อยากกินไหมล่ะ 881-883
บทที่ 881 คำขอพิเศษของเฉาจื่อซู
หลังจากได้เห็นสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเองแล้ว จ้าวน้อยก็เดินตามหลังพลางพร่ำบ่นอยู่ในใจไม่หยุด
“อะไรกันเนี่ย? ไม่มีอะไรน่าทึ่งเท่ากับผู้คนในอินเตอร์เน็ตที่ชอบทำอะไรพิเรนทร์ๆอีกแล้วแหละ”
“ถึงแม้ว่าถนนจะสะอาด แต่ก็สับสนวุ่นวายไปด้วยแผงลอยมากมาย”
“ร้านเล็กจริงๆ แถมยังไม่มีป้ายอีกต่างหาก”
“การตกแต่งในร้านดีพอใช้ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ”
“และดูที่ภาพเขียนทั้งสองที่ติดอยู่บนผนังสิ นี่คือผู้มีการศึกษาที่แสร้งทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ พวกมันน่าจะเป็นภาพเขียนสุ่มๆที่เขาคว้ามาจากที่ไหนสักแห่ง ผู้เขียนคือเตียวซานเม่ยงั้นรึ? ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”
นับตั้งแต่เขาเข้าสู่ถนนเถ่าซือมา จ้าวน้อยก็มองดูทุกหนทุกแห่งด้วยแววดูถูกดูแคลนอยู่ไม่หยุดหย่อน ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเลวร้ายสำหรับเขาไปเสียหมดและเขาก็คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่อาจเทียบได้กับการออกแบบอันแสนคลาสสิกและละเอียดประณีตของร้านซู จากสิ่งที่กำลังพร่ำบ่นในใจทำให้เห็นตำแหน่งในตอนนี้ของเขาได้ชัดเจนเชียวล่ะ
อย่างไรก็ตามแต่เขาก็หาใช่คนโง่ไม่ ในเมื่อเขาเคยถูกเฉาจื่อซูตำหนิมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมกลับมาเสียเร็วขนาดนี้ล่ะคะ เถ้าแก่หยวน?” เมิ่งเมิ่งกล่าว เนื่องจากเธอเห็นว่าเถ้าแก่หยวนพาแขกมาด้วย เธอจึงไม่ได้ถามอะไรให้มากเกินไปนัก เธอได้แต่กล่าวอย่างสุภาพว่า “ขอฉันดูตอนคุณทำอาหารได้ไหมคะ? ฉันสัญญาว่าจะดูเท่านั้นค่ะ”
“อย่าส่งเสียงดังก็แล้วกัน” หยวนโจวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ นี่เป็นวิธีการตอบตกลงอย่างหนึ่งของเขา เมิ่งเมิ่งรู้สึกเกินความคาดหมายอยู่บ้างจึงพยักหน้ารัวๆพลางยืนอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟัง
หยวนโจวเตรียมอาหารสำหรับการมาเยือนเอาไว้สองอย่าง ขณะที่เขากำลังจะบอกชื่ออาหารอยู่นั้น เฉาจื่อซูก็พูดขึ้นมา
“ขอโทษด้วยครับ หัวหน้าเชฟหยวน ผมสงสัยว่าจะสามารถเสนออะไรบางอย่างสำหรับการแลกเปลี่ยนวิชาในวันนี้ได้ไหมครับ?” เฉาจื่อซูกล่าวอย่างขอโทษขอโพย
เนื่องจากหยวนโจวยอมกินทุกอย่างเมื่อตอนที่เขาไปเยือนจึงทำให้เฉาจื่อซูรู้สึกละอายใจที่จะเรียกร้องเมื่อถึงคราวที่เขามาเยือนบ้าง
“บอกมาเถอะครับ” หยวนโจวกล่าว
“ผมได้ยินมาจากลูกศิษย์ของผมว่าคุณวิเคราะห์ปลาต้มเผ็ดเอาไว้เสียละเอียดทีเดียว ดังนั้นผมเลยสงสัยว่าจะสามารถรวมอยู่ในอาหารวันนี้ได้ไหมครับ?” เฉาจื่อซูกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าหากมีปัญหาเกี่ยวกับตัววัตถุดิบก็ลืมมันไปเสียเถอะครับ คำขอของผมก็ออกจะฉุกละหุกเกินไปเสียหน่อย”
“ไม่มีปัญหาครับ” หยวนโจวพยักหน้า
ลูกศิษย์คนที่ว่าก็คือจ้าวซินนั่นเอง หยวนโจวพิจารณาด้วยความสงสัย เขาไปวิเคราะห์ปลาต้มเผ็ดเอาไว้เสียละเอียดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนที่เขาต้องจัดการ แต่เขาก็ตกลงที่จะทำอยู่ดี
สาเหตุเดียวสำหรับคำขอของเฉาจื่อซูก็เนื่องมาจากสิ่งที่จ้าวน้อยพูดนั่นแหละ
ไม่รู้เกมือนกันว่าเมื่อวานนี้จ้าวน้อยพูดอะไรไปบ้างหลังจากหยวนโจวกลับไปแล้ว แต่หากไม่มีปัญหาจริงแล้วล่ะก็ปัญหาก็คงไม่วิ่งมาหาเขาง่ายๆแบบนี้หรอก
“ผมคงสร้างความยุ่งยากให้คุณเสียแล้วสิครับ เถ้าแก่หยวน” เฉาจื่อซูกล่าวอย่างเบิกบานใจแล้วขอบคุณอย่างจริงจัง
“ด้วยความยินดีครับ เชิญนั่งก่อนเถอะครับ” หยวนโจวเชิญ
“งั้นผมจะรออาหารของคุณนะครับ หัวหน้าเชฟหยวน ต้องขอโทษที่สร้างความยุ่งยากให้ด้วยนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวแล้วไปนั่งที่
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่สนใจที่แสดงท่าทีถ่อมตัวอีกต่อไป
“วันนี้ผมจะเสิร์ฟปลาต้มเผ็ดกับข้าวขาวธรรมดานะครับ” หยวนโจวเปลี่ยนอาหารเพื่อให้เข้ากับปลาต้มเผ็ดมากยิ่งขึ้น
ในความคิดของหยวนโจว ปลาต้มเผ็ดเข้ากับข้าวขาวธรรมดามากที่สุดแล้ว
“ครับ” เฉาจื่อซูตอบตกลง เขาค่อนข้างรู้สึกตกตะลึงเนื่องจากเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเสิร์ฟอาหารกันง่ายๆเช่นนี้ ควรทราบว่าเมื่อคราวที่หยวนโจวเยือนนั้น ร้านซูถึงกับเตรียมอาหารอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่เนื่องจากหยวนโจวเป็นเจ้าภาพ เฉาจื่อซูจึงได้แต่ตอบตกลงเท่านั้นแล้ว
“หยวนโจวผู้นี้ก็แค่ทำท่าทำทางไปงั้นแหละ เขาคิดว่าจะสามารถทำเป็นเล่นเพียงเพราะนี่คือการแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพงั้นรึ?” จ้าวน้อยพร่ำบ่นอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็ได้ข้อสรุปในใจว่า “แต่ก็นั่นแหละนะ ร้านเล็กๆแบบนี้จะไปเตรียมวัตถุดิบอะไรได้มากมายนักเล่า ถ้าเกิดความผิดพลาดในการจำหน่ายวัตถุดิบขึ้นมาล่ะก็คงได้เททิ้งแน่ๆ”
จ้าวน้อยคิดว่าการที่ร้านหยวนโจวมีชื่อเสียงอย่างน้อยวัตถุดิบที่นี่ก็น่าจะสดใหม่แหละน่า ไม่อาจโทษที่จ้าวน้อยจะรู้สึกเหนือกว่าที่นี่ ถึงอย่างไรร้านซูก็มีห้องเก็บของขนาดใหญ่มากสำหรับวัตถุดิบพวกนั้น
ทุกวันจะมีการจัดเตรียมผักสด เนื้อสัตว์ ปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็มรวมไปถึงของชั้นยอดอื่นๆ เช่น หอยเป๋าฮื้อที่รอให้เชฟนำไปใช้ตามที่พวกเขาต้องการ
แน่นอนว่าหยวนโจวหาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่จ้าวน้อยกำลังคิดอยู่แต่อย่างใด เขากำลังโต้เถียงกับเจ้าระบบอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากเปลี่ยนอาหาร ราคาของวัตถุดิบก็เลยต้องเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะทำให้เจ้าระบบคืนเงินที่คิดเขาไปก่อนหน้านี้มา
หลังจากเฉาจื่อซูนั่งลงแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นอีกคนอยู่ในร้าน
“หัวหน้าเชฟเฉิง ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?” เฉาจื่อซูถามพลางขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าจะยังคงเรียกเขาว่าหัวหน้าเชฟด้วยความสุภาพ แต่จากน้ำเสียงกระด้างเห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใคร่จะดีนัก
ทันทีที่เฉาจื่อซูพูดขึ้นมา จ้าวน้อยก็เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญานและหยุดพร่ำบ่นเรื่องหยวนโจวในใจไป
“นายจะสนใจไปทำไมเล่า?” คุณเฉิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นเลยสักนิด
“นายเองก็ได้รับคำเชิญจากหัวหน้าเชฟหยวนให้มาแลกเปลี่ยนวิชาที่นี่เหมือนกันด้วยเหรอ? ฉันขอโทษด้วยนะที่ต้องบอกว่าฉันถูกเชิญเป็นคนแรกเลยล่ะ” เฉาจื่อซูสรุปหลังจากเห็นคุณเฉิงกำลังจ้องมองไปทางครัวที่หยวนโจวกำลังยุ่งง่วนกับการทำอาหารอย่างจริงจัง
คนที่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของเฉาจื่อซูมากที่สุดหาใช้คุณเฉิง แต่กลับเป็นจ้าวน้อย
จ้าวน้อยรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ หยวนโจวก็แค่คนงานจิปาถะ เขากล้าดีอย่างไรมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์ของเขา? เขาคู่ควรที่จะได้รับคำเชิญจากเชฟที่มีชื่อเสียงมากมายถึงเพียงนี้เชียวนี้หรือ?
ใช่แล้วล่ะ จ้าวน้อยรู้จักคุณเฉิงเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรคุณเฉิงก็เป็นถึงเชฟที่มีชื่อเสียงนี่นา เขาได้รับคำวิจารณ์ในแง่ที่ดีจากต่างประเทศในเว่ยป๋อของเขาจึงยากนักที่จะไม่รู้จักเขา
“ก็แค่รอให้แกทำอาหารให้เสร็จเท่านั้นแหละน่า แกก็จะถูกสั่งสอนเองนั่นแหละ” จ้าวน้อยสบถอยู่ในใจ
“โฮ่โฮ่” คุณเฉิงสงบสติอารมณ์เอาไว้แล้วไม่คิดจะพูดอะไรเนื่องจากเขายังอยู่ในร้านหยวนโจว
“ดูเหมือนพออยู่ต่อหน้าหัวหน้าเชฟหยวนแล้วนายจะสุภาพมากเชียวนะ ฉันสงสัยเสียจริงเชียวว่านายจะอดทนทำไปได้นานสักแค่ไหนกัน” เฉาจื่อซูกระทบกระเทียบ
“นานกว่านายแหละน่า” ในที่สุดคุณเฉิงก็หันมากล่าว ถึงอย่างไรเขาก็รักษาท่าทีสุภาพยามอยู่ที่นี่มาได้กว่าครึ่งค่อนปีแล้ว
เฉาจื่อซูส่งเสียงออกทางจมูกแล้วเมินคุณเฉิงไปเสีย
ด้วยความรู้สึกเป็นปรปักษ์ของทั้งสองคนทันทีที่เจอหน้ากัน เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขารู้จักกันค่อนข้างดีทีเดียว
ที่มาของความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขารู้จักกันระหว่างการแข่งขันทำอาหารครั้งหนึ่ง เนื่องจากความคิดเห็นในการทำอาหารที่แตกต่างกัน พวกเขาจึงรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อกัน เฉาจื่อซูคิดว่าอาหารทำให้ประวัติศาสตร์มีน้ำหนักเช่นกัน เนื่องจากอาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญของประวัติศาสตร์
ส่วนคุณเฉิงนั้น เขาคิดว่าอาหารก็คืออาหาร ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคำที่วิจิตรพิสดารสักเพียงใด อาหารก็ยังเป็นอาหารอยู่วันยังค่ำไม่จำเป็นต้องไปให้น้ำหนักเพิ่มเติมแต่อย่างใดเลย ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้จึงทำให้ต้องติดแหง็กอยู่เช่นนั้น
จนในที่สุดก็เลวร้ายจนถึงขั้นที่คุณเฉิงรู้สึกว่ามารยาทของเฉาจื่อซูก็เป็นการเสแสร้งแกล้งทำด้วย ขณะที่เฉาจื่อซูกลับรู้สึกว่าด้วยอุปนิสัยของคุณเฉิงทำให้เขาออกจะเป็นคนกักขฬะอยู่บ้าง
และเพราะความไม่ชอบหน้ากันและกันนั่นเองทำให้พวกเขามีความรู้สึกเป็นปรปักษ์ทันทีที่เจอหน้ากัน
“หือ? งั้นคุณเฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับคนผู้นี้น่ะสิ?” เมิ่งเมิ่งกะพริบตาปริบๆแล้วมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้
โชคดีที่เธอตระหนักขึ้นมาได้ว่าเป็นเรื่องยากขนาดไหนกันที่หยวนโจวจะยอมให้เธอเข้ามาได้ ดังนั้นเธอจึงไม่อ้าปากพูดอะไรออกมา
ร้านตกอยู่ในความเงียบงัน เหลือเพียงแค่เสียงของหยวนโจวที่กำลังทำอาหารดังสะท้อนอยู่กลางอากาศ
“อาจารย์ดื่มชาครับ” จ้าวน้อยสังเกตว่าหยวนโจวไม่ได้เสิร์ฟชาให้พวกเขาเลยจึงยื่นชาที่เขาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าให้เฉาจื่อซู
ความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนี้ชัดเจนทีเดียว จ้าวน้อยกำลังตำหนิหยวนโจวว่าช่างไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย
“อืม” เฉาจื่อซูรับชาเอาไว้ แน่นอนว่าเขาหาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่จ้าวน้อยกำลังบอกใบ้แต่อย่างใด แต่เขากลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อีกอย่างนะ ถึงแม้ว่านายจะไม่รู้จักลูกศิษย์ของฉัน แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรจากหัวหน้าเชฟหยวนมาเชียวล่ะ สามารถพูดได้เลยว่าฉันได้สานความสัมพันธ์กับหัวหน้าเชฟหยวนก็เพราะเจ้านี่แหละนะ” จู่ๆเฉาจื่อซูก็บอกคุณเฉิงขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะอวดอ้างความสัมพันธ์ที่เขามีกับหยวนโจวอย่างอ้อมๆ
จ้าวน้อยทำให้เฉาจื่อซูรู้ว่าเขาได้แตะต้องโดนข้อห้ามของคุณเฉิงเข้าเสียแล้ว
ทันใดนั้นคุณเฉิงก็หันมาเห็นสีหน้าตกตะลึงและขุ่นเคืองใจของจ้าวน้อย เขาถึงกับยิ้มเยาะขึ้นมาทันที
“อะไรนะ? เขาเคยเรียนรู้จากที่นี่มาก่อนงั้นรึ? เรียนรู้จากอาจารย์หยวนน่ะเหรอ?” คุณเฉิงเย้ยหยัน “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย เขายังไม่คู่ควรถึงขนาดนั้นหรอก นายฝันไปล่ะมั้ง?”
“จ้าวน้อย เล่าเรื่องหัวหน้าเชฟหยวนซิ” เฉาจื่อซูหันไปกระตุ้นเร้าจ้าวน้อย
บทที่ 882 รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ด
ทันทีที่จ้าวน้อยกลายเป็นจุดสนใจ คุณเฉิงจ้องมองมาที่ตัวเขา เฉาจื่อซูก็จ้องมองมาที่ตัวเขาและแม้แต่เมิ่งเมิ่งเองก็ยังจ้องมองมาที่ตัวเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ที่เห็นความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนของคุณเฉิงในการขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหยวนโจวแต่ก็ยังถูกปฏิเสธอยู่ดี
ถ้าหากเชฟแซ่เฉาไม่ได้โกหก งั้นเชฟหนุ่มที่มีนามว่าจ้าวน้อยทำอะไรให้คู่ควรที่จะดึงดูดความสนใจของเถ้าแก่หยวนงั้นหรือ?
แน่นอนว่าทุกคนชอบให้ตนเองเป็นจุดสนใจ จ้าวน้อยก็ด้วย แต่นี่กลับหาใช่สถานการณ์ในแบบที่เขาจะได้รับความสนใจมากมายสักเท่าไหร่นัก เมื่อมองไปทางสายตากระตุ้นเร่งเร้าของเฉาจื่อซูแล้ว เขาก็รู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้ได้เลย
อันที่จริงแล้ว จ้าวน้อยไม่กล้าพูดเรื่องจริงในประเด็นนี้หรอก เขาตัดสินใจแน่วแน่และกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อตอนที่ผมกับหัวหน้าเชฟหยวนยังทำงานอยู่ในโรงแรมระดับสามดาวน่ะครับ ผมเป็นผู้ช่วยเชฟก็เลยได้เรียนรู้จากที่นั่นมามากเชียวล่ะครับ”
เนื่องจากเป็นคนงานจิปาถะ หยวนโจวจึงล้างจานได้เร็วมากทีเดียว ดังนั้นจ้าวน้อยก็เลยมั่นใจว่าเขาได้เรียนรู้วิธีการล้างจานได้อย่างรวดเร็วมาจากหยวนโจว นั่นก็น่าจะถือได้ว่า “ได้เรียนรู้มามาก” เช่นกัน
คุณเฉิงส่งเสียงออกทางจมูกแล้วบ่นพึมพำออกมาว่า “โชคดีเสียจริงนะ”
เนื่องจากเฉาจื่อซูพยายามที่จะคงความสุภาพของตัวเองเอาไว้ เขาจึงต้องพยายามควบคุมสีหน้าเอาไว้ให้ได้ แต่ร่องรอยยิ้มเยาะก็ยังพาดผ่านใบหน้าของเขาอยู่ดี หลังจากตบไหล่จ้าวน้อยแล้ว เขาก็เริ่มบ่นพึมพำขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาต้องพูดเองเสียแล้วสิ แต่อันที่จริงเขากำลังคุยกับคุณเฉิงอยู่
เขากล่าวว่า “พื้นฐานในการทำอาหารของจ้าวน้อยดีพอใช้เลยทีเดียวล่ะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้เรียนรู้จากหัวหน้าเชฟหยวนเมื่อครั้งที่เขายังเด็กแหละน่า”
ส่วนเมิ่งเมิ่งนั้น เธอกลับนึกถึงเรื่องทั้งหมดออกแล้ว จ้าวน้อยได้เรียนรู้มาจากเถ้าแก่หยวน แล้วหลังจากนั้นเถ้าแก่หยวนก็ลาออกไป เขาก็เลยไม่มีอะไรให้ได้เรียนรู้อีก ดังนั้นเขาจึงลาออกไปแล้วลงเอยด้วยการอยู่ใต้ปีกของอาจารย์คนปัจจุบันของเขา
จ้าวน้อยฝืนยิ้มออกมา ทว่าในใจกลับรู้สึกขมขื่นสิ้นดีแต่กลับหาได้พูดอะไรออกไป
เนื่องจากเฉาจื่อซูเป็นต่อในเรื่องการทุ่มเถียงกับคุณเฉิง เขาจึงไม่สนใจที่จะทะเลาะกับคุณเฉิงอีกและมุ่งความสนใจไปที่การมองหยวนโจวที่ทำอาหารอยู่
แต่ความเร็วในการทำอาหารของหยวนโจวกลับรวดเร็วยิ่ง ตอนที่เขาเห็น หยวนโจวก็เก็บหม้อไหออกไปแล้วและกำลังเตรียมหุงข้าวอยู่
“หัวหน้าเชฟว่องไวมากทีเดียว นี่แค่ห้าหรือหกนาทีเองนะ” เฉาจื่อซูรำพึงหลังจากเขาตรวจสอบเวลาดูแล้ว
“แหงอยู่แล้ว” คุณเฉิงกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ฉันไม่ได้ชมนายสักหน่อย” เฉาจื่อซูตอบ
“ในเมื่อเถ้าแก่หยวนต้องทำอาหารตั้งเยอะตั้งแยะอยู่ทุกวัน ยังไงเขาก็ต้องทำอาหารให้เร็วเข้าไว้ทั้งยังต้องแน่ใจได้ว่าอาหารแต่ละจานจะออกมาอร่อยด้วยล่ะ” เมิ่งเมิ่งพึมพำอยู่เงียบๆ
“ทำปลาต้มเผ็ดออกมาไวขนาดได้ยังไงกัน? เขาคิดว่าตัวเองกำลังทำอาหารพวกผักอยู่งั้นรึ?” จ้าวน้อยลอบตำหนิอยู่ในใจ
คุณเฉิงยังคงเงียบและไม่สนใจเฉาจื่อซู เขามองดูหยวนโจวต่อไปเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือ
แต่ดูเหมือนว่าหยวนโจวจะไม่ต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้แต่อย่างใด เขายกถาดอาหารออกมาด้วยตนเอง
“ปลาต้มเผ็ดกับข้าวขาวธรรมดาของคุณได้แล้วครับ ทานให้อร่อยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“ขอบคุณครับ หัวหน้าเชฟหยวน” เฉาจื่อซูกล่าว
“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวกล่าวก่อนที่เขาจะยืนนิ่งพลางมองไปทางเฉาจื่อซูเพื่อรอคอยให้เขากินอาหาร
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวมักจะสังเกตผู้อื่นด้วยท่าทีเช่นนี้อยู่เสมอ เนื่องจากนี่เป็นการแลกเปลี่ยนวิชา เขาจึงต้องคอยเฝ้าสังเกตท่าทีตอบสนองของลูกค้าอย่างจริงจัง
“อาหารจานนี้ทั้งกลิ่นและหน้าตายอดเยี่ยมเชียวล่ะ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้นมา
ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่หยวนโจวปรุงมักจะดูดีอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น ปลาต้มเผ็ดที่วางไว้บนหม้อรูปตัวปลาที่มีก้นแหลมในขณะที่เหลือส่วนท้องปลาเอาไว้ โดยสามารถมองเห็นลวดลายพรรณไม้น้ำตรงส่วนก้นหม้อได้เลย
และสามารถมองเห็นส่วนหลังที่แหวกเปิดออกได้ เผยให้เห็นเนื้อปลาอ่อนนุ่ม ทุกส่วนของมันทอประกายวิบวับและใสแจ๋วไปด้วยสีแดงแวววาวของน้ำมันพริกที่อยู่บนนั้น แต่งหน้าด้วยต้นหอมซอยกับกระเทียมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจายไปทั่ว แน่นอนว่าย่อมมีพริกแห้งโรยหน้าอยู่ด้วย
แม้กระทั่งตอนนี้น้ำจากเนื้อก็ยังเดือดอยู่เลย นั่นเป็นผลมาจากการราดน้ำมันร้อนๆลงไปบนตัวปลานั่นเอง น้ำมันร้อนๆจะทำให้เกิดกลิ่นจางๆไปทั่วพาให้ทุกคนเริ่มน้ำลายสอ
“หัวหน้าเชฟหยวนค่อนข้างใส่ใจในการตกแต่งจานมากทีเดียว” เฉาจื่อซูเป็นคนที่มีฝีมือในการทำอาหารอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะได้กลิ่นหอมเย้ายวนดังกล่าวแล้ว แต่เขาหาได้เริ่มกินแต่อย่างใด แต่เขากลับเอนตัวไปทางด้านหลังก่อนที่จะกล่าวออกมา
เขาพูดถูกแล้วล่ะ หยวนโจวใส่ใจกับการตกแต่งมากทีเดียว ถ้วยกลมๆที่ใช้ใส่ข้าวและเมล็ดข้าวที่ทอประกายและใสแจ๋วอยู่ภายใน เมื่อมองจากระยะไกลก็จะเห็นเหมือนเม็ดไข่มุกเลยเชียวล่ะ
จ้าวน้อยมองดูแล้วก็ต้องฝืนใจยอมรับว่าอาหารพวกนี้ดูยังไงก็ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ
“ผมจะกินแล้วนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวอย่างจริงจัง
“ตามสบายเลยครับ” หยวนโจวผายมือแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เฉาจื่อซูหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเอื้อมไปที่เต้าหู้
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวใช้เต้าหู้ ผิดกับเฉาจื่อซูที่ใช้ถั่วงอกนิ่มๆในปลาต้มเผ็ด
เมื่อตอนที่กำลังลองชิมปลาต้มเผ็ดอยู่นั้น ย่อมต้องเริ่มด้วยวัตถุดิบข้างเคียงเสียก่อน
หลังจากตุ๋นแล้วเต้าหู้บางชิ้นก็จะอ่อนนุ่มมาก แต่สิ่งนี้น่าจะทำให้เต้าหู้คีบด้วยตะเกียบได้ยากมาก ทักษะการใช้ตะเกียบจะถูกทดสอบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเต้าหู้นั่นแหละ
เฉาจื่อซูค่อยๆเอื้อมตะเกียบไปหาเต้าหู้ แต่ทันทีที่ตะเกียบแตะโดนเต้าหู้ เขาก็พบว่าผิวหน้าของเต้าหู้หาได้อ่อนนุ่มมากมายเท่าไหร่นัก ทว่ากลับให้ความรู้สึกยืดหยุ่นเนื่องจากมันเริ่มที่จะเด้งหนีหลังจากตะเกียบแตะไปโดน
“เต้าหู้แผ่นงั้นรึ?” เฉาจื่อซูรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักและลองชิมต่อไป
ปกติแล้วตอนที่ทำปลาต้มเผ็ดจะใช้เต้าหู้ก้อน แบบนั้นเต้าหู้ก็จะนุ่มเนียน ถึงอย่างไรในขณะที่ปรุงอยู่นั้นเต้าหู้แผ่นก็ขาดได้ง่าย และคีบด้วยตะเกียบได้ค่อนข้างยากทีเดียว
“อูย ร้อนชะมัดเลย” แม้ว่าเฉาจื่อซูจะรอให้เย็นลงนิดหน่อยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกร้อนลวกปากอยู่ดีนั่นแหละ
หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมาแล้ว เขาก็รีบหุบปากและเริ่มลิ้มรสชาติทันที
เมื่อเต้าหู้เข้ามาในปากเป็นครั้งแรก มันร้อนเสียจนเขาต้องชักลิ้นกลับโดยอัตโนมัติ แต่ทันใดนั้นเองกลิ่นที่ทำให้เกิดความรู้สึกชาก็พลันปะทุราวกับพายุทอร์นาโดอยู่ในโพรงปากของเขาก่อนที่จะพุ่งลงคอแล้วกระตุ้นให้เขาเริ่มเคี้ยวเต้าหู้
เต้าหู้แหลกทันทีที่สบเข้ากับฟัน และในขณะเดียวกับที่เต้าหู้แหลกเละไปแล้วนั้น รสชาติแสนอร่อยของเนื้อปลาก็ปะทุขึ้นมาแทน
“หืม?” ดวงตาของเฉาจื่อซูเบิกกว้างเมื่อได้กลิ่นนี้เข้า แววตกตะลึงครอบงำใบหน้าของเขาขณะที่เขากลืนเต้าหู้ลงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งตรงหน้าแล้วยัดเข้าปาก
นับเป็นเรื่องหายากที่จะได้เห็นเฉาจื่อซูใจร้อนมากขนาดนั้นเนื่องจากเขามักจะใส่ใจกับเรื่องมารยาทเอามากๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวน้อย แม้แต่คุณเฉิงก็ยังมองเขาด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ทันทีที่เนื้อปลาเข้าสู่ปาก ความรู้สึกแรกหาใช่ความรู้สึกสากระคายของน้ำจากเนื้อปลา แต่กลับให้กลิ่นแรงจัดของกระเทียมที่พุ่งเข้าสู่จมูกของเขาในขณะที่กลิ่นหอมของพริกตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก เนื่องจากเนื้อยังร้อนอยู่มาก เฉาจื่อซูฝืนอมเนื้อเอาไว้ในปากโดยไม่เคี้ยว แต่ความอ่อนนุ่มของเนื้อกลับให้ความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าปลายังมีชีวิตและว่ายน้ำอยู่พร้อมทั้งกระตุ้นให้เขาเริ่มเคี้ยวด้วย
ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเริ่มเคี้ยว สิ่งนี้ตามมาด้วยการระเบิดของกลิ่นรสตามธรรมชาติของปลาในปากของเขา ส่วนเนื้อเองนั้นราวกับว่าเนื้อสามารถขยับไปขยับมาได้ มันหล่นลงสู่คอแล้วตรงเข้ากระเพาะอาหารของเขาไป
เฉาจื่อซูมีความรู้สึกว่าเขาอยากเคี้ยวอีกทั้งๆที่กลืนเนื้อปลาลงไปแล้วแท้ๆ ดังนั้นเขาจึงคีบเนื้อปลาอีกชิ้นแล้วยัดเข้าปาก
“รู้สึกเหมือนยังเป็นๆอยู่เลยล่ะ” เฉาจื่อซูกล่าวอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจได้หลังจากเขาฝืนกลืนเนื้อลงไปอีกครั้งโดยปราศจากการควบคุมแต่อย่างใด เขาเท้าแขนเอาไว้บนโต๊ะและไม่ขยับอยู่เป็นนาน
จากทฤษฎีของหยวนโจวเอง รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ดน่าจะเป็น “ปลาเป็นๆ” ปลาต้มเผ็ดที่ดีจะต้องทำให้ผู้ที่ได้ชิมไม่รู้สึกพอจนอยากจะกินชิ้นที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
“งั้นปลาต้มเผ็ดก็มีรสชาติที่หกจริงๆน่ะสิ มีรสชาติที่หกจริงๆด้วยล่ะ” เฉาจื่อซูพึมพำกับตัวเอง
“อาจารย์” จ้าวน้อยอดไม่ไหวได้แต่ร้องเรียกออกไป เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรชอบกลเมื่อได้เห็นท่าทีตอบสนองของอาจารย์ตัวเอง
“จ้าวน้อยเอ้ย ในด้านของเนื้อปลานั้น พวกเราแพ้เสียแล้วล่ะ” เฉาจื่อซูมองหยวนโจวด้วยสีหน้าที่ยากจะเข้าใจ พูดง่ายๆก็คือการแข่งขันเพื่อมิตรภาพจัดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นจึงไม่ควรจะมีผู้แพ้หรือผู้ชนะ แต่ปลาต้มเผ็ดที่หยวนโจวทำให้เขารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ได้ในทันที
“อาจารย์ครับ พูดอะไรแบบนั้นกัน? ปลาต้มเผ็ดเป็นอาหารจานเด็ดของร้านเราที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปีเชียวนะครับ เราจะแพ้ได้ยังไงกัน?” จ้าวน้อยรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรผิดไปจึงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“เมื่อผสมผสานปลาต้มเผ็ดทั้งห้ารสก็จะได้รสชาติที่หกออกมาซึ่งก็คือปลาเป็นๆไงล่ะ ลืมมันไปเสียเถอะ แม้แต่แนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับปลาต้มเผ็ดของเขาก็เหนือกว่าเราไปเสียแล้วล่ะ” เฉาจื่อซูถอนหายใจ จากนนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “ผู้คนมักจะกล่าวขวัญกันว่าหัวหน้าเชฟหยวนเป็นเชฟยอดอัจฉริยะที่ยากจะปรากฏตัวสักครั้งในรอบสิบปี ตอนนี้ผมได้มาเห็นด้วยตัวเองแล้ว เขาคือสุดยอดเชฟจริงๆ”
เมื่อจ้าวน้อยเห็นอาจารย์ของเขาเอาแต่มองไปที่หยวนโจวไม่ละสายตา หลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นในหัวของเขา ด้วยความกระสับกระส่ายทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วชี้ไปทางหยวนโจวก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด! อาหารจานเด็ดของเราจะมาพ่ายแพ้ให้ไอ้คนงานจิปาถะอย่างมันงั้นหรือ?”
บทที่ 883 นิสัยแย่ๆของฉัน
“เขามันก็แค่คนงานจิปาถะ เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เป็นอันขาด” จ้าวน้อยตะโกนพลางชี้นิ้วไปทางหยวนโจว
จ้าวน้อยหาใช่คนโง่เขลา ถ้าหากสมองของเขายังทำงานเป็นปกติแล้วล่ะก็คงไม่เอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกมาต่อหน้าอาจารย์ของเขาแน่
แต่ความอิจฉาทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด เมื่อใครสักคนรู้สึกอิจฉาย่อมกระทำหลายๆเรื่องที่ดูเหมือนคนโง่ออกไป
ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวน้อยก็กำลังพูดความจริงอยู่ เป็นความจริงที่ว่าหยวนโจวเคยเป็นคนงานจิปาถะในครัวมาก่อนอีกต่างหาก จ้าวน้อยแค่อยากปกป้องร้านของตัวเองจึงได้กล่าวเรื่องนั้นออกไป
น่าเสียดายที่คำพูดไม่อาจพูดซี้ซั้วได้
ดังนั้น…
“นี่มันคนบ้าหรือไงกัน?” เมิ่งเมิ่งมองจ้าวน้อยด้วยความไม่อยากเชื่อด้วยความรู้สึกราวกับคนผู้นี้มีปัญหาทางจิตอย่างไรอย่างนั้นก็ไม่ปาน
“จ้าวซิน!” เฉาจื่อซูหันไปตะโกนด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เฮ้ ฉันมีนิสัยแย่ๆอย่างนึงอยู่นะ นายอยากลองชิมหมัดของฉันสักหน่อยไหมล่ะ? จะบอกให้เอาบุญนะว่าถ้าหากนายไม่ยอมขอโทษล่ะก็อย่าฝันไปหน่อยเลยว่าวันนี้จะออกจากประตูบานนี้ไปได้เลย” คุณเฉิงม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมที่จะวิวาทแล้ว
แต่ในเมื่อหยวนโจวยังไม่พูดอะไรเลย คุณเฉิงจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็เห็นหยวนโจวเป็นอาจารย์ของตัวเองทำให้เขาต้องยอมปฏิบัติตามความต้องการของอาจารย์ตนเอง
หยวนโจวเหลือบมองจ้าวน้อยแล้วพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณจำผมได้จริงๆสินะ แต่ว่าพวกเราก็ไม่สนิทกันไม่ใช่เหรอครับ?” หยวนโจวกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หยวนโจวไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ทว่ากลับเริ่มหวนระลึกถึงเมื่อครั้งอยู่ที่โรงแรมแห่งนั้น
อันที่จริงแล้ว จ้าวน้อยหาได้มีความแค้นกับหยวนโจวเลย ถึงอย่างไรจ้าวน้อยก็เคยเป็นผู้ช่วยเชฟส่วนหยวนโจวก็เป็นเพียงแค่คนงานจิปาถะของที่นั่นก็เท่านั้นเอง แม้ว่าจะมีการใช้เล่ห์กระเท่ห์ในการทำงานอยู่บ้างก็น่าจะไม่ใช่เรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคนแต่อย่างใดเลยนี่
ดังนั้นเมื่อวันนั้นหยวนโจวจึงรู้สึกตกตะลึงที่พบว่าจ้าวน้อยยังจดจำเขาได้ และตอนนี้เมื่อมองเห็นท่าทีเกลียดชังของจ้าวน้อยแล้ว หยวนโจวจึงรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจสาเหตุแห่งความคุมแค้นในครั้งนี้เอาเสียเลย
“งั้นนายก็ไม่เคยเรียนรู้อะไรมาจากหัวหน้าเชฟหยวนมาก่อนเลยน่ะสิ?” เฉาจื่อซูขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นพลางลูบศีรษะล้านเลี่ยนไปด้วย
“เรียนบ้าบออะไรกันเล่า เฉาจื่อซู นายเป็นคนพาเขามาที่นี่ก็จงให้คำอธิบายแทนเขามาด้วย” คุณเฉิงตะคอกออกไป
เมื่อแลเห็นสายตาขึ้งโกรธจากผู้คนมากมายโดยหนึ่งในนั้นยังเป็นอาจารย์ของเขาอีกต่างหาก จ้าวน้อยก็ชักจะลนลานขึ้นมาเสียแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าสับสนของหยวนโจวเข้า เขาก็รู้สึกราวกับว่าความคุมแค้นของเขาเป็นการโชว์เดี่ยวไปโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ยิ่งกระพืออารมณ์โกรธของเขาขึ้นไปอีกจนพาให้เขามีความใจกล้ามากยิ่งขึ้นในทันที
“ผมกำลังพูดเรื่องจริงอยู่ไง เขาเป็นคนงานจิปาถะจริงๆนะ!” จ้าวน้อยชี้ไปทางหยวนโจวแล้วตอกย้ำเข้าไปอีก
“นายอยากตาย พิการหรือว่าตกเลือดกันดีล่ะ? ฉันจะรับมือกับผลที่ตามมาเอง” คุณเฉิงกล่าวพลางกวาดตามองไปรอบๆเพื่อเสาะหาอาวุธที่เหมาะมือ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหามีดอยู่
“นายจะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า? เขาเป็นลูกศิษย์ของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้นายมาจัดการหรอกน่า” เฉาจื่อซูกล่าวพลางตบจ้าวน้อยไปฉาด
เพี๊ยะ เสียงตบดังสนั่นไปทั่วร้าน
ทีแรกจ้าวน้อยก็รู้สึกตื่นตะลึงที่จู่ๆก็ถูกเฉาจื่อซูลงไม้ลงมือจนไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรได้เลย คราวนี้เขาตบหน้าก่อนที่จะจ้องมองจ้าวน้อยด้วยสายตาเย็นชา
รอยฝ่ามือที่ประทับลงบนใบหน้าของจ้าวน้อยทำให้หัวของเขารู้สึกโล่งขึ้นมาทันที
“ขอโทษครับหัวหน้าเชฟหยวน ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องขออภัยจริงๆ” จ้าวน้อยก้มศีรษะขอโทษโดยไม่ลังเล น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“ผมต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ หัวหน้าเชฟหยวน มันเป็นความผิดของผมเองที่อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ไม่ดี” เฉาจื่อซูก้มศีรษะแล้วกล่าวขอโทษขอโพยเช่นเดียวกัน
หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรออกไปขณะที่คุณเฉิงยังคงกวาดตามองไปรอบๆพลางคิดว่าจะเอากระถางดอกไม้มาเป็นอาวุธแทน เมื่อเขาได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำบ้าอะไรน่ะ? นายจัดการเรื่องนี้ด้วยการขอโทษแค่นั้นน่ะเหรอ? นายกำลังฝันอยู่หรือไง?” คุณเฉิงจ้องมองจ้าวน้อยอย่างแทบจะกินเลือดกินเนื้อ เขาช่างแตกต่างจากยามปกติที่ออกจะเป็นคนเรียบง่าย สัตย์ซื่อและสุภาพไปโดยสิ้นเชิง
“นายจะไปเดือดร้อนทำไมกันเล่า? ฉันก็ยอมรับแล้วนี่ว่าอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ไม่ดี หัวหน้าเชฟหยวนต่างหากที่จะเป็นคนที่จะบอกว่าอยากให้จัดการกับเรื่องนี้ยังไง เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า?” เฉาจื่อซูกล่าวอย่างเหลืออด
“แล้วไงล่ะ? หา ฉันจะบอกให้นะว่าฉันต่างหากเล่าที่เป็นคนที่กำลังเรียนรู้จากอาจารย์หยวนและถือได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว” คุณเฉิงบอกพลางส่งเสียงออกทางจมูกขณะที่เขาเริ่มยกกระถางดอกไม้ขึ้นมา
“จ้าวซิน หลบไป” เฉาจื่อซูรีบบอกให้จ้าวซินหลบไป
“ฮ้า?” จ้าวซินค่อนข้างตกตะลึงขณะที่เขาเหม่อมองไปทางอาจารย์ของตนเอง
“นายจะอยู่ตรงนี้รอให้เขาตีตายหรือไง?” เฉาจื่อซูกล่าวพลางชี้ไปทางอาจารย์เฉิงที่เพียงแค่ยกกระถางดอกไม้ขึ้นมาเท่านั้น
“โอ้ ครับ” ในที่สุดจ้าวซินก็สังเกตเห็นว่าคุณเฉิงกำลังจะทุ่มกระถางใส่เข้าจริงๆหาได้ล้อเล่นแต่อย่างใดไม่ เขาจึงรีบหันหลังแล้วออกวิ่งในทันที
คุณเฉิงกำลังจะทุ่มกระถางดอกไม้ใส่เขาแล้ว
“อย่าทุ่มกระถางดอกไม้เชียวนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมาทันที นี่เป็นกระถางดอกไม้ที่เขาเพิ่งจะซื้อมาหลังจากจ่ายเงินไป 50 หยวน
ทันทีที่หยวนโจวพูดขึ้นมา คุณเฉิงก็หยุดแล้ววางกระถางดอกไม้ลง เมื่อเขาเห็นจ้าวน้อยเอาแต่วิ่งอยู่ก็เริ่มไล่ตามพลางตะโกนบอกว่า “อย่าหนีนะ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ! ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ตีนายให้ตาย ต่อไปฉันจะเริ่มเขียนชื่อตัวเองกลับหัวเลยเอ้า!”
ทั้งสองคนจึงออกจากร้านไปทั้งแบบนั้น เมิ่งเมิ่งเป็นคนที่มีท่าทีตอบสนองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกรงว่าจเกิดเรื่องร้ายขึ้น เธอจึงรีบวิ่งตามคุณเฉิงไปแล้วตะโกนว่า “คุณเฉิง ใจเย็นๆก่อนนะคะ”
ตอนนี้เหลือเพียงแค่หยวนโจวกับเฉาจื่อซูอยู่ในร้านเท่านั้น
“ผมต้องขอโทษจริงๆครับ หัวหน้าเชฟหยวน เจ้าน้อยบ้าไปแล้วจริงๆ เป็นความผิดของผมเองที่อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ไม่ดี” เฉาจื่อซูกล่าวขอโทษขอโพยพลางลูบศีรษะล้านเลี่ยนของตนเองไปด้วย
“งั้นคุณอยากให้พวกเราจัดการกับเรื่องนี้ยังไงล่ะครับ?” เฉาจื่อซูยืนอยู่ตรงนั้นพลางมองหยวนโจวด้วยสีหน้าละอายใจ
นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอับอายจริงๆ เขาเป็นคนพาลูกศิษย์มาที่ร้านแห่งนี้สำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพ แต่กลับกลายเป็นว่าลูกศิษย์ของเขากลับไปด่าทออีกฝ่ายเสียได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร้านของอีกฝ่ายนับเป็นการกระทำที่เหมือนกับการมาเยือนใครสักคนถึงบ้านเพื่อตบหน้าคนเขาก็ไม่ปาน
เมื่อเฉาจื่อซูนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้ เขาก็รีบไปลากตัวจ้าวน้อยแล้วประเคนลูกเตะเข้าให้ เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทเป็นอันมาก ไม่มีสิ่งใดจะหยาบคายไปกว่าสิ่งที่จ้าวน้อยเพิ่งจะทำลงไปอีกแล้ว
ส่วนคุณเฉิงนั้น เฉาจื่อซูหาได้ถือเป็นอารมณ์แต่อย่างใดไม่ อันที่จริงแล้วคุณเฉิงก็นิสัยไม่ค่อยดีอยู่แล้วแถมยังชอบทะเลาะกับโจวซื่อเจี๋ยอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาก็อายุมากแล้วต่างจากจ้าวซินที่ยังอยู่ในช่วงสำคัญ คุณเฉิงจึงจับตัวจ้าวซินไม่ได้เสียทีอย่างไรเล่า
ที่สำคัญเขาต้องช่วยระบายความโกรธของผู้ตกเป็นเหยื่อด้วย
“แค่กินอาหารให้หมดก็พอแล้วครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างแยแสสนใจ
“ฮ้า?” เฉาจื่อซูมัวแต่เหม่อลอยจึงรู้สึกสับสนไปโดยสิ้นเชิง
“ถ้าหากคุณกินอาหารไม่หมดก็ไม่ต้องมากินอะไรอีกต่อไปแล้วนะครับ” หยวนโจวกล่าวพลางชี้ไปที่ป้าย “อย่ากินทิ้งกินขว้าง” บนฝาผนัง ช่างน่าขันมากทีเดียวที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น
เมื่อเฉาจื่อซูมีสีหน้าสงบนิ่งและดูเหมือนจะไม่สนใจ เขาก็ได้ข้อสรุปว่าหยวนโจวพยายามที่จะยุติเรื่องนี้ด้วยความสมานฉันท์ ความนับถือของเขาในตัวหยวนโจวจึงเพิ่มพูนขึ้นพลางรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ข้างในด้วย
พูดตามตรงเลยนะ ถ้าหากเขาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างหยวนโจว แน่นอนว่าเขาคงไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ตนเองบันดาลโทสะออกมาเพื่อเห็นแก่มารยาทก็ตามที่ แต่เขาก็สงสัยว่าหากนี่เป็นการแสดงที่อีกฝ่ายจัดฉากขึ้นโดยใช้ลูกศิษย์ของเขาหลังจากประสบความพ่ายแพ้ล่ะ
เขาคงไม่น่าจะเป็นคนที่ต่ำช้าจนถึงขนาดคิดเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้หรอกน่า แต่มันก็ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ทันทีที่อีกฝ่ายได้รับคำชมว่าปลาต้มเผ็ดยอดเยี่ยมกว่า ลูกศิษย์ก็เริ่มคลั่งขึ้นมาทันที
“พอดีผมทำอาหารเอาไว้ในสัดส่วนสำหรับที่เดียวเท่านั้นน่ะครับ” หยวนโจวกล่าวเสริม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น