ลำนำบุปผาพิษ 879-906
บทที่ 879 เด็กน้อย ที่แท้เจ้าก็กลัวฟ้าผ่า
หงส์ครามคือนกวิเศษของทวีปนี้ แทบจะเทียบได้กับพญาหงส์ในตำนาน หงส์ครามสยายปีกชั่วพริบตาเดียวก็เดนทางได้พันลี้ หายากเช่นเดียวกับลู่อู๋
ตำนานเล่าขานว่าหงส์ครามนี้ก็เป็นวิหคมงคลชนิดหนึ่ง เฉกเช่นกิเลน ไม่ว่าปรากฏตัวที่ใดล้วนสามารถดึงดูดให้ประชาชนแห่แหนมากราบไหว้บูชาได้ ซ้ำยังถูกอาลักษณ์บันทึกลงในประวัติศาสตร์ว่า เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคุณธรรมของจักรพรรดิที่แว่วไปถึงสรวงสวรรค์ แม้กระทั่งหงส์ครามก็มาเยือน แสดงถึงความร่มเย็นเป็นสุข
ขนาดนกวิเศษเช่นนี้ก็ยังถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เอามาทำเนื้อย่าง! ย่างไปแล้ว!
เขาไม่กริ่งเกรงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์หรือไง?!
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ช่างเป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านการล้างผลาญโดยแท้…
ตี้ฝูอีมองปากเล็กๆ ที่อ้าหวอของนาง ถอนหายใจเบาๆ “ข้ายอมเสี่ยงโดนทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เพื่อย่างนกตัวนี้ให้เจ้าเลยนะ กินให้มากหน่อยเถิด อย่าให้เสียความตั้งใจของข้า” แล้ววางน้ำเต้าสุราของตนใส่ในมือนาง “เอ้า ดื่มสุราแก้ตกใจเสีย”
กู้ซีจิ่วมองน้ำเต้าสุราในมือ จากนั้นก็มองปีกนกในมือที่กินไปแล้วกว่าครึ่ง
เธอกินหงส์ครามลงไปแล้ว ไม่รู้ว่าฟ้าจะผ่าเธอหรือเปล่า…
ความคิดเธอเพิ่งแล่นมาถึงตรงนี้ กลางนภาพลันเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบ ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนๆ
กู้ซีจิ่วหดกายตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่น่า?! ชักนำสายฟ้ามาจริงเหรอ?!
เธอแหงนหน้ามองทันที บนฟากฟ้าไม่รู้ว่ามวลเมฆปกคลุมหนาแน่นตั้งแต่ตอนไหน บดบังแสงเดือนดาว มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบทะลุชั้นเมฆ…
‘เปรี้ยง!’ สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงมา!
กู้ซีจิ่วกระโจนพรวดขึ้นมา เบิกตามองลูกสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงบนศิลาเขียวข้างกายตี้ฝูอี ผ่าจนศิลาก้อนนั้นแหลกเป็นผุยผงทันที
จากนั้นกลางนภาก็มีสายฟ้าอีกเส้นหนึ่งผ่าลงมา เป้าหมายคือศีรษะของตี้ฝูอี!
กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง ปฏิกิริยาตอบสนองแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ พุ่งเข้าไปกอดเขาไว้แล้วทำการเคลื่อนย้ายทันที หลบหนีออกไปหลายร้อยเมตร สายฟ้าเส้นนั้นผ่าลงบนกองไฟที่ลุกโชติช่วง สะเก็ดไฟกระจายไปทั่ว แทบจะส่องสะท้อนทั้งผืนฟ้าให้แดงฉาน!
เสียงฟ้าร้องที่คล้ายจะทะลวงปฐพีนั้นทำเอาหูกู้ซีจิ่วชาหนึบ เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยามนี้การหลบเลี่ยงสายฟ้าย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จึงกอดเอวเขาไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง…
ไม่ว่าจะไปที่ใดกู้ซีจิ่วล้วนชอบศึกษาภูมิประเทศ ชอบสร้างอาณาเขต และด้วยเหตุนี้ทุกสถานที่ที่เธอเคยสัญจรผ่าน สภาพแวดล้อมรอบข้างเธอล้วนตรวจสอบได้ถ้วนถี่
อย่าว่าแต่ใต้ผานี้มีต้นไม้กี่ต้นเลย แม้กระทั่งรังงูมีอยี่รังเธอทราบอย่างชัดเจน แน่นอน โพรงถ้ำแห่งหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้าผาแห่งนี้ถูกวัชพืชขึ้นปกคลุมก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาเธอไปได้
ดังนั้นตัวเลือกแรกในการหลบสายฟ้าของเธอก็คือถ้ำแห่งนั้น เธอเคลื่อนย้ายเข้าไปในถ้ำโดยตรง
ถ้ำแห่งนี้ลึกยิ่งนัก กู้ซีจิ่วเกรงว่าสายฟ้านั้นจะตามเข้ามาผ่าคน หลังจากเข้ามาในถ้ำจึงย้ายไปยังจุดที่ลึกที่สุด เมื่อย้ายเข้าไปลึกว่ายี่สิบเมตรแล้ว ก็หยุดอยู่ที่ท้ายถ้ำ
กู้ซีจิ่วอกสั่นขวัญแขวน หลังจากหยุดแล้วก็มองออกไปด้านนอกตามสัญชาตญาณ เธออยู่ลึกถึงเพียงนี้ สายฟ้านั้นน่าจะตามเข้ามาไม่ได้แล้วกระมัง? นอกเสียจากสายฟ้านี้จะติดตั้งอุปกรณ์จับตำแหน่งไว้ มิเช่นนั้นก็น่าจะตามเข้ามาไม่ได้
ความคิดของเธอถูกต้อง สายฟ้านั้นไม่ได้ตามเข้ามาจริงๆ เพียงส่งเสียงดังครืนๆ อยู่นอกถ้ำรอบแล้วรอบเล่า
กู้ซีจิ่วเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าสายฟ้านั้นจะไม่ตามเข้ามาอีกถึงถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก
“เด็กน้อย ที่แท้เจ้าก็กลัวฟ้าผ่า”อตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นริมหูเธอ
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อทันที ค่อยพบว่าตัวเองยังกอดเขาไว้ปานเด็กน้อยกอดตุ๊กผ้าตัวใหญ่…
รีบคลายมือออกแล้วถอยหลังทันที ในส่วนลึกของถ้ำนี้ไม่กว้างขวาง อีกทั้งเธอรีบร้อนถอย แผ่นหลังหวิดจะกระแทกเข้ากับผนังถ้ำ
————————————————————————————-
บทที่ 880 ยังมีอีกไหม?
โชคดีที่ตี้ฝูอีเคลื่อนไหวว่องไวเธอ เคลื่อนกายวูบหนึ่ง อ้อมไปอยู่ด้านหลังกู้ซีจิ่วทันทีดังนั้นการถอยครั้งนี้ของกู้ซีจิ่วจึงถอยเข้าสู่อ้อมอกเขา
แขนเขาโอบเอวเธอไว้ “ระวังหน่อย ทำไมซุ่มซ่ามขนาดนี้”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
กลิ่นหอมอบอวลอยู่ที่ปลายจมูก ทันใดนั้นหัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต็มไปด้วยความขมขื่น คล้ายกับมีไอร้อนพุ่งตรงมาที่ปลายจมูก ทำให้จมูกของเธอแสบเคืองขึ้นมา
เธอสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ปล่อยมือ!”
ตี้ฝูอีกลับกอดเธอแน่นกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหน้าเธอ น้ำเสียงเขาแหบทุ้มเล็กน้อย “ซีจิ่ อย่าปฏิเสธเลย เจ้าชอบข้า”
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่ออีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ยิ้มหยัน “แล้วอย่างไรเล่า?”
เธอสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง กล่าวอย่างจริงจัง “ตี้ฝูอี ปล่อยมือ!”
ในที่สุดนางก็ไม่เรียกเขาว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนั่นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี่แล้ว ตี้ฝูอีก็ไม่ตีหน้าทะเล้นกับนางอีกต่อไป ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ซีจิ่ว ข้าว่าพวกเราควรจะคุยกันดีๆ”
ความจริงแล้วกู้ซีจิ่วไม่อยากคุยกับเขาเลยจริงๆ มีอะไรที่ต้องคุยกันดีๆ เล่า?
คนผู้นี้เดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวเย็นชา ยามเย็นชาก็หมางเมินผู้อื่นยิ่งนัก ยามอบอุ่นก็พัวพันผู้อื่นไม่ปล่อย…
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาวางมือจากเธอแล้ว แถมยังหาโอกาสเล่นงานล้างแค้นเธอ จากนั้นก็วิ่งมมาจิบชาพูดคุยกับเธอ เชื้อเชิญให้เธอกินเนื้อดื่มสุรา…
ริมฝีกปากเธอยกโค้งนิดๆ “ตี้ฝูอี นี่ท่านใช้วิธีตบหัวแล้วลูบหลังอยู่ใช่ไหม? อันที่จริงข้าไม่อยากคุยกับท่าน และข้าก็ไม่คิดว่าระหว่างท่านกับข้ายังมีอะไรให้คุยกันดีๆ นะว่าไหม?”
ตอนที่พูดประโยคสุดท้ายออกมาลำคอก้ค่อนข้างจุกเสียด เธอสูดลมหายใจนิดๆ ทำให้ตัวเองสงบลงอีกหน่อย “ท่านพูดถูกแล้ว ดูเหมือนข้าจะชอบท่านอยู่บ้างจริงๆ แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? ในแง่ของความรักตัวข้าผู้นี้ยกได้วางเป็นมาโดยตลอด ต่อให้หลงรักคนผู้หนึ่งจริงๆ ก็สามารถละทิ้งได้…ขอเพียงมอบเวลาให้ข้ามากพอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดข้าล้วนปล่อยวางได้ ความรักหากว่ากันตรงๆ แล้วอันที่จริงก็เป็นความลุ่มหลงชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านอาจเป็นความลุ่มหลงเพียงชั่วขณะเช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่ามันจะจางหายไปตามกาลเวลา…บกโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ข้าวางไม่ลง…”
เธอหันหลังมา แกะมือเขาที่โอบเอวเธอออก “ตี้ฝูอี ขอบคุณสำหรับเนื้อหงส์ครามของท่าน มันอร่อยมาก ระหว่างข้ากับท่านก็ให้สิ้นสุดลงตรงนี้เถิด ท่านคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่ง ขอเพียงท่านยินยอม มีสตรีมากมายที่พร้อมโผเข้าหาอ้อมอกท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องตามพัวพันข้า ท่านดูสิ ข้าไม่เข้าใจความรักชายหญิง นิสัยดื้อรั้น ไม่หวั่นไหวต่อวิธีเกี้ยวพาของท่านเลย ดังนั้นท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับท่านอีกแล้ว…”
เป็นครั้งแรกที่นางพูดกับเขามากมายถึงเพียงนี้ แถมถ้อยคำที่กล่าวก็เปิดเผยซื่อตรงยิ่งนัก ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง “ยังมีอีกไหม?”
กู้ซีจิ่วอึกอัก “…ไม่มีแล้ว” เธอรู้สึกว่าเธอพูดชัดเจนมากแล้ว
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้านั่งลงก่อน ฟังข้าพูดบ้างเป็นอย่างไร?”
เขาโบกมือเรียกม้านั่งสองตัวออกมา ให้เธอนั่งลงไป
กู้ซีจิ่วก้ไม่เกรงว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรอีก นั่งลงไปเช่นกัน “ท่านอยากพูดอะไรกับข้า?”
ในเมื่อเขายืนยันจะคุยเช่นนั้นก็คุยเถิด พูดทุกอย่างออกมาจะได้เลิกแล้วต่อกัน ต่างคนต่างไป
เธอไม่อยากพัวพันคลุมเครือกับเขาแบบนี้อีกต่อไป ส่งผลต่อความคิดจิตใจเกินไป และถ่วงรั้งการเรียนของเธอ
ตี้ฝูอียื่นน้ำเต้าสุราใบนั้นให้เธออีกครั้ง “เจ้าเพิ่งกินเนื้อหงส์ครามเข้าไป เจ้าจำเป็นต้องดื่มสุรานี้สามอึก เช่นนี้ถึงสามารถกระตุ้นศักยภาพในตัวเจ้าได้จริงๆ ยกระดับพลังวิญญาณของเจ้า’
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เอาเถอะ เนื้อหงส์ครามเธอก็กินลงท้องไปแล้ว เธอจะไม่ถ่อมตัวหาเหตุผลมาบ่ายเบี่ยงแล้ว ดื่มก็ดื่ม!
————————————————————————————-
บทที่ 881 นางร่วมเล่นละครกับข้า
เธอเอ่ยขอบคุณคราหนึ่ง รับน้ำเต้าสุรานั้นมา กำลังจะดื่มเข้าไปติดๆ กันสามอึก ตี้ฝูอีก็ยื่นมือมาห้ามเธอไว้ “ค่อยๆ ดื่มทีละนิด อย่ากระดกเหมือนวัว”
ชิ เธอกระดกเหมือนวัวรงไหนกัน? เธอดื่มสุราอย่างมีภาพลักษณ์ยิ่งนักมาตลอดไม่ใช่หรือไง?
กู้ซีจิ่วก้มจิบอึกเล็กๆ อึกหนึ่ง จากนั้นก็รอฟังตี้ฝูอีพูด
ตี้ฝูอีตวัดข้อมือคราหนึ่ง หงส์ครามย่างตัวนั้นปรากฏขึ้นบนฝ่ามืออีกครา “เจ้าจะกินแค่ปีกสองข้างไม่ได้ ต้องกินน่องทั้งสองข้างด้วย” แล้วฉีกน่องทั้งสองมาให้เธอ
กู้ซีจิ่วไม่อยากติดหนี้น้ำใจเขาอีก ส่ายหน้าแล้วเอ่ยไปว่า “นกตัวนี้ล้ำค่าถึงเพียงนี้ ท่านกินเองเถิด”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้เกลี้ยกล่อมเธออีก เพียงนำน่องนกย่างสีเหลืองอร่ามที่คล้ายไก่ย่างสองข้างนั้นใส่จานแล้ววางบนแท่นหินแท่นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ
จากนั้นเขาก็เริ่มกินส่วนที่เหลือของนกย่างตัวนี้
เขากินอย่างสง่างามยิ่ง กินสิ่งใดก็สามารถกินได้ลื่นไหลไม่เคอะเขิน กู้ซีจิ่วนับถือเขาเลย!
เห็นเขาก้มหน้ากินอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเร่งรัดเขา “ท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าไม่ใช่หรือ?”
ตี้ฝูอียกนิ้วหนึ่งแตะริมฝีปาก ส่งเสียวชู่ว “กินไม่คุยนอนไม่พูด”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เอ่ยโพล่งออกมา “กฎนี้ท่านมิได้ปฏิบัติยามอยู่กับผู้อื่น แค่พุ่งเป้ามาที่ข้าใช่ไหม?” เธอเห็นกับตาว่าตอนที่เขาร่วมโต๊ะอาหารกับเล่อจื่อซิ่งทั้งพูดทั้งหัวเราะ…
สายตาของตี้ฝูอีจับจ้องเธอ “เจ้าพูดถึงข้ากับเล่อจื่อซิ่งยามกินอาหารเช้าด้วยกันเมื่อวานกระมัง?” ยิ้มอีกแบหนึ่ง ดวงตาคล้ายทอประกายระยิบระยับ “ซีจิ่ว เจ้าหึงหรือ?”
หึงบ้าหึงบออะไร?!
เธอแค่รู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อเล่อจื่อซิ่งอย่างค่อนข้างพิเศษเท่านั้น…
“ข้าไม่ได้หึง ต่อให้ท่านปฏิบัติต่อผู้อื่นเป็นพิเศษกไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้า…”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “อย่าด่วนรีบร้อนชี้แจงความสัมพันธ์กับข้าเลย บางเรื่องก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เพียงแต่ข้าก็ปฏิบัติต่อเล่อจื่อซิ่งเป็นพิเศษจริงๆ นั้นแหละ…”
หัวใจกู้ซีจิ่วดิ่งวูบ “เห็นไหม ท่านปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษ…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจอีกครั้ง “ซีจิ่ว เดิมทีแล้วยามกินอาหารปกติเล่อจื่อซิ่งก็กินไม่พูดเช่นกัน อันที่จริงในด้านนี้นางก็ไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา “ท่านอยากคุยกับข้าเรื่องที่ปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษหรือไง? คุยเรื่องที่พวกท่านพูดจาเข้าขากันดีสินะ? ข้ารู้สึกว่าหากท่านต้องการยกย่องนางมิสู้ไปชมเชยนางต่อหน้าดีกว่า ไม่จำเป็นต้องมาพูดต่อหน้าข้า…”
“นางร่วมเล่นละครกับข้า” ตี้ฝูอีตัดบทเธอทันที
“หะ?” กู้ซีจิ่วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองชั่วขณะ
ตี้ฝูอีถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “นางเคยมาสารภาพรักกับข้าจริงๆ แต่ข้าก็ทให้นางตัดใจได้อย่างรวดเร็วยิ่ง นางรู้ว่าข้ามีความรู้สึกต่อเจ้า รู้สึกซาบซึ้งนัก ดังนั้นจึงตกลงเล่นละครกับข้า บนโต๊ะอาหารนางก็พูดมากเช่นกัน แต่เพื่อร่วมมือกับข้า จึงตั้งใจหาเรื่องมากมายมาพูด…”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรง ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เธอเป็นคนที่คิดต่อยิดได้มากมาย เธอจับจุดได้อย่างรวดเร็ว “ยามนี้นางเป็นสายให้ท่านกระมัง? เรื่องที่ข้าจะย้ายห้องเป็นนางที่ไปรายงานท่านใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปาก ทอดถอนใจ “นางเสนอตัวเป็นสายให้ข้าเอง และข้าก็เคยบอกไว้จริงๆ ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าจะเช้าจะดึกก็ต้องแจ้งให้ข้าทราบทันที”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอย่อยข้อมูลเหล่านี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้วสูงมองดูเขา รู้สึกว่าโทสะพลุ่งพล่านอยู่ในทรวง “ท่านจัดวางสายข่าวไว้ข้างกายข้า! ซ้ำยังเล่นละครต่อหน้าข้าด้วย…จงใจกระตุ้นข้าใช่หรือไม่? ที่แท้ท่านคิดอะไรอยู่กัน? หากข้าชอบท่านจะอย่างไรก็ชอบ หากว่าไม่ชอบเช่นนั้นจะทำอย่างไรก็ไม่ชอบ การที่ท่านกับนางจงใจเล่นละครต่อหน้าข้ามีแต่จะทำให้ข้าปล่อยไปจริงๆ ท่านคิดวิธีบ้าบอเช่นนี้ออกมาจัดการข้า…แผนนี้ของท่านคือแสร้งปล่อยเพื่อจับกระมัง? แถมยังตบหัวแล้วลูบหลังด้วยสินะ? ท่านคิดว่าข้าเป็นคนยังไงกัน…”
“ขออภัยด้วย!” ตี้ฝูอีกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
————————————————————————————-
บทที่ 882 เจ้าก็ชอบข้า!
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าเขาที่สูงส่งอยู่เหนือปวงชนมาโดยตลอดจะเอ่ยขอโทษตนได้ จึงอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ตี้ฝูอีหลุบตามองนกในมือที่กินไปไม่เท่าไหร่ ถอนหายใจเบาๆ “ซีจิ่ว ข้าไม่มีประสบการณ์”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงนิดๆ “อะไรนะ?”
ตี้ฝูอีรำพึงรำพัน “เป็นครั้งแรกที่ข้าชมชอบคนผู้หนึ่งอย่างจริงจัง แต่เจ้าผลักไสอยู่เสมอ ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี มู่เฟิงหาบทละครรักประโลมโลกมากมายมาให้ข้าอ่าน ข้าอ่านไปมากมายยิ่งนัก และละครรักประโลมโลกเหล่านั้นล้วนเป็นรักแรกพบทั้งสิ้น ตกหลุมรักและประคับประคองกันเข้าห้องหออย่างรวดเร็ว ต่อให้มีอุปสรรคจากภายนอกเข้ามากีดขวางบ้าง แต่ก็ไม่สั่นคลอนจิตใจของคนทั้งสอง ละครเหล่านี้ต่างจากสถานการณ์ของข้ากับเจ้า ข้าไม่มีแหล่งให้เรียนรู้ ข้าเคว้งคว้างยิ่ง…”
ขนตาของเขาหรุบหรู่ มองหงส์ครามย่างในมือ เงาร่างนั้นดูเหงาหงอยอยู่บ้าง ถึงขั้นค่อนข้างเปราะบางด้วยซ้ำ “ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะทำให้เจ้าไม่หมางเมินข้าอีก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าชอบข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่อาจปล่อยวางและไม่คิดจะปล่อย แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะทำให้เจ้ายอมฟังหัวใจของเจ้าจริงๆ มองเห็นเจ้ากับหลงซือเย่พูดคุยกันหัวเราะด้วยกัน แต่พอเจอข้าก็หมางเมินเย็นชาในใจข้าทุกข์ทรมานนัก ข้าอยากเข้าใกล้เจ้าก็เว้นระยะห่างกับข้า อยากแยกเจ้ากับหลงซือเย่ก็ไม่อาจบังคับดึงดันได้…”
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขัดเขา “ไม่ได้เห็นกันชัดๆ เสียหน่อยว่าข้าชอบท่าน…” เธอไหนเลยจะแสดงออกชัดเจนปานนั้น มิเช่นนั้นจะแม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบได้อย่างไร?
ตี้ฝูอีมองเธอ กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าก็ชอบข้า! ข้ารู้!”
กู้ซีจิ่วพุดไม่ออก
เขาช่าง…จริงๆ
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนหาถ้อยคำที่เหมาะสมจะใช้บรรยายเขาไม่ได้
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะถกเถียงปัญหาข้อนี้กับเขา เธอรู้สึกว่าวิธีตามตื้อขอความรักของเขาเป็นตรรกะโจรโดยแท้ หากเธอกับหลงซือเย่รักกันด้วยใจจริง เขาทำเช่นนี้มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้เธอ…
“ตี้ฝูอี ท่านไม่เคยคิดบ้างหรือว่าข้ากับหลงซือเย่รักกันด้วยใจจริง? ข้า…”
“ซีจิ่ว เจ้าไม่ได้รักเขา ข้าเคยพูดไปนานแล้ว ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อเขาไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความยึดติดอย่างหนึ่ง…” ตี้ฝูอีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอรู้สึกว่าเธอกำลังถูกตี้ฝูอีล้างสมองอยู่!
ถูกเขาพูดเช่นนี้ใส่บ่อยเข้า เธอจึงรู้สึกเช่นกันว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อหลงซือเย่ไม่ใช่ความรัก แถมยังไม่แน่ว่าจะเป็นความยึดติด คล้ายจะเป็นการเลือกสรรหาสามีที่มีสติปัญญามากกว่า…
ช้าก่อน ดูเหมือนจะผิดประเด็นแล้ว!
เธอถามต่อ “จากนั้นล่ะ? จากนั้นท่านบังเกิดความคิดพวกนี้ขึ้นมาหรือ?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เป็นมู่อวิ๋น เขาเคยเป็นชายหนุ่มผู้โชกโชนในสนามรัก ในสนามรักไม่เคยพ่าย ดังนั้นข้าจึงได้แต่ทำหน้าหนาไปถามเขา…” เขาเล่าทัศนคติเหล่านั้นของมู่อวิ๋นออกมารอบหนึ่ง
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย ในใจเธอปรารถนาจะเอ่ยทักทายบรรพบุรุษของมู่อวิ๋นนัก!
สายตาเธอร่อนลงบนร่างตี้ฝูอี แววตาค่อนข้างเฉียบคม “ท่านฟังคำเขาจึงเย็นชาต่อข้ายิ่งนัก…”
จากนั้นก็สูดหายใจนิดๆ แล้วพูดต่อ “การที่ท่านกับเล่อจื่อซิ่งร่วมมือกันเล่นละครถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ตัวท่านปากก็บอกว่าชอบข้า ทว่ากลับจงใจทำให้ข้าขายหน้าต่อหน้าสาธารณะชนถึงเพียงนั้น เธอทราบอยู่ชัดเจนว่าพลังวิญญาณของข้าไม่เข้าขั้น สำหรับตัวข้าในยามนี้ภาคปฏิบัติของวิชาเหินหาวเดิมทีก็เป็นจุดอ่อนอยู่แล้ว…ตี้ฝูอี หากว่าชมชอบคนผู้หนึ่งจริงๆ ควรจะปรารถนาดีต่อนาง เห็นนางมีเกียรติจะยินดียิ่งกว่าตนมีเกียรติ มิใช่คิดหาวิธีให้นางขายหน้าต่อหน้าสารธารณะชน ทำให้นางกลายเป็นที่น่าขบขันของทั้งชั้นเรียน…”
————————————————————————————-
บทที่ 883 ใครใช้ให้เจ้าโดดเรียนวิชาข้ากันล่ะ?
กล่าวมาถึงตรงนี้เบ้าตาเธอก็แดงระเรื่อ ถึงแม้การแสดงออกของเธอในยามนั้นจะน่าทึ่ง แต่ตอนนั้นความจริงแล้วเธอฝืนทำเป็นสงบเยือกเย็น บังคับตัวเองให้หยิ่งทะนง ร่วงลงมาก็ต้องกัดฟันกล้ำกลืนน้ำตาไว้ สงบนิ่งจนผู้อื่นดูไม่ออกว่าตนผิดหวังและเสียใจ…
สุดท้ายก็ยังคงได้รับความอยุติธรรม เพียงแต่เมื่อก่อนแค่ฝืนทำเป็นว่าตนไม่ได้รับความอยุติธรรมเลยก็เท่านั้น…
“ขอโทษด้วย ข้า…” ตี้ฝูอีกุมมือเธอ
กู้ซีจิ่วชักมือตนกลับทันที มุมปากเธอโค้งขึ้นนิดๆ หมายจะยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจออกมา แต่ไม่สำเร็จ ขอบตากลับแดงก่ำ
เธอไม่ได้พูดอะไร บาดแผลบางอย่างไม่ใช่แค่ขอโทษลอยๆ ประโยคเดียวก็สามารถกลบเกลื่อนได้…
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “ซีจิ่ว ข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าวันนั้นเจ้าจะขึ้นมาไม่ได้…”
“ท่านคาดไม่ถึง?” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเชือดเฉือนเล็กน้อย “โกหก! ท่านจะคาดไม่ถึงได้อย่างไร?! ท่านรู้สภาพระดับพลังวิญญาณของข้าชัดๆ ทราบชัดเจนว่าวิชาเหินหาวนี้ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลางขึ้นไปถึงจะฝึกฝนได้…”
“ไม่ใช่ วิชาเหินหาวนี้สำหรับศิษย์ที่มีพลังวิญญาณทั่วไป จำเป็นต้องบรรลุขั้นหหกตอนกลางขึ้นไป แต่เจ้าคือผู้ฝึกฝนธาตุลม ผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุนี้บรรลุขั้นหกก็สามารถฝึกฝนได้แล้ว…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง แล้วทำไมวันนั้นเธอพยายามแทบตายก็เหาะไม่ขึ้นล่ะ?
“ซีจิ่ว วันนั้นหากว่าเจ้าไม่ได้อดนอนทั้งคืน ถ้าหากเจ้าไม่กล่อมประสาทตัวเองว่าไม่บรรลุพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลางก็ขึ้นไปไม่ได้ เจ้าคงขึ้นไปได้แล้ว ตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ เจ้าสมควรเหาะขึ้นมาได้ภายในครั้งที่สอง เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าตอนนั้นเจ้าไม่ได้พักผ่อนมาหนึ่งวันหน่งคืนแล้ว ปราณหยางในร่างไม่เพียงพอ เลือดลมติดขัด ประกอบกับเจ้าโดดเรียนวิชาของข้าไปหนึ่งคาบ เนื้อหาทั้งหมดที่บรรยายในคาบนั้นเป็นเนื้อหาภาคปฏิบัติพอดี ขอเพียงอ่านบันทึกของศิษย์ชั้นหัวกะทิย่อมไม่มีทางพลาด”
ตี้ฝูอีกล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าคาดการณ์ไว้เพียงว่าเจ้าจะไม่ได้ที่หนึ่ง คะแนนล้าหลัง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะขึ้นมาไม่ได้ ครั้งนั้นเจ้าอยู่เหนือความคาดหมายของข้า”
กู้ซีจิ่วสีหน้าทะมึน ดูเหมือนเรื่องราวของเธออยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเสมอ เพียงแต่หนนี้เป็น ‘โง่เกินความคาดหมายของเขา’
เพียงแต่เมื่อตี้ฝูอีอธิบายออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ความอยุติธรรมคับข้องนั้นจางลงเล็กน้อย
เธอเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้เรื่องที่ท่านพูดเป็นความจริง เช่นนั้นคะแนนข้าล้าหลังแล้วมีผลดีอันใดต่อท่านเล่า?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วพูด “ใครใช้ให้เจ้าโดดเรียนวิชาข้ากันล่ะ? ต้องให้บทเรียนเจ้าซะบ้าง นไม่ให้เจ้าโดดเรียนจนติดเป็นนิสัย…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน อาจารย์จอมจู้จี้!
เธอเชิดหน้าจิบสุราอีกหนึ่งอึก สุรานั้นถึงแม้จะหอมสดชื่นแต่ก็ค่อนข้างเผ็ดร้อน เธอรู้สึกว่าลำคอร้อนผ่าวอยู่บ้าง จึงหยิบน่องนกตรงหน้าขึ้นมาแทะสองคำ
ตี้ฝูอีหยิบน้ำเต้าสุราไปจากมือเธอ “ที่ข้าจัดคาบเรียนภาคปฏิบัติขึ้นมีจุดประสงค์อยู่อีกอย่าง เจ้าอยากฟังไหม?”
กู้ซีจิ่วช้อนตามมองเขา “จุดประสงค์ใด?”
ตี้ฝูอีดื่มสุราอย่างไม่อนาทรร้อนใจอึกหนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมาเช็ดมือและปากที่มันย่องของเธอ ความสนใจของเธอล้อนอยู่ที่ ‘จุดประสงค์’ ของเขา จึงไม่ได้ใส่ใจการกระทำเหล่านี้ของเขา
ตี้ฝูอีกล่าวว่า “ข้าวางแผนไว้ว่าถ้าคะแนนของเจ้าล้าหลัง ด้วยนิสัยของเจ้าแล้วเจ้าต้องไม่พอใจอย่างยิ่ง จะมุมานะฝึกฝนยิ่งกว่าเดิม ไม่โดดเรียนวิชาข้าอีก แถมข้ายังสามารถใช้โอกาสนี้ไปหาเจ้าเพื่อสอนเสริมให้เจ้าได้อีกด้วย…”
ยามนั้นตี้ฝูอีวางแผนไว้ดีมาก เขาถึงขั้นคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะไปที่เรือนกู้ซีจิ่วอย่างเปิดเผยคิดบทพูดปิดช่องนาง ทำให้นางปฏิเสธคาบเรียนเสริมของเขาไม่ได้ แบบนั้นทั้งสองคนก็จะมีโอกาสใกล้ชิดกันแน่นอน…
————————————————————————————-
บทที่ 884 หนีจากเงื้อมมือเขาไม่พ้น
ไหนเลยจะทราบว่าแผนการที่วางจะพลิกผัน สาวน้อยผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้จริงๆ อับอายขายหน้าไปถึงไหนต่อไหน เป็นชนวนให้ชิงชังเขา แถมยังคิดจะย้ายห้องเพื่อหลีกหนีเขาโดยสมบูรณ์…
กู้ซีจิ่วก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เมื่อฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเขาก็เข้าใจแผนการของเขา รู้สึกหมดคำจะพูดอยู่บ้าง และรู้สึกซาบซึ้งนิดๆ
เจ้าคนผู้นี้ดูเหมือนจะวางแผนไว้รอบด้านเลย ทุ่มเทมากเช่นกัน
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ต่อให้ไล่ตามคนผู้หนึ่งก็ยังไล่ตามได้พิสดารแยบคายถึงเพียงนี้ ทำให้คนชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ นี่ทำให้กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าควรจะวิจารณ์พฤติกรรมเหล่านี้ของเขาอย่างไรดี
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง กระแอมแล้วเอ่ยว่า “ต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องโดดเรียนวิชาของท่านแล้ว พอข้าย้ายห้องไปก็ไม่ต้องเข้าเรียนคาบท่านอีกแล้ว…”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เจ้าไม่มาเรียน ข้าไปสอนเสริมให้เจ้าทุกวันก็ได้ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน คือผู้สอนสั่งไปชั่วชีวิต ในเมื่อเจ้าเรียนวิชาของข้าแล้ว จะอย่างไรก็ต้องให้เจ้าเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนจบถึงจะดี”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี จึงเชิดหน้ากล่าว “หากว่าข้าไม่อยากให้ท่านเสริมให้เล่า? วิชานี้อาจไม่เหมาะกับข้า…”
มันเหมาะกับเจ้า!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “เจ้าเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุลม เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญวิชาเหินหาวอย่างแท้จริง อานุภาพกระบวนท่าธาตุลมของเจ้าจะยกระดับขึ้นเป็นเท่าตัว! ความเร็วของเจ้าก็จะว่องไวกว่าตอนนี้อีกเท่าตัว!”
กู้ซีจิ่วพลันใจเต้นแรง เอ่ยโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านเปิดสอนวิชาเหินหาวนี้เพื่อข้าโดยเฉพาะหรือ…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง นี่เธอหลงตัวเองเกินไปหรือเปล่า?
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ! วิชานี้เปิดขึ้นก็เพื่อเจ้า ศิษย์คนอื่นๆ ก็แค่พึ่งใบบุญของเจ้าเท่านั้น”
เคล็ดวิชานี้เขามุ่งหมายนำมาสอนเพื่อสุขภาพของนางโดยเฉพาะ เพื่อให้วรยุทธ์ของนางพัฒนาขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ
ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นแข็งแกร่งนัก เขาหวังให้นางมีกำลังพอปกป้องตนเอง หากว่าเขาไม่อยู่ข้างกายนาง นางจะได้ไม่ถึงกับถูกผู้อื่นข่มเหงได้ทันที
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้ ความอึดอัดคับ้องในใจเหล่านั้นเจือจางไปเล็กน้อยอีกครั้ง กลับมีความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นมาในหัวใจ
เธอนั่งครุ่นคิดเรื่องราวอยู่ตรงนั้นเงียบๆ นำสิ่งที่ประสบในหลายวันนี้มาวิเคราะห์แยกแยะอีกรอบหนึ่ง เมื่อนำมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน กพบว่าสิ่งที่ตี้ฝูอีพูดน่าจะเป็นความจริง
อันที่จริงตัวเธอเกลี้ยกล่อมง่ายมาก พอขบคิดเข้าใจแล้วก็ไม่ดื้อแพ่งอันใดอีกต่อไป เพียงแต่ถึงอย่างไรก็ได้รับความอยุติธรรมนานถึงเพียงนั้น เพลิงลุกไหม้มาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงแม้จะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังปลงไม่ลงอยู่บ้าง จงใจเอ่ยขึ้นว่า “แต่ข้าย้ายห้องแล้ว อาจารย์ใหญ่กู่ก็รับปากข้าแล้ว ข้าไม่เข้าเรียนวิชาท่านกลับเป็นท่านมาสอนเสริมให้ข้า ศิษย์คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร…”
ตี้ฝูอีพลันเลิกคิ้ว “ความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวอะไรกับข้า?” แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยใส่ใจสายตาของผู้อื่น
เพียงแต่เขาสามารถไม่คิดหยุมหยิมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ากู้ซีจิ่วจะไม่คิด ดังนั้นเขาจึงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ง่ายดายยิ่ง อย่างมากข้าก็แค่เพิ่มคาบเรียให้ห้องสองด้วย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
ตี้ฝูอีแย้มยิ้มมองนาง แววตาแน่วแน่ยิ่งนัก “เสี่ยวซีจิ่ว วิชาของข้ามิใช่เจ้าคิดจะโดดก็สามารถโดดได้ ต่อให้เจ้าหนีไปสุดขอบฟ้า ข้าก็ยังหาทางไปจับเจ้ากลับมาเรียนต่อให้ได้ แค่เสียเวลาเล็กน้อยเท่านั้น” วิชาเหินหาวนี้เป็นวิชาที่เขานำมาสอนนางโดยเฉพาะ นางจะไม่เรียนได้อย่างไร? เช่นนั้นที่เขาพินิจพิเคราะห์อดหลับอดนอนหลายวันอยู่หลายวันมิเสียเปล่าหรอกหรือ?
เส้นเลือดตรงขมับกู้ซีจิ่วเต้นตุบๆ ทราบว่าเขาพูดจริงทำจริง
เธอกระแอมไอคราหนึ่ง “ท่านบอกว่าข้าแค่ลุ่มหลงยึดติดหลงซือเย่เท่านั้น ท่านก็ดูเหมือนจะลุ่มหลงยึดติดข้าเช่นกัน…”
————————————————————————————-
บทที่ 885 เจ้าต้องกอดข้าแน่นๆ นะ
เธอกระแอมไอคราหนึ่ง “ท่านบอกว่าข้าแค่ลุ่มหลงยึดติดหลงซือเย่เท่านั้น ท่านก็ดูเหมือนจะลุ่มหลงยึดติดข้าเช่นกัน…” แถมยังยึดติดจนน่ากลัวด้วย
“สำหรับเจ้าแล้วข้ามิใช่แค่ลุ่มหลงยึดติดหรอกนะ…”
….
คนทั้งสองสนทนาพาทีกันอยู่ที่นี่ ด้านนอกสายฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด
กู้ซีจิ่วมองออกไปด้านนอก เธอค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง
เมื่อก่อนจะมีพายุที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทุกคืน ทว่านับตั้งแต่พวกตี้ฝูอีมาถึง พายุฝนก็ราวกับหลีกลี้หนีไป ทำให้เธอเกือบลืมสภาพอากาศเช่นนี้ไปแล้ว
ยามนี้ฝนฟ้าคะนองที่เห็นด้านนอก เป็นสภาพอากาศของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หวนกลับมาเป็นปกติแล้ว หรือเป็นเพราะพวกเขาย่างหงส์ครามกิน จึงดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มา?
ต้องเป็นสาเหตุข้อสุดท้ายแน่นอน!
ความคิดเธอเพิ่งแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งตรงมากจากนอกถ้ำ เกิดแสงเจิดจ้าบาดตา!
เธอสะดุ้งโหยง รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าสายฟ้านี้จะมาผ่าตัวคนร้ายอย่างตี้ฝูอี ด้วยเหตุนี้เธอจึงพุ่งไปหาเขาอย่างสุดชีวิต กอดเขาไว้คิดจะใช้วิชาเคลื่อนย้าย…
แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเธอไว้ ปกป้องเธอไว้ในอ้อมแขน ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อไปทางด้านนอกคราหนึ่ง ลำแสงเสีรุ้งสายหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อเขา ตรงเข้าห่อหุ้มก้อนสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาเส้นนั้น แล้วลอยออกไปเสียงดังฟิ้ว
‘ตูม!’ ด้านนอกเกิดเสียงดังสนั่น ราวกับหน้าผาถล่ม!
เสียงนั้นดังกึกก้องกัมปนาท ตามมาด้วยสายฟ้าแลบ เสียงเคลื่อนไหวนั้นน่าตื่นตระหนกยิ่งนัก! ผืนดินใต้ฝ่าเท้าล้วนสั่นสะเทือน
อันที่จริงกู้ซีจิ่วกลัวฟ้าผ่ามาตั้งแต่เด็กแล้ว โดยเฉพาะเสียงฟ้า เพียงแต่หลังจากเป็นนักฆ่าก็ฝึกฝนตัวเอง เอาชนะปัญหานี้ของตนได้
แน่นอนว่าการเอาชนะนี้เป็นแค่การแสดงออกภายนอกเท่านั้น ลึกๆ ในใจเธอยังค่อนข้างหวาดกลัวอยู่ ทุกครั้งที่ฝนตกฟ้าร้องเธอจะพยายามไม่ออกไปข้างนอก…
ครั้งนี้ถูกฟ้าผ่านี้ขู่ขวัญ จึงหดอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างอดไว้ไม่อยู่
แน่นอน ระดับการหดตัวของเธอเล็กน้อยยิ่งนัก ถ้าไม่จับสัมผัสอย่างละเอียดก็จะสัมผัสไม่ได้
ทว่าตี้ฝูอีกลับสัมผัสได้ เขากอดเธอแน่นยิ่งขึ้น “อย่ากลัวเลย มีข้าอยู่นะ”
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องน้ำเสียงเขากระจ่างชัดเป็นพิเศษ ทำให้หัวใจที่สั่นสะท้านไปทั้งดวงของเธอสงบลง
ตอนที่ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อม้วนสายฟ้าเมื่อครู่ ใบหน้าน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วฝังอยู่ที่แผ่นอกเขา จึงมองไม่เห็นลำแสงสีรุ้งที่เขาส่งออกไป ยามที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นวงแขนเธอก็กอดเอวเขาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีหลุบตามองนางที่อยู่ในอ้อมแขน อดไม่ได้ที่จะนึกขัน “เจ้ากลัวฟ้าผ่าจริงๆ หรือนี่?”
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ลืมตัวไปชั่วขณะเหมือนกัน บัดนี้หลังจากตั้งสติได้ถึงรู้สึกว่าตนกอดเอวเขาไว้ค่อนข้างไม่งาม เธอจึงคลายสองแขนออก ความโอหังหวนกลับมา “ข้าไม่ได้กลัว!” เพิ่งพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงฟ้าผ่าอีกครั้ง!
ด้วยเหตุนี้เธอเลยตัวแข็งทื่ออีกหน ซุกเข้าหาอ้อมอกเขาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง
ท่อนแขนตี้ฝูอีโอบกระชับทันที โอบรัดเธอไว้ในอ้อมกอด กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อืม เจ้าไม่กลัวหรอก เป็นข้าที่กลัว เจ้าต้องกอดข้าแน่นๆ นะ”
กลิ่นหอมเย็นๆ ที่คุ้นเคยอบอวลอยู่ปลายจมูก อ้อมกอดที่คุ้นเคยโอบเธอไว้แน่น
เธอถึงขั้นได้ยินเสียงจังหวะหัวใจที่แข็งแรงทรงพลังอันคุ้นเคยจากทรวงอกเขา จังหวะหัวใจเขาเต้นช้ากว่าคนทั่วไป ประมาณห้าสิบกว่าครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนทรงพลังยิ่ง เต้นเป็นจังหวะอยู่ข้างหูเธอ ราวกับสามารถแววไปถึงหัวใจเธอได้ ทำให้เธอเต้นถี่รัวอยู่บ้าง…
เธอรู้ว่าตัวเองค่อนข้างอาวรณ์อ้อมกอดนี้ แต่ว่า…
คำพูดของเขาจะเชื่อได้ทั้งหมดหรือ? ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงคำพูดของเขาฝ่ายเดียว…
เธอสูดหายใจเข้านิดๆ เงยหน้าขึ้น คิดจะดิ้นให้หลุยจากตัวแล้วค่อยคุย ยามที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเธอรู้สึกว่าสมองเธอไม่ค่อยแล่นเท่าไหร่
แต่พอเธอเงยหน้าขึ้น เขาก็ก้มหน้าลงมาพอดี ริมฝีปากเธอจึงเฉียดผ่านปลายคางเขา ปัดผ่านริมฝีปากเขา…
————————————————————————————-
บทที่ 886 เขาไม่อยากหยุด…
หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะทันที หมายจะรีบหลบ ดวงตาเขาฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง ริมฝีปากทาบับลงมาทันที
สมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังตูม เรียวปากถูเขายึดไว้แล้ว โปรงปากถูกเขาใช้ปลายลิ้นง้างเปิดอย่างง่ายดาย ลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามา กวาดต้อนอยู่ในปากเธออย่างกำเริบเสิบสาน
จูบของเขาก็เป็นเช่นเดียวกับตัวเขา ดูเหมือนจะสงบเยือกเย็น ทว่าดุดันทรงพลังยิ่ง เสมือนคลื่นที่ซัดสาดอยู่ในมหาสมุทร สามารถฉุดผู้คนให้จมลึกลงไปได้
จูบของเขาราวกับดอกฝิ่น ทำให้ที่สมองที่กระจ่างแจ้งแจ่มชัดอยู่เสมอของเธอเหลวเป็นแป้งเปียกได้ภายในชั่วพริบตา หัวใจเต้นกระหน่ำดั่งมิใช่ของตน
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีก็สะกดกลั้นไว้นานยิ่งนักแล้วเช่นกัน หลายวันมานี้จงใจหมางเมินเย็นชากับนาง ทว่ากลับสนใจนางอยู่ตลอดเวลา ฝืนควบคุมตัวเองไม่ให้เข้าใกล้นาง เห็นนางอยู่กับหลงซือเย่เขาก็ฝืนข่มกลั้นไว้ไม่จับตัวหลงซือเย่ไปโยนทิ้งนอกอวกาศ!
เขาหยิ่งทะนงมาโดยตลอด เขาเห็นหลงซือเย่ขวางหูขวางตา แต่ก็ไม่คิดจะใช้อำนาจของเทพศักดิ์สิทธิ์กัดกันหลงซือเย่ออกไปโดยตรง เขาอยากพึ่งพาความสามารถของตนแข่งขันกับหลงซือย่อย่างยุติธรรม ไม่อยากใช้อุบายช่วช้าเพื่อครอบรองกู้ซีจิ่ว…
ยามนี้ในที่สุดก็ได้โอบกอดนางอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมแขน เขาอยากจูบนางมานานแล้ว เพียงไม่อยากทำให้นางโมโหจึงห้ามตัวเองมาตลอด
ยามนี้นางนำปากน้อยๆ ของตนมาส่งให้ถึงปากแล้ว เขาย่อมไม่เกรงอีกต่อไป สิ่งเหนี่ยวรั้งที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะขาดสะบั้นทันที ป้อนจูบให้นางอย่างดูดดื่ม!
นางคือสิ่งเสพติดของเขา จุมพิตนางเพียงหนเดียวก็ติดใจอยากลิ้มรสอีก ทำให้จูบแล้วยังคงอยากจูบอีก…
แต่จุมพิตนี้กินเวลาไม่นานนัก เนื่องจากกู้ซีจิ่วดึงสติกลับมาได้ทันกาล พลันเบี่ยงศีรษะ หลบหลีกเขาในระหว่างที่หอบหายใจ จากนั้นก็ยื่นมือดันปากเขา “หยุด!”
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง เขาไม่อยากหยุด…
ร่างกายของกู้ซีจิ่วดิ้นรนออกจากอ้อมแขนเขา แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที เคลื่อนย้ายไปโผล่ใกล้ๆ ปากถ้ำ ด้านนอกสายฝนยังคงตกหนัก โปรายปรายไปทั่ว
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะฝ่าฝนหลบหนีออกไป แน่นอนว่าการหลบหนีออกไปในเวลาแบบนี้ก็ไม่ใช่นิสัยของเธอด้วย
เธอแค่ถูกตี้ฝูอีจูบจนรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง อยากสงบใจสักหน่อย และตรงนี้ก็มีสายลมพัดโชยเข้ามาทำให้เธอมีสติยิ่งขึ้น
สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือ เธอเพิ่งจะยืนอยู่ที่ปากถ้ำ สายฟ้าเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านนอกก็พุ่งตรงเข้ามาทันที…
“ระวัง!” ความเร็วของตี้ฝูอีว่องไวยิ่งกว่าเธอความเร็วในการเคลื่อนย้ายของเธอ กอดเธอไว้แล้วเคลื่อนกายวูบ!
หนนี้ลูกสายฟ้านั้นดั่งมีดวงตาก็มิปาน ไล่ตามมาทันที!
นัยน์ตาตี้ฝูอีทอประกายเฉียบคมแวบหนึ่ง แขนเสื้อพลันม้วนสะบัด ลำแสงสีรุ้งหมุนติ้วปานพายุหมุน ห่อหุ้มลูกสายฟ้านั้นอีกครั้ง ลอยออกไปนอกถ้ำ…
ครั้งนีกู้ซีจิ่วมองเห็นชัดเจน เบิกตากว้างอย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน…
หนนี้ลูกสายฟ้านั้นไม่ได้ระเบิดใส่หน้าผาอันใด แต่หมุนติ้วๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า เข้าสู่ชั้นเมฆา จากนั้นก็ระเบิดตูมกลางหมู่เมฆ! สายฟ้าที่ระเบิดออกมานั้นแทบจะฉีกกระชากทั้งผืนฟ้า ทำให้มวลเมฆหนาทึบที่รวมตัวกันอยู่ราวกับถูกมือยักษ์ที่ล่องหนคู่หนึ่งกระชากออกจากกัน ฉีกจนกระจาย..
ฝนซาฟ้าใส สายฝนหยุดโปรยปราย ดวงดาวบนนภาที่ถูกเมฆาครึ้มบดบังปรากฏออกมาอีกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้เห็นวิชายุทธ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ ราวกับทวยเทพที่สามารถพลิกฟ้าดินได้ในชั่วพริบตา ทำให้เธอเหม่อมองด้านนอกพูดอะไรไปชั่วขณะ
“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?” มือของตี้ฝูอีโบกอยู่เบื้องหน้าเธอ ถามไถ่เธออย่างค่อนขางเป็นกังวล
ในที่สุดสายตาของกู้ซีจิ่วก็หันเหมา จับจ้องอยู่ที่ร่างเขา “ไม่นึกเลยว่า…ท่านจะมีความสามารถถึงเพียงนี้…” นี่ราวกับมิใช่กำลังของมนุษย์แล้ว
หัวใจตี้ฝูอีดิ่งวาบ เมื่อครู่เขาใช้วิชายุทธ์ที่เป็นความสามารถของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยความเดือดดาล
————————————————————————————-
บทที่ 887 เขาคงไล่ล่าเพียงชนิดเดียวกระมัง?
หัวใจตี้ฝูอีดิ่งวาบ เมื่อครู่เขาใช้วิชายุทธ์ที่เป็นความสามารถของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยความเดือดดาล เพียงแต่วิชายุทธ์นี้ของเขาไม่เคยใช้ต่อหน้าผู้ใดมาก่อน สาวน้อยผู้นี้น่าจะมองไม่ออกกระมัง?
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดเขา มองไปด้านนอกอย่างหวาดผวาอยู่ “ทำไมสายฟ้าน้ถึงผ่าข้าล่ะ?”
ตี้ฝูอีคาดเดา “คงเป็นเพราะเจ้ากินหงส์ครามกระมัง?”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน “แต่เห็นกันอยู่ชัดๆว่าท่านเป็นคนย่าง มันควรจะผ่าผู้ที่ริเริ่มมิใช่หรือ?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “มันคงกริ่งเกรงผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ ถึงแม้ข้าจะเป็นผู้ริเริ่ม แต่ผู้ที่กินเนื้อหงส์ครามเข้าไปจริงๆ คือเจ้า หากสวรรค์จะลงทัณฑ์ ข้าคือผู้ต้องหาส่วนเจ้าก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด…”
มุมปากกู้ซีจิ่วกระตุก “ข้ากินปีกแค่คู่เดียวนะ แถมยังกินเข้าอย่างรู่เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย เช่นนี้สวรรค์ไม่อยุติธรรมเกินไปหน่อยหรือ? มีคำกล่าวไว้ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…”
“เจ้ายังกินน่องอีกคู่หนึ่งด้วย” ตี้ฝูอีเตือนนาง
“ข้ากินที่ไหนกัน…” วาจาโต้แย้งของกู้ซีจิ่วหยุดลงเมื่อเห็นกระดูกน่องนกคู่หนึ่งบนแท่นศิลา
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เธอจะฟังตี้ฝูอีพูดจนใจลอย จากนั้นก็หยิบน่องนกคู่นั้นมากิน…
“ที่แท้ถ้ากินปีกกับน่องของหงส์ครามจะต้องโดนฟ้าผ่า…”
เธอกลัวฟ้าผ่าเป็นที่สุด หรือต่อไปเธอต้องตื่นตระหนกว่าจะโดนฟ้าผ่าอยู่ตลอด?
“วางใจเถอะ ผ่าแค่ตอนนี้เท่านั้น ต่อไปไม่ผ่าแล้ว” ตี้ฝูอีปลอบโยนเธอ
กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างเคลือบแคลง “ท่านรู้มากเหลือกินนะ ดูเหมือนจะท่านจะรู้อยู่แล้วว่าจับสิ่งนี้กินจะต้องถูกฟ้าผ่า…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ซาบซึ้งหรือไม่? ข้ายอมเสี่ยงถูกฟ้าผ่าไปจับนกตัวนั้นเพื่อให้เจ้าได้กินอย่างเปรมปรีดิ์…”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง “แค่กินอย่างเปรมปรีด์หรือ?”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเนื้อมันอร่อยมาก? เลิศรสอย่างหาสิ่งใดเทียมมิได้ใช่ไหมล่ะ?”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขา “เช่นนั้นท่านบอกข้ามาตามตรง ท่านถูกฟ้าผ่าเพราะเรื่องนี้หลายครั้งแล้วสินะ?”
ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงก็ไม่เท่าไหร่นะ ไม่เกินยี่สิบครั้ง…”
“…ล้วนเป็นการจับหงส์ครามหรือ?” เขาคงไล่ล่าเพียงชนิดเดียวกระมัง?
ตี้ฝูอีกล่าวหน้าตายว่า “ข้าไหนเลยจะกินเพียงอย่างเดียว? อันที่จริงข้าคิดจะลิ้มรสสัตว์วิเศษสารพัดชนิด ปกติถ้าเคยกินไปครั้งหนึ่งแล้วก็จะไม่กินซ้ำอีก เว้นแต่ว่าเลิศรสเป็นพิเศษ ถึงจะมีวาสนาถูกข้าจับเป็นครั้งที่สอง…”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าสามมุมมองพังทลายลงแล้ว!
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกฟ้าผ่า พฤติกรรเช่นนี้ช่างทำให้สวรรค์แค้นคนเคืองโดยแท้!
“เช่นนั้นตอนที่ฟ้าผ่าท่านใช้วิชายุทธ์อันใดตอบโต้กลับไป?”
กระบวนท่าที่เขาห่อหุ้มสายฟ้าไว้เมื่อครู่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก เธอมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
ตี้ฝูอีกระแอมคราหนึ่งเอ่ยตอบว่า “ปกติแล้วข้าไม่ยุ่งกับมันเท่าไหร่”
วิชายุทธ์เมื่อครู่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณเกินไป หากมิใช่เห็นว่าเกือบผ่าใส่กู้ซีจิ่วแล้ว เขาก็คงไม่เดือดดาลจนใช้วิชานั้นออกมา
ในสถานการณ์ปกติทั่วไป เขาล้วนหลบหนีไปเรื่อยๆ ให้ผ่านพ้นไป และถือเป็นการไว้หน้าสวรรค์ด้วย
ผ่าใส่เขาน่ะไม่เป็นไร แต่จะผ่าใส่นางไม่ได้!
นางยังเป็นเพียงต้นกล้าน้อยๆ ที่บอบบาง ไม่อาจต้านรับความสนิทสนมเช่นนี้จากสวรรค์ได้…
ปัจจุบันพลังยุทธ์ของเขาฟื้นฟูกลับมาสองในสามแล้ว หลังจากใช้วิชานั้นออกไป เขารู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลงเล็กน้อย
ดูเหมือนซีจิ่วจะยังติดใจวิชาเมื่อครู่ของเขาอยู่ “วิชานั้นของท่านประกายแสงเป็นสีรุ้ง ข้าจำได้ว่าเวทวิชาที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้ก็เป็นสีรุ้งเช่นกัน…”
ตี้ฝูอีใจเต้นแรงแวบหนึ่ง มองดูนาง
กู้ซีจิ่วหันมามองเขา “วิชานั้นของท่าน…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ถ่ายทอดให้ท่านใช่หรือไม่?”
————————————————————————————-
บทที่ 888 เป็นฝ่ายจูบข้าก่อนดีหรือไม่?
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “วิชานั้นเป็นวิชายุทธ์ของเขาจริงๆ นั่นแหละ เรียนรู้ได้ยากนัก…รอจนระดับพลังวิญญาณของเจ้าพียงพอ ข้าจะสอนให้เจ้า”
ดวงตากู้ซีจิ่งเปล่งประกาย “ต้องมีพลังวิญญาณเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ กล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “อย่างน้อยพลังวิญญาณต้องบรรลุขั้นสิบ ดังนั้นเจ้าต้องขยันเข้าล่ะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก ทันใดนั้นกู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าในกระเพาะร้อนผ่าว เลือดลมพลุ่งพล่านเล็กน้อย
เธอค่อนข้างประหลาดใจ ทว่าตี้ฝูอีกลับดูคล้ายเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว จูงมือเธอให้เธอนั่งลงดีๆ บนเบาะกลมอันหนึ่ง “ยามนี้สมควรฝึกฝนพลังยุทธ์โคจรพลังกลั่นเนื้อหงส์ครามนั้นได้แล้ว เจ้าทำตามที่ข้าบอกนะ”
ถึงแม้ในใจกู้ซีจิ่วยังคงมีข้อสงสัยอยู่ แต่ก็สายเกินไปที่จะถามแล้ว ต้องทำใจให้สงบตั้งใจฝึกฝนพลังยุทธ์ตามที่เขาบอก
การฝึกนี้กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ยามที่กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสได้เพียงว่ากระดูกเบาโหวงขึ้นหลายจิน เลือดลมทั่วร่างราบรื่นเป็นพิเศษ พลังวิญญาณไหลเวียนอยู่รอบกาย สบายอย่างยิ่ง
เธอพริ้มตาลงสัมผัสพลังวิญญาณในร่างตน เบิกตากว้างทันที “พลังวิญญาณของข้าบรรลุขั้นหกกับอีกเจ็ดแปดส่วนแล้ว!”
ตี้ฝูอีทาบนิ้วลงบนข้อมือเธอเบาๆ ตรวจสอบเล็กน้อย ยิ้มนิดๆ แล้วกล่าวว่า “เป็นขั้นหกกับอีกเก้าส่วน!”
ดวงตากู้ซีจิ่วพราวระยับทันที!
ไม่ต้องถามเลย นี่คืออานุภาพของหงส์ครามตัวนั้น นึกไม่นึกว่าเนื้อนกชนิดนี้จะยกระดับพลังวิญญาณได้มากขนาดนี้!
เธออดไม่ได้ที่จะมองดูตี้ฝูอี ในใจรู้สึกซาบซึ้งนัก ดูเหมือนเมื่อก่อนเธอจะเข้าใจเขาผิดไปจริงๆ เขาคิดเพื่อเธอจริงๆ…
“ขอบคุณท่านมาก” กู้ซีจิ่วกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ
ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม “ข้าไม่รับคำขอบคุณด้วยวาจา…มีสิ่งที่มีประโยชน์กว่านี้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน “ท่านต้องการผลประโยชน์อันใด?”
ตี้ฝูอีจึงเอ่ยว่า “เป็นฝ่ายจูบข้าก่อนดีหรือไม่?”
เขานึกว่ากู้ซีจิ่วะตอบกลับมาตรงๆ ว่า ‘ท่านฝันหวานไปแล้ว’ กลับนึกไม่ถึงว่านางจะพุ่งเข้าใส่โดยไม่พูดไม่จา ริมฝีปากแตะหน้าผากเขาเบาๆ เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง นางก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายออกไปจากถ้ำอย่างสง่างามแล้ว…
จุมพิตนั้นแผ่วเบาปานแมลงปอแตะผิวน้ำ แต่หัวใจตี้ฝูอีกลับแปรปรวนดั่งกระแสธารา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดเขาก่อน ถึงแม้จูบนี้จะขี้โกงยิ่งนัก แต่ก็เพียงพอให้เขาปรีดาแล้ว
ทันใดนั้นกู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านนอกก็หวีดร้องออกมาเบาๆ ตี้ฝูอีรีบออกจากถ้ำ ไปปรากฏข้างกายนางทันที “เป็นอะไร?”
กู้ซีจิ่วมองไปที่ฝั่งตรงข้าม “หน้าผา…หน้าผาหายไปแล้ว”
ฝั่งตรงข้ามเดิมทีเป็นหน้าผาที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายใช้ฝึกฝน แต่ยามนี้พังถล่มอย่างสมบูรณ์แล้ว มองรูปร่างในอดีตไม่ออกอีกต่อไป
อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ที่สำสำคัญคือ เขาลงโทษเธอให้ใช้วิชาเหินหาวขึ้นลงหน้าผานั้นสิบรอบ แต่ตอนนี้หน้าผาหายไปแล้ว…
เช่นนั้นบทลงโทษนี้จไม่นับแล้วหรือเปล่า?
ตี้ฝูอีเสมือนเป็นพยาธิในท้องเธอเอ่ยขึ้นว่า “บทลงโทษของข้าไม่เคยมีการลดหย่อนผ่อนผัน หน้าผานี้ไม่มีแล้วก็ไม่เป็นไร พวกเราไปที่อื่นกัน”
พลันยกมือโอบเอวเธอแล้วเหินขึ้นสู่ท้องนภาทันที…
….
กู้ซีจิ่วมองหน้าผาเบื้องหน้าที่สูงกว่าหน้าผาเดิมเกือบเท่าตัวรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา “เฮ้ ที่นี่สูงเกินไปกระมัง?!”
หน้าผานั้นเธอยังเหาะไม่ขึ้นเลย ตอนนี้จให้เธอเหาะขึ้นที่นี่หรือ?
ตี้ฝูอีตบไหล่เธอเบาๆ “เด็กน้อย เจ้าทำได้ ข้าจะไปรอเจ้าข้างบนนะ” เขาเหาะขึ้นไปแล้วหายลับไปทันที
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ตอนนี้พลังวิญญาณเธอก้าวหน้าขึ้นเกือบบรรลุอีกขั้นแล้ว อาจจะทำได้จริงๆ ล่ะมั้ง?
ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว ตี้ฝูอีผู้นี้สายตาแหลมคมยิ่งนัก หน้าผานี้ที่เขาเลือกเป็นระดับความสูงที่กู้ซีจิ่วต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเท่านั้นถึงจะสามารถเหาะขึ้นไปได้…
————————————————————————————-
บทที่ 889 เต้นรูดเสา
ขอเพียงเธอปฏิบัติตามวิธีที่เขาสอนอย่างถูกต้อง จากนั้นเมื่อกระตุ้นศักยภาพสูงสุดของพลังวิญญาณออกมา ก็เหาะขึ้นไปได้จริงๆ
ยามที่เธออาศัยพละกำลังของตนจนเหาะขึ้นมาถึงปลายหน้าผาแห่งนี้ได้เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลาย กาศหลังฝนตกบริสุทธิ์สดชื่นปานได้อาบน้ำ ทำให้เธอรู้สึกปรอดโปร่งไปทั่วทั้งปอด
“ดีใจไหม?” ตี้ฝูอียื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นาง “ทำได้ดีมาก!”
เขายังนึกว่าอย่างไรเสียนางคงจะล้มเหลวสักแปดครั้งสิบครั้ง นึกไม่ถึงว่านางล้มเหลวเพียงสองครั้งก็เหาะขึ้นมาได้แล้ว
“ดีใจสิ” กู้ซีจิ่วแทบอยากหมุนตัวเป็นวง
เธอสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ตามสถานการณ์ปกติ ดีใจแค่ไหนก็ไม่เคยฉีกยิ้มกว้างเลย ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะสงบเยือกเย็นเสมอ มีเพียงกลับไปถึงเรือนตนเท่านั้นเธอถึงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้เธอดีใจจนอยากหมุนตัวไปรอบๆ แล้ว
ดูเหมือนตี้ฝูอีจะไม่ได้โกหกเธอเลยสักนิดจริงๆ ขอเพียงเธอปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้อง ก็สามารถเหาะขึ้นหน้าผาแห่งนั้นได้ ไม่ถึงกับต้องอับอายขายหน้า
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เธอโดดเรียน ต้องโทษที่เธออดนอนทั้งคืน…
ตี้ฝูอีมองดวงที่หยีโค้งของนาง ยิ้มออกมาเช่นกัน “ดีใจจนอยากกระโดดโลดเต้นเลยใช่หรือไม่?”
“อื้อ” กู้ซีจิ่วปรารถนาจะกระโดดโลดเต้นจริงๆ
ตี้ฝูอีโบกแขนเสื้อพรึ่บ เสาเหล็กสูงตระหง่านเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ตี้ฝูอีเสนอแนะอย่างจริงจัง “มิสู้ลองเต้นรูดเสาดูสักรอบ?”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
ตี้ฝูอีค่อยๆ ตะล่อม “เจ้าบอกไว้มิใช่หรือว่าเจ้าเต้นรำประเภทนี้ได้ยอดเยี่ยมนัก หนก่อนยังคิดจะใช้ร่างข้าเต้นอยู่เลยนี่? ข้าอยากรู้มาตลอดว่าที่แท้มันเป็นการเต้นอย่างไร ยามนี้มิสู้ลองเต้นดูสักรอบ”
กู้ซีจิ่วไม่อยากเต้น เธอกลัวว่าพอเธอเต้นจบสัญชาตญาณดิบของเขาจะโผล่ออกมา
เธอกระแอมคราหนึ่ง “ยามนี้มืดค่ำแล้ว ไม่เหมาะจะเต้นรำเช่นนั้น ข้ายังต้องเหาะขึ้นหน้าผาอีกเก้ารอบนะ ต้องรักษากำลังไว้ ข้าไปเหาะขึ้นมาอีกรอบก่อนนะ” พลางหันหลังหมายจะกระโจนลงไป
“หากเจ้าเต้นได้ดี ข้าจะลดโทษนั้นให้กึ่งหนึ่ง” ตี้ฝูอียื่นมือยุดเธอไว้
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น “บทลงโทษขอท่านไม่เคยลดหย่อนผ่อนผันมิใช่หรือ?”
“อืม หากเจ้าเต้นรำได้ดี ข้าจะเมตตาให้เป็นกรณีพิเศษ”
ชิ หลอกต้มเธอนี่นา! อย่างไรถึงเรียกว่าเต้นได้ดีเล่า? หากว่าเธอเต้นเสร็จแล้วเขาบอกว่าไม่ดี เธอมิเต้นอย่างเสียเปล่าหรอกหรือ? เธอไม่หลงกลหรอก!
“การเต้นรำประเภทนั้นต้องมีเสื้อผ้าเฉพาะ ซ้ำยังต้องมีดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ได้จริงๆ ด้วย…” กู้ซีจิ่วเริ่มหาเหตุผลมาบ่ายเบี่ยง
ยิ่งเธอพูดเช่นนี้ ตี้ฝูอีก็อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น “เจ้าต้องการเสื้อผ้าแบบไหน? ไม่แน่ที่ข้าอาจจะมีเตรียมไว้ ส่วนดนตรีกระตุ้นอารมณ์อะไรนั่น…ข้าสามารถใช้พิณบรรเลงให้เจ้าได้”
จะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเตรียมสิ่งนี้ไว้?
กู้ซีจิ่วบอกเสื้อผ้าที่ต้องใช้ในการเต้นนั้นออกมาก่อน ต้องเป็นเสื้อแขนกุดตัวเล็กรัดรูปกับกางเกงขาสั้นแนบเนื้อ ถ้ามีกระโปรงหญ้าถักตัวเล็กๆ ด้วยจะดีที่สุด…
ตี้ฝูอีฟังได้ครู่หนึ่ง ก็มองดูเธอสักพักแล้วเอ่ยถาม “เสื้อผ้าเช่นนั้น…ใส่ได้ด้วยหรือ?”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอก็รู้ว่าเขาไม่มี ดังนั้นจึงหลอกล่อเขาว่า “การเต้นรำนี้ต้องสวมเสื้อผ้าเช่นนั้นถึงจะได้ผล มิฉะนั้นจะไม่มีความหมายอะไร ตอนนี้ไม่มีชุดแบบนั้น ดังนั้นยังไม่อาจเต้นไปก่อน…”
พูดยังไม่จบเธอก็ชะงักไป ตี้ฝูอีหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของของเขา เสื้อผ้าชุดนั้นมีความยืดหยุ่นสูงยิ่งนัก เมื่อหยิบออกมาภายใต้แสงจันทร์ดูเปล่งประกายราวกับเกล็ดปลาก็มิปาน
เขาชูสองนิ้วทำท่าตัดฉับๆ มองเธอด้วยสายตาสดใส “อยากตัดเป็นแบบไหน?” จากนั้นก็ยื่นกระดาษกับพู่กันชุดหนึ่งให้เธอ “มาสิ วาดแบบออกมาหน่อย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เธอรู้สึกหลอนราวกับยกหินมาทับเท้าตัวเอง
————————————————————————————-
บทที่ 890 เจ้า
เธอสูดหายใจนิดๆ ยิ้มละไมแล้วต่อรองกับเขา “พวกเราอย่าเต้นอันนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปกรณ์หรือภูมิปัญญาพวกเราล้วนตามไม่ทันทั้งสิ้น ต่อให้ท่านสามารถจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดนี้ออกมาได้ แต่ที่นี่ก็ไม่มีรองเท้าส้นสูงอยู่ดี วันหน้าข้าจะทำรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งแล้วค่อยมาเต้นให้ท่านดูแล้วกัน ข้าสามารถเต้นรำประเภทอื่นให้ท่านชมได้…”
ยิ่งนางไม่เต้นเขาก้ยิ่งสนใจ ถึงแม้จะไม่เข้าใจบางคำที่นางพูด แต่เขาถามได้ยอดเยี่ยมนัก “เจ้าก็วาดรองเท้าส้นสูงอะไรนั่นออกมาด้วยสิ ข้าเห็นแล้วอาจจะช่วยเจ้าสร้างออกมาสักคู่ได้”
กู้ซีจิ่วไม่เชื่อว่าเขาจะเสกรองเท้าขึ้นมาจากอากาศได้ ดังนั้นเธอตัดสินใจวาดรองเท้าคู่หนึ่งลงไปบนกระดาษจริงๆ อีกทั้งอธิบายเรื่องความอ่อนความแข็งของมันและขนาดที่ต้องการอย่างชัดเจน แถมยังวาดรูปแบบของเสื้อผ้าที่ต้องการด้วย
ตี้ฝูอีเพ่งพิศภาพที่เธอวาดอยู่พักใหญ่ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้สร้างไม่ง่ายเลยจริงๆ”
กู้ซีจิ่งรู้สึกโล่งอก “ใช่แล้วๆ ดังนั้นแล้วไปเถอะ”
นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอียงมีประโยคถัดไปด้วย “เพียงแต่กลับไม่ยากเกินความสามารถของข้า”
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงได้ชมท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแสดงฉากเสกรองเท้าส้นสูง
เขาแบมือออก มีลำแสงเกาะกลุ่มหมุนวนอยู่กลางฝ่ามือ ราวกับกำลังจับสสารที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ กลางฝ่ามือเขามีรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา…
กู้ซีจิ่วเบิกตากว้างมองดูเขา เธอทราบว่าหากคนผู้หนึ่งมีพลังวิญญาณสูง จะสามารถคว้าจับสสารทุกอย่างที่ล่องลอยอยู่ในอากาศมาประกอบเป็นสิ่งที่ตนต้องการได้ แต่สสารที่ถูกเก็บเกี่ยวส่วนใหญ่จะเป็นธาตุดินไฟไม้น้ำทอง และไม่ว่าาทุกคนจะประกอบสิ่งออกมาล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนพลังยุทธ์ทั้งสิ้น ส่วนมากล้วนเป็นศาสตราอาวุธ
แต่อย่างตี้ฝูอีนี้ สสารที่เขาคว้าจับน่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติคล้ายกับยางพารา แถมสิ่งที่เขาสิ้นเปลืองจิตวิญญาณไปมากมายเพื่อประกอบออกมาก็เป็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่ง…
ดูเหมือนเขาจะยึดติดกับการเต้นรูดเสาของเธอ
ขณะที่เธอกำลังรันทดหดหู่อยู่ในใจ ตี้ฝูอีก็จัดการเสื้อผ้าให้เธอตามขนาดที่เธอบอกเรียบร้อยแล้ว จึงผลักไปให้เธอ “เสร็จแล้ว เจ้าลองสวมให้ข้าดูหน่อยสิ”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนขุดหลุมดักตัวเองเสียแล้ว เธอยังคิดจะสู้ดูอีกสักตั้ง “ไม่มีดนตรีกระต้นอารมณ์นี่นา พิณใช้ไม่ได้ ดูสูงส่งเลิศล้ำเกินไป เนื่องจากดนตรีต้องมีจังหวะเร้าใจ…”
ตี้ฝูอีตัดบทเธอ “เจ้าร้องเพลงที่เจ้าต้องการมาก่อน แล้วข้าจะเลือกเครื่องดนตรี”
กู้ซีจิ่วตัดสินใจในทันใด ร้องเพลงที่ค่อนข้างเหมาะกับการเต้นรูดเสาออกมาเพลงหนึ่ง เพลงที่เธอร้องคือเพลง Hypnotic[1]
ความสามารถในการลอกเลียนแบบของเธอเก่งกาจยิ่ง ร้องเพลงนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย ดูลึกลับและกระตุ้นอารมณ์อย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีฟังอยู่เงียบๆ รอจนเธอร้องจบ เขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “จับคู่เครื่องดนตรีได้ไม่ยากเลย…” เขาเรียกพิณและกลองลูกหนึ่งออกมา “สองอย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว”
กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่พักหนึ่ง “มีสิ่งใดที่ท่านเอาออกมาไม่ได้บ้างไหม?”
มีมิคเก็บของช่างดีเหลือเกิน เสมือนมีคลังสินค้าขนาดใหญ่ติดตัว! มีเพียงสิ่งที่เธอนึกไม่ออกเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เขานำออกมาไม่ได้
ตี้ฝูอีตอบอย่างรวดเร็ว “เจ้า”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “นั่นง่ายดายยิ่ง ฝีมือท่านล้ำเลิศถึงเพียงนี้ สามารถโคลนนิ่งข้าอีกคนได้…เช่นเดียวกับปรมาจารย์กู่ผู้นั้น เขาก็สามารถโคลนนิ่งมนุษย์ออกมาได้ เหมือนกันทุกประการ แม้แต่ไฝฝ้าบนร่างก็ไม่ต่างกันเลย”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองเธอ “เช่นนั้นวิญญาณจะเป็นดวงเดียวกันหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ใช่” อย่างน้อยเธอกับเย่หงเฟิงก็ไม่ใช่ดวงเดียวกัน
ตี้ฝูอีจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะสร้างสังขารขึ้นมาทำไม? ในโลกโลกีย์สังขารเป็นเพียงถุงหนังเท่านั้น วิญญาณข้างในสิถึงจะเป็นหนึ่งไม่มีสอง”
หัวใจกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ ตี้ฝูอีพอพูดจาหวานซึ้งขึ้นมาช่างอันตรายยิ่งนัก
————————————————————————————-
[1] Hypnotic เป็นเพลงที่ขับร้องโดย Zella Day เป็นเพลงที่มีทำนองลึกลับเย้ายวน เนื้อหาสื่อถึงการหลงรักคลั่งไคล้จนเหมือนถูกสะกดจิต
บทที่ 891 มารสาวเจ้าเสน่ห์
ตี้ฝูอีเริ่มเร่งเร้าให้เธอไปเปลี่ยนชุด เขาอดใจรอชมการเต้นรำที่เธอจะแสดงแทบไม่ไหวแล้ว
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สักหน่อยจึงเอ่ยว่า “ใช่แล้ว การเต้นชนิดนี้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่งนัก ข้ารู้สึกว่าพอแสดงการเต้นรำนี้จบ ข้าคงไม่มีแรงใช้วิชาเหินหาวแล้ว”
ยามนี้ตี้ฝูอีเจรจาง่ายยิ่งนัก “ง่ายมาก หากถึงเวลาแล้วเจ้าหมดแรงจริงๆ รอบที่เหลือติดค้างไว้ก่อนได้ พรุ่งนี้ตอนค่ำค่อยมาทำต่อ”
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา “ท่านคิดจะลงโทษข้าอยู่ตลอดเวลาหรือไง?”
ตี้ฝูอียืดอกตอบอย่างเต็มปาก “นี่มิใช่เหตุผลที่ดีที่สุดในการนัดเจ้าออกมาหรอกหรือ?”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “เช่นนั้นท่านก็ลงโทษข้าสักร้อยครั้งให้แล้วไปเถอะ!”
ตี้ฝูอีคล้อยตาม “เป็นความคิดที่ดี…”
กู้ซีจิ่วอยากถีบเขานัก คนผู้นี้ไม่เคยตามตื้อเด็กสาวจริงๆ ด้วย ยามนี้สมควรกล่าวว่า ‘ข้าหักใจทำไม่ลง’ มิใช่หรือ
ตี้ฝูอียกมือลูบหัวเธอ “รีบไปได้แล้ว ขืนยังไม่ไปอีกจะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัวจริงๆ นะ”
กู้ซีจิ่วปัดมือเขาทิ้ง เจ้าคนผู้นี้ชมชอบลูบหัวผู้อื่น เธอรู้สึกเสมอว่ายามที่เขาลูบเอราวกับโอ๋เด็กน้อย ทว่ากลับทำให้เธออบอุ่นใจ รู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เป็นครั้งแรกที่เธอได้ลิ้มรสความรู้สึกเช่นนี้ อยู่ร่วมกับคนผู้หนึ่งเช่นนี้ แค่สนทนากันทั่วไป ก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งแล้ว
เธอเต้นรูดเสาได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ เมื่อก่อนตอนที่ปลอมตัวเป็นสาวในบาร์เต้นเลื้อยรูดเสาอยู่บนเวที เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเสื้อผ้าที่ยังนับว่ามิดชิด แต่ผู้ชมด้านล่างเวลาเหล่านั้นกลับเลือดกำเดาไหลมากมาย…
….
เมื่อเธอเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วมายืนอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี ตี้ฝูอีก็เพ่งพิศเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เพ่งพิศจากเท้าจรดหัว สายตาลึกล้ำยิ่งกว่าบึงน้ำลึก
กู้ซีจิ่วจงใจบิดเอวบ้าง ดัดเนื้อดัดตัวบ้างต่อหน้าเขา เรือนผมดำขลับดั่งม่านน้ำตกแฝงรัศมีดึงดูด เป็นอย่างไร? งามหรือไม่?”
ตี้ฝูอีสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ฝืนข่มความปรารถนาที่ต้องการทำบางอย่างลง “งามยิ่งนัก!”
รูปร่างของนางในยามนี้ล้ำเลิศนัก ปกติสวมเครื่องแบบสำนักศึกษาตัวหลวมเอาไว้จึงมองอะไรไม่ออก แต่ตอนนี้นางสวมเสื้อแขนกุดรัดรูปตัวจิ๋วสีฟ้าครามทอประกายระยิบระยับ กางเกงซับในแนบเนื้อ กระโปรงริ้วๆ ที่มีสีเดียวกัน พอหมุนตัวเล็กน้อย ต้นขาเรียวยาวใต้กระโปรงก็จะโผล่วับๆ แวมๆ
กระดูกไหปลาร้างามลออ สองแขนเรียวยาวใสกระจ่างปานหยก หน้าท้องแน่นกระชับ สองขาเหยียดตรง ล้วนเปิดเผยสู่ภายนอก
ทรวดทรงสะโอดสะองทรงเสน่ห์ ทรวงอกอวบอิ่ม เอวบางปานจะกำได้รอบ
บนเท้าที่งดงามน่าถนอมสวมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง ขับเน้นให้สองขาของนางดูเรียวยาวยิ่งขึ้น ภายใต้แสงจันทร์นางดูราวกับมารสาวเจ้าเสน่ห์ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์ ทุกอากัปกริยาล้วนปลิดชีพคนได้!
ไม่นึกเลยว่าเสื้อผ้าชุดนี้เมื่อสวมอยู่บนร่างนางจะมีผลลัพธ์ที่น่าตะลึงเช่นนี้ มือของตี้ฝูอีกดลงบนพิณ ข่มกลั้นแล้วข่มกลั้นอีก ถึงข่มใจไม่ให้พุ่งเข้าใส่ได้
บนนภาเหนือศีรษะมีห่านตัวหนึ่งโฉบผ่าน ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อพรึ่บ ห่านตัวนั้นร่วงลงพื้นทันที
กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านยังหิวอยู่หรือ?”
ตี้ฝูอีโยนห่านตัวนั้นเข้าไปในดงหญ้า เอ่ยเพียงประโยคเดียว “หิวอย่างยิ่ง! รีบเต้นเถอะ!”
ต้องพูดเลยว่าตี้ฝูอีช่างเป็นอัจฉริยะในด้านดนตรีโดยแท้ เพลงภาษาอังกฤษเพลงนั้นเขาไม่เคยฟังมาก่อน ทว่าจังหวะลำนองทั้งหมดล้วนจดจำได้ทั้งสิ้น เนื่องจากเสียงร้องกับทำนองเพลงแตกต่างกัน เขาถึงขั้นเติมความคิดของตนลงไปด้วย เมื่อเสียงพิณเริ่มบรรเลงเสียงดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ออกมา กู้ซีจิ่วจึงเริ่มเต้นเลื้อยวนอยู่บนนั้น…
การเต้นชนิดนี้เพียงเริ่มเต้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว เดิมทีก็ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนักอยู่แล้ว แถมกู้ซีจิ่วยังเป็นเลิศด้านวิชาตัวเบาด้วย พอกระโดดก็งามสง่าเย้ายวนเป็นพิเศษ ประเดี๋ยวก็ตัวอ่อนเลื้อยพันเสาดั่งงู ประเดี๋ยวก็ฉีกขาออก ตัวคนราวกับผืนธธงที่โบกสะบัด
————————————————————————————-
บทที่ 892 เจ้าหนีอะไร?
ประเดี๋ยวก็เหินทะยานขึ้นปีนป่ายอยู่บนเสาเหล็ก กระโปรงยาวพลิ้วไหวปานสายน้ำ ดั่งบุปผาที่ผลิแย้ม ประเดี๋ยวก็ไถลตัวลงมา ทว่ายามที่ใกล้จะร่อนสู่พื้นก็ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง สองเท้าป่ายวนไปทั่ว ทั้งร่างโค้งงอจนเกิดรัศมีมอมเมาคนชนิดหนึ่งขึ้น…
ตี้ฝูอีไม่เคยถูกรบกวนยามดีดพิณมาก่อนเลย ยามที่เขาปราบเหล่ามารปีศาจ มารสาวเปี่ยมเสน่ห์บางตนเต้นยั่วยวนอยู่เบื้องหน้าเขา สีหน้าเขาก็ไม่แปรเปลี่ยนหัวใจไม่เต้นแรง ทำนองดนตรีที่ปลายนิ้วกลายเป็นอาวุธสังหาร ฉีกกระชากร่างมารสาวเหล่านั้นทันที…
แต่ยามนี้เขาบรรเลงดนตรีประกอบการเต้นให้กู้ซีจิ่ว จิตใจกลับไม่สงบจนดีดผิดติดๆ กันหลายครั้ง ไม่ตรงทำนอสองหนแล้ว
ขาเป็นผู้ที่รักความสมบูรณ์แบบ การเต้นที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ย่อมคู่ควรกับดนตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยกโทษให้ตัวเองเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งดีดพิณ มือหนึ่งตีกลอง ดนตรีที่บรรเลงออกมาช่างกระตุ้นอารมณ์คนโดยแท้ ราวกับไหลรินอยู่ระหว่างฟ้าดิน
เมื่อการเต้นสิ้นสุด ดนตรีก็จบลง
กู้ซีจิ่วเหินวนบนเสาเหล็กรอบหนึ่ง หัวเราะเสียงกังวาน “วันนี้จบลงเท่านี้ ข้าไปแล้วนะ” พลางใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที…
แผนการของเธอคือใช้วชาเคลื่อนย้ายตรงกลับห้องนอนของตนในเรือนตนทันที
เนื่องจากดึกมากแล้ว เนื่องจากสายตาของอีกฝ่ายลึกล้ำขึ้นเรื่อย…
ดังนั้นการหลบหนีจึงเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดของเธอ
เพียงแต่แผนการที่เธอวางไว้อย่างงดงามยิ่ง ทว่าความจริงกลับห่างไกลกันยิ่งนัก
‘หวืด!’ เธอชนเข้ากับโดมโปร่งใสอันใดสักอย่าง!
โดมโปร่งใสนั้นอ่อนนุ่มไร้สีสัน ยืดหยุ่นยิ่งนัก เนื่องจากระดับความเร็วของวิชาเคลื่อนย้ายรวดเร็วเกินไป แรงปะทะย่อมไม่น้อยเลย ดังนั้นหลังจากเธอชนเข้า ร่างกายก็ถูดดีดสะท้อนกลับทันที จากนั้นก็ร่วงสู่อ้อมแขนของคนผู้หนึ่งเสียงดัง ‘ปึก!’
อ้อมกอดนั้นอวลด้วยกลิ่นหอมชื่นจางๆ ทำให้หัวใจเธอเต้นถี่รัวขึ้นมาทันที
เสียงของตี้ฝูอีดังขึ้นริมหูเธอ “หนีอะไรหืม? กลัวข้าจับเจ้ากินหรือ?” น้ำเสียงแหบพร่าดึงดูงแฝงแววยั่วเย้า
กู้ซีจิ่วแทบจะแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนเขา กัดฟันกรอดๆ มองดูเขา “ท่านติดตั้งเขตแดนตอนไหนกัน?” ดูท่าเจ้าคนผู้นี้คงเดาได้ก่อนแล้วว่าพอเต้นเสร็จเธอก็จะหนี จึงติดตั้งเขตไว้ล่วงหน้าเพื่อขัดขวางเธอ
แปลกนัก เมื่อก่อนวิชาเคลื่อนย้ายของเธอไม่ว่าสิ่งใดล้วนขวางไว้ไม่ได้ ทำไมถึงถูกเขตแดนที่น่ารำคาญนี้ดีดกลับมาได้?
ปลายนิ้วตี้ฝูอีปัดผ่านริมฝีปากสีชมพูของเธอ ตอบคำถามของเธอ “ตอนที่เจ้าไปเปลี่ยนชุด”
ที่นี่คือหุบเขาลึก รอบด้านไร้ผู้คน แต่ตี้ฝูอีป้องกันไว้ก่อน จึงลอบติดตั้งเขตแดนไว้ที่นี่ กันไม่ให้เธอถูกคนนอกมาเห็นยามสวมชุดนั้น
อ้อมกอดเขาร้อนผ่าว สายตาที่มองเธอลุ่มลึกยิ่ง ลมหายใจเขาก็หอบเล็กน้อย…
“ซีจิ่ว การเต้นนี้ของเจ้า…เคยเต้นให้ผู้อื่นชมมากน้อยเพียงใด?” เขากอดเธอไว้แล้วนั่งลง ถามด้วยเสียงแหบพร่า
เคยเต้นให้คนอื่นดูกี่คนแล้วน่ะหรือ? เธอนับให้ถ้วนไม่ได้จริงๆ เนื่องจากชาติที่แล้วเธอเคยเต้นไปสามครั้ง ทุกครั้งล้วนมีคนเนืองแน่น ศีรษะเรียงกันเป็นพรืด ไม่รู้ว่ามีคนอยุ่มากน้อยเพียงใด
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงไม่เอ่ยตอบ
“ทำไมเงียบเล่า? ตอบไม่ไหนหรือ? หืม?” เมื่อหางเสียงคำสุดท้ายสูงขึ้น สูงจนกู้ซีจิ่วอกสั่นขวัญแขวน เธอหลุดปากเอ่ยออกไปว่า “ท่านรีบร้อนอันใด? ข้ากำลังนับอยู่…”
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีเขียวครึ้มทันที มุมปากหยักขึ้นนิดๆ มองดุเธอ “ต้องนับเชียวหรือ?”
อันที่จริงหลังจากตอบไปแล้วกู้ซีจิ่วก็เสียใจภายหลัง เวลาที่ตนถูกเขากอดสมองจะรวนเสมอ ถ้อยคำที่หลุดปากออกไปทำให้เธอพูดจบก็อยากกลืนมันกลับไปยิ่งนัก
เธอยิ้มแห้งๆ แวบหนึ่ง “อันที่จริง อันที่จริงก็เท่าไหร่หรอก ไม่เท่าไหร่จริงๆ…” ก็แค่เจ็ดแปดร้อยคนเท่านั้น
ตี้ฝูอีกอดเธอไว้ แขนข้างหนึ่งโอบศีรษะเธอ ฝ่ามือวางลงบนกระดูกไหปลาร้าเธอ แขนอีกข้างโอบขาเธอ ข้อศอกอยู่บนหน้าขาเธอ ข้อมืออยู่ตรงบั้นเอวเธอ
————————————————————————————-
บทที่ 893 คนอื่นแม้แต่คิดก็อย่าหมาย!
สองตำแหน่งนี้ของเธอล้วนเปิดเปลือย สัมผัสถึงฝ่ามือที่ร้อนผ่าวของเขาได้ อุณหภูมิร้อนๆ นั้นราวกับสามารถทะลุผ่านผิวหนังซึมเข้าไปถึงกระดูกได้ ทำให้เลือดลมของสูบฉีดเร็วขึ้น จุดที่ถูกเขาสัมผัสเกิดกระแสความร้อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทำให้เธอหายใจหอบถี่อย่างอดไม่ได้เช่นกัน พวงแก้มแดงก่ำ
เธอดิ้นรนทันที “ท่านปล่อยก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนชุด…” เธอรู้สึกว่าสวมชุดนี้อยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่ปลอดภัยยิ่งนัก
ตี้ฝูอีไม่ปล่อยเธอ สองแขนโอบกระชับ รั้งเธอให้แนบร่าง “ซีจิ่ว รออีกเดี๋ยวค่อยเปลี่ยน…” กล่าวยังไม่จบ เขาก็จุมพิตลงมาทันที…
จูบนี้รุนแรงเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาอดกลั้นไว้ ทว่ายังคงทำราวกับจะกดร่างเธอให้หลอมเข้าไปในร่างเข้า!
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ ทำให้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา
….
กู้ซีจิ่วถูกเขาจูบจนแทบหายใจไม่ออก ตัวคนวิงเวียนมึนงง ยามที่ปลายนิ้วเขาเริ่มวนไปทั่งร่างเธออย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว พลันเกิดความรู้สึกวูบโหวงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน รู้สึกว่าเลือดลมเดือดพล่าน…กระแสเชี่ยวกรากสายหนึ่งซัดโหมอยู่ในร่างเธอ ทำให้เธออยากหลั่งน้ำตา อยากโอบกอดคนผู้นี้ไว้แน่นๆ…
ทันใดนั้นเธอรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ความรู้สึกนั้นเสมือนเดินอยู่ในบ่อโคลนที่สร้างภาพลวงตาล่อลวงคนได้ หากพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกกลืนกินไปตลอดกาล!
ถึงแม้เธอจะไม่เคบประสบเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ดีร้ายอย่างไรก็เคยอ่านนิยายมาหลายเล่ม ย่อมทราบว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร
ยามที่ปลายนิ้วเขาสัมผัสจุดอ่อนไหวของเธอ ร่างกายเธอสั่นสะท้านทันที ตัวคนราวกับฟื้นสติจากความเมามาย!
เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้…
เธอลืมตาขึ้นมาทันที พบว่าอาภรณ์บนร่างเธอที่เดิมทีก็น้อยนิดจนน่าเวทนาอยู่แล้วถูกดึงทึ้งจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย บดบังอะไรไม่ได้แล้ว…
“ไม่!” เธอร้องเสียงต่ำ ผลักเขาออกทันที!
เขาไม่ทันระวัง ถูกเธอผลักจนล้มคว่ำ เธอสบโอกาสกระโดดลุกขึ้นมา หลีกหนีให้ห่างไกลเขา “ตี้ฝูอี ปลดเขตแดนของเจ้า…”
ความจริงตี้ฝูอีก็ไม่คิดจะครอบครองนางที่นี่ อย่างไรเสียนางกับเขาก็เพิ่งจะเข้าใจจิตใจของกันและกัน ถ้าเขารุกเข้าหามาเกินไปเกรงว่านางจะตกใจจนเตลิดไป!
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าเขาก็มีช่วงเวลาที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และมีช่วงเวลาที่แทบจะบ้าคลั่งไปเช่นกัน!
เขาสูดหายใจลึกๆ สงบกระแสธารปั่นป่วนในร่างลง เอ่ยเสียงพร่าว่า “เจ้า…ไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยก่อนเถิด”
เขาไม่อยากให้นางเคลื่อนย้ายออกไปในสภาพเช่นนี้ แม้ว่าระหว่างทางที่นางใช้วิชาเคลื่อนย้ายจะไม่มีผู้ใดพบเห็น แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเล่า? หากว่าวิชาเคลื่อนย้ายของนางไม่ถึงที่หมาย เคลื่อนย้ายผิดพลาดไปโผล่ที่อื่นเล่า?
เขาไม่สนใจว่าชาติก่อนนางจะป็นอย่างไร แต่ชาตินี้สภาพเช่นนี้ของนางเขาอยากให้ตัวเองเห็นเพียงผู้เดียว คนอื่นแม้แต่คิดก็อย่าหมาย!
กู้ซีจิ่วพยายามสงบอารมณ์ หยิบกระโปรงชุดหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของแล้วรีบสวม…
“ตอนนี้ได้แล้วกระมัง? ปลดเขตแดนของเจ้าซะ…”
ตี้ฝูอีก้าวเข้าไป ยื่นมือไปจัดการสาบเสื้อเธอ
กู้ซีจิ่วรีบถอยกรูดทันที “เจ้า…”
“อย่ากลัวเลย ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า” ตี้ฝูอีจัดการสาบเสื้อเธอจนเรียบร้อย แล้วถึงปลดเขตแดน
กู้ซีจิ่วรีบใช้วิชาเคลื่อนย้าย หายตัวไปทันที
ตี้ฝูอียืนอยู่ที่เดิมนานมาก เดิมทีเขาคิดจะรั้งตัวนางให้อยู่คุยกันต่อ แต่ก็เกรงว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่อีก…
เมื่อนึกถึงท่าทางรีบร้อนหลบหนีของนางเมื่อครู่นี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เมื่อก่อนนางก็มีช่วงเวลาที่ตื่นตระหนกเช่นนี้เหมือนกัน เด็กสาวที่เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาตลอดเช่นนั้นพอขวยอายขึ้นมาก็มีท่าทางเช่นนี้ ทำให้คนอยากรุกเข้าไปอีกก้าว…
เขายกมือขึ้น ลูบริมฝีปากตัวเบาๆ บนริมฝีปากคล้ายยังมีอุณหภูมิของริมฝีปากนางอยู่ ราวกับยังสามารถสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มและหอมกรุ่นของริมฝีปากนางได้
เขาแหงนหน้ามองท้องนภา ดวงตาส่องประกายดั่งแสงดาว หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอีกครา
ตอนที่มู่เฟิงมาหาจึงได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สุดแสนสูงส่งเข้าถึงยากของพวกเขากำลังยิ้มราวกับเด็กน้อยอยู่
….
————————————————————————————-
บทที่ 894 กู้ซีจิ่ว เธอบ้าไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าว่าคืนนี้ตนจะต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
อยู่เหนือความคาดหมายของเธออย่างสิ้นเชิง แผนเดิมที่วางไว้คือหลังจากรับบทโทษจากเขาเรียบร้อยแล้วจะตัดขาดกับเขาอย่างสมบูรณ์ กลับนึกไม่ถึงว่า…
เธอรู้สึกว่าเธอควรจะหมางเมินเขาเสียหน่อย ถึงอย่างไรหลายวันมานี้เขาก็ทำให้เธอเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้
นึกไม่ถึงว่าหลังจากเข้าใจเรื่องราวที่แท้จริงแล้ว เธอเลือกที่จะให้อภัยเขาทันที อภัยให้สิ่งที่เขากระทำต่อตนในหลายวันมานี้ เธอไม่สำรวมเกินไปหรือเปล่า? เกลี้ยกล่อมได้ง่ายไปไหม?
หรือตนเป็นประเภทที่สามารถเกลี้ยกล่อมได้ด้วยวิธีตบหัวแล้วลูบหลัง?
เวรเอ้ย! ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว!
เธอก็แค่ชอบเขาอยู่แล้ว แต่คอยฝืนสะกดเอาไว้มาโดยตลอดเท่านั้น
และนั่นก็เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ…
ความเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่อภัยให้ได้ง่ายๆ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาก็ดีต่อเธอด้วย และไม่ได้ก่อเรื่องอะไรที่จะส่งผลกระทบร้ายแรง เธอเป็นแม่นางผู้ใจกว้างเสมอมา ไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นถึงให้อภัยเขาอย่างรวดเร็วปานนี้…
เป็นเช่นนี้แน่นอน!
เพียงแต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหน่อยแล้ว!
ความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนเร็วเกินไปหน่อยเช่นกัน!
ดังนั้นถึงทำให้เธอลิงโลดเหมือนเป็นบ้าในยามนี้…
เธอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในผ้าห่มของตัวเอง รู้สึกเพียงว่าในใจปานซุกซ่อนหม้อไฟใบหนึ่งไว้ และบนหม้อไฟผุดพรายฟองที่เรียกว่าความสุขออกมา ฟองนี้เดือดปุดๆ อยู่ในหัวใจเธอ ทำให้เธอสงบใจลงไม่ได้เลย
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาอธิบายได้ เธอไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะมีวันที่ลิงโลดจนอยากเหินบินเช่นนี้ด้วย…
ความรู้สึกนี้คือความรักใช่ไหม?
เธอได้ยินคนอื่นพูดอยู่เสมอว่าเมื่อผู้หญิงมีความรัก สติปัญญาจะถดถอยลง ยามนั้นเธอยังเย้ยหยันในใจอยู่เลย รู้สึกว่าผู้หญิงที่มีความรักแล้วสติปัญญาถดถอยล้วนมีความสามารถในการควบคุมตัวเองย่ำแย่ทั้งสิ้น
เธอไม่มีทางเป็นแบบนี้เด็ดขาด เธอชอบหลงซีมาก และไม่ได้ชอบจนกลายเป็นแบบนี้ด้วย…
เมื่อตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้เธอย่อมนอนไม่หลับ ลุกขึ้นนั่งตรงๆ ควักกระจกออกมาส่องดูสภาพตนเสียหน่อย
ริมฝีปากอิ่มเอิบ พวงแก้มแดงระเรื่อ นัยน์ตาแวววาว…
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหน้าตาขงคนที่ตกอยู่ในห้วงรัก
สวรรค์! กู้ซีจิ่ว เธอบ้าไปแล้ว!
เธอเอนหลังลงบนเตียงทันที คว้าหมอนมาบดบังใบหน้าพริ้มเพราะที่ร้อนผ่าวของตน…
สุขุมไว้! เยือกเย็นไว้!
….
วันรุ่งขึ้นเมื่อกู้ซีจิ่วตื่นนอน เธอนึกว่าตนที่กลิ้งไปกลิ้งมาไม่ได้นอนเลยทั้งคืนอย่างไรก็คงตาดำเหมือนหมีแพนด้าอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าพอส่องกระจกดูตอนเช้า ในกระจกปรากฏภาพสาวน้อยหน้าขาวปากแดง ดวงตาทั้งสองฉ่ำวาว ดูชุ่มชื้นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ไม่มีรอยคล้ำใต้ตาเลยสักนิด
เหมือนคนอดนอนทั้งคืนเสียที่ไหน?
ไม่จำเป็นต้องถามเลย นี่คือผลงานของหงส์ครามตัวนั้น เห็นทีว่าไม่เพียงแต่สามารถยกระดับพลังยุทธ์ของเธอเท่านั้น ยังมีสรรพคุณคลายความอ่อนล้าอีกด้วย
เธอเก็บกวาดเล็กน้อย เมื่อก้าวเท้าออกประตูมา ก็พบหน้าหลงซือเย่ “ซีจิ่ว อรุณสวัสดิ์!”
หัวใจกู้ซีจิ่วยังคงรู้สึกผิดต่อหลงซือเย่ โดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมา ความรู้สึกผิดของเธอก็ทวีคูณขึ้นไปอีก “ซือเย่ คุณมีอะไรเหรอ?”
หลงซือเย่แย้มยิ้ม “ไปเถอะ พวกเราไปกินมือเช้ากัน” พลางเดินเคียงข้างเธอ
“นี่คุณ…มารอฉันที่นี่โดยเฉพาะเลยเหรอ?”
“ไม่หรอกน่า บังเอิญผ่านมาพอดีน่ะ”
เขาโกหกผีอยู่หรือไง? จากที่พักของเขาไปโรงอาหารไม่ผ่านที่นี่ของเธอเลย จะเดินตามทางอย่างไรก็ไม่มีทางมาถึงที่นี่ของเธอ
เขาน่าจะยังไม่ตัดใจจากเธอ และยังไม่วางมือด้วย
“ครูฝึกหลง ขอโทษนะ…” เธอเอ่ยขึ้น “ฉันละอายต่อความรู้สึกและสิ่งที่คุณทุ่มเทให้ ฉัน…”
เธอคิดจะพูดกับเขาให้ชัดเจน ให้เขาวางมือ เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
“ซีจิ่ว ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก! เธอไม่มีตรงไหนที่ผิดต่อฉันเลย”
————————————————————————————-
บทที่ 895 เธอสามารถสู้ตายแทนเขาได้
“ซีจิ่ว ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก! เธอไม่มีตรงไหนที่ผิดต่อฉันเลย” หลงซือเย่เอ่ยขัดเธอทันที “ฉันรู้ว่าเธอยังเด็ก ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้ ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันแค่อยากเป็นแค่เพื่อนที่ดีของเธอ หรือแม้แต่เพื่อนเธอก็ไม่อยากให้ฉันเป็นแล้ว?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
วาจานี้ของหลงซือเย่สกัดกั้นเธอจนหมดคำพูด
เธอสูดลมหายใจเข้านิดๆ “ครูฝึกหลง ขอแค่คุณเห็นค่าซีจิ่ว ฉันยินดีจะยกให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดไปชั่วชีวิต! เป็นเพื่อนที่สละชีวิตให้ได้ แต่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ…และไม่ใช่เหตุผลเล็กๆ ด้วย คุณก็รู้ ฉันเป็นเด็กแค่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันรู้ว่าฉันผิดต่อคุณ ให้ความหวังคุณแล้วทำให้คุณผิดหวัง ฉันเคยลองดูแล้วแต่ว่าทำไม่ได้จริงๆ…”
หลงซือเย่หน้าซีดเผือด ดวงตาคู่นั้นจดจ้องเธอ “เป็นเพราะตี้ฝูอีเหรอ?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลงนิดๆ “ไม่ใช่เพราะเขา…เป็นตัวฉันในอดีตเข้าใจความรู้สึกผิดไป…” ต่อให้เมื่อคืนเธอไม่ได้คืนดีกับตี้ฝูอี แม้ว่าเธอจะตัดขาดกับตี้ฝูอีไป ระหว่างเธอกับหลงซือเย่ก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
เธอรู้ว่าตัวเองผิดต่อหลงซือเย่ แต่ความรักไม่ใช่ความรู้สึกผิด เธอสามารถสู้ตายแทนเขาได้ แต่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกของเขาได้…
เรื่องของความรู้สึกถ้าไม่ตัดในเวลาที่ควรตัดจะเกิดความวุ่นวายขึ้นภายหลัง กู้ซีจิ่วเข้าใจเหตุผลข้อนี้อย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นต่อให้ในใจเธอรู้สึกผิดต่อหลงซืออย่างท่วมท้น ทว่าสิ่งที่ควรพูดเธอก็ยังต้องพูด “ครูฝึกหลง ฉันให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดได้ สู้ตายถวายชีวิตนี้ให้คุณได้ แต่ฉันรับรักคุณไม่ได้จริงๆ…ขอโทษนะ คุณจะด่าฉันสักยกก็ได้”
หลงซือเย่เซถอยหลังไป
กู้ซีจิ่วล้วงหยกประดับรูปใบเฟิงชิ้นนั้นออกมาร่างแล้วยื่นให้ “อันนี้คืนให้คุณ…”
ริมฝีปากบางของหลงซือเย่เม้มเน้น “ต่อให้เธอตอบรับความรู้สึกของฉันไม่ได้ แต่ยังไงซะหยกประดับชิ้นนี้ก็เป็นของเธอ เธอไม่จำเป็นต้องคืนให้ฉัน ความจริงเป็นฉันที่ต้องคืนให้เธอ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ หยกประดับชิ้นนี้ไม่ใช่ของฉัน มันเป็นของเย่หงเฟิง”
หลงซอเย่เงียบไปครู่หนึ่ง เขามองดูเธอ “ซีจิ่ว เธอยังไม่เชื่อเรื่องพวกนั้นที่ฉันพูดใช่ไหม? เธอสิถึงจะเป็นเย่หงเฟิงตัวจริง ปีนั้นเป็นฉันที่เลอะเลือนไปชั่วขณะสลับตัวพวกเธอ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่ ฉันก็คือร่างโคลนนิ่งคนนั้น ฉันไม่ใช่เย่หงเฟิง…”
หลงซือเย่เบิกตากว้าง กู้ซีจิ่วจึงเล่าความฝันนั้นของตนออกมารอบหนึ่ง ไม่เท่านั้น ยังกล่าวอีกว่า “ฉันรู้ว่าเรื่องที่คุณพูดเป็นความจริง ฉันก็เชื่อคำพูดคุณ แต่คุณไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเดาเจตนาของคุณออก เลยสลับตัวพวกเราคืน…คุณไม่ผิดเลย และไม่ได้ผิดต่อฉัน…”
หลงซือเย่ไม่เชื่อ “นี่เป็นแค่ความฝันของเธอ บางทีเธออาจคิดมากเกินไป ดังนั้นถึงได้กลางวันคิดคำนึง กลางคืนใฝ่ฝันหา ความจริงแล้วเหตุการณ์ที่แท้จริงไม่ใช่แบบนี้ เหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นแบบที่ฉันเล่าให้เธอฟัง เธอดูสิ ฉันเอาหยกประดับชิ้นนี้ติดตัวมาได้ แถมยังได้เจอเธออีกครั้ง…ถ้าหากเธอไม่ใช่เย่หงเฟิงตัวจริง แล้วจะเกิดเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง?”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้างั้นคุณคงมีภาพจำเหตุการณ์ตอนที่เพิ่งเจอฉันในบ่อเพาะลี้ยงอยู่ใช่ไหม? คุณยังจำได้หรือเปล่าว่าตัวฉันที่ถูกเลี้ยงไว้ในบ่อเพาะเลี้ยงเป็นยังไง? จำคำพูดที่คุณพูดกับฉันบ่อยๆ พวกนั้นได้หรือเปล่า?”
หลงซือเย่จ้องมองเธอด้วยใบหน้าซีดขาว กู้ซีจิ่วหยิบภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ บนภาพคือ ‘โลงแก้วผลึก’ ใบนั้นที่เธอวาดออกมา เธอยื่นให้หลงซือเย่ “คุณดูสิ ใช่อันนี้หรือเปล่า?”
————————————————————————————-
บทที่ 896 เป็นซีจิ่วที่ติดค้างคุณ…
หลงซือเย่หน้าซีดกว่าเดิมแล้ว! เขาหมดทางปฏิเสธแล้ว! โลงที่กู้ซีจิ่ววาดออกมาเป็นบ่อเพาะเลี้ยงพิเศษเมื่อตอนนั้นจริงๆ เขานอนคว่ำลงบนนั้นมองดุเธอไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
กู้ซีจิ่วเอ่ยอีกว่า “สิ่งที่คุณพูดกับฉันบ่อยๆ ตอนนอนคว่ำอยู่บนบ่อเพาะเลี้ยงก็คือ ฉันเกลียดสามีภรรยาตระกูเย่! พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไป! เธอกับฉันเป็นมนุษย์โคลนนิ่งเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นพวกเราเป็นมนุษย์เลย เธอน่าสงสารกว่าฉัน พวกเขาแค่อยากใช้เธอต่างแหล่งอวัยวะสำรอง เป็นแหล่งอวัยวะที่มีชีวิตให้ลูกสาวของพวกเขาได้ตลอดเวลา เธอน่าสงสารกว่าฉัน…”
หลงซือเย่จากไปอย่างไร้จิตวิญญาณ ฝีเท้าค่อนข้างซวนเซ
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ เธอรู้ว่าความจริงนี้ส่งผลกระทบต่อหลงซือเย่มากมายนัก แต่ถ้าเธอไม่พูดออกมา จิตใจที่รู้ดีรู้ชั่วก็จะไม่สงบ…
ครูฝึกหลง ขอโทษด้วย!
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เป็นซีจิ่วที่ติดค้างคุณ…
เธอเดินไปโรงอาหารช้าๆ จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงมาบนไหล่! “เจ้าทำถูกแล้ว!”
เธอสะดุ้งโหยง หันหน้าไป มองเห็นดวงตาที่ไหวระริกดั่งกระแสน้ำคู่นั้นของตี้ฝูอี
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับหลงซือเย่
ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเธอเม้มนิดๆ “ท่านแอบสะกดรอยตามข้าหรือ?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วขึ้น “ข้าตามมาอย่างเปิดเผยชัดๆ ถ้าแอบสะกดรอยตามข้าจะปรากฏตัวทำไม?”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ดึงมือเธอออกเดิน “ไปเถอะ ไปกินข้าวกับข้า”
กู้ซีจิ่วไม่อยากลากๆ จูงๆ กับเขาต่อหน้าสาธารณชน รีบชักมือตัวเองกลับมา “ท่านก็จะไปกินที่โรงอาหารหรือ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยว่า “แปลกตรงไหนล่ะ? ไปกันเถอะ!”
….
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า ในสายตาเหล่าศิษย์ร่วมสำนักตนต้องกลายเป็นคนต่ำช้าโลเลหลายใจไปแล้วแน่ๆ หลายวันก่อนเป็นคู่ชูชื่นอยู่กับทูตสรรค์ฝ่ายซ้าย ภายหลังเปิดเผยว่าเป็นการเล่นละคร อีกทั้งมีสถานะคลุมเครืออยู่กับหลงซือเย่ เที่ยวเล่นกินข้าวด้วยกัน ยามนี้เดินเคียงไหล่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากินข้าวที่ดรงอาหารอีกแล้ว…
ในโรงอาหารมีคนมากมาย คนที่มองมาทางพวกเขาก็มีอยู่ไม่น้อย ดวงตาทุกคู่ล้วนทอแววลุ่มลึกยิ่งนัก
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่แยแสสายตาคนอื่นเสมอมา แต่พอตกอยู่ภายตาสายตามีเลสนัยของฝูงชนมากมาย ใบหน้าเธอก็รู้สึกร้อนผ่าวอยู่บ้าง แทบจะจินตนาการถึงวาจาจิกกัดในใจของฝูงชนออก
ตี้ฝูอีกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ จูงเธอไปนั่งหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง “นั่งอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปสั่งอาหารให้เจ้า”
กู้ซีจิ่วไหนเลยจะกล้าให้เขาไปสั่งอาหาร รีบลุกขึ้นมาเอ่ยว่า “ท่านนั่งเถอะ ข้าจะไปสั่งเอง”
ตี้ฝูอีวางมอข้างหนึ่งลนบนไหล่เธอ “เป็นเด็กดีนั่งรอตรงนี้เถอะ” พลางหันหลังก้าวไปสั่งอาหารที่ช่องหน้าต่าง
ฝูงชนตกตะลึง
ในสมองของทุกคนมีความคิดหนึ่งเช่นเดียวกันแล่นผ่าน ‘พ่อแม่พี่น้องรีบมาดูเรื่องบันเทิงเร็ว! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปสั่งอาหารให้เด็กสาวนางหนึ่งด้วยตัวเองแล้ว!’
สมองของคนที่ค่อนข้างคิดมากยังมีความคิดอีกอย่างผุดขึ้นมา ‘ครั้งนี้จะทำอะไรกันอีก? เล่นละครอีกแล้วหรือ?’
ผ่านไปครู่หนึ่งหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่ก็เข้ามา สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือกู้ซีจิ่วที่นั่งอยุ่หน้าโต๊ะ จึงรีบวิ่งมาหา
“ซีจิ่ว!”
“ซีจิ่ว…”
เชียนหลิงอวี่วางก้นนั่งลงข้างกายกู้ซีจิ่วทันที ฝ่ามือตบไหล่เธอเบาๆ “ซีจิ่ว เจ้าอยากกินอะไร? ข้าจะเลี้ยง!”
พ้นวันนี้ไปซีจิ่วก็ต้องย้ายไปอยู่ห้องอื่นแล้ว ในใจเขาเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ทีต้องพรากจากและหักใจไม่ลง จึงใจกว้างเป้นพิเศษ “เจ้าสั่งได้ตามสบายเลย!”
เพิ่งจะพูดจาวางโตจบ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ารอบข้างเงียบสงัดลง จิ้งจอกน้อยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกระเด้งตัวขึ้นมา เบิกตามมองด้านหลังเขา สายตาของฝูงชนที่อยู่รอบข้างก็มองไปทางด้านหลังเขา…
เส้นขนบนร่างเชียนหลิงอวี่ลุกชันทันที หันหลังไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นจานขบวนหนึ่งลอยเข้ามา…
เฮือก! เขารีบร้อนหลบอย่างหวาดหวั่นกังวล
————————————————————————————-
บทที่ 897 เจ้าไปจ่ายหน่อยเถิด
จากนั้นก็เห็นจานเหล่านั้นแล่นมาวางอยู่บนโต๊ะตัวนี้ด้วยตัวเองทีละจานปานมีขา มีทั้งหมดหกจาน สีสันละลานตา เรียงรายดุจดอกไม้ที่แย้มบาน
เชียนหลิงอวี่ตะลึงพรึงเพริดอยู่บ้าง จากนั้นก็มองเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามา
แววตาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร เสื้อคลุมสีม่วงทอประกาย ยามที่ค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามีกลิ่นอายแผ่ออกมาจากร่าง
เชียนหลิงอวี่คุกเข่าลงไปเสียงดังตึง “คารวะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
หลานไว่หูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าลงคารวะเช่นกัน
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ น้ำเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้น”
เชียหลิงอวี่คาดไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะอยู่ที่โต๊ะนี้ หลังจากลุกขึ้นก็มองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขายังไม่ทันพูดอะไร ตี้ฝูอีก้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เชียนหลิงอวี่ เจ้าอยากเลี้ยงหรือ?”
เชียนหลิงอวี่ตะลึงงัน “ช…ใช่ขอรับ”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม รอยยิ้มปานสายลมฤดูใบไม้ผลิดั่งมอมเมาผู้คนได้ “พอดีเลย อาหารเหล่านี้ข้ายังไม่ได้จ่ายเงิน เจ้าไปจ่ายหน่อยเถิด”
เชียนหลิงอวี่มองอาหารละลานตาที่เต็มโต๊ะ หนนี้อาหารบนโต๊ะพิเศษยิ่งนัก อาหารทุกจานดูราวกับภาพวาดและบทกวีที่ประณีตบรรจงนัก ดูไม่ออกจริงๆ ว่าทำมาจากอะไร
เชียนหลิงอวี่นึกไม่ถึงว่าในโรงอาหารจะมีอาหารประเภทนี้ด้วย เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!
เพียงแต่ ไม่ว่าจะประณีตบรรจงแค่ไหนก็เป็นแค่อาหารหกจานเท่านั้น ช่วงนี้เขามีโชคลาภเล็กน้อย พอให้จ่ายเหลือเฟือ! ดังนั้นเชียนหลิงอวี่จึงวิ่งไปจ่ายเงินที่ช่องนั้น โยนถุงบรรจุหินวิญญาณให้ฝ่ายบัญชีของโรงอาหารอย่างวางโต “อาหารบนโต๊ะนั้นของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคุณชายเช่นข้าจะเป็นเจ้ามือเอง!”
เจ้าหน้าที่บัญชีคนนั้นมองเขา จากนั้นก็มองถุงบรรจุหินวิญญาณของเขา “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“จู้จี้กจุกจิกทำไม? แน่ใจสิ! ต้องการหินวิญญาณเท่าไหร่เจ้าก็หยิบจากถุงไปเองเลย!” เชียนหลิงอวี่หงุดหงิด ในถุงนั้นของเขามีหินวิญญาณเกือบพันก้อน ต่อให้สั่งอาหารจานเด็ดทั้งหมดในโรงอาหารมากินอย่างละจานก็ยังเหลือเฟือ
เจ้าหน้าที่บัญชีคนนั้นค่อยๆ หยิบถุงเงินใบนั้นของเขาไป แล้วเทหินวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ข้างในออกมาเสียงดังแกรกกราก สายตาเจ้าหน้าที่บัญชีเฉียบคมยิ่ง กวาดตามองแวบเดียวก็นับได้ทันที “เชียนหลิงอวี่ หินวิญญาณเหล่านี้มีทั้งหมดเก้าร้อยหกสิบก้อน เป็นเพียงเศษเสี้ยวของราคาอาหารหลายจานนั้น ขอถามว่าหินวิญญาณที่เหลืออยุ่ที่ไหน?”
เชียนหลิงอวี่ตะลึง
ดวงตาเขาเบิกถลนยิ่งกว่าไข่ไก่ “เศษ…เศษเสี้ยว? ยังขาดอีกเท่าไหร่?”
“เรียนท่านผู้มีอุปการคุณทั้งหมดเป็นหินวิญญาณจำนวนห้าพันเก้าร้อยหกสิบก้อน ยังขาดอีกห้าพันก้อน”
เชียนหลิงอวี่โง่งมไปแล้ว!
….
เนื่องจากช่องจ่ายเงินอยู่ค่อนข้างไกล ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าตกตะลึงอาปากหวอของเชียนหลิงอวี่ แค่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นไม่กลับมาสักที ยังนึกว่ากำลังรอเงินทอนอยู่ตรงนั้น จึงไม่เก็บมาใส่ใจ
เธอพิจารณาอาหารหกจานนั้นก่อน อาหารหกจานนั้นมีทั้งจานเนื้อจานผัก เหมาะเจาะเข้าคู่ มองแล้วทำให้คนอยากอาหารขึ้นมา ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง อาหารที่วิจิตรบรรจงถึงเพียงนี้มิคล้ายเป็นาหารที่ทำไว้หม้อใหญ่ เอพลันสะกิดใจ “อาหารพวกนี้ท่านให้พ่อครัวใหญ่ของที่นี่ทำขึ้นเป็นพิเศษหรือ?”
“ใช่แล้ว วัตถุดิบก็เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมมาเอง จากนั้นก็ให้สุดยอดพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ทำออกทาโดยตัวเอง ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร?” ตี้ฝูอียื่นตะเกียบงาช้างคู่หนึ่งให้เธอ
กู้ซีจิ่วมองไปทางช่องจ่ายเงินตรงนั้น “รอเชียนหลิงอวี่กลับมาแล้วค่อยกินด้วยกันเถอะ” จากนั้นก็ทักทายหลานไว่หู “จิ้งจอกน้อย เจ้านั่งก่อนสิ”
หลานไว่หูกระแอมไอคราหนึ่ง “ข้า…อันที่จริงข้ากินไปแล้ว ซีจิ่ว ความจริงแล้วข้าแค่อยากมาเจอเจ้าเท่านั้น เอาล่ะ เได้เจอแล้วข้าก็จะไปละนะ” จากนั้นก็หันหลังจากไป
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เธอมองไปทางตี้ฝูอี ตี้ฝูอีสงบนิ่งไร้พิรุธยิ่งนัก เขากำลังแนะนำอาหารให้เธอ ราวกับไม่สังเกตเห็นการจากไปของจิ้งจอกน้อย
————————————————————————————-
บทที่ 898 ถูกเชือดเหมือนแกะอ้วนเสียแล้ว…
หรือว่าหลานไว่หูเห็นตี้ฝูอีอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกกดดัน จึงหนีไปเสียดื้อๆ?
“เอาล่ะ ซีจิ่ว กินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่เถอะ อาหารพวกนี้ต้องกินตอนที่ร้อนๆ ถึงจะอร่อย” ตี้ฝูอีคีบผักก้านหนึ่งใส่จานเธอ
“รอเชียนหลิงอวี่อีกหน่อยเถอะ” ถึงอย่างไรเชียนหลิงอวี่ก็เป็นเจ้ามือ ถ้าไม่รอจะไม่ดี
เพียงแต่กู้ซีจิ่วกล่าวประโยคนี้ยังไม่จบก็ชะงักไป ที่ช่องจ่ายงินตรงนั้นไม่มีเงาของเชียนหลิงอวี่แล้ว
เขาก็หนีไปด้วยหรือ?
‘ท่านเล่นลูกไม้อันใด?’ กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงหาตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว ‘ข้านั่งอยู่ตรงนี้ตลอดมิใช่หรือ? จะเล่นลูกไม้อันใดได้?’
‘เช่นนั้นเหตุใดเชียนหลิงอวี่ถึงจากไปเงียบๆ ด้วย?’
‘อ่อ เขาคงจะจ่ายไม่ไหว จึงหนีหนี้ไป’ ตี้ฝูอีตอบอย่างสบายๆ
เป็นไปไม่ได้กระมัง?
เชียนหลิงอวี่ไม่ใช่เด็กประเภทที่กินแล้วชักดาบเสียหน่อย อีกอย่างเธอก็ทราบเช่นกันว่าในกระเป๋าของเชียนหลิงอวี่มีเงินอยู่เท่าไหร่ อย่างไรเสียยามที่เธอไปขายยาที่ตลาดผี เชียนหลิงอวี่ก็ไปเป็นลุกมือให้เธอตลอด ทุกครั้งล้วนได้ส่วนแบ่งหนึ่งร้อยแปดสิบหินวิญญาณ
ถึงแม้เจ้าเด็กนั้นจะเป็นพวกใช้เงินเดือนชนเดือน แต่ระยะนี้ดูเหมือนจะบริหารเงินเป็นแล้ว อย่างน้อยก็สะสมหินวิญญาณได้ราวๆ พันกว่าก้อน
ทันใดนั้นกู้ซีจิ่วรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาทันที มองดูอาหารบนโต๊ะ ‘อาหารพวกนี้…ราคาเท่าไหร่?’
‘ไม่แพงหรอก เพราะข้าเตรียมวัตถุดิบมาเอง พวกเขาคิดแค่ค่าเก็บกวาดปรุงอาหารเท่านั้น น่าจะเป็นหินวิญญาณห้าพันกว่าก้อนกระมัง’
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
สามมุมมองของเธอพังทลายแล้ว!
ครั้งก่อนเยี่ยนเฉินเป็นเจ้ามือ เธอพาเจ้าหอยยักษ์มาด้วย สั่งอาหารจานเด็ดของที่นี่มาชุดใหญ่ รวมๆ แล้วหลายสิบจาน ทั้งหมดคิดเป็นหินวิญญาณสองพันกว่าก้อนเท่านั้น ครั้งนั้นเยี่ยนเฉินมองเธอประหนึ่งมองโจร
เมื่อนำครั้งนั้นมาเทียบกับครั้งนี้แล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ตี้ฝูอีเล่นงานเชียนหลิงอวี่ยกนี้ เพียงพอจะให้เชียนหลิงอวี่จดจำไปชั่วชีวิตแล้ว
คาดว่าสถานที่ที่มีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ เชียนหลิงอวี่คงไม่กล้าโผล่มาอีก…
เชียนหลิงอวี่ที่น่าสงสาร เพิ่งถือเงินก้อนโตเป็นครั้งแรก ก็ถูกเชือดเหมือนแกะอ้วนเสียแล้ว…
‘เมื่อกี้ท่านส่งกระแสเสียงอันใดหาเขากระมัง? มิเช่นนั้นต่อให้เขาจ่ายไม่ไหวก็คงไม่หนีไปหรอก อีกอย่างเจ้าหน้าที่บัญชีของที่นี่ก็คงไม่ปล่อยให้เขาหนีไปเช่นกัน…’
ตี้ฝูอีเอ่ยชมเธอ ‘เจ้าฉลาดมาก เมื่อกี้ข้าส่งกระแสเสียงยื่นทางเลือกให้เขาสองทาง หนึ่งคือให้เขาจำนองตัวงานใช้หนี้ที่โรงอาหารเป็นเวลาห้าปี สองคือให้เขาไปซะ เดี๋ยวข้าจะจ่ายเอง เงื่อนไขคือต่อไปยามที่ข้ากับเจ้ากินข้าวด้วยกันเขาอย่าได้มาร่วมวง เจ้าเด็กนี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลือกข้อสอง วิ่งหนีไปทันที! ซีจิ่ว แค่หินวิญญาณห้าพันก้อนก็ทำให้เขาขายเจ้าเสียแล้ว…จุ๊ๆ ดุเหมือนเจ้าเด็กนี้ก็ไม่ได้จริงใจสักเท่าไหร่นะ’
กู้ซีจิ่วหมดคำบรรยาย ‘ท่านยุแยงให้น้อยหน่อยเถอะ หลิงอวี่ไม่ใช่คนเช่นั้น แค่ไม่ได้กินข้าวด้วยกันเท่านั้น ไม่ใช่ตัดขาดกันเสียหน่อย หากข้าเป็นเขา ข้าก็จะเลือกเช่นนี้เหมือนกัน’
เงื่อนไขที่ง่ายดายถึงเพียงนี้เอเชื่อว่าคนทั่วไปล้วนต้องเลือกข้อที่สองกันทั้งนั้น
ขณะที่เอกำลังหยิบตะเกียบเริ่มขยับ เง่าร่างคนก็พุ่งปราดมาจากด้านนอก เชียนหลิงอวี่พุ่งเขามาปานพายุหมุน โยนถุงใหญ่ใบหนึ่งลงเบื้องหน้าเจ้าหน้าที่บัญชีทันที “หินวิญญาณห้าพันก้อนอยู่นี่แล้ว! เจ้านับสิ!”
ปากถุงอ้าออก หินวิญญาณกองหนึ่งกองพะเนินเต็มโต๊ะ…
….
กู้ซีจิ่วมองเชียนหลิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกายตนอย่างห้าวหาญ ปวดใจแทนเขายิ่งนัก “เจ้าไปเอาหินวิญญาณมากขนาดนี้มาจากไหน?”
เชียนหลิงอวี่ไม่ตอบ เชิดหน้าขึ้น มองตี้ฝูอีอย่างข่มๆ แวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตอนนี้หลิงอวี่ชำระเงินหมดแล้ว ต่อไปสามารถมากินข้าวกับซีจิ่วได้แล้วกระมัง?”
ตี้ฝูอีมองเจ้าเด็กหัวรั้นคนนี้แวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ “เงื่อนไขของข้าคือถ้าเจ้าจ่ายไม่ไหวภายหน้าห้ามมารบกวนเวลาข้ากับซีจิ่วกินข้าวด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจ่ายเงินแล้วจะรบกวนอย่างไรก็ได้ เข้าใจหรือไม่?”
————————————————————————————-
บทที่ 899 ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องดีกับข้าถึงเพียงนี้
เชียนหลิงอวี่พูดไม่ออก
กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “หลิงอวี่ พวกเราเป็นสหายกัน เจ้ากับจิ้งจอกน้อยมากินข้าวกับข้าได้ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด”
ดวงตาเชียนหลิงอวี่เปล่งประกาย ใช่แล้ว กู้ซีจิ่วในยามนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรกับตี้ฝูอีอีกแล้ว มีอิสระเด็ดขาด กินข้าวกับสหายเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
ต่อให้ตี้ฝูอีหมั้นหมายกับกู้ซีจิ่ว เขาก็ไม่อาจขัดขวางไม่ให้นางคบหากับสหายร่วมสำนักตามปกติได้….
น่าชังนัก เหตุใดอีกฝ่ายหลอกล่อด้วยประโยคเดียวตนก็มุดเขาไปเสียแล้ว?!
เชียนหลิงอวี่โมโห แต่หินวิญญาณจ่ายออกไปแล้ว อีกทั้งไม่อาจเรียกคืนได้ เขาต้องกินอาหารให้มากหน่อยเพื่อถอนทุนคืน!
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบลงไปทันที ตี้ฝูอีเอ่ยเนิบๆ ว่า “หินวิญญาณห้าพันก้อนนั้นของเจ้าสามารถกินได้จานละสามคำ ถ้ากินมากกว่านั้นต้องจ่ายเงินอีก”
ในที่สุดเชียนหลิงอวี่ก็มีโทสะแล้ว “สิ่งเหล่านี้ของท่านเป็นไขหงส์ตับมังกรหรืออย่างไร? ถึงได้แพงขนาดนี้! ยิ่งไปกว่านั้นคือค่าอาหารเหล่านี้ข้าเป็นผู้จ่าย!”
“ถึงแม้มิใช่ไขหงส์ตับมังกร ทว่าล้ำค่ากว่าไขหงส์ตับมังกรนัก หินวิญญาณห้าพันก้อนนั้นของเจ้าเป็นเพียงค่าปรุงอาหาร ราคาที่แท้จริงของวัตถุดิบสูงกว่าค่าปรุงมากนัก คาดว่าถึงเจ้ายืมหินวิญญาณทั้งหมดจากสหายร่วมชั้นทุกคนมา ก็ไม่พอซื้ออาหารสักจานบนโต๊ะนี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะกิน?”
เชียนหลิงอวี่ตะลึง
ท้ายที่สุดแล้ว เชียนหลิงอวี่กินเพียงคำเดียวก็จากไปอย่างน้ำตานองหน้า
เนื่องจากเขาตบอกพูดเองว่าจะเลี้ยง หากกินจนครบทั้งสามคำ ยังจะนับว่าเลี้ยงอันใดได้อีก?
มีเชียนหลิงอวี่เป็นตัวอย่างอยู่ที่นี่แล้ว คนที่เหลือไหนเลยจะกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก? ดังนั้นจึงหลีกลี้ให้ห่างโต๊ะนี้ของพวกเขา ด้วยเกรงว่าจะถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเชือดถ้าไปรบกวนเข้า!
ด้วยเหตุนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจึงกินอาหารมื้อนี้อย่างสบายอกสบายใจยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วกินอาหารทุกอย่างเข้าไปไม่น้อย ทุกคำที่กินล้วนรู้สึกราวกับกินหินวิญญาณสองพันก้อน เธอจะกินถอนทุนคืนแทนพวกเชียนหลิงอวี่เอง
อาหารเหล่านี้เธอกินจนหมดก็ยังไม่รู้ว่าที่แท้แล้วคืออะไร อย่างไรก็ตามทุกรสชาติล้วนมีเอกลักษณ์และเลิศรสยิ่ง ล้วนเป็นอาหารที่เธอไม่เคยกินมาก่อน
เธอก็เคยถามตี้ฝูอีแล้ว ตี้ฝูอีเพียงยิ้มน้อยๆ ตบไหล่เธอแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องถามให้มากความ อาหารพวกนี้เจ้าเสาะหาไม่ได้หรอก เพียงแต่ไม่ชักนำสายฟ้าให้มาผ่าเจ้าอีกแน่นอน แถมยังเหมาะกับสภาพร่างกายเจ้าด้วย เป็นประโยชน์ต่อเจ้า ช่วยเจ้าสกัดเนื้องหงส์ครามได้…”
ที่แท้เขาทำอาหารเหล่านี้เพื่อพัฒนาร่างกายเธอ มิใช่การเลี้ยงอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิน่าเล่าเขาถึงหาวิธีไล่เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูไป…
ความอบอุ่นแผ่ซ่านในหัวใจกู้ซีจิ่ว หลุบตาลง “ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องดีกับข้าถึงเพียงนี้”
ตี้ฝูอีเขยิบเข้าหาเธอเล็กน้อย “ซาบซึ้งแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร แน่นอนว่าเธอซาบซึ้ง ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยมีใครดีต่อเธอขนาดนี้มาก่อน เอื้อเอ็นดูเธอจนถึงเนื้อใน
ชาติก่อนหลงซีก็ยังไม่เคยเอ็นดูเธอถึงขนาดนี้ หลงซีในยามนั้นมักจะปฏิบัติต่อเธออย่างเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลเดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวห่างเหิน ดูแลเธออย่างยิ่ง และรวมทุกข์ร่วมสุขกับเธอหลายครั้ง แต่ช่วงเวลาส่วนใหญ่เป็นเธอที่วอแวอยู่รอบตัวเขา ทำนู้นทำนี้ให้เขา เรื่องที่หลงซีทำให้เธออันที่จริงมีน้อยมาก
ไหนเลยจะเหมือนตี้ฝูอี ปฏิบัติต่อเธออย่างรักใคร่เอ็นดูโดยตรง ทำให้เธอซาบซึ้ง รู้สึกราวกับฝันอยู่
ถึงแม้เธอต้องการแข็งแกร่ง ถึงแม้จะสุขุมเยือกเย็น แต่เนื้อในเธอก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งเหมือนกัน ลึกๆ ในใจก็ปรารถนาจะถูกผู้อื่นเอื้อเอ็นดู โดยเฉพาะถูกคนที่ชอบ รักใคร่เอ็นดู
ยามที่ถูกคนที่ชอบรักใคร่เอ็นดูถึงเพียงนี้ ความอบอุ่นในใจนั้นราวกับจะเอ่อล้นทรวงออกมา…
“ถ้าซาบซึ้งก็แต่งกับข้าดีไหม?” ตี้ฝูอียิ้มละไมเขยิบเข้าใกล้เธอ
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน!
….
————————————————————————————-
บทที่ 900 เจ้าไม่อยากจริงๆ หรือ
แต่งงาน?!
ตี้ฝูอีมองแววตาตกตะลึงของนาง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ตกใจหรือ?”
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวยิ่งนัก นี่จะเร็วเกินไปแล้ว! เป็นการแต่งงานสายฟ้าแลบที่ยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ! เมื่อคืนเพิ่งจะปรับความเข้าใจกันวันนี้เริ่มหารือเรื่องวิวาห์แล้วหรือ? ต่อให้เป็นการแต่งงานสายฟ้าแลบในยุคปัจจุบันก็ไม่เร็วขนาดนี้!
เธอเอ่ยไปตามสัญชาตญาณ “ข้าเพิ่งสิบห้า…”
“สิบห้าปักปิ่นแล้ว สำหรับผู้บำเพ็ญพลังวิญญาณบรรลุขั้นสี่ก็สามารถแต่งานได้แล้ว ตามเงื่อนไขเจ้าสามารถแต่งงานได้แล้ว” ตี้ฝูอีมองนางยิ้มๆ “เจ้าไม่ยอมตกลงเป็นเพราะยังไม่มั่นใจในตัวข้าใช่ไหม?”
น้ำเสียงเขาอ่อนโยน แต่สำเนียงกลับหนักแน่นมั่นคง
เขาเป็นคนทำอะไรแน่วแน่ไม่ลังเลมาโดยตลอด ในเมื่อทราบความรู้สึกตนแน่ชัดแล้ว เขาก็คิดจะรั้งอีกฝ่ายไว้ข้างกายอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ไม่คิดรั้งรออีกต่อไป
โดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุกรณ์เมื่อคืนมาแล้ว เขาพบว่าความคิดที่ต้องการครอบครองนางท่วมท้นยิ่งนัก ความปรารถนานั้นแทบจะเผาผลาญเขา ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืนเช่นนกัน
เขานำดัชนีต่างๆ ในร่างนางมาคำนวณดูรอบหนึ่ง นางสามารถมีความสัมพันธ์แนบแน่นถึงที่สุดกับเขาได้ พูดอีกอย่างคือสามารถบำเพ็ญร่วมคู่กับเขาได้!
ต่อให้เขาครอบครองนางก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อนาง ไม่แน่วิชาบำเพ็ญร่วมคู่อาจทำให้พลังยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้นอีกขั้น
เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่มีฐานะพันธะอันใดก็ครอบครองนางเสียแล้ว เขาต้องการให้นางเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของตน เช่นนั้นเขาก็สามารถทำกับนางตามความปรารถนาได้แล้ว…
กู้ซีจิ่วไหนเลยจะคาดถึงว่าเขาคิดไปไกลถึงเพียงนี้แล้ว?
สัญชาตญาณเธอรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนหัวสมัยใหม่ มารดามันเถอะอายุสิบห้ายังเป็นเด็กอยู่นะ! หากเป็นยุคปัจจุบันมรความสัมพันธ์กับเด็กอายุสิบห้า ไม่ว่าเด็กหญิงจะสมัครใจหรือไม่ล้วนถือว่าเป็นการข่มกระทำชำเราทั้งสิ้น…สามารถดำเนินคดีได้!
อีกอย่างการขอแต่งงานหนนี้ของเขารวดเร็วเกินไปหน่อยจริงๆ! เร็วกว่าจรวดเสียอีก! กู้ซีจิ่วค่อนข้างรับไม่ทัน
เธอสูดหายใจนิดๆ ไตร่ตรองคำพูดออกมา “มิใช่ข้าไม่มั่นใจในตัวท่าน แต่ท่านทำเช่นนี้เร็วเกินไปแล้ว! ข้ายังไม่ได้ขบคิดตระเตรียม อีกอย่างข้ายังต้องเล่าเรียนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่นะ ท่านก็รู้นี่ ระหว่างที่เล่าเรียนไม่อนุญาตให้แต่งงาน ข้าไม่อยากแหกกฎ…”
แววตาตี้ฝูอีสลัวลงนิดๆ มองดูเธอ “กฎของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ขอเพียงเจ้าตกลงแต่งกับข้าข้าย่อมีวิธี ไม่ปล่อยให้เจ้าละเมิดกฎแน่นอน ส่วนที่ว่าเร็วเกินไป…อันที่จริงก็ไม่นับว่าเร็ว เจ้ากับข้ารู้จักกันเกือบหนึ่งปีแล้ว ต่อให้ตระเตรียมเรื่องวิวาห์ในยามนี้ก็ไม่ดูฉุกละหุกเกินไป เว้นแต่เจ้าไม่อยากออกเรือนกับข้าในยามนี้จริงๆ เจ้าไม่อยากจริงๆ หรือ?”
เส้นเลือดบนหน้าผากกู้ซีจิ่วเต้นตุ้บๆ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ขอเธอแต่งงานอยู่กระมัง วิธีขอแต่งงานเช่นนี้ของเขาช่างแปลกประหลาดโดยแท้ เหมือนอกับเธอ บังคับให้เธอแต่ง….
กู้ซีจิ่วไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ตลอดเช่นนี้ เธอโบกมือไปมา กล่าวอย่างจริงจังยิ่ง “ไม่อยาก”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก…
….
สุดท้ายกู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ย้ายห้อง ตอนแรกเธอย้ายห้องเพื่อหลีกหนีตี้ฝูอี แต่ตอนนี้เธอคืนดีกับเขาแล้ว ถ้าย้ายห้องอีกจะดูทำเกินเหตุไปหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้นคือตี้ฝูอีก็เคยพูดกับเธอไว้เช่นกัน ว่าถึงเธอย้ายห้องไปเขาก็ตามไปเปิดสอนวิชาหรือไม่ก็หาทางไปสอนเสริมให้เธอ…
ถ้าเป้นเช่นนี้การย้ายห้องของเธอจะกลายเป็นการหลีกหนีเชียนหลิงอวี่แทน…
เป็นครั้งแรกที่เชียนหลิงอวี่ก็ขบคิดเรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นหลังเลิกเรียนวันนั้น เชียนหลิงอวี่ก็วิ่งมาหาเธออย่างร้อนรนใจหารือกับเรื่องว่าไม่จำเป็นต้องย้ายห้องแล้ว จิ้งจอกน้อยก็ไม่อยากแยกกับเชียนหลิงอวี่เช่นกัน จึงสนับสนุนด้วย
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน แล้วพาหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่ไปหากู่ฉานโม่ด้วยกัน…
กู่ฉานโม่เป็นผู้ที่ข่าวสารฉับไวคนหนึ่ง เรื่องที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีไปกินข้าวด้วยกันตอนเช้าเขาก็ได้ยินนานแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 901 แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจต่อกู้ซีจิ่วกี่ส่วนกัน?
กู่ฉานโม่เป็นผู้ที่ข่าวสารฉับไวคนหนึ่ง เรื่องที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีไปกินข้าวด้วยกันตอนเช้าเขาก็ได้ยินนานแล้ว ดังนั้นการมาของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามก็ไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา และตอบรับความประสงคของเด็กสามเช่นกัน
เขาให้เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูออกไปก่อน เหลือเพียงกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็ถามนาง “เจ้าใคร่ครวญดีแล้วใช่ไหม? ต่อไปจะอยู่กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใช่หรือไม่? มิใช่การเล่นละครสินะ?”
กู้ซีจิ่วสูดหายใจนิดๆ พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “มิใช่การเล่นละคร” ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าคนที่ตนชอบคือตี้ฝูอี ดังนั้นไม่มีจำเป็นที่ต้องปฏิเสธ
กู่ฉานโม่ถอนหายใจหนักๆ “แต่ว่าเจ้าสำนักหลง…เขาจริงจังกับเจ้า…เจ้าทำเช่นนี้ผิดต่อเขามากนะ”
หัวใจกู้ซีจิวเจ็บแปลบๆ ทันที หลุบตาลง “ใช่แล้ว ข้าผิดต่อเขา”
ตอนนี้คนที่เธอทำผิดด้วยที่สุดก้คือเขา ทำได้เพียงหาโอกาสตอบแทนเขาในภายหน้า
กู่ฉานโม่ทอดถอนใจ “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เหมือนกัน อันที่จริงบนโลกนี้ขอเพียงเป็นสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหมายตาไว้ ไม่ว่าคนหรอสัตว์ล้วนชิงไปจากมือเขาไม่ได้ ผู้ใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา…ปีนั้นเขาก็คร่าตัวศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ยไป…” กล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงัก แล้วส่ายศีรษะไปมา โบกมือแล้วกล่าว่า “สรุปคือ ทุกเรื่องต้องไตร่ตรองให้มากหน่อย อย่าถูกความรู้สึกทำให้สมองเลอะเลือน เจ้าเป็นแม่นางน้อยที่เฉลี่ยวฉลาดคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องให้ความสำคัญกับการเรียน เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”
กู้ซีจิ่วเข้าใจกรวางตัวของกู้ฉานโม่ ว่ามิใช่คนที่ชอบพูดจาเหลวไหลมั่วซั่วพรรค์นั้น และหวังดีกับเธอด้วยใจจริง ดังนั้นถ้อยที่เขาพูดเธอจึงรับฟังเข้าไป กู่ฉานโม่เพิ่งพูดจบ เธอก็จับประเด็นสำคัญในคำพูดของเขาได้ทันที “เขาชิงตัวศิษย์ของทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยหรือ? อาจารย์ใหญ่กู่สามารถเล่ารายละเอียดให้ซีจิ่วฟังได้หรือไม่?”
กู่ฉานโม่ส่ายหน้า “ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่าแล้ว ผู้เฒ่ามิใช่คนที่ชอบพูดลับหลังผู้อื่น ถ้าเจ้ามีข้อสงสัย ไปถามเขาต่อหน้าเถิด”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “เจ้าค่ะ” พลางหันหลังเดินออกไป
กู่ฉานโม่มองแผ่นหลังนางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอีกครั้ง
เด็กสาวผู้นี้เป็นต้นกล้าชั้นดีที่หาได้ยาก เป็นอัจฉริยะหายากที่นับพันปีถึงจะพานพบ เด็กเช่นนี้เขาไม่ยินดีเห็นนางถูกความรักทำลาย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
ต่อให้เป็นกู่ฉานโม่ที่พบเห็นโลกพบเห็นคนจนเคยชินแล้วก็ไม่เคยเดาทางเขาออกเลย คนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนเกินไป บนร่างมีปริศนามากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งเรื่องที่ทำก็ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่ง คนผู้นี้คล้ายมังกรที่เหินทะยานดั้นในเมฆา ให้คนเห็นเพียงเสี้ยวกรงเล็บของเขา ไม่เคยให้เห็นทั้งตัว ทว่าทำให้สัญชาตญาณของผู้อื่นสัมผัสได้ถึงความอันตราย…
คนเช่นนี้มิใช่ผู้ที่เด็กสาวนางหนึ่งจะสามารถคุมได้
หากกู้ซีจิ่วต้องเลือกระหว่างระหว่างหลงซือเย่กับตี้ฝูอี เช่นนั้นกู่ฉานโม่ยินยอมให้นางเลือกหลงซือเย่
อย่างไรเสียหลงซือเย่ก็ทำให้คนรู้สึกสงบมั่นคง และดีต่อกู้ซีจิ่วด้วยใจจริง
แต่ทูตสวรรค์…ผู้ใดจะรู้ได้ว่าเขาเล่นละครอยู่หรือไม่?
ใครเล่าจะรู้ว่าเขาแย่งชิงความรักของผู้อื่นจนติดเป็นนิสัยไปแล้วหรือไม่?
แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจต่อกู้ซีจิ่วกี่ส่วนกัน?
ไม่แน่ผลสุดท้ายอาจเป็นเช่นเดียวกับศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ย จุดจบคือสิ้นดวงวิญญาณแตกสลาย…
โดยพื้นฐานแล้ปกติกู่ฉานโม่มิใช่ผู้ที่ชอบพูดลับหลังผู้อื่น ทว่าครั้งนี้อดไม่อยู่ แต่ก็เป้นการตักเตือนเล็กน้อยเท่านั้น หวังเพียงว่ากู้ซีจิ่วจะสามารถแยกแยะถูกผิดได้ ไม่ถล้ำลึกเข้าไปโดยไม่เหลือทางถอยก็พอ
….
กู้ซีจิ่วออกมาจากสถานที่ของกู่ฉานโม่ เธอเป็นเด็กสาวที่เฉียบแหลมคนหนึ่ง ถ้าบอกว่าถ้อยคำที่เขาพูดไม่เกิดผลอะไรต่อหัวใจเธอเลยเช่นนั้นก็โกหกแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจนเกินไป
ตอนนั้นเธอกับตี้ฝูอีประสบอันตรายด้วยกัน ถูกเทียนจี้เยวี่ยซุ่มโจมตี เธอเคยถามเรื่องบุญคุณความแค้นของตี้ฝูอีกัเทียนจี้เยวี่ย ยามนั้นตี้ฝูอีเอ่ยเพียงสองสามคำก็เบี่ยงหัวข้อไป
————————————————————————————-
บทที่ 902 หัวใจเธอรู้สึกผิดจริงๆ
กล่าวเพียงว่าเขาสังหารศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ย ไม่ได้พูดถึงต้นสายปลายเหตุ ยามนี้จากที่ฟังสำเนียงของกู่ฉานโม่ ระหว่างสามคนนี้มีบุญคุความแค้นอันใดอยู่ แต่ไม่แน่ว่าจะใช่ปมความรักเสมอไป อย่างไรเสียกู่ฉานโม่ก็ได้ยินข่าวลือมาอีกที…
และส่วนมากข่าวลือก็ไม่น่าเชื่อถือ กู้ซีจิ่วมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เธอเชื่อเพียงลางสังหรณ์ของตัวเองเท่านั้น ตี้ฝูอีชอบตนจริงๆ ตนน่าจะเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาชอบ อื้ม ไม่แน่อาจเป็นคนสุดท้ายด้วย เธอไม่ระแวงคลางแคลงเขาเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคหรอก…
หรือเธอควรถามเขาไปตรงๆ เลย?
เธอเดินไปพลางคิดไปพลาง มีคนผู้หนึ่งเดินสวนมา เธอเกือบพุ่งเขาไปในอ้อมอกของคนผู้นั้นแล้ว จึงรีบถอยหลังทันที เงยหน้ามอง “ครูฝึกหลง!”
ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือหลงซือเย่ สีหน้าเขาซีดเซียวยิ่งนัก ถึงขั้นดูค่อนข้างตรอมตรม ในดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมีความรู้สึกวูบไหวอยู่นับไม่ถ้วน คล้ายจะทั้งโกรธทั้งผิดหวังและโศกเศร้า…
เขามองเอครู่หนึ่ง สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่น “ซีจิ่ว ที่แท้เธอก็ทำเพื่อเขา…” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป เขาหันหลังเดินจากไป
กู้ซีจิ่วก็ไม่สบายใจเหมือนกัน อดไม่ได้ที่จะไล่ตามไปสองก้าว “หลงซือเย่…”
ฝีเท้าหลงซือเย่หยุดลง ไม่ได้หันกลับมา “มีอะไร?”
โลหิตอุ่นร้อนสูบฉีดอยู่ในใจกู้ซีจิ่ว หยิบสมุนไพรสีแดงใสกระจ่างแวววาวต้นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของตน ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว ยื่นไปเบื้องหน้าเขา “สิ่งนี้มอบให้ท่าน!”
หลงซือเย่เพ่งมองเล็กน้อย
เป็นหญ้าวิเศษสามพันปีต้นนั้น!
เขาเงยหน้ามองเธอ ไม่พูดอะไร และไม่รับไว้
“คุณตามหาหญ้าต้นนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ขอมอบให้คุณแล้วกัน”กู้ซีจิ่วไม่พูดพร่ำอะไรยัดสมุนไพรต้นนั้นใส่มือหลงซือเย่
หลงซือเย่หลุบตามองหญ้าวิเศษที่ถูกยัดใส่มือ ของสิ่งนี้เขาตามหามาหลายสิบปีแล้ว และคะนึงหามาหลายสิบปีแล้วเช่นกัน หลายสิบปีก่อนหากมีคนนำสมุนไพรต้นนี้ออกมา ถึงแม้จะให้เขานำสำนักถามสวรรค์ทั้งสำนักมาแลกเปลี่ยน เขาก็จะแลก!
แต่ตอนนี้…
เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง หญ้าวิเศษต้นนั้นลอยขึ้นมา กลับไปอยู่ในมือกู้ซีจิ่วอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นแล้ว!” เขาตอบกลับเพียงสี่คำนี้ จากนั้นก็หมุนกายจากไป
มองเห็นแผ่นหลังเขาค่อยๆ หายลับไปในที่ไกลๆ หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายถูกอะไรกรีดแทง ปวดหนึบๆ
ชีวิตนี้เธอปฏิเสธคนที่ไล่ตามมานับไม่ถ้วน ความรู้สึกเป็นเรื่องของทั้งสองฝ่าย หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไปเองไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายย่อมไม่เกิดผลอะไร
แต่พอทำกับหลงซือเย่ในยามนี้ หัวใจเธอรู้สึกผิดจริงๆ
….
‘เจ้าสำนัก ยอดเขาไผ่เวียนมีศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามาขอรับ!’ นกสืบรอยตัวหนึ่งร่อนลงมา ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งร่วงสู่ฝ่ามือของหลงซือเย่ เสียงที่แว่วออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียงคือเสียงหัวหน้าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์
สีหน้าหลงซือเย่แปรเปลี่ยนทันที ตำหนักน้ำแข็งบนยอดเขาไผ่เซียนคือสถานที่ตั้งของร่างโคลนนิ่งหญิงร่างนั้น…
สถานที่แห่งนั้นเป็นความลับยิ่งนัก ต่อให้เป็นเหล่าศิษย์ของเขาหากว่าไม่มีคำสั่งจาเขา ก็ไม่กล้าเข้าไปโดยพลการ สัตรูจากภายนอกเข้าไปทำอะไรที่นั่น?
เขาครุ่นคิดสักครู่ ทิ้งจดหมายไว้ให้กู่ฉานโม่ฉบับหนึ่ง จากนั้นก็เรียกกระเรียนมงกุฎแดงสัตว์พาหนะของตนมา เหินฟ้าจากไปทันที
….
ตำหนักที่ปิดกั้นด้วยน้ำแข็ง เสมือนโลกที่ส่องแวววาว พายุหิมะทั่วท้องนภาคำรามกึกก้องอยู่ด้านหน้าตำหนัก
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ประตูตำหนักที่เดิมทีถูกเวทวิชาผนึกไว้ตลอดกลับอ้า…
คิ้วคมของหลงซือเย่ขมวดมุ่น สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลปกป้อง ประตูตำหนักก็มีเพียงตัวเขาที่สามารถเปิดได้ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกัน?
เขาก้าวเข้าไปช้าๆ ตรวจสอบค่ายกลที่ติดตั้งไว้นอกตำหนักเหล่านั้นก่อน ค่ายกลไม่ได้ถูกแตะต้อง เขาค่อยๆ ก้าวไปหน้าตำหนัก โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ประตูตำหนักเปิดออกอย่างสมบูรณ์ ไอเย็นพรั่งพรูออกมา
————————————————————————————-
บทที่ 903 หาหนทางไม่พบอีกต่อไป…
เขาย่างเท้าเข้าสู้ด้านใน จากนั้นใต้เท้าเหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง สายตามองตรงไปที่โลงน้ำแข็งใบนั้น
ภายในโลงว่างเปล่า ร่างโคลนนิ่งแช่แข็งที่อยู่ด้านในหายไปแล้ว!
เขาวนไปรอบตำหนักอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากจะเชื่อ นอกจากร่างแช่แข็งที่หายไป ที่เหลือไม่มีอะไรผิดปกติเลย
ภายในตำหนักก็มีกลไกลเหมือนกัน โดยเฉพาะรอบๆ โลงน้ำแข็ง ถ้าไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ ย่อมเปิดไม่ออก ยามนี้โลงน้ำแข็งใบนั้นกลับถูกเปิดอย่างสมบูรณ์ มิใช่การใช้กำลังเปิดออก
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาขโมยร่างแช่แข็งที่นี่คือผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง และเป็นคนที่รู้จักเขา…
คนๆ นี้คือใคร? ขโมยร่างแช่แข็งไปใช้ประโยชน์อะไร?
หลายปีที่ผ่านมา คนที่เคยมาที่นี่มีเพียงสามคนเท่านั้น ตัวเขา กู้ซีจิ่ว ตี้ฝูอี!
กู้ซีจิ่วนั้นเป็นไปไม่ได้ เธออยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ตลอด หรือจะเป็นตี้ฝูอี?!
ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะเป็นเขา ระยะนี้เขาซุกอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ราวกับแม่ไก่กกรังตลอดเช่นกัน ประสบพบเจอเขาได้บ่อยๆ…
ช่วงนี้หลงซือเย่กับตี้ฝูอีพบหน้ากันบ่อยเสียจนทำให้คนเดือดดาล พบกันบ่อยกว่าที่พวกเขาเคยพบหน้ากันในหลายสิบปีมานี้เสียอีก!
จากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาที่นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน ต่อให้ตี้ฝูอีขี่สัตว์พาหนะที่รวดเร็วยิ่งนักตัวนั้นมา คิดจะมาที่นี่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเช่นกัน ไปกลับรวมสองวัน และดูเหมือนตี้ฝูอีไม่เคยหายไปเป็นเวลาสองวัน…
หรือเขาจะส่งลูกน้องมา?
เพียงแต่เขาจะขโมยร่างแช่แข็งนั้นไปทำอะไร?
เพื่อโอ๋ให้ซีจิ่วดีใจหรือ?
กู้ซีจิ่วไม่พอใจร่างแช่แข็งร่างนี้หลงซือเย่ทราบดี
แต่ร่างแช่แข็งร่างนี้เขาเพาะเลี้ยงมานานหลายปี เขาหักใจทำลายทิ้งทันทีไม่ลง หากว่าวันใดได้ใช้การขึ้นมาเล่า?
นึกไม่ถึงว่าวันนี้ร่างแช่แข็งกลับหายไปเสียแล้ว!
เขายืนอยู่หน้าโลงน้ำแข็งอย่างไร้วิญญาณ ราวกับยังมองเห็นวงพักตร์อันงดงามเงียบสงบราวกับมีชีวิตของร่างแช่แข็งร่างนั้นได้
ร่างแช่แข็งนี้เคยเป็นความหวังที่หล่อเลี้ยงเขาให้มีชีวิตต่อเป็นเวลาเนิ่นนานปี เขามานั่งแช่อยู่ที่นี่เป็นครึ่งค่อนวันแทบจะทุกสองสามวัน พูดคุยกับมัน บอกเล่าความคิดตน เขาหมายมุ่งมาตลอดว่าอยากทำให้กู้ซีจิ่วฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างแช่แข็งนี้ จากนั้นก็ครองคู่ชูชื่นกับเขา เป็นคู่กิ่งทองใบหยก คาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะฟื้นคืนชีพได้สำเร็จ ทว่าหัวใจกลับแปรเปลี่ยนแล้ว…
และร่างแช่แข็งก็หายไปด้วย!
ความรู้สึกของเขาเสมือนเท้าข้างหนึ่งเหยียบย่างลงบนความว่างเปล่าบนหน้าผาสูงพันจั้ง หาหนทางไม่พบอีกต่อไป…
เท้าเขาพลันจมลึก จึงย่างเท้าออกมา เรียกศิษย์คนโตของตนมาสอบถามสถานการณ์
และคำตอบของศิษย์คนโตก้ทำให้หลงซือเย่สงสัยตี้ฝูอีมากยิ่งขึ้น!
เมื่อวานซืนศิษย์คนโตผู้นี้เห็นเงาร่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับตี้ฝูอีแวบผ่านยอดเขาไผ่เซียนนี้โดยบังเอิญ เพียงแต่พอยามที่เขาเข้ามาดูก็ไม่พบตัวคนแล้ว เห็นเพียงประตูตำหนักน้ำแข็งหลังนี้เปิดอยู่…
เนื่องจากศิษย์คนโตผู้นี้เข้าใกล้ตำหนักน้ำแข็งไม่ได้ ไม่อาจเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ด้านในได้ ดังนั้นจึงส่งนกสืบรอยไปแจ้งข่าวแก่อาจารย์เป็นการด่วน…
หลงซือเย่กำมือแน่น ศิษย์คนโตของเขาเชื่อถือได้ยิ่งนัก ไม่พูดโป้ปด อีกทั้งสายตาก็เฉียบคมยิ่งนัก ไม่ว่าผู้ใดเดินผ่านหน้าเขาเพียงรอบเดียวเขาก็สามารถจดจำรูปพรรณสันฐานของคนผู้นั้นได้ และไม่มีทางจำผิด
ศิษย์คนโตของเขาเคยพบตี้ฝูอีแล้ว เขาบอกว่าดูเหมือน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าผุ้ที่มาโขมยร่างแช่แข็งก็คือตี้ฝูอี เขาคงจะเร่งร้อนอยากครองใจกู้ซีจิ่ว ด้วยเหตุนี้จึงนำร่างแช่แข็งนี้ไปกำนับให้เธอ…
เพลิงโทสะในใจลุกโหมขึ้นมา เขาไม่พูดอะไรอีก เรียกกระเรียนมงกุฎแดงมา ทะยานขึ้นสู่ฟ้า
เดินทางได้ครึ่งวัน มาถึงเหนือหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
————————————————————————————-
บทที่ 904 อย่าไปนะ! ฉันกลัว!
รถม้าแก้วผลึกหรูหราอย่างยิ่ง ภายในตัวรถมีคนสองคนนั่งประจัญหน้ากันอยู่รางๆ หนึ่งในนั้นสวมชุดม่วงทอประกายระยิบระยับ เป็นเงาร่างรางๆ ของตี้ฝูอี และคนที่นั่งตรงข้ามเขาคือหญิงสาวนางหนึ่ง เรือนร่างอรชร สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ถึงจะไม่เห็นใบหน้า ทว่าเมื่อหลงซือเย่รูปร่างของอีกฝ่ายหัวใจก็เต้นรัวขึ้นมา
เป็นกู้ซีจิ่ว!
ไม่สิ ไม่ใช่กู้ซีจิ่วในตอนนี้ แต่เป็นกู้ซีจิ่วจากยุคปัจจุบัน…
เลือดลมเขาพลุ่งพล่าน ขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปดู จู่ๆ รถม้าแก้วผลึกคันนั้นกลับพุ่งดิ่งทันที ลงไปข้างล่างแล้ว
หลงซือเย่ย่อมไม่ปล่อยไป บินตามลงไปเช่นกัน
ด้านล่างเป็นป่าดงดิบรกทึบ และในป่าทึบมีเนินเขาแห่งหนึ่งที่ต้นไม้บางตา รถม้าแก้วผลึกคันนั้นลงจอดที่เนินเขาแห่งนั้น
ยามที่หลงซือเย่พุ่งลงมาได้เห็นหญิงสาวในรถม้าคันนั้นกระโดดลงมาจากรถม้าอย่างอ่อนช้อย มองแวบเดียวก็รู้ว่าวรยุทธ์ของนางไม่สูง ยามที่ลงสู่พื้นก็โซซัดโซเซ เกือบล้มคว่ำ แต่ได้จับรถม้าไว้แบ้วยืนอย่างมั่นคง ดวงตาคู่นั้นมองมาที่หลงซือเย่
สมองหลงซือเย่เกิดเสียงดังตู้มทันที หญิงสาวคนนั้น…หญิงสาวคนนั้นคือร่างโคลนแช่แข็งที่เขาสร้างขึ้น!
นางมีชีวิตแล้ว!
หญิงสาวคนนั้นเงยหน้ามองเขาครู่หนึ่ง ในที่ก็เปิดปากเอ่ย “คุณ…คุณคือ…พี่หลงซีใช่ไหม?” น้ำเสียงกระจ่างชัดเสนาะหู เป็นเสียงที่เขาเคยฟังจนคุ้นชิน
ฝีเท้าของหลงซือเย่ซวนเซ ราวกับถูกคนใช้ค้อนทุบอย่างแรง! ทั้งร่างล้วนหนาวเหน็บ
เย่หงเฟิง! เป็นเสียงของเย่หงเฟิง! เป็นสำเนียงของเย่หงเฟิง!
ใคร…ใครเรียกดวงวิญญาณของเธอมา?!
เขามองเข้าไปในรถม้าทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ตี้ฝูอี นี่หมายความว่ายังไง?!”
บุรุษชุดม่วงในรถม้าไม่ได้ลงมา เสียงหัวเราะกระจ่างชัดดึงดูด เป็นเสียงของตี้ฝูอี “เจ้าสำนักหลง นี่ถึงจะเป็นคนที่ท่านสมควรใส่ใจที่สุดมิใช่หรือ? นางคือคู่หมั้นของท่าน และเป็นเด็กสาวที่ท่านทรยสมาสองครั้งแล้ว ยามนี้ข้าใช้วิชาลับบางอย่างเรียกวิญญาณนางกลับมา นางใช้ร่างโคลนนิ่งร่างนี้ที่ท่านสร้างได้พอดี ท่านต้องดูแลนางดีๆ ล่ะ อย่าได้ทรยศนางอีก”
พอเขากล่าวจบ รถม้าแก้วผลึกคันนั้นก็เหินลอยขึ้นอีกครั้ง บินขึ้นสู่ฟ้าหายลับไปในชั่วพริบตา
“สารเลว เจ้าอย่าหนีนะ!” หลงซือเย่เกิดโทสะทันที กระโดดขึ้นหลังกระเรียนมงกุฎแดงหมายจะไล่ตาม
“พี่หลงซี!” หญิงสาวคนนั้นโผเข้ามา “อย่าไปนะ! ฉันกลัว!”
เนินเขาแห่งนี้ปกคลุมด้วยก้อนหิน ขรุขระอย่างยิ่ง อีกทั้งหญิงสาวคนนั้นรีบร้อนนมาก การโผครั้งนี้จึงก้าวสะดุด ล้มลงบนพื้น
โทสะสุมเต็มทรวงหลงซือเย่แล้ว ไม่มีทางมาสนใจเธอ ไล่ตามขึ้นไปบนฟ้า แต่ความเร็วของรถม้าแก้วผลึกคันนั้นว่องไวเกินไป ยามนี้จึงหายลับไปเหลือไว้เพียงจุดขาวๆ ที่พร่ามัวจุดหนึ่ง
เขาหมายจะไล่ตามต่อ ทันใดนั้นพลันมีเสียงกรีดร้องแว่วมาจากด้านล่าง
เขามองลงไปทันที นิ้วมือพลันกำแน่น!
เสือดาวดุร้ายตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าทึบ เป้าหมายก็คือเด็กสาวที่ล้มคว่ำอยู่บนพื้นและยังไม่ทันลุกขึ้น…
น่าตายนัก!
หลงซือเย่ดิ่งลงไปด้านล่างอีกครั้ง ยังไม่ทันถึงพื้นก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อเขา ซัดเสือดาวตัวนั้นกระเด็นออกไป ติดอยู่บนต้นไม้
เขาโจมตีออกไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ การลงมือครั้งนี้ย่อมทรงอานุภาพยิ่งนัก เจ้าเสือดาวไม่เพียงแต่ถูกซัดปลิวเหมือนแตงกวาเท่านั้น แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็หักเป็นสองท่อนด้วย ล้มลงบนพื้นเสียงดังโครม
เด็กสาวคนนั้นเห็นได้ชัดว่าขวัญกระเจิงแล้ว ร้องไห้โฮแล้วโผเข้าหาอ้อมอกเขา
หลงซือเย่สะบัดแขนเสื้อ เด็กสาวคนนั้นยืนห่างจากเขาครึ่งเมตร เข้าใกล้ไม่ได้อีก
เธอหน้าซีดเผือด น้ำตากลอกกลิ้งอยู่ในดวงตา “พี่หลงซี…”
เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากหลงซือเย่เต้นตุบๆ กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่ใช่หลงซี!”
————————————————————————————-
บทที่ 905 ซ้ำยังติดค้างถึงสองครั้งแล้ว!
เด็กสาวคนนั้นมองเขาอย่างงุนงง “แต่ว่า…แต่ว่าคนเมื่อกี้บอกว่าคุณคือพี่หลงซีของฉัน และหน้าตาของพวกคุณก็เหมือนกันมาก”
น้ำเสียงหลงซือเย่เยียบเย็น “เขาหลอกเจ้า! ข้าคือหลงซือเย่ เจ้าสำนักถามสวรรค์”
เขายังคงอดได้ที่จะเพ่งพิศเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ความเศร้าหมองในใจท่วมท้นขึ้นมาอีกระลอก นี่คือร่างที่เขาเตรียมไว้ให้กู้ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อกู้ซีจิ่ว ถูกขายต่อให้เย่หงเฟิง…
อันที่จริงความรู้สึกที่เขามีต่อเย่หงเฟิงซับซ้อนยิ่งนัก
เขาคิดว่าเย่หงเฟิงเป็นเด็กน้อยร่างโคลนนิ่งคนนั้นมาโดยตลอด ในใจรู้สึกว่าเธอเป็นกาเหว่าแย่งรัง อีกทั้งเธอเป็นแก้วตาดวงใจของสามีภรรยาตระกูเย่ เป็นองค์หญิงน้อยที่ถูกทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือ เขาแตะต้องไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อเธออย่างขอไปที ไม่อบอุ่นไม่เย็นชา
ภายหลังเขาตามหากู้ซีจิ่วพบ กลายเป็นครูฝึกของกู้ซีจิ่ว เดิมทีเป็นเพราะในใจรู้สึกติดค้าง จากนั้นก็หลงรักอีกฝ่ายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในใจอยากสลับตัวทั้งคนคืนมาโดยตลอด ต่อมาหลังจากพบว่าเป็นไปไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดเสีย แต่เวลาที่พบหน้าเย่หงเฟิงเขารู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ หาวิธีหลบเลี่ยงเธอทุกครั้ง…
ต่อมาถูกสามีภรรยาตระกูลเย่กดดัน เขาไม่อยากให้กู้ซีจิ่วถูกสามีภรรยาตระกูเย่ฆ่า จึงแสร้งหมั้นกับเย่หงเฟิง ตอนนั้นในใจมีความคิดที่จะสลับวิญญาณทั้งสองคนแล้ว…
แน่นอน เพื่อหลอกล่อสามีภรรยาตระกูลเย่ ช่วงนั้นเขาดีต่อเย่หงเฟิงมาก พาเธอไปเที่ยว พาไปกินดื่มสังสรรค์ แต่ในใจเกลียดเธอมาก
เพราะหลังจากเธอค้นพบการมีอยู่ของกู้ซีจิ่วก็โวยวายกับสามีภรรยาตระกูลเย่ต้องการให้ฆ่ากู้ซีจิ่วซะ…
ดังนั้นหลงซือเย่จึงลงมือผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายหัวใจเพื่อสลับวิญญาณอย่างไม่เสียใจภายหลัง ยามที่วางยาสลบเย่หงเฟิงแล้วควักหัวใจออกมาถึงขั้นรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ เพียงแต่ยามที่ลงมีดในใจค่อนข้างหักใจไม่ลงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเด็กสาวคนนี้ก็เคยรักเขาดั่งชีวิต เชื่อฟังเขาทุกอย่าง เรียกเขาว่าพี่หลงซีอย่างไม่ขาดปากอยู่เสมอ…
การผ่าตัดครั้งนั้นเย่หงเฟิงถูกควักหัวใจก่อน พูดอีกอย่างคือ เย่หงเฟิงเป็นผู้ตายก่อน
เขาคิดว่าเย่หงเฟิงเป็นกาเหว่าแย่งรังมานานหลายปี เสพสุขกับผลประโยชนที่เดิมควรเป็นของกู้ซีจิ่วมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ถึงตายก็ไม่นับว่าขาดทุน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดต่อเธอเพียงนิดหน่อยเขาตายตามกู้ซีจิ่ว ชาตินี้ใช้เวลาตระเตรียมเนิ่นนานหลายปีเพื่อฟื้นคืนชีพให้กู้ซีจิ่ว ส่วนเย่หงเฟิงนึกถึงขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้น
แต่หนนี้เขาได้รู้ความจริงของที่สลับซับซ้อนในปีนั้นจากปากกู้ซีจิ่ว ที่แท้เด็กทั้งสองคนไม่ได้ถูกสลับตัวกัน ทุกอย่างที่เย่หงเฟิงได้รับก็เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้อยู่แล้ว ถึงนิสัยของเธอจะไม่น่ารัก แต่เธอก็ไม่ได้ติดค้างใคร…
กลับเป็นเขาที่ติดค้างเธอ ซ้ำยังติดค้างถึงสองครั้งแล้ว!
ตอนนี้เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างโคลนนิ่งที่เขาสร้าง ใครจะบอกได้ว่ามิใช่สิ่งที่ปรภพชดเชยให้เธอ?
แต่ว่า…
วินาทีนี้หัวใจของหลงซือเย่สับสนว้าวุ่น ไม่ทราบเช่นกันว่าในใจตนรู้สึกอย่างไร
หากเป็นวิญญาณอื่นที่ครอบครองร่างแช่แข็งนี้ เขาคงสังหารอีกฝ่ายได้โดยไม่พูดอะไรเลย ทำให้ร่างแช่แข็งกลายเป็นร่างแช่แข็งเหมือนเดิม
แต่ผู้ที่ฟื้นคืนชีพคือเย่หงเฟิง…
เดิมทีเขาก็ติดค้างเธออยู่แล้ว หรือว่าคิดจะสังหารเธออีกครั้ง?
ยิ่งไปกว่านั้นคือร่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อกู้ซีจิ่วแลว เธอมีสังขารที่ดียิ่งกว่า ตัวตนใหม่ในยามนี้หลอมร่วมเข้ากับโลกนี้ได้เป็นอย่างดี…
โลหิตอุ่นร้อนซัดโหมอยู่ในทรวงเขา นิ้วมือภายในแขนเสื้อสั่นเทานิดๆ
ตี้ฝูอี เจ้าเห็นข้าเป็นดินโคลนในกำมือที่เจ้าจะบีบคลึงอย่างไรก้ได้จริงๆ ใช่ไหม?
เสียงพยัคฆ์คำรามแว่วมาจากที่ไกลๆ เย่หงเฟิงอดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้าใกล้เขา “พี่หลงซี ที่นี่ที่ไหนคะ? ฉันกลัว…”
————————————————————————————-
บทที่ 906 หุบปาก นั่งดีๆ
“จะพูดอีกครั้ง ข้าคือหลงซือเย่ มิใช่หลงซี! เรียกข้าว่าเจ้าสำนักหลง!”สุ้มเสียงหลงซือเย่เยียบเย็น อำนาจทั้งหมดแผ่ออกมา
เย่หงเฟิงหดกาย ไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก “คือ…เจ้าสำนักหลง…ฉัน…ฉันกลัว…คุณ…ท่านอย่าทิ้งฉันนะคะ…”
หลงซือเย่ปวดศีรษะ เขาย่อมไม่สามารถทิ้งเย่หงเฟิงไว้ตรงนี้ปล่อยให้เธอถูกสัตว์ร้ายอันใดขย้ำเป็นอาหารได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงพาเธอกลับไปด้วย
ชาติก่อนเย่หงเฟิงเป็นคุณหนูร่ำไฮโซที่หยิ่งผยองคนหนึ่ง ร่างแช่แข็งที่ครอบครองอยู่ในยามนี้ยังคงไม่มีพลังยุทธ์เลยเช่นเดิม จะเดินจะเหินล้วนลำบากยิ่งนัก และที่นี่ก็ไม่มีสัตว์พาหนะตัวอื่นด้วย หลงซือจึงทำได้เพียงพยุงเธอขึ้นหลังกระเรียนของตน
เธอเหมือนมนุษย์ปุถุชนไม่มีวรยุทธ์ ร่างกายหนักอึ้ง กระเรียนตัวนั้นบรรทุกเธอแล้วแทบจะบินไม่ขึ้น…
ตัวเธอก็นั่งบนหลังนักเรียนอย่างมั่นคงไม่ได้เช่นกัน เดิมทีหลงซือเย่คิดจะใช้เวทวิชาอย่างหนึ่งมัดเธอไว้บนหลังกระเรียน แต่พอเห็นสายตาละห้อยของเธอ เขาก็ยิ้มขื่นๆ ในใจอีกครา
เขาครองตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเพื่อกู้ซีจิ่วมาโดยตลอด หลายปีมานี้ไม่เคยชิดเชื้อกับสตรีเลย เคร่งครัดยิ่งกว่านักพรตเสียอีก
ตอนนี้ในใจเธอมีคนอื่นแล้ว ตกลงปลงใจจะครองคู่โบยบินกับทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายผู้นั้นแล้ว แล้วเขาจะยังวุ่นวายอยู่ตรงนี้อีกทำไม? นางไม่ต้องการให้เขาปกป้องคุ้มครองแล้ว!
หัวใจของเขาโศกตรม โอบร่างเย่หงเฟิงที่อยู่บนหลังกระเรียนไว้ทันที
ดวงตาเย่หงเฟิงเปล่งประกาย “พี่หลงซี…เจ้าสำนักหลง…”
หลงซือเย่เอ่ยเตะคอกว่า “หุบปาก! นั่งดีๆ!”
กระเรียนมงกุฎแดงบรรทุกคนทั้งสองเหินขึ้นสู่ฟ้า เย่หงเฟิงกรีดร้องอีกครั้งด้วยความตกใจ หันกลับไปกอดเอวหลงซือเย่อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กอดแน่นไม่ยอมปล่อยมือ…
หลงซือเย่ตัวแข็งทื่อทันที เกือบโคจรพลัยุทธ์ดีดเธอออกไปแล้ว โชคดีที่เขาระงับการโคจรนี้ได้ทันการ เพียงดึงเธอออกจากอ้อมอกโดยไม่พูดอะไร แต่เธอกอดเขาไว้แน่น รากับคนจมน้ำที่กอดขอนไม้เพียงหนึ่งเดียวเอาไว้ ถ้าเขาไม่โคจรพลังยุทธ์ไม่ทางดึงเธอออกได้…
จิตใจเขาว้าวุ่น ขณะที่กำลังจะโคจรพลังวิญญาณ ฝืนดึงเธอออก ทันใดนั้นแผ่นหลังตรงบั้นเอวพลันชาหนึบ สมองราวกับมีบางอย่างพุ่งเข้ามา ทำให้สมองเขาขาวโพลนในชั่วพริบตา
และเด็กสาวในอ้อมอกเขาก็ยังคงกอดเอวเขาไว้แน่น มุมปากหยักขึ้นนิดๆ ยิ้มอย่างมาดร้ายแวบหนึ่ง…
….
จันนทราดวงโตดั่งแผ่นจาน ลอยสูงอยู่บนฟากฟ้า เมฆาหลายก้อนเคลื่อนคล้อยตามสายลม แสงจันทร์ทาบทาสีทองสายหนึ่งลงบนก้อนเมฆ งดงามเกินบรรยาย
พระจันทร์กลมมนบนภา บนพื้นตี้ฝูอีจูงมือกู้ซีจิ่วเดินล่องลอย
นี่คือเมืองหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก สิบห้าค่ำเดือนแปดคือเทศกาลไหว้พระจันทร์ บนถนนใหญ่ย่อมครึกครื้นยิ่งนัก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีไม่ว่าเดินไปทางใดล้วนเป็นตัวตนที่ดึงดูดสายตา ทำให้คนทั้งหมดคุกเข่าลงอย่างง่ายดายยิ่ง เมื่อออกมากับเขากู้ซีจิ่วไม่อยาก ‘สะดุดตา’ ถึงเพียงนั้น ดังนั้นจึงกล่อมให้เขาเปลี่ยนชุด และแปลงโฉมเล็กน้อยด้วย
แน่นอนว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความลือที่ไม่พึงประสงค์ กู้ซีจิ่วก็แปลงโฉมด้วยเช่นกัน
ยามที่ทั้งสองเดินบนถนนใหญ่ถึงแม้ยังคงดึงดูดสายตายิ่งนักอยู่ แต่โชคดีที่ไม่มีใครจดจำฐานะของพวกเขาได้ ทั้งสองจึงสามารถเดินเล่นได้ตามสบาย
ทั้งสองเดินเที่ยวตลาดกลางคืน เยี่ยมชมแผงอาหารและแผงเครื่องประดับนับไม่ถ้วน…
ในใจกู้ซีจิ่วค่อนข้างรู้สึกอนิจจังยิ่งนัก ช่วงเทศกาลความรักเธอก็เคยลงมาเดินเที่ยวเหมือนกัน ตอนนั้นเธอเป็นโสด มีสัตวเลี้ยงสามตัวติดสอยห้อยตามรอบกาย ความจริงรู้สึกเหงามาก ต่อมาถึงแม้จะพบหลงซือเย่ ทั้งสองเดินเที่ยวด้วยกัน ซ้ำยังลอยประทีปด้วยกัน แต่ยามนั้นเธอรู้สึกว่าขาดอะไรไปอยู่เสมอ ฝืนร่าเริงทำให้ตัวเองมีความสุข ตนในยามนั้นแค่สพกดจิตไม่ให้ตัวเองผิดหวังจนเกินไปเท่านั้น…
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น