำเอง ข้าก็ชอบหมด”
“ปากก็พูดจาน่าฟัง แต่ในใจอาจจะด่าว่าไม่อร่อยก็ได้!” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยากจะปิดบัง ตอนนี้ใบหน้าของนางดูกระปรี้กระเปร่ามาก นางพูดเสริมอีกว่า “ขอแค่เจ้าไม่รังเกียจที่จะกิน ต่อไปถ้าอยู่ในบ้านข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเอง”
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก วิธีการ ‘ฟาดหนึ่งกระบอง ป้อนพุทราเชื่อมหนึ่งผล[1]’ แบบนี้ ช่างเหมือนตกนรกทั้งเป็นจริงๆ!
แต่ไม่ว่าจะยังไง เหมียวอี้ก็ยังไว้หน้านาง เพื่อที่จะแสดงออกว่านางทำอาหารอร่อย เขายัดอาหารลงท้องอย่างดุดัน กินจนอวิ๋นจือชิวทำสีหน้าเบิกบานแจ่มใส ลุกขึ้นคีบอาหารให้เขาอีก นางใช้เวลาส่วนใหญ่มองดูเขากิน ในแววตาเต็มไปด้วยความละมุนละไม
เหมียวอี้ซึ้งในน้ำใจของนางแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยชินกับวิถีชีวิตสามีภรรยาแบบนี้ รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ขนาดเวลากินยังเหนื่อยเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขายังไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตที่มีคนมานั่งกินข้าวกับเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นสามีภรรยากันมาแล้วหลายร้อยปี แต่เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ยังไม่เยอะ ทั้งสองยังต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวเข้าหากัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ นิสัยเดิมของอวิ๋นจือชิวก็กำเริบอีกแล้ว นางเคยชินกับการอาบน้ำวันละสองครั้ง ขอเพียงไม่มีกิจธุระจำเป็น นางก็จะบังคับเหมียวอี้ด้วย ให้เขารีบไปอาบน้ำ
เห็นแก่ที่นางทำอาหารดีๆ ไว้เต็มโต๊ะ เหมียวอี้จึงไม่เถียงอะไรมาก ตอนกำลังจะเดินไปที่ห้องอาบน้ำ แต่กลับโดนอวิ๋นจือชิห้ามไว้ “ไปอาบกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แล้วกัน คืนนี้ก็นอนกับพวกนาง ข้าจะฝึกตน ไม่ว่างมาปรนนิบัติเจ้า!”
หญิงรับใช้ทั้งสองหน้าแดงทันที ก้มหน้าจะจัดเก็บโต๊ะอาหาร แต่อวิ๋นจือชิวบอกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเก็บหรอก ไปกับนายท่านเถอะ เดี๋ยวตรงนี้มีคนทำให้” พูดจบก็เรียกนางในสองคนเข้ามา
ดังนั้นคืนนี้ประมุขปราสาทเหมียวจึงสำราญบานใจมาก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ต้องทำตามที่เขาต้องการแน่นอน และไม่กล้าควบคุมเขาด้วย กอปรกับการที่ทั้งสองถูกอบรมสั่งสอนเรื่องปรนนิบัติผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ย่อมปรนนิบัติประมุขปราสาทเหมียวได้ถึงอกถึงใจอยู่แล้ว…
เพียงแต่วันต่อมา เหมียวอี้ก็ยังต้องไปที่ห้องหนังสือแต่โดยดี ไปคัดตัวอักษรสองร้อยตัวนั้น ส่วนอวิ๋นจือชิวก็นำน้ำแกงที่เคี่ยวใส่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์มาให้ชามหนึ่ง ให้เขาดื่มก่อนแล้วค่อยเขียน แน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะพูดหยอกล้อ บอกว่าช่วงนี้ร่างกายของนายท่านคงจะขาดสารอาหารอย่างหนัก ต้องบำรุงมากๆ หน่อย
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัว อวิ๋นจือชิวมีพื้นเพมาจากนภาจอมมาร เรียกได้ว่าอยากพูดอะไรก็พูดออกมาหมด
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ย่อมหน้าแดงเหมือนก้นลิง เหมียวอี้กลับไม่เป็นอะไร ผู้ชายก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งโลก ขอแค่ไม่ไปทำซี้ซั้วข้างนอก การหาความสุขในบ้านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เดิมทีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นผู้หญิงของเขาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าเขินอาย
ค่านิยมของสังคมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ชายเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงด้วยเหมือนกัน ภายใต้ค่านิยมอันสมเหตุสมผลที่ฝังรากลึก สำหรับสิ่งนี้ อวิ๋นจือชิวไม่คิดว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง นางคิดว่าการที่เหมียวอี้ไปนอนกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์คือเรื่องที่สมควรเหมือนกัน
เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก ช่วงสองสามวันนี้ร่างกายของประมุขปราสาทเหมียวขาดสารอาหารอย่างรุนแรงจริงๆ แต่เขาไปนอนกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แค่คืนนั้น สองคืนต่อมายังคงนอนในห้องหลัก ทุ่มเทพลังไปกับร่างกายของอวิ๋นจือชิว เป็นเพราะผลจากค่านิยมในสังคมเช่นเดียวกัน เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต้องสร้างความสมดุลให้ความสัมพันธ์ในบ้าน เวลาไหนที่ควรจะทุ่มเทพลังกายกับภรรยาเอก เขาก็ต้องทุ่มเทพลังกายกับนาง ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะโดนภรรยาเอกกำจัดทิ้ง ถ้ายั่วให้อวิ๋นจือชิวโมโหขึ้นมา เหมียวอี้ก็เชื่อว่านางทำแบบนั้นได้
สิ่งที่เรียกว่าผ่อนคลายสามวัน จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าวันคืนแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ อวิ๋นจือชิวปรนนิบัติเขาได้อย่างเหมาะสม วันไหนที่ไม่ได้ฝึกตน นางก็จะลงมือทำอาหารให้เขาสามมื้อด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นสามวัน อวิ๋นจือชิวก็บังคับให้เหมียวอี้ไปฝึกตน แต่เหมียวอี้ก็มีเหตุผลมาอ้างอีกแล้ว บอกว่าตัวเองไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปี ต้องไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าบ้าง จากนั้นก็จะไปที่นภาจอมมารด้วย
พอเขาอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมา อวิ๋นจือชิวก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงเสนอเงื่อนไขขึ้นมา นั่นก็คือต้องพานางไปด้วย พร้อมทั้งต้องพาฉินเวยเวยไปด้วย
เหมียวอี้ย่อมแปลกใจ เพราะพานางไปคนเดียวก็พอแล้ว จึงถามว่า “พาฉินเวยเวยไปด้วยทำไม?”
“เรื่องระหว่างผู้หญิง เจ้าไม่เข้าใจหรอก ไม่เกะกะธุระของเจ้าหรอกน่า เชื่อฟังข้าน่ะถูกต้องแล้ว อย่างน้อยระหว่างทางก็มีคนคอยเล่นหมากล้อมกับเจ้า ไม่ดีเหรอ?”
ดังนั้น เกี้ยวหลังหนึ่งจึงเหาะออกจากปราสาท ช่างไม้และช่างหินยังคงหามเกี้ยวเหมือนเดิม อวิ๋นจือชิวยังคงนอนอยู่ในมุ้ง เหมียวอี้นั่งด้านนอกเกี้ยว ทุกคนรู้สึกว่าภาพนี้ดูคุ้นตาเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน…
ประมุขปราสาทและฮูหยินมาหาด้วยตัวเอง ฉินเวยเวยย่อมรู้สึกตกตะลึง หลังจากรู้ว่าต้องการจะพานางไปเยี่ยมเยียนแขกด้วยกัน นางก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แต่ในเมื่อฮูหยินเอ่ยปากแล้ว นางก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงร่วมทางไปด้วยกัน
เกี้ยวหลังงามเหาะอยู่บนฟ้า เหมียวอี้กับฉินเวยเวยแข่งหมากล้อมกัน ส่วนอวิ๋นจือชิวก็นั่งหันหลังพิงเหมียวอี้ ปากขยับพึมพำร้องเพลงเบาๆ ปล่อยให้ผ้ามุ้งบางปลิวปะทะหน้า
พวกเขาไปไปเยี่ยมเยียนซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลีที่อยู่ใกล้ก่อน จากนั้นก็ไปหาจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลัน ส่วนทางด้านกู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน พวกเขาก็ไปเยี่ยมเยียนเช่นกัน จากนั้นก็ไปเยี่ยมพี่ใหญ่ร่วมสาบานทั้งสี่ที่ทะเลดาวนักษัตร
พวกเขามาค้างที่ทะเลดาวนักษัตรหลายวัน เหมียวอี้คุยกับปีศาจเฒ่าทั้งสี่นานมาก เมื่ออยู่กับประมุขถิ่นสี่ทิศจะคุยเรื่องอะไรได้ล่ะ ทั้งสี่ย่อมสนใจพิภพใหญ่อยู่แล้ว ถามเขาว่าหลายร้อยปีมานี้ไปพิภพใหญ่มาใช่มั้ย
เหมียวอี้บอกทั้งสี่ว่า เขาไปพิภพใหญ่มาแล้วจริงๆ แต่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะโดนขังที่ค่ายกลมารโลหิตหลายร้อยปี โชคดีที่ได้เจอคนของปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายสามารถสู้กับปีศาจโลหิต ตนถึงได้หนีรอดชีวิตกลับมาได้ หลังจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่พิภพใหญ่โดนปล้น ข่าวสารก็ยังน่ากังวลมาก มีการสืบค้นตรวจสอบอยู่ทั่วทุกที่ เขาเองก็ยังไม่กล้าไปเหมือนกัน ให้ทั้งสี่ล้มเลิกความคิดที่จะไปพิภพใหญ่เอาไว้ชั่วคราว
จากนั้นปีศาจเฒ่าทั้งสี่ก็พาเหมียวอี้ไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลาง ตำหนักนี้สร้างได้งดงามหรูหราจริงๆ ปีศาจเฒ่าใช้ความคิดไปมากจริงๆ ทั้งยังขอความเห็นจากอวิ๋นจือซ้ำแล้วซ้ำอีก ตำหนักนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาหิมะสูง ใหญ่โตโอ่อ่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพุ่งขึ้นฟ้า
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ ด้านหลังของตำหนักประมุขถิ่นกลางเป็นภูเขาสูงและทะเลสาบ ที่นั่นเป็นฤดูใบไม้ผลิทั้งปี เป็นทิวทัศน์ที่งดงามไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ราวกับอยู่ในผ้าแพรลายดอกไม้ เพียงแต่สองสามีภรรยายังไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ตำหนักประมุขถิ่นกลางว่างมาตลอด มีปีศาจกลุ่มหนึ่งคอยรับผิดชอบเฝ้าดูแลและงานทำความสะอาดประจำวัน
ตอนที่เดินมาถึงริมทะเลสาบพร้อมกับอวิ๋นจือชิวและฉินเวยเวย เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ถ้ามีปัจจัยพร้อมก็นำค่ายกลแปดทิศมาใช้ที่นี่ ล้อมรัศมีของที่นี่ไว้สักสิบลี้ แล้วส่งคนมาคอยเฝ้าดูแล เวลาที่อยากมาอยู่ก็ค่อยมาอยู่”
อวิ๋นจือชิวกำลังเดินคู่อยู่กับฉินเวยเวย นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่เดินเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่ง แล้วพูดหยอกล้อว่า “ถ้าเลี้ยงอนุภรรยาไว้อีกสักสองสามคนก็ดีกว่าใช่มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วเตือนว่า “ปากไม่มีหูรูด เดี๋ยวเวยเวยได้ยินเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอก”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “เจ้าอย่าพูดไปเลย ถ้าเจ้าแต่งคนอื่นมาเป็นอนุภรรยา ข้าก็ไม่ยอมรับหรอก แต่ถ้าเจ้าแต่งกับเวยเวยน้องสาวข้า ข้าก็จะสนับสนุนแน่นอน!”
ฉินเวยเวยหน้าแดงเรื่อทันที เรียกได้ว่าเขินอายมากจริงๆ นางแอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้โดยจิตใต้สำนึก
“แค่กๆ!” เหมียวอี้กำหมัดไอแห้งๆ แล้วเตือนว่า “ฮูหยิน ถ้าพูดจาเหลวไหลอีก ระวังจะมีเรื่องกับผู้การใหญ่หยางนะ!”
“ข้าไม่ได้พูดขาเหลวไหลนะ ขอแค่เวยเวยตอบตกลง ข้าก็จะจัดงานให้พวกเจ้าสองคนทันที นิสัยอย่างเจ้าน่ะ ถ้าเวยเวยชอบก็แปลกแล้ว” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกเขา แล้วหันมาถามฉินเวยเวยว่า “น้องสาว เจ้าคิดเหมือนกันมั้ย?”
ฉินเวยเวยหน้าแดงก่ำ อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็ส่ายหน้า รับมือกับผู้หญิงบ้าคนนี้ไม่ไหว นางกล้าพูดทุกอย่างที่คิดจริงๆ
หลังจากออกจาตำหนักประมุขถิ่นกลาง เหมียวอี้รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ไม่มีอารมณ์เล่นหมากล้อมกับฉินเวยเวยแล้ว ตอนนี้ต้องไปนภาจอมมารแล้ว ต้องไปเข้าพบปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ท่านนั้นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพิภพเล็ก ไม่รู้ว่าจะมีบุคลิกท่าทางอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าจะมองหลานเขยคนนี้อย่างไร!
891 เยือนนภาจอมมารครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถ้าจะให้พูดจริงๆ เหมียวอี้ก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าถ้าตัวเองไม่ได้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว ถ้าอาศัยแค่ตัวเขาเองในตอนนี้ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปเป็นแขกของนภาจอมมารได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้พบหน้าปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน
แต่อวิ๋นจือชิวกลับยังคงพูดคุยกับฉินเวยเวยเรื่องแต่งงานเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ตลอดทาง ทั้งยังให้ฉินเวยเวยช่วยออกความคิดเห็นด้วย ว่าผู้หญิงแบบไหนเหมาะจะแต่งงานเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้
“พี่สาวอยากจะหาอนุภรรยาให้นายท่านจริงๆ เหรอคะ?” เมื่อฟังมาจนถึงตอนท้าย ฉินเวยเวยที่คอยฟังมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ถ้ายืนอยู่ในมุมของผู้หญิง นางไม่กล้าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะใจกว้างขนาดนั้นจริงๆ
“คิดว่าข้าพูดเล่นเหรอ? ข้าคิดอย่างนี้จริงๆ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาแอบหนีไป หนีไปทีก็หลายร้อยปี ข้ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ ผู้ชายเจ้าชู้หลายใจมาก บางทีข้าคนเดียวอาจจะทำให้เขาพอใจไม่ได้ เลยตัดสินใจจะหาอนุภรรยาให้เขาสักคนหนึ่ง”
ช่างไม้กับช่างหินที่กำลังหามเกี้ยวพากันกลั้นขำ ส่วนเหมียวอี้ก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ อุดปากผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่อีกแล้ว เอาแต่คิดไปเองแทนเขาไม่หยุด ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก จึงหันกลับมาเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อวิ๋นจือชิว ข้าไปนภาจอมมารมือเปล่าแบบนี้จะเหมาะสมหรือเปล่า? จะให้ข้าเตรียมของขวัญอะไรสักหน่อยมั้ย?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล อะไรที่ควรเตรียมข้าก็เตรียมไว้แล้ว เจ้าไปแต่ตัวก็พอ” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจูงมือฉินเวยเวยมาคุยประเด็นก่อนหน้านี้ต่อ “น้องสาว! เจ้าช่วยข้าออกความเห็นหน่อยสิ ดูว่าผู้หญิงแบบไหนจะเหมาะสม”
“เรื่องแบบนี้ ถ้าพี่สาวใจร้อนก็เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ คงต้องดูว่านายท่านชอบแบบไหนค่ะ” ฉินเวยเวยฝืนยิ้ม
อวิ๋นจือชิวยื่นปลายเท้าไปจิ้มก้นเหมียวอี้ทันที “ถามเจ้าอยู่นะ ชอบแบบไหนล่ะ?”
เหมียวอี้เอามือคลำก้นพลางร้องอุทาน จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวบ้าบอแบบนี้ได้มั้ย? เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ! ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะรับอนุภรรยา!”
ในใจเขาเตรียมพร้อมป้องกัน สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้คงกำลังทดสอบเขาแน่ๆ ถ้าเขาเอ่ยปากยอมรับจริงๆ เดี๋ยวกลับไปคงลำบาก
“ไม่ต้องแสร้งทำตัวเรียบร้อยอะไรหรอก!” อวิ๋นจือชิวเท้าสะกิดก้นเขาอีกที แล้วหันกลับมาพูดกับฉินเวยเวยอีก “น้องสาว ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็มีกำลังคนไม่น้อย เดี๋ยวกลับไปช่วยข้าดูให้ดีๆ หน่อยนะ ถ้าเจอคนที่เหมาะสมก็พามาให้ข้าดูหน่อย”
ฉินเวยเวยพยายามเจียดรอยยิ้มพลางพยักหน้า นับว่าตอบตกลงแล้ว เพียงแต่หลายครั้งที่เห็นเถ้าแก่เนี้ยใช้เท้าจิ้มก้นเหมียวอี้ เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าจนใจ นางก็ค่อนข้างเห็นใจเขา นึกไม่ถึงว่าประมุขปราสาทผู้สง่าผ่าเผยจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยิน
ในหัวนางมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา นั่นก็คือ อวิ๋นจือชิวได้แต่งงานกับเหมียวอี้ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ฮูหยินอย่างดีที่สุด และไม่ได้ดูแลผู้ชายคนนี้ให้ดี ผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติต่อสามีตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร? นางพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงแอบหนีไป เป็นไปได้สูงว่ารับไม่ได้กับการโดนทารุณ ขนาดอยู่ต่อหน้าคนนอกอวิ๋นจือชิวยังทำแบบนี้ได้ เมื่ออยู่ในบ้านก็คงไม่ได้ดีสักเท่าไร
หลังจากฉินเวยเวยคิดได้แบบนี้ ก็รู้สึกปวดใจแทนเหมียวอี้อย่างบอกไม่ถูก ในปีนั้น ผู้ชายที่ขี่อาชามังกรบุกเดี่ยวท่ามกลางกำลังพลนับพันและโบกทวนตะโกนอย่างดุดันเกรี้ยวกราดว่า ‘เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้กับข้า’ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขนาดนี้ ถ้าในปีนั้นทั้งสองได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ตัวเองจะไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างขาดความยุติธรรมเด็ดขาด…
ยอดเขาสูงเสียดฟ้า ยิ่งใหญ่สยบใต้หล้า!
เกี้ยวเหาะมาเหยียบลงนอกประตูใหญ่ของนภาจอมมารโดยตรง ไม่ต้องไปรายงานก่อน ด้วยยี่ห้ออย่างอวิ๋นจือชิว สามารถเดินเคียงคู่กับเหมียวอี้เข้าประตูใหญ่ไปได้เลย ปกติอวิ๋นจือชิวจะเหาะขึ้นไปบนภูเขาโดยตรง แต่ตอนนี้เหมียวอี้เยี่ยมคารวะเป็นครั้งแรก คงไม่ดีถ้าจะทำตัวเสียมารยาท จะต้องทำตามระเบียบ
ฉินเวยเวยเดินตามหลังทั้งสองอย่างค่อนข้างตื่นเต้นกังวล ไม่เคยนึกมาก่อนว่าวันหนึ่งจะได้มาเหยียบในสถานที่ชั้นสูงแบบนี้ โดยเฉพาะตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนป้ายประตูข้างหน้า ยิ่งใหญ่สยบใต้หล้า!
มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา แค่มองปราดเดียวก็ทำให้หวาดกลัว เผยให้เห็นความเผด็จการ มีพลังสยบใต้หล้าจริงๆ ด้วย นี่คือสถานที่เก็บตัวฝึกตนของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ผู้ซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สูงสุดในใต้หล้า จะไม่ให้ฉินเวยเวยตื่นเต้นกังวลได้อย่างไร
ช่างไม้กับช่างหินที่อยู่ข้างหลังเก็บเกี้ยวแล้ว ก่อนหน้านี้ช่างไม้ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในนภาจอมมาร แต่ตอนนี้ถือว่าตัดขาดความสัมพันธ์กับนภาอู๋เลี่ยงแล้ว กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอวิ๋นจือชิวแล้ว มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ได้
ภูเขายิ่งใหญ่เกรียงไกรตั้งสูงชันอยู่สองข้างทาง เต็มไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่และหินประหลาด ตรงแนวเทือกเขาที่อยู่ไกลโพ้นมีเสียงสัตว์ป่าร้องไม่หยุด พวกเขาเดินขึ้นบันไดตามทางหินที่ตัดผ่านภูเขา เหมียวอี้และอวิ๋นจือชิวเดินเคียงกันอยู่หน้าสุด อวิ๋นจือชิวสวมมงกุฎหงส์ ดูสูงส่งภูมิฐาน กระโปรงยาวข้างหลังลากพื้น
พวกเขายังไม่ทันเดินขึ้นเขา ก็ได้ยินเสียงทักทายโหวกเหวกโวยวายดังมาไม่หยุด “พี่หญิงใหญ่ พี่เขยมาแล้ว…”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ฟังออกถึงเสียงคุ้นเคยที่ปะปนอยู่ในนั้น
ซวบๆ! เงาคนหลายคนเหาะมาเหยียบลงบนไหล่เขา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็มีคนโผล่มาเป็นร้อยแล้ว กำลังยืนมองลงมาข้างล่าง เหมือนทุกคนมาดูเอาสนุก อวิ๋นจือชิวจึงหันกลับมาพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าช่างหน้าใหญ่จริงๆ นะ พวกเขามาต้อนรับเจ้าทั้งนั้น ข้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้เลย”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ รู้สึกหนาวชาหนังศีรษะนิดหน่อย ญาติพี่น้องพวกนี้ประหลาดพิลึกจริงๆ ข้าจำได้ไม่หมดหรอก!
มีบางคนที่ตะโกนโวยวายอยู่ข้างบนแล้ว อย่างเช่นอวิ๋นเฟยหยาง แหกปากตะโกนทักทายว่า “พี่เขย ทำไมแค่เดินยังเดินช้าขนาดนั้นล่ะ? ตอนที่ขึ้นเตียง พี่หญิงใหญ่โหดเกินใช่มั้ย ทำเอาท่านตัวอ่อนเป็นกุ้งแล้ว แรงแค่นี้ยังกล้ามาที่นภาจอมมารอีกนะ!”
พี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกันหัวเราะลั่น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงร้อง “อ๊า” อวิ๋นเฟยหยางโดนถีบกลิ้งลงบันไดมาหลายตลบ พอลุกขึ้นได้ก็ตะโกนอย่างโมโห “แม่งเอ๊ย ใครมัน…”
เสียงตะโกนพลันเงียบลง คนที่ถีบคืออวิ๋นก่วง บิดาของเขานั่นเอง ตอนนี้กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อวิ๋นเฟยหยางเหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า รีบหุบปากแล้วก้มหน้าเดินอ้อมไปด้านข้างอย่างซึมๆ
เหมียวอี้เหงื่อแตกพลั่ก พบว่าเจ้าพวกนี้กล้าพูดทุกอย่างออกมาจริงๆ แม้แต่คำพูดไร้ยางอายก็สามารถตะโกนออกมาต่อหน้าต่อหน้าสาธารณะชนได้
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ดวงตางามฉายแววดุดัน จ้องตามหลังอวิ๋นเฟยหยางที่เดินหดหัวไป แล้วหันมายิ้มให้ฉินเวยเวยที่กำลังทำสีหน้าอึดอัด “น้องสาว เป็นแค่คนส่วนน้อยที่ปากไม่มีหูรูดน่ะ อย่าเก็บคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจเลยนะ”
ฉินเวยเวยฝืนยิ้มอย่างเก้อเขิน นางไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่าของชายหญิงมาก่อน จะไปชินกับคำพูดลามกได้อย่างไร
เหมียวอี้กลับพึมพำในใจว่า นี่เป็นคนส่วนน้อยเหรอ? เหมือนทุกคนในตระกูลอวิ๋นที่ข้ารู้จักจะปากไม่มีหูรูดกันหมดเลยนะ ฮูหยินเองก็ไม่ได้ดีกว่าพวกเขาสักเท่าไรหรอกมั้ง? เป็นอีกาฝูงเดียวกันแท้ๆ จำเป็นต้องไปว่าคนอื่นมั้ย!
พอพวกเขาเดินขึ้นมาบนเนินเขาที่ใช้ต้อนรับแขก สองสามีภรรยาไล่เรียงคำนับผู้ใหญ่ด้วยกันทันที “อาหญิงสาม อาหก อาแปด…”
ส่วนอาเขยกับอาสะใภ้ที่อยู่ข้างหลังก็มีจำนวนเยอะเกินไป โดยเฉพาะบรรดาอาสะใภ้ พวกอาเขยยังดีหน่อย เพราะมีคุณธรรมความเชื่อคอยควบคุม ที่นภาจอมมารจึงยังไม่มีปรากฏการณ์หนึ่งหญิงหลายสามี แต่พวกอาสะใภ้นั้นต่างออกไป บางคนที่มีเมียเยอะหน่อยก็ปาเข้าไปสิบยี่สิบคน
สรุปก็คือเหมียวอี้โค้งกายคำนับจนแทบจะมึนศีรษะ เขาจะไปจำคนมากมายขนาดนี้ในรวดเดียวได้อย่างไร แต่มาครั้งแรกจะเสียมารยาทไม่ได้ ให้ความสำคัญกับทุกคนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง โชคดีที่ข้างกายมีอวิ๋นจือชิว แค่เรียกชื่อตามนางก็พอแล้ว
ฉินเวยเวยที่ยืนอยู่กับช่างไม้และช่างหินเห็นแล้วตาลาย คำว่าเจ็ดอาแปดน้า[1] เมื่อเทียบกับญาติพี่น้องพวกนี้แล้วยังนับว่าห่างชั้น คึกคักวุ่นวายมาก
หลังจากคำนับเสร็จ ในฐานะที่เป็นผู้จัดการชั้นหนึ่งของบรรดาพี่น้องเหล่านี้ อาหกอวิ๋นเซี่ยวออกคำสั่งว่า “ประกาศลงไป ลูกเขยใหม่มาเยือนบ้านแล้ว จัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับแขก ห้ามขาดไปแม้แต่คนเดียว จะดีใจหรือไม่ดีใจก็ต้องมาร่วมงานกันให้ครบ!”
เมื่อพูดจบก็ย่อมมีคนไปเตรียมการ อวิ๋นจือชิวโดนบรรดาน้องสาวเสียงเจื้อยแจ้วดึงตัวไปทันที ส่วนเหมียวอี้ก็โดนพวกผู้ชายดึงตัวไปพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น ทำเหมือนจะพวกมารุมทำร้าย
อวิ๋นจือชิวที่สวมมงกุฎหงส์และแต่งตัวเหมือนมารดาแห่งใต้หล้า เมื่ออยู่ท่ามกลางสาวๆ กลุ่มนี้ ก็เรียกได้ว่าเด่นสง่ามีราศีราวกับนกกระเรียนในฝูงไก่ พวกน้องๆ ชมนางไม่หยุดว่าเครื่องแต่งกายงดงาม แต่ละคนทำสายตาอิจฉาชื่นชม ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่มีปัญญาหามาใส่ แต่เครื่องแต่งกายที่ดูโดดเด่นเหนือคนอื่นขนาดนี้ พวกนางไม่กล้านำมาใส่ที่นี่ส่งเดช ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็โดนพวกน้องๆ ชมจนหน้าชื่นตาบาน ยิ้มแย้มอย่างสดใส เพราะได้สวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านไงล่ะ นี่คือหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดยามผู้หญิงได้โอ้อวดความมีหน้ามีตา เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีมากหลังจากแต่งงานออกไป
เหมียวอี้ยิ้มจนหน้าแทบชา ผ่านไปไม่นานพวกน้องชายก็เริ่มชวนเขาคุยเรื่องผู้หญิงแล้ว นับว่าทำให้เขาได้เข้าใจอย่างแท้จริงถึงสิ่งที่เรียกว่าปากไม่มีหูรูด
มีบางคนบอกเขาว่า เบื้องล่างส่งหญิงงามมาให้สองคน พี่เขยเพิ่งมาเป็นครั้งแรก จึงตัดสินใจจะเสียสละมอบให้พี่เขยได้เสพสุขก่อน ทั้งยังบอกเขาว่าไม่ต้องเกรงใจ สถานที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่ให้พี่หญิงใหญ่จับได้แน่นอน มีบางคนกลัวน้อยหน้า บอกว่าเดี๋ยวคราวหลังจะหาหญิงงามมามอบเป็นของขวัญให้เช่นกัน บางคนก็บอกว่าเมื่อก่อนตอนที่อยู่นภาจอมมาร พี่หญิงใหญ่เป็นคนเผด็จการวางอำนาจบาตรใหญ่มาก ถามเหมียวอี้ว่านางเผด็จการเรื่องบนเตียงด้วยหรือเปล่า บางคนถึงขั้นถามว่า เวลาเหมียวอี้กับพี่หญิงใหญ่อยู่ด้วยกันยัง…
เหมียวอี้อยากจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเจ้าพวกนี้จริงๆ เป็นบ้าอะไรกันไปหมด ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้ว เมื่อเทียบอวิ๋นจือชิวกับเจ้าเดรัจฉานพวกนี้ ก็นับว่านางสุภาพเรียบร้อยมากแล้ว เขารู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในรังหมาป่า แต่ก็ยังต้องเจียดร้อยยิ้มออกมา
โชคดีที่ไม่ได้ทรมานนานเกินไป เขาปลีกตัวออกมาได้แล้ว เมื่อสองสามีภรรยามาที่นี่ คนแรกที่ต้องเข้าพบก็ย่อมเป็นนายท่านของที่นี่ ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!
สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าถ่วงให้ทั้งสองเสียเวลา พวกเขาแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
ฉินเวยเวย ช่างไม้และช่างหินไม่สะดวกจะเข้าไปด้วย ย่อมมีคนพาพวกเขาไปพักผ่อน
อวิ๋นจือชิวคุ้นเคยกับทางไปตำหนักจอมมาร ไม่ต้องให้ใครนำทางเลย นางกับเหมียวอี้เดินขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุด เหมียวอี้ที่เพิ่งได้รับความสงบปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถามว่า “น้องชายพวกนั้นจ้องแต่จะส่งผู้หญิงมาให้ข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วแสยะยิ้มพลางบอกว่า “ใครพูดบ้าง บอกชื่อมาซิ เดี๋ยวข้าจะไปคิดบัญชีทีละคน!”
แบบนี้พี่เขยอย่างข้าจะไม่ทำให้คนกลุ่มใหญ่ขุ่นคืองใจหรอกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน “ข้าลืมชื่อแล้ว!”
เมื่อมาถึงลานกว้างบนยอดเขา ตำหนักจอมมารก็ปรากฏสู่สายตา มีเมฆมารผืนหนึ่งลอยวนเวียนอยู่บนฟ้าเหนือตำหนักจอมมาร ตอนแรกเหมียวอี้นึกว่าเป็นเมฆครึ้มที่อยู่บนฟ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นกลุ่มปราณมารที่ลอยขึ้นมาจากตำหนักจอมมาร
ตาเฒ่าเฉียวที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัวยืนเงียบๆ อยู่บนบันไดนอกตำหนัก ประตูตำหนักที่อยู่ข้างหลังปิดสนิท เขายิ้มตาหยีให้ทั้งสองมาแต่ไกลๆ เมื่อเห็นทั้งสองใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็เดินลงมาช้าๆ หลังจากพบหน้ากัน ก็กุมหมัดทักทายว่า “น้องชิวพาหลานเขยมาเข้าพบนายท่านด้วยตัวเองเลย”
“ตาเฒ่าเฉียว!” สองสามีภรรยาไม่กล้าเสียมารยาทกับคนตรงหน้า จึงคำนับพร้อมกัน จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็บอกว่า “รบกวนตาเฒ่าเฉียวไปแจ้งท่านปู่ให้หน่อยค่ะ น้องชิวพาสามีมาเข้าเยี่ยมคารวะท่านปู่!”
“ไม่ต้องแจ้งหรอก! นายท่านทราบแล้วว่าหลานเขยมาหา แต่ก่อนจะพบกัน นายท่านมีคำถามฝากข้ามาถามหลานเขยก่อน” บนใบหน้าตาเฒ่าเฉียวยังคงรอยยิ้มเอาไว้ตามปกติ แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวว่า “นายท่านบอกไว้ว่า ถ้าจะมาเยี่ยมคารวะในฐานะหลานเขย ก็เข้าไปพบได้ แต่ถ้ามาเพื่อจุดประสงค์อื่น อย่างเช่นมาเพื่อเยียนเป่ยหงคนนั้น ก็ไม่ต้องเข้าพบ!”
892 พบอวิ๋นอ้าวเทียนครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ก็ย่อมพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเยียนเป่ยหง เขาก็คงไม่โผล่มาในเวลานี้เหมือนกัน เพราะตอนแรกที่พาอวิ๋นจือชิวออกจากทะเลทรายม่านเมฆา ตาเฒ่าเฉียวก็ได้บอกเจตนาของอวิ๋นอ้าวเทียนให้เขารับรู้อย่างชัดเจนแล้ว และเขาก็ไม่อยากมาอาศัยบารมีด้วย
สถานการณ์แบบนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวอึดอัดพอสมควร ตัวนางเองนั้นไม่เป็นอะไร แต่กลัวว่าสามีของตัวเองจะทนเสียศักดิ์ศรีไม่ไหว จึงบอกทันทีว่า “ตาเฒ่าเฉียว อนุญาตให้ข้าเข้าไปคุยกับท่านปู่ก่อนได้มั้ยคะ!”
ตาเฒ่าเฉียวยกมือห้าม แล้วส่ายหน้าบอกว่า “น้องชิว ครั้งก่อนที่เจ้ามาพูดขอร้อง นายท่านก็พูดไว้ชัดเจนแล้ว เห็นแก่ไมตรีที่เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลอวิ๋น ถึงได้ไว้หน้าเจ้า ครั้งแรกเจ้ามาเอ่ยปากขอร้องเพื่อหลานเขย นายท่านไม่อยากให้เจ้าลำบากใจเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานเขย จึงรับปากเจ้าว่าจะไม่ฆ่าเยียนเป่ยหง น้องชิว ตอนนี้เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจนนะ เจ้าเป็นหลานสาวของตระกูลอวิ๋นนั้นไม่ผิด แต่เจ้าแต่งงานออกไปแล้ว ตอนนี้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าก็คือเหมียวฮูหยิน เป็นคนขอตระกูลเหมียว เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเหมียว ถ้าให้ผลประโยชน์กับตระกูลเหมียวจนเต็มที่ ตระกูลอวิ๋นก็อาจเสียผลประโยชน์ ถ้ายังไม่เข้าใจจุดยืนชัดเจน นายท่านก็ให้เจ้าเข้าพบไม่ได้ น้องชิว อย่าทำให้บ่าวชราผู้นี้ลำบากใจเลย!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็เงยหน้ามองตำหนักจอมมารที่สูงส่ง ใบหน้านางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ถึงแม้ในใจนางจะเข้าใจมาตั้งแต่แรก แต่ครั้งนี้นางเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงถึงคำว่า ‘ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วง’ เมื่อก่อนนางสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบ ที่พิภพเล็กนี้ คนที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบมีไม่เยอะ
ในขณะนี้เอง เงาคนคนหนึ่งก็เหาะจากฟ้าลงมายืนอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน อวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อวิ๋นรั่วซวงก็ถามอย่างแปลกใจ “ตาเฒ่าเฉียว พี่หญิงใหญ่กับพี่เขยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ ท่านมาขวางพวกเขาไว้ทำไมคะ?”
ตาเฒ่าเฉียวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ซวงเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าข้าอยากขวางพี่หญิงใหญ่กับพี่เขยของเจ้าหรอกนะ แต่นี่เป็นความประสงค์ของนายท่าน นายท่านกำลังสอนหลักการวางตัวเป็นภรรยาให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย การแต่งงานออกไปคือสิ่งที่พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเลือกเอง ไม่มีใครบังคับนาง และเมื่อออกจากบ้านไปแล้วก็ต้องพึ่งพาตนเอง เป็นรากฐานสำหรับการลงหลักปักฐานของพี่หญิงใหญ่ในอนาคต นายท่านเองก็หวังดีกับนาง บางทีสักวันหนึ่งเจ้าก็อาจจะเข้าใจเหมือนกัน”
อวิ๋นรั่วซวงไม่เข้าใจสิ่งนี้ นางบุ้ยปากแล้วบอกว่า “พี่หญิงใหญ่ พี่เขย พวกท่านรอก่อนนะ ข้าจะเข้าไปหาท่านปู่!” พูดจบก็วิ่งขึ้นบันได พอวิ่งไปถึงประตูตำหนักใหญ่ นางก็ผลักประตูแล้วแทรกเข้าไปในซอกประตูที่เปิดแง้ม ตาเฒ่าเฉียวเองก็ไม่ได้ขวางนาง
เมื่อเห็นเห็นเงาหลังของอวิ๋นรั่วซวงหายไป อวิ๋นจือชิวก็เผยรอยยิ้มขื่นขม เมื่อก่อนนางก็เหมือนกับอวิ๋นรั่วซวง สามารถเข้าออกตำหนักจอมมารได้ตามใจชอบ แต่วันนี้กลับมีเส้นแบ่งชัดเจน…ตาเฒ่าเฉียวพูดไว้ไม่ผิด คงจะมีสักวันที่ซวงเอ๋อร์จะเข้าใจสิ่งนี้
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ตาเฒ่าเฉียว ขอคุยกับท่านปู่สักหน่อยก็ไม่ได้เชียวหรือคะ?”
“ย่อมได้อยู่แล้ว!” ตาเฒ่าเฉียวยังคงใบหน้ายิ้มลึกลับเอาไว้ แต่สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ “เมื่อครู่นี้ก็บอกไปแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใช้ฐานะอะไร ถ้ามาเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อคุยเรื่องครอบครัว ก็ย่อมต้องได้พบอยู่แล้ว แต่ถ้าคุยเรื่องอื่น นายท่านก็อาจจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง แต่ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ถ้าต้องการจะให้ตระกูลอวิ๋นละทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลตัวเอง เช่นนั้นก็ต้องถามแม่หม้ายกับเด็กกำพร้าพวกนั้นว่าจะตอบตกลงหรือไม่ ถามคนที่เสียสละเลือดเนื้อเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋น ว่าพวกเขาจะตอบตกลงหรือไม่ เจ้าสามารถไปประลองกับลูกหลานตระกูลอวิ๋น ถ้าสู้ชนะพวกเขาได้ นายท่านย่อมพบเจ้า ไม่อย่างนั้นนายท่านก็จะย้อนถามเจ้าว่า ทำไมต้องมาพบเจ้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไรไปพบเขา? แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรไปต่อรองเงื่อนไขกับเขา?”
อวิ๋นจือชิวก้มหน้าประสานนิ้วมือ พ่อแม่ของนางก็สละชีวิตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นเช่นกัน ในเมื่อท่านปู่พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
เหมียวอี้นิ่งเงียบ ถึงแม้จะอยากช่วยเยียนเป่ยหง แต่เขาก็ไม่อาจท้าสู้คนในตระกูลเมียเพื่อช่วยเยียนเป่ยหงได้หรอก แบบนี้ฟังดูไม่เข้าท่าเลย จะให้เมียตัวเองทนความรู้สึกได้อย่างไร มิหนำซ้ำตระกูลอวิ๋นยังมียอดฝีมือมากมาย ด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไม่อาจจะไปท้าสู้ได้ เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นสังเวียนที่นภาจอมมาร ถ้าขึ้นสังเวียนประลองกับนภาจอมมาร ก็เท่ากับเป็นการตบหน้าตระกูลอวิ๋น ตระกูลอวิ๋นมีแต่ต้องชนะเขาเท่านั้น ไม่อ่อนข้อให้แน่
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กุมหมัดถามว่า “ผู้น้อยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ด้วยฐานะของหลานเขยขอรับ! แต่ตาเฒ่าเฉียวได้โปรดช่วยถามให้สักหน่อย เยียนเป่ยหงเป็นสหายของผู้น้อย เดี๋ยวให้เหมียวอี้คนนี้พบหน้าเขาสักครั้งได้หรือไม่?”
ตาเฒ่าเฉียวได้ยินแล้วพยักหน้ายิ้ม ทำท่าทางปลื้มอกปลื้มใจ “หลานเขยรอสักครู่ บ่าวชราจะไปรายงานให้เดี๋ยวนี้!” พูดจบก็หันตัวเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปในตำหนักจอมมาร
“ขอโทษนะ!” อวิ๋นจือชิวกุมมือเหมียวอี้ พลางยิ้มเจื่อนอย่างกลัดกลุ้มใจ ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ขอโทษที่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้ตบหลังมือนางเบาๆ
ผ่านไปครู่เดียว เมฆมารที่ลอยวนอยู่บนฟ้าเหนือตำหนักจอมมารก็ถูกเก็บลงไป ไหลมุดเข้าไปในตำหนักจอมมารทั้งหมด ฟ้ากลับมาสดใสราวกับโดนชะล้าง ประตูใหญ่บานนั้นส่งเสียงดังทึบ เปิดออกอย่างช้าๆ จนสุดบาน ตาเฒ่าเฉียวที่สวมชุดคลุมสีขาวเดินออกมายืนบนบันไดสูง เขามองลงมาด้านล่างพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวยื่นมือเชิญ “หลานเขย นายท่านเชิญข้างใน!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าให้เหมียวอี้ แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
เมื่อขึ้นมาถึงใต้ชายคาโค้ง เหมียวอี้ก็เห็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ในตำหนัก ผมดำขลับดุจน้ำหมึกของเขาปกคลุมสยายไปด้านหลัง ยาวลงไปถึงเอว คิ้วกระบี่ดกดำชี้เข้าหาจอนยาวสองข้าง แววตาเป็นประกายดุร้ายน่าหวั่นเกรง จมูกเหมือนถุงน้ำดี ริมฝีปากหนาไร้หนวดเครา หน้าตาดูทรงพลัง
ชายคนนี้สวมเสื้อเกราะแขนกุดสีดำ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อของแขนสองข้างที่บึกบึนแข็งแรงราวกับหลอมขึ้นมาจากเหล็ก ขากางเกงยาวแค่เข่า เปลือยเท้านั่งขัดสมาธิ แววตาอันล้ำลึกกำลังจ้องสองคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
เหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดในใจพอสมควร ไม่ต้องบอกเลย ท่านนี้คงจะเป็นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของพิภพเล็ก!
พอลองคิดอีกมุมหนึ่ง เหมียวอี้รู้สึกขำตัวเองนิดหน่อย ตอนแรกที่ตัวเองก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้กลายเป็นหลานเขยของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ในตอนนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นเพียงตำนานสำหรับตน ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะมองพินิจให้ละเอียดสักหน่อย
อวิ๋นอ้าวเทียนไหนเลยจะไม่มองสำรวจอีกฝ่าย เจ้าเด็กนี่เห็นตนแล้วไม่ตื่นเต้นกังวลเลยสักนิด ไม่ค่อยเห็นใครสุขุมใจเย็นขนาดนี้ กลับทำให้เขามองด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับ
หารู้ไม่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เหมียวอี้จะต้องตื่นเต้นกังวลแน่นอน เพียงแต่หลังจากไปพิภพใหญ่มา เขาได้คบค้ากับนักพรตบงกชทองกลุ่มใหญ่ เป็นคนที่วรยุทธ์สูสีกับอวิ๋นอ้าวเทียนทั้งนั้น ขนาดนักพรตบงกชรุ้งก็เคยนั่งคุยและดื่มสุราด้วยกันมาแล้ว ถ้าจะบอกว่าเขาตื่นเต้นกังวล ก็คงเป็นความกังวลเพราะได้พบผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลของภรรยาเป็นครั้งแรก
บนบันไดด้านล่างบัลลังก์ อวิ๋นรั่วซวงนั่งทำสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนั้น ท้องแขนสองข้างเกยบนหัวเข่า ใช้สองมือเท้าคาง เชิดปากขึ้นสูงมาก เหมือนสิ่งที่เข้ามาขอร้องก่อนหน้านี้ไม่ได้ดั่งใจ จึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
อวิ๋นจือชิวมองชำเลืองมองอวิ๋นรั่วซวงอย่างอิจฉานิดหน่อย คนที่สามารถนั่งออดอ้อนอยู่บนบันไดใต้บัลลังก์ของนภาจอมมารได้ ในตอนนี้คงจะมีแค่อวิ๋นรั่วซวงคนเดียวแล้ว ขนาดหลานๆ จะเข้าพบปู่สักครั้งยังเป็นเรื่องยากเลย สิ่งนี้อธิบายได้ว่าท่านปู่รักและเอ็นดูอวิ๋นรั่วซวงเป็นพิเศษ เพียงแต่ในปีนั้นนางก็ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษแบบนี้เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องราวผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนคืน นางไม่มีทางย้อนกลับไปมีความคิดจิตใจเป็นสาวน้อยเหมือนอวิ๋นรั่วซวงได้อีก นางผ่านความลำบากมาอย่างโชกโชน แต่งงานกลายเป็นภรรยาคนอื่นแล้ว ไม่อาจย้อนคืนความคิดจิตใจแบบนั้นกลับมาได้อีก
เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก อวิ๋นจือชิวก็ดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เบาๆ จากนั้นทั้งสองก็ยืนนิ่ง อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงยาวลากพื้นข้างหลัง นั่งคุกเข่าลงพร้อมกับเหมียวอี้ เผชิญหน้ากับอวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งอยู่เบื้องสูง พลางกล่าวคำนับว่า “เหมียวอี้ เสี่ยวชิว คำนับท่านปู่!” ทั้งสองโขกศีรษะกับพื้นพร้อมกัน
ขณะมองดูทั้งสองหมอบคำนับ รอยยิ้มของตาเฒ่าเฉียวที่ยืนอยู่บนบันไดก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่อวิ๋นรั่วซวงที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดกลับเชิดปากอย่างน่ารักเย้าย้วนใจ
อวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิจ้องเบื้องล่างพลางพยักหน้าเบาๆ “ลุกขึ้นเถอะ!” พูดจบก็หย่อนเท้าเปลือยสองข้างลงบนพื้น แล้วเดินลงมาอย่างช้าๆ
ในตอนนี้สองสามีภรรยาถึงได้ยืนขึ้นอย่างเคารพนบนอบ อวิ๋นอ้าวเทียนมายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว กำลังมองสำรวจเหมียวอี้ด้วยแววตาดุร้าย ถึงขั้นร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจบนตัวเหมียวอี้ด้วย พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่ได้แกล้งทำใจเย็น แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นกังวลเลยจริงๆ การไหลเวียนโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจไม่มีอะไรผิดปกติเลย
เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“น้องชิว ปกติตอนอยู่บ้าน เขาไม่ได้รังแกเจ้าใช่มั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนพลันเอ่ยถามขึ้นมา
เหมียวอี้เหงื่อแตกนิดหน่อย นี่ช่างเป็นการคุยเรื่องในครอบครัวจริงๆ เขารีบตอบว่า “มิบังอาจขอรับ!”
“ท่านปู่คะ!” อวิ๋นจือชิวไม่ตอบคำถาม แต่ก้าวขึ้นมากอดแขนอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วพูดออดอ้อนว่า “มีแต่ข้าที่เป็นฝ่ายรังแกเขา!”
อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้า “ถ้าเขารังแกเจ้าเมื่อไร กลับมาบอกปู่ เดี๋ยวปู่จะจัดการเขาเอง”
อวิ๋นรั่วซวงก็เข้ามากอดแขนเช่นกัน มากอดแขนอีกข้างของอวิ๋นจือชิว พลางถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หญิงใหญ่ ปกติท่านรังแกพี่เขยยังไงเหรอ?”
“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ ไปตรงโน้นเลย!” อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากนางหนึ่งที ทำให้นางเชิดปากและกลอกตาใส่
อวิ๋นอ้าวเทียนมองไปที่เหมียวอี้ พร้อมถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าทิ้งน้องชิวแล้วหายตัวไปสามร้อยกว่าปี เพิ่งจะแต่งงานใหม่ ทำไมทิ้งคู่ชีวิตไปล่ะ? หรือว่านางปรนนิบัติดูแลเจ้าไม่ดีพอ ไม่ได้ทำหน้าที่ภรรยาอย่างสุดความสามารถ?”
เหมียวอี้ยังไม่ทันอ้าปากพูด อวิ๋นจือชิวก็ชิงพูดต่อแล้วว่า “ท่านปู่! ข้าให้เขาไปเก็บตัวฝึกฝนเอง งานแต่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตเกินไป ข้าเลยให้เขาไปหลบที่ทะเลดาวนักษัตร!”
อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ไม่ว่าจะจงใจปิดบังอะไรอยู่ แต่ในเมื่อนางพูดแบบนี้แล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เขามองการแต่งตัวของนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “ได้ยินว่าเครื่องแต่งกายพวกนี้ของเจ้า มู่ฝานจวินเป็นคนมอบให้หมดเลยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” พอพูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวก็อดไม่ได้ที่จะขอคำแนะนำ “ท่านปู่! มีอะไรไม่เหมาะสมรึเปล่าคะ?”
“จะมีอะไรไม่เหมาะสมได้ล่ะ? ใส่เสื้อผ้าสองชุดจะมีอะไรไม่เหมาะสม? เจ้าคงไม่ถึงขั้นขี้ขลาดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกใช่มั้ย? นางเต็มใจให้ เจ้าแค่ใส่ไปก็พอ จะได้ประหยัดเงินตัวเอง เป็นเรื่องที่ดี ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ฉวยผลประโยชน์นี้ ใช่มั้ยล่ะ?” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดหยอกล้อ
เป็นการพูดคุยเรื่องในครอบครัวจริงๆ อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่เหมียวอี้ พูดคุยด้วยน้ำเสียงปกติ คุยประมาณว่าต่อไปนี้ให้เหมียวอี้ทำตัวดีๆ กับอวิ๋นจือชิว ไม่อย่างนั้นตนจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ เป็นคำพูดที่ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวควรจะพูด
สำหรับหลานเขยคนนี้ เขาไม่ได้มีอะไรพอใจหรือไม่พอใจ อย่างน้อยเหมียวอี้ก็เสี่ยงชีวิตสู้ตายเพื่อหลานสาวตัวเอง มีความรับผิดชอบเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ต่อให้อวิ๋นอ้าวเทียนจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจจะเรียกร้องให้นางแต่งงานกับคนที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเพียงเพราะนางเป็นหลานสาวตน แบบนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แค่ไม่ได้มีข้อเสียร้ายแรงก็พอแล้ว ถึงอย่างไรหลานสาวตัวเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และแน่นอน ถ้าเป็นคนที่มีความแค้นกับตระกูลตัวเองอย่างเฟิงเสวียน เขาก็ไม่ยอมรับแน่นอน
ส่วนชีวิตคู่ของสามีภรรยาจะรักใคร่กลมเกลียวกันหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องไปกังวล ผลจากการเลือกครั้งนี้ ไม่ว่าจะมีรสชาติเป็นอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ต้องเป็นคนรับไว้เอง อย่างมากเขาก็แค่อยู่ในจุดยืนของปู่ หรือไม่ก็อยู่ในจุดยืนของครอบครัวฝ่ายหญิง ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ช่วยสนับสนุนได้นิดหน่อย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำลายผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋น
893 ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากสั่งสอนเหมียวอี้ในฐานะผู้อาวุโสเสร็จแล้ว ตอนหันกลับมาอบรมอวิ๋นจือชิว เขากลับทำสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน
“น้องชิว คำโบราณกล่าวไว้ว่า แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข คือคติพจน์อันเป็นสัจจะ! เมื่อแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว เจ้าก็เป็นคนของเขา ต่อไปก็ควรคิดพิจารณาเพื่อเขาทุกอย่าง เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าผลประโยชน์ของตระกูลเหมียว ผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นก็เป็นเรื่องรอง ต่อไปหากเขาเป็นศัตรูกับข้า พวกเจ้าสองสามีภรรยาก็ลงมือเต็มที่ได้เลย ไม่ต้องออมมือให้ข้า ข้าเองก็จะไม่ออมมือให้พวกเจ้าเช่นกัน ถ้าเขาตายด้วยน้ำมือข้า เจ้าก็สามารถกลับมาที่ตระกูลอวิ๋นได้อีก แต่เหนือสิ่งอื่นใด การช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตรก็คือหน้าที่ของภรรยาอย่างเจ้า นี่คือรากฐานที่จะทำให้ครอบครัวของผู้หญิงคนหนึ่งตั้งมั่นได้ ที่ตระกูลอวิ๋นมีวันนี้ ผลงานครึ่งหนึ่งก็เป็นของผู้หญิง จงทำตัวองอาจผึ่งผายและดูแลครอบครัวของเจ้าให้ดี ผู้หญิงที่แม้แต่ครอบครัวตัวเองยังดูแลไม่ได้ ถ้าบอกว่าจะมาดูแลบ้านพ่อแม่ตัวเองก็เป็นเรื่องที่น่าขำ อย่าให้ปู่คนนี้ต้องดูถูกเจ้า!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อวิ๋นรั่วซวงที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่เขยต้องการจะเป็นศัตรูของตระกูลอวิ๋นเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบงัน อวิ๋นอ้าวเทียนพูดจาต่อหน้าถึงขั้นนี้แล้ว เท่ากับอาศัยอีกวิธีการหนึ่งเพื่อบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยตัวเยียนเป่ยหง ไม่มีทางที่จะเขาปล่อยคนที่มีวิธีการฝึกตนวิปริตเช่นนี้ออกไปเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋น ดับความคิดของเหมียวอี้ที่อยากจะมาเจรจากับเขาแล้ว
อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทางค่ะ ท่านปู่ ไม่มีทาง”
อวิ๋นอ้าวเทียนโบกมือ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดเยอะ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ขี้บ่นอยู่แล้ว วันนี้นับว่าเป็นข้อยกเว้นเพราะคุยเรื่องครอบครัว เขาเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ตาเฒ่าเฉียว เขาอยากไปเยี่ยมเยียนเป่ยหงไม่ใช่เหรอ? พาเขาไปสิ เฝ้าให้ดีล่ะ อย่าให้เขาเล่นลูกไม้อะไรเด็ดขาด เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่เล่นๆ!”
“ขอรับ!” ตาเฒ่าเฉียวเอ่ยรับ แล้วเดินมายื่นมือเชิญ
เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ ข้าไม่ใช่เล่นๆ ยังไง? แต่ก็ช่วยไม่ได้ คงไม่ดีถ้าจะเถียงกลับ
อวิ๋นจือชิวดึงแขนเสื้อเขาอีกครั้ง แล้วสองสามีภรรยาก็คุกเข่าหมอบคำนับ กล่าวอำลา!
อวิ๋นรั่วซวงคล้องแขนอวิ๋นจือชิว ตอนที่เดินลงบันไดตำหนักจอมมารไป ประตูใหญ่ก็ปิดสนิทเองโดยไร้ลม ทำให้พวกเขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
สถานที่ขังเยียนเป่ยหงก็คือถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งของนภาจอมมาร
อวิ๋นจือชิวที่มาที่นี่ค่อนข้างปลงอนิจจัง ตอนที่เข้ามาในถ้ำภูเขา อวิ๋นจือชิวจงใจเตือนเหมียวอี้ว่า “ก่อนหน้านี้เฟิงเสวียนก็โดนขังอยู่ที่นี่”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร เหมียวอี้เอียงศีรษะมองนางด้วยแววตาที่ค่อนข้างแปลก ผลก็คือโดนนางยื่นมือไปบีบเอว “อย่าคิดอะไรเหลวไหล!”
ในจุดลึกของห้องถ้ำมี กรงขังหลายกรงที่สร้างจากทองผลึกบริสุทธิ์ เยียนเป่ยหงที่ผมยุ่งกระเซิงเหมือนขอทานถูกขังอยู่ข้างใน หงซิ่วกับหงฝูก็อยู่ด้วยเช่นกัน แต่โดนจับขังแยกไว้คนละกรง ทุกคนมีสภาพสะบักสะบอมมาก พอเหมียวอี้เห็นพวกเขามีท่าทางอ่อนแอไร้ชีวิตชีวา ก็รู้เลยว่าโดนผนึกวรยุทธ์แล้ว
พอตาเฒ่าเฉียวโบกมือกวาด โคมไฟหลายดวงที่อยู่บนผนังก็สว่างขึ้นทันที เขากล่าวเตือนว่า “เหมียวอี้ ห้ามถ่ายทอดเสียงคุยกัน มีอะไรต้องพูดกันอย่างเปิดเผย ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ! วิชามารที่เขาฝึก นายท่านไม่ยอมให้เล็ดรอดออกไปเด็ดขาด”
“พี่ใหญ่เยียน!” เหมียวอี้เดินมาตรงหน้ากรงแล้วตะโกนเรียก
เยียนเป่ยหงที่นอนอยู่ในกรงพลิกตัวหันมามอง ใช้สองมือเสยผมที่ปิดบังใบหน้า แล้วเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ “น้องชาย เจ้ามาได้ยังไง?”
หงซิ่วและหงฝูที่อยู่ในกรงฝั่งซ้ายและขวาก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน พอเห็นเหมียวอี้ ก็เหมือนได้เห็นความหวังที่หายไป จึงรีบเขามาคำนับพร้อมกัน “ท่านเหมียว!”
“น้องชายติดธุระจึงมาช้า รู้เรื่องช้าเกินไป พี่ใหญ่เยียนได้รับความลำบากแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หันไปเรียกอวิ๋นจือชิวให้เดินเข้ามา “พี่ใหญ่เยียน นี่คือคนใน อวิ๋นจือชิว”
“พี่ใหญ่เยียน!” อวิ๋นจือชิวย่อเข่าคำนับ
เยียนเป่ยหงหัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “เคยเจอแล้ว ก่อนหน้านี้น้องสะใภ้เคยมาเยี่ยมแล้ว น้องชายช่างมีความสามารถจริงๆ แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุก็กล้าแย่งกลับมาเป็นเมียตัวเอง จะว่าไปแล้วก็รู้สึกผิด เพราะตอนงานแต่งงานใหญ่ของน้องชาย ข้าไม่ได้ไปร่วมงาน กอปรกับบนตัวไม่มีสมบัติเหลือเฟือ ไม่มีของขวัญดีๆ อะไรจะมอบให้ เดิมทีคิดจะให้ชดเชยตามไปทีหลัง แต่ตอนนี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว หวังว่าน้องสะใภ้จะไม่ถือสานะ!”
“ของขวัญจะถูกจะแพงก็ไม่สำคัญเท่าน้ำใจของพี่ใหญ่เยียนหรอกค่ะ” อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เยียนเป่ยหงโบกมือ “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสะใภ้วิ่งเต้นมาขอร้องให้ เยียนเป่ยหงจะมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้เหรอ ทำไมล่ะ? หรือว่าที่น้องชายมารอบนี้ เพราะจะมาช่วยข้าออกไป!”
“ไม่ปิดบังพี่ใหญ่ ตอนมาข้ามีเจตนานี้จริงๆ แต่จนใจที่ข้าอาศัยฐานะหลานเขยออกหน้าช่วยไปก็ไร้ประโยชน์ เกรงว่าต้องให้พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ต่อไปก่อนสักระยะหนึ่ง” เหมียวอี้กล่าวอย่างละอาย
เยียนเป่ยหงถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในหลักทำนองคลองธรรม ในเมื่อเรื่องลับของข้าโดนปราชญ์มารจับได้ ที่ไม่สังหารข้าทิ้งก็นับว่าไว้หน้าน้องสะใภ้มากพอแล้ว มายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้ก็นับว่าโชคดีแล้วล่ะ แต่หงซิ่ว หงฝูกลับต้องลำบากไปกับข้าด้วย น้องสะใภ้ช่วยหาวิธีพาพวกนางสองคนออกไปก่อนได้หรือไม่?”
อวิ๋นจือชิวยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ตาเฒ่าเฉียวที่อยู่ข้างหลังก็ชิงพูดแล้วว่า “ไม่ได้! คนที่ฝึกวิชามารนั่นห้ามออกไปแม้แต่คนเดียว ถ้าอยากจะออกไปก็ได้ แต่ตัวเองต้องตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน เอาออกไปได้แต่ศพ”
อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงตอบเยียนเป่ยหงด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ ขอเพียงมีโอกาส น้องชายจะต้องหาทางพาท่านออกไปแน่นอน เพียงแต่น้องชายไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ท่านไปได้วิชามารส่วนนั้นมาจากไหนเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรน่าปิดบังอีกต่อไป!” เยียนเป่ยหงใช้สองมือจับลูกกรง จากนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วเล่าว่า “น้องชายยังจำตอนที่พวกเราแยกกันที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้นได้มั้ย? น้องชายเดินเข้าไปเสี่ยงอันตรายต่อ แต่ข้าเดินกลับออกมาตลอดทาง ระหว่างทางข้าบังเอิญเก็บดาบเล็กได้เล่มหนึ่ง มันยาวแค่นิ้วเดียวเอง” ขณะที่พูด เขาก็ยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาวาดขนาดให้ดู แล้วเล่าต่อ “มันปักอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่กลายเป็นตอถ่าน ตอนนั้นข้าดึงออกมาเก็บไว้ ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนหลังพอเข้าสำนักศรีเมฆาและมีพื้นฐานการฝึกตนแล้ว ถึงได้ไขปริศนาที่อยู่ในดาบเล็กเล่มนั้น ข้าได้เคล็ดวิชาฝึกตนส่วนหนึ่งมาจากในนั้น มันชื่อว่า ‘มหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน’ ข้างในบรรยายข้อเสียของการฝึกเคล็ดวิชานี้เอาไว้ แต่ข้าก็ยังอดทนความดึงดูดใจของมันไม่ไหว ถึงได้เดินมาทีละก้าวจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ดาบเล่มนั้นอยู่ในมือปราชญ์มารแล้ว ด้วยวรยุทธ์อย่างเขา คาดว่าคงไขปริศนาที่อยู่ในนั้นได้แล้ว”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันกลับมาสบตากัน พอเห็นตาเฒ่าเฉียวยังคงยิ้มตาหยีอย่างไม่สะทกสะท้าน ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างที่เยียนเป่ยหงบอก เป็นไปได้สูงว่าวิชามารส่วนนั้นจะตกอยู่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว
เหมียวอี้หันกลับมาถามอีก “หรือว่าพี่ใหญ่เยียนหมายถึงดาบโลหิตด้ามนั้น?”
“ใช่แล้วล่ะ!” เยียนเป่ยหงพยักหน้า “ดาบด้ามนั้นเปลี่ยนขนาดได้ ซ่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เอาไว้มากมาย หั่นเหล็กได้เหมือนหั่นโคลน อานุภาพไร้ที่สิ้นสุด เป็นของวิเศษขั้นหกที่มาจากพิภพใหญ่ ยิ่งวรยุทธ์สูงก็ยิ่งสำแดงอานุภาพของมันได้ดี เมื่อได้ดาบด้ามนั้นไป ปราชญ์มารก็เรียกได้ว่าเหมือนเสือติดปีก! แต่ถึงแม้จะอาศัยวรยุทธ์ของปราชญ์มาร ก็ยังสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของดาบด้ามนี้ไม่ได้ง่ายๆ เลย ไม่อย่างนั้นปราชญ์มารต้องเป็นราชันแห่งใต้หล้าแน่นอน!”
สองสามีภรรยามองหน้ากันเลิกลั่ก
ทั้งสองเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานเกินไป สาเหตุหลักเป็นเพราะตาเฒ่าเฉียวไม่อนุญาต สุดท้ายก็ยังช่วยเหลือเยียนเป่ยหงออกมาไม่ได้
แต่ว่าก่อนจะจากกัน เหมียวอี้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า “พี่ใหญ่เยียนอยู่ที่นี่ต้องรักษาตัวดีๆ อย่าทำร้ายตัวเอง เหมียวอี้จะต้องคิดหาทางช่วยพี่ใหญ่ออกไปได้แน่นอน!”
เยียนเป่ยหงหัวเราะลั่นอย่างเบิกบานใจ แล้วบอกว่า “ข้าจะรอ! ถ้าเก็บรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ก็นับว่าได้กำไร ถ้าตายก็ถือว่าแล้วกันไป!”
ในคืนนั้น แสงไฟลุกโชนสว่างไสวอยู่ในนภาจอมมาร จัดงานเลี้ยงอย่างอลังการงานสร้าง คนของตระกูลอวิ๋นที่สามารถมาได้ก็มากันหมด ทั้งชายทั้งหญิงนั่งกันสิบกว่าโต๊ะ คึกคักอบอุ่นมาก
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเดินดื่มฉลองทีละโต๊ะ ขณะที่ดื่มฉลองก็ได้รับของขวัญแสดงน้ำใจจากเขยคนใหม่ ถือว่าเป็นมารยาทในการพบปะ
อวิ๋นจือชิวเตรียมของขวัญไว้ล่วงหน้าแล้ว ควรจะให้ใครมากน้อยเท่าไร อวิ๋นจือชิวรู้ชัดอยู่แก่ใจ ไม่ต้องให้เหมียวอี้กังวลเรื่องพวกนี้ เมื่อเดินมาตรงหน้าใคร อวิ๋นจือชิวก็จะนำแหวนเก็บสมบัติที่เตรียมไว้ยัดใส่มือเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้มอบให้ขณะที่พูดจาทักทาย
ของขวัญที่ให้ถือว่าไม่น้อยเลย ประการแรกเป็นเพราะเหมียวอี้จะกลับมาที่นี่อีก ประการที่สองเป็นเพราะอวิ๋นจือชิวแต่งงานออกมาแล้ว จะให้ครอบครัวฝ่ายหญิงดูถูกไม่ได้ แล้วก็ต้องสนใจหน้าตาศักดิ์ศรีของเหมียวอี้ด้วย จะให้เหมียวอี้ดูกระจอกเกินไปไม่ได้ นอกจากนั้นก็คือ ไม่แน่ว่าในภายหลังคนพวกนี้อาจจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
อาหญิงกับอาชายที่ญาติพี่น้องสายตรงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ในแหวนเก็บสมบัติแต่ละวงมีลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก ส่วนอาเขยและอาสะใภ้ได้คนละห้าสิบล้าน ส่วนเหล่าอนุภรรยาของอาชายได้คนละสิบล้าน ก็ช่วยไม่ได้ ภรรยาเอกและอนุภรรยาต้องได้ต่างกัน ถ้าได้เท่ากันจะทำให้ภรรยาเอกไม่พอใจ แบบนั้นไม่เท่ากับบอกว่าภรรยาเอกและอนุภรรยาฐานะเท่ากันหรอกเหรอ
พวกน้องๆ ที่เป็นรุ่นหลานเหมือนอวิ๋นจือชิวได้ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำไปคนละสิบล้านลูก ภรรยาเอกแปดล้านลูก อนุภรรยาห้าล้านลูก เท่ากับว่าจำนวนที่น้อยที่สุดที่ให้ไปคือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำห้าล้านลูก
ถึงแม้จำนวนที่แบ่งให้แต่ละคนจะไม่ถือว่าเยอะ แต่ก็เทียบกับจำนวนคนไม่ติด แค่เมียของพวกเขาก็นั่งเหมาทั้งโต๊ะแล้ว การแจกของขวัญรอบนี้ได้สูญเสียลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำไปเกือบห้าพันลูกแล้ว ทุกคนได้รับของขวัญอย่างทั่วถึง พอเห็นของในแหวนเก็บสมบัติก็พากันสำราญบานใจ
โดยเฉพาะอาหญิงกับอาชายแปดท่านนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของขวัญล้ำค่า คู่รักหนุ่มสาวช่างมีความตั้งใจ ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูกนี้ ยังไม่ต้องไปเทียบกับอย่างอื่น เทียบกับตอนที่พวกเขามอบของขวัญให้คนอื่น ต่อให้มอบสิ่งของที่แพงกว่านี้ให้ แต่ก็คงไม่ให้ลูกแก้วพลังปรารถนาเยอะขนาดนี้แน่
เมื่ออยู่ที่พิภพเล็ก การมอบของขวัญเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาถือว่าใช้งานได้จริงที่สุด แต่เหมียวอี้ก็หาลูกแก้วพลังปรารถนามามากมายขนาดนั้นไม่ไหวเหมือนกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะทรัพยากรฝึกตนของพิภพเล็กมีจำกัด ต่อให้เขามีกำลังทรัพย์มาก แต่ก็ไม่อาจรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาได้เยอะขนาดนี้ภายในรวดเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสินเดิมเจ้าสาวของอวิ๋นจือชิว นางสะสมของพวกนี้มาหลายหมื่นปี ยังพอนำออกมาใช้ไหว สาเหตุหลักเป็นเพราะนางกับเหมียวอี้ไม่ค่อยได้อาศัยสิ่งนี้เพื่อฝึกตนแล้ว
เหมียวอี้นำยาแก่นเซียนอีกหลายล้านเม็ดให้อวิ๋นจือชิวไปบริหาร อวิ๋นจือชิวช่วยเขาจัดการคนมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่มีทรัพยากรติดมือไว้บ้างคงไม่ได้ ตอนนี้เขามียาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดนั้นก็พอแล้ว ตอนนี้นับว่าสองสามีภรรยาเป็นมหาเศรษฐีของพิภพเล็กได้เลย แต่ก็ได้แค่แอบดีใจเงียบๆ ไม่กล้าโอ้อวดเสียงดัง
จากนั้นพวกน้องชายก็จับเหมียวอี้ไปกรอกสุราอย่าบ้าคลั่ง อวิ๋นจือชิวห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ โดนบรรดาน้องสาวดึงตัวแยกออกมาแล้ว
หลังจากกลับถึงตำหนักนอนที่เตรียมไว้ เหมียวอี้ก็กลับมาพร้อมกลิ่นสุราเต็มตัว โชคดีที่เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ขณะที่ดื่มก็กลั่นกรองฤทธิ์สุราทิ้งไปด้วย แต่ก็ยังโดนรมควันไปพอสมควร เสื้อผ้าที่ถอดเปลี่ยนตรงนั้นโดนฉีกทิ้งไปหลายชุด เขาแทบจะเดินกลับมาตัวเปล่า สรุปก็คือกลับมาในสภาพผมกระเซิงและชุดขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทาน แม่งเอ๊ย ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตอนกระดกสุราจะมีคนกระชากผม ภาพนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน เขารู้สึกคุ้นเคยมาก!
ทำเอาอวิ๋นจือชิวที่คอยปรนนิบัติอยู่ในห้องอาบน้ำรู้สึกผิด วันนี้นับว่าได้ทำให้สามีเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคนของตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างไร นอกจากพูดจาหยาบคายสกปรก ยังลงมือบังคับดื่มสุราด้วย ถึงขั้นจับกดลงพื้นแล้วบีบปากกรอกด้วยซ้ำ มีบางคนโวยวายว่าผู้หญิงของตระกูลอวิ๋นไม่ได้นอนด้วยง่ายๆ ขนาดนั้น ทำท่าเหมือนยกพวกมารุมทำร้าย นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เหมียวอี้ยังทำสีหน้าหวาดกลัวอยู่ ขนาดสายตาที่เขามองนางยังดูแปลกไปเลย
อวิ๋นจือชิวที่รู้สึกอับอายทำได้เพียงด่าในใจ ไอ้พวกนี้น่าจะโดนสักพันดาบ ทำข้าเสียหน้าหมดแล้ว!
เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก คงไม่ดีถ้าจะกลับไปอย่างปุบปับ อยู่ค้างที่นี่หลายๆ วันคือสิ่งที่สมควรทำ
ทว่าเพิ่งจะอยู่ได้แค่สามวัน ทางปราสาทดำเนินสุริยันก็เกิดเรื่องแล้ว เชียนเอ๋อร์ใช้ระฆังดาราส่งข่าวมา บอกว่าเยารั่วเซียนหายตัวไป ตามหามาหลายวันก็หาไม่พบ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ร้อนใจสุดๆ ฟังจากที่ตงกัวหลี่กับลูกศิษย์เล่าลักษณะการหายตัวไปของเยารั่วเซียน พวกนางสงสัยว่าของวิเศษที่เยารั่วเซียนตั้งใจหลอมสร้างมาหลายปีจะเสร็จแล้ว ตอนนี้คงจะไปล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตรแล้ว!
894 แอบดูผู้ชายอาบน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อส่งข่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว แบบนี้ไม่ใช่การไปรนหาที่ตายหรอกเหรอ ที่สำคัญคือเยารั่วเซียนรู้ความลับของเขาเยอะมาก ถ้าเจ้าตัวไปตกอยู่ในมือของสำนักงามวิจิตรขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าจะโดนคนง้างปากล้วงความลับหรือไม่ มิหนำซ้ำยังเป็นพ่อบุญธรรมของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ด้วย
สองสามีภรรยาปรึกษาหารือกัน แล้วตัดสินใจทันทีว่าจะกลับไปก่อน จะไปดูให้แน่ชัดว่าเยารั่วเซียนไปสำนักงามวิจิตรหรือไม่
ทว่าเมื่อทั้งสองออกมาจากเรือนพักส่วนตัวที่งดงาม ก็ได้รับการยืนยันสถานการณ์ทันที แน่ใจแล้วเยารั่วเซียนไปล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตรจริงๆ
“พี่หญิงใหญ่ พี่เขย พวกท่านจะไปไหนกัน?” ทั้งสองโดนอวิ๋นเฟยหยางพาบรรดาเมียๆ มาขวางประตูไว้
“พี่หญิงใหญ่ พี่เขย!” สตรีที่งดงามดุจดอกไม้คำนับพร้อมกัน เสียงเจื้อยแจ้วน่ารัก ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท รู้สึกอิจฉาอวิ๋นเฟยหยางนิดหน่อย
อวิ๋นเฟยหยางเป็นคนตรงไปตรงมา พอเห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ก็ชี้ที่กลุ่มฮูหยินของตัวเองทันที “พี่เขย อิจฉาใช่มั้ยล่ะ?จะให้ข้าช่วย…ช่วย…ช่วย…” พอบังเอิญไปสบสายตาที่มุ่งสังหารของพี่หญิงใหญ่ ก็ต้องฝืนกลืนคำพูดตัวเองลงไป
สุดท้ายก็ยกมือตบบ่าเหมียวอี้ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เข้าใจ เข้าใจ!”
อวิ๋นจือชิวเดือดพล่านเป็นไฟทันที กัดฟันถามว่า “เจ้าเข้าใจอะไร?” ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกลุ่มฮูหยินของเขาอยู่ด้วย นางคงเข้าไปซ้อมสั่งสอนเขาเดี๋ยวนี้เลย
เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วถามอวิ๋นเฟยหยางว่า “เจ้ามีธุระอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไร!” อวิ๋นเฟยหยางชี้ไปยังกลุ่มฮูหยินของตัวเอง “พวกนางบอกว่าปิ่นปักผมของพี่หญิงใหญ่สวยมาก จะมาถามให้ได้ว่าซื้อมาจากไหน เกาะแกะข้ามาหลายวันแล้ว ก็เลยพาพวกนางมาพร้อมกันเลย เออใช่ แล้วพวกท่านจะไปไหนล่ะ?”
“ที่อาณาเขตข้ามีธุระนิดหน่อย เตรียมจะไปบอกลาท่านปู่สักคำ จะกลับก่อน” เหมียวอี้ตอบ
“กลับเร็วขนาดนี้เลยเหรอ! จะไปก็ได้ แต่ไปช่วยพูดขอร้องท่านพ่อให้ข้าหน่อย” อวิ๋นเฟยหยางเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้เดินออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!” อวิ๋นจือชิวตีมือของเขาที่กำลังดึงสามีตัวเองออกไป แล้วตำหนิว่า “ขอร้องอะไร?”
อวิ๋นเฟยหยางนวดหลังมือตัวเองที่โดนตีจนเจ็บ แล้วอธิบายว่า “คืออย่างนี้นะ ข้าเพิ่งได้ข่าวมา ว่าท่านจื่อหยางศิษย์ของสำนักงามวิจิตรที่หายตัวไปหลายปี ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาเชิญสำนักหลอมของวิเศษใหญ่ๆ ในแดนฝึกตนให้มารวมตัวกันที่สำนักงามวิจิตร บอกว่าต้องการจะประลองของวิเศษกับเซี่ยงไป่ถิง ซึ่งผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก เชิญให้สำนักหลอมของวิเศษมาเป็นพยาน! เรื่องนี้คึกคักใช้ได้เลยนะ พี่เขย ในปีนั้นเพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของสำนักงามวิจิตร ท่านจื่อหยางประลองแพ้ให้กับเซี่ยงไป่ถิงศิษย์พี่ของเขา ครั้งนี้หวนกลับมาอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่ได้มาดี แถมฮูหยินของเจ้าสำนักงามวิจิตรก็เป็นลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉิน แล้วฮูหยินของเซี่ยงไป่ถิงก็คือลูกสาวของเจ้าสำนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำนักงามวิจิตรคือสำนักที่ขึ้นตรงต่อเฟิงเป่ยเฉิน ทำแบบนี้เท่ากับไปตบหน้าเฟิงเป่ยเฉิน รอบนี้บันเทิงไม่เบา จะพลาดความคึกครื้นนี้ได้อย่างไร แต่ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าไป พี่เขยช่วยไปขอร้องให้หน่อยสิ ท่านพ่อข้าน่าจะไว้หน้าท่าน”
เหมียวอี้พูดไม่ออก สบตากับอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง เยารั่วเซียนต้องการไปล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตรจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเยารั่วเซียนหลอมสร้างของวิเศษอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะมั่นใจถึงขั้นไปท้าสู้กับสำนักงามวิจิตร
ก่อนอื่นคือทั้งสองโล่งใจ พบว่าเยารั่วเซียนไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้าหลับหูหลับตาบุกไปสำนักงามวิจิตรคนเดียว แบบนั้นก็เท่ากับไปรนหาที่ตายจริงๆ ยังดีที่ตาแก่เยารู้จักสร้างเรื่องราวให้ใหญ่โตก่อน ทำให้สำนักงามวิจิตรไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่ทั้งสองก็ยังกังวลนิดหน่อย เพราะฝ่ายสำนักงามวิจิตรไม่ได้โง่ ในเมื่อเยารั่วเซียนกล้าไปหา ก็ย่อมรู้ว่าเยารั่วเซียนต้องมีความมั่นใจอยู่บ้าง ไม่มีใครอยากไปสร้างความอัปยศอดสูให้ตัวเองหรอก สำนักงามวิจิตรจะต้องกังวลกับผลลัพธ์บางอย่างแน่นอน นั่นก็คือหากสำนักงามวิจิตรแพ้แล้ว คนที่เสียหน้าไม่ได้มีแค่สำนักงามวิจิตร แต่เหมือนเป็นการตบหน้าเฟิงเป่ยเฉินด้วย เกรงว่าทางแดนอู๋เลี่ยงอาจจะไม่ปล่อยให้เยารั่วเซียนมีชีวิตรอดไปประลองกับสำนักงามวิจิตร
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ครั้งนี้เยารั่วเซียนมีเคราะหากกว่ามีโชค ทั้งสองรู้สึกว่าเยารั่วเซียนยอมแลกกับทุกอย่างจริงๆ ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องล้างความอัปยศให้ได้!
ประเด็นสำคัญคือตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าตัวเยารั่วเซียนอยู่ที่ไหน ไม่มีทางไปขัดขวางได้เลย อยากจะช่วยแต่ก็หาตัวไม่พบ คาดว่าที่เยารั่วเซียนแอบหนีไปอย่างแนบเนียน ก็เพราะรู้ว่าพวกเหมียวอี้จะต้องห้ามเขาแน่นอน
“อวิ๋นเฟยหยาง การประลองของวิเศษจะจัดขึ้นเมื่อไหร่?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นเฟยหยางตอบว่า “ท่านจื่อหยางจัดวันที่สิบเก้าเดือนหน้า ได้ยินว่าในปีนั้นเขาก็แพ้ในวันนี้แหละ ลองนับดูแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน แต่ฝั่งสำนักงามวิจิตรยังไม่มีการส่งข่าวตอบกลับใดๆ ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะรับหรือไม่รับคำท้าของท่านจื่อหยาง แต่ท่านจื่อหยางทำให้เรื่องราวใหญ่เสียขนาดนั้น ถ้าไม่รับคำท้าก็คงไม่ได้แล้ว ถ้าไม่รับคำท้าก็ทนเสียหน้าไม่ไหว”
“เกี่ยวกับการประลองของวิเศษครั้งนี้ ยังมีข่าวอะไรอย่างอื่นอีกมั้ย?” เหมียวอี้ถามอีก
“ก็มีเท่านี้แหละ ยังจะให้มีอะไรอีก?” อวิ๋นเฟยหยางงุนงง
เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง รีบทำการตัดสินใจ แล้วรีบจูงแขนอวิ๋นจือชิวเดินออกไป “ไปหาอาหกเป็นเพื่อนข้าหน่อย!”
“นี่ๆๆ พี่เขย อย่าลืมเรื่องของข้านะ! ฝากบอกอาหกด้วยก็ได้!” อวิ๋นเฟยหยางตะโกนตามหลัง
อวิ๋นจือชิวที่โดนจูงให้เดินเร่งฝีเท้าถามอย่างแปลกใจว่า “ไปหาอาหกทำไมเหรอ?”
“ไปให้อาหกช่วยสักหน่อย!”
“อาหกจะช่วยอะไรได้?”
“ให้อาหกช่วยกระจายข่าวให้ ต้องรีบทำให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้ ปกป้องชีวิตของเยารั่วเซียนก่อน ให้เขาไปถึงสำนักงามวิจิตรอย่างปลอดภัยแล้วค่อยว่ากัน ส่วนจะสู้แพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญหรอก!”
ถ้าพูดถึงเรื่องอายุ อาหกอวิ๋นเซี่ยวยังต้องเรียกอวิ๋นเสียว่าพี่หญิงสาม แต่นภาจอมมารมีผู้ชายของตระกูลอวิ๋นเป็นใหญ่ ในบรรดาลูกชายที่ยังมีชีวิตรอดของอวิ๋นอ้าวเทียน พี่หกอวิ๋นเซี่ยวนับว่าเป็นพี่ใหญ่สุด อวิ๋นเซี่ยวเป็นคนจัดการธุระต่างๆ ของนภาจอมมาร
พอสองสามีภรรยาเจอกับอวิ๋นเซี่ยว อวิ๋นเซียวก็ยิ้มอย่างสนิทสนมพลางยื่นมือเชิญให้นั่ง แต่เหมียวอี้พูดเข้าประเด็นเลยว่า “เพิ่งได้ยินอวิ๋นเฟยหยางพูดถึงเรื่องประลองของวิเศษที่สำนักงามวิจิตร ไม่ทราบว่าอาหกเคยได้ยินมาบ้างรึเปล่า?”
“ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว” อวิ๋นเซี่ยวถามกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมล่ะ? พวกเจ้าสองผัวเมียสนใจเรื่องนี้เหรอ?”
“อาหก ท่านจื่อหยางคือสหายที่ดีของข้า!” เหมียวอี้ตอบตรงๆ
“หา!” อวิ๋นเซี่ยวตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ “เกรงว่าเพื่อนเจ้าจะเกิดปัญหาแล้วล่ะ ถ้าบุกเข้าไปในอาณาเขตของแดนอู๋เลี่ยง ที่นั่นก็มีสายของนภาอู๋เลี่ยงอยู่ทุกที่ อาจจะไม่รอดชีวิตไปถึงสำนักงามวิจิตรก็ได้”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าเลยอยากจะขอให้อาหกช่วยสักหน่อย ช่วยกระจายข่าวบางอย่างออกไป ต้องรีบทำให้ใต้หล้ารู้เรื่องนี้กันให้หมด!”
อวิ๋นเซี่ยวมองอวิ๋นจือชิวที่ทำสีหน้างุนงงแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ข่าวอะไร!”
“เกี่ยวกับเบื้องหลังของการประลองหลอมของวิเศษระหว่างท่านจื่อหยางกับเซี่ยงไป่ถิงในปีนั้น…” เหมียวอี้เล่ามูลเหตุภายในให้ฟังทันที
หลังจากฟังจบ อวิ๋นเซี่ยวก็เดาะลิ้นแล้วบอกว่า “ที่แท้ก็มีเบื้องหลังอย่างนี้นี่เอง!”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “เพราะฉะนั้น ในปีนั้นท่านจื่อหยางไม่ได้แพ้ แต่นางรังเกียจที่ท่านจื่อหยางหน้าตาขี้เหร่ ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองแต่งงานกับท่านจื่อหยาง จึงแอบนำ ‘กาวสันตฤดู’ ของเจ้าสำนักโม่หมิงมาสลับกันเพื่อช่วยให้เซี่ยงไป่ถิงชนะท่านจื่อหยาง ตอนหลังสำนักงามวิจิตรก็แอบใช้วิธีการสกปรกคอยบ่อนทำลายชื่อเสียงของท่านจื่อหยางไปทั่วทุกแห่ง กดดันจนเขาซุกหัวนอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆาไม่ได้ ทั้งยังส่งคนมาไล่สังหารตลอดทาง ข้าไม่ได้รบกวนให้ท่านอาหกปล่อยข่าวนี้ให้รู้ทั้งใต้หล้าอย่างเดียวนะ ข้ายังต้องการให้เพิ่มข่าวไปด้วยว่า เพื่อที่จะปิดปากท่านจื่อหยาง ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะสู้ท่านจื่อหยางไม่ได้ นภาอู๋เลี่ยงกับสำนักงามวิจิตรจึงกำลังแอบไล่ล่าท่านจื่อหยางอยู่ทั่วทุกที่ ต้องการจะหยุดยั้งไม่ให้เขาไปประลองของวิเศษล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร!”
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวเข้าใจในทันที ที่แท้สามีตัวเองก็ต้องการให้นภาอู๋เลี่ยงกับสำนักงามวิจิตรลูบหน้าปะจมูก ถ้าสำนักงามวิจิตรอยากจะลบล้างข่าวลือฉาวโฉ่นี้ วิธีการเพียงอย่างเดียวก็คือต้องให้เซี่ยงไป่ถิงเอาชนะเยารั่วเซียนได้อย่างสง่าผ่าเผย มีเพียงการเอาชนะอย่างสง่าผ่าเผยเท่านั้น ถึงจะทำให้ข่าวลือแย่ๆ พวกนั้นกลายเป็นแค่ข่าวลือไร้สาระ ไม่อย่างนั้นคงต้องโดนคนหัวเราะเยาะไปทั้งชาติ
ขณะที่เอียงศีรษะมองเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวก็พบว่า การที่ผู้ชายของตัวเองมีวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย เขารับมือกับสถานการณ์เร่งด่วนได้ดีกว่านางเสียอีก ขนาดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยังควบคุมสถานการณ์ได้
อวิ๋นเซี่ยวเอามือลูบหนวดสั้นที่คางตัวเอง ชำเลืองมองอวิ๋นจือชิว ชำเลืองมองเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็พูดแขวะว่า “สงสัยเจ้าเด็กนี่จะไม่ใช่คนดีอะไรหรอกมั้ง ชอบสาดโคลนใส่คนอื่น!”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง อวิ๋นจือชิวจึงช่วยพูดแก้ต่างทันที “อาหก นี่เป็นการสาดโคลนเสียที่ไหนกัน นี่คือเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นชัดๆ”
“พอแล้ว! วันนี้นางหนูอย่างเจ้าไปเข้าข้างคนอื่นแล้ว ข้าเถียงไม่ชนะพวกเจ้าสองผัวเมียหรอก” อวิ๋นเซี่ยวลุกออกจากเก้าอี้ ประสานมือทั้งคู่ไว้ในแขนเสื้อกว้างหลวม เดินช้าๆ พร้อมบอกว่า “จะให้ช่วยเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่อาหกก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง!”
ทั้งสองลุกขึ้นยืนเช่นกัน อวิ๋นจือชิวพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “อาหก ช่วยแค่นิดหน่อยเอง ตระกูลอวิ๋นไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย สำหรับท่าน นี่เป็นเรื่องที่เอ่ยปากคำเดียวก็จัดการได้แล้ว ท่านยังมีหน้ามาเสนอเงื่อนไขกับพวกเราอีกเหรอ?”
อวิ๋นเซี่ยวไม่สนใจ หันตัวมาแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “เหมียวอี้ ในเมื่อเจ้ากับท่านจื่อหยางเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เอ่อคือว่า เดี๋ยวเจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยสิ ให้เขามาอยู่ที่นภาจอมมาร พวกเราจะเลี้ยงดูเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย”
นี่เป็นการฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไขชัดๆ! อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า แล้วดึงแขนเหมียวอี้ให้เดินออกไป “พวกเราไปกันเถอะ! ไม่ต้องขอร้องเขาหรอก ไปให้ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรช่วยก็ได้เหมือนกัน”
อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “น้องชิว ถ้าข้าไม่ให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าจะไปได้เหรอ? ถ้าไม่ตอบตกลงเงื่อนไขนี้ ข้าก็จะขังพวกเจ้าไว้ที่นี่แหละ รอให้ผ่านการประลองของวิเศษไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน! ถ้าข้าไม่ได้ท่านจื่อหยางมาทำงานให้นภาจอมมาร ข้าก็ไม่ปล่อยให้เขาตกอยู่ในมือคนอื่นเหมือนกัน พวกเจ้าไตร่ตรองให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“มีเขยคนใหม่มาเยือนบ้าน แต่ท่านรังแกกันอย่างนี้น่ะเหรอ ข้าจะไปฟ้องท่านปู่!” อวิ๋นจือชิวโวยวายอย่างโมโห
อวิ๋นเซี่ยวกล่าวพร้อมรอยยิ้มสดใส “ไปหาใครก็ไม่มีประโยชน์ ท่านปู่เจ้าต้องยืนฝั่งข้าแน่นอน ไม่มีอะไรน่าต่อรองหรอก ข้าจะถามอีกสักครั้ง พวกเจ้าตกลงหรือไม่ตกลง?”
“อาหก ท่านต่ำทรามไร้ยางอายมาก!” อวิ๋นจือชิวชี้หน้าพลางด่าสาดเสียเทเสีย
“น้องชิว ถ้าพูดถึงเรื่องต่ำทรามไร้ยางอาย งั้นข้าขอถามกลับสักหน่อยนะ ใครกันที่ตอนนั้นเพิ่งจะโตเป็นสาว แต่วิ่งไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำ…”
“ว้าย! หุบปากนะ!” อวิ๋นจือชิวประสาทเสียทันที พุ่งเข้าไปหมายจะสู้ตายกับอวิ๋นเซี่ยว
อวิ๋นเซี่ยวถลันตัวหลบข้างหลังเหมียวอี้ ตบบ่าเหมียวอี้พลางยอกว่า “ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ริมแม่น้ำเพื่อแอบดูฝูงผู้ชายอาบน้ำด้วยนะ ผลก็คือโดนจับได้คาที่เลย!”
ขณะมองดูอวิ๋นจือชิวที่ตกใจจนหน้าถอดสี เหมียวอี้ก็ราวกับโดนตะคริวกินใบหน้า เรียกได้ว่าค่อนข้างตตกตะลึง นึกไม่ถึงว่านางจะเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนเมื่อตอนเป็นสาวแรกรุ่น!
อวิ๋นจือชิวพูดอย่างอับอายเหลือทน “หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ไม่ได้มีเรื่องแบบนั้น…” แต่พบว่าคำอธิบายของตนค่อนข้างไร้น้ำหนัก การกระทำของตนได้อธิบายปัญหาไว้ชัดแล้ว นางหน้าแดงจนเหมือนก้นลิง “ที่จริงก็แค่อยากรู้ว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีอะไรต่างกัน ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย”
อวิ๋นเซี่ยวโผล่หน้าตรงข้างหลังเหมียวอี้ แล้วพูดหยอกว่า “เห็นชัดรึยังล่ะ มีตรงไหนไม่เหมือน?”
“คนบ้าเอ๊ย!” อวิ๋นจือชิวราวกับแมวโดนเหยียบหาง ด่าอย่างบ้าคลั่ง “ต่อไปข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว! นี่ไม่ใช่บ้านฝ่ายภรรยาหรอก นี่เป็นบ้านศัตรูชัดๆ!”
895 อย่าให้ผู้การหยางรู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้อ!” ขณะมองดูฮูหยินที่ใกล้จะเป็นบ้า เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ว่าเมียตัวเองโดนคนในครอบครัวกุมจุดอ่อนไว้เยอะแค่ไหน หันตัวมาบอกว่า “อาหก งั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าตอบตกลงเงื่อนไขของท่าน แต่ข้าไม่กล้ารับประกันนะว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขามานภาจอมมารได้รึเปล่า!”
ถ้าให้เยารั่วเซียนมาที่นภาจอมมารในตอนนี้ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเสียหาย พอเยารั่วเซียนปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้ ถ้าให้แดนเซียนรู้ว่าเขาหลบอยู่ข้างกายเหมียวอี้มาตลอด ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้ามาอยู่ที่นภาจอมมารแล้ว คาดว่าฝั่งนี้ก็คงไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างทารุณ ถ้ามีโอกาสเหมาะค่อยพากลับมาอีกทีก็ได้ ถึงอย่างไรเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังอยู่ในมือตน
อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ “งั้นเจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่นะ คนที่กล้าประลองของวิเศษกับสำนักงามวิจิตรเพียงลำพัง…” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำสีหน้าเหมือนเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา “ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าไม่ยอมให้เขาไปตกอยู่ในมือคนอื่นหรอก เจ้าคงเข้าใจดีว่าข้าหมายความว่าอย่างไร!”
เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้ หลังจากออกจากตำหนักคุมงานพร้อมกับเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวที่ยังคงมีสีหน้าอับอายก็แอบมองเหมียวอี้เป็นระยะ สังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เพราะนางออกจากนภาจอมมารมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกหลายปี จึงเข้าใจความคิดของคนทั่วไปได้ ค่อยๆ มีจิตสำนึกในความอับอายเหมือนคนปกติ ไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับคนของนภาจอมมาร นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้นางโมโหจนแทบบ้า นางกังวลมากว่าเหมียวอี้จะมีปมอะไรคั่งค้างอยู่ในใจ
ที่จริงต่อให้เป็นที่นภาจอมมาร ชายหญิงก็ยังมีความแตกต่างกัน ไม่อย่างบรรดาอาหญิงของนางคงไม่ได้มีอาเขยแค่คนเดียวหรอก ไม่เหมือนพวกอาชายที่สามารถมีเมียได้หลายคน สำหรับชายหญิงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นภาจอมมารก็ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ อย่างไรเสีย ถ้าพูดถึงด้านสรีระร่างกาย ผู้หญิงก็มีความเสียเปรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นอ้าวเทียนจะเปลี่ยนนภาจอมมารให้กลายเป็นซ่องราคะ
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ตอนที่เขาได้ครอบครอบร่างกายของผู้หญิงคนนี้ เขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีอะไรน่าสงสัย ตอนที่เป็นวัยรุ่น เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีอะไรน่าถือสาหาความ สำหรับนิสัยของผู้ชายและผู้หญิงที่นภาจอมมาร เขาเองก็นับว่าได้สัมผัสประสบการณ์มาแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนวัยรุ่นอวิ๋นจือชิวเป็นคนอย่างไร ยังหวังจะให้มีแกะน้อยในฝูงหมาป่าเชียวหรือ?
แต่เขายิ่งเงียบเท่าไร อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน จึงลองถามหยั่งเชิง “หนิวเอ้อร์ เจ้ามคิดจะถามอะไรข้าสักหน่อยเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่ได้กำลังคิดเรื่องนี้ เขากำลังคิดเรื่องเยารั่วเซียนอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามกลับว่า “ถามอะไร?”
อวิ๋นจือชิวอธิบายอีกรอบทันที “ตอนวัยรุ่นที่ข้าแอบดูผู้ชายอาบน้ำ ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น อยากจะเห็นว่าผู้ชายกับผู้หญิงมีอะไรต่างกัน ไม่ได้ทำเรื่องอื่นเลยจริงๆ”
พอนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้านี่มันพอได้เลยนะ ไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำมาจริงๆ เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหน้าแดงทันที อายจนแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ยังรวบรวมความกล้าบอกว่า “แอบดูแล้วยังไงล่ะ?”
เป็นครั้งแรกที่เห็นนางเป็นวัวสันหลังหวะแบบนี้ ในใจเหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว แต่ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “น่ามองมากใช่มั้ยล่ะ?”
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกลัวแล้วจริงๆ โต้กลับว่า “ข้าก็แค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย คงสู้เจ้ากับฝาแฝดคู่นั้นไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะ?”
“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออก นางพูดเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ได้ๆๆ! เจ้ามีเหตุผลเสมอนั่นแหละ เป็นความผิดของข้าเอง จบมั้ย? ที่เจ้าไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำก็ทำถูกแล้ว จบมั้ย?”
“ข้า…” อวิ๋นจือชิวแทบจะร้องไห้เพราะคำพูดของเขา นางดึงแขนเขา ถามด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป?”
เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็คว้ามือนางขึ้นมา เดินจูงมือนางพลางบอกว่า “เจ้าจะกังวลทำไม ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย ถ้าข้าไม่เชื่อเจ้า แล้วข้าจะแต่งงานกับเจ้าทำไม?”
อวิ๋นจือชิวกลับไม่วางใจ ถามยืนยันอีกครั้ง “เจ้าพูดจริงเหรอ? หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้านะ คนอื่นจะมองหรือจะว่าข้าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจ แต่ถ้าในใจเจ้ารู้สึกอึดอัดก็พูดออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าทนรับความไม่ยุติธรรมของเรื่องนี้ไม่ไหว ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้สึกไม่ยุติธรรมไปทั้งชีวิต!”
เหมียวอี้พลันหยุดฝีเท้า แล้วมายืนอยู่ตรงหน้านาง มองนางด้วยแววตาจริงจังพร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ถ้าครั้งหน้าอยากดูอีก พาข้าไปดูด้วยนะ!”
อวิ๋นจือชิวตะลึงงัน จากนั้นก็อับอายจนโมโห โชคดีที่เหมียวอี้เตรียมตัวไว้นานแล้ว เขาถลันตัวหลบก่อน คนหนึ่งวิ่งหนีอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งวิ่งไล่ตามหลัง…
จากนั้นทั้งสองก็มาที่ตำหนักจอมมารอีก มากล่าวอำลาอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างเป็นทางการ
หลังจากกลับมาถึงเรือนพักส่วนตัว ก็เรียกช่างไม้ ช่างหินและฉินเวยเวย แล้วเกี้ยวงามก็เหาะขึ้นฟ้า เหาะออกจากนภาจอมมารไปแล้ว
ตอนที่กลับถึงปราสาทดำเนินสุริยัน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้แล้วเช่นกันว่าเยารั่วเซียนจะไปประลองของวิเศษที่สำนักงามวิจิตร ข่าวนี้แพร่ไปทั่วทั้งแดนฝึกตนแล้ว สองสาวร้อนใจมาก และเป็นห่วงความปลอดภัยของเยารั่วเซียนด้วย ขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยพ่อบุญธรรมของพวกนางให้ได้
เหมียวอี้ปลอบใจว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปที่สำนักงามวิจิตรด้วยตัวเองสักเที่ยว ไม่ให้เกิดเรื่องกับเยารั่วเซียนหรอก”
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับเป็นกังวล อีกประเดี๋ยวก็ดึงมือเหมียวอี้ไปที่ห้องนอน แล้วคุยกันส่วนตัว “ความสัมพันธ์ของพวกเรากับเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าไปสำนักงามวิจิตรด้วยตัวเองแบบนี้ ข้ากลัวว่าจะอันตราย!”
แต่เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ในเมื่ออาหกจะส่งคนไปด้วย ทางแดนเซียนก็จะส่งคนไปด้วยเหมือนกัน พวกเขาไม่ปล่อยให้นภาอู๋เลี่ยงทำอะไรข้าหรอก ข้าจะไปทะเลดาวนักษัตรด้วย ไปบอกให้ประมุขถิ่นสี่ทิศพาคนไปด้วยเยอะๆ ต่อให้เฟิงเป่ยเฉินมาเอง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก มีแต่ต้องให้ข้าไปเองเท่านั้น ถึงจะอาศัยเครือข่ายพวกนั้นปกป้องเยารั่วเซียนได้ ไม่อย่างนั้นเยารั่วเซียนคงจะมีอันตรายจริงๆ”
อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย การไปครั้งนี้น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไร นางจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ข้ากับพวกช่างไม้ไม่สะดวกจะไปกับเจ้า ถ้าไปด้วยอาจจะทำเสียเรื่อง”
เหมียวอี้พยักหน้า เขาพอจะเข้าใจได้ อวิ๋นจือชิวไปแล้วจะอึดอัดทำตัวไม่ถูก ถ้ามีคนพูดจาไม่น่าฟังขึ้นมา…สรุปก็คือ ถ้าอวิ๋นจือชิวไปด้วยจะต้องมีคนตำหนินินทาลับหลังแน่นอน ถึงอย่างไรผู้ชายอย่างเขาก็เป็นฝ่ายได้ประโยชน์ คนอื่นจะว่าอะไรเขาก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวนึกอะไรขึ้นได้ หันตัวมายิ้มพร้อมถามว่า “ให้ฉินเวยเวยไปเป็นเพื่อนเจ้าสิ?”
“นางเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม “ทำไมเจ้าคิดถึงจะพานางไปด้วยตลอดเลย?”
อวิ๋นจือชิวมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มสนิทสนม แล้วถามว่า “นางทำไมล่ะ? เจ้าไม่ชอบใจอะไรน้องสาวข้าเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบใจนาง แต่วรยุทธ์อย่างนางไปด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะมีภาระเพิ่ม”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่เกิดอันตราย? พานางไปด้วยจะเป็นไรไป? พาลูกน้องไปด้วยสักคน ก็ยังพอต่อสู้ดูแลเจ้าได้” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
“ข้าจำเป็นต้องทำให้นางดูแลด้วยเหรอ? ถ้าอยากจะให้มีคนดูแลจริงๆ ไม่สู้ข้าพาเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วยดีกว่าเหรอ วรยุทธ์ของสองคนนั้นยังสูงกว่านางอีก” เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อวิ๋นจือชิวหัวเราะแล้วบอกว่า “พานางไปด้วยเถอะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าในอนาคตอยากให้นางคุมที่นี่ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพานางไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เพิ่มพูนความรู้สักหน่อย ต่อให้เป็นการรู้จักคนเพิ่มเพียงไม่กี่คนก็ตาม นางจะได้คุมที่นี่แทนพวกเราได้สะดวก”
“เจ้ายังคิดเรื่องนี้อยู่จริงๆ เหรอ? ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ได้ พวกเราผ่านด่านของหยางชิ่งไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว
อวิ๋นจือชิวตบหน้าอกเขาเบาๆ พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าบอกแล้วว่าข้ามีวิธีการของข้าเอง เจาไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ขณะที่หันหลังก็โบกมือบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เอาตามนี้แล้วกัน ข้าจะไปบอกนาง”
“ฮูหยิน อวิ๋นจือชิว เถ้าแก่เนี้ย..” เหมียวอี้พยายามเรียกยังไงก็ไม่ได้ผล เขายืนเอามือไขว้หลังครุ่นคิดพักหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ตกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะใช้อุบายอะไรกันแน่ ตอนที่เดินออกมาอีกครั้ง ก็เห็นอวิ๋นจือชิวจูงมือฉินเวยเวยและพูดคุยกันพอดี
เห็นเพียงฉินเวยเวยพยักหน้าไม่หยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว เมื่อเห็นเขาออกมานางก็รีบลุกขึ้น มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย ในดวงตาฉายแววดีใจเหนือความคาดหมาย
อวิ๋นจือชิวส่งนางไปจัดการงานนี้กับเหมียวอี้ นางเองก็ไม่ได้ทำงานกับเหมียวอี้มานานแล้ว ค่อนข้างเฝ้าคอยสิ่งนี้ กอปรกับที่คิดว่าอวิ๋นจือชิวพูดจามีเหตุผล บอกว่าตัวเองกับแดนอู๋เลี่ยงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน จึงไม่สะดวกจะไปแดนอู๋เลี่ยง ทั้งยังบอกว่าเห็นฉินเวยเวยเป็นเหมือนน้องสาว หวังว่าในระหว่างนั้นฉินเวยเวยจะช่วยดูแลเรื่องการกินอยู่ให้เหมียวอี้ได้
ฉินเวยเวยเข้าใจสิ่งนี้ รู้ว่าอวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะไปแดนอู๋เลี่ยงจริงๆ นางจึงบอกว่ายินดีรับหน้าที่นี้ จะช่วยพี่สาวดูแลนายท่านให้ดี
ดูจากสภาพแล้ว ทั้งสองคนเหมือนจะคุยกันเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้เกาศีรษะ แล้วถามว่า “เวยเวย ฮูหยินบอกเจ้าชัดเจนแล้วใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยกุมหมัดคารวะทันที “ข้ายินดีติดตามรับใช้นายท่านค่ะ!”
“…” ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้หมายความอย่างนี้ เขาพูดอย่างอึดอัดนิดหน่อยว่า “คืออย่างนี้นะ ข้ากลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด การไปครั้งนี้อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าคงไม่สะดวกจะอธิบายกับผู้การหยาง!”
เขาอยากจะให้ฉินเวยเวยไตร่ตรองอีกที หรือไม่ก็อยากให้ฉินเวยเวยรู้ถึงความลำบากแล้วยอมถอย แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะชิงบอกว่า “นายท่านเตือนได้ถูกต้องแล้ว น้องสาว อย่าให้ผู้การหยางรู้เรื่องนี้ ถ้าให้ผู้การหยางรู้ เขาจะต้องไม่ยอมให้เจ้าไปด้วยแน่นอน”
เหมียวอี้เหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า เข้าใจเป็นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?
ฉินเวยเวยพยักหน้า “พี่สาวไม่ต้องห่วงค่ะ ถึงแม้ผู้การหยางจะเป็นพ่อบุญธรรมของข้า แต่นายท่านกับพี่สาวก็ยังเป็นใหญ่ที่สุดในปราสาทดำเนินสุริยัน ในเมื่อพี่สาวกำชับแล้ว ข้าก็รู้ว่าควรทำอย่างไร!” นางตอบตกลงแล้วว่าจะปิดบังหยางชิ่ง
อวิ๋นจือชิวหันกลับมาหาเหมียวอี้ “นายท่านยังมีความคิดเห็นอะไรก็พูดมาทีเดียวเลย อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนพวกผู้หญิงได้มั้ยคะ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เวยเวย ไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าไร เจ้ากลับไปจัดการธุระที่อาณาเขตของเจ้าก่อน แล้วเจ้าค่อยไปหาหลินผิงผิงที่ยอดเขาหยกนครหลวง ไปอยู่กับนางที่นั่นก่อน เดี๋ยวข้าก็ต้องไปบอกที่เมืองหลวงด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นค่อยพาเจ้าร่วมทางไปด้วย” เขาต้องการไปรวบรวมกำลังพลที่ทะเลดาวนักษัตรก่อน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
“รับทราบ!” ฉินเวยเวยกุมหมัดคารวะทั้งสอง “หากนายท่านกับพี่สาวไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวก่อนค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มตาหยี หลังจากฉินเวยเวยเดินออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!”
“อย่าคิดจะไปบอกข่าวนี้กับหยางชิ่งเชียวนะ!” อวิ๋นจือชิวกลับเอ่ยเตือน
เหมียวอี้กำลังคิดจะทำแบบนั้นพอดี โดนพูดแทงใจดำแล้ว จึงหันตัวมาถามว่า “ฮูหยิน เจ้าคิดจะผ่านด่านหยางชิ่งยังไงกันแน่ เปิดเผยให้ข้ารู้หน่อยได้มั้ย?”
พูดชัดเจนแล้ว เขาไม่อยากให้หยางชิ่งกับฉินเวยเวยคุมที่นี่หลังจากที่ตัวเองไปพิภพใหญ่ และไม่อยากพาอวิ๋นจือชิวไปพิภพใหญ่ด้วย เดี๋ยวถ้าอวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวเจอกันขึ้นมา แล้วจะให้เขาจัดการยังไงล่ะ?
แดนอู๋เลี่ยง สำนักงามวิจิตร บนภูเขาที่ใช้หลอมของวิเศษโดยเฉพาะ เงาคนคนหนึ่งเหาะมาเหยียบลงนอกห้องไฟของเจ้าสำนัก ไม่ใช่ใครที่ไหน เหมียวจวินอี๋ ฮูหยินของเจ้าสำนักนั่นเอง
เหมียวจวินอี๋ทำสีหน้าเย็นเยียบ กวาดมองลูกศิษย์ที่เฝ้าประตู แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด!”
“รับทราบ!” พวกลูกศิษย์รีบถอยออกไป พอเหมียวอวี๋จวินโบกแขนเสื้อ ประตูหินที่ปิดสนิทก็เปิดให้คนข้า จากนั้นก็ปิดลงอีกครั้งพร้อมเสียงดังครืน
896 เปิดโปง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเตาหลอมของวิเศษ แสงไฟสีแดงส้มของหินผลึกไขมันเพลิงที่กำลังลุกโชนลอดออกมา เงาแสงกระเพื่อมอยู่ในห้องไฟหลอมสมบัติ ให้ความรู้สึกเหมือนมีแสงสีแพรวพราว
เหมียวจวินอี๋ที่เดินเนิบนาบมาตรงหน้าเตาหลอมของวิเศษไม่เห็นคนที่กำลังหลอมของวิเศษ จึงเดินอ้อมมาด้านหลังเตา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวชายชราที่กำลังนั่งอยู่บนบันได เข้าคือโม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตร
โม่หมิงกำลังก้มหน้าเงียบๆ ใช้สองมือกุมศีรษะที่มีผมขาวเป็นหย่อมๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา ก็เพียงพึมพำอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “บอกแล้วไงว่าอย่ารบกวนข้า ออกไป!”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเดินออกไป โม่หมิงก็เงยหน้าอย่างช้าๆ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือชายกระโปรงผู้หญิง พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าเย็นเยียบของเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ภายใต้แสงเพลิงที่กำลังกระเพื่อมแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ในดวงตางามของเหมียวจวินอี๋ราวกับจะมีไฟลุกออกมา ไม่รู้ว่าเป็นแสงไฟในเตาที่ส่องสะท้อนเป็น หรือที่จริงแล้วนางกำลังเดือดดาลโมโหสุดขีด
โม่หมิงเอามือลงจากศีรษะ ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ทำไม? ข้าจะมาไม่ได้เชียวหรือ?” เหมียวจวินอี๋ถามกลับ “เจ้าไม่ได้หลอมของวิเศษ แล้วจะหลบอยู่ที่นี่ทำไม? ไม่มีหน้าไม่เจอคนอื่นเหรอ?”
สองสามีภรรยาคู่นี้ ดูเหมือนคนหนึ่งแก่คนหนึ่งอ่อนวัย ถึงแม้วรยุทธ์ของเหมียวจวินอี๋จะสูงกว่า แต่รูปร่างหน้าตาดูอ่อนเยาว์กว่าโม่หมิงมากเกินไปจริงๆ หน้าตาก็ดีกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือวรยุทธ์ ก็เห็นได้ชัดว่าโม่หมิงไม่คู่ควรกับฮูหยินของตัวเอง
โม่หมิงหัวเราะแห้งๆ แล้วลุกขึ้นตอบว่า “อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“เจ้ายังหัวเราะออกอีกเหรอ?” เหมียวจวินอี๋พลันตวาดอย่างดุร้าย “ชื่อเสียงของข้าฉาวโฉ่แล้ว เจ้ามีความสุขมากใช่มั้ยล่ะ?”
โม่หมิงขมวดคิ้ว “ฮูหยินพูดแบบนี้อาจจะไม่เห็นใจกันเกินไปรึเปล่า ข้ากำลังหัวเราะอย่างขื่นขมชัดๆ จะเป็นการหัวเราะเยาะได้อย่างไร?”
“หัวเราะขื่นขม?” เหมียวจวินอี๋กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าก็หัวเราะขื่นขมเป็นเหมือนกันเหรอ? นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ในปีนั้นข้าบอกให้เจ้ากำจัดศิษย์อกตัญญูนั่น แต่เจ้าก็ไม่ยอมทำ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ เขามาแว้งกัดเหมือนหมาบ้าแล้ว กัดลึกลงกระดูกเลย เจ้ากับข้ากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะของคนในใต้หล้าแล้ว! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าเพิ่งไปหาท่านอาจารย์มา ท่านอาจารย์เดือดดาลมาก!”
ฝั่งอวิ๋นเซี่ยวจัดการเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก ด้วยอำนาจอิทธิพลของของนภาจอมมาร การปล่อยข่าวนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในการประลองใหญ่เพื่อเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักงามวิจิตรปีนั้น ข่าวที่เหมียวจวินอี๋เล่นไม่ซื่อได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว รังเกียจที่ลูกศิษย์หน้าตาอัปลักษณ์ จึงแอบวางแผนสกปรก ทั้งยังส่งคนไล่สังหารเพื่อปิดปากด้วย นับว่าเหมียวจวินอี๋ถูกทำลายชื่อเสียงให้ฉาวโฉ่แล้วจริงๆ ไม่ว่าใครที่ประสบพบเจอเรื่องแบบนี้ ก็ดีใจไม่ออกกันทั้งนั้น
โม่หมิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้ว ในปีนั้นเจ้าไม่ควรทำอย่างนั้น เจ้าไม่ควรมองคนที่หน้าตา ถ้าพูดเรื่องคุณสมบัติในการหลอมของวิเศษ จื่อหยางเหนือกว่าไป่ถิงมาก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของตำแหน่งผู้สืบทอดสำนัก พูดตามตรงนะ ที่ไป่ถิงยอมรับชัยชนะแบบนั้น ข้ารู้สึกผิดหวังมากจริงๆ จะส่งต่อสำนักงามวิจิตรให้ไปอยู่ในมือของคนแบบนั้นได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามาขัดขวาง ข้าคงไม่ให้เขาเป็นผู้สืบทอดสำนักแน่นอน!”
“เจ้าแซ่โม่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องทำความเข้าใจเอาไว้นะ เราไม่ได้เลือกแค่ผู้สืบทอดสำนัก แต่เราต้องเลือกลูกเขยด้วย เรามีลูกสาวแค่คนเดียว เจ้าทำใจปล่อยให้ลูกสาวไปแต่งงานกับเจ้าอัปลักษณ์ให้ขยะแขยงไปทั้งชีวิตได้เหรอ? ลูกสาวข้าอยากจะแต่งงานกับใครก็แต่งได้ ลูกศิษย์ในสำนักก็กินอยู่ด้วยเงินของพวกเราทั้งนั้น ทักษะติดตัวก็เป็นสิ่งที่พวกเราสอน มีคุณสมบัติที่คู่ควรจะมาต่อรองกับพวกเราเหรอ? เรื่องแต่งงานของลูกสาวตัวเอง อย่าบอกนะว่าข้าก็ต้องเกรงใจพวกเขาด้วย?” เหมียวจวินอี๋โมโหมาก
นางทำสีหน้าเหมือนจะระเบิดอารมณ์ นางโมโหมากจริงๆ ขนาดเฟิงเป่ยเฉินยังไม่รู้เรื่องที่นางทำเลย แต่เป็นเพราะข่าวที่แพร่ออกไปครั้งนี้ เฟิงเป่ยเฉินจึงรีบเรียกนางไปสอบสวน ถามว่านางได้ทำเรื่องแบบนี้หรือเปล่า หลังจากรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ เฟิงเป่ยเฉินก็โมโหเหมือนฟ้าผ่า แทบจะด่านางอย่างสาดเสียเทเสีย!
สำหรับเฟิงเป่ยเฉินแล้ว จะต้องการเจ้าสำนักที่หน้าตาดีไปทำบ้าอะไรล่ะ เขาควบคุมสำนักงามวิจิตรก็เพื่อให้ตัวเองไว้ใช้ประโยชน์ อยากได้คนมีความสามารถมาทำงานให้ตัวเอง ยิ่งเป็นคนที่หลอมของวิเศษได้เก่งเท่าไรก็ยิ่งดี จะหน้าตาดีหรือหน้าตาอัปลักษณ์แล้วเกี่ยวอะไรกัน? เขาไม่เลี้ยงพวกหน้าตาดีแต่ไร้ประโยชน์หรอก!
ผลปรากฏว่านางยังทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ทำให้เฟิงเป่ยเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภาพตอนที่เหมียวจวินอี๋โดนตำหนิสั่งสอนเป็นอย่างไร
โม่หมิงกล่าวอย่างจนใจว่า “งั้นเจ้าก็ต้องแยกแยะเรื่องราวให้ชัดเจนสิ เลือกผู้สืบทอดเจ้าสำนักก็ส่วนเลือกผู้สืบทอดเจ้าสำนัก เลือกลูกเขยก็ส่วนเลือกลูกเขย เจ้าจะเอามารวมกันทำไมล่ะ พวกเราหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เลย!”
เหมียวจวินอี๋ตวาดเสียงเข้มว่า “ล้อเล่นอะไรกัน! ถ้าลูกเขยข้าไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก แล้วข้าจะเลือกเขามาทำอะไรล่ะ! จนป่านนี้แล้วเจ้ายังช่วยพูดให้ลูกศิษย์อกตัญญูนั่นอีกเหรอ?”
โม่หมิงถอนหายใจยาว แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจจื่อหยางมาก ดูจากข่าวที่ลือกันในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้ความจริงเบื้องหลังตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่พูดเพราะกลัวจะทำลายชื่อเสียงของสำนัก ถ้าต้องการจะพูดเขาคงพูดตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะรอให้ถึงตอนนี้ทำไม? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าทำเกินไป ข่าวที่ลือกันข่างนอกเป็นความจริงรึเปล่า? เจ้าส่งคนไปทำลายชื่อเสียงของเขาที่ทะเลทรายม่านเมฆาจริงมั้ย ทั้งยังส่งคนไปไล่สังหารเขาตลอดด้วยเหรอ?”
เหมียวจวินอี๋แสยะยิ้ม “แล้วยังไงล่ะ? รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าศิษย์อกตัญญูคนนี้มีเจตนาไม่ดี แต่น่าแค้นที่ปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
โม่หมิงส่ายหน้าอย่างจนใจ “ใช่แล้วล่ะ เป็นเจ้าที่กดดันเขาเกินไป! เจ้ากดดันให้เขาออกจากสำนักงามวิจิตรแล้ว ทำไมยังจ้องจะเล่นงานให้เขาตายครั้งแล้วครั้งเล่าอีก เพราะเจ้าทำเกินไป เขาจะไม่เคียดแค้นได้อย่างไร?”
“เจ้าอย่ามาแสร้งทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย!” เหมียวจวินอี๋ชี้หน้าด่า “จนป่านนี้แล้วยังช่วยพูดแทนเขาอีกเหรอ เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าคนที่แอบมาขัดขวางไม่ใช่เจ้า? เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าตัวเองไม่ใช่คนที่แอบส่งลูกน้องไปช่วยชีวิตเขาครั้งแล้วครั้งเล่า?”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร?” โม่หมิงกล่าว
“อย่ามาใช้มุกนี้เลย!” เหมียวจวินอี๋แสยะยิ้มไม่หยุด “อาศัยสภาพของเขาในตอนนั้น จะจ้างยอดฝีมือให้โผล่มาได้ทุกเมื่อ ให้ปกป้องตัวเองในระยะยาวได้อย่างไร คนที่แอบคอยช่วยเหลือเขา นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครแล้ว คิดว่าข้าโง่นักเหรอ!”
ที่จริงทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ โม่หมิงเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าปิดบัง ก้มหน้าก้มตาตอบว่า “ข้าแค่ส่งคนสองคนไปคุ้มครองเขาก็เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าไม่ส่งคนไปทำร้ายเขา คนที่คอยปกป้องเขาก็คงไม่ลงมือเหมือนกัน”
“เจ้าแซ่โม่ เจ้าคอยระวังข้ามาตลอดเลยเหรอ?” เหมียวจวินอี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้างามที่อยู่ภายใต้แสงไฟเริ่มบูดบึ้ง
“ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าทำเกินไปก็เท่านั้นเอง!” โม่หมิงเหลือบตามองนาง “ข้างนอกกำลังลือกัน ว่าตอนนี้เจ้าส่งคนไปไล่ฆ่าเขาอีก คิดจะขัดขวางไม่ให้เขามาที่สำนักงามวิจิตร เป็นความจริงรึเปล่า?”
“เหลวไหล!” เหมียวจวินอี๋โมโหจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ นางเองก็อยากจะทำอย่างนี้ แต่เฟิงเป่ยเฉินเตือนนางไว้ล่วงหน้าแล้ว
เฟิงเป่ยเฉินบอกว่า ปล่อยข่าวให้รู้กันทั้งใต้หล้าเร็วขนาดนี้ จื่อหยางทำคนเดียวไม่ไหวแน่นอน จะต้องมีอำนาจของห้าแดนอื่นเข้ามาแทรกแซงแน่เบื้องหลังแน่ ไม่อย่างนั้นข่าวคงไม่แพร่เร็วขนาดนี้หรอก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังเปิดประเป๋าเสื้อรอให้พวกเราโยนตัวเองเข้าไปติดกับดักก็ได้ ต้องการให้พวกเราเป็นจริงตามที่คนอื่นหัวเราะเยาะ เขาจึงบอกเหมียวจวินอี๋ว่าอย่าบุ่มบ่ามทำอะไร
เรื่องที่จะทำต่อจากนั้นก็คือ ปล่อยให้จื่อหยางมาประลอง ถ้าหากฝ่ายนี้ชนะแล้ว ข่าวลือไม่ดีเรื่องการพ่ายแพ้ของจื่อหยางก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าจื่อหยางชนะ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนฝ่ายสำนักงามวิจิตรก็เสื่อมเสียชื่อเสียงอยู่ดี เช่นนั้นไม่สู้ทำตัวให้สอดคล้องกับความจริงหน่อยดีกว่า ให้เหมียวจวินอี๋ออกมาขอโทษด้วยตัวเอง แล้วรั้งจื่อหยางเอาไว้ ให้โม่หมิงถอยออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก แล้วมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้จื่อหยางแทน ต่อให้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก โม่หมิงก็ยังทำงานรับใช้นภาอู๋เลี่ยงได้เหมือนเดิม โม่หมิงหนีไม่พ้นการควบคุมของนภาอู๋เลี่ยงตั้งนานแล้ว เซี่ยงไป่ถิงสามารถหลีกทางให้ได้ แล้วเฟิงเป่ยเฉินจะให้ลูกสาวของชุยหย่งเจิน ลูกศิษย์อีกคนของเขาแต่งงานกับจื่อหยาง
หลังจากชนะแล้ว ถ้าจื่อหยางยังชอบลูกสาวของเหมียวจวินอี๋อยู่ เซี่ยงไป่ถิงก็สามารถหลีกทางให้ได้ จะมอบลูกสาวของเหมียวจวินอี๋ให้ ไม่ว่าจื่อหยางจะชอบนางจริงๆ หรือจะแค่อยากล้างแค้น แต่นั่นก็คือเกียรติยศที่ผู้ชนะควรจะได้รับ ถ้าเป็นราคาที่สามารถรับได้ ก็ต้องจ่ายเพื่อรั้งคนมีความสามารถเอาไว้
และแน่นอน เฟิงเป่ยเฉินรับปากเหมียวจวินอี๋ว่าหลังจากจบเรื่องจะชดเชยให้ นั่นก็คือจะถ่ายทอดมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงในระดับที่สูงขึ้นให้!
สรุปก็คือ ไม่ว่าจื่อหยางจะแพ้หรือจะชนะ ก็ไม่ต้องคิดที่จะไปไหนแล้ว ถ้าแพ้แล้วก็ต้องตาย ถ้าชนะแล้วก็แสดงว่ามีความสามารถ ถ้าไม่อยากอยู่ต่อ ก็จะปล่อยไปอยู่กับคนอื่นไม่ได้ ต้องกำจัดทิ้ง!
การตัดสินใจของท่านอาจารย์ เรียกได้ว่าทำให้เหมียวจวินอี๋ตัวสั่นด้วยความกลัว ในปีนั้นก็ยอมเสียสละนางเพื่อที่จะผูกมัดจิตใจโม่หมิง ตอนนี้ก็จะสละลูกสาวของนางเพื่อผูกมัดจิตใจคนอื่นอีก นั่นไม่ใช่คนอื่นนะ นั่นคือลูกสาวนาง…
ครืน! ขณะนี้เอง ประตูหินที่หนักอึ้งของห้องไฟก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เงาร่างที่สะโอดสะองเดินเนิบนาบเข้ามา เดินอ้อมเตาหลอมของวิเศษมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทั้งสองเงียบๆ หน้าตาสวยสดใส นางคือโม่จวินหลัน ลูกสาวของทั้งสองนั่นเอง
โม่จวินหลันหน้าตาสวยกว่าเหมียวจวินอี๋แม่ของนาง เมื่อเทียบกับโม่หมิงผู้เป็นพ่อ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว นางน่ารักสมวัย ลักษณะอ่อนโยนละมุนละไม เพียงแต่บนใบหน้าซ่อนความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเอาไว้ไม่อยู่
ทั้งสองหันไปมองนาง เหมียวจวินอี๋เจียดรอยยิ้ม แล้วก้าวขึ้นมาประคองไหล่สองข้างของลูกสาว “หลันเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
โม่จวินหลันมองหน้าบิดา แล้วก็มองหน้ามารดา ก่อนจะถามพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่รองคือเรื่องจริงเหรอคะ? ท่านแม่ การประลองในปีนั้น ท่านแม่ใช้วิธีการสกปรกอยู่เบื้องหลังจริงเหรอ? ในปีนั้นที่ศิษย์พี่รองโวยวายว่าไม่ยุติธรรมคือเรื่องจริงเหรอคะ?”
เหมียวจวินอี๋ตอบว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก! คนนอกพูดจาไร้สาระ ลูกศิษย์อกตัญญูนั่นเลวร้ายขนาดนี้ สร้างข่าวลือร้ายๆ ขนาดนี้ ช่างเป็นพวกล้างผลาญสำนักจริงๆ มองออกเลยว่าจิตใจชั่วร้าย เจ้ายังเรียกเขาว่าศิษย์พี่รองอีกเหรอ? เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องต้องปรึกษากับพ่อเจ้า!”
โม่จวินหลันมองบิดาที่นิ่งเงียบแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าก้มตา ก่อนจะหันตัวช้าๆ เดินออกไป
เมื่อเห็นสีหน้าลูกสาวแปลกไป เหมียวจวินอี๋ก็ไม่มีอารมณ์มาเสียเวลาอยู่ในนี้แล้ว แอบถ่ายทอดเสียงบอกโม่หมิงว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าขัดขวางในปีนั้น เรื่องในวันนี้จะเกิดขึ้นเหรอ ลูกศิษย์พิษร้ายขนาดนี้ ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ถ้าเขามีจิตใจที่เป็นมโนธรรมสักหน่อย ก็คงไม่ปล่อยข่าวที่เลวร้ายขนาดนี้หรอก เจ้าแซ่หมิง เจ้าทำร้ายลูกสาวตัวเอง!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป รีบตามออกไปปลอบใจลูกสาว
หารู้ไม่ว่าเยารั่วเซียนไม่ได้ปล่อยข่าวนี้เลย สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาไม่หนักใจอะไรกับการปล่อยข่าวนี้ ขอแค่บรรลุเป้าหมาย ใครจะไปสนใจความเป็นความตายของสำนักงามวิจิตรล่ะ
โม่หมิงเงยหน้าหลับตาลง ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง…
ณ ยอดเขาหยกนครหลวง เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า พอมาเหยียบลงด้านนอกลานบ้านแห่งหนึ่ง ก็มีคนถลันตัวเข้ามาขวางทันที “ใครกัน?”
ยอดเขาหยกนครหลวงไม่ใช่สถานที่ที่จะบุกเข้ามาโดยพลการได้ ต่อให้ข้างล่างจะทำเป็นร้านค้า แต่ด้วยฐานะประมุขปราสาทของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจแล้ว เขายื่นแผ่นหยกเพื่อยืนยันฐานะตัวตนออกมา หลังจากผู้ที่มาได้อ่านดูแล้ว ก็ใช้สองมือยื่นคืนให้อย่างเคารพนอบน้อม แล้วหลีกทางให้
หนึ่งในสิบเจ้าอาณาเขตของสายมะโรง การเข้าออกสถานที่ซื้อขายอย่างสมาคมร้านค้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าของร้านที่คุมสมาคมร้านค้าสายมะโรงก็ไม่กล้าขัดขวาง นอกจากจวนของท่านทูตที่อยู่บนเขา ที่สายมะโรงก็มีไม่กี่คนที่กล้ามาขวางคนระดับประมุขปราสาท
หลินผิงผิงและฉินเวยเวยที่อยู่ในลานบ้าน พอได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ในดวงตางามของฉินเวยเวยก็ฉายแววดีใจ ทั้งสองคำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”
897 ถูกใจคนไหน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นฉินเวยเวยมารอที่นี่จริงๆ เหมียวอี้ที่กำลังจนใจก็ยังพยักหน้ายิ้มทักทาย “มาคนเดียวเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” ฉินเวยเวยตอบ
“ระหว่างทางราบรื่นดีใช่มั้ย?”
“ปลอดภัยตลอดทาง ราบรื่นมากค่ะ!”
เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าทักทายหลินผิงผิง “ถ้ามีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกัน ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ข้าจะไปเยี่ยมคารวะท่านทูตที่ปราสาททองก่อน!”
“ค่ะ!” ทั้งสองกุมหมัดน้อมส่ง มองตามหลังเหมียวอี้เหาะขึ้นยอดเขา
ฉากนี้ทำให้ฉินเวยเวยทอดถอนใจด้วยความปลง คนเลี้ยงม้าต่ำต้อยในปีนั้น ประมุขถ้ำต่ำต้อยในปีนั้น ตอนนี้กลายเป็นตัวละครที่สามารถเข้าพบท่านทูตได้ทุกเมื่อแล้ว และบุคคลที่คบค้าสมาคมด้วยก็เป็นบุคคลระดับสูงเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นพวกประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตร ขณะมองดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงที่ทอดตัวเป็นพืดอยู่ด้านล่างภูเขา ในใจก็ยิ่งรู้สึกปลงอนิจจัง รู้สึกเหมือนได้เข้ามาอยู่ในความฝัน
“ประมุขตำหนักฉิน!” หลินผิงผิงเบี่ยงตัวพลางยื่นมือเชิญฉินเวยเวยให้เข้าข้างใน ท่าทีสุภาพเกรงใจมาก ตอนนี้คนของปราสาทดำเนินสุริยันต่างก็รู้ว่าประมุขตำหนักฉินกับฮูหยินประมุขปราสาทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
“ไม่เป็นไร! ข้าจะดูทิวทัศน์ของเมืองหลวงอยู่ข้างนอกสักหน่อย” ฉินเวยเวยปฏิเสธ แล้วเดินเนิบนาบเข้าไปในศาลาที่อยู่ริมภูเขา มองดูเมืองอันเจริญเฟื่องฟูดุจภาพวาดที่อยู่ติดกับภูเขาและแม่น้ำลำธาร รู้สึกสดชื่นสบายใจ
ทิวทัศน์ระดับนี้หาดูไม่ได้ที่ปราสาทดำเนินสุริยัน ถึงแม้ทิวทัศน์ป่าเขาที่ปราสาทดำเนินสุริยันจะงดงามสบายตา แต่กลับขาดกลิ่นอายของผู้คน ถ้าจะพูดให้ชัด ที่นั่นก็คือภูเขาลึกที่อยู่ห่างไกล ไม่ได้มีการผสมผสานระหว่างความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และความคึกคักรุ่งเรืองเหมือนที่นี่ มีเพียงคำว่าสวรรค์บนดินเท่านั้น ที่คู่ควรจะนำมาบรรยายความยอดเยี่ยมของที่นี่
ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะกลับมาเมื่อไร จึงไม่มีอารมณ์มาชมทิวทัศน์ แต่ตอนนี้หายกังวลแล้ว มีอารมณ์ผ่อนคลายสบายใจแล้ว
เหมียวอี้ไต่เต้าตำแหน่งในสายมะโรงได้ไวมาก ฉินเวยเวยไม่รู้ว่าวันหนึ่งเหมียวอี้จะได้กลายเป็นนายท่านของสวรรค์บนดินแห่งนี้หรือไม่ ที่จริงก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกัน ระหว่างประมุขปราสาทกับท่านทูตห่างกันแค่ขั้นเดียว
ไม่นานหลินผิงผิงก็ยกน้ำชาออกมา วางไว้ในศาลาแห่งนั้น…
ด้านนอกปราสาททองที่อยู่บนยอดเขา กูกูใหญ่ฉางฮวนเดินเนิบนาบออกมา แล้วยื่นมือเชิญพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “ประมุขปราสาทเหมียว ท่านทูตเชิญข้างในค่ะ!”
“รบกวนกูกูใหญ่แล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วมอบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้
ฉางฮวนรับมาพร้อมรอยยิ้ม แล้วหันตัวยื่นมือเดินนำทาง
เมื่อมาถึงห้องทำงานท่านทูตบนตึกของปราสาททอง หลังจากรออยู่สักพัก เหมียวอี้ก็เห็นเยว่เทียนโปเดินนำฉางฮวนและฉางเล่อเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะท่านทูต!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
หลังจากเยว่เทียนโปนั่งลง ก็ยื่นมือออกมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประมุขปราสาทเหมียว เจ้านี่เป็นประมุขปราสาทที่อิสระเสรีจริงๆ เลยนะ ไม่เห็นเจ้าโผล่หน้ามาตั้งหลายร้อยปี”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าน้อยก็อยากจะมาบ่อยๆ นะ แต่จนใจที่ตัดสินใจเองไม่ได้”
เยว่เทียนโปรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ อวิ๋นจือชิวใช้คำพูดแบบเดียวกันอ้างกับเขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว บอกเป็นนัยว่าเหมียวอี้รับภารกิจมาจากแดนโพนสวรรค์ กำลังปฏิบัติภารกิจลับ
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแดนโพนสวรรค์ขนาดนั้น ตามหลักการแล้วเยว่เทียนโปจะต้องคิดหาทางกำจัดทิ้ง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามกับตำแหน่งของตน แต่มีอยู่อีกจุดหนึ่งที่เขาเข้าใจดี นั่นก็คือมู่ฝานจวินกับอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ที่ทำแบบนี้เพราะมีแผนการอีกอย่างแน่นอน และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะใช้ให้เหมียวอี้ทำงานสำคัญ เขาถึงได้อดทนมาตลอด
พอนึกถึงตรงนี้ เยว่เทียนโปก็หัวเราะเบาๆ “แล้วทำไมครั้งนี้เจ้าถึงมีเวลาว่างมาได้ล่ะ?”
“คำกล่าวนี้ของท่านทูตทำให้ข้าน้อยกลัวนะ!” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท แล้วตอบว่า “มาเพราะเรื่องการประลองของวิเศษที่สำนักงามวิจิตร หวังว่าจะได้รับอนุญาตจากท่านทูต ให้ข้าน้อยได้ไปดูสักครั้ง!”
ไม่มีทางเลือก ที่เขาสามารถไปมาหาสู่กับทะเลดาวนักษัตร ก็เพราะได้รับอนุญาตจากแดนโพนสวรรค์แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเบื้องบนไม่ยินยอม ถ้าหนึ่งในสิบเจ้าอาณาเขตอย่างเขาออกนอกอาณาเขตโดยพลการ ก็ต้องมาขออนุญาติเยว่เทียนโปก่อน ถ้าจู่ๆ ไปโผล่อยู่แดนอู๋เลี่ยง ก็จะฟังดูไม่เข้าท่าแล้ว
ฆ่าหลานชายของเฟิงเป่ยเฉิน แย่งตัวหลานสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน เจ้ายังจะกล้าไปแดนอู๋เลี่ยงอีกเหรอ? เยว่เทียนโปมองประเมินเขาอย่างฉงนใจ และแน่นอนว่าเก็บคำพูดพวกนี้ไว้ในใจ จากนั้นขมวดคิ้วนิดหน่อยพลางถามว่า “เหมียวอี้ คงไม่ต้องให้ข้าเตือนเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับแดนอู๋เลี่ยง ถ้าเจ้าไปที่นั่น เกรงว่าจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่เป็นไรเลยขอรับ! ขอเพียงท่านทูตอนุญาต ข้าน้อยก็จะไปเชิญให้ประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรนำกำลังพลไปด้วยกัน!”
“…” เยว่เทียนโปพูดไม่ออก พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่หลบเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับทะเลดาวนักษัตรเลยจริงๆ หลังจากไตร่ตรองนิดหน่อย เขาก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเองก็อยากไปดูเหมือนกัน กำลังจะไปขออนุญาตแดนโพนสวรรค์พอดี รอดูท่าทีของแดนโพนสวรรค์สักสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน”
“รับทราบ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ ไม่ว่าจะอนุญาตหรือไม่ เขาก็แค่จะมาขออนุญาตก่อนเฉยๆ ถ้าอนุญาตก็แล้วไป แต่ถ้าไม่อนุญาต เขาก็ยังจะไปอยู่ดี ถ้าโดนทำโทษขึ้นมา อย่างมากก็แค่ได้ออกจากตำแหน่งประมุขปราสาทเส็งเคร็งนี่ เดี๋ยวเขาค่อยไปเป็นประมุขถิ่นกลางที่ตำหนักดาวกลางเอาก็ได้ ถ้าเขาวางค่ายกลแปดทิศแล้ว ใครจะทำอะไรเขาได้ล่ะ? เขาไม่ได้กังวลเยอะเหมือนอวิ๋นจือชิว ที่ตั้งใจจะรักษาอาณาเขตของปราสาทดำเนินสุริยันไว้ให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามอยู่ในมือมู่ฝานจวิน เขาคงไปเป็นประมุขถิ่นกลางตั้งนานแล้ว
คำพูดของอวิ๋นจือชิว เขาก็แค่รับฟังตอนที่อยู่บ้าน ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือโอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อออกจากบ้านมาแล้วควรจะทำอย่างไร เขาก็ยังจะทำอย่างนั้นเหมือนเดิม สิ่งที่ฮูหยินกำชับไว้ก่อนที่จะมา เขาได้โยนทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับวิธีการทำงานของเขาเลย
หลังจากทั้งสองคุยเรื่อยเปื่อยกันพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็กล่าวอำลา ก่อนจะไปก็ขอคุยส่วนตัวกับฉางเล่อ แล้วนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมอบให้นาง ถ้าให้อีกคนแต่ไม่ให้อีกคน ก็จะฟังดูไม่เข้าท่า ถึงแม้จะโยนคำพูดของฮูหยินทิ้งไว้ข้างหลัง แต่นี่ก็ยังเป็นวิธีการทำงานของเขาเหมือนกัน คือไม่ฉีกหน้าและพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้
เมื่อกลับถึงเรือนพักที่หลินผิงผิงเหมาเช่าไว้ในระยะยาว หลินผิงผิงก็บอกว่าเตรียมที่อยู่ใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญให้ประมุขปราสาทย้ายไป
ที่นี่มีนางอยู่อาศัยแค่คนเดียว อยู่กันเยอะเกินไปไม่ได้ และไม่สมฐานะของประมุขปราสาทด้วย
พวกเขามาถึงเรือนพักหรูหราที่อยู่บนภูเขา พอทอดสายตามองไปไกลๆ ทิวทัศน์ของเมืองหลวงก็ย่อมดีขึ้นอีกหนึ่งระดับ หลินผิงผิงกับฉินเวยเวยเดินสำรวจไปทั่ว ส่วนเหมียวอี้ก็เดินเอามือไขว้หลังอยู่ในลานบ้าน
เขากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ถ้ามีโอกาสจะต้องคุยกับเจ้าสามอย่างจริงจัง ดูว่าเจ้าสามมีเจตนาอย่างไรกันแน่ จะยืนอยู่ฝ่ายมู่ฝานจวิน หรือจะยืนอยู่ฝ่ายพี่ชายอย่างเขา ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าสามโดนบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวิน เขาก็เหมือนโดนมัดมือมัดเท้าอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นเขาจะโดนควบคุมอยู่ที่นี่ทำไม
อย่าว่าแต่ทิ้งทุกอย่างเพื่อไปเป็นประมุขถิ่นของตำหนักดาวกลางเลย ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยไปขอพึ่งพาแดนมารก็ได้!
“เจ้าสามนะเจ้าสาม..” เหมียวอี้ถอนหายใจยาว ในหัวมีภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ภาพในฤดูหนาวเมื่อวัยเด็ก เยว่เหยาที่หน้าซีดตัวผอมกำลังขดตัวอยู่ในผ้าห่มบางๆ พลางร้องว่าหนาว ร้องว่าหิว วินาทีนี้เหมียวอี้แทบจะน้ำตาเอ่อออกมา เขาเอามือชกต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายไม่หยุด ก้มหน้าเล็กน้อยและหลับตาลง ตอนที่พ่อแม่ของเจ้าสามรับเขามาเลี้ยง ก็ไม่เคยทำให้เขาหนาวและทนหิวเลย แต่ตอนหลังตัวเองกลับไม่ได้ดูแลเจ้าสามให้ดี เรียกได้ว่ายากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอก
“นายท่าน! เป็นอะไรไปคะ?” ไม่รู้ว่าฉินเวยเวยมาโผล่อยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไร นางถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่าทางท่านทูตมีอะไรไม่ราบรื่นหรือเปล่า?”
เหมียวอี้หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง แล้วโบกมือ “ไม่ใช่หรอก! ข้านึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้ เออใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาเมืองหลวงรึเปล่า?”
ฉินเวยเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จะไม่เคยมาได้อย่างไรล่ะ นางตอบว่า “ครั้งก่อนข้าน้อยมาส่งส่วยเป็นเพื่อนฮูหยินค่ะ”
“อ๋อ!” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผากตัวเองเพราะรู้ตัวว่าพลั้งปาก “ทีแรกคิดว่าถ้าเจ้าไม่เคยมา ข้าก็จะพาไปเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองหลวงสักหน่อย ข้าเลอะเลือนไปเอง”
ฉินเวยเวยแอบกัดฟัน แล้วตอบว่า “ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดด้านวรยุทธ์ ยากที่จะเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นได้ เลยไม่เคยเยี่ยมชมเมืองหลวงอย่างชัดๆ ค่ะ ถ้านายท่านมีอารมณ์ผ่อนคลาย ข้าน้อยยินดีจะไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนนายท่านค่ะ!”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ เขาไปเที่ยวชมมาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ยังมีอะไรน่าเที่ยวอีกล่ะ แต่ก็ยังพยักหน้าบอกนางว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่หลายวัน ก่อนมาฮูหยินก็สั่งไว้แล้วว่าให้พาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาเยอะๆ ข้าต้องออกไปพบปะผู้คนพอดี ข้าเองก็ไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปีแล้ว ไปดูด้วยกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง”
ทั้งสองเดินเล่นอยู่ในบ้านพักไม่กี่รอบ แล้วก็ออกไปด้วยกัน
เดิมทีหลินผิงผิงต้องการจะร่วมเดินทางไปด้วย แต่ฉินเวยเวยกลับบอกให้นางอยู่ที่นี่ อยู่ในตำแหน่งสูงมานานแล้ว การพูดจาและการจัดการเรื่องต่างๆ ก็เด็ดขาดขึ้นเยอะ ค่อนข้างต่างกับฉินเวยเวยในปีนั้น นางไม่ยอมให้หลินผิงผิงปฏิเสธ ออกไปกับเหมียวอี้สองต่อสองแล้ว
เมื่อออกจากเรือนพัก เหมียวอี้ก็พาฉินเวยเวยไปเยี่ยมเยียนเพื่อนร่วมงานสมัยที่ตัวเองเป็นผู้ช่วยของปราสาททอง ทั้งยังนั่งดื่มน้ำชากับผู้ตรวจการใหญ่หลันโฮ่วครู่หนึ่งด้วย ตอนนี้เขามีสิทธิ์จะนั่งเสมอกับหลันโฮ่วแล้ว จากนั้นก็ไปเยี่ยมบรรดาที่ปรึกษาและผู้ช่วยของยอดเขาหยกนครหลวงด้วย เขาไม่ลืมที่จะแนะนำฉินเวยเวยให้ทุกคนรู้จัก ในภายหลังถ้ามีเรื่องอะไรก็ฝากให้ดูแลนางด้วย
พูดปากเปล่าไม่มีอะไรเสียหาย ทุกคนย่อมเอ่ยรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
พอออกจากยอดเขาหยกนครหลวง เหมียวอี้ก็พาฉินเวยเวยไปเยี่ยมตาเฒ่าฮัว หลังจากออกจากบ้านตาเฒ่าฮัว สีของฟ้ามืดลงแล้ว ทั้งสองเช่าเรือดอกไม้เพื่อแล่นจากในคลองทะลุไปที่แม่น้ำใหญ่
บนหัวเรือ เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพลางชื่นชมสองข้างทางที่มีโคมไฟวิบวับหลากสีสัน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่
ตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว กลิ่นหอมอ่อนโชยเข้าจมูก ที่บ่ามีผ้าคลุมสีขาวเพิ่มขึ้นมาแล้ว เหมียวอี้หันกลับมามอง เห็นฉินเวยเวยกำลังทำสีหน้าตื่นเต้นกังวล พลางช่วยเขาจัดผ้าคลุมไหล่ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เหมียวอี้จึงยิ้มเจื่อนพลางบอกว่า “จะไปรบกวนให้ประมุขตำหนักผู้สง่าผ่าเผยมาทำงานของบ่าวรับใช้ได้ยังไง เจ้ากับข้าเป็นสหายกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ช่างเถอะ!”
ฉินเวยเวยฝืนตอบว่า “ก่อนที่จะมา ฮูหยินกำชับเรื่องความเคยชินในชีวิตประจำวันของนายท่าน สั่งให้ข้าน้อยดูแลเรื่องการกินอยู่ของนายท่านให้ดีค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกให้นางทำเรื่องนี้เสียหน่อย เพียงแต่นางเห็นเหมียวอี้ออกมาข้างนอกตอนอากาศหนาวบ่อยๆ แล้วทุกครั้งก็มีคนนำผ้ามาคลุมบ่าให้ นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ได้ ข้างกายนางไม่มีใครนำผ้ามาคลุมไหล่ให้เหมือนเหมียวอี้ นางเป็นคนหยิบมาคลุมเองเสมอ
เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าถูกคนอื่นดูแลมาตั้งแต่เด็ก จะไปดูแลคนอื่นเป็นได้ยังไง! ตอนอยู่ที่นี่ไม่ต้องแบ่งแยกฐานะกันหรอก เป็นสหายกันก็พอ ไม่ต้องบังคับตัวเองขนาดนั้น เจ้าทำแบบนี้กลับทำให้ข้าอึดอัดนะ!”
เมื่อโดนว่าว่าดูแลคนอื่นไม่เป็น ฉินเวยเวยก็กัดฟันอย่างอับอายเกินทน นางเอ่ยรับคำเดียว แล้วยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ถอดผ้าคลุมไหล่ออก เพียงแต่สังเกตเห็นว่าเป็นผ้าคลุมไหล่ของฉินเวยเวย แล้วก็สังเกตว่าน้ำเสียงของตัวเองเมื่อครู่นี้อาจจะให้ความรู้สึกเหมือนทำตัวสูงส่ง ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคลี่คลายบรรยากาศอึดอัด “เวยเวย ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ทุกวันนี้เจ้ายังโสดอยู่เลย ไม่เคยคิดจะแต่งงานเลยเหรอ?”
ฉินเวยเวยกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “สูงไปก็เอื้อมไม่ถึง ต่ำไปก็ไม่ต้องการ เกรงว่าคงจะไม่มีใครต้องการข้าแล้ว”
เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “คำกล่าวนี้ก็เกินไปหน่อยนะ ต่ำไปก็ไม่ต้องการ นั่นก็อาจจะจริง แต่ที่ว่าสูงไปก็เอื้อมไม่ถึง นั่นก็ไม่แน่หรอกใช่มั้ย? เจ้าชอบใครล่ะ บอกมาได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเป็นพ่อสื่อนะ เจ้ารู้จักจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันใช่มั้ย? ข้าเองที่เป็นสื่อกลางของพวกเขาสองคน เดี๋ยวข้าจะหาโอกาสช่วยให้เจ้าสมหวัง ต้องช่วยให้เจ้าได้เขามาแน่นอน เจ้าถูกใจคนไหนล่ะ?”
สายตาอันอ่อนโยนของฉินเวยเวยกำลังมองผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นยามลมราตรีพัดผ่าน มองเรือดอกไม้ที่แล่นอยู่ข้างหน้า พลางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พลาดไปแล้วล่ะ! คนที่ข้าชอบแต่งงานไปแล้ว”
“แต่งงานไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล “แบบนี้ก็ไม่สะดวกจะจัดการแล้ว ข้าคงไปทำให้สามีภรรยาเขาแยกทางกันไม่ได้ ถึงยังไงพ่อเจ้าก็ไม่ยอมให้เจ้าไปเป็นอนุภรรยาแน่ๆ เวยเวย ไม่ต้องเอาแต่มองคนคนเดียวหรอก ในใต้หล้ามีผู้ชายเยอะแยะ ลองใช้สายตามองไปไกลๆ หน่อย เดี๋ยวก็เจอคนที่ถูกใจเอง”
898 อย่าคิดจะรอดชีวิตกลับไปเลย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก คนในแดนฝึกตนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานมีอยู่เกลื่อนกลาด ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวเสียหน่อย” ฉินเวยเวยพูดเย้ยตัวเอง
“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานมีอยู่เกลื่อนกลาดจริงๆ แต่ถ้าหาก…” พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าหัวเราะ ไม่สะดวกจะพูดประโยนถัดไป
แต่ฉินเวยเวยกลับหันมามองอย่างฉงนใจ ถามซักไซ้ว่า “แต่ถ้าอะไรเหรอ? นายท่านพูดมาตรงๆ ได้เลยค่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้หรอก แค่กลัวว่าพูดออกมาแล้วเจ้าจะเสียหน้า” เหมียวอี้หันมาถามว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเหมือนจะไม่เคยคลุกคลีอยู่กับผู้ชายจริงๆ จังๆ สักทีเลยใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยหัวเราะแบบไร้เสียง “ไม่มีอะไรเสียหน้าหรอก นายท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ข้าหมายความหมาย ผู้หญิงแบบนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด นั่นก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่พวกนางผ่านผู้ชายมาทั้งนั้น บางคนก็เข้ากันไม่ได้แล้วแยกทางกัน บางคนคำนึงถึงทรัพยากรฝึกคน คิดว่าอยู่คนเดียวก็ดีแล้ว แต่เจ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องชายหญิงมาก่อนเลย ถ้าไม่เคยผ่านสักครั้งแล้วบอกว่าจะไม่แต่ง ข้ารู้สึกว่าแปลกชอบกล ยอมแพ้ทั้งๆ ที่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติ ไม่กลัวเสียใจทีหลังเหรอ?” เหมียวอี้ฉงนใจ
ฉินเวยเวยตอบจากใจว่า “ช้าเองก็เป็นผู้หญิงธรรมดา มีความปรารถนาแบบนี้เหมือนกัน ส่วนในอนาคตจะได้แต่งงานหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไม่มีโอกาสแล้วกระมัง เรื่องในอนาคตใครก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก”
“นั่นก็ใช่!” เหมียวอี้พยักหน้า “ก็อย่างที่ข้าบอก ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเจอคนที่เหมาะสมหรือเจอคนที่อยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก ข้าก็สามารถช่วยได้ ถ้าไม่สะดวกจะพูดกับผู้ชาย เจ้าก็ไปหาฮูหยินได้ ให้นางช่วยคิดหาวิธี อาศัยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฮูหยิน ฮูหยินคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยแน่”
“น้ำใจของนายท่าน ข้าซาบซึ้งแล้ว!” ฉินเวยเวยเอียงหน้ามองไปยังคลื่นใสที่กระเพื่อมอยู่สองข้างเรือ พลางหัวเราะเงียบๆ “ไม่พูดเรื่องของข้าแล้ว ฮูหยินมักจะเอ่ยเรื่องรับอนุภรรยาของนายท่านบ่อยๆ เท่าที่ข้าสังเกตดู เหมือนฮูหยินจะมีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ”
ถ้ามีเจตนาอย่างนี้จริงๆ ก็แปลกแล้ว นางเอ่ยถึงเรื่องของฝาแฝดอยู่บ่อยๆ! เหมียวอี้กำมือพลางไอแห้งๆ “เจ้าอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหลเลย คำพูดแบบนี้ของผู้หญิง ไปคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก”
ฉินเวยเวยกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ก่อนที่จะมา ฮูหยินสั่งข้าเอาไว้ ให้ข้าหาโอกาสถามว่านายท่านชอบผู้หญิงแบบไหน ถ้ามีคนไหนถูกใจก็ให้บอก ฮูหยินจะช่วยจัดการรับมาให้ท่าน! ข้ายืนยันมาแล้ว ว่าฮูหยินหมายความอย่างที่พูดจริงๆ”
พูดจริงก็แปลกแล้ว เกรงว่าถ้าเอ่ยชื่อใครคนนั้นก็คงซวย ผู้หญิงบ้านั่นกำลังทอดสอบข้าด้วยวิธีการทางอ้อมต่างหาก! เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องพรรค์นี้ แถมข้ายังไม่ค่อยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น จะไปคิดได้อย่างไร” เขาหันมามองฉินเวยเวยศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าพูดถึงผู้หญิง ก็เหมือนจะได้ใกล้ชิดกับเจ้ามากกว่าคนอื่น แต่คงให้เจ้ามาเป็นอนุภรรยาข้าไม่ได้อยู่แล้วล่ะ? แบบนั้นหยางชิ่งคงเล่นงานข้าตาย!”
ฉินเวยเวยยิ้มบางๆ แล้วถามเหมือนล้อเล่นว่า “ถ้าตัดปัจจัยเรื่องพ่อของข้าออกไป นายท่านจะแต่งงานกับข้ารึเปล่า?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ใช่ว่าเราสองคนจะไม่เคยลองสักหน่อย เจ้าอย่าลืมนะ ว่าตอนแรกข้าไปสู่ขอเจ้ากับผู้การหยาง เราสองคนเกือบจะได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว ผลเป็นอย่างไรเจ้ายังไม่รู้ชัดอีกเหรอ?”
ฉินเวยเวยพยักหน้า “รู้ชัดสิ! นายท่าน ถ้าตอนนั้นข้าไม่สนใจความเห็นของพ่อข้า แล้วต้องการจะแต่งงานกับท่านจริงๆ ท่านจะแต่งกับข้ารึเปล่า?”
คำถามนี้ควรค่าให้เหมียวอี้ครุ่นคิด เขาส่ายหน้าช้าๆ พลางตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สำหรับคนในแดนฝึกตน เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ!”
สำหรับเหมียวอี้ ถ้านำเรื่องในตอนนั้นมาพูดถึงในตอนนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สภาพจิตใจต่างออกไปแล้ว ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาเยอะ ผ่านอันตรายมาเยอะ ทำเรื่องต่างๆ โดยไม่สนวิธีการ เรื่องหลอกเอาเงินหรือใส่ร้ายคนอื่นก็ทำมาเยอะเหมือนกัน
เมื่อมองย้อนไปอดีต เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสาเกินไป โดยเฉพาะตอนที่สู้ตายไม่ยอมแพ้ที่ถ้ำล่องนิภา ต้องโดนกดดันถึงจะยอมแพ้ ภาพนั้นฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขามากที่สุด พอมองย้อนไปก็รู้สึกว่า ต้องโง่ขนาดไหนถึงจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ถ้ำนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเองแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะยอมสู้ตายเพื่อมัน ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนนี้คงยอมแพ้ไปเสียเลย รักษาชีวิตไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
และถ้าให้ตัวเองในอดีตมามองตัวเองในตอนนี้…
สายตาของเหมียวอี้เปลี่ยนเป็นเลือนรางนิดหน่อย พบว่าบนเส้นทางนี้ ตัวเองยิ่งเดินยิ่งไกลจริงๆ…
เมื่อไม่ได้คำตอบที่จริงจังชัดเจน ฉินเวยเวยก็ไม่ได้ถามอีก ดูจากผ้าคลุมที่อยู่บนไหล่ของเขา ทั้งยังมีคำพูดบอกใบ้เมื่อครู่นี้ ด้วยนิสัยใจคออย่างนาง ทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว นางคิดว่าเขาควรจะฟังออกสิถึงจะถูก แต่ดูจากปฏิกิริยาของเขา วันนี้นางถึงได้เข้าใจ ว่าผู้ชายคนนี้มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำมาก เกรงว่าถ้าไม่เปิดเผยตรงๆ เขาก็ไม่มีวันรับรู้ถึงความรู้สึกของนางตลอดไป
ทว่าพอมาคิดทบทวนตัวเอง ก็พบว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เงียบและเก็บตัวจริงๆ ถ้าพูดตรงเกินไปก็จะฟังดูไม่เข้าท่า ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ บางทีเรื่องราวระหว่างทั้งสองอาจจะได้บทสรุปไปนานแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ตอนหลังอาจจะไม่มีอวิ๋นจือชิวมาเกี่ยวข้องแล้วก็ได้ และคงไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเองมาหลายปีอย่างนี้ด้วย
ตัวเองเป็นอะไรไป? ฉินเวยเวยยิ้มขื่นขมในใจ ตั้งแต่วันที่เหมียวอี้แต่งงาน เดิมทีนางคิดว่าตัวเองจะเลิกใฝ่ฝันเพ้อเจ้อไปแล้ว ทำไมตอนนี้ตัวเองถึงเริ่มรุกเข้าถอยออก ทำไมเริ่มลังเลเดินกลับไปกลับมาอีกล่ะ?
เมื่อลองครุ่นคิดหาสาเหตุอย่างละเอียด ปัญหาเกิดขึ้นจากฮูหยินอวิ๋นจือชิว ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินพูดอย่างชัดเจนว่าต้องการหาอนุภรรยาให้เหมียวอี้ ความคิดนี้ก็คงไม่ผุดขึ้นมาอีก และหัวใจที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ค่อนข้างเด่นชัด เหมือนจะอยากคว้าโอกาสนี้ไว้ ราวกับคนที่ใกล้จะจมน้ำตาย แต่จู่ๆ ก็คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งเอาไว้ได้ ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าฟางเส้นนี้จะช่วยชีวิตตัวเองได้หรือไม่ แต่ก็ยังอยากไขว้คว้าเอาไว้ ไม่อยากปล่อยผ่านไป
เรือบนแม่น้ำสั่นโคลงเคลง ม่านบนห้องเรือเลื่อนลง สองคนที่ยืนอยู่บนหัวเรือเงียบงัน ต่างคนต่างกำลังครุ่นคิด…
ตอนที่กลับมาถึงเรือนพัก ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลินผิงผิงที่กำลังรอออกมาต้อนรับ ฉินเวยเวยที่ก้าวเข้าประตูลานบ้านสั่งว่า “เดี๋ยวเตรียมน้ำไว้ให้นายท่านอาบด้วยนะ”
“ไม่ต้องหรอก ดึกมากแล้ว ไม่ได้ไปทำอะไรมาด้วย” เหมียวอี้กล่าว
ฉินเวยเวยจึงบอกว่า “ฮูหยินได้สั่งไว้ก่อนจะมาค่ะ”
“ผู้หญิงคนนั้นปัญหาเยอะจริงๆ…” เหมียวอี้บ่นพึมพำกับตัวเอง เขาไม่เหมือนกับอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาอาบน้ำวันละสองครั้งเหมือนนาง เขาทำไม่ได้จริงๆ
ไม่กี่วันต่อมา ฉินเวยเวยก็แทบจะปรนนิบัติเหมียวอี้อย่างรอบด้าน นางบอกถึงปัญหาของการอดอาหาร ขนาดน้ำชาที่เหมียวอี้ดื่ม นางก็ยังไม่ให้คนอื่นทำให้ นางยกมาวางตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยตัวเอง พอเหมียวอี้บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ฉินเวยเวยก็จะอ้างอวิ๋นจือชิวอีก บอกว่าฮูหยินสั่งมา ทำให้เขาต้องกลอกตามองบน
ครั้งนี้เขานับว่าได้รับบทเรียนระยะยาวแล้ว ต่อไปนี้จะไม่พาคนของอวิ๋นจือชิวไปไหนด้วยอีก ไม่อย่างนั้นอิทธิพลของฮูหยินก็จะตามติดเหมือนเงาอยู่ตลอดเวลา…
หลังจากนั้นหลายวัน ประสาททองก็ให้คนมาส่งข่าว ว่าทางแดนโพ้นสวรรค์อนุญาตแล้ว อีกสองวันให้เดินทางไปพร้อมกับเยว่เทียนโป
ไม่รู้ว่าผู้ที่มาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายเตือนเขาว่า ทางแดนโพ้นสวรรค์ก็มีคนไปด้วยเหมือนกัน คุณชายรองจะไปด้วยตัวเอง!
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็งงนิดหน่อย แค่การประลองของวิเศษสนามเดียวเท่านั้น อันหรูอวี้จะถ่อไปด้วยทำไม?
เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากเจออันหรูอวี้แล้วจะเผชิญหน้าอย่างไร!
เขาอยากจะหลบเลี่ยงอันหรูอวี้ แต่ถ้าเขาไม่ไป เยารั่วเซียนก็จะไม่มีเส้นสาย ไม่มีใครหนุนหลัง นอกจากเขาแล้ว จะมีใครมาหนุนหลังให้เยารั่วเซียนได้ล่ะ? ไม่ว่าผลการการประลองของวิเศษจะแป็นอย่างไร ถ้าไม่มีใครคุ้มกันส่งออกไป เยารั่วเซียนก็จะอยู่สถานการณ์ที่อันตรายมาก!
หลังจากนั้นสองวัน เหมียวอี้ก็ยังแข็งใจพาฉินเวยเวยไปพบเยว่เทียนโปบนยอดเขา
เยว่เทียนโปมองฉินเวยเวยหลายครั้ง แล้วถามว่า “คนนี้ใคร? เหมือนจะคุ้นหน้านิดหน่อย!” เขาเคยเจอฉินเวยเวยตอนงานแต่งงานของเหมียวอี้ แต่เป็นตัวละครที่ไม่สำคัญ เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “เป็นทหารคุมที่คนในส่งมา!”
ฉินเวยเวยพูดไม่ออก แต่ตื่นเต้นกังวลหลังจากได้พบท่านทูตมากกว่า
เยว่เทียนโปอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “เหอะๆ! เหมียวฮูหยินช่างเป็นคนยอดเยี่ยมจริงๆ นึกไม่ถึงว่าการสั่งสอนอบรมของบ้านประมุขปราสาทเหมียวจะเข้มงวดขนาดนี้!” เป็นการหยอกล้อว่าเมียคุ้มเข้มงวดเกินไป
“เฮ้อ! ใครว่าไม่ใช่ล่ะ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ
“วี๊ด…” เสียงนกร้องดังอยู่บนฟ้า ‘วิหคเทพเมฆคราม’ สัตว์เทพของเยว่เทียนโปบินวนเข้ามา เยว่เทียนโปเหาะนำขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็ตามขึ้นไป ไปเหยียบอยู่บนหลังวิหคเทพแล้วบินด้วยความเร็วสูง
สมาชิกที่ติดตามไปด้วยคล้ายๆ กับคนที่ไปสำนักงามวิจิตรในปีนั้น แต่ขาดเฉิงอ้าวฟางไปหนึ่งคน มีเหมียวอี้อันหรูอวี้มาแทนที่
โชคดีที่อันหรูอวี้ออกเดินทางจากแดนโพ้นสวรรค์โดยตรง ไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับขบวนนี้ แต่ตลอดทางเหมียวอี้ก็ยังครุ่นคิดถึงภาพสภาพการณ์หลังจากเจอหน้าอันหรูอวี้…
งานเริ่มวันที่สิบเก้า แต่วันที่สิบแปดก็มาถึงแล้ว คนที่คำนวณเวลาไม่ได้มีแค่พวกเยว่เทียนโป อำนาจของแต่ละแดนก็มาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล เรื่องเรื่องเดียวก็สะเทือนถึงคนมากมายขนาดนี้ สงสัยคนที่สนใจเยารั่วเซียนจะไม่ได้มีแค่นภาจอมมารแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีใครสนใจเยารั่วเซียนมากขนาดนี้ เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดซ้ำๆ แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว ลองคิดถึงเรื่องเจดีย์งามวิจิตร เกรงว่าเรื่องเจดีย์งามวิจิตรจะดึงดูดความสนใจของแดนต่างๆ เข้าแล้ว เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังว่าทำไมลืมเรื่องที่แดนโพ้นสวรรค์เคยออกคำสั่งให้รวบรวมนักพรตหลอมของวิเศษ
ที่จริงสำนักงามวิจิตรไม่ต้อนรับให้แขกพวกนี้มาดูเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอก ต่อให้เจ้าจะปฏิเสธไปฝ่ายหนึ่งแล้ว แต่ก็ปฏิเสธฝ่ายอื่นๆ ไม่ไหว ในเมื่อคนระดับสูงของแต่ละแดนต้องการจะมาดู เจ้าก็ทำได้เพียงต้อนรับขับสู้
อาจจะเป็นเพราะศัตรูมักปรากฏตัวบนทางแคบ พวกเยว่เทียนโปเพิ่งจะมาถึง ฝ่ายอันหรูอวี้ก็มาถึงแล้ว คนฝั่งแดนเซียนรู้ว่านางจะมาถึงวันนี้ เดิมทีก็คิดจะมารอต้อนรับอยู่แล้ว
อันหรูอวี้ที่เหาะลงมาจากฟ้าเห็นเหมียวอี้ทันทีที่มองมา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก สายตาหยุดอยู่ที่เขาครู่เดียว แล้วก็มองผ่านไป ไปทักทายกับบรรดาท่านทูตก่อน
ช่างเป็นจังหวะนรก คนของแดนปีศาจก็มาถึงแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าในนั้นจะมีจีเหม่ยเหมยด้วย
เหมียวอี้เห็นจีเหม่ยเหมยแล้ว จีเหม่ยเหมยก็เห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยแล้วต่างคนต่างหันหน้าหนี เหมียวอี้ด่าในใจว่า ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่ผู้หญิงคนนี้ ทั้งยังมาเจอกันอีกในสถานที่ที่เขาฆ่าลูกชายของนางด้วย
“มีอะไรก็ไว้คุยกันตอนมาครบ ทุกคนแยกย้ายกลับห้องพักไปก่อน โอวหยางกวง มานี่หน่อย!” อันหรูอวี้สั่งให้ทุกคนแยกย้าย แล้วเดินออกไปกับสามีตัวเองตามลำพัง ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
หลังจากกลับถึงที่พักแล้ว อันหรูอวี้ที่เข้ามาในโถงหลักก็ไล่คนอื่นๆ ออกไป อยู่กับโอวหยางกวงตามลำพัง
“มีเรื่องอะไร?” โอวหยางกวงถาม สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาย่อมเห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน
อันหรูอวี้นั่งลงช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เหมียวอี้ก็มาแล้วเหมือนกัน!”
“ข้าเห็นแล้ว!” โอวหยางกวงตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
อันหรูอวี้ทำสีหน้าเย็นเยียบน่ากลัวทันที “ถ้าไอ้เหมียวจัญไรยังไม่ตาย ข้าก็กินนอนไม่เป็นสุข ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะรอดชีวิตกลับไปเลย!”
“เจ้าอยากฆ่าเขาเหรอ?” โอวหยางกวงตกใจ
“เป็นความอัปยศใหญ่หลวงนะ! หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เป็นไปไม่ได้ที่หวนหวนกับหลางหลางจะไม่แต่งงานไปทั้งชาติ ถ้าผู้ชายในอนาคตของพวกนางพบว่าพวกนางเคยเสียตัวแล้ว ประกอบกับข่าวลือนั่น ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็รับสิ่งนี้ไม่ไหวหรอก มีเพียงแค่ให้ไอ้เหมียวจัญไรตายไป จึงจะเป็นการปลอบใจข้าได้! ดังนั้นเขาต้องตาย!” พอนึกถึงภาพที่ตัวเองนำเสื้อผ้าไปมอบให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง นางก็โมโหจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าลับหลังเขาง้างมือจะตบนางกี่ครั้งแล้ว
ถึงแม้โอวหยางกวงจะอยากให้เหมียวอี้ไปตาย แต่ก็รู้สึกว่าวิธีคิดของอันหรูอวี้สุดโต่งเกินไป จึงขมวดคิ้วถามว่า “ถ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้ากลับไปจะอธิบายอย่างไร?”
อันหรูอวี้พลันเหลือบตาขึ้นมอง “ไม่ต้องให้พวกเราลงมือเองหรอก คนที่อยากจะฆ่าเขามีเยอะจะตาย เฟิงเป่ยเฉินก็อยากฆ่าเขา จีเหม่ยเหมยก็อยากฆ่าเขาเหมือนกัน พวกเราไม่ต้องลงมือเองหรอก พวกเราแค่ต้องสร้างโอกาสให้พวกเขาลงมือก็พอแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง ไปติดต่อกับอีกสองแดน ข้าว่าพวกเขาก็ยินดีจะเล่นงานให้ไอ้เหมียวจัญไรถึงตายเหมือนกัน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น