ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 880-881

ตอนที่ 880 จั่วกงเฉวียน

 

หนึ่งเดือนให้หลัง บนเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ทอดยาวซ่อนอยู่ในหมอกสีเทาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจงเทียนมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกปกคลุมด้วยปราณหยินมืดทึมพื้นที่ประมาณหลายสิบหมู่อยู่ ภายในนั้นมีทั้งหอสูง ตึกและตำหนัก พลังเวทอ่อนจางรูปวงรีชั้นหนึ่งครอบสิ่งก่อสร้างทั้งหมดไว้ด้านใน


ปราณหยินสีเทาดำลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าเหนือสิ่งก่อสร้าง ตัดขาดทุกสิ่งที่นี่ออกจากโลกภายนอก


ในเขตแดนพลังเวทมองเห็นคนสวมชุดสีดำหลายคนบินเร็วรี่ไปมาเป็นระยะ ค่อนข้างครึกครื้นทีเดียว


ในห้องลับบนยอดหอสูงสีดำสิบกว่าชั้นหลังหนึ่ง ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบผู้สวมชุดผ้าไหมสีม่วงคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิหลังตรงอยู่


คนผู้นี้ใบหน้าผอมซูบเหมือนผี สองตาลึกโหลเว้าเข้าไป ดูผอมแห้งประหนึ่งโครงกระดูก


ผู้เฒ่าหน้าซูบตอบกำลังนั่งสมาธิฝึกฝน มือสองข้างแต่ละข้างกำผลึกสีดำก้อนหนึ่งไว้ ปราณสีเทาอ่อนลอยออกมาจากในผลึกเข้าไปในปากผู้เฒ่าเป็นระยะ


ทันใดนั้นในห้องลับพลันเกิดคลื่นขึ้นกลางอากาศ เงาคนร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่ายืนห่างไปเบื้องหน้าผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบเพียงสองก้าว


“ท่านคือผู้เฒ่าอีกาแห่งพรรคอีกาเหมันต์ใช่หรือไม่?” บนเงาคนมีปราณสีดำอ่อนชั้นหนึ่งล้อมอยู่ จึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่ฟังเสียงแล้วคงเป็นชายหนุ่ม


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบตกตะลึงและพรั่นพรึง เขากำลังจะขยับตัว เสียงชิ้งก็ดังขึ้น ปลายของบางสิ่งที่แหลมคมและเย็นเยียบจรดลงบนหน้าผากของเขา ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยส่งผ่านมา


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบฉับพลันตัวแข็งทื่อ เขาไม่สงสัยสักนิดว่าหากตนขยับอีกเพียงนิด ศีรษะคงจะถูกแทงทะลุทันที


ห้องลับแห่งนี้ของเขาปิดกั้นไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้หอสูงทั้งหลังยังวางค่ายกลชั้นจำกัดไว้นับไม่ถ้วนตั้งแต่ชั้นล่างจรดชั้นบน ทว่าคนผู้นี้ตรงหน้ากลับลอบเข้ามาได้อย่างเงียบเชียบ นี่เห็นชัดว่ามีปัญหาแล้ว


‘หรือจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้?’


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบไม่กล้าปล่อยจิตสัมผัสออกไปสัมผัสพลังของเงาคนสีดำ ในใจครุ่นคิดเร็วรี่แล้วคาดเดากับตนเอง ส่วนปากได้แต่เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา


“ถูกต้องแล้ว ผู้เยาว์คืออูเซิน ขอเรียนถามผู้อาวุโสมีสิ่งใดต้องการสั่ง?”


“ข้าจะถามเจ้าว่าห้าปีก่อนหน้านี้ที่เทือกเขาถงหยางบนแผ่นดินตงหนาน เจ้าเคยพบกับผู้ฝึกฝนวัยกลางคนชุดขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลดาบคนหนึ่งใช่หรือไม่?” เงาคนสีดำเอ่ยขึ้นเรียบๆ แม้น้ำเสียงนิ่งสงบแต่ก็แฝงความดุร้ายเอาไว้เลือนราง


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบหัวใจเย็นเยือก เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะค้นความทรงจำที่จมอยู่ในสมอง ในที่สุดก็นึกย้อนไปถึงการเดินทางครั้งนั้นเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยว่า


“ผู้อาวุโสเอ่ยไม่ผิด เวลานั้นผู้เยาว์เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย เคยเดินทางไปยังเทือกเขาถงหยางเข้าร่วมกลุ่มล่าอสูรเพื่อหากระสายยาตัวหนึ่ง ในกลุ่มล่าอสูรมีคนลักษณะเช่นนี้อยู่จริง”


“ดีมาก เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้บ้าง?” เงาคนสีดำเสียงดังขึ้นเล็กน้อย


“คนผู้นั้นแซ่ฟั่น เป็นผู้ฝึกฝนอิสระระดับแก่นแท้ แล้วก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าของกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้น ไม่ว่าวิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณล้วนร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่เขามีนิสัยชอบอยู่ลำพัง สนทนากับผู้อื่นน้อยนัก ผู้เยาว์อยู่ในกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นเพียงครึ่งปี  ต่อมาเพราะตามหากระสายยาที่ต้องการพบแล้วจึงอ้างเหตุผลออกจากกลุ่มล่าอสูรมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เทือกเขาถงหยางนาน จึงรู้เกี่ยวกับเขาเพียงเท่านี้”


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบไม่ทราบว่าเงาคนสีดำที่แท้ต้องการรู้สิ่งใด แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ได้แต่ร่วมมือกับอีกฝ่ายเท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงเล่าหมดเปลือก พยายามนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่ธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับเขาเมื่อตอนนั้น


“นอกเหนือจากนี้ยังมีอะไรอีกไหม? นึกให้ดี รายละเอียดใดก็อย่าได้ปล่อยผ่าน” เงาคนสีดำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ตั้งคำถาม


“จริงสิ ผู้อาวุโส ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว…คนผู้นั้นน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนหนึ่ง นอกจากนี้วิชาปรุงโอสถค่อนข้างสูงส่งทีเดียว” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคล้ายกับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน จึงเอ่ยขึ้นเสียงดัง


“ว่าต่อไป” ปราณดำรอบร่างเงาคนสีดำพลุ่งพล่านเล็กน้อยชั่วครู่


“ในการล่าอสูรครั้งนั้นกลุ่มล่าอสูรกำลังไล่ล่าสังหารวานรพิษเนตรทองตัวหนึ่ง พวกเราไล่ตามไปจนถึงทางเข้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ ผู้ฝึกฝนแซ่ฟั่นผู้นั้นรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณหลายชนิดจากในกลุ่มล่าอสูร จากนั้นปรุงโอสถสลายพิษหลายเม็ดออกมาให้พวกเราพกไว้กับตัว ใช้ป้องกันไอพิษในหุบเขา” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบเอ่ยเช่นนี้


“อ้อ? โอสถสลายพิษเม็ดนั้นยังอยู่กับตัวเจ้าไหม?” เงาคนสีดำฟังดูตื่นเต้นอยู่บ้าง


“ไม่อยู่ขอรับ หลังจากสังหารวานรพิษเนตรทอง คนผู้นั้นก็ขอโอสถสลายพิษกลับคืนไป” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบรีบเอ่ยบอก


เงาคนสีดำเงียบไปพักหนึ่ง ชั่วครู่ให้หลังจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ


“มอบรายชื่อสมาชิกในกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นให้ข้า แล้วก็จุดที่พวกเจ้าเคยต่อสู้บนเทือกเขาถงหยาง จงทำเครื่องหมายบนแผนที่ให้ละเอียด”


“ขอรับ ผู้อาวุโส” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบได้ยินก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นในใจก็รู้สึกยินดี รีบตอบรับแล้วหยิบแผนที่สีเหลืองซีดแผ่นหนึ่งออกมา หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดจึงทำเครื่องหมายลงบนสถานที่หลายแห่งบนนั้น


จากนั้นเขาก็หยิบแท่งหยกสีขาวว่างเปล่าแผ่นหนึ่งออกมาแนบลงบนหน้าผาก ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วปล่อยพลังจิต คัดลอกแผนที่ลงไปในนั้นอย่างละเอียดและเชื่อฟังเป็นที่สุด


หนึ่งเค่อให้หลังเงาคนสีดำก็บินออกจากหอสูงของสำนักอีกาเหมันต์อย่างเงียบเชียบ ลอยละล่องไปยังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


ปราณดำบนเงาคนค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เพียงแต่ในเวลานี้เขาคิ้วขมวดแน่น สีหน้าค่อนข้างผิดหวัง


หนึ่งเดือนมานี้เขาไล่ค้นหาร่องรอยของปีศาจพันมายาไปทั่วทุกสารทิศตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก แต่ผลที่ได้กลับมาน้อยนัก


คนผู้นั้นเหมือนจะระมัดระวังอย่างยิ่ง สถานที่ซึ่งเคยอยู่หรือคนที่เคยติดต่อแต่ละครั้งล้วนกำจัดร่องรอยทุกอย่างจนสะอาดเกลี้ยง


ครั้งนี้หลิ่วหมิงลำบากนักกว่าจะสืบจนตามหาผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบผู้นี้ที่เคยติดต่อกับเขาซึ่งหน้าได้ คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่พบร่องรอยที่แน่ชัดของเขาอีก


“แต่ได้รู้ว่าปีศาจพันมายาเชี่ยวชาญการปรุงโอสถก็นับว่าได้อะไรมาบ้างแล้ว หากได้โอสถที่คนผู้นี้เคยปรุงขึ้นมา นั่นคงยิ่งดี” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วพึมพำกับตนเอง


วิชาอนธการค้นวิญญาณอาศัยกลิ่นอายเพียงน้อยนิดก็ค้นหาตำแหน่งของร่างต้นในขอบเขตระยะหนึ่งได้ แค่พลังเวทที่หลงเหลืออยู่ในโอสถที่ปรุงก็เพียงพอให้ใช้วิชานี้แล้ว


ที่ก่อนหน้านี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายหลายคนติดกันได้ในเวลาสั้นๆ สองปีก็ด้วยอาศัยวิชาลับติดตามรอยอันมหัศจรรย์วิชานี้


หลังจากบนหน้าหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนไม่หยุดพักหนึ่ง เขาก็พลิกมือข้างหนึ่ง แสงสีขาวกลางฝ่ามือส่องสว่าง แผ่นหยกที่ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคนนั้นมอบให้ปรากฏขึ้นในมือ


จะว่าไปแล้วผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคนนี้ก็รู้จักสถานการณ์ค่อนข้างดีทีเดียว ไม่เพียงไล่รายชื่อสมาชิกของกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นเมื่อห้าปีก่อนออกมา ยังมีตัวตนและความเป็นมาคร่าวๆ ของคนเหล่านี้ที่เขารู้อีกด้วย


แต่สมาชิกส่วนใหญ่ในนี้กระทั่งชื่อก็ยังไม่รู้ชัดเจน มีแต่เรียกขานกันว่าแซ่อะไร


กลุ่มล่าอสูรที่รวมผู้ฝึกฝนอิสระเช่นนี้โดยทั่วไปมักจะเป็นผู้ฝึกฝนรวมตัวกันโดยบังเอิญเพราะมีเป้าหมายเดียวกันแล้วตั้งกลุ่มขึ้นมาช่วงระยะเวลายาวหรือช่วงเวลาสั้นๆ ปกติจะทำภารกิจเช่นเข้าไปในถิ่นอันตราย ล่าปีศาจอสูร ค้นหาร่องรอยและเก็บรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณ หญ้าจิตวิญญาณเป็นต้น


เพราะจากไปหรืออยู่ต่อได้อย่างอิสระยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของสมาชิกจึงค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาต่างระวังกันเองและโดยทั่วไปมักจะไม่ค่อยเปิดเผยชื่อแซ่ที่แท้จริง


จากที่หลิ่วหมิงพิจารณา คนส่วนใหญ่ในรายชื่อล้วนเป็นบุคคลที่สืบหาที่มาไม่ได้ แต่หัวหน้าของกลุ่มล่าอสูร นอกจากผู้ฝึกฝนแซ่ฟั่นซึ่งเป็นชื่อปลอมของปีศาจพันมายา ก็ยังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แซ่จั่วอีกคน


ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบอธิบายเกี่ยวกับคนผู้นี้ไว้ละเอียดทีเดียว


“จั่วกงเฉวียน เป็นประมุขพรรคขนาดเล็กแห่งหนึ่งแถบเทือกเขาถงหยาง แกนนำรวบรวมคนของกลุ่มล่าอสูร…”


“มีชื่อมีแซ่ยิ่งดี ในเมื่อคนผู้นี้กับปีศาจพันมายาเป็นหัวหน้ากลุ่มล่าอสูรด้วยกัน ก็น่าจะรู้จักเขามากกว่าผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบอยู่บ้าง” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดพักหนึ่งก็ยกแขนเสื้อขึ้น เรียกเรือหยกจันทราออกมาแล้วลอยขึ้นไปด้านบน เรือบินฉับพลันกลายเป็นเงาสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จากไปไกล


……


เทือกเขาถงหยางอยู่ใกล้กับเทือกเขาขนาดกลางแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน พาดผ่านจากตะวันตกไปยังตะวันออกหลายหมื่นลี้ ในเทือกเขามีสายแร่ทองแดงค่อนข้างมากจึงได้ชื่อนี้มา


เทือกเขาแห่งนี้พลังปราณแห่งฟ้าดินเข้มข้น ด้านในมีปีศาจอสูรปรากฏตัวมากมาย หญ้าจิตวิญญาณก็ไม่น้อย ปกติมีผู้ฝึกฝนไม่น้อยเข้ามาล่าที่นี่ ในหมู่คนเหล่านั้นมีระดับผลึกอยู่ไม่น้อย กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับสูงอย่างระดับแก่นแท้ก็มี นอกเหนือจากนี้ก็มีสำนักนิกายขนาดเล็กจำนวนหนึ่งตั้งรกรากอยู่ที่นี่


บนที่ราบกลางหุบเขาแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเทือกเขา สิ่งก่อสร้างสูงต่ำร้อยกว่าหลังเรียงรายอยู่ที่นี่ เกิดเป็นตลาดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง


เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ผู้คนในตลาดทอดยาวเป็นสายส่งเสียงเอะอะวุ่นวาย แลดูครึกครื้นอย่างยิ่ง


จุดที่สะดุดตาตรงลานกว้างใจกลางตลาดมีหอไม้โอ่อ่าสูงสามชั้นหลังหนึ่ง บนประตูแขวนป้ายขนาดใหญ่สีดำขลับแผ่นหนึ่งไว้ บนนั้นเขียนตัวอักษรบรรจงสีทองตัวใหญ่ไว้สามตัวว่า ‘หอรวมสมบัติ’  เมื่ออยู่ใต้แสงตะวันส่องเป็นประกายระยิบระยับ สะดุดสายตาผู้คนยิ่งนัก


พื้นที่ในหอค่อนข้างกว้างขวาง โต๊ะกั้นเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ด้านบนวางวัตถุดิบต่างๆ เช่นโอสถ ยันต์ หญ้าจิตวิญญาณและชิ้นส่วนของปีศาจอสูรที่แบ่งแยกไว้เป็นประเภท มีคนเข้าๆ ออกๆ ร้านนี้เป็นระยะ


กิจการรุ่งเรืองเช่นนี้ ผู้ดูแลกับเหล่าลูกจ้างในร้านย่อมมีรอยยิ้มเต็มหน้ากันทุกคนและยิ่งร้องเรียกลูกค้าเข้าร้านอย่างทุ่มเทกว่าเดิม


ขณะที่ผู้ดูแลเฒ่าซึ่งอายุเลยวัยกลางคนมาแล้วคนหนึ่งกำลังสนทนาอยู่กับลูกค้าที่เข้ามาสอบถามคนหนึ่ง ดวงตาก็อดไม่ได้เหลือบไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง


จะว่าไปแล้ว ร้านใหญ่ในตลาดแห่งนี้ล้วนมีกลุ่มอำนาจเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง


เมื่อครู่นี้เอง จั่วกงเฉวียนประมุขนิกายเพลิงหยก นายท่านที่แท้จริงเบื้องหลังหอรวมสมบัติซึ่งปกติจะมาที่ร้านน้อยครั้งนักพาผู้ฝึกฝนวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินผู้หนึ่งขึ้นไปยังชั้นสอง


เถ้าแก่มาตรวจร้าน ลูกน้องเบื้องล่างย่อมต้องยิ่งใส่ใจ พยายามสร้างความประทับใจที่ดี


ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ห้องหรูบนชั้นสองของหอ ผู้เฒ่าสวมเสื้อหนังคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน เขาหัวไหล่กว้าง รูปร่างสูงใหญ่ แม้นั่งอยู่ก็แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา


ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือบุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินคนหนึ่ง สีหน้าซีดเหลือง ท่าทางเหมือนเจ็บป่วย มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกาย ให้ความรู้สึกว่าไม่อาจดูแคลนได้


“สหายเยี่ยเป็นผู้ฝึกฝนนิกายมารเงาสวรรค์นี่เอง ผู้แซ่จั่วเสียมารยาทแล้วจริงๆ” จั่วกงเฉวียนมองป้ายสีดำในมือซึ่งบนป้ายสลักอักษรงดงามแบบโบราณไว้สามตัว เขาคืนป้ายให้บุรุษเสื้อสีน้ำเงินด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วประสานมือให้ในเวลาเดียวกัน


แม้นิกายเพลิงหยกมีชื่อเสียงแถวเทือกเขาถงหยางอยู่บ้าง แต่เต็มที่ก็เป็นเพียงนิกายชั้นสาม ไม่อาจเทียบกับนิกายมารเงาสวรรค์ซึ่งเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีเช่นนี้ได้


ในสายตาของผู้เฒ่า บุรุษชุดน้ำเงินฝั่งตรงข้ามมีกลิ่นอายสับสนคลุมเครือ แม้อาศัยจิตสัมผัสระดับแก่นแท้ขั้นกลางของเขาก็ยังมองพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออก ในใจเขาย่อมมองตัวตนของอีกฝ่ายสูงขึ้นหนึ่งส่วน

 

 

 


ตอนที่ 881 เรื่องน่ายินดีที่คิดไม่ถึง

 

“ประมุขจั่วเกรงใจไปแล้ว แม้นิกายเราจะมีอำนาจแถบเขตซานหูของแดนเหนืออยู่บ้าง แต่แถบเทือกเขาถงหยางก็ยังต้องการให้ประมุขจั่วดูแล” บุรุษชุดน้ำเงินรับป้ายคืนไปแล้วยิ้มน้อยๆ แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งทื่อ รอยยิ้มแลดูเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกเสียมากกว่า


“ฮ่ะๆ สหายเยี่ยล้อเล่นแล้ว ในเมื่อหอรวมสมบัติของข้าเปิดประตูต้อนรับแขก สหายปรารถนาสิ่งใดย่อมต้องช่วยเหลือเต็มที่ แต่ฟังจากคำพูดที่สหายเอ่ยเมื่อครู่ เหมือนก่อนหน้านี้เคยพบกับข้ามาก่อน?” จั่วกงเฉวียนไม่ถือสาแล้วย้อนถามกลับ


“ข้ามาถึงที่นี่ครั้งแรก แต่ข้ามีสหายผู้หนึ่งแซ่อู เมื่อห้าปีก่อนเดินทางมาตามหาหญ้าประหลาดต้นหนึ่งที่เทือกเขาถงหยาง นับว่าเคยรู้จักกับประมุขจั่ว” บุรุษชุดน้ำเงินสีหน้านิ่งสนิท เอ่ยอย่างไม่รู้ว่าจริงหรือลวง


จั่วกงเฉวียนได้ยินก็ตะลึง เขาเดินทางในแถบเทือกเขาถงหยางเป็นประจำ ผู้ฝึกฝนที่เคยพบมากมายประหนึ่งขนวัว ชั่วขณะหนึ่งไหนเลยจะนึกออกว่าผู้ฝึกฝนแซ่อูคนไหน


“ดูท่าประมุขจั่วจะฐานะสูงศักดิ์พบคนมากมายจึงลืมเลือนเรื่องราวไปบ้าง สหายผู้นั้นของข้าเคยเข้าร่วมกลุ่มล่าอสูรกับประมุขจั่ว แล้วยังมีสหายร่วมทางแซ่ฟั่นอีกหนึ่งคน ได้ยินว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนหนึ่ง” บุรุษชุดน้ำเงินเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากเอ่ยเสริมอีก


“เรื่องเมื่อตอนนั้นนี่เอง พักนี้ข้ายุ่งกับการจัดการกิจธุระในนิกาย สมองจึงเลอะเลือนไปบ้าง สหายเยี่ยอย่าได้ถือโทษ” ลึกลงไปในดวงตาของจั่วกงเฉวียนทอประกายเล็กน้อย แต่เอ่ยขึ้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


บุรุษชุดน้ำเงินเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา


“ถ้าเช่นนั้นไม่ทราบว่าสหายเยี่ยเดินทางมาครั้งนี้ ต้องการให้ข้าช่วยอันใด?” จิ่วกงเฉวียนเอ่ยถามอีก


“ระยะนี้พลังของข้ามาถึงด่านเลื่อนระดับจึงต้องการซื้อโอสถชื่อหยวนระดับสูงจำนวนหนึ่ง สิบเม็ดกำลังดี” บุรุษชุดน้ำเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“โอสถชื่อหยวน! นั่นเป็นโอสถระดับสูงในสายปีศาจ ปกติแล้วเม็ดหนึ่งก็หายากอย่างที่สุด สหายต้องการคราวเดียวสิบเม็ด นี่ทำให้ข้าลำบากอยู่บ้างแล้ว…”


จั่วกงเฉวียนสูดลมหายใจแผ่วเบาจากนั้นหัวเราะจืดเจื่อนขึ้นมา


“จากที่ข้ารู้มา ลึกเข้าไปในเทือกเขาถงหยางมีคางคกอัคคีที่เป็นปีศาจอสูรระดับผลึกชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ แก่นปีศาจของอสูรตัวนี้คือวัตถุดิบหลักของการปรุงโอสถชื่อหยวน มีเงื่อนไขธรรมชาติที่ดีเช่นนี้ ในตลาดถงหยางไม่มีคนปรุงโอสถชื่อหยวนออกมาได้เลยหรือ?” บุรุษชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้นเหมือนประหลาดใจอยู่บ้าง


“สหายเยี่ยล้อข้าเล่นแล้ว ปรมาจารย์ปรุงโอสถที่ปรุงโอสถชื่อหยวนได้ไหนเลยจะมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ในซอกหลืบอย่างที่แห่งนี้ของพวกเรา ส่วนแก่นปีศาจของคางคกอัคคีที่ได้มาจากเทือกเขาถงหยาง ส่วนใหญ่ก็ประมูลขายตามสมาคมการค้าหรือนิกายที่ใหญ่กว่า น้อยคนจะเก็บเอาไว้ใช้เอง” จั่วกงเฉวียนส่ายศีรษะรัวเอ่ยขึ้น


“ข้ากลับคิดไม่ถึงสถานการณ์เช่นนี้ แต่สหายผู้นั้นของข้าเคยบอกว่าผู้ฝึกฝนฟั่นในกลุ่มล่าอสูรตอนนั้นเหมือนจะมีวิชาปรุงโอสถค่อนข้างสูงส่ง น่าจะหลอมโอสถชนิดนี้ได้ ประมุขจั่วเป็นผู้รวบรวมคนของกลุ่มล่าอสูรครั้งนั้น ไม่มีวิธีติดต่อคนผู้นี้เลยหรือ เรื่องค่าใช้จ่ายย่อมเจรจากันได้” บุรุษชุดสีน้ำเงินผายมือสองข้างแล้วเอ่ยขึ้น


“สหายเยี่ยพูดถึงผู้ฝึกฝนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็นดาบใช่ไหม?” จั่วกงเฉวียนสายตาวูบไหวเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากถามขึ้น


“ไม่ผิด คนผู้นี้นี่แหละ ไม่ทราบว่าสหายจั่วติดต่อสหายฟั่นคนนี้ เชิญให้เขาช่วยปรุงโอสถชื่อหยวนได้หรือไม่ เรื่องวัตถุดิบ ข้าเตรียมเอาไว้เองแล้วไม่น้อย แน่นอนว่าเสร็จธุระจะตอบแทนให้อย่างงาม!” บุรุษชุดสีน้ำเงินประสานมือ แล้วเอ่ยขึ้นขณะที่มองจั่วกงเฉวียนด้วยแววตาเป็นประกาย


“สหายเยี่ยอาจเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงข้าก็พบกับสหายฟั่นผู้นั้นโดยบังเอิญเช่นเดียวกัน เพียงแค่ก่อนหน้านี้เคยเป็นสหายร่วมทางกันช่วงเวลาหนึ่งเท่ากัน” จั่วกงเฉวียนขมวดคิ้วตอบ


“เป็นเช่นนี้หรือ? ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ ข้ายังคิดว่าจะผูกมิตรกับปรมาจารย์ปรุงโอสถคนหนึ่งได้เสียอีก” บุรุษชุดน้ำเงินคิ้วขมวดเล็กน้อย บนใบหน้าเผยสีหน้าผิดหวังแล้วถอนหายใจแผ่วเบา


บุรุษชุดน้ำเงินผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิงปลอมตัวมา หลังเขาออกจากพรรคอีกาเหมันต์ก็ใช้เวลาครึ่งเดือนเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมายังเทือกเขาถงหยางแห่งนี้ หลังสำรวจพักหนึ่งถึงจงใจเข้ามาพบจั่วกงเฉวียน เกิดเป็นบทสนทนาครั้งนี้ในวันนี้


จั่วกงเฉวียนเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลางคนหนึ่ง แล้วยังเป็นประมุขของนิกายแห่งหนึ่ง เขาย่อมไม่อาจควบคุมโดยตรง ค่อยๆ เค้นถามเช่นนั้นอย่างผู้เฒ่าอูแห่งพรรคอีกาเหมันต์ได้ ดังนั้นถึงต้องใช้วิธีอ้อมค้อมสืบถามร่องรอยของปีศาจพันมายาเช่นนี้


แต่ตอนนี้ดูท่าผลลัพธ์จะไม่ดีนัก


ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดหาวิธีอื่นเลียบเคียงถามข่าวของปีศาจพันมายาอีกสักหน่อยอยู่นั่นเอง เสียงของจั่วกงเฉวียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


“สหายเยี่ยไม่ต้องผิดหวัง แม้ข้ากับสหายฟั่นไม่ได้คบหาสนิทกัน แต่หนึ่งปีก่อนหน้าข้าบังเอิญพบสหายฟั่นอยู่ที่เมืองหนานหลูซึ่งอยู่ไม่ไกล เหมือนเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นชั่วคราว ข้าเคยมีวาสนาพบหน้าสหายฟั่นอยู่หลายครั้ง จะยอมบากหน้าแนะนำให้สหายเยี่ยพบหน้าสักครั้งก็ย่อมได้ แต่จะขอให้เขาปรุงโอสถได้หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว” หลังจากจั่วกงเฉวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาเช่นนี้


“จริงหรือ ถ้าเช่นนั้นไหว้วานสหายจั่วแล้ว ไม่ทราบว่ายามใดจึงจะออกเดินทาง”


หลิ่วหมิงได้ยินทีแรกก็ตกตะลึง แต่จากนั้นก็ยินดียิ่ง


“สหายเยี่ยรออยู่ที่นี่สักพัก ผู้แซ่จั่วต้องจัดการธุระเล็กน้อยในร้าน ครึ่งวันให้หลังออกเดินทางเป็นอย่างไร?” จั่วกงเฉวียนพูดพลางก็ลุกขึ้นยืน


“ดี ถ้าเช่นนั้นเชิญสหายตามสบาย ข้าจะไปเลือกซื้อของในตลาดสักหน่อย” หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืน ประสานมือเอ่ยตอบด้วยใบหน้าซาบซึ้งเช่นเดียวกัน


ครู่หนึ่งให้หลังหลิ่วหมิงก็เดินออกจากร้านไป


จั่วกงเฉวียนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปไกลบนถนนจากช่องหน้าต่างชั้นบน ในดวงตาปรากฎความประหลาดใจบางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น


หลิ่วหมิงเดินออกจากหอรวมสมบัติก็มองซ้ายมองขวาหลายครั้ง แล้วเดินไปทางตลาดโดยไม่หันศีรษะกลับไปมอง


ตลาดถงหยางไม่มีสิ่งใดแตกต่างกับตลาดขนาดเล็กทั่วไป สองฟากฝั่งถนนคือร้านรวงสารพัดที่สูงต่ำไม่เท่ากัน


ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับเทือกเขาถงหยาง โบราณว่าไว้อยู่ใกล้ภูเขา หากินจากภูเขา ดังนั้นร้านรวงเหล่านี้จึงมีร้านที่วางขายของจิปาถะเช่นปีศาจอสูรหรือหินแร่เป็นส่วนมาก


บนถนนนอกจากหลิ่วหมิงแล้วยังมีผู้ฝึกฝนมากมายเดินเข้าออกร้านสองฟากฝั่ง แต่ละคนซื้อขายสิ่งที่ตนต้องการด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป


ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณ บางครั้งก็เห็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกปรากฏตัวบ้าง แต่ไม่พบระดับแก่นแท้เลย


หลิ่วหมิงเก็บซ่อนกลิ่นอายด้วยวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนนัก เขาไหลตามกระแสคนที่ไม่เบียดเสียดนักเดินเที่ยวร้านนั้นร้านนี้อย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่มีธุระอันใด


บนหน้าเขาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจปั่นป่วนไม่หยุด


คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะตามหาที่อยู่ของปีศาจพันมายาผู้นั้นพบจากจั่วกงเฉวียนได้จริงๆ


ไม่ว่านี่จะเป็นความบังเอิญหรือจั่วกงเฉวียนมีแผนการอย่างอื่น การเดินทางมาตลาดถงหยางครั้งนี้อย่างไรก็นับว่าได้ผลอย่างมาก


หลิ่วหมิงครุ่นคิดเช่นนี้แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่เดินเข้าร้านขายของที่ดูเก่าผุพังแห่งหนึ่งอย่างสบายๆ


ในร้านมีประตูเพียงบานเดียว บนประตูแขวนป้ายเอียงกระเท่เร่ไว้เพียงหนึ่งแผ่น ด้านในวางชั้นไม้เก่าไว้สองชั้น บนชั้นวางวัตถุดิบจากปีศาจอสูร หินแร่และวัตถุดิบจิตวิญญาณไว้จำนวนหนึ่ง


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบหนึ่ง พวกมันล้วนเป็นหญ้าจิตวิญญาณ หินแร่ วัตถุดิบจากปีศาจอสูรระดับต่ำ ไม่รู้ว่าเป็นสินค้าเก่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานเท่าไร ด้านบนมีฝุ่นจับอยู่ไม่น้อย


แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการจะซื้ออะไรจริงๆ เพียงเดินเที่ยวตามใจเท่านั้นจึงไม่จู้จี้


“ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องการสิ่งใดหรือ?” เห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ผู้เฒ่าผอมแห้งเส้นผมรุงรังคนหนึ่งพลันรีบเข้ามาต้อนรับ


หลิ่วหมิงกวาดสายตามอง ผู้เฒ่าผอมแห้งเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งที่สภาพแก่ชรา ในตลาดแห่งนี้นับว่าเป็นคนจำพวกที่พลังต่ำที่สุด


“ข้าดูไปเรื่อยเปื่อย เจ้าไม่ต้องดูแล” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“ขอรับ เชิญผู้อาวุโสชมช้าๆ แม้ร้านจะเล็กก็มีของดีไม่น้อย” ผู้เฒ่าผอมแห้งมองพลังของหลิ่วหมิงไม่ออก จึงหัวเราะประจบครั้งสองครั้งแล้วถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างกระอักกระอ่วน


หลิ่วหมิงก็ไม่สนใจเขา มองดูบนชั้นวางของเหล่านั้นอย่างผ่านๆ ในใจกลับคิดถึงเรื่องเมืองหนานหลูที่จั่วกงเฉวียนเอ่ย


“เอ๊ะ!” ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้าหน้าชั้นวางของชั้นหนึ่ง สายตาจับจ้องอยู่บนกระดองดำสนิทขนาดเท่าอ่างล้างหน้าชิ้นหนึ่ง


ตัวกระดองแลดูเหมือนกระดองของปีศาจอสูรจำพวกเต่าบางชนิด บนกระดองดำสนิทแต่มองเห็นภาพสัญลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมเล็กจิ๋วมากมายถี่ยิบจำนวนหนึ่งได้อยู่เลือนราง ดูแล้วรู้สึกลึกลับทีเดียว


“สิ่งนี้คือ?” ความเอื่อยเฉื่อยในใจหลิ่วหมิงติดปีกบินหนีไปแล้ว เขาหยิบกระดองมาไว้ในมืออย่างอดใจไม่ไหวแล้วมองดูอย่างละเอียดทันที


ตัวกระดองแผ่คลื่นพลังเวทออกมาเบาบางอย่างที่สุดราวกับว่าพลังจิตวิญญาณสลายไปสิ้นแล้ว แต่สายตาของหลิ่วหมิงกลับค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา


ขอบของกระดองดำแต่ก็เห็นสีเขียวอยู่จางๆ เขาวาดนิ้วบนรอยแตกของกระดอง ท่ามกลางสัมผัสแห้งแตก มีสัมผัสลื่นอยู่เล็กน้อย


ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายแล้วซ่อนสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าไป


“กระดองเต่าชิ้นนี้ขายอย่างไร?”


“ผู้อาวุโสคนนี้ตามีแววจริงๆ นี่เป็นกระดองเต่าของเต่าถู่หลีระดับของเหลวจิตวิญญาณ เป็นวัตถุดิบของปีศาจอสูรระดับกลางของจริงเสียงจริง แล้วก็เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณป้องกันระดับกลางด้วย” ผู้เฒ่าผอมแห้งเหลือบมองกระดองเต่าในมือหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วส่งเสียงโอ้อวด


“เต่าถู่หลี…ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งที่เจ้าพูดจริงหรือหลอก ของชิ้นนี้อย่างน้อยก็วางอยู่ที่นี่มากว่ายี่สิบปีแล้วกระมัง” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วเผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา


“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ร้านข้ามีชื่อเสียงดีเยี่ยมในตลาดถงหยางแห่งนี้มาตลอด ไม่เคยขายของปลอมมาก่อน กระดองเต่าถู่หลีชิ้นนี้เป็นของที่ก่อนหน้านี้ข้าซื้อมาจากมือผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณคนหนึ่ง แต่เวลาก็เป็นดังท่านพูดจริงๆ สักสิบยี่สิบปีได้แล้ว” ผู้เฒ่าผอมแห้งได้ยินพลันสะอึกแล้วฝืนยิ้มเอ่ยตอบ


“ได้ ของสิ่งนี้ข้าเอา เจ้าต้องการหินจิตวิญญาณเท่าไร?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม


ผู้เฒ่าผอมแห้งผ่อนลมหายใจ ในดวงตาเผยแววตายินดีจางๆ ออกมา เขาลังเลเล็กน้อยแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “หินจิตวิญญาณห้าพันก้อน ตอนแรกที่ผู้เยาว์ซื้อของสิ่งนี้มาจ่ายไปสี่พันห้าร้อยหินจิตวิญญาณ ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ อย่างไรข้าก็ต้องได้กำไรสักเล็กน้อย”


หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วหยิบหินจิตวิญญาณระดับกลางห้าสิบก้อนออกมาโยนให้ผู้เฒ่าผอมแห้ง จากนั้นพลิกมือเก็บกระดองเต่า เดินออกจากร้านไป


“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก เดินทางปลอดภัย” ผู้เฒ่าผอมแห้งหัวเราะฮ่ะๆ พลางเก็บหินจิตวิญญาณ จากนั้นก็มองส่งหลิ่วหมิงจากไป


หลิ่วหมิงเดินออกไปได้สิบกว่าจั้งก็หันหลังกลับไปมองร้านน้อยที่ดูเก่าผุพังแห่งนี้ครั้งหนึ่ง แล้วหัวเราะหึๆ ออกมาก่อนจะก้าวยาวจากไป


กระดองเต่าชิ้นนั้นใช่กระดองเต่าของเต่าถู่หลีอะไรที่ไหน นั่นเป็นกระดองของเต่าลู่อู๋ปีศาจสูรระดับแก่นแท้ชัดๆ แค่วัสดุสีดำชั้นนั้นด้านบนปกปิดคลื่นพลังเวทของมันไว้ก็เท่านั้น


จากความเห็นของเขา กระดองเต่าชิ้นนี้น่าจะเป็นกระดองของเต่าลู่อู๋ระดับแก่นแท้ขั้นกลางสักตัว ชิ้นใหญ่เช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องสามสิบล้านหินจิตวิญญาณ


ในใจหลิ่วหมิงตื่นเต้นยินดี มีกระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นนี้ อย่างน้อยเขาก็ปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ได้สี่ห้าสิบเม็ดแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)